Home Blog

ลุ้นเงินรางวัลใหญ่สุด ! 111 ล้านบาท ออมเงินกับสลากออมสินพิเศษ 1 ปี ฉลองครบรอบ 111 ปี ธนาคารออมสิน

การเก็บเงินด้วยการเปิดบัญชีออมเงินให้กับตัวเอง หรือคนสำคัญในครอบครัว  เป็นของขวัญที่หลายคนนิยมทำในโอกาสพิเศษอย่างเช่นวันเกิด ตลอดจนวันและเดือนสำคัญต่างๆ   แม้จะดูเหมือนเป็นของขวัญที่เรียบง่าย แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่า เมื่อได้เห็นรอยยิ้มและสัมผัสความสุขของผู้ให้และผู้รับ 

เช่นเดียวกันกับธนาคารออมสิน ธนาคารที่ส่งเสริมการออมมาอย่างยาวนาน ซึ่งที่ปีนี้ครบรอบ 111 ปี ออมสินขอใช้โอกาสพิเศษนี้เป็นผู้ส่งต่อความสุข มอบให้กับลูกค้าคนสำคัญของธนาคาร ด้วยการจัดโปรโมชันพิเศษ แจกรางวัลใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กับรางวัลที่หนึ่ง 111 ล้านบาท !!! กับ สลากออมสินพิเศษ 1 ปี ทั้งใบสลาก และ ดิจิทัล  

คนที่อยากลุ้นเป็นเศรษฐีใหม่ร้อยล้าน ต้องไม่พลาดโอกาสนี้  กับการออมเงินที่มีแต่ได้กับได้ เพราะนอกจากลุ้นรางวัลใหญ่ 111 ล้านบาทที่จะทำการออกรางวัลวันที่ 16 พฤษภาคม 67 นี้แล้ว ยังได้ลุ้นเงินล้านกันได้อีกทุกเดือนทำให้มีโอกาสได้ลุ้นติดต่อกันกันไปยาวๆ ตลอด 12 เดือน พร้อมกับเงินรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย  นอกจากนี้เมื่อถือสลากจนครบอายุยังได้รับดอกเบี้ย 0.35 % ต่อปี ที่สำคัญดอกเบี้ยและรางวัลที่ได้รับ ก็ไม่ต้องหักภาษีบุคคลธธรมดาอีกด้วย

ใครที่อยากมีสิทธิลุ้นรางวัลใหญ่ 111 ล้านบาท ต้องรีบหน่อย เพราะต้องเป็นผู้ฝากสลากออมสินพิเศษ 1 ปี ทั้งแบบใบสลากและดิจิทัลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. – 15 พ.ค. 67 เท่านั้น   สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  https://shorturl.asia/CdTDK

งานนี้ขอให้รวยขอให้ปัง แค่กำเงินร้อยเดียวก็มีสิทธิลุ้นโชคใหญ่  โดยธนาคารออมสินเปิดให้ผู้สนใจฝากสลากออมสินพิเศษ 1 ปี  สามารถฝากขั้นต่ำ 100 บาทต่อหน่วย และไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุดอีกด้วย

มาร่วมฉลองครบรอบ 11 ปี ธนาคารออมสิน พร้อมมอบของขวัญพิเศษให้กับตัวเองหรือคนสำคัญ ด้วยการออมเงินผ่านสลากออมสินพิเศษ 1 ปี พร้อมกับลุ้นเงินรางวัลใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 111 ล้านบาท โดยสามารถฝากแบบใบสลากได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา และแบบดิจิทัล ที่แอปพลิเคชัน MyMo 

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 หรือ ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th และ Facebook  : GSB Society

# # #

เที่ยวคลองบางกอกใหญ่ ชมอันซีนแบบจุกๆ บนสายน้ำแหล่งพหุวัฒนธรรม

การท่องเที่ยวนั่งเรือล่องคลอง ชมวิถีชีวิตชาวบ้าน และแวะเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่อยู่ริมคลองนั้น ถือเป็นกิจกรรมที่สนุก และใช้เวลาไม่นาน เหมาะกับผู้ที่ต้องการเที่ยวแบบวันเดย์ทริป เพราะเป็นการเดินทางที่ไม่เหน็ดเหนื่อยเกินไปนัก ระหว่างนั่งโดยสารบนเรือ ก็สามารถนั่งทอดสายตา ชมดูสิ่งต่างๆ ตลอดทางที่เรือแล่นผ่าน นอกจากนี้ ในบางเส้นทางสัญจรโบราณ อย่างเช่น คลองบางกอกใหญ่ หรือ คลองบางหลวง เราจะมีโอกาสได้ชมบ้านเก่าที่เป็นของบรรดาเจ้าขุนมูลนายสม้ยก่อนที่ยังหลงเหลืออยู่ และสถานที่สำคัญอย่างวัดวาอารามที่พบเห็นอยู่มากมาตลอดเส้นทางคลอง

เกรียนพาเที่ยว” มีโอกาสได้ท่องเที่ยวชมคลองอีกครั้ง โดยครั้งนี้ ได้มาสัมผัสกับความเสน่ห์ของคลองบางกอกใหญ่ ซึ่งแตกต่างกับทริปก่อนหน้านี้ที่เราไปชมสวนมะพร้าวในคลองบางประทุนอย่างชัดเจน เห็นได้จากจำนวนของเรือที่สัญจรไปมาบนคลองบางกอกใหญ่นี้ ดูคึกคัก และหนาแน่นกว่าทริปก่อนอย่างมาก เพราะเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะวิวไฮไลท์ของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ คือพระพุทธธรรมกายเทพมงคล องค์พระขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านเด่นชัดของคลองบางกอกใหญ่แห่งนี้ ยิ่งเวลาใกล้ช่วงสายของวัน เราก็ยิ่งเห็นเรือนักท่องเที่ยวลำยาวหลายต่อหลายลำแล่นสวนตลอดทาง พร้อมกับเสียงม้คคุเทศก์บนเรือส่งเสียงภาษาจีนบรรยายให้นักท่องเที่ยวดังให้ได้ยินแบบไม่ขาดสายเลยทีเดียว

เรือนักท่่องเที่ยวแล่นไปมาตลอดลำคลองบางกอกใหญ่

สำหรับทริปล่องคลองบางกอกใหญ่ครั้งนี้ เราเดินทางไปกับคุณอาณัติ นักเล่าเรื่องท้องถิ่น ซึ่งจัดทริปเที่ยวคลองเส้นทางต่างๆ อยู่ โดยมีจุดนัดพบที่ท่าเรือวัดใหม่ยายนุ้ย ส่วนเรือที่ใช้เดินทางครั้งนี้ เป็นเรือแท็กซี่พลังงานไฟฟ้า ขนาด 10 ที่นั่ง บนหลังคาเรือติดตั้งแผงโซลาเซล ทำให้การเดินเรือครั้งนี้ ดำเนินไปอย่างสบายๆ เพราะเรือไฟฟ้าเดินเครื่องเงียบมาก ไม่ส่งเสียงดังรบกวน และไม่สร้างมลพิษให้กับคลองอีกด้วย

เรือแท็กซี่พลังงานไฟฟ้า ทำความเร็วได้ประมาณ 10 กม./ชม.

จุดหมายแรก หลังจากแล่นเรือไปตามคลองด่าน เราจอดเรือเทียบที่ท่าวัดอินทารามวรวิหาร เพื่อแวะทานอาหารเช้า โดยคุณอาณัติพาเราไปที่ร้านสุริยากาแฟ ร้านกาแฟเก่าแก่คู่ตลาดพลูอายุกว่า 100 ปี ปัจจุบัน รุ่นลูกรุ่นหลานก็กระจายกันเปิดเป็นสาขาต่างๆ แต่ร้านแรกดั้งเดิมจะตั้งอยู่ในตลาดวัดกลาง (วัดจันทาราม) สำหรับแอดมิน มีโอกาสมานั่งดื่มกาแฟที่ร้านดั้งเดิมนี้เป็นครั้งแรก เพราะส่วนใหญ่จะสะดวกแวะซื้อที่ร้านตรงใต้สะพานตลาดพลู เมนูเครื่่องดื่มที่อยากแนะนำ คือ ชาซีลอน จะเป็นชาดำเย็น หรือ ชานม ขอบอกว่า หอมอร่อยชื่นใจดีนัก น่าเสียดายที่วันที่เราไป เมนูปาท่องโก๋ ซาลาเปาทอด หมดเสียก่อน เลยไม่ได้สั่งมาทานคู่กัน

หลังจากเติมพลังจนอิ่มท้อง เราเดินย้อนกลับมาที่วัดอินทารามวรวิหาร เข้าชมความงามของพระอุโบสถ และไหว้สักการะพระพุทธชินวร พระประธาน และที่สำคัญ ยังได้มีโอกาสชมพระพุทธรูปปางถวายพระเพลิง อยู่ในวิหารด้านหน้าพระอุโบสถ พระพุทธรูปปางนี้ถือเป็นปางที่หาชมได้ยาก และพบได้ในวัดเพียงไม่กี่แห่ง ลักษณะเป็นการจำลองภาพหีบพระศพ และมีพระบาทของพระพุทธเจ้ายื่นออกมาจากหีบ มีพระภิกษุ 3 รูป พนมมือไหว้พระบาทที่ยื่นออกมา นอกจากนี้ ผนังด้านข้างยังมีภาพวาดจิตรกรรมเป็นรูปพระสงฆ์กำลังยิ้มหัวเราะโดยคุณอาณัฐเล่าให้ฟังว่า เป็นภาพวาดรูปพระสุภัททะ พระชราที่บวชตอนแก่ โดยตามพระสูตรกล่าวว่าเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระสุภัททะกลับบอกแก่หมู่ภิกษุว่า “หยุดเถิด หยุดเถิด ท่านอย่าร่ำไรไปเลย พระสมณะนั้นพ้น (ปรินิพพาน) แล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ตามพอใจ ไม่ต้องเกรงบัญชาใคร” อันเป็นสาเหตุให้ต่อมามีการสังคายนาพระธรรมขึ้นในภายหลัง

จากนั้น เราขึ้นเรือเพื่อล่องออกสู่คลองบางกอกใหญ่จนเกือบถึงประตูน้ำบริเวณวัดกัลยาณมิตร แวะจอดเทียบท่าเพื่อขึ้นไปไหว้สักการะหลวงพ่อโตซำปอกง และ พระปางป่าเลไลย์ ในพระอุโบสถ รวมทั้งชมความงามของภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือชั้นครูในสมัยรัชกาลที่ 3 ทั้งในวิหาร และอุโบสถ ซึ่งพบว่า มีภาพวาดหลายจุดที่ชำรุดเสียหาย มีสภาพหลุดร่อนจากความชื่้น ก็คงต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลรักษาต่อไป สำหรับจิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถแห่งนี้ จะเป็นการวาดเล่าเหตุการณ์สำคัญในอดีต เช่น ภาพวาดคดีการลักเด็กที่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัย ร.3

ประตูเรือบริเวณหน้าวัดกัลยาณมิตร ทำหน้าที่เปิดปิดการสัญจรของเรือที่เข้าออกระหว่างคลอง-แม่น้ำเจ้าพระยา
ภาพวาดจิตรกรรมเล่าเรื่องคดีลักเด็กใ เหตุการณ์จริงในสมัยรัชกาลที่ 3

จากที่วัดกัลย์ฯ เราสามารถเดินเท้าไปยังทางเดินเท้าเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อไปยังศาลเจ้าเกียงอันเกง ขอพรต่อองค์เจ้าแม่กวนอิม ที่แกะสลักจากไม้จันทร์หอมอายุกว่า 200 ปี ซึ่งวันที่เราไป มีนักท่องเที่ยว ผู้คนที่ศรัทธา และสายมู จำนวนมาก มาแน่นขนัดทั้งที่หลวงพ่อโต วัดกัลย์ และศาลเจ้าแห่งนี้

จากนั้น เราเดินย้อนกลับมาที่วัด เพื่อเดินทางต่อไปยังสถานที่ต่อไปซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก คือ มัสยิดบางหลวง หรือ สุเหร่ากุฎีขาว ศาสนสถานของชาวมุสลิม หนึ่งเดียวที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบวัดไทย คือ หากเดินผ่าน แล้วไม่สังเกตเห็นป้ายที่บอกว่าเป็นมัสยิดแล้ว เชื่อว่าทุกคนต้องเห็นเป็นวัดไทยแห่งหนึ่งอย่างแน่นอน

มัสยิดกุฎีขาว

และเราก็เดินเท้ากลับมาลงเรือ เพื่อล่องกลับคลองบางกอกใหญ่ และแวะสถานที่ต่อไป นั่นคือ วัดหงส์รัตนาราม อุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ คือ “หลวงพ่อแสน” นอกจากนี้ยังมีตำนานว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มักจะเสด็จมานั่งวิปัสสนากรรมฐานภายในพระอุโบสถนี้ด้วย ภายในวัดหงส์ยังมีสถานที่สำคัญ คือ วิหารพระทองคำสมัยสุโขทัย ซึ่งเป็นสมัยเดียวกับพระพุทธรูปทองคำที่วัดไตรมิตร จากน้้นพวกเราก็เดินทางต่อไปแวะคลายร้อนกันที่ร้านคาเฟ่อู่เรือ ไฮไลท์คือ จุดชมองค์พระใหญ่ วัดปากน้ำ เก็บภาพเป็นที่ระลึกได้แบบสวยงามสุดๆ เลยทีเดียว

จุดชมวิวองค์พระใหญ่ ของร้านคาเฟ่อู่เรือ

เมื่อพักจนหายเหนื่อย และได้ถ่ายรูปองค์พระใหญ่จนพอใจแล้ว ก็ถึงเวลาตอ้งเดินทางไปยังสถานที่สุดท้ายของทริปนี้ นั่นคือ วัดนางชี เพื่อชมงานประดับมุกบานหน้าต่างและประตูอุโบสถ ศิลปะชั้นยอดของเมืองนากาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งพบได้ที่วัดนางชี และวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม โดยสภาพส่วนใหญ่ชำรุดจากการถุกปลวกกิน รอการบูรณะซ่อมแซมจากทางญี่ปุ่นต่อไป

ก่อนจะปิดท้ายทริปนี้ ด้วยการกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งที่วัดนางชีนี้จะการจัดงานบุญประจำปีที่ปฏิบัติกันมาช้านาน คือ “งานชักพระวัดนางชี” หรือ “งานแห่พระบรมสารีริกธาตุ” โดยจัดในวันแรม 2 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี

จบทริปนี้ไปด้วยประทับใจท่ามกลางอากาศอันแสนร้อนอบอ้าวในเดือนมีนาคม แต่ต้องขอบอกว่า แม้แอดมินจะเกิดและใช้ชีวิตที่ฝั่งธนฯ มาครึ่งชีวิต แต่นี่เป็นครั้งแรกๆ ที่ได้มีโอกาสสัมผัสความ “อันซีน” ที่พบเห็นได้แบบไม่จำกัด ตลอดแนวคลองบางกอกใหญ่แห่งนี้

ออมสิน ตอบทุกความต้องการเรื่องบ้านด้วย “สินเชื่อเคหะ”

การมี “บ้าน” เป็นของตัวเอง นับเป็นความใฝ่ฝันของคนจำนวนไม่น้อย ซึ่งการจะเป็นจริงได้นั้น ต้องอาศัยความตั้งใจ ความอดทน และระยะเวลา เพราะบ้าน ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงสุดในชีวิต การตัดสินใจซื้อ หรือปลูกสร้างบ้าน ย่อมต้องเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่และสำคัญของชีวิตเลยทีเดียว อีกทั้ง การดูแลรักษา ซ่อมแซม และต่อเติมบ้านที่อยู่อาศัย ถือเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่สูงของเจ้าของบ้าน ทำให้ ต้องมีการวางแผนบริหารจัดการเงินให้ดี เพื่อไม่ให้กระทบกับการสถานะทางการเงิน จนเกิดเป็นปัญหาทางด้านการเงินตามมา

นับเป็นโอกาสดีของ เจ้าของบ้าน และคนรักบ้าน ที่ปัจจุบันนี้ได้รับประโยชน์จากเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ที่เข้ามาเป็นทางเลือก ช่วยทำให้ความต้องการมีบ้านเป็นของตัวเอง ตลอดจนการซ่อมแซม ต่อเติมบ้าน เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น

เช่นเดียวกับ “สินเชื่อเคหะ” ของธนาคารออมสิน ซึ่งเข้าใจคนรักบ้าน และตระหนักดีถึงภาระทางการเงินจากบ้าน จึงออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบครบทุกความต้องการเรื่องบ้าน โดยเป็นสินเชื่อบ้านที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการทั้งซื้อ / ปลูกสร้าง / ต่อเติมซ่อมแซม ด้วยเงื่อนไขพิเศษให้ผ่อนต่ำ ล้านละ 3,555 บาท/เดือน ระยะเวลานาน 6 เดือนแรก พร้อมอัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.140% (MRR-3.855%)

สำหรับผู้กู้ต้องมีคุณสมบัติ คือ มีอายุครบ 20 ปีขึ้นไป และเมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี ประกอบอาชีพและมีรายได้แน่นอน กรณีกู้ร่วมกับบุคคลอื่น มีเงื่อนไขเพิ่มเติม ดังนี้ คือ หากกู้ร่วมกับบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์เป็นคู่สมรส บุตร บิดา มารดา หรือ พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันทุกคนก็ได้ แต่หากกู้ร่วมกับบุคคลอื่นที่นอกเหนือจากข้างต้นแล้ว ต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันทุกคน

สามารถติดต่อยื่นกู้สินเชื่อเคหะได้แล้ว เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 15 ตุลาคม 2566 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาแล้วเสร็จ ภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/43Pd008 ติดต่อสอบถาม และสมัครขอสินเชื่อได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือทาง www.gsb.or.th

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 หรือติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th และ Facebook: GSB Society

รู้เก็บรู้ออม : ลงทุนหุ้น ESG แล้วได้อะไร!!

คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ลงทุน…สู่ความมั่งคั่ง” พูดถึงหุ้นยั่งยืน (ESG) มาแล้วหลายครั้ง จนถึงตอนนี้นักลงทุนน่าจะรู้จักหุ้นประเภทนี้เป็นอย่างดีแล้วว่า บริษัทจดทะเบียนที่เป็นเจ้าของหลักทรัพย์ หรือหุ้น ESG นี้ จะประกอบกิจการแบบไม่ได้มองแค่กำไรเป็นตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ต้องให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและหลักธรรมาภิบาล ด้วย

ทีนี้ หลายคนคงมีคำถามอยู่ในใจว่า นักลงทุนเอง เมื่อลงทุนก็ต้องหวังว่าจะได้เห็นหุ้นที่ตัวเองซื้อ ราคาปรับเพิ่มขึ้น จึงเกิดคำถามว่า การลงทุนในหุ้น ESG จะตอบโจทย์เรื่องผลตอบแทนหรือไม่ เพราะติดภาพว่า หุ้น ESG เป็นหุ้นโลกสวย ราคาหุ้นไม่หวือหวา

มีรายงานของฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทดลองจัดพอร์ตลงทุนหุ้นไทยในกลุ่ม ESG เพื่อศึกษาผลตอบแทนรวมสะสมย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2559-2564 พบว่า ให้ผลตอบแทนรวมสะสมถึง 51% และยังพบว่า หุ้นที่อยู่ในกลุ่มยั่งยืนนี้ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทในตลาดหุ้นไทยให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG มากขึ้น

เพราะการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน จะลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบด้านลบต่อผลการดำเนินงานด้านการเงินของบริษัท เมื่อความเสี่ยงลดลง นักลงทุนก็จะกล้าซื้อหุ้น ส่งผลให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น

เว็บไซต์ SETINVESTNOW โดยตลาดหลักทรัพย์ฯได้เผยแพร่บทความที่ตอกย้ำแนวคิดดังกล่าว โดยยกตัวอย่างหุ้นสองตัว คือ หุ้น CPF ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) อยู่ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และหุ้น CPN ของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง เพื่อให้แสดงตัวอย่างด้านผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมจากการลงทุนในหุ้น ESG

หุ้นทั้งสองตัวนี้มีชื่อติดอันดับรายชื่อหุ้นยั่งยืนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯประกาศทุกปี ทำให้เห็นได้ว่า ผู้ประกอบการต่างให้ความสำคัญกับประเด็น ESG อย่างมาก

ยิ่งให้ความสำคัญมากเท่าไร ก็ต้องมีความพยายามดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น เพื่อรักษามาตรฐาน และระดับความน่าเชื่อถือของธุรกิจตัวเอง

ยกตัวอย่างเช่น การให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของอาหารของ CPF, การจัดการของเสียจากการใช้งานอาคารที่ CPN ตั้งเป้าลดปริมาณขยะที่ส่งไปหลุมฝังกลบให้เท่ากับศูนย์, การลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่สิ่งแวดล้อม ที่ทั้งสองบริษัทกำหนดไว้เป็นนโยบายเช่นกัน

นโยบายแต่ละเรื่องล้วนเป็นการลดความเสี่ยงที่ส่งผลต่อการสร้างรายได้ ตลอดจนผลดำเนินงานด้านการเงินของบริษัท นักลงทุนที่เลือกซื้อหุ้นกลุ่มนี้ จึงจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าจากการลงทุนแน่นอน

สำหรับผู้ที่อยากเรียนรู้แนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน สามารถเรียนฟรีกับ หลักสูตร “ถอดแนวคิดการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน” https://elearning.set.or.th/SETGroup/courses/534/info หรือดูรายชื่อหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment: THSI) ปีล่าสุด ได้ที่นี่ รายชื่อ Thailand Sustainability Investment (THSI) ปีล่าสุด.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โออาร์ เชิญร่วมงาน “Inclusive Growth Days empowered by OR” สร้างโอกาสเติบโตร่วมกันกับธุรกิจทุกขนาดและสตาร์ตอัป

โออาร์ เชิญชวนผู้ประกอบการธุรกิจทุกขนาด สตาร์ตอัป และผู้สนใจร่วมเส้นทางเติมเต็มโอกาสเพื่อการเติบโตไปด้วยกันในงานเสวนาและโชว์เคสธุรกิจครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี “Inclusive Growth Days empowered by OR” ระดม 50 ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักธุรกิจชั้นนำ ร่วมเจาะลึกโมเดลธุรกิจแห่งอนาคตที่จะมาช่วยต่อยอดการลงทุน ผู้เชี่ยวชาญวงการสตาร์ตอัปมาไขรหัสแห่งความสำเร็จ พร้อมทั้งการจัดแสดงสินค้า นวัตกรรม และเทคโนโลยีจากพันธมิตรของ โออาร์ ที่จะยกระดับธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมโอกาสในการสรรหาพันธมิตร สร้างเครือข่ายทางธุรกิจ เพื่อร่วมเติมเต็มศักยภาพและก้าวสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน เพลิดเพลินกับการชอปปิงสินค้าไทยเด็ด อิ่มอร่อยกับอาหารและเครื่องดื่มจากร้านค้าและแบรนด์ชั้นนำ รวมถึงความบันเทิงจากศิลปินนักร้อง นักแสดงชั้นนำ และแขกรับเชิญเซเลบริตี้มากมาย ตั้งแต่วันที่ 22 – 24 กรกฎาคม 2565 ที่ ชั้น 22 บางกอก คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีที่ https://www.zipeventapp.com/e/Inclusive-Growth-Days

จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ โออาร์

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ กล่าวว่า “โออาร์ ได้เดินหน้าวิสัยทัศน์ใหม่ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน” ด้วยความเชื่อว่า ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของโลก องค์กรธุรกิจต้องปรับตัวและพลิกโฉม นำโมเดลทางธุรกิจและนวัตกรรมใหม่มาใช้ และประสานความร่วมมือกัน เพื่อเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมที่จะส่งเสริมผู้คนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างสรรค์ชุมชนที่น่าอยู่ และรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยังคงอุดมสมบูรณ์สำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต เราจึงจัดงาน “Inclusive Growth Days empowered by OR” ขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะขับเคลื่อนโอกาสและสร้างแรงบันดาลใจในการดำเนินธุรกิจสู่อนาคต ผู้ประกอบการธุรกิจทุกรูปแบบ ทุกขนาด ทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ รวมถึงสตาร์ตอัป จะได้รับประโยชน์โดยตรงเมื่อมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ รวมถึงมองหาพันธมิตรและช่องทางธุรกิจ ตลอดจนสร้างความร่วมมือซึ่งกันและกันระหว่างธุรกิจต่าง ๆ”

“คุณค่าและสาระประโยชน์จากเวทีเสวนาและโชว์เคสครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นได้ ด้วยความร่วมมือร่วมใจจากผู้บริหารจากองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลอดจนนักธุรกิจและผู้บริหารองค์กรธุรกิจชั้นนำจากหลากหลายภาคอุตสาหกรรม รวมกว่า 50 ท่าน ที่ให้เกียรติมาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ แลกเปลี่ยนมุมมอง และประสบการณ์ ด้วยความตระหนักดีว่า การดำเนินธุรกิจแบบเดิมที่มุ่งเน้นเพียงการแสวงหาผลกำไร ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ในระยะยาวอย่างยั่งยืน ถึงเวลาแล้วที่เราจะมาร่วมสร้างโอกาสให้ทุกคนในสังคมเติบโตร่วมกันแบบ Inclusive Growth” นางสาวจิราพร กล่าวเสริม

นอกเหนือจากสร้างโอกาสให้ทุกคนในสังคมเติบโตร่วมกันแบบ Inclusive Growth ไฮไลต์ของงานเสวนา สอดคล้องกับพันธกิจทั้ง 4 ของ โออาร์ ประกอบด้วย
Seamless Mobility – EV พลิกโฉมธุรกิจพลังงานและการเคลื่อนที่อย่างไร้รอยต่อ
All Lifestyles – ตอบโจทย์ทางเลือกการใช้ชีวิตในอนาคต ทั้งอาหาร สุขภาพ และการท่องเที่ยว รวมถึงช็อปผลิตภัณฑ์ชุมชนจากโครงการไทยเด็ดทั่วประเทศ
Global Market – โอกาสของธุรกิจไทยในต่างแดน และหลากหลายสูตรสำเร็จเพื่อการเติบโตในต่างประเทศ รวมถึงเคล็ดวิชาของ Café Amazon และ PTT Station ในตลาดโลก
OR Innovation – นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน สร้างตลาดใหม่ด้วยการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม ไขรหัสความสำเร็จของ Flash Express สตาร์ทอัประดับยูนิคอร์นรายแรกของไทย และอีกหลากหลาย Solution ล้ำยุค

โออาร์ ทุ่มเทความตั้งใจจัดงานนี้เพื่อให้ผู้เข้าชมงาน ทั้งนักธุรกิจ นักลงทุน พนักงาน ตลอดจนประชาชนทั่วไปได้เห็นถึงโมเดลทางธุรกิจแห่งอนาคต ที่จะต้องสานพลังและประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อการเติบโตแบบ Inclusive และยังมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมจากพันธมิตรของ OR ทั้งตัวแทนจำหน่าย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สตาร์ทอัป และ แบรนด์ต่าง ๆ รวมกว่า 100 บูธ ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีด้านยานยนต์ไฟฟ้า นวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตในโลกยุคใหม่ ผลิตภัณฑ์และสินค้าอาหารจากธุรกิจในเครือและพันธมิตรของ OR และ Café Amazon ผลิตภัณฑ์และอาหารจากโครงการไทยเด็ด และเพลิดเพลินกับเครื่องดื่มหลากหลายจาก Café Amazon ที่มาจำลองบรรยากาศ Green Oasis ขึ้นภายในงาน รวมถึงเมนูพิเศษที่มีจำหน่ายเฉพาะ Café Amazon ในต่างประเทศเท่านั้น พร้อมมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง อาทิ นนท์ ธนนท์, เอ๊ะ จิรากร, เจ๋ง บิ๊กแอส,โต้ง ทูพี และกิจกรรมสนุกสนานจากดารา นักแสดง และแขกรับเชิญเซเล็บคนดังมากมายที่มาร่วมงาน อาทิ ไบร์ท นรภัทร, ตรี ภรภัทร, ฟิล์ม ธนภัทร, ตงตง กฤษกร, เน๋ง ศรัณย์, กระทิง ขุนณรงค์, ภณ ณวัสน์

สำหรับหัวข้อการบรรยายและการเสวนาบนเวทีที่น่าสนใจ ประกอบด้วย

Start-Up Sharing Session: 22 กรกฎาคม 2565 เวลา 10:00 น. – 12:30 น.
• แนะนำธุรกิจ โดย 11 สตาร์ทอัปและธุรกิจร่วมลงทุน (VC) ที่มาร่วมงาน

Inclusive Growth Theme: 22 กรกฎาคม 2565 เวลา 13:00 น. – 17:30 น.
• กล่าวเปิดงานในหัวข้อ “Inclusive Growth ทิศทางธุรกิจแห่งอนาคต” โดย จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR
• “Inclusive Economy ก้าวต่อไปของเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจที่เติบโตร่วมกับสังคม” โดย ดนุชา พิชยนันน์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
• “Inclusive Business Model โมเดลธุรกิจแห่งอนาคต โมเดลธุรกิจที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ดร. ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย จำกัด และ จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR
• “Inclusive Finance โมเดลการเงินแห่งอนาคต เพื่อการเติบโตร่วมกัน” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ธนา โพธิกําจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด และ ดร.สันติธาร เสถียรไทย ประธานทีมเศรษฐกิจ (Group Chief Economist) และกรรมการผู้จัดการ ซีกรุ๊ป
• ปิดท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก เอ๊ะ-จิรากร สมพิทักษ์

Seamless Mobility Theme: 23 กรกฎาคม 2565 เวลา 9:00 – 14:00 น.
• “From Gas to Green พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค วรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) สมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน OR
• “The World of EV ยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อโลกเพื่อเรา” โดย รศ.ดร. ยศพงษ์ ลออนวล หัวหน้าศูนย์วิจัย Mobility and Vehicle Technology Research Center (MOVE) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และ นายกสมาคมกิตติมศักดิ์ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย
• “EV Moments ช่วงเวลาที่ดีต่อใจ ดีต่อโลก” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ศิวภูมิ เลิศสรรค์ศรัญย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาร์ซัม (ประเทศไทย) จำกัด เอกชัย ยิ้มสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด และวริศร เรียงประยูร กรรมการผู้จัดการ เอ มอเตอร์ส กรุ๊ป
• “The World of Seamless Mobility โลกแห่งการเคลื่อนที่อย่างไร้รอยต่อ” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย ประธานกรรมการ บริษัท ขอนแก่นพัฒนาเมือง จำกัด (เคเคทีที) พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ธารินี สุทธิปริญญานนท์ นายกสมาคมการค้าผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมันพลังไทย PTT และบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน OR
• พักครึ่งด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก นนท์ – ธนนท์ จำเริญ

All Lifestyles Theme: 23 กรกฎาคม 2565 เวลา 14:00 – 16:30 น.
• “Taste of Happiness รสชาติแห่งความสุข” โดย ฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการบริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์กรุ๊ป จํากัด (มหาชน)
• “Wellness Destination จุดหมายที่ร่างกายได้ยิ้ม” โดย ฐิติพัฒน์ ศุภภัทรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธัญ-ออริซ่า จำกัด ผู้ก่อตั้ง THANN Wellness Destination
• “Beyond Food มากกว่าอาหารแต่คือสุขภาพที่ดีขึ้น” ร่วมเสวนาโดย ชลากร เอกชัยพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (โอ้กะจู๋) กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด แดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) และสมยศ คงประเวช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจไลฟ์สไตล์ OR
• “All Lifestyles for Good Health ตอบโจทย์การใช้ชีวิตกับสุขภาพดีที่คุณเลือกได้” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย นพ. ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก วสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) วิภาวี วงศ์สิริศักดิ์ CCO และผู้ร่วมก่อตั้งโกวาบิ และ นพ. สุทธิชัย โชคกิจชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท กู๊ด ด็อกเตอร์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย)

Global Market Theme: 24 กรกฎาคม 2565 เวลา 9:00 – 13:30 น.
• “Borderless Fashion แฟชั่นไร้พรมแดน” โดยเดวิด โจว ประธานกรรมการบริหาร (ซีอีโอ) และผู้ร่วมก่อตั้ง โพเมโล แฟชั่น
• “Thai Brands to Global Market สร้างแบรนด์ไทยสู่แบรนด์โลก” โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) วีรพลน์ เตชะผาสุขสันติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด และรชา อุทัยจันทร์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจต่างประเทศ OR
• “Thai Business in Global Arena ธุรกิจไทยไม่แพ้ใครในเวทีโลก” โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย กฤษฎา มนเทียรวิเชียรฉาย รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มมิตรผล ดร. เกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด และชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด
• “Global Opportunities for Thai Businesses โอกาสการเติบโตของธุรกิจไทยในต่างแดน” โดย สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
• พักครึ่งด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก เจ๋ง-เดชา โคนาโล และทูพี-พิทวัส พฤกษกิจ

New Innovation Theme: 24 กรกฎาคม 2565 เวลา 13:30 – 17:00 น.
• “Impact Innovation สตาร์ตอัปยุคต่อไป สร้างตลาดใหม่โดยแก้ปัญหาสังคม และสิ่งแวดล้อม” โดย กระทิง พูนผล ผู้ก่อตั้งกองทุน 500 TukTuks และผู้บริหารกองทุน ORZON Ventures
• การสัมภาษณ์พิเศษ “The Journey of Thailand’s 1st Unicorn กว่าจะเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของเมืองไทย” คมสันต์ ลี ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจแฟลช (โดยรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จํากัด ผู้ก่อตั้งเพจ Mission to the Moon เป็นผู้สัมภาษณ์)
• “Technology for a Sustainable Future เทคโนโลยีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ธีระ กนกกาญจนรัตน์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรินแคร์ จำกัด ธมลวรรณ วิโรจน์ชัยยันต์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มอร์ลูป จำกัด แซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด และ นพ. ศุภชัย ปาจริยานนท์ กรรมการ บริษัท ไรส์ อินโนเวชั่น ฮับ จำกัด
• “New Innovation toward Sustainable Society นวัตกรรมสู่สังคมที่ยั่งยืน” โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย พงษ์ลดา พะเนียงเวทย์ ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง เฟรชเก็ต สมศักดิ์ บุญคำ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Local Alike หลุยส์ อัลบาน บาทาร์ด ดูเปร ผู้ก่อตั้งแอพพลิเคชั่น “ยินดี (Yindii) และราชสุดา รังสิยากูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการโครงการ ORion
• ปิดท้ายด้วย “Together toward Inclusive Growth เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน” โดยจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR

ออมสิน รับปีขาล ออก “สลากออมสินดิจิทัล 1 ปี ฉลองปีใหม่ 2565” ลุ้นรางวัลใหญ่ 1 ล้าน รวม 20 รางวัล

ธนาคารออมสิน ต้อนรับปีขาล มอบของขวัญปีใหม่ 2565 ให้ลูกค้าสุดพิเศษ!

ซื้อสลากออมสินดิจิทัล 1 ปี ผ่าน MyMo ได้ลุ้นโชคต่อที่ 2 เพิ่ม! รางวัลพิเศษ จำนวน 20 รางวัล ๆ ละ 1 ล้านบาท มูลค่ารวม 20 ล้านบาท

กำหนดออกรางวัล 2 ครั้ง
• ครั้งที่ 1 วันที่ 16 มีนาคม 2565 จำนวน 10 รางวัล รวม 10 ล้านบาท
• ครั้งที่ 2 วันที่ 16 เมษายน 2565 จำนวน 10 รางวัล รวม 10 ล้านบาท
(กำหนดงวดและหมวดอักษรของรางวัลพิเศษ ทั้ง 20 รางวัล)

เปิดรับฝากตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2564 – 15 มีนาคม 2565 (วงเงินรับฝาก 24,000 ล้านบาท)

หลักเกณฑ์รายละเอียด
ระยะเวลารับฝากตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป
ผู้มีสิทธิเปิดบัญชีบุคคลธรรมดา อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป
อายุ1 ปี (สิทธิการถูกรางวัล 12 ครั้ง)
ราคาต่อหน่วย20 บาท
รายละเอียดดอกเบี้ยฝากครบ 1 ปี ไม่ได้รับดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ยกรณีผิดเงื่อนไขการฝากฝากไม่ครบ 3 เดือน หักส่วนลด 0.50 บาทต่อหน่วย
วงเงินในการรับฝาก 1. สามารถเลือกทำรายการฝากตามจำนวนเงินที่กำหนดได้ ดังนี้ จำนวนเงิน 200 /400 /1,000 /2,000 /10,000 /20,000 /100,000 และ 200,000 บาท
2. สามารถระบุจำนวนเงินที่ต้องการฝากด้วยตนเองตั้งแต่ 1,000 บาท และสูงสุดไม่เกิน 10,000,000 บาท โดยระบุได้เฉพาะจำนวนเงินที่หารด้วย 1,000 ลงตัว
3. วงเงินการทำรายการสูงสุด 10,000,000 บาทต่อวัน (วงเงินรวมกับการโอนเงินภายในบัญชีตนเอง)4. ธนาคารไม่ออกใบสลากให้ แต่สามารถตรวจสอบรายการฝากได้ในบริการMobile Banking (MyMo)5. สามารถฝากเพิ่มในทะเบียนสลากเดิมได้โดยเป็นรายการฝากใหม่
ระยะเวลาจ่ายดอกเบี้ย
การออกรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน* หยุดจำหน่ายทุกวันที่ 16 ของเดือน *
การรับเงินรางวัลโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอนในวันถัดจากวันที่ออกรางวัล
เงื่อนไขหลัก1. ผู้ฝากต้องมีบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกเป็นบัญชีคู่โอนสำหรับรับโอนเงินต้นและดอกเบี้ยเมื่อสลากครบอายุ และเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝาก2. ต้องสมัครใช้บริการ Mobile Banking (MyMo) สำหรับทำรายการฝาก-ถอน ผ่านบริการ Mobile Banking (MyMo)3.  ไม่รับฝากบัญชีร่วมและบัญชีเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์
สลากครบอายุโอนเงินสลากครบอายุและดอกเบี้ย(ถ้ามี) เข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอน

สิทธิพิเศษของโครงการ 

ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2564 – 15 มีนาคม 2565
วงเงินโครงการ24,000 ล้านบาท
เงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ1.     ต้องเป็นผู้ฝากสลากออมสินดิจิทัล 1 ปี ในระหว่างวันที่ 17 ธันวาคม 2564 – 15 มีนาคม 2565 เท่านั้น
2.     ไม่จำกัดวงเงินรับฝากต่อราย
สิทธิพิเศษของโครงการเพิ่มรางวัลพิเศษ รางวัลละ 1 ล้านบาท จำนวน 20 รางวัล รวมเป็นเงินรางวัลทั้งสิ้น 20 ล้านบาท โดยกำหนดงวดและหมวดอักษรของรางวัลพิเศษ ทั้ง 20 รางวัล
การออกรางวัลพิเศษออกรางวัลจำนวน 2 ครั้งครั้งที่ 1 วันที่ 16 มีนาคม 2565 จำนวน 10 รางวัล รวม 10 ล้านบาทครั้งที่ 2 วันที่ 16 เมษายน 2565 จำนวน 10 รางวัล รวม 10 ล้านบาท
การรับเงินรางวัลพิเศษโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอน ในวันถัดจากวันที่ออกรางวัล

ดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ >https://bit.ly/3sAm4pW

OR สนับสนุนพื้นที่ใน พีทีที สเตชั่น 17 แห่ง ตั้งจุดกระจายยาเพื่อผู้ป่วยโควิด-19

ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด – 19 จำนวนมาก กระจายไปทั่วประเทศ  บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ได้เข้าไปมีบทบาทในการสนับสนุนโครงการ Primary Care Hub – “ComCOVID-19 – FM CoCare  ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง พริบตาคลินิกของสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี  โดยการสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบัน มีผู้ป่วยอยู่ในความดูแลของโครงการนี้ กว่า 20,000 ราย

OR จัดพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 17 แห่ง เป็นจุดกระจายยา เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ โออาร์ ยังมอบบัตรน้ำมัน พีทีที สเตชั่น พริวิเลจการ์ด มูลค่า 270,000 บาท เพื่อสนับสนุนดำเนินงานของไรเดอร์อาสาสมัคร จาก บริษัท ดิจิตอล อีร่า กรุ๊ป (UFU) ที่รับส่งยาให้กับผู้ป่วย

การจัดตั้งจุดกระจายยาในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ส่งกำลังใจ..สู้ไปด้วยกัน” #ORStayStrongTogether ซึ่ง OR ได้ดำเนินการช่วยเหลือหน่วยงานและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในหลากหลายรูปแบบมาอย่างต่อเนื่อง ร่วมส่งกำลังใจให้ทุกคนสามารถก้าวต่อไปได้ดีดังเดิม

OR ร่วมส่งกำลังใจ สู้โควิดไปด้วยกัน ผ่านกล่อง tOgetheR Box

ในวันที่หลายคนตั้งคำถามว่า เราจะผ่านพ้นวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ครั้งนี้ไปได้อย่างไร จำนวนผู้ติดเชื้อแตะระดับสูงสุดหรือยัง และจะลดลงเมื่อไหร่ วัคซีนป้องกันจะได้คิวฉีดวันไหน  เด็กจะได้ไปใช้ชีวิตวัยเรียนที่โรงเรียนได้เมื่อไร และ เราต้องอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ต้องทำงานอยู่กับบ้าน  ลดกิจกรรมนอกบ้าน  กันแบบนี้ไปอีกนานเท่าไร

ความจริงที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ คือ เราต้องอยู่กับสภาพเช่นนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง  และต้องอยู่อย่างมีความรับผิดชอบต่อคนรอบข้าง  สมาชิกครอบครัว และสังคม  เราต้องอยู่อย่างมีสติ  อยู่อย่างระแวดระวังแต่ไม่ใช่หวาดระแวงต่อกัน

แม้ว่า สถานการณ์โควิด-19 ระลอกนี้ จะสร้างความหวาดหวั่นใจให้กับผู้คนมากขึ้น  ตัวเลขการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 20,000 กว่าคนต่อวัน   ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดรายวัน จนถึงวันนี้ เราได้เห็นตัวเลข 300 กว่าคนแล้ว

จำนวนผู้ป่วยโควิดที่สูงมากขนาดนี้ มากกว่าเกินกว่าระบบการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล ทั้งจำนวนสถานพยาบาล  จำนวนบุคลากรทางการแพทย์ จะสามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง จึงทำให้ภาครัฐ ต้องออกแนวทางการรักษาตัวอยู่ที่บ้าน หรือ Home Isolation เพื่อแบ่งเบาภาระของด่านหน้า และรักษาให้ระบบสาธารณสุขของเรายังสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้

รูปแบบความช่วยเหลือที่จะได้ผลและรวดเร็ว  จึงต้องเป็นการส่งความช่วยเหลือแบบส่งตรงถึงมือผู้ป่วยที่รักษาตัวหรือกักอยู่ที่บ้าน   กระจายความช่วยเหลือผ่านหน่วยงานต่างๆ  เพื่อครอบคลุมจำนวนผู้ที่กำลังเดือดร้อน ให้ได้เข้าถึงความช่วยเหลือนั้นอย่างรวดเร็วและมากที่สุด

tOgetheR Box

จากแนวคิดดังกล่าวนี้ ทาง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR  จึงได้มีแนวคิดจัดทำ “tOgetheR Box”  ซึ่งเป็นชุดยาและเวชภัณฑ์ จำนวน 1.5 หมื่นกล่อง คิดเป็นมูลค่ารวม 7.5 ล้านบาท  โดยกระจายส่งมอบ “tOgetheR Box” ไปให้โรงพยาบาล และหน่วยงานอาสาต่างๆ เพื่อส่งต่อให้ผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้านต่อไป  ไม่ว่าจะเป็น สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง  กรมควบคุมโรค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กรมการแพทย์ โรงพยาบาลพระราม 9 กาญจนาภิเษก โรงพยาบาลธัญญารักษ์ จ.ปัตตานี โรงพยาบาลชัยบาดาล จ.ลพบุรี รวมไปถึงเพจ เราต้องรอด, อีจัน, โครงการตัวเล็ก ใจใหญ่ และ หมอแล็บแพนด้า

จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR

คุณ จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR  พูดถึงแนวคิดของการจัดทำกล่อง “tOgetheR Box”  ว่า  เกิดจากการที่ OR  ได้ริเริ่ม โครงการ ส่งกำลังใจ .. สู้ไปด้วยกัน #ORStayStrongTogether   เพื่อมอบความช่วยเหลือให้แก่หน่วยงานและชุมชนที่ประสบความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19   และต่อมา เมื่อภาครัฐมีนโยบายให้ผู้ป่วยโควิด- 19 ที่อาการไม่รุนแรง และสามารถให้แยกกักตัวที่บ้านได้  OR จึงได้จัดทำกล่อง “tOgetheR Box”  ซึ่งประกอบไปด้วย ปรอทวัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว ยาพาราเซตามอล ยาฟ้าทะลายโจร หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งระบบติดตามอาการสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของแต่ละหน่วยงาน เพื่อส่งมอบให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่ดูแลผู้ป่วยที่ต้องแยกกักตัวที่บ้าน

เริ่มแรก ได้มอบให้กับสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง เพื่อนำ “tOgetheR Box”  ไปมอบให้กับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ทราบผลจากการตรวจเชิงรุกของรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทาน (Express Analysis Mobile Unit) สำหรับใช้ดูแลรักษาตนเองที่บ้านขณะรอเตียง รวมทั้งช่วยเหลือชุมชนในพื้นที่คลองเตยและชุมชนที่ได้รับผลกระทบเป็นหน่วยงานแรก

นอกจากนี้ โออาร์  ได้ทยอยส่งมอบ “tOgetheR Box”  ให้กับโรงพยาบาล และหน่วยงานจิตอาสาต่าง ๆ ที่จะช่วยดูแลผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้านต่อไปโดยเร็ว

คุณ จิราพร  กล่าวอีกว่า  ก่อนหน้านี้  OR  ได้ส่งมอบความช่วยเหลือแก่ชุมชนและสังคมในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงินและสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ ให้กับทั้งหน่วยงานและชุมชนโดยเฉพาะชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีสถานประกอบการของ โออาร์ ตั้งอยู่, การจัดพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น พระราม 2 (ขาออก) เป็นจุดฉีดวัคซีน, การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนไปฉีดวัคซีน, การร่วมกับผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น บริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลในแต่ละจังหวัด  ทั้ง 77 จังหวัด

ตลอดจนการช่วยซื้อมังคุดจากเกษตรกรภาคใต้ที่ประสบปัญหาราคาสินค้าตกต่ำและล้นตลาด แล้วนำมามอบให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและศูนย์พักคอยของ กทม. รวมไปถึงเจ้าหน้าที่หน่วยงานจิตอาสาด่านหน้า   นอกจากนี้ OR ยังได้ช่วยเหลือคู่ค้า ลูกค้า ผู้แทนจำหน่าย และพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกคนสามารถผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกัน

จะเห็นได้ว่า ความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ที่ผ่านมา  OR ถือว่า เป็นภารกิจสำคัญที่สุดขององค์กร เพื่อแสดงถึงความมีส่วนร่วม และความรับผิดชอบต่อสังคม โดย OR ยังยืนยันที่จะเดินหน้าช่วยเหลือสังคมไทยต่อไป จนกว่าทุกคนจะกลับมายืนได้อย่างปลอดภัย และก้าวต่อไปได้ดีดังเดิม.

ตามติดภารกิจของกรมชลประทาน แก้ปัญหาภัยแล้งที่จ.ลพบุรี

ตามติดการแก้ปัญหาภัยแล้งของกรมชลประทาน กับ ปฏิบัติการเติมน้ำให้ลุ่มน้ำบางขามจังหวัดลพบุรี

ลุ่มน้ำบางขาม ที่หล่อเลี้ยงวิถีชุมชนหลายพื้นที่ ครอบคลุม ตำบลมหาสอน, ตำบลบางพึ่ง, ตำบลบ้านชี, ตำบลบางขาม อำเภอบ้านหมี่ และตำบลเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี หลังเกิดวิกฤตน้ำแห้งขอด จากปริมาณฝนตกน้อยและฝนทิ้งช่วง กรมชลประทาน จึงเร่งระดมนำเครื่องจักร เครื่องมือ ทำการสูบน้ำอย่างเร่งด่วน

พร้อมแจ้งให้ชาวบ้านรับรู้ถึงสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง ตามที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ กำชับให้แก้ปัญหาน้ำอุปโภคบริโภคให้มีเพียงพอ เป็นธรรม รวมถึงการรักษาระบบนิเวศ 

ส่วนภาคเกษตรกรรมให้ขอความร่วมมือชะลอการเพาะปลูกออกไปก่อน จนกว่าจะมีฝนตกในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ

กรมชลประทาน ยืนยันจะผลักดันการส่งน้ำไปสู่พื้นที่ปลายน้ำ รวมระยะทาง 47 กม. เพื่อให้ชาวบ้านได้รับการช่วยเหลืออย่างทั่วถึง ซึ่งหลังจากการเติมน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและการผลิตประปาของการประปาส่วนภูมิภาคได้แล้ว สำนักงานชลประทานที่ 10 จะเร่งดำเนินการตามแผนระยะยาว โดยจะทำการขุดลอกระยะทาง 14 กิโลเมตร กว้าง 40 เมตร ลึก 3 เมตร พร้อมจัดทำแก้มลิง 3 แห่ง

คาดการดำเนินการตามแผนงานทั้งเร่งด่วนและระยะยาว จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในลุ่มน้ำบางขามได้กว่า 2,000,000 ลูกบาศก์เมตร

เปิดตัวโครงการ AOM YOUNG สร้างวินัยการออมการลงทุนให้นศ.ที่กู้ยืมกยศ.

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ บลจ.กรุงไทย เปิดตัวโครงการ “AOM YOUNG” ส่งเสริมวินัยการออมการลงทุนด้วยกองทุนรวมแก่นักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ. ทั่วประเทศ เพื่อสร้างอนาคตที่ดีทางการเงิน รวมทั้งสามารถชำระเงินคืนกองทุนได้เมื่อครบกำหนด เปิดรับนักศึกษาร่วมโครงการ 28 มิถุนายน 2564

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการ “AOM YOUNG” เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ กยศ. และ บลจ.กรุงไทย เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ. มีการวางแผนเพื่อการออมและลงทุนอย่างต่อเนื่องผ่านกองทุนรวม เพื่อเสริมสร้างวินัยและความมั่นคงทางการเงิน โดยโครงการนี้ยังเป็นการต่อยอดความร่วมมือในการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินงานร่วมกับ กยศ. อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งการรณรงค์ให้เกิดวินัยการออมผ่านโครงการ “AOM YOUNG” จะช่วยสร้างประสบการณ์ให้นักศึกษามีความเข้าใจการลงทุนและรู้จักทางเลือกการออมที่ช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี มีเงินออมตั้งต้นพร้อมสำหรับเป้าหมายในอนาคต สอดคล้องกับพันธกิจของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการพัฒนาตลาดทุนเพื่อทุกคน

นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กล่าวว่า ปัจจุบันมีนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืม ได้รับความรู้ผ่านหลักสูตร e-Learning แล้วกว่า 560,000 ราย โครงการนี้จึงจะมาช่วยต่อยอดให้ผู้กู้ยืมที่มีความรู้ทางการเงินมีช่องทางในการออมเงินสม่ำเสมอได้อย่างเหมาะสม ซึ่งกองทุนเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติจริง จึงพร้อมสนับสนุนให้ผู้กู้ยืมได้เรียนรู้การลงทุนผ่านกองทุนรวมในรูปแบบการออมสม่ำเสมอขั้นต่ำ 100 บาทต่อเดือน โดยเริ่มจาก KTAM เป็นที่แรก ซึ่งนอกจากผู้กู้ยืมจะมีเงินเก็บและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นแล้ว ยังนับเป็นจำนวนชั่วโมงจิตสาธารณะได้อีกด้วย โดยกองทุนมุ่งหวังว่า โครงการ “AOM YOUNG” จะช่วยให้นักศึกษามีเครื่องมือทางการเงินที่ทำให้การเริ่มต้นออมเพื่อเป้าหมาย ในระยะยาวเป็นจริงได้ ตลอดจนสามารถนำเงินที่ออมได้มาชำระคืนเงินกู้ยืมให้กองทุนเมื่อถึงกำหนดต่อไป

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า KTAM มีความยินดีในการร่วมส่งเสริมวินัยการออมผ่านกองทุนรวมให้แก่นักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ. โดยจะส่งเสริมความรู้ด้านผลิตภัณฑ์การลงทุน เปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนให้กับตนเองได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ KTAM ยังได้คัดเลือกกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงในระดับต่ำถึงปานกลางให้ตรงกับวัตถุประสงค์ในการออมและเริ่มต้นลงทุนของนักศึกษา โดยมีกองทุนให้เลือกหลากหลายประเภทตามความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ได้แก่ 1) กองทุนตลาดเงิน: KTSS 2) กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น: KT-STPLUS ซึ่งนักศึกษาเริ่มต้นลงทุนขั้นต่ำได้เพียงเดือนละ 100 บาท ผ่านทาง บลจ.กรุงไทย หรือธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา ทั้งนี้ KTAM เชื่อมั่นว่าโครงการ “AOM YOUNG” จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้เยาวชนรุ่นใหม่เห็นความสำคัญของการออมตั้งแต่อายุยังน้อยได้มากขึ้นนักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ. ทุกสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ สามารถเริ่มต้นออมสม่ำเสมอผ่านโครงการ “AOM YOUNG” ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2564 โดยดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.setinvestnow.com, www.studentloan.or.th และ www.ktam.co.th

‘เจ้าสัวธนินท์’ ทุ่ม 200 ล้าน หนุนรพ.สนาม สู้โควิดรอบใหม่

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 วันนี้เป็นตัวเลขที่สูงสุดอีกวันหนึ่ง ที่มีผู้ติดเชื้อถึง 1,767 คน ทำให้ผู้ป่วยสะสมในโรงพยาบาลสูงถึง 13,568 ราย ซึ่งโรงพยาบาลก็เริ่มประสบปัญหาเตียงไม่เพียงพอ ปัจจุบันมีผู้ป่วยอยู่โรงพยาบาลสนาม 571 ราย ซึ่งต่อไปจะมีตัวเลขสูงมากขึ้น เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้เตรียมงบประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเรื่องโรงพยาบาลสนามของโรงพยาบาลต่างๆ โดยเน้นไปที่สิ่งที่ซีพีทำได้ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และเสริมอุปกรณ์การแพทย์ที่ขาด บริษัททุกบริษัทในเครือจะมาช่วยผนึกกำลังเพื่อช่วยเสริมบุคลากรทางการแพทย์ ที่เสียสละเป็นอย่างมาก โดยเริ่มต้นที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และต่อยอดไปยังโรงพยาบาลอื่นๆ อาทิ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลตำรวจ  โรงพยาบาลของทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ เป็นต้น

ตนเองมีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทั้งนี้ในฐานะที่เป็นคนไทย  และเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ดำเนินธุรกิจอยู่บนแผ่นดินไทยมาเป็นเวลา 100 ปี จึงตระหนักดีว่านี่คืออีกสถานการณ์หนึ่งที่สำคัญซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์จะต้องเข้ามาช่วยเหลือตามสรรพกำลังที่มีอยู่ และเห็นว่าการรับมือด้านสาธารณสุขมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง จึงร่วมมือกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดโรงพยาบาลสนาม เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 พร้อมกันนี้จะจัดส่งอาหารครบ 3 มื้อให้กับโรงพยาบาลสนามของรพ.จุฬาลงกรณ์ฯ รวมถึง Hospitel อีก 4 แห่งในความรับผิดชอบของรพ.จุฬาลงกรณ์ฯ และจะให้กลุ่มทรูจัด ไวไฟบริการฟรีในโรงพยาบาลสนามของจุฬาลงกรณ์ที่จะเปิดใหม่นี้ด้วย  และหากรัฐบาลเปิดให้เอกชนนำเข้าวัคซีนมาฉีดให้กับพนักงาน ก็จะถือว่าเป็นการลดภาระภาครัฐ โดยเอกชนออกค่าใช้จ่ายในการดูแลจัดหาวัคซีนสำหรับพนักงาน ถือเป็นอีกแนวทางหนึ่ง ทั้งนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องคนไทยจะก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย

นายธนินท์ กล่าวอีกว่า เชื่อมั่นว่าคนไทยและประเทศไทยจะฝ่าวิกฤตโควิด-19 นี้ไปได้อย่างแน่นอน ขอเพียงทุกคนและทุกภาคส่วนร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกันตามกำลังความสามารถ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเราจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ในเร็ววันนี้

ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผอ.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยกล่าวว่า ตอนนี้สถานการณ์รุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง  คนไข้มีจำนวนมากขึ้น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้เตรียมการโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับบุคลากร และนิสิตที่มีการติดเชื้อรวมถึงการเปิดให้กับผู้ป่วยต่อไปด้วย เพื่อให้ผู้ป่วยอาการปานกลางและอาการหนัก มีพื้นที่เพียงพอในโรงพยาบาล ทั้งนี้ต้องขอบคุณท่านประธานธนินท์ และบริษัทในเครือซีพี ที่เป็นองค์กรเอกชนที่มีความตั้งใจดี ในการเข้ามาสนับสนุนดำเนินโครงการทั้งเรื่องโรงพยาบาลสนาม และ Hospitel ให้ประสบความสำเร็จและผ่านวิกฤตไปด้วยกัน

ศ.ดร.นพ.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนายการโรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ฯ  กล่าวว่า สถานการณ์ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น มีแนวโน้มที่โรงพยาบาลจะรองรับได้ไม่ครบถ้วน ทำให้โรงพยาบาลได้ประชุมเพื่อร่วมกันต่อสู้กับวิกฤตโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ โดยจับมือกันเปิดโรงพยาบาลสนามเพื่อช่วยรักษาผู้ป่วยโควิด-19 โดยจะเริ่มให้บริการได้ในสัปดาห์หน้า

คนใช้รถเฮ โออาร์ประกาศไม่ขึ้นราคาน้ำมัน เป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ โออาร์ จัดแคมเปญ “โออาร์สร้าง ความ สุข” มอบของขวัญให้แก่ผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการร้านค้าในเครือโออาร์ โดย สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น จะไม่ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดตลอด 9 วันในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 (ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 63 – 3 ม.ค. 64) แม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกผู้เดินทาง ทั้งเดินทางท่องเที่ยวและเดินทางกลับภูมิลำเนา

นอกจากนี้ เมื่อเติมน้ำมันในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 – 1 มกราคม 2564 ครบ 500 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ ผู้บริโภคจะได้รับสินค้าไทยเด็ด 1 ชิ้น ส่งต่อรอยยิ้มจากชุมชนให้ผู้ใช้บริการที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น เป็นของขวัญปีใหม่อีกด้วย

สำหรับผู้ใช้บริการที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน เมื่อซื้อเครื่องดื่มหรือสินค้าคาเฟ่ อเมซอน ชนิดใดก็ได้ ที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น 20 สาขาบนเส้นทางสายหลักขาออกจากกรุงเทพมหานครที่ร่วมรายการ ในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 – 3 มกราคม 2564 รับฟรีทันทีกาแฟดริป คาเฟ่ อเมซอน (รสออริจินัล) 1 ซอง โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อสาขาที่ร่วมรายการได้ที่ เฟสบุ๊คแฟนเพจ :  Café Amazon

ด้านศูนย์บริการยานยนต์ ฟิต ออโต้ ได้จัดโปรโมชั่น “FIT สุดเฟี้ยวเที่ยวไปด้วยกัน” รับสิทธิพิเศษมากมาย ซื้อน้ำมันหล่อลื่นและยางราคาพิเศษ และสิทธิพิเศษอื่น ๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนด ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2563 จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2564

แคมเปญ “โออาร์ สร้าง ความ สุข” นอกจากจะเป็นการมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับผู้บริโภค ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่แล้ว ร้านค้าในเครือโออาร์ ยังมีบริการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกผู้บริโภคทั้งก่อนเดินทางและระหว่างเดินทาง โดยผู้บริโภคสามารถเข้าใช้บริการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ที่ศูนย์บริการยานยนต์ฟิต ออโต้ ก่อนเดินทาง และสามารถแวะพักผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าระหว่างการเดินทางได้ที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น และร้านคาเฟ่ อเมซอนทุกสาขาที่พร้อมให้บริการตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่

โออาร์ ทุ่ม 30 ล. รวมพลังร่วมใจสู้ภัยโควิด-19 ทั่วประเทศ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ในไทย แม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มมีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น จากตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อที่ลดน้อยลง และตัวเลขผู้ที่ได้รับการรักษาจนหาย นำไปสู่การผ่อนปรนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งได้ดำเนินไปเป็นระยะที่สองแล้ว ไม่ว่าจะการอนุญาตให้ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ กลับมาเปิดให้บริการได้ โดยต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลที่รัดกุม เพื่อป้องกันไม่ให้การแพร่ระบาดกลับมาหนักอีก

หากมองย้อนกลับไปประมาณเดือนมีนาคม ซึ่งเริ่มมีการออกมาตรการควบคุม สั่งปิดร้าน ปิดสวนสาธารณะ ปิดสถานประกอบการต่างๆ รณรงค์ให้คนอยู่กับบ้านเพื่อชาติ และหลายบริษัทก็ให้ความร่วมมือโดยให้พนักงานที่สามารถทำงานอยู่ที่บ้านได้ โดยไม่ต้องมาที่ที่ทำงาน และหลายภาคส่วนเริ่มเอาจริงเอาจังกับการคัดกรองคนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้กรอกข้อมูลก่อนเข้าอาคาร, การให้ใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า, การติดตั้งแอลกอฮอล์ เจลล้างมือ ตามจุดต่างๆ, การทำความสะอาดจุดหรือบริเวณที่มีการสัมผัสร่วม

แน่นอนว่า บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ก็เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้งในส่วนที่ต้องดูแลสวัสดิภาพของพนักงานบริษัท และการขับเคลื่อนธุรกิจของ โออาร์

ด้านการรับผิดชอบต่อผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการต่าง ๆ ของธุรกิจของ โออาร์ ทั้งสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และร้านค้าต่าง ๆ ของ โออาร์  ได้มีนโยบายเพิ่มมาตรการด้านสุขอนามัย และปรับรูปแบบการให้บริการ เพื่อลดโอกาสการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่น เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือแอลกอฮอล์ ให้พนักงานทุกคนล้างมือและสวมหน้ากากอนามัยระหว่างปฏิบัติหน้าที่ การติดตั้งเจลแอลกอฮอล์สำหรับลูกค้าไว้ล้างมือ

ทุกธุรกิจของ โออาร์  เปิดดำเนินการตามปกติ เพื่ออยู่เคียงข้างคนไทยทุกคน และพร้อมผ่านวิกฤตไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสถานีบริการน้ำมัน PTT Station, ร้านกาแฟ Café Amazon, ร้าน Texas Chicken, ร้านฮั่วเซ่งฮง ติ่มซำ, ร้านค้าสะดวกซื้อ Jiffy, ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto เพียงแต่ต้องปรับรูปแบบการบริการให้เข้ากับระเบียบต่าง ๆ ที่ทางภาครัฐออกมา

นอกจากนี้ โออาร์ ยังช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของคนไทย ผ่านมาตรการความช่วยเหลือต่างๆ ทั้งในส่วนของโออาร์ เอง ไม่ว่าจะเป็น

  • การจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์มอบให้รพ.ราชวิถี
  • มอบแอลกอฮอล์ทำความสะอาดให้โรงพยาบาล 44 แห่งทั่วประเทศ
  • มอบหน้ากากผ้ามัสลินให้กับสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย

และ ธุรกิจต่าง ๆ ของโออาร์ ก็ร่วมแรงกัน ออกมาช่วยเหลือเช่นกัน

  • สถานีบริการน้ำมัน PTT Station แจกเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ 1 ล้านชิ้น จัดหาแอลกฮอล์ ขวด 1 ลิตร มาจำหน่ายในราคาพิเศษ, เปิดพื้นที่ในสถานีให้เกษตรกรนำมะม่วงน้ำดอกไม้มาขาย, แจกน้ำดื่มให้เดลิเวอรี่แมน 1 ล้านขวด

  • ร้านกาแฟ Café Amazon, ร้าน Texas Chicken ช่วยสนับสนุนอาหาร เครื่องดื่ม ให้กับบุคคลากรการแพทย์
  • ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto พ่นยาฆ่าเชื่อทำความสะอาดห้องโดยสารรถยนต์ให้บุคลากรทางการแพทย์ ฟรี
  • บัตร Blue Card เปลี่ยนคะแนนสะสมเป็นเงินบริจาค ยอดรวมกว่า 1 ล้านบาท

และ ล่าสุด โออาร์ มีโครงการสมทบทุนให้กองทุนชัยพัฒนาสู้โควิด-19 และโรคระบาดต่าง ๆ ผ่าน 2 กิจกรรม คือ

1. ซื้อเครื่องดื่มร้านกาแฟ Café Amazon ทุกแก้ว หัก 1 บาทให้กองทุนนี้ ซึ่งสามารถเปลี่ยนพลังใจเป็นเงินสมทบทุนเข้ากองทุน

2. สมัครสมาชิก Blue Card โออาร์ บริจาคให้เลย 10 บาทต่อราย ให้กองทุนนี้ ตั้งแต่ 1 พ.ค.- 30 มิ.ย. นี้

ไม่เพียงแต่ความช่วยเหลือในประเทศเท่านั้น อย่างที่ทราบ โออาร์ เอง มีธุรกิจในต่างประเทศด้วย ซึ่งทาง โออาร์ ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผ่านบริษัทในเครือด้วยเช่นกัน

  • Brighter Energy, Brighter Energy Brighter PTT Oil and Retail Business และ PTT Oil Myanmar แจกเจลแอลกอฮอล์ ให้กับลูกค้า Café Amazon ที่เมียนมาร์ 1,500 ชิ้น
  • PTT Cambodia แจกเจลแอลกอฮอล์ให้กับผู้มาใช้บริการที่สถานีบริการน้ำมัน PTT Station, ร้านกาแฟ Café Amazon, ร้านค้าสะดวกซื้อ Jiffy ในกัมพูชา รวม 1.4 แสนชิ้น
  • PTT Philippines แจกหน้ากากอนามัย และเฟซชิลด์ ให้บุคคลากรทางแพทย์ และตำรวจฟิลิปปินส์ 9,000 ชิ้น แอลกอฮอล์น้ำ 70% กับเครื่องดื่ม Café Amazon ให้กับบุคคลากรแพทย์ของฟิลิปปินส์

ถือเป็นการรวมพลังครั้งยิ่งใหญ่ทุกธุรกิจและทุกภาคส่วนของ โออาร์ เพื่อกระจายและส่งต่อความช่วยเหลือสู่วงกว้างให้ได้มากที่สุด และการร่วมใจ สู้วิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้ของ โออาร์ ใช้งบรวมกว่า 30 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้คนไทยผ่านวิฤกตครั้งนี้ไปด้วยกัน

เงินทองต้องวางแผน!!

จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า2019 (โควิด-19) ทำให้เกิดการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ได้ส่งผลกระทบให้คนตกงานฉุกเฉิน.. ไม่ทันตั้งตัวจำนวนมาก!!

​ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือ คนหาเช้ากินค่ำ มีรายได้วันต่อวัน แม้กระทั่งคนมีเงินเดือน แต่ไม่มีเงินเก็บเงินออมต้องเดือดร้อนถึงขั้น ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน  บางคนถึงขั้นไม่มีเงินซื้ออาหารประทังชีวิตในแต่ละวัน

ตอกย้ำให้เห็นถึงสุขภาพทางการเงินของคนไทย ที่อยู่ในขั้นวิกฤติ คือ ไม่มีเงินเก็บ-เงินออมเพื่อสำรองไว้ใช้หรือแก้ปัญหาในยามฉุกเฉิน!!

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ที่ได้สำรวจพฤติกรรมการออมของประชาชนฐานรากทั่วประเทศ คือกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000  บาท  พบว่า อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ออมเงินไม่ได้ ส่วนใหญ่  82.7% ให้เหตุผลว่า ไม่มีเงินเหลือให้ออม ถัดมาคือมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน และมีภาระหนี้สิน 

เมื่อถามว่า หากเกิดเหตุฉุกเฉินต้องหยุดงานหรือไม่มีรายได้ มีเงินสำรองไว้ใช้แค่ไหนพบว่ามากกว่า  33.7% ไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน!!   อีก 33.3% บอกว่ามีเงินใช้จ่ายไม่เกิน 1เดือนและอีก 28.5% ระบุว่า มีเงินใช้จ่ายไม่เกิน 3 เดือนหมดจากนี้ก็หมดกันเลยชีวิต!!

ดังนั้นยามเมื่อวิกฤติโควิดมาเยือนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว คนส่วนใหญ่ของประเทศจึงเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ไม่เพียงแต่ประชาชนฐานรากเท่านั้น คนชั้นกลางที่มีรายได้สูงกว่าก็เดือดร้อนหนักเช่นกัน

บทเรียนจากวิกฤติครั้งนี้  ทำให้พวกเราจำเป็นต้องลุกขึ้นมาปฎิวัติ ปรับมุมคิด วางแผนชีวิตการเงินกันใหม่ทั้งหมด  โดยเมื่อโควิด-19 คลี่คลายกลับมาทำงานมีรายได้ มีเงินเข้ามือ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ  “ออมก่อนใช้” ขอให้ท่องเป็น “คาถากันจน” กันไว้เลย!!

ข้อมูลจาก เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่อง “เงินทองต้องวางแผน” ที่รวบรวมเทคนิค แนวคิด ความรู้ข้อแนะนำและวิธีการ ในเรื่องการวางแผนการเงินการออม จากกูรูนักวางแผนการเงินไว้มากมาย ให้ข้อแนะนำว่า อาจเริ่มจากการออม 10-20% ของรายได้ก่อน โดยทันทีที่ได้เงินมา ให้กันเงินออมแยกบัญชีออกไปต่างหากเป็นอันดับแรก  และหากมีหนี้สินก็ต้องกันเงินไว้ใช้หนี้ด้วย

วางเป็นสมการได้อย่างนี้  รายได้-เงินออม-หักภาระหนี้(ถ้ามี) = เงินใช้จ่าย

และต้องวางแผนใช้จ่ายเงินให้ได้ทั้งเดือน เช่น มีรายจ่ายประจำที่ต้องจ่ายแน่ๆ ค่าน้ำ-ไฟ-โทรศัพท์-ค่าเช่าบ้านต้องกันไว้ก่อน  เงินที่เหลือหาร 30 วัน เพื่อให้รู้ว่า ภายในเดือนนี้จะมีเงินใช้จ่ายค่าอาหาร3 มื้อ ค่าเดินทางและค่าอื่นๆ เฉลี่ยวันละกี่บาท

หากวันไหนใช้จ่ายเกิน วันรุ่งขึ้นก็ต้องใช้น้อยลง หรือหากวันไหนใช้จ่ายน้อยกว่าที่คำนวนไว้ ก็ให้กันเงินที่เหลือใส่กระปุก  เก็บไว้เป็นเงินออมเพิ่ม

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแอปทำบัญชีรายรับรายจ่าย ชื่อว่า SET Happy Money จดอย่างมีวินัย แล้วกลับมาวางแผนปรับลดค่าใช้จ่ายและจัดการหนี้สิน ก็มีเงินออมไปต่อยอดสร้างสุขทางการเงินในปัจจุบันและอนาคตได้ไม่ยาก

คาถาอีกบท จำไว้ให้ขึ้นใจ “ออมก่อน…รวยกว่า..ออมเร็ว..รวยเร็ว..ออมมาก..รวยมาก” ถ้าเริ่มทำได้เร็ว  ความมั่งคั่งก็จะมาหาเราเร็วขึ้น ที่สำคัญต้องลืมและเลิกไปเลยกับพฤติกรรมเดิมๆ ที่ “ใช้ก่อน..เหลือเท่าไหร่..ค่อยออม”

ในบทความครั้งหน้า จะเล่าให้ฟังว่าจะแบ่งและจัดสรรเงินออมไว้เพื่อเป้าหมายอะไรกันบ้าง   

                                                   ​​​​คุณนายพารวย

ไขข้อข้องใจ ทำไมแอลกอฮอล์ล้างมือถึงแพงกว่าน้ำมันเติมรถ

อ่านหัวข้อแล้ว อย่าเพิ่งงง เพราะมีคนตั้งประเด็น สงสัยเรื่องนี้จริงๆ ประเด็นนี้เริ่มต้นตอนที่บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ มีโครงการจะช่วยแก้ปัญหาแอลกอฮอล์ล้างมือขาดแคลน และราคาแพง เลยมีแนวคิด จัดหาแอลกอฮอล์ล้างมือ ทำความสะอาด มาวางขายราคาพิเศษ เท่าทุน ขวดลิตร ขวดละ 110 บาท

ทันทีที่ข่าวนี้เผยแพร่ ดราม่าก็บังเกิด เพราะมีคนตั้งคำถามว่า ทำไมบ.น้ำมันถึงขายแอลกอฮอล์ราคาแพงกว่าน้ำมัน ทั้งที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ เหมือนกัน บริษัทจะค้าขายเอากำไรเกินไปหรือเปล่า

แม้จะมีความพยายามที่จะอธิบายแล้ว แต่หลายคนก็ยังคงคาใจ ขณะที่โออาร์ ก็เดินหน้าโครงการต่อ ขายไปโดนต่อว่าไป ทั้งที่ราคาขายถูกกว่าในตลาดมาก ลองสำรวจราคาที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลนโพสขายกัน ราคาขวดลิตรจะอยู่ระหว่าง 250-450 บาททีเดียว แถมยังต้องมาลุ้นเรื่องความเน่าเชื่อถือของสินค้าอีกต่างหาก

กลับมาที่คำถาม “ทำไมราคาแอลกอฮอล์ล้างมือ มันแพงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ได้ไง?”   คำตอบก็คือ ถึงจะเป็นเอทิลแอลกอฮอล์เหมือนกัน แต่มีคุณสมบัติบางอย่างไม่เหมือนกัน นำมาใช้ทดแทนกันไม่ได้

แอลกอฮอล์ที่เอาไปผสมน้ำมัน กับที่เอามาทำแอลกอฮอล์ล้างมือ มีกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน แน่นอน ต้นทุนก็ต้องแตกต่างกัน

แอลกอฮอล์ที่นำไปใช้สำหรับล้างมือ จะมีความเข้มข้น 70-90% (มีน้ำเป็นส่วนผสม 10-30% แล้วแต่สูตร เพื่อให้เจือจางไม่ระคายผิว ไม่ระเหยเร็วเกินไป มีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อโรค)  ต้องผ่านกระบวนการกลั่นหลายขั้นตอนเพื่อดึงเอาสิ่งที่ปนเปื้อนอยู่ออก เพื่อให้ได้ค่าความบริสุทธิ์ที่สูงเพียงพอสำหรับมาตรฐานที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร ที่เรียกว่า Food Grade หรือ สำหรับอุตสาหกรรมยา Pharmaceutical  Grade พูดง่ายๆ เป็นแอลกอฮอล์เกรดดี จึงมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าเกรดที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงมาก  

แถมยังมีต้นทุนในเรื่องของสารที่ใส่เพิ่ม ทั้งถนอมผิว กลิ่นหอม แล้วไหนจะต้นทุนค่าบรรจุภัณฑ์ การขนส่ง การกระจายสินค้า และค่าการตลาด แล้วเมื่อต้องผ่านบรรดาพ่อค้าส่ง พ่อค้าขายปลีกหลายทอด ราคาก็จะถูกบวกเพิ่มขึ้นไปอีก

ขณะที่แอลกอฮอล์ที่ผสมในน้ำมัน จะมีความเข้มข้นมากถึง 99.5% (คือมีน้ำเป็นส่วนประกอบเพียง 0.5% เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์เสียหาย) แต่ความบริสุทธิ์มีน้อยกว่าแอลกอฮอล์ที่ใช้ทำความสะอาด ยังมีสารปนเปื้อน สารตกค้าง โลหะ หรือ สารพิษเจือปน ซึ่งอาจเป็นอันตราย หรือ เกิดการระคายเคืองหากนำมาใช้กับคน  ไม่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค เพราะมีความเขัมข้น ระเหยไว แต่ไม่มีปัญหากับการนำไปใช้ผสมในน้ำมันเผาไหม้เป็นเชื้อเพลิง

อีกเหตุผลนึงที่ราคาน้ำมันถูกกว่าแอลกอฮอล์ล้างมือ คือ มีการอุดหนุนราคาจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาชดเชย ตามนโยบายส่งเสริมพลังงานทดแทน และนโยบายส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซฮอล์

ทั้งหมดนี้ จึงเป็นคำอธิบายที่ว่า ราคาแอลกอฮอล์ล้างมือ ถึงไม่เท่ากับ ราคาน้ำมันเชื้อเพลง ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่สามารถเอามาจับคํู่เปรียบเทียบกันเลย

จริงๆแล้ว การที่บ.น้ำมันอย่างโออาร์ ออกมาขายแอลกอฮอล์ทำความสะอาดในราคาพิเศษ แล้วโดนบ่นว่า ของมีไม่พอความต้องการ ยังพอเข้าใจได้ ซึ่งก็ต้องเห็นใจทางบริษัท เพราะโออาร์ไม่ได้เป็นผู้ผลิตเอง ต้องไปจัดหาซื้อมาจากผู้ผลิตและแบ่งไปจำหน่ายยังสถานีบริการต่างๆ  และก็ได้ของมาจำนวนจำกัด

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด โออาร์เองก็มีการปรับแผนใหม่ โดยเพิ่มการวางขายแบบเป็นถุง ขนาด 500 มล. ให้เป็นอีกทางเลือก ที่จะช่วยกระจายสินค้าให้กับผู้ที่ต้องการได้ทั่วถึงมากขึ้น

ขณะที่ ภาครัฐก็ออกโยบายผ่อนคลายเรื่องแอลกอฮอล์ และความร่วมมือของภาคเอกชนที่เร่งผลิตแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือออกสู่ตลาด เช่น กระทรวงคลัง มอบหมายให้องค์กรสุราผลิตแอลกอฮอล์ล้างมือเพื่อแจกจ่ายประชาชน หรือกระทรวงพลังงานมอบหมายให้ปตท. และกฟผ. จัดหาแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมอบให้กับรพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลทั่วประเทศ ก็น่าจะช่วยให้ปัญหาการขาดแคลนแอลกอฮอล์ทางการแพทย์สำหรับทำความสะอาดมือ และแอลกอฮอล์สำหรับทำความสะอาดพื้นผิว และส่งผลให้ราคาจำหน่ายถูกลงได้ในเร็วๆนี้

กนง.มีมติ 4-2 เสียง คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.75% ต่อปี

นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 25 มีนาคม 2563

คณะกรรมการฯ มีมติ 4 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.75 ต่อปี ขณะที่ 2 เสียง เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี

ทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)

คณะกรรมการฯ เห็นว่าการระบาดของ COVID-19 จะยังมีความรุนแรง และต้องอาศัยระยะเวลากว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ กนง.สนับสนุนมาตรการดูแลผู้ได้รับ ผลกระทบอย่างตรงจุดของรัฐบาลที่ได้ประกาศไปแล้ว รวมทั้งจะต้องดำเนินการช่วยบรรเทาปัญหาสภาพคล่องและเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ โดยเฉพาะครัวเรือนและธุรกิจ SMEs ให้เกิดผลชัดเจนเป็นรูปธรรมเพิ่มเติมจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงเห็นพ้องว่า ต้องให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาสภาพคล่องให้ตรงจุด กรรมการส่วนใหญ่จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ อย่างไรก็ดี กรรมการ 2 ท่านเห็นว่าควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกร้อยละ 0.25 เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มหดตัวแรง

ทั้งนี้ ที่ประชุม เห็นว่า เศรษฐกิจไทยในปี 63 มีแนวโน้มหดตัวแรง เนื่องจากการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้าได้รับผลกระทบรุนแรงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและการหยุดชะงักของห่วงโซ่การผลิตในหลายประเทศ ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจและครัวเรือนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างขึ้น เป็นผลให้อุปสงค์ภายในประเทศทั้งการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัว มาตรการด้านการคลังจึงต้องเป็นกลไกหลักในการบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจและดูแลผู้ได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินจะช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูกหนี้ และช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวในปี 2564 หากสถานการณ์ระบาดคลี่คลายลง สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2563 มีแนวโน้มติดลบตามราคาพลังงานที่ลดลงและเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มหดตัว

เสถียรภาพของตลาดการเงินไทยโดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ปรับดีขึ้น หลัง ธปท. ออกมาตรการสนับสนุนสภาพคล่องในตลาดการเงิน แต่ยังต้องติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด ด้านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดลงหลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านมาซึ่งมีส่วนช่วยลดภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ ด้านอัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่งโดยเฉพาะสกุลเงินหลักและมีแนวโน้มผันผวน ทั้งนี้ เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยยังอยู่ในเกณฑ์เข้มแข็งสะท้อนจากเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง และเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์ตลาดการเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิดท่ามกลางความไม่แน่นอนที่มีอยู่สูง

ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง อย่างไรก็ดี ระบบการเงินมีความเปราะบางมากขึ้นในบางจุด โดยเฉพาะความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและธุรกิจ SMEs ที่อาจด้อยลงในช่วงที่เศรษฐกิจหดตัวแรง จำเป็นต้องประสานมาตรการทั้งทางการเงินและการคลังเพื่อดูแลครัวเรือนและธุรกิจ SMEs

         

โออาร์ ร่วมสมทบทุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ช่วยโรงพยาบาลราชวิถี รับมือโควิด -19

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) มอบเงินบริจาค  3,000,000 บาท  ให้แก่ นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี  ณ ห้องกมล สินธวานนท์ ตึกสิรินธร โรงพยาบาลราชวิถี เพื่อสมทบทุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต่อการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 อาทิ เครื่องช่วยหายใจชนิดอัตราการไหลสูง เครื่องช่วยหายใจชนิดเคลื่อนย้าย เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกสองระดับ เครื่องช่วยหายใจสำหรับผู้ป่วยหนัก เครื่องเฝ้าระวังและติดตามสัญญาณชีพผู้ป่วย เครื่องอุปกรณ์พ่นยา เป็นต้น รวมถึงเพื่อเป็นกองทุนส่วนกลางในการบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 

และได้มอบ กาแฟดริป คาเฟ่ อเมซอน  5,000 ซอง พร้อมด้วยขนมปั้นขลิบ และขนมปังกรอบ ซึ่งเป็นสินค้าโอทอป จาก เอสเอ็มอี ไทย รวม 480 ชุด รวมถึงคลาสสิคเบอร์เกอร์และเทนเดอร์แร็พ อย่างละ100 ชิ้น จากร้านเท็กซัส ชิคเก้น เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ทำงานอย่างเต็มความสามารถอีกด้วย

โดยโออาร์ ขอส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ และบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นกำลังสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนคนไทย เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน

ประชาชนแจ้งเบาะแสกรมประมง จับไม่หยุด“ล่าปลาหมอคางดำ” เดินหน้าฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงและจังหวัดสมุทรสงคราม จัดกิจกรรม “ลงแขก-ลงคลอง” ครั้งที่ 5/2567 จับปลาไม่หยุด ขับเคลื่อนนโยบายการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและคืนความหลากหลายทางชีวภาพสู่ธรรมชาติและชุมชน

นายบัณฑิต กุลละวณิชย์ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวว่า สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงครามขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อย่างเข้มแข็งและต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม ตลอดจนมีการกำหนดมาตรการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ทั้งการควบคุมและกำจัดปริมาณปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด และเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ท่านอธิบดีกรมประมง นายบัญชา สุขแก้ว ได้อนุญาตให้สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม ทำการประมงเพื่อประโยชน์ทางวิชาการในการกำจัดปลาหมอคางดำ โดยใช้เครื่องมืออวนทับตลิ่ง ขนาดตาอวน 0.6 มิลลิเมตรขึ้นไป มีความยาวของอวนไม่น้อยกว่า 40 เมตร มีความกว้างของอวนไม่น้อยกว่า 5 เมตร และการใช้สารเบื่อเมาประเภทกากชา (ซาโปนิน) ทำการประมงปลาหมอคางดำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติและบรรลุตามเป้าหมายในการลดปริมาณปลาชนิดนี้อย่างมีนัยสำคัญ

บัณฑิต กุลละวณิชย์ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม

สำหรับกิจกรรม “ลงแขก-ลงคลอง” ครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 หลังจากที่ได้มีการ Kick Off อย่างเป็นทางการไป เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 สถานที่ในการจัดกิจกรรมวันนี้ ณ บริเวณคลองย่อยคลองบางบ่อ (ข้างร้านเจ๊แก่น) หมู่ที่ 1 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ประชาชนแจ้งเบาะแสพบการ แพร่ระบาดของปลาหมอคางดำหนาแน่น จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันแจ้งเบาะแสการพบปลาหมอคางดำให้กับกรมประมง เพื่อจัดทีมไล่ล่าปลาหมอคางดำในครั้งถัดไป

นายบัณฑิต กล่าวว่า จากกิจกรรมลงแขก-ลงคลอง ครั้งที่ผ่านๆ มา พบว่ามีสัดส่วนชนิดสัตว์น้ำตามธรรมชาติชนิดอื่นๆ ติดขึ้นมากับการจับปลาเพิ่มมากขึ้น นับเป็นเรื่องที่ดีด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และยังกล่าวต่ออีกว่า นอกจากการลงแขก-ลงคลอง จับปลาหมอคางดำแล้ว ยังมีกิจกรรมมอบพันธุ์ปลากะพงขาว ตาม MOU ที่ทำร่วมกับกลุ่มเกษตรกรเครือข่ายที่มีความตระหนักถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ และร่วมลงมือดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ โดยนำร่องมอบพันธุ์ปลากะพงขาวให้กับกลุ่มกองทุนกากชา 3 กลุ่ม จำนวน 4,000 ตัว สำหรับเพาะเลี้ยงเพื่อกำจัดปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำของสมาชิกภายในกลุ่ม เป็นการลดต้นทุนค่าอาหาร เมื่อปลามีขนาดโตขึ้นและสามารถไล่ล่าได้ดีทำการส่งมอบปลาคืน 10% ให้กับสำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อนำมาปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติต่อไป ซึ่งปลากะพงขาวที่ใช้ในกิจกรรมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)

ในส่วนของจังหวัดสมุทรสงคราม คณะกรรมการประมงประจำจังหวัดให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกร มีมติเสนอให้นำเรียนท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม มีข้อสั่งการให้แต่ละท้องถิ่นร่วมมือกันจัดกิจกรรมลงแขก-ลงคลอง เพื่อรวมพลังกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติของจังหวัด ทั้งนี้สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม จะออกหนังสือประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือจากชาวบ้านและชุมชนงดเว้นการจับปลาผู้ล่าในบริเวณแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีการจัดกิจกรรมปล่อยปลาผู้ล่า เป็นระยะเวลา 90 วัน หลังจากที่มีการปล่อยปลาผู้ล่าลงสู่แหล่งน้ำ

สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำอย่างจริงจังและต่อเนื่องกับทุกภาคส่วนในการร่วมมือแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและคืนความหลากหลายทางชีวภาพสู่ธรรมชาติและชุมชน

ชื่อพันธุ์ปลา … ความจริงที่ต้องตรวจสอบ 11 บริษัทผู้ส่งออกปลาหมอคางดำ

บทความโดย วิภาวี บุตรสาร นักวิชาการด้านสัตว์น้ำ

เมื่อคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทาง แก้ไขปัญหา รวมถึงผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำเพื่อการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ ได้รับข้อมูลใหม่ว่า การส่งออกปลาหมอคางดำ บริษัทผู้ส่งออกทั้ง 11 บริษัท ประกอบด้วย หจก.ฉาง ซิน เอ็นเตอร์ไพร์, หจก. ซีฟู้ดส์ อิมปอร์ต-เอ็กซ์ปอร์ต, บจก.นิว วาไรตี้, บจก. พี.แอนด์.พี อควาเรี่ยม เวิลด์ เทรดดิ้ง, บจก.ไทย เฉียน หวู่, บจก. แอดวานซ์ อควาติก, บจก.เอเชีย อะควาติคส์, บจก.หมีขาว, หจก. วี. อควาเรียม, บจก.สยามออร์นา เมนทอล ฟิช, และ หจก.สมิตรา อแควเรี่ยม นั้นเกิดจากบริษัทชิปปิ้งทำเอกสารส่งออก เกิดความผิดพลาดในขั้นตอนการกรอกชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อสามัญ และชื่อไทยผิด จึงเข้าใจว่า เป็นปลาหมอคางดำ ทั้งที่จริงแล้วเป็นปลาชนิดอื่น

กลายเป็นคำถามตัวโตๆว่า แล้วภาครัฐปล่อยให้ใช้ชื่อที่กรอกผิดมาตลอดการส่งออกตั้งแต่ปี 2556-2559 ทุกบริษัท และทุกรอบการส่งออก โดยไม่มีใครทักท้วง หรือตรวจสอบ ทั้งในส่วนของบริษัทส่งออก ผู้ชื้อ และหน่วยงานควบคุมกำจัด ทั้งๆที่ปลาหมอคางดำ เป็นปลาต่างถิ่น ที่ไม่อนุญาตให้นำเข้า แต่ปล่อยให้มีการส่งออกได้อย่างไร และหากปลาหมอคางดำไม่ได้กลายเป็นปัญหาในวันนี้ ความผิดพลาดนี้ก็คงยังไม่ถูกค้นพบ

จากบทสัมภาษณ์ของ น.พ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ ที่ได้รับข้อมูลใหม่ว่า ผู้ส่งออกปลาสวยงามทั้ง 11 บริษัท ใส่ข้อมูลชื่อปลาในระบบผิดพลาด เพราะจ้างชิปปิ้งทำเอกสารส่งออกแล้วลงระบบผิด โดย ระบุชื่อไทย ว่า ปลาหมอเทศข้างลาย ชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon melanotheron ชื่อสามัญ Blackchin tilapia แต่ในระบบทางราชการ ชื่อวิทยาศาสตร์และชื่อสามัญข้างต้น เป็นของ ปลาหมอคางดำ แล้วสรุปว่า ใส่ชื่อไทยผิด แต่ปล่อยให้ผิดติดต่อกันมาตลอดเวลา 4 ปี แม้ภาครัฐบอกว่า ได้ตรวจสอบแล้วในปี 60 แต่คงเชื่อยาก และเชื่อว่าประธานอนุกรรมาธิการ ก็ยังไม่สิ้นสงสัยเป็นแน่

อ้างอิงข้อมูลเรื่องชื่อเรียกพันธุ์ปลา จาก อ.เจษฎ์ – ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่อธิบายว่า ปลาหมอคางดำ มีชื่อสามัญว่า blackchin tilapia มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sarotherodon melanotheron จัดอยู่ในวงศ์ปลาหมอสี (family Cichlidae) เช่นเดียวกับปลานิล และปลาหมอเทศ (แต่คนละสกุล genus กัน) ในการบัญญัติชื่อภาษาไทยจึงขึ้นต้นว่า “ปลาหมอ” (หรือช่วงหนึ่งเคยใช้คำว่า “ปลาหมอสี” ตามชื่อวงศ์ด้วยซ้ำ) แทนที่จะชื่อว่า ปลานิล และตอนที่บริษัทเอกชนรายจะขอนำเข้าพันธุ์ปลา blackchin tilapia จากประเทศกานา มาทำวิจัย โดยเขียนในเอกสารโครงการวิจัยว่า “ลูกปลานิลจากประเทศกานา” กรมประมงยังให้เปลี่ยนเป็น “ปลาหมอ” แทน

อย่างไรก็ตามช่วงเวลานั้น ไม่มีการบัญญัติชื่อ “ปลาหมอ(สี)คางดำ” ทำให้ในเอกสารโครงการที่ถูกแก้ จึงใช้คำว่า “ปลาหมอเทศข้างลาย (ชื่อสามัญ Blue tilapia ชื่อวิทยาศาสตร์ Oreochromis aureus)” ทั้งที่เป็นคนละสปีชีส์กันและมาปรากฏเป็นชื่อ “ปลาหมอ(สี)คางดำ” ชัดเจน ในประกาศห้ามนำเข้า-เพาะพันธุ์-ส่งออก ของกรมประมง ในปี พ.ศ 2561 พร้อมกับปลาหมอสีต้องห้ามอื่นๆ เช่น ปลาหมอบัตเตอร์ (Zebra tilapia ชื่อวิทยาศาสตร์: Heterotilapia buttikoferi) ปลาหมอมายัน (Mayan cichlid ชื่อวิทยาศาสตร์: Mayaheros urophthalmus)

ล่าสุด บริษัทผู้ส่งออกทั้ง 11 แห่ง ให้ข้อมูลในเบื้องต้นถึงใบขนส่งของกรมศุลกากรและพิกัดศุลกากร และส่งไปปลายทางที่เอามายืนยัน สุดท้ายไม่ได้เป็นปลาหมอคางดำ แต่เป็นปลาหมอสีมาลาวี และ ปลาหมอโทรเฟียส ข้อมูลการส่งออกที่ระบุว่า ปลาหมอคางดำ จึงลงบันทึกผิดในระบบเท่านั้น …ถือเป็นคำชี้แจงที่เชื่อได้ยาก เพราะหากเป็นเช่นนี้แสดงว่า ผู้ส่งออกทั้ง 11 บริษัท ใช้บริการชิปปิ้งเดียวกัน และอาจไม่ได้ตรวจเอกสารเลยว่า ปลาที่ระบุในเอกสาร ไม่ตรงกับปลาที่ขายจริงมาตลอด 4 ปี โดยไม่มีการทักท้วงเลย ในขณะที่ภาครัฐก็ไม่ได้มีการตรวจสอบเลยว่า ปลาที่ส่งออกไปเป็นปลาอะไร ตรงกับที่ระบุในเอกสารส่งออกหรือไม่ และความจริงทั้งหมดเป็นอย่างไร

ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ ภายหลังจากมีกฎหมายห้ามเพาะเลี้ยงมีผลบังคับใช้ในปี 2561 ตัวเลขส่งออกก็ไม่ปรากฎให้เห็น เกิดคำถามมาว่า ถ้าปลาที่ส่งออก ไม่ใช่ปลาหมอคางดำ มีเหตุผลใดถึงหยุดส่ง แต่ถ้าเป็นปลาหมอคางดำ พ่อแม่พันธุ์เหล่านั้นไปไหน หรือมีการทำลายอย่างถูกต้องหรือไม่ อย่างไร หากปล่อยลงคูคลองก็ไม่แคล้วกลายเป็นแหล่งแพร่พันธุ์ปลาชนิดนี้ เพราะแหล่งน้ำสำคัญของจังหวัดราชบุรี แหล่งเพาะเลี้ยงปลาสวยงามมากที่สุดของประเทศ ก็สามารถเชื่อมต่อมายังจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสงคราม ที่พบการแพร่ของปลาหมอคางดำได้

เมื่อต้นตอการระบาดกลายเป็นสิ่งที่สังคมต้องการคำตอบ จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบการส่งออกอย่างละเอียดว่า ปลาที่ปลายทางได้รับเป็นปลาชนิดใด เพราะถือเป็นอีกปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริง อย่างโปร่งใส ครบถ้วนในทุกมิติ มิเช่นนั้นคำถามนี้ก็จะยังคงอยู่ต่อไปแน่นอน…

เมืองไทยประกันชีวิต ชูแคมเปญประกันชีวิต “ShieldLife”ตอบโจทย์ใช้ชีวิตแบบ Worry Free

เมืองไทยประกันชีวิต ส่ง “ShieldLife” ตัวช่วยให้คุณเบาใจ ในวันที่คุณจากไป… ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่าง Worry Free ชวนปรับแนวคิดคนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ สู่การสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้กับคนข้างหลังผ่านประกันชีวิต พร้อมส่ง “A True Story” เปิดมุมมองเรื่องจริงที่หลากหลาย บอกเล่าความสุข ความประทับใจ และเหตุผลที่อยากส่งต่อความมั่นคงด้วยประกันชีวิตผ่าน ShieldLife

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าแคมเปญ “ShieldLife” ตัวช่วยให้คุณเบาใจ ในวันที่คุณจากไป… อย่างต่อเนื่องหลังกระแสตอบรับดี ล่าสุดชวนปรับแนวคิด “คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ” สู่การสร้างหลักประกันที่มั่นคงด้วยการวางแผนชีวิตเพื่อคนข้างหลัง ตอบโจทย์คนซื้อให้ได้ใช้ชีวิตอย่าง Worry Free และมีความสุขอย่างแท้จริง ด้วยการสร้างและส่งต่อมรดกให้ครอบครัว เพื่อเป็นตัวช่วยสภาพคล่องทางการเงิน หรือเป็นทุนการศึกษาให้ลูก หรือเป็นทุนเริ่มต้นทำธุรกิจ ให้ใช้ชีวิตต่อได้แบบที่ต้องการ หากมีหนี้สิน จะเป็นตัวช่วยผ่อนภาระหนี้สิน ไม่ว่าจะเป็น หนี้บ้าน หนี้รถ หนี้ธุรกิจ หรือหนี้อื่นๆ หากจากไปก็ไม่ทิ้งภาระไว้ให้คนข้างหลัง

ทั้งนี้ “ShieldLife” คือตัวช่วยในการวางแผนการสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้คนที่คุณรัก ที่คุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุและเจ็บป่วย ด้วยแบบประกันชีวิตที่คุณเลือกได้ ทั้งประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life) ประกันชีวิตแบบคุ้มครองภายในระยะเวลา (Term) หรือประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) พร้อมออกแบบตามสไลฟ์สไตล์ที่เป็นตัวคุณ ทั้งวงเงินความคุ้มครองที่เลือกได้ตามต้องการ เลือกจ่ายเบี้ยแบบชิลๆ จะแบบสั้นหรือแบบยาวก็ได้ ซื้อได้ถึงอายุ 90 ปี ระยะเวลาคุ้มครองยาวสุดถึงอายุ 99 ปี เบี้ยประกันภัยยังสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

“ตัวตนของประกันชีวิตจริงๆ แล้วคือเรื่องของการสร้างหลักประกันที่มั่นคงที่ช่วยส่งต่ออนาคตให้กับคนที่รักได้อย่างสบายใจ แต่ก็มีบางจังหวะที่คนอาจมองข้ามและมักมองว่าประกันชีวิตคือสิ่งที่คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ ซึ่งผมมองต่าง เพราะเราไม่รู้ว่าความแน่นอนของชีวิตจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยถ้ามีการวางแผนที่ดีก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเบาใจ ได้รู้ว่าคนข้างหลังจะเป็นอย่างไร ซึ่งเราสามารถออกแบบหลักประกันเหล่านี้ได้ และยังได้ใช้ชีวิตได้ทำในสิ่งที่ชอบที่เป็นของสุขของเราได้อย่างเต็มที่ ซึ่ง ShieldLife คือคำตอบสำหรับทุกคนที่อยากสร้างหลักประกันที่มั่นคงนั้น” นายสาระ กล่าว

นอกจากนี้เพื่อตอกย้ำกระแสความแรงของ ShieldLife เมืองไทยประกันชีวิตยังได้จัดทำ “A True Story : ShieldLife” เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์จริงจากหลากหลายกลุ่มคนในสังคมไม่ว่าจะเป็น นักธุรกิจ เจ้าของธุรกิจ พ่อแม่มือใหม่ พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว เสาหลักดูแลพ่อแม่ คู่รัก หรือคู่ชีวิต ที่พร้อมมาบอกเล่าความประทับใจ ความสุข ความสมหวัง และความรัก เหตุผลที่อยากส่งต่อความมั่นคงด้วยประกันชีวิตจาก เมืองไทยประกันชีวิต ให้กับคนที่รักและห่วงใย หรือซื้อประกันชีวิตเพื่ออนาคตมั่นใจ ที่พร้อมให้ครอบครัวเดินหน้าต่อไปได้ แม้ในวันที่เราจากไป ไม่ว่าจะเป็น

คุณศุภกิตติ์ อูปคำ-ตั้ม (Thomas Tom) Content Creator สอนภาษาอังกฤษที่ผสมการแหลงใต้ ที่ผ่านการสูญเสียจนทำให้ต้องเริ่มเตรียมความพร้อมในการใช้ชีวิต “จากเหตุการณ์ที่สูญเสียทั้งพ่อและพี่ชาย ทำให้ต้องใช้ชีวิตอย่างรอบคอบ ไม่ประมาท เตรียมความพร้อมอย่างดีเพื่อเป็นเสาหลักครอบครัว ดูแลแม่และน้องสาวให้ดีที่สุด ซึ่งตั้มเลือกฝากอนาคตของคนที่รักไว้กับ ShieldLife จากเมืองไทยประกันชีวิตที่ทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่เหมือนเป็นการทิ้งสิ่งดีๆ สิ่งสุดท้ายในชีวิตไว้ให้คนที่เรารัก หมดห่วงในวันที่เราจากไป”

คุณจิรรัฏฐ์ เกตุภู่ (มีน) และ คุณอนุรักษ์ บุญเพิ่มพูล (บอม) เพจ “คนจะไปก็ต้องไป” จากไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง สู่พาร์ทเนอร์ชีวิตที่ลงตัว “เราสองคนเหมือนเป็น Partner ร่วมทางกันมากกว่าคนรัก เลยคิดว่าอยากดูแล และอยากส่งมอบสิ่งดีๆ ให้กันทั้งในวันที่ยังอยู่และในวันที่จากไป ไม่อยากทิ้งภาระไว้ให้อีกคนต้องรับผิดชอบ เราสองคนเลือกฝากอนาคตไว้กับ ShieldLife ซึ่งเป็นประกันชีวิตที่ทำให้เราสองคนได้ชิลกับชีวิตได้เต็มที่ ที่ให้ความคุ้มครองอย่างเท่าเทียม สามารถระบุ Partner ของเราเป็นผู้รับประโยชน์ได้ ทำให้เรามั่นใจที่จะฝากอนาคตของคนที่เรารักไว้กับเมืองไทยประกันชีวิต”

คุณภัทรารวีย์ เกตุธีรโรจน์ (ไข่มุก) เจ้าของเพจ “เที่ยวแบบกรู” เที่ยวไปเลี้ยงลูกไป กับวิธีสอนลูกให้พร้อมใช้ชีวิตในโลกกว้าง คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่มีชีวิตเพื่อเป็นทุกอย่างของลูก “ลูกมีเราเป็นโลกทั้งใบ เราเลยอยากดูแลตัวเองให้ดีเพื่ออยู่กับเขาไปนานๆ เลยเริ่มเตรียมอนาคตไว้ให้ลูกเพื่อเป็นทุนซัปพอร์ตเขาในวันที่เราไม่อยู่ ไข่มุกเลือกสร้างความคุ้มครองเพื่อส่งต่อเป็นทุนให้ลูกได้สานฝันในสิ่งที่อยากทำในอนาคต ด้วย ShieldLife จากเมืองไทยประกันชีวิตที่ทำให้ไข่มุกได้ชิลกับชีวิตได้อย่างเต็มที่”

และ ดร.อริสรา กำธรเจริญ พิธีกรและผู้ประกาศข่าว ผู้หญิงที่ใช้ความพยายามทั้งหัวใจเพื่อการเป็นแม่ “ในบทบาทของการเป็น “แม่” ทำให้รู้ว่าอยากเลี้ยง “ลูก” ให้ดีที่สุดเท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำได้ ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็จะแบ่งเวลาเพื่อดูแล และทำกิจกรรมกับลูกเสมอ โดยที่ตั้งใจจะซัปพอร์ตอนาคตลูกให้ดีที่สุด หมวยเลือกฝากอนาคตของลูกเพื่อส่งต่อเป็นทุนให้เขาได้ใช้ชีวิตตามที่เขาต้องการ กับ ShieldLife ที่ทำให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่จากเมืองไทยประกันชีวิต”

โดยสามารถติดตามทุกเรื่องราวและประสบการณ์จริงอีกหลายหลายแนวคิดใน “A True Story : ShieldLife” ได้ที่ เว็บไซต์ www.muangthai.co.th, YouTube, Facebook, Instagram, X, LINE Official Account และ TikTok สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์แคมเปญ “ShieldLife” จากเมืองไทยประกันชีวิต สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th หรือ โทร.1766 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อตัวแทนจากเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ สาขา ธนาคารกสิกรไทย และ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์

ซีพีเอฟแจงยิบ เปิดไทม์ไลน์ปลาหมอคางดำ ย้ำทำตามคำแนะนำเจ้าหน้าที่กรมประมง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้ยื่นหนังสือให้ข้อมูลคณะกรรมาธิการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม แจงละเอียดทุกขั้นตอนการนำเข้าลูกปลาหมอคางดำ 2,000 ตัวจากประเทศกานา ตั้งแต่ปลามาถึงไทยจนถึงทำลายฝังซากและส่งซากปลาให้กรมประมง ผ่านการตรวจสอบและตามคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่กรมฯ

นายเปรมศักดิ์ วนัชสุนทร ผู้บริหารสูงสุดด้านการวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญบริษัทเข้าร่วมการประชุมกับคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหารวมถึง ผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำเพื่อการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ในราชอาณาจักรไทย นั้น บริษัทได้ชี้แจงว่า ซีพีเอฟ ได้นำเข้าลูกปลาหมอคางดำ ในชื่อสามัญ Blackchin tilapia และชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon melanotheron ขนาด 1 กรัม จำนวน 2,000 ตัว จากประเทศกานา เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2553 ใช้เวลาเดินทาง 35 ชั่วโมง เมื่อมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิได้เปิดกล่องโฟมบรรจุลูกปลาพร้อมกับเจ้าหน้าที่กรมประมง ที่ประจำ ณ ด่านกักกัน พบว่ามีลูกปลาตายจำนวนมาก และเมื่อรับลูกปลามาถึงฟาร์มได้ตรวจคัดแยกพบว่ามีลูกปลามีชีวิตเหลืออยู่เพียง 600 ตัว ในสภาพที่ไม่แข็งแรง จึงได้นำลูกปลาที่ยังมีชีวิตลงในบ่อเลี้ยงซีเมนต์ เนื่องจากปลามีสุขภาพไม่แข็งแรง ลูกปลาทยอยตายต่อเนื่องทุกวัน (ตารางแนบ)

เนื่องจากสภาพลูกปลาที่เหลือไม่แข็งแรงและจำนวนไม่เพียงพอต่อการวิจัย จึงโทรปรึกษาเจ้าหน้าที่กรมประมง (นักวิชาการประมง 4 ตำแหน่งในขณะนั้น) กลุ่มความหลากหลายทางชีวภาพสัตว์น้ำจืด ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบที่มีชื่อระบุอยู่ในหนังสืออนุมัตินำเข้า โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่าให้เก็บตัวอย่างใส่ ขวดโหลแช่ฟอร์มาลีนและให้นำมาส่งที่กรมประมง ดังนั้น ในสัปดาห์ที่ 2 ของการรับปลาเข้ามา จึงเก็บตัวอย่างจำนวน 50 ตัว ดองฟอร์มาลีนเข้มข้นเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน

วันที่ 6 มกราคม 2554 (สัปดาห์ที่ 3) เนื่องจากมีปลาทยอยตายเหลือเพียง 50 ตัว บริษัทจึงตัดสินใจไม่เริ่มดำเนินโครงการและยุติการวิจัยทั้งหมด และได้ทำลายลูกปลาทั้งหมดโดยใช้คลอรีนใส่ลงน้ำในบ่อเลี้ยงซีเมนต์ เพื่อฆ่าเชื้อและทำลายลูกปลาที่เหลือ หลังจากนั้น เก็บลูกปลาทั้งหมดแช่ฟอร์มาลีนเข้มข้น 24 ชั่วโมง แล้วนำมาฝังกลบพร้อมโรยปูนขาวในวันที่ 7 มกราคม 2554 รวมระยะเวลาที่ลูกปลาชุดนี้มีชีวิตอยู่ในประเทศไทยเพียง 16 วันเท่านั้น และบริษัทได้แจ้งต่อกรมประมงถึงการตายของลูกปลา รวมถึงได้ทำลายซากลูกปลาตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่กรมประมงท่านดังกล่าว และส่งตัวอย่างลูกปลาดองทั้งตัวในฟอร์มาลีนทั้งหมด 50 ตัว จำนวน 2 ขวด ๆ ละ 25 ตัว ให้กับคุณศิริวรรณที่กรมประมง โดยในวันที่ 6 มกราคม 2554 ได้เดินทางมาที่กรมประมง และได้โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ท่านเดิม เรื่องการส่งมอบตัวอย่างลูกปลาดองทั้ง 2 ขวด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อีกท่านหนึ่งลงมารับตัวอย่างแทน ที่ชั้น 1 อาคารจุฬาภรณ์ กรมประมง โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ขอให้ตัวแทนบริษัทกรอกแบบฟอร์มใดๆ ทำให้เข้าใจว่าการส่งมอบสมบูรณ์แล้ว

ถัดมาอีก 7 ปี ในปี 2560 มีข้อมูลจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนว่า มีการพบปลาหมอคางดำระบาดในพื้นที่สมุทรสงคราม กรมประมงจึงได้เข้าตรวจเยี่ยมฟาร์มยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ในวันที่ 1 สิงหาคม 2560 ซึ่งเจ้าหน้าที่จากกรมประมงตรวจสอบไม่พบปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยง จึงได้ขอสุ่มในบ่อพักน้ำที่เชื่อมต่อกับแหล่งน้ำธรรมชาติแทน ซึ่งบ่อพักน้ำ R2 ของฟาร์มไม่ได้เป็นส่วนของบ่อเลี้ยง แต่เป็นส่วนที่เชื่อมกับแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อรอการกรองและฆ่าเชื้อทำความสะอาดก่อนนำน้ำเข้ามาใช้ในฟาร์ม

บ่อพักน้ำเป็นส่วนที่เชื่อมกับแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ปลาที่อยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติย่อมมีอยู่ในบ่อพักน้ำ เนื่องจากเป็นแหล่งน้ำเดียวกัน และยังไม่เข้าสู่ระบบการเลี้ยง ดังนั้น การสุ่มในบ่อพักน้ำจึงไม่แปลกที่ปลาจะเป็นชนิดเดียวกันกับปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติ การนำมาเปรียบเทียบว่าเป็นปลาชนิดเดียวกันหรือไม่ จึงเป็นการตั้งสมมติฐานที่ทราบคำตอบตั้งแต่ต้นว่าเป็นปลาชนิดเดียวกัน เพราะมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติเดียวกัน

นายเปรมศักดิ์ กล่าวย้ำว่า บริษัทไม่มีการวิจัยหรือเลี้ยงปลาหมอคางดำอีกเลย นับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2554 ถึงแม้ว่าบริษัทมั่นใจว่าไม่ได้เป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาด แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน จึงได้นำศักยภาพองค์กรขับเคลื่อน 5 โครงการสำคัญ ประกอบด้วย

  1. ร่วมกับกรมประมงรับซื้อปลาหมอคางดำจากทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีการระบาด จำนวน 2,000,000 กิโลกรัม ในราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม
  2. สนับสนุนปล่อยปลาผู้ล่าลงสู่แหล่งน้ำ 200,000 ตัวตามแนวทางของกรมประมง
  3. สนับสนุนกิจกรรมจับปลา โดยสนับสนุนอุปกรณ์จับปลาและกำลังคนในทุกพื้นที่ที่ประสบปัญหา
  4. ร่วมกับสถาบันการศึกษา 3 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากปลาหมอคางดำ
  5. ร่วมทำวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ในการหาแนวทางควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว.

AIS คว้ารางวัล Prime Minister Award  หมวด National Startup 2024  ยืนหนึ่งวงการสตาร์ทอัพไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้วยเป้าหมายการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ Startup ของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ที่มีแนวทางการทำงานอย่างชัดเจนโดยมุ่งสนับสนุนและทำงานร่วมกันกับผู้ประกอบการ Startup อย่างรอบด้านด้วยแนวคิด Partnership for Inclusive Growth เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน ล่าสุด AIS The StartUp คว้ารางวัล Prime Minister Award ในหมวด National Startup 2024 สาขา Best Brotherhood of the Year โดยรางวัลดังกล่าวจัดขึ้นโดยรัฐบาลไทย เพื่อมอบให้กับองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนที่มีผลงานโดดเด่นในการผลักดันนวัตกรรม (innovation) และผู้ประกอบการทางเทคโนโลยี (Tech Entrepreneurs) ในประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้ Ecosystem ของวงการ Startup ไทยสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน และแข่งขันในระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา AIS เป็นผู้ให้บริการดิจิทัลที่สร้างโอกาสในการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ Startup ภายใต้ในแนวคิด Partnership for Inclusive Growth ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเรามุ่งมั่นใช้ศักยภาพทั้งจากภายใน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม องค์ความรู้ ทั้งของ AIS และในกลุ่มบริษัท รวมถึงการเชื่อมต่อกับพาร์ทเนอร์และกลุ่มนักลงทุนไปจนถึงโอกาสในการทำการตลาด  เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ Startup ได้อย่างยั่งยืน

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่วันนี้เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้รับอีกหนึ่งรางวัลอันทรงเกียรติ Prime Minister Award ในหมวด National Startup 2024 สาขา Best Brotherhood of the Year สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจและวิสัยทัศน์การทำงานที่มุ่งผลักดันและสนับสนุนสร้างเวทีให้กับผู้ประกอบการ Startup รวมถึงการส่งต่อไอเดียสู่โลกธุรกิจจริงผ่านการสร้างนวัตกรรมรูปแบบบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคและลูกค้าในปัจจุบัน”

“ขอขอบคุณกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA ที่เล็งเห็นถึงความความตั้งใจของ AIS The StartUp  โดยเรายืนยันว่า จะยังคงทำงานตามเจตนารมณ์ข้างต้นเพื่อเคียงข้างผู้ประกอบการทุกกลุ่ม เพราะนอกจากจะส่งเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจประเทศแล้ว ยังจะนำไปสู่การสนับสนุน การสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อเป็นมูลค่าเพิ่มทางการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย” นายสมชัย กล่าวทิ้งท้าย

ซีพีเอฟ คว้ารางวัล “อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ปี 2567” ตอกย้ำมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยอาหารระดับสากล

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้รับรางวัล “อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ปี 2567” ประเภทสถานประกอบการดีเด่นด้านอาหาร จากกระทรวงสาธารณสุข สะท้อนการเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก โดยได้รับเกียรติจากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีมอบโล่รางวัลแก่ ตัวแทนจากธุรกิจไก่เนื้อ สระบุรี โคราช มีนบุรี 1 มีนบุรี 2 และธุรกิจห้าดาว ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ด้วยวิสัยทัศน์การเป็นครัวของโลก สร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ซีพีเอฟมุ่งมั่นพัฒนาผลิตสินค้าตามข้อกำหนด กฎหมาย ตอบรับความต้องการของลูกค้า โดยมีระบบบริหารคุณภาพในการผลิตอาหารมีคุณภาพสูง ปลอดภัย และมีความยั่งยืนได้มาตรฐานระดับสากล ด้วยการนำระบบประกันคุณภาพสินค้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน เริ่มจากการยกระดับคุณภาพวัตถุดิบ การพัฒนาศักยภาพคู่ค้าธุรกิจกลุ่มเอสเอ็มอี ผ่านโครงการ SME Supplier Development จัดอบรมถ่ายทอดความรู้และให้คำปรึกษาแก่คู่ค้า SMEs ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตวัตถุดิบและเครื่องปรุง ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรของซีพีเอฟเป็น QA Expertise มีความเชี่ยวชาญด้านวัตถุดิบ นอกจากนี้ มีการจัดทำโครงการป้องกันเชิงรุก และโครงการบำรุงรักษาเชิงคุณภาพ Quality Maintenance รวมไปถึงการสร้างความตระหนักด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหารให้กับพนักงานในองค์กร

ด้านความปลอดภัยของสินค้า ซีพีเอฟจัดทำโครงการพัฒนาชุดตรวจสอบสินค้าร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ เน้นการตรวจวิเคราะห์ที่แม่นยำและรวดเร็ว เพื่อลดแรงงานคน ของเสีย และน้ำเสีย ทำให้สามารถส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและรักษาคุณภาพของสินค้าได้อย่างสม่ำเสมอ

“อย. ควอลิตี้ อวอร์ด” เป็นรางวัลที่มอบให้ผู้ประกอบการที่มีการดำเนินกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและสังคม มีการรักษาคุณภาพมาตรฐานการผลิตอย่างต่อเนื่อง จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 เพื่อสนับสนุนให้กับบริษัทหรือสถานประกอบการยึดมั่นคุณภาพมาตรฐานในการประกอบธุรกิจ ผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพมาตรฐานตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ด้วยความใส่ใจ เพื่อให้คนไทยได้บริโภคอาหารคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมบริจาคโลหิตในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 23

เมืองไทยประกันชีวิตร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย ร่วมกิจกรรมการบริจาคโลหิตเนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 23 ประจำปี 2567 เพื่อรวมพลังผู้บริหาร พนักงาน ฝ่ายขายและประชาชนที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียงบริษัทฯ ร่วมบริจาคโลหิตเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการโลหิต พร้อมตอกย้ำองค์กรที่ร่วมสร้างสรรค์คุณภาพของสังคมในทุกมิติ

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทฯ ได้ร่วมกับ 4 องค์กรหลัก ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน และกองทุนประกันชีวิตจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ โดยมีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการรักษาพยาบาลและช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการเลือดในการรักษา กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากพนักงานและประชาชนทั่วไป ที่มาร่วมบริจาคโลหิตอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นกิจกรรมเนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติครั้งที่ 23 ประจำปี 2567

สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

สำหรับการจัดกิจกรรมนี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นการสร้างสังคมที่มีความรับผิดชอบและการช่วยเหลือต่อเพื่อนมนุษย์ ซึ่งการบริจาคแต่ละครั้งสามารถช่วยชีวิตและสร้างโอกาสให้กับผู้ป่วยได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้อย่างเต็มที่ บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุขของทุกคนที่มาร่วมกิจกรรม ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในทุกด้าน

ทั้งนี้การบริจาคโลหิตนอกจากจะเป็นการได้ช่วยต่อชีวิตให้กับผู้ป่วยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุเพื่อใช้ในการผ่าตัด และผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาด้วยการรับโลหิตอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังเกิดประโยชน์แก่ตนเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายของเราจะได้สร้างเม็ดเลือดใหม่ ซึ่งมีความแข็งแรงและทำให้ได้ประสิทธิภาพกว่าเดิม ทำให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนได้เต็มที่ ระบบการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น เม็ดเลือดขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และเกล็ดเลือดทำงานซ่อมแซมส่วนต่างๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงภาวะหลอดเลือดแดงตีบ นอกจากนี้ยังเป็นการได้ตรวจภาวะโลหิตของเราในทุกครั้งที่บริจาคโลหิตอีกด้วย

ในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจากรองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และคุณมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ร่วมในพิธีเปิดงานบริจาคโลหิต เนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 23 ประจำปี 2567 โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตและมีผู้บริหาร พนักงาน ฝ่ายขายและประชาชนทั่วไป เป็นจำนวนรวมกว่า 250 ท่าน รวมเป็นประมาณโลหิต กว่า 100,000 ซีซี. ซึ่งบริษัทฯ ยังคงจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตอีกในปลายปี โดยจัดบริจาคในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดได้แก่ จ.เชียงใหม่ จ.ขอนแก่น และอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

“เมืองไทยประกันชีวิต ได้จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ โดยมีพนักงานและประชาชนทั่วไปเข้าร่วมอย่างคับคั่ง การบริจาคโลหิตช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและรักษาผู้ป่วยที่ต้องการเลือด ในขณะเดียวกันผู้บริจาคยังได้รับประโยชน์จากการตรวจสุขภาพเบื้องต้นและความรู้สึกดีจากการทำบุญครั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมความรับผิดชอบต่อเพื่อนมนุษย์ตอกย้ำนโยบายการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) โดยเฉพาะในมิติด้านสังคมที่ บริษัทฯ มุ่งมั่นส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนไทย” นายสาระกล่าวสรุป

ซีพีเอฟ จับมือ 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำ ดัน 5 โครงการเชิงรุกเร่งกำจัดปลาหมอคางดำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ประกาศความร่วมมือกับคณาจารย์จาก 3 สถาบันการศึกษาชั้นนำ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และมหาวิทยาลัยขอนแก่น รวมทั้งโรงงานผลิตปลาป่น เพื่อบูรณาการแก้ไขสถานการณ์ของปลาหมอคางดำ

นายประสิทธิ์ เปิดเผยว่า บริษัทตระหนักดีว่า ขณะนี้การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเป็นความเดือดร้อนของประชาชนในหลายพื้นที่ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตอนนี้ คือ การร่วมมือและสนับสนุนการจัดการปัญหาเพื่อบรรเทาผลกระทบอย่างเร่งด่วน ในฐานะภาคเอกชน บริษัทสนับสนุนแผนปฏิบัติการ 5 โครงการ ร่วมแก้ไขปัญหานี้ของภาครัฐตามศักยภาพของบริษัท ต้องขอบคุณ ฯพณฯ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้ามาตรการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน ประกอบกับ นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมงที่เข้มแข็งลงมือปฏิบัติการเชิงรุกอย่างเต็มรูปแบบเพื่อลดจำนวนปลาหมอคางดำไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน

“บริษัทพร้อมนำศักยภาพขององค์กรเข้ามาช่วยสนับสนุนการแก้ไขอย่างบูรณาการกับทุกภาคส่วน และลงมือปฏิบัติการเชิงรุกในหลายมิติตามแนวทางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยมีแผนปฏิบัติการเชิงรุก 5 โครงการ” ดังนี้

โครงการที่ 1 : ทำงานร่วมกับกรมประมงสนับสนุนการรับซื้อปลาหมอคางดำจากทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีการระบาด ราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 2,000,000 กิโลกรัม นำมาผลิตเป็นปลาป่นเพื่อเร่งกำจัดปลาหมอคางดำออกจากระบบให้มากและเร็วที่สุด โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมมือกับโรงงานปลาป่นศิริแสงอารำพี จังหวัดสมุทรสาคร รับซื้อปลาหมอคางดำในพื้นที่ไปแล้ว 600,000 กิโลกรัม และยังมีแผนรับซื้ออย่างต่อเนื่อง พร้อมประสานจุดรับซื้อเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณกรมประมงที่มีมาตรการที่รัดกุม ออกประกาศห้ามการเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเพาะเลี้ยงเพื่อการค้า

โครงการที่ 2 : ร่วมสนับสนุนภาครัฐและชุมชน ปล่อยปลาผู้ล่าลงสู่แหล่งน้ำ จำนวน 200,000 ตัว โดยที่ผ่านมา บริษัทมีการส่งมอบปลากะพงขาว จำนวน 45,000 ตัว ให้กับประมงจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และจันทบุรี ทั้งนี้ ขั้นตอนในการปล่อยปลาผู้ล่านั้น เป็นไปตามแนวทางของกรมประมง

โครงการที่ 3 : ร่วมสนับสนุนภาครัฐ ชุมชนและภาคประชาสังคม จัดกิจกรรมจับปลา สนับสนุนอุปกรณ์จับปลาและกำลังคน ในทุกพื้นที่ที่ประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ที่ผ่านมาบริษัทได้ร่วมกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง ทีมแม่กลองปราบหมอคางดำ” ที่จัดขึ้นในจังหวัดสมุทรสงครามแล้ว 4 ครั้ง เป็นต้น และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีการระบาด

โครงการที่ 4 : การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากปลาหมอคางดำ โดยมีสถาบันการศึกษาแสดงความสนใจเพื่อร่วมดำเนินการดังกล่าว ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ศึกษาวิจัยและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร

ที่ผ่านมา บริษัทได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาเมนูอาหารจากปลาหมอคางดำ อาทิ ปลาร้าทรงเครื่อง ผงโรยข้าวญี่ปุ่น และ น้ำพริกปลากรอบ

โครงการที่ 5 : ร่วมทำวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญในการหาแนวทางควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แสดงเจตจำนงร่วมมือกับบริษัทในการบูรณาการเพื่อพัฒนาแนวทางที่จะบรรเทาปัญหาในระยะยาวต่อไป และยินดีที่จะร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม

นายปรีชา ศิริแสงอารำพี เจ้าของโรงงานปลาป่นศิริแสงอารำพี จ.สมุทรสาคร กล่าวว่า ปลาหมอคางดำเป็นปลาที่มีโปรตีนที่สามารถนำมาผลิตเป็นปลาป่นคุณภาพ โรงงานยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาปัญหานี้ โดยได้ประสานงานกับซีพีเอฟที่ร่วมปฏิบัติการกับกรมประมง และได้รับซื้อแล้วตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาเป็นจำนวน 600,000 กิโลกรัม โดยยังคงเปิดรับซื้ออย่างต่อเนื่อง

“ตั้งแต่กระทรวงเกษตรฯ เริ่มการจับปลาหมอคางดำใน จ.สมุทรสาคร ชาวประมงที่เริ่มออกปลาตั้งแต่วันแรก บอกกับท่านรัฐมนตรีเองว่า วันนี้ปลาหายไป 80% แล้ว แต่เรายังต้องทำต่อเนื่อง ซึ่งรัฐก็มีมาตรการในการกำกับไม่ให้เกิดการลักลอบเลี้ยงและนำมาจำหน่าย การกำจัดด้วยวิธีการนี้จึงมาถูกทางและช่วยลดปริมาณปลาได้มาก การที่ทุกภาคส่วนมาช่วยกันเช่นนี้ถือว่าดีมาก” นายปรีชากล่าว

ด้านนักวิชาการจากสถาบันการศึกษา ผศ.ดร.สิทธิชัย ฮะทะโชติ ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายวิจัย นวัตกรรม และพันธกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีความเชี่ยวชาญโดยตรงกับการวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการควบคุมปลา รวมถึงการพัฒนาแปรรูป เพื่อเร่งนำปลาออกจากแหล่งน้ำได้อย่างรวดเร็วและการปล่อยปลากะพงในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งฃ มหาวิทยาลัยได้มีการทำการวิจัยปลาชนิดนี้มาหลายปี และคิดว่างานวิจัยจะช่วยเติมเต็มภารกิจของกรมประมงได้ ปลามีโปรตีนที่ดี สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารเพื่อการบริโภคได้ โดยมหาวิทยาลัยจะนำปลาหมอคางดำมาทำปลาร้า โดยใช้จุลินทรีย์ที่ช่วยย่นระยะเวลาการหมักปลาร้าให้สั้นลง ทั้งยังสามารถทำปลาป่นใช้ผลิตอาหารสัตว์ได้ รวมถึงการวิจัยและพัฒนาหาแนวทางอื่นๆ ในการจัดการควบคุมปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับความกังวลว่าจะมีการเพาะเลี้ยงปลาเพื่อนำมาขายในโครงการรับซื้อนั้น ข้อเท็จจริง ระยะการเลี้ยงปลาหมอคางดำใช้เวลาเลี้ยงนานเป็นปี แต่มีเนื้อน้อย ต้นทุนการผลิตสูงกว่าราคาที่รัฐบาลรับซื้อ ที่สำคัญการนำมาเป็นปลาป่นสำหรับอาหารสัตว์ยังช่วยลดต้นทุนการนำเข้าปลาป่นจากต่างประเทศ
ผศ.ดร นันทิภา พันธุ์สวัสดิ์ ภาควิชาผลิตภัณฑ์ประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ควรสร้างการรับรู้การบริโภคปลาชนิดนี้ให้มากขึ้น ภาควิชาได้ศึกษานำปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์ทั้งในระดับครัวเรือน อุตสาหกรรม และร้านอาหาร และปรุงเป็นอาหารหลากหลายเมนู
อาทิ ขนมจีนน้ำยา ในช่วงนี้ผู้คนสนใจชิมปลาหมอคางดำ จึงควรมีการเชื่อมโยงสู่การแปรรูปตัดแต่งเนื้อปลาและทำ “เนื้อปลาแช่แข็ง” เพื่อให้สามารถขนส่งแก่ผู้บริโภคได้กว้างขวางมากขึ้น หากมีคนที่พร้อมแปรรูปหรือตัดแต่งปลาจะช่วยปลาชนิดนี้เข้าถึงผู้บริโภคในภูมิภาคอื่นๆได้ง่ายขึ้น และการทำเป็นอาหารแปรรูปยังช่วยป้องกันการแพร่กระจายของปลาเข้าสู่พื้นที่อื่นๆ อีกด้วย

ด้าน ผศ.ดร.วัลย์ลดา กลางนุรักษ์ ผู้ช่วยคณบดี คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นนิมิตหมายอันดีที่ทุกภาคส่วนมาร่วมมือกัน และ คณาจารย์ สจล.มีความยินดีที่จะร่วมมือกำหนดแนวทางเพื่อจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดอย่างยั่งยืน โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยร่วมกับวิธีควบคุมทางชีวภาพ เช่น เทคโนโลยี Environmental DNA ซึ่งเป็นการสำรวจร่องรอย DNA ในธรรมชาติ สำรวจการระบาดได้ตั้งแต่ช่วงต้น ก็สามารถนำปลาผู้ล่าเข้ามาได้ทันการณ์ นอกจากนี้ ยังรวมถึงการนำปลานักล่าท้องถิ่นกลับสู่ระบบนิเวศ ซึ่งเป็นการมุ่งเป้าไปที่การรักษาสมดุลทางธรรมชาติ และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำของไทย ทั้งนี้ ปลาหมอคางดำ ไม่ใช่เอเลี่ยนตัวแรกที่เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งภาคประชาชนสำคัญมากในการตระหนักรู้และช่วยกันแก้ปัญหาตลอดจนรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ

ผศ.ดร.สรณัฎฐ์ ศิริสวย ภาควิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า ในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ กรมประมงมีการศึกษาเชิงลึกอยู่แล้ว และมีการเตรียมแผนอย่างดี เพื่อนำปลาขนาดใหญ่ออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติให้เร็วที่สุด เหลือแต่ปลาหมอคางดำขนาดเล็ก ทั้งการผ่อนปรนใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ เตรียมพร้อมในการปล่อยปลาผู้ล่า วิธีการดังกล่าวช่วยกำจัดวงจรชีวิตของปลาไปเรื่อยๆ ขณะที่ กรมประมงอยู่ระหว่างทำการวิจัยปลา 4N เพื่อผสมกับปลาปกติ 2N ให้ได้ปลา 3N ซึ่งเป็นหมัน ส่วนกรณีที่เกษตรกรเข้าใจว่าไข่ปลาสามารถอยู่ได้ถึง 2 เดือนในช่วงที่ตากบ่อนั้น แทบเป็นไม่ได้เลย ขอให้ประชาชนทุกคนตระหนักแต่อย่าตระหนก หากพบเจอปลาหมอคางดำที่ไหนให้แจ้งกับกรมประมงทันที .

AIS ยืนยันความพร้อมเครือข่าย อำนวยความสะดวกคนไทยร่วมถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ

AIS ยืนยันความพร้อมโครงข่ายการสื่อสาร จัดเต็มมากกว่า 2 เท่า เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เดินทางไปร่วมงานเฉลิมพระเกียรติ รวมไปถึงการจัดกิจกรรมถวายพระพรชัยมงคลของภาครัฐ บริเวณจุดสำคัญที่เป็นแลนด์มาร์คของแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ หรือ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ที่จะถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อให้พร้อมรองรับปริมาณการใช้งานสื่อสารที่จะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าปกติในช่วงการจัดงาน โดยมีการติดตั้งจุดกระจายสัญญาณชั่วคราวเพิ่มเติม พร้อมจุดบริการ AIS WiFi รวมถึง นำรถสถานีฐานเคลื่อนที่ออกให้บริการ เพื่อให้ลูกค้าและคนไทยติดต่อ สื่อสาร ติดตามข้อมูล บนทุกแพลตฟอร์มได้อย่างราบรื่นเต็มประสิทธิภาพ

นายกิตติ งามเจตนรมย์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี AIS กล่าวว่า “เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ หรือ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ชาวเอไอเอส พร้อมถวายความจงรักภักดี ด้วยการทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังในการเตรียมความพร้อมด้านเครือข่ายและระบบสื่อสารทั้งหมด เพื่อให้หน่วยราชการ ประชาชน ทุกหมู่เหล่า สามารถใช้สื่อสารในทุกรูปแบบ ทั้งผ่านเสียง หรือ ผ่านอินเทอร์เน็ตในการแชร์ภาพและติดตามข้อมูลข่าวสารของงานเฉลิมพระเกียรติครั้งสำคัญของประเทศได้อย่างราบรื่น”

ดังนั้นทีมวิศวกรจึงลงพื้นที่บริเวณจุดจัดงานถวายความจงรักภักดีของทุกจังหวัด ทุกภาคทั่วประเทศ ศึกษาข้อมูลการใช้งานโดยเทียบกับช่วงปกติ และ ช่วงที่มีงานพิธีการ ซึ่งรวมถึงกิจกรรมมหรสพสมโภชหลากหลายรูปแบบ โดยคาดการณ์ว่า ช่วงเวลาที่จะมีการใช้งานสูงสุด เพิ่มเติมมากกว่าปกติ คือ เวลาประมาณ 18:00 – 20:00 น. ซึ่งจากข้อมูลนี้ ทำให้ทีมงานสามารถวิเคราะห์ นำมาซึ่งการวางแผนบริหารจัดการ เครือข่ายในบริเวณงานเฉลิมพระเกียรติเพิ่มเติมมากกว่า 2 เท่า โดยได้เสริมทัพเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคพร้อมดูแลตลอด 24 ชม. ติดตั้งสถานีฐานชั่วคราวเพิ่มเติม เพื่อรองรับเครือข่าย 4G และ 5G และจุดบริการ AIS WiFi (ในบางพื้นที่) รวมไปถึงเตรียมรถสถานีฐานเคลื่อนที่ให้พร้อมต่อการเสริมขีดความสามารถในการรองรับการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้เพื่อให้คนไทยได้ร่วมแสดงออกถึงความจงรักภักดีได้อย่างราบรื่นที่สุด”

เปิดชื่อ 11 บริษัทส่งออก “ปลาหมอคางดำ” รวม 2.3 แสนตัว

แหล่งข่าวจากวงการปลาสวยงามระบุ ปลาหมอคางดำ หรือ Blackchin Tilapia เป็นหนึ่งใน 17 กลุ่มปลาแปลก หรือ Exotic Freshwater Fish ที่นิยมเลี้ยงกันในต่างประเทศ รวมถึงติดอันดับกลุ่มปลาที่สามารถใช้เป็นอาหารได้ที่ถูกนำมาเลี้ยงเป็นงานอดิเรก จึงไม่น่าแปลกใจที่พบว่ามี บริษัทไทยสนองตอบต่อความต้องการในตลาดนี้ และสามารถสร้างรายได้จากการส่งออกปลาชนิดนี้จริง โดยพบว่า ช่วงปี 2556-2559 มีบริษัททำธุรกิจส่งออกปลาตัวนี้มากถึง 11 ราย ส่งออกไปยัง 17 ประเทศ รวมจำนวนกว่า 2.3 แสนตัว

จากข้อมูลของกรมประมงพบว่า บริษัทที่ส่งออกปลาหมอคางดำมากที่สุดถึง 162,000 ตัว คือ หจก.ฉาง ซิน เอ็นเตอร์ไพร์ส รองลงไปคือ หจก. ซีฟู้ดส์ อิมปอร์ต-เอ็กซ์ปอร์ต ที่ส่งออกไป 30,000 ตัว และ ลำดับสาม ได้แก่ บจก.นิว วาไรตี้ ส่งออกไป 29,000 ตัว ลำดับสี่ได้แก่ บจก.พี. แอนด์ พี. อควาเลี่ยม เวิลด์ เทรดดิ้ง ที่ส่งออกไป 3,638 ตัว ถัดมาเป็น บจก.ไทย เฉียน หวู่ ส่งออก 2,950 ตัว

สำหรับบริษัทอื่นๆ ประกอบด้วย บจก.แอดวานซ์ อควาติก, บจก.เอเชีย อะควาติคส์, บจก.หมีขาว, หจก.วีอควอเรียม, บจก.สยามออร์นา เมนทอล ฟิช และ หจก.สมิตรา อะแควเรี่ยม ที่มียอดส่งออกในหลัก 100-900 ตัว

ข้อมูลการส่งออกนี้แสดงให้เห็นว่า ปลาชนิดนี้ในประเทศไทย มีแหล่งที่มาหลายทาง และในขณะนั้นยังไม่มีประกาศห้ามส่งออก ต่อมาเมื่อรัฐห้ามส่งออกในปี 2561 ก็ไม่พบการส่งออกปลาหมอคางดำอีกเลย ชวนให้คิดได้ว่า ธุรกิจปลาส่งออกเหล่านี้ขายปลาไปหมดสต๊อกได้พอดีจริงหรือ และถ้าไม่ใช่ผู้ส่งออกเหล่านี้ดำเนินการกับปลาที่เหลืออย่างไร โดยเฉพาะกับพ่อแม่พันธุ์

ทั้งนี้ จากงานวิจัยของกรมประมง เรื่อง “ความหลากหลายทางพันธุกรรมกับพันธุปฎิทรรศน์ของการระบาดปลาหมอสีคางดำในประเทศไทย” โดย อภิรดี หันพงศ์กิตติกูล วงศ์ปฐม กมลรัตน์ ทิวารัตน์ เถลิงเกียรติ ลีลา และ สุภาภรณ์ ชาวสวน ที่ตีพิมพ์ในวารสารการประมงอิเล็กทรอนิกส์ ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม 2563 ยังระบุว่า ประชากรปลาหมอสีคางดำที่แพร่กระจายในประเทศไทย มีการแบ่งเป็น 2 หรือ 3 กลุ่มย่อย ที่มีความแตกต่างทางพันธุกรรมสูง โดยประชากรในจังหวัดสมุทรสงคราม เพชรบุรี ชุมพรและประจวบคีรีขันธ์ มีความคล้ายคลึงทางพันธุกรรมมากกว่าประชากรจาก จ.ระยอง ซึ่งมีความแตกต่างทางพันธุกรรมกับประชากรอื่นๆ อย่างชัดเจน และนำมาผนวกกับข้อมูลบริษัทส่งออกที่ส่งออกที่ขายออกไปถึง 17 ประเทศ ก็ยิ่งรู้สึกว่าปลาหมอคางดำที่กำลังระบาดอยู่นี้ น่าจะมาจากหลายแหล่ง

ดังนั้น สิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไปคือ บริษัทส่งออกเหล่านี้ มีวิธีบริหารจัดการสินค้าอย่างไร ทั้งการจัดหาก่อนการส่งออก การดูแลรักษาปลา รวมถึงการทำลายปลาหลังมีประกาศกฎหมายห้ามส่งออกปลาหมอคางดำออกมา.