Home Blog

ออมสิน ตอบทุกความต้องการเรื่องบ้านด้วย “สินเชื่อเคหะ”

การมี “บ้าน” เป็นของตัวเอง นับเป็นความใฝ่ฝันของคนจำนวนไม่น้อย ซึ่งการจะเป็นจริงได้นั้น ต้องอาศัยความตั้งใจ ความอดทน และระยะเวลา เพราะบ้าน ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงสุดในชีวิต การตัดสินใจซื้อ หรือปลูกสร้างบ้าน ย่อมต้องเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่และสำคัญของชีวิตเลยทีเดียว อีกทั้ง การดูแลรักษา ซ่อมแซม และต่อเติมบ้านที่อยู่อาศัย ถือเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่สูงของเจ้าของบ้าน ทำให้ ต้องมีการวางแผนบริหารจัดการเงินให้ดี เพื่อไม่ให้กระทบกับการสถานะทางการเงิน จนเกิดเป็นปัญหาทางด้านการเงินตามมา

นับเป็นโอกาสดีของ เจ้าของบ้าน และคนรักบ้าน ที่ปัจจุบันนี้ได้รับประโยชน์จากเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ที่เข้ามาเป็นทางเลือก ช่วยทำให้ความต้องการมีบ้านเป็นของตัวเอง ตลอดจนการซ่อมแซม ต่อเติมบ้าน เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น

เช่นเดียวกับ “สินเชื่อเคหะ” ของธนาคารออมสิน ซึ่งเข้าใจคนรักบ้าน และตระหนักดีถึงภาระทางการเงินจากบ้าน จึงออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบครบทุกความต้องการเรื่องบ้าน โดยเป็นสินเชื่อบ้านที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการทั้งซื้อ / ปลูกสร้าง / ต่อเติมซ่อมแซม ด้วยเงื่อนไขพิเศษให้ผ่อนต่ำ ล้านละ 3,555 บาท/เดือน ระยะเวลานาน 6 เดือนแรก พร้อมอัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.140% (MRR-3.855%)

สำหรับผู้กู้ต้องมีคุณสมบัติ คือ มีอายุครบ 20 ปีขึ้นไป และเมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี ประกอบอาชีพและมีรายได้แน่นอน กรณีกู้ร่วมกับบุคคลอื่น มีเงื่อนไขเพิ่มเติม ดังนี้ คือ หากกู้ร่วมกับบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์เป็นคู่สมรส บุตร บิดา มารดา หรือ พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันทุกคนก็ได้ แต่หากกู้ร่วมกับบุคคลอื่นที่นอกเหนือจากข้างต้นแล้ว ต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันทุกคน

สามารถติดต่อยื่นกู้สินเชื่อเคหะได้แล้ว เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 15 ตุลาคม 2566 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาแล้วเสร็จ ภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/43Pd008 ติดต่อสอบถาม และสมัครขอสินเชื่อได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือทาง www.gsb.or.th

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 หรือติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th และ Facebook: GSB Society

รู้เก็บรู้ออม : ลงทุนหุ้น ESG แล้วได้อะไร!!

คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ลงทุน…สู่ความมั่งคั่ง” พูดถึงหุ้นยั่งยืน (ESG) มาแล้วหลายครั้ง จนถึงตอนนี้นักลงทุนน่าจะรู้จักหุ้นประเภทนี้เป็นอย่างดีแล้วว่า บริษัทจดทะเบียนที่เป็นเจ้าของหลักทรัพย์ หรือหุ้น ESG นี้ จะประกอบกิจการแบบไม่ได้มองแค่กำไรเป็นตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ต้องให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและหลักธรรมาภิบาล ด้วย

ทีนี้ หลายคนคงมีคำถามอยู่ในใจว่า นักลงทุนเอง เมื่อลงทุนก็ต้องหวังว่าจะได้เห็นหุ้นที่ตัวเองซื้อ ราคาปรับเพิ่มขึ้น จึงเกิดคำถามว่า การลงทุนในหุ้น ESG จะตอบโจทย์เรื่องผลตอบแทนหรือไม่ เพราะติดภาพว่า หุ้น ESG เป็นหุ้นโลกสวย ราคาหุ้นไม่หวือหวา

มีรายงานของฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทดลองจัดพอร์ตลงทุนหุ้นไทยในกลุ่ม ESG เพื่อศึกษาผลตอบแทนรวมสะสมย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2559-2564 พบว่า ให้ผลตอบแทนรวมสะสมถึง 51% และยังพบว่า หุ้นที่อยู่ในกลุ่มยั่งยืนนี้ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทในตลาดหุ้นไทยให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG มากขึ้น

เพราะการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน จะลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบด้านลบต่อผลการดำเนินงานด้านการเงินของบริษัท เมื่อความเสี่ยงลดลง นักลงทุนก็จะกล้าซื้อหุ้น ส่งผลให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น

เว็บไซต์ SETINVESTNOW โดยตลาดหลักทรัพย์ฯได้เผยแพร่บทความที่ตอกย้ำแนวคิดดังกล่าว โดยยกตัวอย่างหุ้นสองตัว คือ หุ้น CPF ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) อยู่ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และหุ้น CPN ของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง เพื่อให้แสดงตัวอย่างด้านผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมจากการลงทุนในหุ้น ESG

หุ้นทั้งสองตัวนี้มีชื่อติดอันดับรายชื่อหุ้นยั่งยืนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯประกาศทุกปี ทำให้เห็นได้ว่า ผู้ประกอบการต่างให้ความสำคัญกับประเด็น ESG อย่างมาก

ยิ่งให้ความสำคัญมากเท่าไร ก็ต้องมีความพยายามดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น เพื่อรักษามาตรฐาน และระดับความน่าเชื่อถือของธุรกิจตัวเอง

ยกตัวอย่างเช่น การให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของอาหารของ CPF, การจัดการของเสียจากการใช้งานอาคารที่ CPN ตั้งเป้าลดปริมาณขยะที่ส่งไปหลุมฝังกลบให้เท่ากับศูนย์, การลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่สิ่งแวดล้อม ที่ทั้งสองบริษัทกำหนดไว้เป็นนโยบายเช่นกัน

นโยบายแต่ละเรื่องล้วนเป็นการลดความเสี่ยงที่ส่งผลต่อการสร้างรายได้ ตลอดจนผลดำเนินงานด้านการเงินของบริษัท นักลงทุนที่เลือกซื้อหุ้นกลุ่มนี้ จึงจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าจากการลงทุนแน่นอน

สำหรับผู้ที่อยากเรียนรู้แนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน สามารถเรียนฟรีกับ หลักสูตร “ถอดแนวคิดการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน” https://elearning.set.or.th/SETGroup/courses/534/info หรือดูรายชื่อหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment: THSI) ปีล่าสุด ได้ที่นี่ รายชื่อ Thailand Sustainability Investment (THSI) ปีล่าสุด.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โออาร์ เชิญร่วมงาน “Inclusive Growth Days empowered by OR” สร้างโอกาสเติบโตร่วมกันกับธุรกิจทุกขนาดและสตาร์ตอัป

โออาร์ เชิญชวนผู้ประกอบการธุรกิจทุกขนาด สตาร์ตอัป และผู้สนใจร่วมเส้นทางเติมเต็มโอกาสเพื่อการเติบโตไปด้วยกันในงานเสวนาและโชว์เคสธุรกิจครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี “Inclusive Growth Days empowered by OR” ระดม 50 ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักธุรกิจชั้นนำ ร่วมเจาะลึกโมเดลธุรกิจแห่งอนาคตที่จะมาช่วยต่อยอดการลงทุน ผู้เชี่ยวชาญวงการสตาร์ตอัปมาไขรหัสแห่งความสำเร็จ พร้อมทั้งการจัดแสดงสินค้า นวัตกรรม และเทคโนโลยีจากพันธมิตรของ โออาร์ ที่จะยกระดับธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมโอกาสในการสรรหาพันธมิตร สร้างเครือข่ายทางธุรกิจ เพื่อร่วมเติมเต็มศักยภาพและก้าวสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน เพลิดเพลินกับการชอปปิงสินค้าไทยเด็ด อิ่มอร่อยกับอาหารและเครื่องดื่มจากร้านค้าและแบรนด์ชั้นนำ รวมถึงความบันเทิงจากศิลปินนักร้อง นักแสดงชั้นนำ และแขกรับเชิญเซเลบริตี้มากมาย ตั้งแต่วันที่ 22 – 24 กรกฎาคม 2565 ที่ ชั้น 22 บางกอก คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีที่ https://www.zipeventapp.com/e/Inclusive-Growth-Days

จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ โออาร์

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ กล่าวว่า “โออาร์ ได้เดินหน้าวิสัยทัศน์ใหม่ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน” ด้วยความเชื่อว่า ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของโลก องค์กรธุรกิจต้องปรับตัวและพลิกโฉม นำโมเดลทางธุรกิจและนวัตกรรมใหม่มาใช้ และประสานความร่วมมือกัน เพื่อเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมที่จะส่งเสริมผู้คนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างสรรค์ชุมชนที่น่าอยู่ และรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยังคงอุดมสมบูรณ์สำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต เราจึงจัดงาน “Inclusive Growth Days empowered by OR” ขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะขับเคลื่อนโอกาสและสร้างแรงบันดาลใจในการดำเนินธุรกิจสู่อนาคต ผู้ประกอบการธุรกิจทุกรูปแบบ ทุกขนาด ทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ รวมถึงสตาร์ตอัป จะได้รับประโยชน์โดยตรงเมื่อมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ รวมถึงมองหาพันธมิตรและช่องทางธุรกิจ ตลอดจนสร้างความร่วมมือซึ่งกันและกันระหว่างธุรกิจต่าง ๆ”

“คุณค่าและสาระประโยชน์จากเวทีเสวนาและโชว์เคสครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นได้ ด้วยความร่วมมือร่วมใจจากผู้บริหารจากองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลอดจนนักธุรกิจและผู้บริหารองค์กรธุรกิจชั้นนำจากหลากหลายภาคอุตสาหกรรม รวมกว่า 50 ท่าน ที่ให้เกียรติมาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ แลกเปลี่ยนมุมมอง และประสบการณ์ ด้วยความตระหนักดีว่า การดำเนินธุรกิจแบบเดิมที่มุ่งเน้นเพียงการแสวงหาผลกำไร ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ในระยะยาวอย่างยั่งยืน ถึงเวลาแล้วที่เราจะมาร่วมสร้างโอกาสให้ทุกคนในสังคมเติบโตร่วมกันแบบ Inclusive Growth” นางสาวจิราพร กล่าวเสริม

นอกเหนือจากสร้างโอกาสให้ทุกคนในสังคมเติบโตร่วมกันแบบ Inclusive Growth ไฮไลต์ของงานเสวนา สอดคล้องกับพันธกิจทั้ง 4 ของ โออาร์ ประกอบด้วย
Seamless Mobility – EV พลิกโฉมธุรกิจพลังงานและการเคลื่อนที่อย่างไร้รอยต่อ
All Lifestyles – ตอบโจทย์ทางเลือกการใช้ชีวิตในอนาคต ทั้งอาหาร สุขภาพ และการท่องเที่ยว รวมถึงช็อปผลิตภัณฑ์ชุมชนจากโครงการไทยเด็ดทั่วประเทศ
Global Market – โอกาสของธุรกิจไทยในต่างแดน และหลากหลายสูตรสำเร็จเพื่อการเติบโตในต่างประเทศ รวมถึงเคล็ดวิชาของ Café Amazon และ PTT Station ในตลาดโลก
OR Innovation – นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน สร้างตลาดใหม่ด้วยการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม ไขรหัสความสำเร็จของ Flash Express สตาร์ทอัประดับยูนิคอร์นรายแรกของไทย และอีกหลากหลาย Solution ล้ำยุค

โออาร์ ทุ่มเทความตั้งใจจัดงานนี้เพื่อให้ผู้เข้าชมงาน ทั้งนักธุรกิจ นักลงทุน พนักงาน ตลอดจนประชาชนทั่วไปได้เห็นถึงโมเดลทางธุรกิจแห่งอนาคต ที่จะต้องสานพลังและประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อการเติบโตแบบ Inclusive และยังมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมจากพันธมิตรของ OR ทั้งตัวแทนจำหน่าย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สตาร์ทอัป และ แบรนด์ต่าง ๆ รวมกว่า 100 บูธ ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีด้านยานยนต์ไฟฟ้า นวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตในโลกยุคใหม่ ผลิตภัณฑ์และสินค้าอาหารจากธุรกิจในเครือและพันธมิตรของ OR และ Café Amazon ผลิตภัณฑ์และอาหารจากโครงการไทยเด็ด และเพลิดเพลินกับเครื่องดื่มหลากหลายจาก Café Amazon ที่มาจำลองบรรยากาศ Green Oasis ขึ้นภายในงาน รวมถึงเมนูพิเศษที่มีจำหน่ายเฉพาะ Café Amazon ในต่างประเทศเท่านั้น พร้อมมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง อาทิ นนท์ ธนนท์, เอ๊ะ จิรากร, เจ๋ง บิ๊กแอส,โต้ง ทูพี และกิจกรรมสนุกสนานจากดารา นักแสดง และแขกรับเชิญเซเล็บคนดังมากมายที่มาร่วมงาน อาทิ ไบร์ท นรภัทร, ตรี ภรภัทร, ฟิล์ม ธนภัทร, ตงตง กฤษกร, เน๋ง ศรัณย์, กระทิง ขุนณรงค์, ภณ ณวัสน์

สำหรับหัวข้อการบรรยายและการเสวนาบนเวทีที่น่าสนใจ ประกอบด้วย

Start-Up Sharing Session: 22 กรกฎาคม 2565 เวลา 10:00 น. – 12:30 น.
• แนะนำธุรกิจ โดย 11 สตาร์ทอัปและธุรกิจร่วมลงทุน (VC) ที่มาร่วมงาน

Inclusive Growth Theme: 22 กรกฎาคม 2565 เวลา 13:00 น. – 17:30 น.
• กล่าวเปิดงานในหัวข้อ “Inclusive Growth ทิศทางธุรกิจแห่งอนาคต” โดย จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR
• “Inclusive Economy ก้าวต่อไปของเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจที่เติบโตร่วมกับสังคม” โดย ดนุชา พิชยนันน์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
• “Inclusive Business Model โมเดลธุรกิจแห่งอนาคต โมเดลธุรกิจที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ดร. ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย จำกัด และ จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR
• “Inclusive Finance โมเดลการเงินแห่งอนาคต เพื่อการเติบโตร่วมกัน” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ธนา โพธิกําจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด และ ดร.สันติธาร เสถียรไทย ประธานทีมเศรษฐกิจ (Group Chief Economist) และกรรมการผู้จัดการ ซีกรุ๊ป
• ปิดท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก เอ๊ะ-จิรากร สมพิทักษ์

Seamless Mobility Theme: 23 กรกฎาคม 2565 เวลา 9:00 – 14:00 น.
• “From Gas to Green พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค วรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) สมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน OR
• “The World of EV ยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อโลกเพื่อเรา” โดย รศ.ดร. ยศพงษ์ ลออนวล หัวหน้าศูนย์วิจัย Mobility and Vehicle Technology Research Center (MOVE) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และ นายกสมาคมกิตติมศักดิ์ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย
• “EV Moments ช่วงเวลาที่ดีต่อใจ ดีต่อโลก” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ศิวภูมิ เลิศสรรค์ศรัญย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาร์ซัม (ประเทศไทย) จำกัด เอกชัย ยิ้มสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด และวริศร เรียงประยูร กรรมการผู้จัดการ เอ มอเตอร์ส กรุ๊ป
• “The World of Seamless Mobility โลกแห่งการเคลื่อนที่อย่างไร้รอยต่อ” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย ประธานกรรมการ บริษัท ขอนแก่นพัฒนาเมือง จำกัด (เคเคทีที) พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ธารินี สุทธิปริญญานนท์ นายกสมาคมการค้าผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมันพลังไทย PTT และบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน OR
• พักครึ่งด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก นนท์ – ธนนท์ จำเริญ

All Lifestyles Theme: 23 กรกฎาคม 2565 เวลา 14:00 – 16:30 น.
• “Taste of Happiness รสชาติแห่งความสุข” โดย ฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการบริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์กรุ๊ป จํากัด (มหาชน)
• “Wellness Destination จุดหมายที่ร่างกายได้ยิ้ม” โดย ฐิติพัฒน์ ศุภภัทรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธัญ-ออริซ่า จำกัด ผู้ก่อตั้ง THANN Wellness Destination
• “Beyond Food มากกว่าอาหารแต่คือสุขภาพที่ดีขึ้น” ร่วมเสวนาโดย ชลากร เอกชัยพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (โอ้กะจู๋) กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด แดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) และสมยศ คงประเวช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจไลฟ์สไตล์ OR
• “All Lifestyles for Good Health ตอบโจทย์การใช้ชีวิตกับสุขภาพดีที่คุณเลือกได้” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย นพ. ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก วสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) วิภาวี วงศ์สิริศักดิ์ CCO และผู้ร่วมก่อตั้งโกวาบิ และ นพ. สุทธิชัย โชคกิจชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท กู๊ด ด็อกเตอร์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย)

Global Market Theme: 24 กรกฎาคม 2565 เวลา 9:00 – 13:30 น.
• “Borderless Fashion แฟชั่นไร้พรมแดน” โดยเดวิด โจว ประธานกรรมการบริหาร (ซีอีโอ) และผู้ร่วมก่อตั้ง โพเมโล แฟชั่น
• “Thai Brands to Global Market สร้างแบรนด์ไทยสู่แบรนด์โลก” โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) วีรพลน์ เตชะผาสุขสันติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด และรชา อุทัยจันทร์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจต่างประเทศ OR
• “Thai Business in Global Arena ธุรกิจไทยไม่แพ้ใครในเวทีโลก” โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย กฤษฎา มนเทียรวิเชียรฉาย รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มมิตรผล ดร. เกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด และชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด
• “Global Opportunities for Thai Businesses โอกาสการเติบโตของธุรกิจไทยในต่างแดน” โดย สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
• พักครึ่งด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก เจ๋ง-เดชา โคนาโล และทูพี-พิทวัส พฤกษกิจ

New Innovation Theme: 24 กรกฎาคม 2565 เวลา 13:30 – 17:00 น.
• “Impact Innovation สตาร์ตอัปยุคต่อไป สร้างตลาดใหม่โดยแก้ปัญหาสังคม และสิ่งแวดล้อม” โดย กระทิง พูนผล ผู้ก่อตั้งกองทุน 500 TukTuks และผู้บริหารกองทุน ORZON Ventures
• การสัมภาษณ์พิเศษ “The Journey of Thailand’s 1st Unicorn กว่าจะเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของเมืองไทย” คมสันต์ ลี ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจแฟลช (โดยรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จํากัด ผู้ก่อตั้งเพจ Mission to the Moon เป็นผู้สัมภาษณ์)
• “Technology for a Sustainable Future เทคโนโลยีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ธีระ กนกกาญจนรัตน์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรินแคร์ จำกัด ธมลวรรณ วิโรจน์ชัยยันต์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มอร์ลูป จำกัด แซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด และ นพ. ศุภชัย ปาจริยานนท์ กรรมการ บริษัท ไรส์ อินโนเวชั่น ฮับ จำกัด
• “New Innovation toward Sustainable Society นวัตกรรมสู่สังคมที่ยั่งยืน” โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย พงษ์ลดา พะเนียงเวทย์ ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง เฟรชเก็ต สมศักดิ์ บุญคำ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Local Alike หลุยส์ อัลบาน บาทาร์ด ดูเปร ผู้ก่อตั้งแอพพลิเคชั่น “ยินดี (Yindii) และราชสุดา รังสิยากูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการโครงการ ORion
• ปิดท้ายด้วย “Together toward Inclusive Growth เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน” โดยจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR

ออมสิน รับปีขาล ออก “สลากออมสินดิจิทัล 1 ปี ฉลองปีใหม่ 2565” ลุ้นรางวัลใหญ่ 1 ล้าน รวม 20 รางวัล

ธนาคารออมสิน ต้อนรับปีขาล มอบของขวัญปีใหม่ 2565 ให้ลูกค้าสุดพิเศษ!

ซื้อสลากออมสินดิจิทัล 1 ปี ผ่าน MyMo ได้ลุ้นโชคต่อที่ 2 เพิ่ม! รางวัลพิเศษ จำนวน 20 รางวัล ๆ ละ 1 ล้านบาท มูลค่ารวม 20 ล้านบาท

กำหนดออกรางวัล 2 ครั้ง
• ครั้งที่ 1 วันที่ 16 มีนาคม 2565 จำนวน 10 รางวัล รวม 10 ล้านบาท
• ครั้งที่ 2 วันที่ 16 เมษายน 2565 จำนวน 10 รางวัล รวม 10 ล้านบาท
(กำหนดงวดและหมวดอักษรของรางวัลพิเศษ ทั้ง 20 รางวัล)

เปิดรับฝากตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2564 – 15 มีนาคม 2565 (วงเงินรับฝาก 24,000 ล้านบาท)

หลักเกณฑ์รายละเอียด
ระยะเวลารับฝากตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป
ผู้มีสิทธิเปิดบัญชีบุคคลธรรมดา อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป
อายุ1 ปี (สิทธิการถูกรางวัล 12 ครั้ง)
ราคาต่อหน่วย20 บาท
รายละเอียดดอกเบี้ยฝากครบ 1 ปี ไม่ได้รับดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ยกรณีผิดเงื่อนไขการฝากฝากไม่ครบ 3 เดือน หักส่วนลด 0.50 บาทต่อหน่วย
วงเงินในการรับฝาก 1. สามารถเลือกทำรายการฝากตามจำนวนเงินที่กำหนดได้ ดังนี้ จำนวนเงิน 200 /400 /1,000 /2,000 /10,000 /20,000 /100,000 และ 200,000 บาท
2. สามารถระบุจำนวนเงินที่ต้องการฝากด้วยตนเองตั้งแต่ 1,000 บาท และสูงสุดไม่เกิน 10,000,000 บาท โดยระบุได้เฉพาะจำนวนเงินที่หารด้วย 1,000 ลงตัว
3. วงเงินการทำรายการสูงสุด 10,000,000 บาทต่อวัน (วงเงินรวมกับการโอนเงินภายในบัญชีตนเอง)4. ธนาคารไม่ออกใบสลากให้ แต่สามารถตรวจสอบรายการฝากได้ในบริการMobile Banking (MyMo)5. สามารถฝากเพิ่มในทะเบียนสลากเดิมได้โดยเป็นรายการฝากใหม่
ระยะเวลาจ่ายดอกเบี้ย
การออกรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน* หยุดจำหน่ายทุกวันที่ 16 ของเดือน *
การรับเงินรางวัลโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอนในวันถัดจากวันที่ออกรางวัล
เงื่อนไขหลัก1. ผู้ฝากต้องมีบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกเป็นบัญชีคู่โอนสำหรับรับโอนเงินต้นและดอกเบี้ยเมื่อสลากครบอายุ และเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝาก2. ต้องสมัครใช้บริการ Mobile Banking (MyMo) สำหรับทำรายการฝาก-ถอน ผ่านบริการ Mobile Banking (MyMo)3.  ไม่รับฝากบัญชีร่วมและบัญชีเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์
สลากครบอายุโอนเงินสลากครบอายุและดอกเบี้ย(ถ้ามี) เข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอน

สิทธิพิเศษของโครงการ 

ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2564 – 15 มีนาคม 2565
วงเงินโครงการ24,000 ล้านบาท
เงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ1.     ต้องเป็นผู้ฝากสลากออมสินดิจิทัล 1 ปี ในระหว่างวันที่ 17 ธันวาคม 2564 – 15 มีนาคม 2565 เท่านั้น
2.     ไม่จำกัดวงเงินรับฝากต่อราย
สิทธิพิเศษของโครงการเพิ่มรางวัลพิเศษ รางวัลละ 1 ล้านบาท จำนวน 20 รางวัล รวมเป็นเงินรางวัลทั้งสิ้น 20 ล้านบาท โดยกำหนดงวดและหมวดอักษรของรางวัลพิเศษ ทั้ง 20 รางวัล
การออกรางวัลพิเศษออกรางวัลจำนวน 2 ครั้งครั้งที่ 1 วันที่ 16 มีนาคม 2565 จำนวน 10 รางวัล รวม 10 ล้านบาทครั้งที่ 2 วันที่ 16 เมษายน 2565 จำนวน 10 รางวัล รวม 10 ล้านบาท
การรับเงินรางวัลพิเศษโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอน ในวันถัดจากวันที่ออกรางวัล

ดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ >https://bit.ly/3sAm4pW

OR สนับสนุนพื้นที่ใน พีทีที สเตชั่น 17 แห่ง ตั้งจุดกระจายยาเพื่อผู้ป่วยโควิด-19

ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด – 19 จำนวนมาก กระจายไปทั่วประเทศ  บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ได้เข้าไปมีบทบาทในการสนับสนุนโครงการ Primary Care Hub – “ComCOVID-19 – FM CoCare  ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง พริบตาคลินิกของสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี  โดยการสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบัน มีผู้ป่วยอยู่ในความดูแลของโครงการนี้ กว่า 20,000 ราย

OR จัดพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 17 แห่ง เป็นจุดกระจายยา เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ โออาร์ ยังมอบบัตรน้ำมัน พีทีที สเตชั่น พริวิเลจการ์ด มูลค่า 270,000 บาท เพื่อสนับสนุนดำเนินงานของไรเดอร์อาสาสมัคร จาก บริษัท ดิจิตอล อีร่า กรุ๊ป (UFU) ที่รับส่งยาให้กับผู้ป่วย

การจัดตั้งจุดกระจายยาในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ส่งกำลังใจ..สู้ไปด้วยกัน” #ORStayStrongTogether ซึ่ง OR ได้ดำเนินการช่วยเหลือหน่วยงานและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในหลากหลายรูปแบบมาอย่างต่อเนื่อง ร่วมส่งกำลังใจให้ทุกคนสามารถก้าวต่อไปได้ดีดังเดิม

OR ร่วมส่งกำลังใจ สู้โควิดไปด้วยกัน ผ่านกล่อง tOgetheR Box

ในวันที่หลายคนตั้งคำถามว่า เราจะผ่านพ้นวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ครั้งนี้ไปได้อย่างไร จำนวนผู้ติดเชื้อแตะระดับสูงสุดหรือยัง และจะลดลงเมื่อไหร่ วัคซีนป้องกันจะได้คิวฉีดวันไหน  เด็กจะได้ไปใช้ชีวิตวัยเรียนที่โรงเรียนได้เมื่อไร และ เราต้องอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ต้องทำงานอยู่กับบ้าน  ลดกิจกรรมนอกบ้าน  กันแบบนี้ไปอีกนานเท่าไร

ความจริงที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ คือ เราต้องอยู่กับสภาพเช่นนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง  และต้องอยู่อย่างมีความรับผิดชอบต่อคนรอบข้าง  สมาชิกครอบครัว และสังคม  เราต้องอยู่อย่างมีสติ  อยู่อย่างระแวดระวังแต่ไม่ใช่หวาดระแวงต่อกัน

แม้ว่า สถานการณ์โควิด-19 ระลอกนี้ จะสร้างความหวาดหวั่นใจให้กับผู้คนมากขึ้น  ตัวเลขการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 20,000 กว่าคนต่อวัน   ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดรายวัน จนถึงวันนี้ เราได้เห็นตัวเลข 300 กว่าคนแล้ว

จำนวนผู้ป่วยโควิดที่สูงมากขนาดนี้ มากกว่าเกินกว่าระบบการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล ทั้งจำนวนสถานพยาบาล  จำนวนบุคลากรทางการแพทย์ จะสามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง จึงทำให้ภาครัฐ ต้องออกแนวทางการรักษาตัวอยู่ที่บ้าน หรือ Home Isolation เพื่อแบ่งเบาภาระของด่านหน้า และรักษาให้ระบบสาธารณสุขของเรายังสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้

รูปแบบความช่วยเหลือที่จะได้ผลและรวดเร็ว  จึงต้องเป็นการส่งความช่วยเหลือแบบส่งตรงถึงมือผู้ป่วยที่รักษาตัวหรือกักอยู่ที่บ้าน   กระจายความช่วยเหลือผ่านหน่วยงานต่างๆ  เพื่อครอบคลุมจำนวนผู้ที่กำลังเดือดร้อน ให้ได้เข้าถึงความช่วยเหลือนั้นอย่างรวดเร็วและมากที่สุด

tOgetheR Box

จากแนวคิดดังกล่าวนี้ ทาง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR  จึงได้มีแนวคิดจัดทำ “tOgetheR Box”  ซึ่งเป็นชุดยาและเวชภัณฑ์ จำนวน 1.5 หมื่นกล่อง คิดเป็นมูลค่ารวม 7.5 ล้านบาท  โดยกระจายส่งมอบ “tOgetheR Box” ไปให้โรงพยาบาล และหน่วยงานอาสาต่างๆ เพื่อส่งต่อให้ผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้านต่อไป  ไม่ว่าจะเป็น สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง  กรมควบคุมโรค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กรมการแพทย์ โรงพยาบาลพระราม 9 กาญจนาภิเษก โรงพยาบาลธัญญารักษ์ จ.ปัตตานี โรงพยาบาลชัยบาดาล จ.ลพบุรี รวมไปถึงเพจ เราต้องรอด, อีจัน, โครงการตัวเล็ก ใจใหญ่ และ หมอแล็บแพนด้า

จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR

คุณ จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR  พูดถึงแนวคิดของการจัดทำกล่อง “tOgetheR Box”  ว่า  เกิดจากการที่ OR  ได้ริเริ่ม โครงการ ส่งกำลังใจ .. สู้ไปด้วยกัน #ORStayStrongTogether   เพื่อมอบความช่วยเหลือให้แก่หน่วยงานและชุมชนที่ประสบความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19   และต่อมา เมื่อภาครัฐมีนโยบายให้ผู้ป่วยโควิด- 19 ที่อาการไม่รุนแรง และสามารถให้แยกกักตัวที่บ้านได้  OR จึงได้จัดทำกล่อง “tOgetheR Box”  ซึ่งประกอบไปด้วย ปรอทวัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว ยาพาราเซตามอล ยาฟ้าทะลายโจร หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งระบบติดตามอาการสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของแต่ละหน่วยงาน เพื่อส่งมอบให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่ดูแลผู้ป่วยที่ต้องแยกกักตัวที่บ้าน

เริ่มแรก ได้มอบให้กับสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง เพื่อนำ “tOgetheR Box”  ไปมอบให้กับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ทราบผลจากการตรวจเชิงรุกของรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทาน (Express Analysis Mobile Unit) สำหรับใช้ดูแลรักษาตนเองที่บ้านขณะรอเตียง รวมทั้งช่วยเหลือชุมชนในพื้นที่คลองเตยและชุมชนที่ได้รับผลกระทบเป็นหน่วยงานแรก

นอกจากนี้ โออาร์  ได้ทยอยส่งมอบ “tOgetheR Box”  ให้กับโรงพยาบาล และหน่วยงานจิตอาสาต่าง ๆ ที่จะช่วยดูแลผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้านต่อไปโดยเร็ว

คุณ จิราพร  กล่าวอีกว่า  ก่อนหน้านี้  OR  ได้ส่งมอบความช่วยเหลือแก่ชุมชนและสังคมในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงินและสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ ให้กับทั้งหน่วยงานและชุมชนโดยเฉพาะชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีสถานประกอบการของ โออาร์ ตั้งอยู่, การจัดพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น พระราม 2 (ขาออก) เป็นจุดฉีดวัคซีน, การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนไปฉีดวัคซีน, การร่วมกับผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น บริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลในแต่ละจังหวัด  ทั้ง 77 จังหวัด

ตลอดจนการช่วยซื้อมังคุดจากเกษตรกรภาคใต้ที่ประสบปัญหาราคาสินค้าตกต่ำและล้นตลาด แล้วนำมามอบให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและศูนย์พักคอยของ กทม. รวมไปถึงเจ้าหน้าที่หน่วยงานจิตอาสาด่านหน้า   นอกจากนี้ OR ยังได้ช่วยเหลือคู่ค้า ลูกค้า ผู้แทนจำหน่าย และพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกคนสามารถผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกัน

จะเห็นได้ว่า ความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ที่ผ่านมา  OR ถือว่า เป็นภารกิจสำคัญที่สุดขององค์กร เพื่อแสดงถึงความมีส่วนร่วม และความรับผิดชอบต่อสังคม โดย OR ยังยืนยันที่จะเดินหน้าช่วยเหลือสังคมไทยต่อไป จนกว่าทุกคนจะกลับมายืนได้อย่างปลอดภัย และก้าวต่อไปได้ดีดังเดิม.

ตามติดภารกิจของกรมชลประทาน แก้ปัญหาภัยแล้งที่จ.ลพบุรี

ตามติดการแก้ปัญหาภัยแล้งของกรมชลประทาน กับ ปฏิบัติการเติมน้ำให้ลุ่มน้ำบางขามจังหวัดลพบุรี

ลุ่มน้ำบางขาม ที่หล่อเลี้ยงวิถีชุมชนหลายพื้นที่ ครอบคลุม ตำบลมหาสอน, ตำบลบางพึ่ง, ตำบลบ้านชี, ตำบลบางขาม อำเภอบ้านหมี่ และตำบลเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี หลังเกิดวิกฤตน้ำแห้งขอด จากปริมาณฝนตกน้อยและฝนทิ้งช่วง กรมชลประทาน จึงเร่งระดมนำเครื่องจักร เครื่องมือ ทำการสูบน้ำอย่างเร่งด่วน

พร้อมแจ้งให้ชาวบ้านรับรู้ถึงสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง ตามที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ กำชับให้แก้ปัญหาน้ำอุปโภคบริโภคให้มีเพียงพอ เป็นธรรม รวมถึงการรักษาระบบนิเวศ 

ส่วนภาคเกษตรกรรมให้ขอความร่วมมือชะลอการเพาะปลูกออกไปก่อน จนกว่าจะมีฝนตกในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ

กรมชลประทาน ยืนยันจะผลักดันการส่งน้ำไปสู่พื้นที่ปลายน้ำ รวมระยะทาง 47 กม. เพื่อให้ชาวบ้านได้รับการช่วยเหลืออย่างทั่วถึง ซึ่งหลังจากการเติมน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและการผลิตประปาของการประปาส่วนภูมิภาคได้แล้ว สำนักงานชลประทานที่ 10 จะเร่งดำเนินการตามแผนระยะยาว โดยจะทำการขุดลอกระยะทาง 14 กิโลเมตร กว้าง 40 เมตร ลึก 3 เมตร พร้อมจัดทำแก้มลิง 3 แห่ง

คาดการดำเนินการตามแผนงานทั้งเร่งด่วนและระยะยาว จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในลุ่มน้ำบางขามได้กว่า 2,000,000 ลูกบาศก์เมตร

เปิดตัวโครงการ AOM YOUNG สร้างวินัยการออมการลงทุนให้นศ.ที่กู้ยืมกยศ.

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ บลจ.กรุงไทย เปิดตัวโครงการ “AOM YOUNG” ส่งเสริมวินัยการออมการลงทุนด้วยกองทุนรวมแก่นักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ. ทั่วประเทศ เพื่อสร้างอนาคตที่ดีทางการเงิน รวมทั้งสามารถชำระเงินคืนกองทุนได้เมื่อครบกำหนด เปิดรับนักศึกษาร่วมโครงการ 28 มิถุนายน 2564

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการ “AOM YOUNG” เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ กยศ. และ บลจ.กรุงไทย เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ. มีการวางแผนเพื่อการออมและลงทุนอย่างต่อเนื่องผ่านกองทุนรวม เพื่อเสริมสร้างวินัยและความมั่นคงทางการเงิน โดยโครงการนี้ยังเป็นการต่อยอดความร่วมมือในการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินงานร่วมกับ กยศ. อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งการรณรงค์ให้เกิดวินัยการออมผ่านโครงการ “AOM YOUNG” จะช่วยสร้างประสบการณ์ให้นักศึกษามีความเข้าใจการลงทุนและรู้จักทางเลือกการออมที่ช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี มีเงินออมตั้งต้นพร้อมสำหรับเป้าหมายในอนาคต สอดคล้องกับพันธกิจของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการพัฒนาตลาดทุนเพื่อทุกคน

นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กล่าวว่า ปัจจุบันมีนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืม ได้รับความรู้ผ่านหลักสูตร e-Learning แล้วกว่า 560,000 ราย โครงการนี้จึงจะมาช่วยต่อยอดให้ผู้กู้ยืมที่มีความรู้ทางการเงินมีช่องทางในการออมเงินสม่ำเสมอได้อย่างเหมาะสม ซึ่งกองทุนเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติจริง จึงพร้อมสนับสนุนให้ผู้กู้ยืมได้เรียนรู้การลงทุนผ่านกองทุนรวมในรูปแบบการออมสม่ำเสมอขั้นต่ำ 100 บาทต่อเดือน โดยเริ่มจาก KTAM เป็นที่แรก ซึ่งนอกจากผู้กู้ยืมจะมีเงินเก็บและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นแล้ว ยังนับเป็นจำนวนชั่วโมงจิตสาธารณะได้อีกด้วย โดยกองทุนมุ่งหวังว่า โครงการ “AOM YOUNG” จะช่วยให้นักศึกษามีเครื่องมือทางการเงินที่ทำให้การเริ่มต้นออมเพื่อเป้าหมาย ในระยะยาวเป็นจริงได้ ตลอดจนสามารถนำเงินที่ออมได้มาชำระคืนเงินกู้ยืมให้กองทุนเมื่อถึงกำหนดต่อไป

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า KTAM มีความยินดีในการร่วมส่งเสริมวินัยการออมผ่านกองทุนรวมให้แก่นักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ. โดยจะส่งเสริมความรู้ด้านผลิตภัณฑ์การลงทุน เปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนให้กับตนเองได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ KTAM ยังได้คัดเลือกกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงในระดับต่ำถึงปานกลางให้ตรงกับวัตถุประสงค์ในการออมและเริ่มต้นลงทุนของนักศึกษา โดยมีกองทุนให้เลือกหลากหลายประเภทตามความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ได้แก่ 1) กองทุนตลาดเงิน: KTSS 2) กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น: KT-STPLUS ซึ่งนักศึกษาเริ่มต้นลงทุนขั้นต่ำได้เพียงเดือนละ 100 บาท ผ่านทาง บลจ.กรุงไทย หรือธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา ทั้งนี้ KTAM เชื่อมั่นว่าโครงการ “AOM YOUNG” จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้เยาวชนรุ่นใหม่เห็นความสำคัญของการออมตั้งแต่อายุยังน้อยได้มากขึ้นนักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ. ทุกสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ สามารถเริ่มต้นออมสม่ำเสมอผ่านโครงการ “AOM YOUNG” ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2564 โดยดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.setinvestnow.com, www.studentloan.or.th และ www.ktam.co.th

‘เจ้าสัวธนินท์’ ทุ่ม 200 ล้าน หนุนรพ.สนาม สู้โควิดรอบใหม่

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 วันนี้เป็นตัวเลขที่สูงสุดอีกวันหนึ่ง ที่มีผู้ติดเชื้อถึง 1,767 คน ทำให้ผู้ป่วยสะสมในโรงพยาบาลสูงถึง 13,568 ราย ซึ่งโรงพยาบาลก็เริ่มประสบปัญหาเตียงไม่เพียงพอ ปัจจุบันมีผู้ป่วยอยู่โรงพยาบาลสนาม 571 ราย ซึ่งต่อไปจะมีตัวเลขสูงมากขึ้น เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้เตรียมงบประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเรื่องโรงพยาบาลสนามของโรงพยาบาลต่างๆ โดยเน้นไปที่สิ่งที่ซีพีทำได้ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และเสริมอุปกรณ์การแพทย์ที่ขาด บริษัททุกบริษัทในเครือจะมาช่วยผนึกกำลังเพื่อช่วยเสริมบุคลากรทางการแพทย์ ที่เสียสละเป็นอย่างมาก โดยเริ่มต้นที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และต่อยอดไปยังโรงพยาบาลอื่นๆ อาทิ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลตำรวจ  โรงพยาบาลของทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ เป็นต้น

ตนเองมีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทั้งนี้ในฐานะที่เป็นคนไทย  และเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ดำเนินธุรกิจอยู่บนแผ่นดินไทยมาเป็นเวลา 100 ปี จึงตระหนักดีว่านี่คืออีกสถานการณ์หนึ่งที่สำคัญซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์จะต้องเข้ามาช่วยเหลือตามสรรพกำลังที่มีอยู่ และเห็นว่าการรับมือด้านสาธารณสุขมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง จึงร่วมมือกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดโรงพยาบาลสนาม เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 พร้อมกันนี้จะจัดส่งอาหารครบ 3 มื้อให้กับโรงพยาบาลสนามของรพ.จุฬาลงกรณ์ฯ รวมถึง Hospitel อีก 4 แห่งในความรับผิดชอบของรพ.จุฬาลงกรณ์ฯ และจะให้กลุ่มทรูจัด ไวไฟบริการฟรีในโรงพยาบาลสนามของจุฬาลงกรณ์ที่จะเปิดใหม่นี้ด้วย  และหากรัฐบาลเปิดให้เอกชนนำเข้าวัคซีนมาฉีดให้กับพนักงาน ก็จะถือว่าเป็นการลดภาระภาครัฐ โดยเอกชนออกค่าใช้จ่ายในการดูแลจัดหาวัคซีนสำหรับพนักงาน ถือเป็นอีกแนวทางหนึ่ง ทั้งนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องคนไทยจะก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย

นายธนินท์ กล่าวอีกว่า เชื่อมั่นว่าคนไทยและประเทศไทยจะฝ่าวิกฤตโควิด-19 นี้ไปได้อย่างแน่นอน ขอเพียงทุกคนและทุกภาคส่วนร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกันตามกำลังความสามารถ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเราจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ในเร็ววันนี้

ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผอ.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยกล่าวว่า ตอนนี้สถานการณ์รุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง  คนไข้มีจำนวนมากขึ้น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้เตรียมการโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับบุคลากร และนิสิตที่มีการติดเชื้อรวมถึงการเปิดให้กับผู้ป่วยต่อไปด้วย เพื่อให้ผู้ป่วยอาการปานกลางและอาการหนัก มีพื้นที่เพียงพอในโรงพยาบาล ทั้งนี้ต้องขอบคุณท่านประธานธนินท์ และบริษัทในเครือซีพี ที่เป็นองค์กรเอกชนที่มีความตั้งใจดี ในการเข้ามาสนับสนุนดำเนินโครงการทั้งเรื่องโรงพยาบาลสนาม และ Hospitel ให้ประสบความสำเร็จและผ่านวิกฤตไปด้วยกัน

ศ.ดร.นพ.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนายการโรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ฯ  กล่าวว่า สถานการณ์ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น มีแนวโน้มที่โรงพยาบาลจะรองรับได้ไม่ครบถ้วน ทำให้โรงพยาบาลได้ประชุมเพื่อร่วมกันต่อสู้กับวิกฤตโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ โดยจับมือกันเปิดโรงพยาบาลสนามเพื่อช่วยรักษาผู้ป่วยโควิด-19 โดยจะเริ่มให้บริการได้ในสัปดาห์หน้า

คนใช้รถเฮ โออาร์ประกาศไม่ขึ้นราคาน้ำมัน เป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ โออาร์ จัดแคมเปญ “โออาร์สร้าง ความ สุข” มอบของขวัญให้แก่ผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการร้านค้าในเครือโออาร์ โดย สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น จะไม่ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดตลอด 9 วันในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 (ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 63 – 3 ม.ค. 64) แม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกผู้เดินทาง ทั้งเดินทางท่องเที่ยวและเดินทางกลับภูมิลำเนา

นอกจากนี้ เมื่อเติมน้ำมันในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 – 1 มกราคม 2564 ครบ 500 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ ผู้บริโภคจะได้รับสินค้าไทยเด็ด 1 ชิ้น ส่งต่อรอยยิ้มจากชุมชนให้ผู้ใช้บริการที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น เป็นของขวัญปีใหม่อีกด้วย

สำหรับผู้ใช้บริการที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน เมื่อซื้อเครื่องดื่มหรือสินค้าคาเฟ่ อเมซอน ชนิดใดก็ได้ ที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น 20 สาขาบนเส้นทางสายหลักขาออกจากกรุงเทพมหานครที่ร่วมรายการ ในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 – 3 มกราคม 2564 รับฟรีทันทีกาแฟดริป คาเฟ่ อเมซอน (รสออริจินัล) 1 ซอง โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อสาขาที่ร่วมรายการได้ที่ เฟสบุ๊คแฟนเพจ :  Café Amazon

ด้านศูนย์บริการยานยนต์ ฟิต ออโต้ ได้จัดโปรโมชั่น “FIT สุดเฟี้ยวเที่ยวไปด้วยกัน” รับสิทธิพิเศษมากมาย ซื้อน้ำมันหล่อลื่นและยางราคาพิเศษ และสิทธิพิเศษอื่น ๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนด ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2563 จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2564

แคมเปญ “โออาร์ สร้าง ความ สุข” นอกจากจะเป็นการมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับผู้บริโภค ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่แล้ว ร้านค้าในเครือโออาร์ ยังมีบริการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกผู้บริโภคทั้งก่อนเดินทางและระหว่างเดินทาง โดยผู้บริโภคสามารถเข้าใช้บริการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ที่ศูนย์บริการยานยนต์ฟิต ออโต้ ก่อนเดินทาง และสามารถแวะพักผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าระหว่างการเดินทางได้ที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น และร้านคาเฟ่ อเมซอนทุกสาขาที่พร้อมให้บริการตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่

โออาร์ ทุ่ม 30 ล. รวมพลังร่วมใจสู้ภัยโควิด-19 ทั่วประเทศ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ในไทย แม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มมีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น จากตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อที่ลดน้อยลง และตัวเลขผู้ที่ได้รับการรักษาจนหาย นำไปสู่การผ่อนปรนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งได้ดำเนินไปเป็นระยะที่สองแล้ว ไม่ว่าจะการอนุญาตให้ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ กลับมาเปิดให้บริการได้ โดยต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลที่รัดกุม เพื่อป้องกันไม่ให้การแพร่ระบาดกลับมาหนักอีก

หากมองย้อนกลับไปประมาณเดือนมีนาคม ซึ่งเริ่มมีการออกมาตรการควบคุม สั่งปิดร้าน ปิดสวนสาธารณะ ปิดสถานประกอบการต่างๆ รณรงค์ให้คนอยู่กับบ้านเพื่อชาติ และหลายบริษัทก็ให้ความร่วมมือโดยให้พนักงานที่สามารถทำงานอยู่ที่บ้านได้ โดยไม่ต้องมาที่ที่ทำงาน และหลายภาคส่วนเริ่มเอาจริงเอาจังกับการคัดกรองคนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้กรอกข้อมูลก่อนเข้าอาคาร, การให้ใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า, การติดตั้งแอลกอฮอล์ เจลล้างมือ ตามจุดต่างๆ, การทำความสะอาดจุดหรือบริเวณที่มีการสัมผัสร่วม

แน่นอนว่า บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ก็เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้งในส่วนที่ต้องดูแลสวัสดิภาพของพนักงานบริษัท และการขับเคลื่อนธุรกิจของ โออาร์

ด้านการรับผิดชอบต่อผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการต่าง ๆ ของธุรกิจของ โออาร์ ทั้งสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และร้านค้าต่าง ๆ ของ โออาร์  ได้มีนโยบายเพิ่มมาตรการด้านสุขอนามัย และปรับรูปแบบการให้บริการ เพื่อลดโอกาสการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่น เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือแอลกอฮอล์ ให้พนักงานทุกคนล้างมือและสวมหน้ากากอนามัยระหว่างปฏิบัติหน้าที่ การติดตั้งเจลแอลกอฮอล์สำหรับลูกค้าไว้ล้างมือ

ทุกธุรกิจของ โออาร์  เปิดดำเนินการตามปกติ เพื่ออยู่เคียงข้างคนไทยทุกคน และพร้อมผ่านวิกฤตไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสถานีบริการน้ำมัน PTT Station, ร้านกาแฟ Café Amazon, ร้าน Texas Chicken, ร้านฮั่วเซ่งฮง ติ่มซำ, ร้านค้าสะดวกซื้อ Jiffy, ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto เพียงแต่ต้องปรับรูปแบบการบริการให้เข้ากับระเบียบต่าง ๆ ที่ทางภาครัฐออกมา

นอกจากนี้ โออาร์ ยังช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของคนไทย ผ่านมาตรการความช่วยเหลือต่างๆ ทั้งในส่วนของโออาร์ เอง ไม่ว่าจะเป็น

  • การจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์มอบให้รพ.ราชวิถี
  • มอบแอลกอฮอล์ทำความสะอาดให้โรงพยาบาล 44 แห่งทั่วประเทศ
  • มอบหน้ากากผ้ามัสลินให้กับสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย

และ ธุรกิจต่าง ๆ ของโออาร์ ก็ร่วมแรงกัน ออกมาช่วยเหลือเช่นกัน

  • สถานีบริการน้ำมัน PTT Station แจกเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ 1 ล้านชิ้น จัดหาแอลกฮอล์ ขวด 1 ลิตร มาจำหน่ายในราคาพิเศษ, เปิดพื้นที่ในสถานีให้เกษตรกรนำมะม่วงน้ำดอกไม้มาขาย, แจกน้ำดื่มให้เดลิเวอรี่แมน 1 ล้านขวด

  • ร้านกาแฟ Café Amazon, ร้าน Texas Chicken ช่วยสนับสนุนอาหาร เครื่องดื่ม ให้กับบุคคลากรการแพทย์
  • ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto พ่นยาฆ่าเชื่อทำความสะอาดห้องโดยสารรถยนต์ให้บุคลากรทางการแพทย์ ฟรี
  • บัตร Blue Card เปลี่ยนคะแนนสะสมเป็นเงินบริจาค ยอดรวมกว่า 1 ล้านบาท

และ ล่าสุด โออาร์ มีโครงการสมทบทุนให้กองทุนชัยพัฒนาสู้โควิด-19 และโรคระบาดต่าง ๆ ผ่าน 2 กิจกรรม คือ

1. ซื้อเครื่องดื่มร้านกาแฟ Café Amazon ทุกแก้ว หัก 1 บาทให้กองทุนนี้ ซึ่งสามารถเปลี่ยนพลังใจเป็นเงินสมทบทุนเข้ากองทุน

2. สมัครสมาชิก Blue Card โออาร์ บริจาคให้เลย 10 บาทต่อราย ให้กองทุนนี้ ตั้งแต่ 1 พ.ค.- 30 มิ.ย. นี้

ไม่เพียงแต่ความช่วยเหลือในประเทศเท่านั้น อย่างที่ทราบ โออาร์ เอง มีธุรกิจในต่างประเทศด้วย ซึ่งทาง โออาร์ ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผ่านบริษัทในเครือด้วยเช่นกัน

  • Brighter Energy, Brighter Energy Brighter PTT Oil and Retail Business และ PTT Oil Myanmar แจกเจลแอลกอฮอล์ ให้กับลูกค้า Café Amazon ที่เมียนมาร์ 1,500 ชิ้น
  • PTT Cambodia แจกเจลแอลกอฮอล์ให้กับผู้มาใช้บริการที่สถานีบริการน้ำมัน PTT Station, ร้านกาแฟ Café Amazon, ร้านค้าสะดวกซื้อ Jiffy ในกัมพูชา รวม 1.4 แสนชิ้น
  • PTT Philippines แจกหน้ากากอนามัย และเฟซชิลด์ ให้บุคคลากรทางแพทย์ และตำรวจฟิลิปปินส์ 9,000 ชิ้น แอลกอฮอล์น้ำ 70% กับเครื่องดื่ม Café Amazon ให้กับบุคคลากรแพทย์ของฟิลิปปินส์

ถือเป็นการรวมพลังครั้งยิ่งใหญ่ทุกธุรกิจและทุกภาคส่วนของ โออาร์ เพื่อกระจายและส่งต่อความช่วยเหลือสู่วงกว้างให้ได้มากที่สุด และการร่วมใจ สู้วิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้ของ โออาร์ ใช้งบรวมกว่า 30 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้คนไทยผ่านวิฤกตครั้งนี้ไปด้วยกัน

เงินทองต้องวางแผน!!

จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า2019 (โควิด-19) ทำให้เกิดการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ได้ส่งผลกระทบให้คนตกงานฉุกเฉิน.. ไม่ทันตั้งตัวจำนวนมาก!!

​ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือ คนหาเช้ากินค่ำ มีรายได้วันต่อวัน แม้กระทั่งคนมีเงินเดือน แต่ไม่มีเงินเก็บเงินออมต้องเดือดร้อนถึงขั้น ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน  บางคนถึงขั้นไม่มีเงินซื้ออาหารประทังชีวิตในแต่ละวัน

ตอกย้ำให้เห็นถึงสุขภาพทางการเงินของคนไทย ที่อยู่ในขั้นวิกฤติ คือ ไม่มีเงินเก็บ-เงินออมเพื่อสำรองไว้ใช้หรือแก้ปัญหาในยามฉุกเฉิน!!

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ที่ได้สำรวจพฤติกรรมการออมของประชาชนฐานรากทั่วประเทศ คือกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000  บาท  พบว่า อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ออมเงินไม่ได้ ส่วนใหญ่  82.7% ให้เหตุผลว่า ไม่มีเงินเหลือให้ออม ถัดมาคือมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน และมีภาระหนี้สิน 

เมื่อถามว่า หากเกิดเหตุฉุกเฉินต้องหยุดงานหรือไม่มีรายได้ มีเงินสำรองไว้ใช้แค่ไหนพบว่ามากกว่า  33.7% ไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน!!   อีก 33.3% บอกว่ามีเงินใช้จ่ายไม่เกิน 1เดือนและอีก 28.5% ระบุว่า มีเงินใช้จ่ายไม่เกิน 3 เดือนหมดจากนี้ก็หมดกันเลยชีวิต!!

ดังนั้นยามเมื่อวิกฤติโควิดมาเยือนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว คนส่วนใหญ่ของประเทศจึงเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ไม่เพียงแต่ประชาชนฐานรากเท่านั้น คนชั้นกลางที่มีรายได้สูงกว่าก็เดือดร้อนหนักเช่นกัน

บทเรียนจากวิกฤติครั้งนี้  ทำให้พวกเราจำเป็นต้องลุกขึ้นมาปฎิวัติ ปรับมุมคิด วางแผนชีวิตการเงินกันใหม่ทั้งหมด  โดยเมื่อโควิด-19 คลี่คลายกลับมาทำงานมีรายได้ มีเงินเข้ามือ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ  “ออมก่อนใช้” ขอให้ท่องเป็น “คาถากันจน” กันไว้เลย!!

ข้อมูลจาก เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่อง “เงินทองต้องวางแผน” ที่รวบรวมเทคนิค แนวคิด ความรู้ข้อแนะนำและวิธีการ ในเรื่องการวางแผนการเงินการออม จากกูรูนักวางแผนการเงินไว้มากมาย ให้ข้อแนะนำว่า อาจเริ่มจากการออม 10-20% ของรายได้ก่อน โดยทันทีที่ได้เงินมา ให้กันเงินออมแยกบัญชีออกไปต่างหากเป็นอันดับแรก  และหากมีหนี้สินก็ต้องกันเงินไว้ใช้หนี้ด้วย

วางเป็นสมการได้อย่างนี้  รายได้-เงินออม-หักภาระหนี้(ถ้ามี) = เงินใช้จ่าย

และต้องวางแผนใช้จ่ายเงินให้ได้ทั้งเดือน เช่น มีรายจ่ายประจำที่ต้องจ่ายแน่ๆ ค่าน้ำ-ไฟ-โทรศัพท์-ค่าเช่าบ้านต้องกันไว้ก่อน  เงินที่เหลือหาร 30 วัน เพื่อให้รู้ว่า ภายในเดือนนี้จะมีเงินใช้จ่ายค่าอาหาร3 มื้อ ค่าเดินทางและค่าอื่นๆ เฉลี่ยวันละกี่บาท

หากวันไหนใช้จ่ายเกิน วันรุ่งขึ้นก็ต้องใช้น้อยลง หรือหากวันไหนใช้จ่ายน้อยกว่าที่คำนวนไว้ ก็ให้กันเงินที่เหลือใส่กระปุก  เก็บไว้เป็นเงินออมเพิ่ม

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแอปทำบัญชีรายรับรายจ่าย ชื่อว่า SET Happy Money จดอย่างมีวินัย แล้วกลับมาวางแผนปรับลดค่าใช้จ่ายและจัดการหนี้สิน ก็มีเงินออมไปต่อยอดสร้างสุขทางการเงินในปัจจุบันและอนาคตได้ไม่ยาก

คาถาอีกบท จำไว้ให้ขึ้นใจ “ออมก่อน…รวยกว่า..ออมเร็ว..รวยเร็ว..ออมมาก..รวยมาก” ถ้าเริ่มทำได้เร็ว  ความมั่งคั่งก็จะมาหาเราเร็วขึ้น ที่สำคัญต้องลืมและเลิกไปเลยกับพฤติกรรมเดิมๆ ที่ “ใช้ก่อน..เหลือเท่าไหร่..ค่อยออม”

ในบทความครั้งหน้า จะเล่าให้ฟังว่าจะแบ่งและจัดสรรเงินออมไว้เพื่อเป้าหมายอะไรกันบ้าง   

                                                   ​​​​คุณนายพารวย

ไขข้อข้องใจ ทำไมแอลกอฮอล์ล้างมือถึงแพงกว่าน้ำมันเติมรถ

อ่านหัวข้อแล้ว อย่าเพิ่งงง เพราะมีคนตั้งประเด็น สงสัยเรื่องนี้จริงๆ ประเด็นนี้เริ่มต้นตอนที่บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ มีโครงการจะช่วยแก้ปัญหาแอลกอฮอล์ล้างมือขาดแคลน และราคาแพง เลยมีแนวคิด จัดหาแอลกอฮอล์ล้างมือ ทำความสะอาด มาวางขายราคาพิเศษ เท่าทุน ขวดลิตร ขวดละ 110 บาท

ทันทีที่ข่าวนี้เผยแพร่ ดราม่าก็บังเกิด เพราะมีคนตั้งคำถามว่า ทำไมบ.น้ำมันถึงขายแอลกอฮอล์ราคาแพงกว่าน้ำมัน ทั้งที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ เหมือนกัน บริษัทจะค้าขายเอากำไรเกินไปหรือเปล่า

แม้จะมีความพยายามที่จะอธิบายแล้ว แต่หลายคนก็ยังคงคาใจ ขณะที่โออาร์ ก็เดินหน้าโครงการต่อ ขายไปโดนต่อว่าไป ทั้งที่ราคาขายถูกกว่าในตลาดมาก ลองสำรวจราคาที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลนโพสขายกัน ราคาขวดลิตรจะอยู่ระหว่าง 250-450 บาททีเดียว แถมยังต้องมาลุ้นเรื่องความเน่าเชื่อถือของสินค้าอีกต่างหาก

กลับมาที่คำถาม “ทำไมราคาแอลกอฮอล์ล้างมือ มันแพงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ได้ไง?”   คำตอบก็คือ ถึงจะเป็นเอทิลแอลกอฮอล์เหมือนกัน แต่มีคุณสมบัติบางอย่างไม่เหมือนกัน นำมาใช้ทดแทนกันไม่ได้

แอลกอฮอล์ที่เอาไปผสมน้ำมัน กับที่เอามาทำแอลกอฮอล์ล้างมือ มีกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน แน่นอน ต้นทุนก็ต้องแตกต่างกัน

แอลกอฮอล์ที่นำไปใช้สำหรับล้างมือ จะมีความเข้มข้น 70-90% (มีน้ำเป็นส่วนผสม 10-30% แล้วแต่สูตร เพื่อให้เจือจางไม่ระคายผิว ไม่ระเหยเร็วเกินไป มีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อโรค)  ต้องผ่านกระบวนการกลั่นหลายขั้นตอนเพื่อดึงเอาสิ่งที่ปนเปื้อนอยู่ออก เพื่อให้ได้ค่าความบริสุทธิ์ที่สูงเพียงพอสำหรับมาตรฐานที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร ที่เรียกว่า Food Grade หรือ สำหรับอุตสาหกรรมยา Pharmaceutical  Grade พูดง่ายๆ เป็นแอลกอฮอล์เกรดดี จึงมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าเกรดที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงมาก  

แถมยังมีต้นทุนในเรื่องของสารที่ใส่เพิ่ม ทั้งถนอมผิว กลิ่นหอม แล้วไหนจะต้นทุนค่าบรรจุภัณฑ์ การขนส่ง การกระจายสินค้า และค่าการตลาด แล้วเมื่อต้องผ่านบรรดาพ่อค้าส่ง พ่อค้าขายปลีกหลายทอด ราคาก็จะถูกบวกเพิ่มขึ้นไปอีก

ขณะที่แอลกอฮอล์ที่ผสมในน้ำมัน จะมีความเข้มข้นมากถึง 99.5% (คือมีน้ำเป็นส่วนประกอบเพียง 0.5% เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์เสียหาย) แต่ความบริสุทธิ์มีน้อยกว่าแอลกอฮอล์ที่ใช้ทำความสะอาด ยังมีสารปนเปื้อน สารตกค้าง โลหะ หรือ สารพิษเจือปน ซึ่งอาจเป็นอันตราย หรือ เกิดการระคายเคืองหากนำมาใช้กับคน  ไม่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค เพราะมีความเขัมข้น ระเหยไว แต่ไม่มีปัญหากับการนำไปใช้ผสมในน้ำมันเผาไหม้เป็นเชื้อเพลิง

อีกเหตุผลนึงที่ราคาน้ำมันถูกกว่าแอลกอฮอล์ล้างมือ คือ มีการอุดหนุนราคาจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาชดเชย ตามนโยบายส่งเสริมพลังงานทดแทน และนโยบายส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซฮอล์

ทั้งหมดนี้ จึงเป็นคำอธิบายที่ว่า ราคาแอลกอฮอล์ล้างมือ ถึงไม่เท่ากับ ราคาน้ำมันเชื้อเพลง ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่สามารถเอามาจับคํู่เปรียบเทียบกันเลย

จริงๆแล้ว การที่บ.น้ำมันอย่างโออาร์ ออกมาขายแอลกอฮอล์ทำความสะอาดในราคาพิเศษ แล้วโดนบ่นว่า ของมีไม่พอความต้องการ ยังพอเข้าใจได้ ซึ่งก็ต้องเห็นใจทางบริษัท เพราะโออาร์ไม่ได้เป็นผู้ผลิตเอง ต้องไปจัดหาซื้อมาจากผู้ผลิตและแบ่งไปจำหน่ายยังสถานีบริการต่างๆ  และก็ได้ของมาจำนวนจำกัด

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด โออาร์เองก็มีการปรับแผนใหม่ โดยเพิ่มการวางขายแบบเป็นถุง ขนาด 500 มล. ให้เป็นอีกทางเลือก ที่จะช่วยกระจายสินค้าให้กับผู้ที่ต้องการได้ทั่วถึงมากขึ้น

ขณะที่ ภาครัฐก็ออกโยบายผ่อนคลายเรื่องแอลกอฮอล์ และความร่วมมือของภาคเอกชนที่เร่งผลิตแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือออกสู่ตลาด เช่น กระทรวงคลัง มอบหมายให้องค์กรสุราผลิตแอลกอฮอล์ล้างมือเพื่อแจกจ่ายประชาชน หรือกระทรวงพลังงานมอบหมายให้ปตท. และกฟผ. จัดหาแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมอบให้กับรพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลทั่วประเทศ ก็น่าจะช่วยให้ปัญหาการขาดแคลนแอลกอฮอล์ทางการแพทย์สำหรับทำความสะอาดมือ และแอลกอฮอล์สำหรับทำความสะอาดพื้นผิว และส่งผลให้ราคาจำหน่ายถูกลงได้ในเร็วๆนี้

กนง.มีมติ 4-2 เสียง คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.75% ต่อปี

นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 25 มีนาคม 2563

คณะกรรมการฯ มีมติ 4 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.75 ต่อปี ขณะที่ 2 เสียง เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี

ทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)

คณะกรรมการฯ เห็นว่าการระบาดของ COVID-19 จะยังมีความรุนแรง และต้องอาศัยระยะเวลากว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ กนง.สนับสนุนมาตรการดูแลผู้ได้รับ ผลกระทบอย่างตรงจุดของรัฐบาลที่ได้ประกาศไปแล้ว รวมทั้งจะต้องดำเนินการช่วยบรรเทาปัญหาสภาพคล่องและเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ โดยเฉพาะครัวเรือนและธุรกิจ SMEs ให้เกิดผลชัดเจนเป็นรูปธรรมเพิ่มเติมจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงเห็นพ้องว่า ต้องให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาสภาพคล่องให้ตรงจุด กรรมการส่วนใหญ่จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ อย่างไรก็ดี กรรมการ 2 ท่านเห็นว่าควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกร้อยละ 0.25 เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มหดตัวแรง

ทั้งนี้ ที่ประชุม เห็นว่า เศรษฐกิจไทยในปี 63 มีแนวโน้มหดตัวแรง เนื่องจากการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้าได้รับผลกระทบรุนแรงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและการหยุดชะงักของห่วงโซ่การผลิตในหลายประเทศ ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจและครัวเรือนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างขึ้น เป็นผลให้อุปสงค์ภายในประเทศทั้งการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัว มาตรการด้านการคลังจึงต้องเป็นกลไกหลักในการบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจและดูแลผู้ได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินจะช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูกหนี้ และช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวในปี 2564 หากสถานการณ์ระบาดคลี่คลายลง สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2563 มีแนวโน้มติดลบตามราคาพลังงานที่ลดลงและเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มหดตัว

เสถียรภาพของตลาดการเงินไทยโดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ปรับดีขึ้น หลัง ธปท. ออกมาตรการสนับสนุนสภาพคล่องในตลาดการเงิน แต่ยังต้องติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด ด้านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดลงหลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านมาซึ่งมีส่วนช่วยลดภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ ด้านอัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่งโดยเฉพาะสกุลเงินหลักและมีแนวโน้มผันผวน ทั้งนี้ เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยยังอยู่ในเกณฑ์เข้มแข็งสะท้อนจากเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง และเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์ตลาดการเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิดท่ามกลางความไม่แน่นอนที่มีอยู่สูง

ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง อย่างไรก็ดี ระบบการเงินมีความเปราะบางมากขึ้นในบางจุด โดยเฉพาะความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและธุรกิจ SMEs ที่อาจด้อยลงในช่วงที่เศรษฐกิจหดตัวแรง จำเป็นต้องประสานมาตรการทั้งทางการเงินและการคลังเพื่อดูแลครัวเรือนและธุรกิจ SMEs

         

โออาร์ ร่วมสมทบทุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ช่วยโรงพยาบาลราชวิถี รับมือโควิด -19

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) มอบเงินบริจาค  3,000,000 บาท  ให้แก่ นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี  ณ ห้องกมล สินธวานนท์ ตึกสิรินธร โรงพยาบาลราชวิถี เพื่อสมทบทุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต่อการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 อาทิ เครื่องช่วยหายใจชนิดอัตราการไหลสูง เครื่องช่วยหายใจชนิดเคลื่อนย้าย เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกสองระดับ เครื่องช่วยหายใจสำหรับผู้ป่วยหนัก เครื่องเฝ้าระวังและติดตามสัญญาณชีพผู้ป่วย เครื่องอุปกรณ์พ่นยา เป็นต้น รวมถึงเพื่อเป็นกองทุนส่วนกลางในการบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 

และได้มอบ กาแฟดริป คาเฟ่ อเมซอน  5,000 ซอง พร้อมด้วยขนมปั้นขลิบ และขนมปังกรอบ ซึ่งเป็นสินค้าโอทอป จาก เอสเอ็มอี ไทย รวม 480 ชุด รวมถึงคลาสสิคเบอร์เกอร์และเทนเดอร์แร็พ อย่างละ100 ชิ้น จากร้านเท็กซัส ชิคเก้น เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ทำงานอย่างเต็มความสามารถอีกด้วย

โดยโออาร์ ขอส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ และบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นกำลังสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนคนไทย เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน

รู้เก็บรู้ออม : ประกาศผล SET Hackathon 2023

โลกการลงทุนยุคใหม่ ข้อมูลการดำเนินงานด้าน ESG ซึ่งเป็นแนวคิดการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลนั้น เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจของนักลงทุน ที่ให้น้ำหนักกับแนวทางการลงทุนอย่างยั่งยืนมากขึ้น

ด้านหน่วยงานกำกับดูแลและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็ได้ใช้ข้อมูล ESG มาพิจารณาว่าภาคธุรกิจได้ให้ความสำคัญและมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างไร รวมทั้งใช้พิจารณาควบคู่ไปกับข้อมูลทางการเงิน เพื่อวิเคราะห์ถึงการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวอีกด้วย

ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการพัฒนาและจัดทำระบบฐานข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุน และบริษัทจดทะเบียน ทั้งข้อมูลการลงทุน เศรษฐกิจ ความรู้การออมและการลงทุน รวมถึงข้อมูลด้าน ESG ซึ่งสอดรับกับวิสัยทัศน์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone”

นำไปสู่การริเริ่มจัดการแข่งขัน SET Hackathon 2023 ภายใต้ธีม Wealth and Sustainability ขึ้นเป็นครั้งแรกสำหรับบุคคลทั่วไป เป็นการเปิดเวทีประลองความคิดในการนำฐานข้อมูลด้าน ESG ของตลาดหลักทรัพย์ฯ มาใช้เพื่อประโยชน์แก่ผู้ลงทุนและบริษัทจดทะเบียน นำไปประกอบการวิเคราะห์และพัฒนาการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

ปรากฏว่า ได้รับความสนใจอย่างมาก มีผู้สมัครเข้าร่วมแข่งขันถึง 69 ทีม จากหลายสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นนิสิตนักศึกษา บริษัทจดทะเบียน บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วิศวกร นักวิเคราะห์ ที่ปรึกษาทางการเงิน รวมถึงผู้ลงทุน ทำให้เกิดไอเดียที่หลากหลายและสร้างสรรค์ โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้คัดเลือกทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงรางวัลเหลือ 12 ทีม ซึ่งทุกทีมได้รับคำปรึกษาและชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านเทคโนโลยี data analytic และด้านความยั่งยืน

โจทย์ของการแข่งขันครั้งนี้ คือ “เราจะช่วยให้ผู้ลงทุนและบริษัทจดทะเบียนไทยใช้ประโยชน์จากข้อมูลด้าน ESG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างไร” โดยคณะกรรมการตัดสินให้ “ทีม ESG EZ Invest” ได้รางวัลชนะเลิศ จากการเสนอไอเดียการนำข้อมูล ESG data platform ของตลาดหลักทรัพย์ฯ มาพัฒนาเป็นแอปพลิเคชันเพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนเข้าถึง Sustainable Investing ได้สะดวกยิ่งขึ้น และยังสามารถดูพอร์ตลงทุนของตัวเองว่ามีผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมแค่ไหนอีกด้วย

ส่วนรองชนะเลิศอันดับ 1 เป็นของทีม The UNIQUE เสนอไอเดียใช้ AI มาช่วยทำ ESG Solution Software แก้ไขปัญหาการกระจายตัวของแหล่งข้อมูล, รองอันดับ 2 เป็นทีม Setainable เสนอไอเดียให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงเงินกู้แบบ Sustainability linked loans ด้วยข้อมูล ESG data platform ช่วยลดต้นทุนทางการเงิน และรางวัลชมเชย คือ ทีม MOTABENA เสนอไอเดียที่ช่วยให้ผู้ลงทุนรุ่นใหม่ประยุกต์ใช้ข้อมูลด้าน ESG ประกอบการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น ผ่านการใช้ ESG data dashboard และสร้าง Community เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนเพื่อความยั่งยืน รวมทั้งการให้ความรู้ ESG ผ่าน Metaverse

ผู้สนใจชมการนำเสนอไอเดีย และทีมที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารอบชิงรางวัล และได้รับรางวัลได้ที่ https://www.set.or.th/th/education-research/research/activities/set-hackathon  “คุณนายพารวย” ขอแสดงความยินดีและชื่นชมผู้เข้าร่วมแข่งขันทุกคนที่มาร่วมกันสร้างสรรค์แนวคิดต่างๆ ที่จะถูกนำไปต่อยอดเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างยั่งยืนต่อไป.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"   หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เมืองไทยประกันชีวิต และ สภากาชาดไทย จัดกิจกรรมวิ่ง City Run เปิดตัวโครงการ “เมืองไทยปันความสุข”

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  และ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ร่วมจัดกิจกรรมวิ่ง City Run เพื่อเปิดตัวโครงการ “เมืองไทยปันความสุข” เชิญชวนให้ทุก ๆ คนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดซื้อรถรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ (มูลค่า 8 ล้านบาท) มอบให้กับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย  เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพการจัดหน่วยเคลื่อนที่และได้รับโลหิตบริจาคเพิ่มมากขึ้น ให้มีปริมาณโลหิตเพียงพอกับผู้ที่ต้องการใช้โลหิตในการรักษา

โดยสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแบ่งปันได้ง่าย ๆ เพียงคุณร่วมสะสมก้าวเดินผ่านแอปพลิเคชัน    MTL Fit  จำนวน  200 ก้าวเดิน มีมูลค่าเท่ากับ 1 บาท สูงสุด 7,500,000 บาท หรือ บริจาคคะแนนสะสม Smile Point  5 คะแนน จะมีมูลค่าเท่ากับ 25 บาท* สูงสุด 500,000 บาท (การบริจาคคะแนน ไม่สามารถ ขอออกใบเสร็จเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้) ระยะเวลากิจกรรม ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2566-29 กุมภาพันธ์ 2567 หรือจนกว่าจะครบสิทธิ์ (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต กำหนด)

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน MTL Fit  ฟรี ได้ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android  และทำตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ลงทะเบียน สามารถคลิกเลือกเริ่มต้นการใช้งานสำหรับลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต หรือ บุคคลทั่วไป 2. กรอกข้อมูลผู้ใช้งาน 3. ยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTP เป็นการเสร็จสิ้นการลงทะเบียน  4. กดเชื่อมต่ออุปกรณ์ของคุณ กับ MTL Fit Application  (สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการนับก้าวเดินได้ดังนี้ Fitbit, Garmin, SUUNTO  หรือกรณีที่ไม่มีอุปกรณ์สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันที่มากับเครื่องได้  ดังนี้  Apple Health สำหรับ IOS และ Google Fit สำหรับ Android) เมื่อเชื่อมต่อสำเร็จแล้ว  ไปที่เมนู  “การแข่งขัน (Competition)” และกดเข้าร่วมกิจกรรม เมืองไทยปันความสุข Charity Challenge

 ด้านสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ สามารถบริจาคคะแนนสะสม  Smile Point  ได้ผ่านช่องทาง  MTL Click Application  หรือโทรติดต่อเพื่อบริจาคคะแนนสะสม Smile Point ได้ที่ 1766 กด 4 เมืองไทยประกันชีวิต รวมถึงสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับสามารถบริจาคคะแนนสะสม Smile Point ได้ด้วยตนเองที่ ศูนย์บริการลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต ทั่วประเทศ

ระยะเวลากิจกรรม เริ่ม-สิ้นสุดกิจกรรม : วันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567  หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.1766 เมืองไทยประกันชีวิต ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

ซีพีเอฟ คว้าอันดับ 1 ดัชนีความยั่งยืน DJSI กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารของโลก ปี 2023

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้คะแนนสูงสุดจากดัชนีความยั่งยืน Dow Jones Sustainability Indices(DJSI) ปี 2023 ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร (Food Products) จากการประเมินของ S&P Global และได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ประเภทตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) สะท้อนการรักษามาตรฐานความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหาร และให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน บนพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ผลการประเมินดังกล่าว สะท้อนการรักษามาตรฐานของความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่เกษตรกร คู่ค้าธุรกิจ ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน พนักงาน ชุมชน เป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม (Innovation Management) ที่มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพและโภชนาการที่ดี (Health & Nutrition)สำหรับผู้บริโภค โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ ตลอดจนใช้ทรัพยากรธรรมชาติเกิดประโยชน์คุ้มค่าสูงสุด ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Resource Efficiency and Circularity) ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ CPF คือ Climate People และ Food Security ที่มีพันธกิจสร้างความมั่นคงทางอาหาร ทั้งในภาวะปกติและวิกฤติ

“ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจด้วยวิสัยทัศน์เป็นครัวของโลกที่ยั่งยืน ได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและยึดมั่นในปรัชญาสามประโยชน์สู่ความยั่งยืน ตามดำริของประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ คือ มองประโยชน์ของประเทศ ประชาชน และบริษัท เป็นแนวทางขับเคลื่อนองค์กร มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหาร ส่งมอบอาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย มีโภชนาการ และรสชาติอร่อย ให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก “นายประสิทธิ์ กล่าว

บริษัท ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตั้งแต่กระบวนการ ผลิตอาหารสัตว์ (Feed) การเลี้ยงสัตว์ (Farm) และการแปรรูปอาหาร (Food)อาทิ นำนวัตกรรมโปรไบโอติกมาใช้ในอาหารสัตว์ ทั้งสุกร ไก่ กุ้ง ช่วยสร้างสมดุลลำไส้ เสริมภูมิคุ้มกันให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วย จึงไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ และมุ่งมั่นยกระดับเนื้อไก่ไทยสู่มาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศ (Space Food Safety Standard)ในโครงการ”ไก่ไทยจะไปอวกาศ” เป็นครั้งแรกที่ผลิตภัณฑ์อาหารของไทยก้าวสู่มาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงที่ไม่ใช่แค่ระดับโลก แต่เป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับเดียวกับที่นักบินอวกาศสามารถรับประทานได้ ตามหลักเกณฑ์ของ Space Food Lab อีกถึงมากกว่า 40 การตรวจสอบ

นอกจากนี้ ในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง ปัจจัยเสี่ยงและความท้าทาย บริษัทฯ เตรียมความพร้อมรับมือสู่การเปลี่ยนผ่านในทุกมิติ อาทิ การบริหารความเสี่ยงองค์กรรอบด้าน กำกับดูแลด้านการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ สร้างความมั่นคงและความปลอดภัยด้านข้อมูลเทคโนโลยีดิจิทัล จัดหาอย่างมีความรับผิดชอบ ตลอดจนการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศที่ดีให้แก่โลก การบริหารทรัพยากรบุคคลให้มีความผูกพันที่ดีกับองค์กร ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญในงานที่รับผิดชอบ เสริมสร้างทักษะที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ส่งเสริมวัฒนธรรมการเป็นคนดีของสังคม ปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ยอมรับความหลากหลายและแตกต่างโดยไม่เลือกปฏิบัติ

ซีพีเอฟกิจการในประเทศไทยและกิจการต่างประเทศ ได้ประกาศเจตนารมณ์เป็นองค์กรที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net-Zero) ภายในปี 2050 และเป็นผู้ผลิตอาหารรายแรกของโลกที่ได้รับการอนุมัติเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ สอดคล้องตามมาตรฐาน Forest, Land and Agriculture Guidance (FLAG) ซึ่งเป็นมาตรฐานเฉพาะสำหรับภาคเกษตรและอาหารจากองค์กร The Science Based Targets initiative (SBTi) องค์กรไม่แสวงหากำไรระดับโลกที่สนับสนุนและให้การรับรองอย่างอิสระในการตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแก่ภาคธุรกิจเพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพทางภูมิอากาศ

ปัจจุบัน ซีพีเอฟมีการลงทุนและร่วมลงทุนใน 17 ประเทศ ส่งออกไปมากกว่า 40 ประเทศ ครอบคลุมประชากรมากกว่า 4,000 ล้านคน บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน จากการประเมินประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทชั้นนำระดับโลก ทั้งในด้านบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม ตอกย้ำการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนในระยะยาว และเติบโตอย่างมั่นคงพร้อมกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ภายใต้วิสัยทัศน์ “ครัวของโลกที่ยั่งยืน”

AIS แสดงพลังต่อต้านคอร์รัปชัน พร้อมขับเคลื่อนองค์กรอย่างโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล 2566

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล  AIS และกลุ่มอินทัช เปิดเผยว่า เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากลปี 2566 AIS ในฐานะผู้นำตลาดของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรวมพลังต่อต้านคอร์รัปชัน แสดงจุดยืนองค์กรโปร่งใส พร้อมเดินหน้าผลักดันนโยบายบรรษัทภิบาลร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แสดงพลังต่อต้านคอร์รัปชัน ภายใต้แนวคิด “ไม่ทำ ไม่ทน ไม่เฉย รวมไทยต้านโกง” ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีสู่สังคมผ่านการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส ตามหลักธรรมาภิบาล ตอกย้ำการเป็นองค์กรต่อต้านการทุจริตในทุกรูปแบบ

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา AIS ดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส ตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล หรือ ESG (Environment, Social, Governance) เพื่อนำไปสู่การเป็นองค์กรที่สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งมีนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานขององค์กรที่ต่อต้านการทุจริต และการคอร์รัปชันทุกรูปแบบ (Zero Tolerance Policy) ภายใต้ธีม “Zero-Fraud society starts with us” โดยสนับสนุนให้พนักงานทุกคนเกิดจิตสำนึกที่ดีมีความสุจริตและซื่อตรงในการทำงาน จนกลายเป็นค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรในหน้าที่ของคน AIS ที่มีต่อทุกภาคส่วน ทั้งลูกค้า พาร์ทเนอร์ และหน่วยงานต่างๆ” 

สำหรับกิจกรรมวันต่อต้านคอร์รัปชันสากลในปีนี้ ชาว AIS ทั้งผู้บริหารและพนักงาน ขอร่วมแสดงพลังในการต่อต้านคอร์รัปชัน ร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. และภาคีเครือข่าย ด้วยการขับเคลื่อนองค์กรอย่างโปร่งใส และร่วมแสดงเจตนารมณ์ในการต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชันทุกรูปแบบ เพื่อยืนยันความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมและประเทศไทย อย่างยั่งยืนต่อไป

ผลสำรวจความคิดเห็น CEO ในตลาดทุน เชื่อปีหน้า ศก.ดีขึ้น มองการเมืองในประเทศเป็นปัจจัยเสี่ยง และเป็นห่วงเรื่องต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งเทศไทย ร่วมมือกับสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai (CEO Survey: Economic Outlook 2023 - 2024) ซึ่งรวบรวมข้อมูลในช่วงวันที่ 16 สิงหาคม  - 30 กันยายน 2566 สรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้

CEO ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ปรับตัวดีขึ้นแต่ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ในครั้งก่อน และคาดกว่า GDP จะเติบโตที่ระดับ 2% ถึง 3% และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะเติบโตที่ระดับ 3% ถึง 4%

สำหรับปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย CEO คาดว่า การท่องเที่ยว นโยบายการคลังและการใช้จ่ายภาครัฐ และเสถียรภาพการเมืองในประเทศ จะเป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2566 และต่อเนื่องในปี 2567 ขณะที่เสถียรภาพการเมืองในประเทศ กำลังซื้อในประเทศ และการส่งออกจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ในปี 2566 โดยคาดว่ากำลังซื้อในประเทศจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในปี 2567 ตามมาด้วยหนี้สิ้นภาคครัวเรือน การส่งออก ปัญหาเรื่องอัตราเงินเฟ้อ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น และในปีหน้า CEO มองว่า  “หนี้สิ้นภาคครัวเรือน” จะกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ตามมาด้วยเสถียรภาพทางการเมืองไทย และเสถียรภาพทางการเมืองโลก ที่อาจเป็นตัวถ่วงการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

ด้านแนวโน้มอุตสาหกรรม และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) 58% ของ CEO คาดว่าผลประกอบการในปี 2566 จะดีขึ้น โดย 52% ของ CEO คาดการณ์ว่าผลประกอบการปี 2566 จะเติบโตมากกว่า 10% โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการกลับมาใช้ชีวิตรูปแบบปกติ อาทิ ธุรกิจในหมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดวัสดุก่อสร้าง

ส่วนการลงทุนในปี 2566 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2567 โดย 56% ของ CEO ที่ตอบแบบสอบถามคาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มในปี 2566 และ 73%  คาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มในปี 2567 และพบว่าบริษัทจดทะเบียนในหมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ เป็นต้น คาดว่าจะลงทุนเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้มีการสำรวจความคิดเห็นด้านปัจจัยการผลิตและแนวโน้ม พบว่า CEO ส่วนใหญ่ คาดว่า ปัจจัยการผลิต ทั้งต้นทุนแรงงาน ต้นทุนด้านพลังงาน และราคาวัตถุดิบ มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับแนวโน้มของราคาสินค้าและบริการ ด้านภาพคล่องและอัตราการจ้างงานมีแนวโน้มทรงตัว ส่วนแนวโน้มในการลงทุนในต่างประเทศในปี 2566 มีแนวโน้มดีขึ้น สังเกตได้จากจำนวนบริษัทที่ตอบว่ามีการลงทุนเพิ่มเติมมีสัดส่วนอยู่ที่ 42% กระจายในหมวดธุรกิจต่างๆ อาทิ บริษัทจดทะเบียนในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค เป็นต้น โดยประเทศเป้าหมายในการลงทุน ได้แก่ ประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (CLMV) อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และประเทศนอกกลุ่มอาเซียน ได้แก่ จีน ซาอุดิอาระเบีย ขณะที่ชะลอการลงทุนในจีน และสิงคโปร์

เมื่อสอบถามถึงความวิตกกังวลในการประกอบธุรกิจ พบว่า ในปี 2566 CEO มีความวิตกกังวลสูงเกี่ยวกับปัจจัยการผลิตด้านต่างๆ ทั้ง  “ต้นทุนราคาเชื้อเพลิง” และ “ต้นทุนวัตถุดิบ” และในด้านกำลังซื้อภายในประเทศ อัตราดอกเบี้ย และค่าเงินบาทที่ผันผวนของลูกค้า ขณะที่ “การเปิดประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ” และ “การให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน” จะเป็นปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลบวกมากต่อบริษัท นอกจากนี้ CEO ยังแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการฟื้นตัวของกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย การแทรกแซงตลาดของภาครัฐที่บิดเบือนกลไกตลาด และปัญหาจากภัยคุกคามทางไซเบอร์

นอกจากนี้ ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน คาดว่า การปรับเปลี่ยนนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา เสถียรภาพการเมืองโลก เสถียรภาพการเมืองภายในประเทศ ความผันผวนของค่าเงินบาท และนโยบายการปรับเพิ่มอัตราค่าแรงขั้นต่ำ จะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจของประเทศและการดำเนินงานของบริษัท ขณะที่ทิศทางนโยบายการเงินการคลังของรัฐบาลใหม่จะส่งผลบวก

เปิดโผ 196 ร้านอาหาร คว้าสัญลักษณ์ ‘บิบ กูร์มองด์’ ในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ประเทศไทย ปี 2567

รายงานข่าว เปิดเผยว่า งานประกาศผลรางวัลดาวมิชลินมีกำหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 13 ธันวาคม 2566 มิชลินได้เผยรายชื่อร้านอาหารและสตรีตฟู้ดคุณภาพดีราคาย่อมเยาที่ผ่านการคัดเลือกให้ได้รับสัญลักษณ์ ‘บิบ กูร์มองด์’ (Bib Gourmand) ประจำปี 2567 รวมทั้งสิ้น 196 ร้าน ในจำนวนนี้เป็นร้านที่ได้รับสัญลักษณ์ ‘บิบ กูร์มองด์’ ครั้งแรก 32 ร้าน โดยเป็นร้านที่ติดอันดับในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ประเทศไทย ครั้งแรก 28 ร้าน และร้านที่ปีก่อนอยู่ในประเภท MICHELIN Selected 4 ร้าน นอกจากนี้ ในจำนวนร้านที่ติดอันดับครั้งแรก 12 ร้านตั้งอยู่ที่เกาะสมุยและสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นสองจุดหมายปลายทางใหม่ที่คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ประเทศไทย ฉบับประจำปี 2567 (The MICHELIN Guide Thailand 2024) ขยายขอบเขตเข้าดำเนินการสำรวจและจัดอันดับเป็นปีแรก

ทั้งนี้ ‘มิชลิน ไกด์’ มอบสัญลักษณ์ ‘บิบ กูร์มองด์’ ซึ่งแสดงภาพ ‘บิเบนดัม’ หรือ ‘มิชลินแมน’ ให้แก่ร้านอาหารและร้านอาหารริมทาง หรือ “สตรีตฟู้ด” ซึ่งผู้ตรวจสอบของมิชลิน ไกด์ พิจารณาแล้วว่านำเสนออาหารคุณภาพดีในราคาที่ย่อมเยาคุ้มค่า

นาย เกว็นดัล ปูลเล็นเนค ผู้อำนวยการฝ่ายจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ทั่วโลก เปิดเผยว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศที่สามารถหาอาหารคุณภาพดีทานได้ในราคาประหยัด ผู้ตรวจสอบของมิชลิน ไกด์ ยังคงตื่นตาตื่นใจที่ได้ค้นพบอาหารคุณภาพเยี่ยมหลากหลายรูปแบบในราคาสบายกระเป๋าทั่วทุกภูมิภาคของไทย รวมถึงเกาะสมุยและสุราษฎร์ธานี”

“เราหวังว่ารายชื่อร้านอาหารที่ได้รับสัญลักษณ์ ‘บิบ กูร์มองด์’ จะจุดประกายให้นักชิมและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเกิดแรงบันดาลใจที่จะออกเดินทางไปค้นพบและเพลิดเพลินกับอาหารคุณภาพดีในราคาย่อมเยาคุ้มค่าตามเมืองใหญ่ในภูมิภาคต่าง ๆ ของไทย”

ร้านอาหารที่ผ่านการคัดเลือกให้ได้รับสัญลักษณ์ ‘บิบ กูร์มองด์’ ประจำปี 2567 ประกอบด้วยร้านที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 68 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 7 ร้าน), ในพระนครศรีอยุธยา 15 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 2 ร้าน), ในเชียงใหม่ 27 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 3 ร้าน), ใน 4 เมืองตัวแทนภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือ “ภาคอีสาน” 38 ร้าน โดยมี 13 ร้าน ในขอนแก่น (ติดอันดับครั้งแรก 2 ร้าน), 10 ร้านอยู่ในนครราชสีมา (ติดอันดับครั้งแรก 1 ร้าน), 6 ร้าน ในอุบลราชธานี (ทุกร้านเป็นร้านที่รักษาสถานะ ‘บิบ กูร์มองด์’ เอาไว้ได้) และ 9 ร้าน ในอุดรธานี (ขยับมาจากประเภท MICHELIN Selected 2 ร้าน), ในพังงา 11 ร้าน (ทุกร้านเป็นร้านที่รักษาสถานะ ‘บิบ กูร์มองด์’ เอาไว้ได้), ในภูเก็ต 25 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 1 ร้าน และขยับมาจากประเภท MICHELIN Selected 2 ร้าน) รวมทั้งอีก 12 ร้าน ในเกาะสมุยและสุราษฎร์ธานี (ทุกร้านเป็นร้านติดอันดับครั้งแรก เนื่องจากเป็นสองจุดหมายใหม่ที่คู่มือ มิชลิน ไกด์ ประเทศไทย ขยายขอบเขตเข้าดำเนินการสำรวจและจัดอันดับเป็นปีแรก) โดย 4 ร้านอยู่ในเกาะสมุย และ 8 ร้าน อยู่ในแผ่นดินใหญ่ของสุราษฎร์ธานี

ทั้งนี้ ร้านอาหารที่ได้รับสัญลักษณ์ ‘บิบ กูร์มองด์’ ครั้งนี้ ครอบคลุมประเภทอาหารที่หลากหลายถึง 13 ประเภท ได้แก่ อาหารจีน, อาหารยุโรปร่วมสมัย, อาหารอีสาน, อาหารญี่ปุ่น, ก๋วยเตี๋ยว, อาหารเหนือ, อาหารทะเล, อาหารใต้, อาหารริมทาง, อาหารไทย, อาหารไทยร่วมสมัย, อาหารไทย-จีน และอาหารเวียดนาม ความหลากหลายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศที่คึกคักและมีชีวิตชีวาในแวดวงอาหารของไทย ซึ่งนักชิมสามารถท่องไปในโลกของความอิ่มอร่อยกับอาหารคุณภาพดีหลากประเภทในราคาที่เป็นมิตรได้อย่างสะดวกง่ายดาย

สำหรับร้านอาหารซึ่งได้รับสัญลักษณ์ ‘บิบ กูร์มองด์’ ประจำปี 2567 โดยติดอันดับในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์ ประเทศไทย’ เป็นครั้งแรก มีจำนวนทั้งสิ้น 28 ร้าน อาทิ

  • กรุงเทพฯ และปริมณฑล: อั้งโล่ บาย ย่างแรก ร้านอาหารไทยร่วมสมัยที่เสิร์ฟอาหารไทยสไตล์สตรีตฟู้ด โดยทำอาหารบนเตาอั้งโล่แบบโบราณ ส่งกลิ่นหอมอบอวลทั่วทั้งร้าน, เปลว ก๋วยเตี๋ยวต้มยำโบราณ (นครปฐม) ร้านก๋วยเตี๋ยวที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพดีและอาหารทะเลไซส์จัมโบ้ เมนูห้ามพลาด ได้แก่ บะหมี่ต้มยำและหมูเด้งทำเอง, ข้าวมันไก่นายโฮ ร้านอาหารริมทางที่เสิร์ฟข้าวมันไก่สูตรครอบครัวเชฟเจ้าของร้านชาวสิงคโปร์ที่รู้จักกันในนาม “ลุงโฮ” เมนูนี้โดดเด่นด้วยไก่หนังบางโปะบนข้าวมันร้อนๆ ที่ปรุงด้วยน้ำซุปไก่รสกลมกล่อม
  • อยุธยา: บ้านผู้การ ร้านอาหารเรียบง่ายซึ่งตั้งอยู่ในบ้านเชฟเจ้าของร้าน ให้บริการอาหารไทยรสเยี่ยมปรุงจากวัตถุดิบในท้องถิ่นและอาหารทะเลสดใหม่ที่หาทานได้ยากในจังหวัดอยุธยา, อู่ข้าว ร้านอาหารที่เสิร์ฟเมนูซึ่งหาทานได้ยากในปัจจุบันและคงไว้ซึ่งรสชาติดั้งเดิมชวนให้คิดถึงวัยเด็ก โดยปรุงจากสูตรคุณแม่เจ้าของร้านด้วยวิธีการปรุงแบบดั้งเดิมและนำเสนอด้วยวิธีร่วมสมัยอย่างสวยงาม
  • เชียงใหม่: เอกฉันท์ ร้านอาหารแนว Slow Food ซึ่งเน้นอาหารท้องถิ่นสดใหม่จากวัตถุดิบภายในชุมชน อาหารจานเด่น ได้แก่ แกงระแวง และข้าวผัดเคยกุ้งหวาน, เสน่ห์ ไทย คูซีน ร้านอาหารริมทางที่เสิร์ฟเมนูฮาลาลประเภทเนื้อหลากหลายรายการซึ่งล้วนผ่านการปรุงรสอย่างดีให้มีรสชาติกลมกล่อม จานเด็ดที่ต้องสั่ง คือ ข้าวมันเนื้อโปะไข่แดง และต้มยำไทยเนื้อน่อง
  • ขอนแก่น: เฝอท่าบ่อ ร้านอาหารริมทางที่ดำเนินกิจการโดยครอบครัวชาวเวียดนามและปรุงเฝอทุกเมนูจากสูตรดั้งเดิมของครอบครัว เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่เส้นเฝอเหนียวนุ่ม เติมความอร่อยด้วยลูกชิ้นเนื้อทำเองและเนื้อวัวสไลด์ เมนูแนะนำอื่น ๆ ได้แก่ ปอเปี๊ยะสด, ปอเปี๊ยะทอด, ไส้อั่วเลือด และเลือดแปลง
  • นครราชสีมา: ฤาสภัตร บาย นีน่าส์ ร้านอาหารที่นำเสนออาหารรสชาติกลมกล่อมจากวัตถุดิธรรมชาติและผ่านการปรุงอย่างดี ใช้พืชผักสมุนไพรที่ส่วนใหญ่ปลูกเอง จานเด่น ได้แก่ ฟักทองผัดซอสไข่เค็ม และปลากะพงผัดพริกเกลือ
    ภูเก็ต: ต้นมะยม ร้านอาหารริมทางที่นำเสนออาหารอร่อยรสชาติจัดจ้านแบบคนใต้แท้ๆ เมนูเด็ดได้แก่ ปลาทอดเครื่องหอมสมุนไพร และแกงส้มปลากะพงยอดมะพร้าวอ่อน
  • เกาะสมุย: บ้านสวนลุงไข่ ร้านอาหารในสวนมะพร้าวของเชฟเจ้าของร้านที่เสิร์ฟอาหารท้องถิ่นและอาหารใต้ ปรุงอย่างพิถีพิถันด้วยวัตถุดิบสดใหม่เพื่อนำมารังสรรค์เมนูวันต่อวัน, กะปิ สะตอ ร้านอาหารที่นำเสนออาหารตำรับชาวใต้แท้ ๆ และอาหารท้องถิ่นที่หาทานได้ยาก อาทิ หนวดปลาหมึกในน้ำกะทิหวานกับตะไคร้
  • สุราษฎร์ธานี: ลัคกี้ ภัตตาคาร ร้านอาหารที่ดำเนินกิจการโดยครอบครัวเชฟเจ้าของร้านและรักษาความคงเส้นคงวาของการทำอาหารที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ที่นี่เสิร์ฟอาหารไทย-จีน อาหารไทยภาคใต้และอาหารทะเลที่ล้วนปรุงจากวัตถุดิบสดใหม่, ยกเข่ง ร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารประจำท้องถิ่นหลากหลายเมนูให้เลือกทาน เช่น “โล่งโต้ง” อาหารถิ่นเมืองสุราษฎร์ธานีที่ปรุงจากเส้นบะหมี่แห้งราดซอสเปรี้ยวหวานสีชมพูชุ่มฉ่ำ อัดแน่นด้วยเครื่อง เช่น เลือดหมู หนังหมู และเนื้อหมูนุ่ม, เลี่ยนไถ่ ร้านสตรีตฟู้ดปาท่องโก๋ในตำนานซึ่งใช้แป้งหมักสูตรดั้งเดิมที่คุณพ่อเจ้าของร้านคิดค้นขึ้นเมื่อกว่า 50 ปีก่อน

สำหรับร้านอาหารซึ่งได้รับสัญลักษณ์ ‘บิบ กูร์มองด์’ ประจำปี 2567 โดยที่ผ่านมาเคยติดอันดับอยู่ในประเภท MICHELIN Selected มีจำนวนทั้งสิ้น 4 ร้าน ได้แก่

  • อุดรธานี: ข้าวเปียกอุดร ร้านอาหารเวียดนามซึ่งเคยเป็นเพียงร้านสตรีตฟู้ดมาก่อน เมนูที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน คือ ข้าวเปียกซึ่งโดดเด่นด้วยน้ำซุปหมูที่ใช้เวลาเคี่ยวนานกว่า 8 ชั่วโมงเพื่อให้กระดูกและเนื้อตุ๋นเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เมนูอื่นที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ หมูย่างตะไคร้เสียบไม้ และหมูยอ, ซาหมวย & ซันส์ ร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งซึ่งนำเสนออาหารอีสานร่วมสมัย ทั้งอาหารจานเดียวจากเมนูอะลาคาร์ท (À La Carte) และอาหารเป็นคอร์สจาก “เมนูชวนลิ้มลอง” หรือ Tasting Menu ที่แต่ละจานนอกจากจะอร่อยแล้ว ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ
  • ภูเก็ต: ครัวพระยาภูเก็ต ร้านอาหารที่นำเสนออาหารไทยปักษ์ใต้ โดยเฉพาะตำรับเก่าแก่ของภูเก็ต ซึ่งมีรสชาติเข้มข้นและกลิ่นหอม เมนูเด็ด ได้แก่ หมูสามชั้นผัดพริกแกงรสเข้มข้นและยอดมะพร้าวอ่อน จานแนะนำสำหรับคนไม่ชอบเผ็ด คือ หมูฮ้องหรือหมูสามชั้นต้มซีอิ๊วแบบฉบับภูเก็ต, หมูกรอบ (จี้ฮอง) ร้านสตรีตฟู้ดที่มีข้าวหน้าหมูกรอบเป็นเมนูดาวเด่นประจำร้าน โดดเด่นด้วยหมูกรอบชิ้นโตที่ไม่เพียงกรอบนอกแต่ยังนุ่มชุ่มลิ้นแบบไม่เลี่ยน และมีรสชาติเข้มข้นกำลังดี ปรุงด้วยสูตรลับที่ตกทอดกันมาหลายรุ่นภายในครอบครัว

นอกจากรายชื่อร้านอาหารแล้ว คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ยังบรรจุรายชื่อโรงแรมที่พักทั่วโลกซึ่งผ่านการคัดสรร ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นเอาไว้ด้วย ทั้งนี้ โรงแรมที่พักทุกแห่งซึ่งครอบคลุมทางเลือกสำหรับทุกระดับงบประมาณ ล้วนผ่านกระบวนการคัดสรรจากผู้เชี่ยวชาญของ ‘มิชลิน ไกด์’ โดยพิจารณาจากอัตลักษณ์เฉพาะตัว บริการ และสไตล์ที่โดดเด่น ผู้สนใจสามารถสำรองโรงแรมที่พักผ่านเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นของ ‘มิชลิน ไกด์’ ได้โดยตรง อนึ่ง คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ไม่เพียงได้รับยกย่องว่าเป็นบรรทัดฐานของวงการอาหาร แต่ยังมีบทบาทในการกำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับธุรกิจโรงแรมที่พักด้วย

15 ปี “รักษ์ลำน้ำมูล” ซีพีเอฟ ร่วมอนุรักษ์ต้นน้ำ-สร้างแหล่งอาหารยั่งยืน

ป่าไม้ มีความสำคัญต่อทุกชีวิต ความร่วมมือในการอนุรักษ์ ปกป้อง และรักษา เพื่อให้ทรัพยากรคงอยู่อย่างยั่งยืน ถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อส่งต่อความอุดมสมบูรณ์ไปยังคนรุ่นต่อๆ ไป

“โครงการรักษ์ลำน้ำมูล” ที่ดำเนินการ โดย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เป็นอีกหนึ่งโครงการที่บริษัทฯ มุ่งมั่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำร่วมกับชุมชน อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ฟื้นฟู และดูแลสภาพของน้ำลำน้ำมูล ลำน้ำสายหลักของภาคอีสาน ไหลผ่านจังหวัดนครราชสีมา สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ซึ่งถือเป็นแหล่งน้ำหลักของชุมชนที่ใช้ประโยชน์ในการอุปโภคบริโภค ทำการเกษตร และใช้ในอุตสาหกรรม มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยกิจกรรมปลูกต้นไม้ เพิ่มพื้นที่สีเขียว และปล่อยพันธุ์ปลา เกิดผลกระทบเชิงบวกทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ตลอด15 ปีที่ผ่านมา ของความร่วมมือระหว่างซีพีเอฟ หน่วยงานภาครัฐ และชุมชนในพื้นที่ ร่วมดูแลรักษาลำน้ำมูล โครงการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาฟื้นฟูป่าต้นน้ำ สร้างความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำ เพื่อให้มีน้ำใช้เพียงพอตลอดสาย ทั้งยังช่วยเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำในพื้นที่ ส่งเสริมรายได้สู่ชุมชนประมงท้องถิ่น สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี และยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหาร สอดรับกับกลยุทธ์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืนของซีพีเอฟ คือ “อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน ดินน้ำป่าคงอยู่” และบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าสานต่อความร่วมมือกับภาครัฐ และชุมชนในพื้นที่ ส่งเสริมการให้ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ถ่ายทอดให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ ในโครงการ “นักสืบสายน้ำ” ฝึกปฏิบัติและเรียนรู้วิธีการศึกษาคุณภาพน้ำ สร้างความตระหนักสู่เยาวชนมีส่วนร่วมรักษาระบบนิเวศของแหล่งน้ำ ดูแลทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่อย่างยั่งยืน

แพทย์แนะ “โปรไบโอติก” เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยดูแลสุขภาพ

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แนะ “โปรไบโอติก” ช่วยระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น ควบคุมภูมิแพ้ และช่วยเรื่องระบบทางเดินอาหาร ส่วนการนำโปรไบโอติกใส่ในอาหารสัตว์อาจส่งผลให้สัตว์แข็งแรงปลอดจากการใช้ยาปฏิชีวนะหรือสารเร่งต่างๆ
นายแพทย์จิรวัฒน์ เชี่ยวเฉลิมศ

นายแพทย์จิรวัฒน์ เชี่ยวเฉลิมศรี อาจารย์แพทย์อนุสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทางคลินิก สาขาวิชาอายุรกรรม ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า โปรไบโอติก เป็นจุลินทรีย์ที่ดีมีชีวิต ซึ่งอยู่ในลำไส้ของมนุษย์และจะสร้างสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ ช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น ควบคุมภูมิแพ้ได้ดีขึ้น โดยมีงานวิจัยหลายชิ้นรับรองว่าโปรไบโอติก ช่วยเสริมในเรื่องการป้องกัน และช่วยให้ผู้ป่วยที่มีอาการภูมิแพ้ดีขึ้น

นอกจากนี้ยังพบว่าโปรไบโอติกช่วยในเรื่องของทางเดินอาหาร ระบบย่อย ระบบขับถ่ายต่างๆ หากระบบขับถ่ายดี ของเสียไม่สะสมในร่างกาย ไม่เกิดการอักเสบ สุขภาพก็ดีด้วย รวมถึงในช่วงหลังมีการนำมาวิเคราะห์ในโรคต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น โรคกลุ่มมะเร็งหรือกลุ่มอื่นๆ ด้วย เพื่อในอนาคตจะขยายผลไปสู่นวัตกรรมทางการแพทย์ต่อไป

“ทุกคนมี จุลินทรีย์ที่มีชีวิตอยู่ในลำไส้ มีทั้งตัวที่ดีและตัวที่ไม่ดี กรณีร่างกายติดเชื้อไม่สบายและไปกินยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ ยาจะฆ่าจุลินทรีย์ทั้งที่ดีและไม่ดีไปด้วย รวมไปถึงพฤติกรรมต่างๆ เช่น ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ออกกำลังกาย ไม่ดูแลตัวเอง โดยมีการวิเคราะห์จุลินทรีย์ที่อยู่ในลำไส้ในคนแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน โดยลักษณะของคนที่เป็นโรคจุลินทรีย์ที่ดีจะถูกเปลี่ยนแปลงไป” นายแพทย์จิรวัฒน์ กล่าว

ส่วน พรีไบโอติก คือ อาหารที่ไว้หล่อเลี้ยง โปรไบโอติก ช่วยให้โปรไบโอติกทำงานได้ดียิ่งขึ้น หากกินโปรไบโอติกเข้าไปอย่างเดียวโดยไม่ได้รับพรีไบโอติกซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์เข้าไปด้วย สุดท้ายโปรไบโอติกในลำไส้จะเจริญไม่ดี หรือแบ่งตัวได้ไม่ดี ซึ่งอาหารที่มีพรีไบโอติก ได้แก่ อาหารที่มีไฟเบอร์ อาหารที่มีกากใย พวกธัญญพืชต่างๆ อาทิ ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เล่ย์ ลูกเดือย ส่วนในผลไม้ อาทิ กล้วย มะเขือเทศ ดังนั้นจึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มีโปรไบโอติกควบคู่กับอาหารที่มีพรีไบโอติก เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานของจุลินทรีย์ที่ดี

สำหรับการรับประทานพรีไบโอติก และโปรไบโอติก ในผู้ที่มีสุขภาพดี ไม่ได้มีโรคประจำตัว ให้รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะและสมดุลกัน ไม่ได้บังคับต้องรับประทานทุกวัน โดยปกติแล้วอาหารที่มีพรีไบโอติกจะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพอยู่แล้ว ให้เพิ่มอาหารที่มีโปรไบโอติกเข้าไปด้วย ส่วนใหญ่พบใน นม หรือโยเกิร์ต

ล่าสุด มีการนำโปรไบโอติกไปผสมกับอาหารสัตว์ เพื่อช่วยปรับสมดุลลำไส้ของสัตว์ ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรคที่ทำให้สัตว์ป่วย ลดปัญหาสุขภาพสัตว์ ทำให้สัตว์แข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ไม่ต้องใช้สารเร่งการเจริญเติบโต ซึ่งเนื้อสัตว์ที่ได้จากสัตว์ที่มีสุขภาพดี ปลอดโรค อาจส่งผลให้คนที่รับประทานเนื้อสัตว์มีสุขภาพที่ดีปลอดจากยาและสารต่างๆ

นายแพทย์จิรวัฒน์ ย้ำว่า นอกจากจะรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์แล้ว ผู้บริโภคควรปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่ดีด้วย เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรค เกิดอาการไม่สบายหรือเกิดการติดเชื้อขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การใช้ยาปฎิชีวนะหรือการใช้ยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็น และการใช้ยาฆ่าเชื้อจะไปทำลายโปรไบโอติกซึ่งเป็นจุลินทรีย์ดีและแบคทีเรียที่ดีในร่างกาย สุดท้ายจะเหลือเพียงแบคทีเรียร้ายๆ ในลำไส้ของเรา

เอไอเอส ลงพื้นที่ หนองบัวลำภู-อุดรฯ ให้ความรู้ชาวบ้านรับมือภัยไซเบอร์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เดินหน้าจัดเต็มกิจกรรมส่งต่อความรู้ทักษะดิจิทัลให้แก่ประชาชน ในพื้นที่ต่างจังหวัดต่อเนื่อง โดยล่าสุดลงพื้นที่ จังหวัดหนองบัวลำภู อำเภอสุวรรณคูหา ในโอกาสการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ในพื้นที่ภาคอีสาน โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายไชยา พรหมา ร่วมพบปะประชาชน ทั้งนี้ ทีมเอไอเอสได้เปิดบูธแนะนำการรับมือภัยไซเบอร์ที่มาจากมิจฉาชีพในหลากหลายรูปแบบ พร้อมเปิดให้ตรวจสอบการลงทะเบียน แสดงตัวตนอย่างถูกต้อง เพื่อดูแลความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ป้องกันการแอบอ้าง และไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ ในการส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะด้านดิจิทัลด้วยหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ให้แก่ผู้สูงอายุ ณ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมผู้สูงอายุ ต.นาพู่ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมคณะผู้บริหาร กระทรวง พม. ร่วมในกิจกรรมนำร่องในครั้งนี้ โดยมีเป้าหมายในการสร้างความรู้ความเข้าใจ รณรงค์ให้ผู้สูงอายุ ไม่ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงบนโลกออนไลน์ รวมถึงสามารถใช้เทคโนโลยีมาสร้างประโยชน์ในหลากหลายด้าน อันจะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

AIS Serenade – มิลเลนเนียมออโต้กรุ๊ป ส่งดีลพิเศษแห่งปี จองรถพร้อมรับสิทธิพิเศษ 3 ต่อ

AIS Serenade ผนึกกำลัง มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป ผู้จำหน่ายรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด อย่างเป็นทางการ ภายใต้บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) ร่วมกันส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษส่งท้ายปี รับสิทธิพิเศษสุดยิ่งใหญ่ 3 ต่อ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2566
ที่งาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40, M TOWN by MILLENNIUM AUTO ชั้น 2 ดิ เอ็มสเฟียร์ หรือรับข้อเสนอสุดพิเศษได้ที่โชว์รูม มิลเลนเนียม ออโต้ ทุกสาขา

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้น ที่จะได้ส่งมอบประสบการณ์สุดล้ำให้กับลูกค้าเซเรเนด ผ่านความร่วมมือกับ มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จัดเต็มความพิเศษ 3 ต่อเมื่อจองยนตรกรรมในเครือ มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป และ นับเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความตั้งใจในการดูแลลูกค้า
ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะลูกค้า High Value อย่างเซเรเนด ที่เราพยายามคัดสรรค์สิ่งที่ดีที่สุด มาให้ลูกค้าได้สัมผัส ทั้งคุณภาพการใช้งาน บริการ และสิทธิพิเศษที่เหนือกว่า

ด้าน ดรสัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมมือกับ AIS Serenade รังสรรค์กิจกรรมแห่งความสุข ‘Endless Joy at Millennium Auto : Year End Sale Event’ มอบแคมเปญและประสบการณ์สุดพิเศษส่งท้ายปี
กับสิทธิพิเศษสุดยิ่งใหญ่ 3 ต่อ สำหรับลูกค้าที่ออกรถวันนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2566 พร้อมยกทัพยนตรกรรมหลากรุ่น หลายแบรนด์ มาให้สัมผัสอย่างใกล้ชิด”

สำหรับลูกค้า AIS Serenade สามารถเลือกรับสิทธิพิเศษที่หลากหลายมากถึง 3 ต่อด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น

·       ต่อที่ 1 สิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้า AIS Serenade สามารถนำ AIS Points จำนวน 500 คะแนน มารับส่วนลด 10,000 บาท เมื่อซื้อรถ BMW, MINI และ BMW Motorrad ทุกรุ่น

·       ต่อที่ 2  ลูกค้า AIS Serenade สามารถรับ AIS Points ไปเลย 10,000 คะแนน เมื่อจองหรือออกรถ BMW, MINI, BMW MOTORRAD ทุกรุ่น

·       ต่อที่ 3 ลูกค้า AIS Serenade ที่นำรถเก่ามาแลกซื้อรถใหม่ (Trade in) รับ AIS Points เพิ่มอีก 10,000 คะแนน

พิเศษสุดสำหรับลูกค้าทุกคนที่ซื้อรถยนต์ BMW และ MINI ทุกรุ่น สามารถรับสิทธิ์เลือกเบอร์โฟร์ เบอร์มงคล เบอร์โทรที่ตรงกับทะเบียนรถ จาก AIS ได้ ก่อนใคร พร้อมใช้งานฟรี 1 ปี สูงสุดกว่า 40,000 บาท* (สิทธิพิเศษมีจำนวนจำกัด) โดยลูกค้า AIS Serenade สามารถดูรายละเอียดการรับสิทธิ์ได้ที่แอป myAIS ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2566