Home Blog Page 371

เอไอเอส อัพเกรดแอป อสม. ติดอาวุธช่วยงานคัดกรองสุขภาพจริงให้นักรบเสื้อเทา

0

รายงานข่าวจากบริษัท บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส สานต่อภารกิจ “5G ฟื้นฟูประเทศ” โดยร่วมกับกรมสุขภาพจิต และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ อัปเกรดแอปพลิเคชัน อสม. ออนไลน์ เปิดฟีเจอร์ใหม่ “รายงานคัดกรองสุขภาพจิต” เป็นอาวุธคู่กายของอาสารสมัครสาธารณสุข (อสม.) ในการลงพื้นที่เฝ้าระวัง ตรวจคัดกรอง และให้คำแนะนำการปฏิบัติตนสำหรับผู้ที่มีความวิตกกังวล ซึมเศร้าได้ทันที

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ เอไอเอส กล่าวว่า การพัฒนา “ฟีเจอร์คัดกรองสุขภาพจิต” บน อสม.ออนไลน์ เพื่อให้ อสม. นำเครื่องมือดังกล่าว ไปทำการคัดกรองประชาชนที่ตนเองดูแล ทำให้ อสม. และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข สามารถทราบสถานะสุขภาพจิตของประชาชนในพื้นที่ได้แบบทันที ในขณะเดียวกันหน่วยบริการสาธารณสุขระดับตำบล สาธารณสุขอำเภอ และสาธารณสุขจังหวัดก็สามารถเข้าถึงข้อมูลการคัดกรองได้แบบเรียลไทม์ ทำให้การดูแลและเฝ้าระวังเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ทั้งนี้ ฟีเจอร์ “รายงานคัดกรองสุขภาพจิต” สามารถใช้งานได้แล้ววันนี้ เพียงทำการอัปเดต แอปพลิเคชัน อสม. ออนไลน์ เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด โดย อสม. ทุกเครือข่ายสามารถใช้งานแอปฯ ดังกล่าวได้ฟรี สำหรับ อสม. ที่ใช้งานเครือข่ายเอไอเอสสามารถใช้ได้โดยฟรีค่าอินเทอร์เน็ต

พญ.พรรณพิมล  วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยขณะนี้ ถือว่ามีการควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก ซึ่งการทำงานได้เช่นนี้เกิดจากความร่วมมือของพี่น้องประชาชนและบุคลากรสาธารณสุข โดยเฉพาะหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน ได้แก่ พี่น้อง อสม. และ อสส. ทั่วประเทศ แต่การดูแลเพียงสุขภาพกายอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นั้น ส่งผลกระทบต่อสังคมในรอบด้าน ซึ่งส่งผลกระทบต่อมายังสุขภาพจิตของคนไทยโดยรวม เพราะฉะนั้นการเฝ้าระวังและการรับมือในระดับพื้นที่จึงเป็นช่องทางที่สำคัญที่จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและการสูญเสียจากปัญหาด้านสุขภาพจิตที่จะเกิดขึ้นได้

ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า การพัฒนาความรู้สาธารณสุขด้านสุขภาพจิต เป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่สามารถช่วยการดำเนินงานให้กับพี่น้อง อสม. และ อสส. ในการฟื้นฟูจิตใจของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ของประเทศในขณะนี้ การลงนามความร่วมมือ มีวัตถุประสงค์ในการเสริมสร้างความรู้ข่าวสารด้านสุขภาพให้ อสม.และ อสส. มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ในมิติสุขภาพจิต โดยดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน “อสม. ออนไลน์” ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ด้านสาธารณสุข รองรับความเป็นสังคมเมือง สังคมผู้สูงอายุ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีให้ประชาชนสุขภาพดี เจ้าหน้าที่มีความสุข ระบบสุขภาพยั่งยืน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ยินดีส่งเสริมให้ อสม.หรือ อสส.ดำเนินการส่งเสริมสุขภาพจิตและทำให้ระบบสาธารณสุขไทยมีความเข้มแข็งในทุกมิติสุขภาพ

ซีพีเอฟ ปลื้ม ได้ ISO 56002 รายแรกของไทย

0

รายงานข่าวจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟโดย โรงงานผลิตอาหารสัตว์บก บางนา ได้รับรองมาตรฐาน ISO 56002 เป็นองค์กรแรกของประเทศไทย โดยนางพรรณี อังศุสิงห์ ผู้อำนวยการ สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ มอบใบรับรองมาตรฐาน ISO 56002 ให้แก่นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจสัตว์บก ซีพีเอฟ ที่อาคารซีพี ทาวเวอร์ สีลม  

ผอ.สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ  กล่าวว่า มาตรฐาน ISO 56002  เป็นมาตรฐานใหม่ ที่สถาบันฯ ส่งเสริมให้กับองค์กรได้มีแนวทาง กระบวนการจัดการนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ เพื่อให้องค์กรได้รับประโยชน์มากที่สุดจากโครงการพัฒนานวัตกรรม  โดยซีพีเอฟ เป็นองค์กรที่มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนพัฒนาการบริหารนวัตกรรมขององค์กรตามแนวทางมาตรฐานไอเอสโอ 56002  อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนเป็นองค์กรรายแรกของประเทศไทยที่ได้รับเกียรติบัตร ไอเอสโอ 56002  เป็นการตอกย้ำว่าซีพีเอฟเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของโลก ที่มีการดำเนินธุรกิจที่มีการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง สามารถตอบสนองกับสภาพการณ์เปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมและของโลกได้อย่างรวดเร็ว เติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่กับสังคม สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ และมีส่วนร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรม สู่ Thailand 4.0 

ด้านนายสิริพงศ์ กล่าวว่า การได้รับรองมาตรฐาน ISO 56002 เป็นความสำเร็จของคณะผู้บริหารและพนักงานของซีพีเอฟทุกคนและทุกหน่วยธุรกิจ ที่ร่วมมือกันสร้างสรรค์นวัตกรรมในกระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบ เพื่อพัฒนาสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมมาตลอดระยะเวลา 12 ปี  และ โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกบางนา ซีพีเอฟ  มีความก้าวหน้าอย่างชัดเจนและประสบความสำเร็จเป็นหน่วยงานแรกของไทยที่ได้รับรองมาตรฐานไอเอสโอ และยังเป็นต้นแบบให้กับหน่วยงานอื่นๆ ของซีพีเอฟในการพัฒนาระบบบริหารจัดการนวัตกรรมตามมาตรฐานสากล     

“เป็นแนวทางที่ช่วยให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งนวัตกรรม บุคลากรทุกลำดับชั้นสามารถคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ หรือ กระบวนการทำงานใหม่ที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ สร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ยังช่วยพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กันอย่างยั่งยืนอีกด้วย  ช่วยให้องค์กรบรรลุวิสัยทัศน์การ “ครัวของโลก”​

ที่ผ่านมา ซีพีเอฟได้ส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมภายในองค์กรที่เป็นระบบมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2551 โดยมีการจัดอบรมพนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจ และพร้อมประยุกต์นวัตกรรมเข้ากับกระบวนการทำงาน นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ รวมทั้งการดำเนินโครงการ CPF CEO Award เพื่อมอบรางวัลแก่ผู้ที่มีส่วนร่วมสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้กับองค์กร กระตุ้นให้พนักงานสร้างสรรค์นวัตกรรมและสิ่งใหม่ไม่น้อยกว่า 45,000 ผลงาน และมีนวัตกรรมที่จดทะเบียนสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรแล้วรวมถึง 294 ผลงาน  

และต่อยอดพัฒนาพนักงานเป็นนวัตกรตามแนวทาง TRIZ  ปัจจุบัน ซีพีเอฟ มีนวัตกรในองค์กร 1,020 คน อีกทั้งมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พัฒนาชุดทดสอบแบคทีเรียกลุ่ม Listeria monocytogenes ที่ก่อโรคในอาหาร ช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดระยะเวลาการตรวจเหลือเพียง 1 วัน, ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาเชื้อจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหารของคนไทย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่เหมาะสมกับคนในแต่ละช่วงวัย

นอกจากนี้ ได้ก่อตั้ง ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารซีพีเอฟ ที่อำเภอวังน้อย จ.อยุธยา เพื่อเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหาร คิดค้น วิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ๆ และมีผู้เชี่ยวชาญหลากหลายด้าน รวมถึงนักออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพิ่มโอกาสในการตอบสนองตลาดได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว บนพื้นฐานของความยั่งยืน .

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : เด็กจบใหม่ออมอย่างไร!!

0

เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ www.set.or.th หน้า “ห้องเรียนนักลงทุน” มีข้อแนะนำสำหรับ “การออม” ของเด็กจบใหม่เงินเดือน 15,000 บาท ที่ “คุณนายพารวย” เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ให้น้องๆนำมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ โดยสามารถสร้างวินัยการออมง่ายๆ เริ่มจากคาถาที่ต้องยึดในหัวใจคือ “ออมก่อนใช้” และต้องออมให้ได้อย่างน้อย 10% ของเงินเดือน

นอกจากนี้ ยังมี “3 ขั้นตอน วางแผนการออมฉบับเด็กจบใหม่” ที่น่าสนใจดังนี้ 1.ต้องจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมาย โดยเลือกเป้าหมายสำคัญที่ต้องการทำให้สำเร็จก่อน ถ้าในอนาคตมีรายได้มากขึ้น จึงค่อยๆเพิ่มเงินออมให้มากขึ้น โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือควรเก็บเงินสำรองฉุกเฉินเป็นลำดับแรก ก่อนนำเงินที่เหลือไปเติมเต็มเป้าหมายอื่นๆ

2.ศึกษาทางเลือกการออมและลงทุนที่มีช่องทางหลากหลาย เพราะการทิ้งเงินออมไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เท่ากับว่าเราปล่อยโอกาสดีๆที่จะทำให้เงินออมงอกเงย เพราะปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากต่ำมากและจะต่ำอย่างนี้ไปอีกนาน ดังนั้น จึงควรทิ้งเงินฝากไว้แค่พอให้ใช้จ่ายประจำวันและเผื่อฉุกเฉินเท่านั้น

โดยทางเลือกการออมเงินและการลงทุนเริ่มตั้งแต่การออมภาคบังคับผ่านกองทุนประกันสังคมและการออมเงินกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างที่จะมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพบริหารจัดการเงินลงทุนให้ หรือออมผ่านเงินฝากประจำแบบปลอดภาษี หรือลงทุนกับสหกรณ์ออมทรัพย์

และที่ “คุณนายพารวย” เคยแนะนำสำหรับมือใหม่หัดลงทุนคือเข้าโปรแกรมลงทุนออมหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หรือออมกับกองทุนรวมทุกเดือนกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) รวมทั้งการออมในรูปการทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์

3.วางแผนออมเงินสม่ำเสมอ โดยเลือกช่องทางการออมที่สอดคล้องกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ วิธีง่ายๆที่แนะนำคือ “สมัครบริการที่ช่วยหักเงินออมจากเงินเดือนโดยอัตโนมัติ” ซึ่งช่วยให้เรามีวินัยการออมทุกเดือน และหากไปใช้กับบัญชีลงทุน ก็จะช่วยให้เงินทำงานสร้างดอกผลอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เรายังทำงานประจำไปด้วยได้

ตัวอย่าง เช่น นายเอ อายุ 22 ปี พนักงานเอกชน ได้เงินเดือน 15,000 บาท และคาดว่าเงินเดือนจะปรับขึ้น 10% ต่อปี โดยนายเอตั้งเป้าหมายต้องการมีเงินออมเพื่อเกษียณอย่างน้อย 4 ล้านบาท ภายในเวลา 38 ปี เพื่อมีเงินใช้จ่ายหลังเกษียณ เดือนละ 15,000 บาท ไปอีก 20 ปี

โดยกำหนดแผนการออมเพื่อให้ได้ผลตอบแทนบรรลุเป้าหมาย ดังนี้ 1.ออมเงินผ่าน PVD โดยสะสม 5% ของเงินเดือน หรือเพิ่มเป็น 10% เมื่อรายได้เพิ่ม 2.ออมเงินผ่านการลงทุนรูปแบบอื่น เช่น ลงทุนในหุ้นเดือนละ 434 บาท มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเฉลี่ย 12.88% ต่อปี และลงทุนในกองทุนรวมนโยบายผสมระหว่างหุ้น 80% และตราสารหนี้ 20% อีกเดือนละ 1,998 บาท โดยมีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเฉลี่ย 6.86% ต่อปี ก็จะทำให้บรรลุเป้าหมายได้

เริ่มออมเงินตั้งแต่วัยเริ่มต้นทำงาน ก็จะทำให้เรามีเวลาในการออมที่ยาวนานขึ้น แถมมีทางเลือกลงทุนที่หลากหลายกว่า เพราะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้เต็มที่ คัมภีร์ “ออมก่อนรวยกว่า” และนำเงินออมมาลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนจะนำเราไปสู่อิสรภาพทางการเงินได้เร็วขึ้น!!


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เซเว่น อีเวฟเว่น รุกออนไลน์เต็มที่ สะดวกครบจบที่เดียว

0

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารออลล์ ออนไลน์ และ เซเว่น อีเลฟเว่น เปิดเผยว่า เซเว่น อีเลฟเว่น ปรับการให้บริการในรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า “ออลล์ ออนไลน์” (ALL Online) โดยมีสโลแกน “สะดวกครบ จบที่เดียว” อีกทั้งเสริมการบริการ 7-Eleven Delivery จัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าถึงบ้าน ผ่านแอปพลิเคชัน 7-Eleven Delivery เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ใหม่และสะดวกทุกการซื้อสินค้า, สะดวกทุกบริการ, สะดวกทุกที่ และ สะดวกทุกเวลา เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในทุกชุมชน

การปรับตัวครั้งนี้ เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจที่เปลี่ยนไป การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้บริษัทเรียนรู้ว่า ผู้คนที่เจอปัญหาจะหันเข้ามาใช้เทคโนโลยีทั้งสิ้น การทำธุรกิจจึงต้องสร้างสรรค์บริการใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะเมื่อโลกต้องเจอกับมรสุมทางเศรษฐกิจและเกิดโรคระบาดโดยเฉพาะโควิด-19 สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา ก็คือ New Normal หรือ “ความปกติใหม่ หรือ ฐานวิถีชีวิตใหม่” นั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั่วโลก สิ่งที่เคยมองและวางแผนไว้ว่าจะทำจะเกิดขึ้นในอีก 5 ปี แต่ตอนนี้ ได้ลดลงเหลือภายในเวลาไม่กี่เดือน

ปจจุบันเซเว่นฯ มีจำนวนสาขารวมกว่า 12,000 สาขา เพื่อตอบโจทย์ความสะดวกให้กับลูกค้าทั่วประเทศ เราจึงมีการเปลี่ยนจาก Food Store มาสู่ All Convenience เพื่อบริการความสะดวกให้กับทุกคน และเมื่อมาถึงปี 2020 เมื่อโลกเปลี่ยน เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยน วิถีชีวิตคนเปลี่ยน พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน คู่แข่งเปลี่ยน

นอกจากนี้บริษัทยังได้ร่วมโครงการช้อปดีมีคืน ซึ่งลูกค้าที่ซื้อสินค้าภายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศหรือจะช้อปผ่าน 7-Delivery, ALL Online และสินค้าออนไลน์จาก 24 shopping สามารถขอใบกำกับภาษีเพื่อลดหย่อนได้ไม่เกิน 30,000 บาทในปีภาษี 2563 ตามนโยบายภาครัฐตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31ธันวาคม 2563

เปิด AIS Serenade Club Flagship Store สาขา Central World

0

นางบุษยา สถิรพิพัฒน์กุล ผู้บริหารหน่วยธุรกิจดูแลลูกค้าและสิทธิประโยชน์ เอไอเอส เปิดเผยว่า AIS Serenade Club เปิดตัวสาขาใหม่ล่าสุด  Central World ชั้น 5  โดยเป็น Flagship Store ที่มีการปรับโฉมใหม่ ออกแบบด้วยแนวคิดที่ใกล้ชิดธรรมชาติ เรียบง่าย ผสานการนำเสนอเทคโนโลยีสุดล้ำ โดยแบ่งออกเป็น 4 โซน ประกอบไปด้วย 

บุษยา สถิรพิพัฒน์กุล ผู้บริหารหน่วยธุรกิจดูแลลูกค้าและสิทธิประโยชน์ เอไอเอส

1.VR Experience สัมผัสประสบการณ์คอนเทนต์เสมือนจริงผ่านอุปกรณ์ AIS VR 4K และ AIS PLAY VR (Drop In) 

2. Smart Living ของมันต้องมีสำหรับคนยุคใหม่ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

3. Smart Entertainment อุปกรณ์เพื่อความบันเทิงจากแบรนด์ดัง กับ ความสุข สนุก ได้ทุกที่ทุกเวลา

4. Smart Lifestyle เสริมวิถี Digital Urban Lifestyle ด้วยอุปกรณ์ IoT ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์ Smart Health ที่ให้คุณเช็คสุขภาพได้แม้อยู่ที่บ้าน พลิกโฉมที่พักอาศัยด้วยอุปกรณ์ Smart Home หรืออัปเกรดรถยนต์ให้เป็น Smart Car ให้ชีวิตสะดวกสบาย ปลอดภัยยิ่งขึ้น

พร้อมเปิดตัว MAX หุ่นยนต์ AI อัจฉริยะที่จะมาปฏิบัติหน้าที่ Serenade Ambassador ของเซเรเนดคลับ ทำหน้าที่ต้อนรับลูกค้า โดย MAX ใช้เทคโนโลยี Natural Human-Robot Interaction เพื่อให้มีความเป็นธรรมชาติในการโต้ตอบ พูดคุย การแสดงความรู้สึกผ่านสีหน้า  นอกจากนี้ยังมี Exclusive Offer แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตสุดพิเศษที่มีเฉพาะการสมัครผ่าน MAX  เท่านั้น รวมถึงสามารถแนะนำโปรเด็ด ร้านดัง พร้อมส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าเซเรเนดได้อีกด้วย

AIS Serenade ยังได้ร่วมกับคุณ เศรษฐพร ก่อวาณิชกุล หรือที่รู้จักกันในนาม Painterbell นำเสนอ Concept “Digital Urban Lifestyle” ผ่าน Characters หลัก John & Lulu ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของลูกค้า AIS Serenade ที่มีชีวิตดิจิทัลในยุค 5G ด้วยคำแนะนำและการช่วยเหลือของน้องอุ่นใจ ตัวแทนของ AIS   ผ่านคลิป VDO ‘Touch the Future’ ที่นำเสนอเรื่องราวชีวิตล้ำๆ ที่เราสัมผัสได้จริงแล้ววันนี้    นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ลูกค้า AIS Serenade ได้ถ่ายรูปร่วมกับ  AR  John & Lulu ได้ที่ Serenade Club Flagship Store สาขา Central World อีกด้วย

ซีพีเอฟ ติดอันดับ ESG100 สี่ปีซ้อน ตอกย้ำดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ

0

ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ เปิดเผยว่า การที่ ซีพีเอฟ ได้รับการจัดอันดับอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG 100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 สะท้อนให้เห็นว่า ซีพีเอฟได้ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และมีการดำเนินงานที่คำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ด้วยปรัชญา 3 ประโยชน์ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กร ชุมชน สิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับประเทศและสากล

ซีพีเอฟ ได้รับการจัดอันดับโดยสถาบันไทยพัฒน์ ให้เป็น 1 ใน 100 หลักทรัพย์จดทะเบียน หรือ ESG 100 ประจำปี 2563 ตอกย้ำการขับเคลื่อนธุรกิจโดยคำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG) เช่น การจัดการด้านพลังงานและทรัพยากรน้ำ ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความปลอดภัยทางอาหาร โภชนาการ และสุขภาพ รวมถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมของโซ่อุปทาน สะท้อนความชัดเจนของนโยบายบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจตามวิถียั่งยืน

ารจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจนี้ ช่วยรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนไม่ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป

ด้าน นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทมีความภาคภูมิใจที่ได้ทำกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อส่วนรวม ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้หลักการ ESG ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญา 3 ประโยชน์ คือ ประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท โดยมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืนระดับสากล สอดคล้องกับเป้าหมายความการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) เพื่อสร้างสมดุลการดำเนินธุรกิจในมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม โดยยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

“ซีพีเอฟ เชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนองค์กรโดยยึดหลักการ ESG เป็นพื้นฐานสำคัญ ที่นำมาซึ่งความไว้วางใจ ความสามารถในการแข่งขัน ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ รวมถึงบริษัทฯ ในระยะยาว ขณะเดียวกันจะสามารถตอบสนองคุณค่าที่ดีให้กับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน” นายประสิทธิ์ กล่าว

นทุกธุรกิจของ ซีพีเอฟ มีการจัดกิจกรรมอย่างเหมาะสมทั้งการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม การช่วยเหลือและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนรอบสถานประกอบการอย่างรับผิดชอบ เช่น โครงการ ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,388 ไร่ และโครงการ ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง เพิ่มพื้นที่ป่า 6,000 ไร่

ในวันเดียวกัน นายประสิทธิ์ ยังได้เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล “3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน ประจำปี 2562” (CPF CSR Awards 2019) ให้กับพนักงานของสายธุรกิจต่างๆ ที่นำปรัชญา 3 ประโยชน์ ภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลัก อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน ดินน้ำป่าคงอยู่ ไปสู่การปฏิบัติทั่วทั้งองค์กร ตลอดจนสนับสนุนการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมสู่ความยั่งยืนและสามารถเป็นต้นแบบให้กับสายธุรกิจอื่นๆ นำไปปฏิบัติ เพื่อสร้างพื้นฐานทางธุรกิจให้แข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในสังคม

ซี.พี.กัมพูชา ร่วมมอบสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในกัมพูชา

0

นายปัญญรักษ์ พูลทรัพย์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และ บริษัท ซี.พี.กัมพูชา จำกัด นำโดยนายปรีดา จุลวงษ์ รองประธานกรรมการ ผู้แทนบริษัทฯ เข้าร่วมมอบเครื่องอุปโภคบริโภค ให้แก่คณะกรรมาธิการบริหารจัดการภัยพิบัติแห่งชาติกัมพูชา

เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยใน 19 จังหวัดของกัมพูชา โดยมีนายฮอง ซาเมือน รองประธานคณะกรรมาธิการบริหารจัดการภัยพิบัติแห่งชาติกัมพูชาและที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นผู้แทนรับมอบ ณ ศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

แม็คโคร จับมือ เดซแพค ตัวช่วยพัฒนาแบรนด์และบรรจุภัณฑ์ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มครบวงจร

0

นาย ยุทธนา เพียงสุนทร รองผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารสินค้าอุปโภค บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO เปิดเผยว่า แม็คโครและเดซแพค ได้ร่วมมือกันเพื่อสร้างทางเลือกให้แก่ลูกค้าผู้ประกอบธุรกิจอาหารแบบ One Stop Solutions ในการบริหารต้นทุน และสร้างความแข็งแกร่งให้แบรนด์ ผ่านบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบ-พิมพ์โลโก้ อย่างสวยงาม โดยไม่จำกัดจำนวนการพิมพ์ เป็นการพัฒนาและยกระดับแบรนด์อย่างคุ้มค่า 

ที่ผ่านมา แม็คโครได้รับความไว้วางใจจากผู้ประกอบธุรกิจโฮเรก้า ผู้ที่อยู่ในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ทุกขนาดกว่า 200,000 ร้านทั่วประเทศ นอกเหนือจากความรู้ในการประกอบอาหาร ฝีมือ และการบริหารจัดการร้านที่มีประสิทธิภาพแล้ว โดยผู้ประกอบการกลุ่มนี้ต้องการตัวช่วยในการพัฒนาแบรนด์ และบรรจุภัณฑ์ เพื่อสร้างความโดดเด่นแก่ร้านค้าและผลิตภัณฑ์ ให้สามารถยืนหยัดได้ท่ามกลางกระแสการค้าและบริการแบบ New Normal ภายใต้ข้อจำกัดด้านต้นทุน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลวิจัยว่าตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่มีอัตราการเจริญเติบโต ประมาณ 10-15% อย่างต่อเนื่อง

นาย ปฐมพงศ์ ดีปัญญา Chief Executive Officer, Dezpax กล่าวว่า เดซแพค เป็นสตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญด้านแพ็กเกจจิ้งโซลูชัน (Packaging Solutions) สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม โดยเห็นถึงความสำคัญของการสร้างแบรนด์และเพิ่มมูลค่าผ่านบรรจุภัณฑ์ รวมถึงเข้าใจเรื่องต้นทุนของผู้ประกอบการร้านอาหารและฟู๊ดเดลิเวอรีทั้งด้านเงินและเวลาในสภาวะที่ตลาด มีการแข่งขันสูง

บริษัทจึงได้พัฒนาโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจรบนระบบออนไลน์ ด้วยการนำเสนอบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพและหลากหลาย ให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับอาหารและเครื่องดื่มแต่ละประเภท พร้อมบริการพิมพ์ตกแต่งบรรจุภัณฑ์ด้วยโลโก้ของร้านผ่านแพลตฟอร์ม www.dezpax.com ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวก ลดเวลาและต้นทุนในการเลือกและสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์ทำให้ผู้ประกอบการมีเวลาไปบริหารจัดการในส่วนอื่นๆ ได้มากขึ้น

ด้านนาย ประกิจ วรวัฒนนนท์ Head of Startup Studio, ZERO TO ONE by SCG กล่าวว่า เดซแพค เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพจากโครงการ Internal Startup ของเอสซีจี ที่มีความพร้อมในการให้บริการสำหรับลูกค้าผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศ ซึ่งเอสซีจีได้เริ่มนำแนวคิดและวิธีการทำงานของสตาร์ทอัพมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตในรูปแบบใหม่ได้เร็วยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จึงได้จัดตั้งสตาร์ทอัพสตูดิโอภายใต้ชื่อ ZERO TO ONE by SCG และเปิดรับพนักงานเข้าร่วมโครงการ โดยเน้นการสร้างธุรกิจในรูปแบบสตาร์ทอัพขึ้นมาจากไอเดียใหม่ๆ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงระยะที่เน้นการขยายฐานลูกค้า โดยสตาร์ทอัพสตูดิโอได้รวบรวมความรู้ กระบวนการทำงาน รวมถึงแนวทางการวัดผลที่เหมาะสมมาปรับใช้กับสตาร์ทอัพในระยะต่างๆ ซึ่งเดซแพคเองก็ถือเป็นสตาร์ทอัพที่มีการเติบโตดีมาก อยู่ในระยะของการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น

Money Expo 2020 ทำเงินสะพัด 4.5 หมื่นล้านบาท

0

งานมหกรรมการเงิน Money Expo ครั้งที่ 20 ซึ่งจัดโดย วารสารการเงินธนาคารวันที่ 22-25 ตุลาคมที่ผ่านมา แบงก์/นอนแบงก์/ประกันแข่งโปรโมชั่นเดือดฉลอง Money Expo ครบรอบ 20 ปี สร้างยอดธุรกรรมออฟไลน์และออนไลน์รวมกว่า 45,200 ล้านบาท  โปรฯ ดอกเบี้ยพิเศษหนุนสินเชื่อบ้าน/    รีไฟแนนซ์บ้านพุ่งอันดับ 1 มียอดขอกู้ 30,500 ล้านบาท ผู้ประกอบการขอสินเชื่อเอสเอ็มอีดอกเบี้ยต่ำ  1-4% กว่า 9,200 ล้านบาท ประชาชนสนใจซื้อประกันชีวิต/ประกันภัย/ประกันสุขภาพรวมทุนประกัน 2,000  ล้านบาท  แคมเปญเงินฝากดอกเบี้ยสูง/ลุ้นโชคสลากออมทรัพย์ดันยอดรวมกว่า 1,100 ล้านบาท

นางสาวภาคนี วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงานร่วมงานมหกรรมการเงิน Money Expo เปิดเผยว่า งานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 20 Money Expo 2020 ซึ่งจัดขึ้นในแนวคิด “Wealth Being” ระหว่างวันที่  22-25 ตุลาคม 2563 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ประสบความสำเร็จอีกครั้งท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของไวรัส   โควิด-19 และความไม่สงบทางการเมืองในประเทศ โดยธนาคาร สถาบันการเงิน บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันภัย บริษัทประกันสุขภาพ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่เข้าร่วมงานได้แข่งขันกันนำเสนอโปรโมชั่นพิเศษเพื่อร่วมฉลองครบรอบ 20 ปีของการจัดงานมหกรรมการเงิน Money Expo ส่งผลให้มียอดธุรกรรมทางการเงินและการลงทุนทั้งแบบออฟไลน์ที่เดินทางมาใช้บริการในงาน และแบบออนไลน์ที่ทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์ม MoneyExpoOnline  รวมกว่า 45,200 ล้านบาท จากผู้สมัครใช้บริการกว่า 50,000 ราย

ยอดธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงเป็นดับ 1 คือ สินเชื่อบ้านและรีไฟแนนซ์บ้าน  วงเงินกู้รวมกว่า 30,500 ล้านบาท รองลงมา คือ สินเชื่อเอสเอ็มอี รวมวงเงินกู้และยอดค้ำประกันสินเชื่อกว่า 9,200 ล้านบาท 

อันดับ 3 คือ ประกันชีวิต/ประกันภัยและแบงก์แอสชัวรันส์ คิดเป็นทุนประกันรวม 2,000  ล้านบาท แบบประกันที่ได้รับความนิยมคือ แบบประกันสะสมทรัพย์ระยะสั้นถึงปานกลาง  โดยได้รับผลตอบแทนประมาณ 6% ภายใน 3-5 ปี  รวมทั้งประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) และโรคร้ายแรงก็ได้รับความสนใจมากเช่นเดียวกัน  นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวแบบประกันใหม่ภายในงาน ได้แก่  บมจ.ทิพยประกันภัย (TIP)  เปิดตัวประกันยุคดิจิทัล “TIP PERSONAL Cyber” คุ้มครองนักช้อปออนไลน์ครั้งแรกของประเทศไทย จ่ายเบี้ยประกันเริ่มต้น 299 บาท คุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท

และ ยอดเงินฝาก/สลากออมทรัพย์และพันธบัตร สูงเป็นอันดับ 4 รวมวงเงินกว่า 1,100  ล้านบาท  จากโปรโมชั่นเงินฝากดอกเบี้ยสูงภายในงาน  รวมทั้ง สลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน ออม 20 ลุ้นหยิบ 2 ล้าน ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)  และสลากออมทรัพย์ชุด “เกล็ดดาว” ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท  ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)

ปีนี้มีผู้สมัครบัตรเครดิตกว่า 9,180  ราย วงเงินกู้ 1,090 ล้านบาท และสินเชื่อบุคคลมีผู้สมัครใช้บริการกว่า 5,000  ราย รวมวงเงินกู้ 680  ล้านบาท นอกจากนี้สำหรับบุคคลที่มีอาชีพค้าขาย ประกอบอาชีพอิสระ และผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้รายได้ลดลงหรือขาดรายได้  ธนาคารออมสินยังมีสินเชื่อเสริมพลังฐานรากที่ให้วงเงินกู้สูงสุดรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน (Flat Rate) ระยะเวลาผ่อนชำระเงินกู้ไม่เกิน 3 ปี  ซึ่งไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน และยังปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนแรก

สำหรับบริการทางการเงินการลงทุนอื่นๆ ในงานก็มีผู้ลงทุนและสมัครใช้บริการเป็นจำนวนมาก เช่น การลงทุนซื้อกองทุนรวม 130 ล้านบาท และการเปิดบัญชีหุ้น-อนุพันธุ์/ซื้อขายทองคำรวมกว่า 1,100  ราย

งานมหกรรมการเงินในปีนี้ ยังมีอีก 3 งาน  คือ งานมหกรรมการเงินเชียงใหม่ ครั้งที่ 15          จ.เชียงใหม่ วันที่ 6-8 พฤศจิกายน 2563 ณ ห้องเชียงใหม่ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่แอร์พอร์ต, งานมหกรรมการเงินหาดใหญ่ ครั้งที่ 10 จ.สงขลา วันที่ 13-15 พฤศจิกายน 2563 ณ หาดใหญ่ฮอลล์ ศูนย์การค้า เซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่   ปิดท้ายด้วยงานมหกรรมการเงินส่งท้ายปี ครั้งที่ 4 กรุงเทพฯ  วันที่ 17-20 ธันวาคม 2563 ณ ฮอลล์ EH103 – EH104 ศูนย์การประชุมและนิทรรศการ ไบเทค บางนา

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จับมือ AIS PLAY ถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีก ดูฟรีทุกเครือข่าย

0

บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จำกัด และ  เอไอเอส บรรลุข้อตกลงในการขายสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโตโยต้า ไทยลีก 2020 (T1) ผ่านระบบ OVER THE TOP (OTT) หรือการถ่ายทอดสดแบบสตรีมมิ่งให้แก่ AIS PLAY โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบสนองความต้องการของแฟนบอลยุค Tech savvy ที่ต้องการเข้าถึง content ต่างๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา

นายอลิสแตร์ เดวิดจอห์นสตั้น กรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจพัฒนาธุรกิจใหม่ เอไอเอส กล่าวว่า AIS PLAY  มุ่งมั่นที่จะสรรหาคอนเทนต์ที่ครบครัน และตอบโจทย์เพื่อลูกค้าและคนไทย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนเทนต์ด้านกีฬา ครั้งนี้รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งถือเป็นสโมสรชั้นนำระดับประเทศ ส่งมอบประสบการณ์การชมถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก แบบสดๆ และย้อนหลัง ให้คนไทยทุกเครือข่าย ทั้งประเทศสามารถร่วมเชียร์ และลุ้นแบบชิดติดขอบจอได้ตลอดการแข่งขันผ่านช่องทางทั้งหมดของ AIS PLAY

อลิสแตร์ เดวิดจอห์นสตั้น กรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจพัฒนาธุรกิจใหม่ เอไอเอส

ทั้งนี้ สามารถรับชมการแข่งขันทุกแมตช์ แบบสดๆ และย้อนหลัง ของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ที่ AIS PLAY ได้หลากหลายช่องทาง ทั้ง เว็บไซต์ aisplay.ais.co.th,กล่อง AIS PLAYBOX, APPLE TV และ Samsung Smart TV หรือแอปพลิเคชัน AIS PLAY บนมือถือ เพียงดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น AIS PLAY ผ่านช่องทาง Play Store สำหรับระบบปฏิบัติการ android และ App Store สำหรับระบบปฏิบัติการ iOS ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

กนกศักดิ์ ปิ่นแสง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จำกัด

นายกนกศักดิ์ ปิ่นแสง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จำกัด เปิดเผยว่า การมีเอไอเอส เข้ามาเป็นพันธมิตร จะทำให้สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีโอกาสในการเข้าถึงแฟนบอลได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทุกวันนี้จะเห็นได้ว่าทุกคนทำทุกอย่างผ่านมือถือ การเสพสื่อทั้งสาระ และสื่อที่ให้ความบันเทิง ต่างก็ผ่านมือถือทั้งสิ้น การที่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคในวันที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลแบบนี้ จึงเป็นสิ่งที่สโมสรให้ความสำคัญ โดยพยายามมองหาพันธมิตรที่มีความเข้าใจ และเห็นเป้าหมายเดียวกับเราในการพัฒนาประสบการณ์การรับชมการแข่งขันฟุตบอลให้ดียิ่งขึ้น ง่ายยิ่งขึ้น และไม่มีข้อจำกัดอะไรเลย ซึ่งแฟนบอลจะได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก จากการจับมือทำงานร่วมกันครั้งนี้

“สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ของเราคิดว่านอกเหนือจากการถ่ายทอดสดผ่านช่องทางฟรีทีวี ที่แฟนบอลสามารถรับชมได้ตามปกติแล้ว การรับชมการแข่งขันผ่านแอพพลิเคชั่น AIS PLAY ก็จะเป็นอีกทางเลือก ที่จะสามารถช่วยให้แฟนบอลเราที่มีอยู่ทั่วประเทศเข้าถึงสโมสรได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่องทางในขณะที่ทุกท่านยังอยู่นอกบ้าน ไม่ว่าจะกำลังเดินทาง หรือทำกิจกรรมอื่นๆ อยู่ ก็สามารถรับชมผ่านมือถือได้ทันที ทั้งง่าย ทั้งสะดวก ผมมั่นใจว่าประสบการณ์การรับชมฟุตบอลจะดีขึ้น ที่สำคัญแฟนบอลสามารถรับชมได้ไม่ว่าคุณจะใช้เครือข่ายไหน ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรให้ยุ่งยาก”