Home Blog Page 2

เมืองไทยประกันชีวิต หยุดทุกเสียงลังเลในหัว เปิดตัว “Muangthai Flexi Protection” (เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น) ประกันชีวิตรูปแบบใหม่ ที่คนซื้อได้ใช้จริง

0

ในยุคที่ผู้บริโภคมักลังเลกับคำถาม “จะซื้อประกันชีวิตไปทำไม ในเมื่อคนซื้อไม่ได้ใช้?” เมืองไทยประกันชีวิต เข้าใจทุกความลังเล และขอ “หยุดทุกความลังเลในหัว” เปิดตัว “Muangthai Flexi Protection” (เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น) ประกันชีวิตที่ “คนซื้อได้ใช้” ให้คุณดูแลสุขภาพของคุณ พร้อมคุ้มครองอนาคตของคนที่คุณรักได้ในกรมธรรม์เดียว สามารถเปลี่ยนทุนชีวิตมาใช้เป็นค่ารักษาในวัยเกษียณได้ทั้งผู้ป่วยใน และผู้ป่วยนอก ทุนประกันที่เหลือส่งต่อให้คนข้างหลังได้ในวันที่คุณไม่อยู่ ตอบทุกเสียงลังเลของคนยุคใหม่ที่ต้องการความคุ้มค่าและยืดหยุ่นในชีวิต ปักธงประกันชีวิตที่ “คนซื้อได้ใช้จริง”

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)      เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิตเดินหน้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ชีวิตคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัวประกันชีวิตรูปแบบใหม่ Muangthai Flexi Protection” (เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น)  จากอินไซต์จริง เพื่อ หยุดทุกเสียงของความลังเลที่ยังไม่ซื้อประกันชีวิต ตอบโจทย์ด้วยความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพในกรมธรรม์เดียว

ที่ผ่านมา หลายคนยังมีความลังเลในการซื้อประกันชีวิต เพราะติดอยู่กับความเชื่อเดิม ๆ ว่า ประกันชีวิต “คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ” หรือมองว่าการซื้อประกันชีวิตเป็นการจ่ายเบี้ยทิ้ง โดยไม่ได้รับประโยชน์ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ รวมถึงความกังวลเรื่องงบประมาณจำกัดและภาระเบี้ยในระยะยาว เมืองไทยประกันชีวิตเข้าใจความต้องการของลูกค้า จึงไม่เพียงขายความคุ้มครอง แต่พัฒนาผลิตภัณฑ์จากแนวคิด “Customer Centric” จากกลุ่มเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นคนวัยทำงาน ที่ห่วงพ่อแม่ ห่วงคนข้างหลัง แต่ก็ห่วงตัวเองและด้วยงบประมาณที่จำกัด ไม่อยากจ่ายเบี้ยทิ้ง จึงมักเลือกซื้อประกันให้ตัวเองก่อน หรือคนที่รักสุขภาพยังลังเลเพราะคิดว่าประกันชีวิตซื้อไปก็ไม่ได้ใช้เอง อีกทั้งยังห่วงเรื่องสุขภาพหลังเกษียณมากกว่า กลัวถ้าป่วยแล้วกลัวจะเป็นภาระกับครอบครัว รวมไปถึงกลุ่มคนที่เป็นเสาหลักครอบครัว ที่ห่วงลูกแต่ตัวเองก็ต้องดูแล อยากมีหลักประกันให้ลูกแต่ก็กลัวเป็นภาระลูกตอนที่อายุมากขึ้น จากเสียงในหัวเหล่านี้ จึงเกิดเป็น Muangthai Flexi Protection”(เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น) ประกันชีวิตที่ให้คุณดูแลได้ทั้งตัวเองและคนข้างหลังในกรมธรรม์เดียว โดยสามารถปรับเปลี่ยนทุนประกันชีวิตมาเป็นค่ารักษาพยาบาลได้เมื่อถึงวัยเกษียณ ถือเป็นนวัตกรรมประกันชีวิตเจ้าเดียวในตลาดที่มอบความยืดหยุ่นเช่นนี้ให้กับผู้บริโภค

ความโดดเด่นของ “Muangthai Flexi Protection” (เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น) คือเป็นประกันชีวิตที่   “คนซื้อได้ใช้จริง” เป็นแบบประกันที่จะเข้ามาช่วยให้การวางแผนชีวิตเป็นเรื่องง่ายขึ้น เพราะสามารถเลือกความคุ้มครองที่เหมาะสมกับช่วงชีวิตได้

-คุ้มครองครอบคลุมทั้งชีวิตและสุขภาพ ครบจบในกรมธรรม์เดียว

-เปลี่ยนทุนประกันเป็น ค่ารักษาพยาบาลได้เมื่ออายุครบ 65 ปี* มีวงเงินสุขภาพพร้อมใช้ในวัยเกษียณ จ่ายตามจริงทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก

-จ่ายเบี้ยคงที่  20 ปี  ไม่ปรับเพิ่มตามอายุ คุ้มครองยาวถึงอายุ 99 ปี

-กรณีเสียชีวิต ทุนประกันที่เหลือสามารถส่งต่อให้คนข้างหลังได้

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวโฆษณาชุดใหม่ภายใต้แนวคิด “หยุดทุกเสียงลังเลในหัว” โดยมี “ณเดชน์ คูกิมิยะ” พรีเซ็นเตอร์ของเมืองไทยประกันชีวิต มาถ่ายทอดเรื่องราวของผู้คนที่ยังติดอยู่กับความเชื่อเดิม ๆ แล้วออกจากลูปความลังเลมารู้จัก ประกันชีวิตรูปแบบใหม่ กับ “Muangthai Flexi Protection” (เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น) ถึงเวลาซื้อประกันชีวิตที่คนซื้อก็ได้ใช้! โดยสามารถติดตามโฆษณาชุดใหม่นี้ได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ www.muangthai.co.th  YouTube  Facebook Instagram X LINE Official Account และ TikTok  ต่อยอดด้วยสื่อครบวงจร ทั้ง OOH อาทิ MRT Digital Screen  Hyper Realistic ad และ Influencer ที่แชร์ประสบการณ์จริงจากความลังเลสู่ความมั่นใจ อาทิ ลงทุนแมน        ออมมันนี่  ขุนแมน man_khunman  เพื่อนเล่าการเงิน  investmentfrappe ไปจนถึง Lifestyle และ Office Community อย่าง pondonnews  prinmill  zolarbeam  bomp24 รวมถึง Facebook Community ที่มี character น่ารัก ๆ อีกมากมาย คิ้วต่ำ กรรมกรออฟฟิศ และนัดเป็ด   รอติดตามได้เร็ว ๆ นี้

นายสาระ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น” ถือเป็นอีกก้าวของเมืองไทยประกันชีวิตในการต่อยอดแนวคิด “Happiness Means Everything” ที่มุ่งส่งต่อความสุข ความมั่นคง และความอุ่นใจให้กับลูกค้าในทุกช่วงชีวิต ด้วยความยืดหยุ่นที่ตอบโจทย์ชีวิตจริงของคนยุคใหม่ และเป็นคำตอบสำหรับผู้ที่กำลังมองหาประกันชีวิตที่ “ซื้อแล้วได้ใช้จริง” เพื่อดูแลได้ทั้งตัวเองและคนข้างหลังในกรมธรรม์เดียวอย่างแท้จริง

สำหรับผู้ที่สนใจแบบประกันภัย “Muangthai Flexi Protection” (เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น)    จากเมืองไทยประกันชีวิต สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th  หรือโทร.1766  ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อตัวแทนจากเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ 

เอไอเอส ผนึก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยปกป้องคนไทยจากภัยไซเบอร์กว่า 3,050 ล้านครั้งบนโครงข่ายอัจฉริยะ บรรลุปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อย่างยั่งยืน

0

จากพันธกิจสำคัญในการยกระดับประเทศสู่ “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” เอไอเอสจึงเดินหน้าร่วมมือกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะหน่วยงานตำรวจซึ่งทำหน้าที่ด่านหน้าในการดูแลประชาชน ล่าสุด เอไอเอสและสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกันเปิดเผยผลการทำงานเชิงรุกอย่างต่อเนื่องภายในงาน “Thailand United Against Scams รวมพลังคนไทย ต้านภัย Scams” ซึ่งเป็นเวทีแถลงผลการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยนำเสนอความคืบหน้าการ สกัดกั้นเว็บไซต์อันตราย การบล็อกเบอร์ และ SMS สแกม ตลอดจนการเปิดปฏิบัติการร่วมที่นำไปสู่การจับกุมมิจฉาชีพอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้ เอไอเอสสามารถปกป้องคนไทยจากภัยไซเบอร์รวมกว่า 3,050 ล้านครั้ง (ข้อมูล ณ พฤศจิกายน 2568) บนโครงข่ายอัจฉริยะ โดยงานครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานรัฐกิจสัมพันธ์ เอไอเอส เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว

นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานรัฐกิจสัมพันธ์ เอไอเอส กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เอไอเอสทำงานเคียงข้างทุกภาคส่วนเพื่อยกระดับประเทศไทยสู่ ‘ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์’ อย่างต่อเนื่อง เราเดินหน้ามาตรการเชิงรุกหลายมิติ ตั้งแต่การพัฒนาโซลูชันปกป้องคนไทยด้วยโครงข่ายและเน็ตบ้านอัจฉริยะ อาทิ บริการ Secure Net บล็อกเว็บไซต์ที่มีความเสี่ยงบนโลกออนไลน์ รวมถึงสายด่วน 1185 แจ้งอุ่นใจตัดสายโจร และ บริการใหม่ล่าสุด แชะแล้วแชร์ แจ้งเบาะแส SMS หลอกลวง เพื่อสกัดกลโกงหลากรูปแบบ ควบคู่การจับมือภาครัฐและเอกชนในการสร้างทักษะดิจิทัลให้ประชาชน เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่องอีกภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่งคือการปิดวงจรมิจฉาชีพตั้งแต่ต้นทาง ผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานตำรวจที่ทำหน้าที่ดูแลประชาชน เอไอเอสจึงทำงานร่วมกับตำรวจทุกหน่วย ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจไซเบอร์ ตำรวจสอบสวนกลาง และหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง เพื่อขยายความร่วมมือเชิงรุก นำไปสู่การจับกุม และจากการทำงานร่วมกันในเชิงรุก ตลอดจนดำเนินการดูแลคนไทยจากภัยไซเบอร์ ทำให้เอไอเอสได้ปกป้องคนไทยจากภัยไซเบอร์รวมกว่า 3,050 ล้านครั้ง ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และเป็นก้าวสำคัญของการยกระดับสังคมออนไลน์ที่ปลอดภัย

เอไอเอสยังยืนยันเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ เชื่อมั่นว่าพลังความร่วมมือจากทุกหน่วยงานจะผลักดันประเทศไทยสู่ ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อย่างยั่งยืน ได้อย่างแท้จริง” นายวรุณเทพกล่าว

นายกฯ นำภาครัฐ-เอกชน ชูศักยภาพเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยใน “SET Government Roadshow 2025” ที่สิงคโปร์

0

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำทีมชูศักยภาพเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยในงาน “SET Government Roadshow” ที่สิงคโปร์ ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์ฯ บล. เกียรตินาคินภัทร และ  Bank of America Securities  เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน  โดยในงานมีผู้ลงทุนสถาบันและภาคเอกชนชั้นนำร่วมงานกว่า 120 รายในสิงคโปร์

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า “SET Government Roadshow 2025″ เป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคตลาดทุนได้พบและให้ข้อมูลโดยตรงกับผู้ลงทุนสถาบันระดับโลก สอดคล้องกับแผนงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ให้ความสำคัญกับการสื่อสารให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ภายในงาน นายกฯ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Confidence in Thailand’s Path Forward” แถลงจุดยืนของรัฐบาลในการฟื้นคืนความเชื่อมั่นให้กับประเทศ เน้นย้ำว่าประเทศไทยมีเสถียรภาพ มีความมุ่งมั่นและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ         รวมถึงให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุนในทิศทางทางการเมือง และการให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังฉายภาพนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลภายใต้แนวคิด “Quick Big Win” และ 5 เสาหลัก ที่ครอบคลุมการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น สร้างฐานรากในระยะยาว และสร้างเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันเพื่อการเติบโตของประเทศในอนาคต รวมถึงยังได้ให้ความเชื่อมั่นในแก่ผู้ลงทุนในนโยบายสำคัญที่จะมีส่วนส่งเสริมตลาดทุนและการออมของประชาชนในระยะยาว นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ให้ข้อมูลสร้างความเชื่อมั่นในด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ และการเจรจามาตรการภาษี ที่อยู่ในความสนใจของผู้ลงทุนเป็นอย่างมาก ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้นำข้อมูลของโครงการ JUMP+ ซึ่งเป็นโครงการ Flagship ของตลาดหลักทรัพย์ฯ แสดงแก่ผู้ลงทุนให้รู้จักและเข้าใจประโยชน์ของโครงการ ฯ ที่มุ่งส่งเสริมการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน และเพิ่มความน่าสนใจและมูลค่าตลาดทุนไทยอย่างยั่งยืน

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

“การที่นายกฯ นำทีมรัฐบาลเข้าร่วม “SET Government Roadshow 2025” สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจและตลาดทุนเป็นวาระสำคัญอย่างยิ่งของรัฐบาล ผู้ลงทุนสถาบันที่เข้าร่วมได้รับข้อมูลเชิงลึกด้านนโยบายโดยตรงจากผู้บริหารประเทศทำให้เข้าใจภาพรวมทั้งในระดับเศรษฐกิจมหภาคและโอกาสในตลาดทุน รวมทั้งเป็นการส่งสัญญาณความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการส่งเสริมและพัฒนาตลาดทุน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนและการระดมทุนในระดับภูมิภาค    โดย

ผู้ลงทุนสถาบันที่เข้าร่วมงานให้ความสนใจในเรื่องปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อความน่าสนใจลงทุนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางการเงินและการค้าระหว่างประเทศ” นายอัสสเดชกล่าว

นายศุภโชค ศุภบัณฑิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ร่วมคณะ ให้ความสำคัญกับการสื่อสารตรงกับผู้ลงทุนและบริษัทข้ามชาติในครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณที่ดีต่อตลาด โดยแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นและยกระดับบทบาทของประเทศไทยในตลาดทุนโลก และเป็นโอกาสสำคัญในการที่ภาครัฐจะได้รับฟังข้อเสนอแนะ และความคาดหวังจากผู้ลงทุนซึ่งจะนำไปสู่การปรับและพัฒนานโยบายทางเศรษฐกิจ ที่สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน”

นางสาวอรกัญญา พิบูลธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารแห่งอเมริกา ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยยังคงโดดเด่นในฐานะจุดหมายปลายทางสำคัญด้านการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยนำเสนอโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนจากทั่วโลก ลูกค้าของเรามีความมั่นใจจากมาตรการเชิงนโยบายที่รวดเร็วและเด็ดขาดของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ธนาคารออฟอเมริกายืนยันถึงความมุ่งมั่นระยะยาวที่มีต่อประเทศไทย และจะยังคงให้การสนับสนุนลูกค้าของเราในขณะที่พวกเขาสำรวจและขยายการลงทุนในตลาดที่มีพลวัตแห่งนี้ต่อไป”

งาน “SET Government Roadshow 2025” มีบริษัทจดทะเบียนไทย 3 แห่ง ได้แก่ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) และ บมจ. การบินไทย (THAI) ร่วมนำเสนอข้อมูลและศักยภาพทางธุรกิจ

รู้เก็บรู้ออม : THAI ESG ประหยัดภาษีส่งท้ายปี

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

“คุณนายพารวย” เห็นปฏิทินแล้วตกใจ!! อีกเดือนเดียวจะหมดปี 2568 สำหรับคนทำงานแล้ว ช่วงใกล้สิ้นปีแบบนี้ นอกจากจะต้องเร่งสะสางงานให้เสร็จทันก่อนช่วงวันหยุดยาว ยังเป็นเวลาสำหรับการทบทวนและวางแผนงานปีหน้าอีกด้วย ซึ่งการวางแผนภาษีก็เป็นลิสต์ต้นๆของสิ่งที่เราต้องเตรียมตัวทำเป็นประจำทุกปี

คนที่มีการวางแผนภาษี ไม่ว่าจะเป็นการซื้อประกันสุขภาพ ประกันชีวิต และทยอยซื้อกองทุนประหยัดภาษีมาตั้งแต่ต้นปี รวมทั้งใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น EASY E-receipt, การโยกหน่วยลงทุนจาก LTF มา THAI ESGX หรือลงทุนใหม่ใน THAI ESGX รวมถึงโครงการส่งท้ายปีอย่างเที่ยวดีมีคืน ถึงตอนนี้ ก็คงเบาตัวได้ ส่วนคนที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย จำเป็นอย่างมากที่ต้องใช้เวลาที่เหลือก่อนสิ้นปีมาวางแผนภาษีเพื่อการยื่นแบบในปีหน้า

ที่ผ่านมา เรามักเห็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนหมดปี เป็นช่วงเวลาทองของการซื้อกองทุนประหยัดภาษี ซึ่งหากเราวางแผนจัดการเงินไว้ดีก็คงไม่มีปัญหา แต่ก็มีอีกหลายคนที่ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป จนทำให้พลาดโอกาสที่จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีไปอย่างน่าเสียดาย หรือไม่ก็เกิดปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน จนต้องฉลองปีใหม่กันแบบกร่อยๆ

สำหรับผู้ที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี กองทุน THAI ESG หรือกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน ถือเป็นทางเลือกหนึ่งของการประหยัดภาษี โดยเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ในประเทศด้วยแนวคิด ESG คือ รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล คนที่ซื้อกองทุน THAI ESG จะได้สิทธิลดหย่อนภาษีแบบจัดเต็ม คือสูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 300,000 บาท โดยต้องถือไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันที่ซื้อ

คนที่ต้องการลงทุนในธีม ESG และได้ลดหย่อนภาษีด้วย สามารถซื้อกองทุน Thai ESG ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ คนที่รับความเสี่ยงได้สูง ก็เลือกลงทุนกอง Thai ESG ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นหรือกองทุนแบบผสม สำหรับคนที่มีภูมิต้านทานความเสี่ยงต่ำ กองที่ลงทุนในตราสารหนี้ หรือพันธบัตรรัฐบาลน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะกับตัวเอง

ส่วนจะซื้อกอง THAI ESG เท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับเป้าหมายลดหย่อนภาษีของแต่ละคน โดยพิจารณาจากเงินได้และฐานภาษีของนักลงทุน แต่สามารถซื้อได้สูงสุด 30% 

ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 300,000 บาท ไม่นับรวมกับวงเงินกองทุนการออมเพื่อเกษียณ เช่น กองทุน SSF, RMF, เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ดังนั้น หากซื้อ THAI ESG เต็มสิทธิแล้ว แต่ยังไม่ถึงเป้าหมายภาษี เราก็สามารถซื้อกองทุนประหยัดภาษีตัวอื่นเพิ่มเติมได้

อย่างไรก็ตาม การซื้อกองทุนประหยัดภาษี ต้องคำนึงถึงเงินในกระเป๋าของตัวเองด้วย ซื้อเท่าที่ตัวเองไหว ไม่ใช่ทุ่มซื้อเพื่อหวังลดภาษีมากที่สุด แต่ทำให้ตัวเองขาดสภาพคล่องการเงิน และต้องหมั่นติดตามข่าวสารเพื่ออัปเดตสิทธิลดหย่อนภาษีในแต่ละปี เพื่อจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเต็มที่ และเหมาะกับสุขภาพการเงินของตัวเอง.

คุณนายพารวย

จุฬาฯ – PMCU – เอไอเอส เปิดพื้นที่เท่าเทียม เชิญคนไทยทุกคนร่วมกิจกรรม “สยามน้อมอาลัย ด้วยหัวใจที่เท่าเทียม” เนื่องในวันคนพิการแห่งชาติ

0

ในโอกาสวันคนพิการแห่งชาติประจำปีนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สำนักงานทรัพย์สิน จุฬาฯ (PMCU) และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส จัดกิจกรรม “สยามน้อมอาลัย ด้วยหัวใจที่เท่าเทียม” โดยขอเชิญชวนประชาชนและผู้พิการทุกคน ร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2568 เวลา 18.00 – 20.00 น. ณ หน้าอาคาร AIS SIAM บน Siam Walking Street สยามสแควร์

กิจกรรมครั้งนี้สะท้อนเจตนารมน์ร่วมกันระหว่าง CHULAFORALL และเอไอเอส ในการขับเคลื่อนสังคมที่เท่าเทียม พร้อมตอกย้ำบทบาทสยามสแควร์ให้เป็นต้นแบบพื้นที่สาธารณะที่เปิดกว้างให้ทุกคนสามารถร่วมแสดงความอาลัยได้อย่างภาคภูมิใจ โดยภายในงานมีการแสดงดนตรีไทยโดยคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กิจกรรมแสดงความอาลัยรูปแบบพิเศษสำหรับคนพิการ พร้อมส่งต่อคำไว้อาลัยขึ้นจอกลางสยาม และการบรรเลง–ขับร้องบทเพลง “แม่แห่งแผ่นดิน” โดยวงออร์เคสตร้าคนตาบอดแห่งประเทศไทย

ประชาชนและผู้พิการที่สนใจ สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมครั้งนี้ ตามวันและเวลาดังกล่าว เพื่อร่วมกันน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

รู้เก็บรู้ออม : หุ้นยั่งยืนไทยสู่มาตรฐานโลก

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

นักลงทุนที่สนใจการลงทุนอย่างยั่งยืน หรือลงทุนในหุ้นยั่งยืน ต้องติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของการจัดอันดับเรตติ้ง ESG ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดทุน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการจัดทำและประกาศรายชื่อ บจ.ที่ติดอันดับ SET ESG Ratings หรือหุ้นยั่งยืนประจำทุกปี

เทรนด์การลงทุนแบบยั่งยืนยังคงเป็นที่สนใจของนักลงทุน เพราะหุ้นที่เลือกลงทุน หากเป็นหุ้นดี ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคม มีธรรมาภิบาล ย่อมหมายถึงการมีโอกาสที่จะเติบโตแบบยั่งยืน ซึ่งเป็นผลดีต่อธุรกิจ ผู้ถือหุ้นและตลาดทุนไทย

ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯกำลังยกระดับการประเมินหุ้นยั่งยืนไทย จาก SET ESG Ratings ไปใช้ FTSE Russell ESG Scores ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลก

ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ที่จะส่งผลให้หุ้นไทยอยู่ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้น สร้างความน่าสนใจให้ตลาดทุนไทยมากขึ้น

การใช้คะแนน FTSE Russell ESG Scores จะเริ่มอย่างเป็นทางการเดือน ธ.ค.69 และใช้อ้างอิงสำหรับกองทุน Thai ESG ปี 70 โดยมีช่วงทดลองประเมิน FTSE Russell ESG Scores 2 ปี ตั้งแต่ปี 67-68 ซึ่งปี 67 มี 225 บจ.เข้าร่วม และปี 68 เพิ่มขึ้นเป็น 310 บจ.

FTSE Russell ESG Scores จะเป็นการเปิดตัวให้หุ้นยั่งยืนไทย อยู่ในสายตาของนักลงทุนโลก เพราะการที่หุ้นไทยถูกประเมินด้วยมาตรฐานนี้ ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักลงทุนสถาบันทั่วโลก จะทำให้หุ้นไทยโดดเด่น เป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ

การประเมิน FTSE Russell ESG Scores จะประเมินการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ บจ.จาก Public Disclosures (ข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ) เท่านั้น ทำให้ข้อมูลที่นำมาใช้โปร่งใส ตรวจสอบได้ น่าเชื่อถือ เป็นการยกระดับ ESG ของ บจ.ไทยให้เทียบเท่าสากล โดยผลคะแนนที่ได้สามารถนำไปเปรียบเทียบกับบริษัทในได้ แสดงให้เห็นว่า บจ.ไทยไม่ได้ยั่งยืนแค่ในประเทศ แต่มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเป็นไปตามมาตรฐานสากลด้วย

บริษัทที่สามารถเข้าร่วมประเมิน FTSE Russell ESG Scores ได้แก่ 1.บจ.ที่อยู่ในหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปีใดปีหนึ่ง ระหว่างปี 66-68, 2.บจ.ที่อยู่ใน SET 100 รอบใดรอบหนึ่ง ในเดือน ธ.ค.65-ธ.ค.68 3.กลุ่มสมัครใจ เป็น บจ.ใน SET และ mai หรือ

ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) โดยบจ.กลุ่มที่ 3 ต้องสมัครเข้าร่วมและผ่านเกณฑ์ตามที่กำหนดก่อน ซึ่ง บจ.ที่ได้รับการประเมิน FTSE Russell ESG Scores ต้องเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องและไม่ถูกทางการตัดสินเรื่อง Controversial issue เช่น อินไซเดอร์เทรดดิ้งหรือฉ้อโกง

นักลงทุนที่สนใจลงทุนแบบยั่งยืน ต้องให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพราะสามารถใช้ผลประเมินเป็นเครื่องมือในการคัดกรองหุ้น และพิจารณาลงทุนได้รอบด้านมากขึ้น แต่ผลประเมิน ESG ไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จ สิ่งที่นักลงทุนควรทำเพิ่มเติม คือ การพิจารณาข้อมูลอื่นประกอบด้วย ทั้งผลการดำเนินงาน สถานะการเงิน การบริหารความเสี่ยง การกำกับดูแลกิจการ และกลยุทธ์ระยะยาว เพื่อให้การวิเคราะห์หุ้นครบถ้วนรอบด้าน.

คุณนายพารวย

“ชนิสราฟาร์ม” ฟาร์มหมูหมื่นตัวที่เติบโตด้วยสองมือ และหัวใจไม่หยุดเรียนรู้

0

ทุกก้าวของความมั่นคง เริ่มจากคนธรรมดาที่เชื่อในคุณค่าของการลงมือทำ เพราะไม่มีทางลัดสู่ความมั่นคง มีแต่ทางเดินที่ต้องก้าวด้วยตัวเอง

“ชนิสรา ละลา” และ “วรเชษฐ์ ไชยแว่นตา” คู่สามีภรรยาจากอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ใช้ชีวิตเรียบง่าย ขายข้าวสารและรับจ้างทั่วไป ก่อนจะเลือกเดินบนเส้นทางใหม่ในระบบ “คอนแทรคฟาร์มมิ่ง” (Contract Farming) เส้นทางที่เปลี่ยนทั้งอาชีพและชีวิต

แม้ไม่เคยเลี้ยงหมูมาก่อน แต่ทั้งคู่เปิดใจเรียนรู้ เพราะเห็นความมั่นคงจากการมีบริษัทที่เชี่ยวชาญเป็นพี่เลี้ยง ก่อนเริ่มฟาร์มแรกในปี 2559 หลังศึกษารายละเอียดสัญญาอย่างรอบคอบ และเห็นตัวอย่างความสำเร็จของเพื่อนเกษตรกรรอบข้าง

“เชื่อมั่นในระบบของซีพีเอฟที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ และยังมีทีมสัตวแพทย์ สัตวบาล และเทคโนโลยีสนับสนุน ทำให้เลี้ยงหมูได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีรายได้ต่อเนื่องทุกรุ่น” ชนิสรากล่าวด้วยรอยยิ้ม

จากโรงเรือนเดียวที่เลี้ยงหมู 650 ตัว ฟาร์มของพวกเขาค่อยๆ ขยายขึ้น ด้วยความมั่นใจและระมัดระวัง ในปี 2564 ทั้งสองตัดสินใจสร้างโรงเรือนเพิ่มอีก 4 หลัง จากนั้นก็ซื้อฟาร์มต่อจากเกษตรกรที่อยู่ติดกันอีก 2 หลัง ในปี 2566 และเมื่อเห็นว่าที่ดินข้างๆ ยังว่างอยู่ และรายได้จากการเลี้ยงหมูมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง พวกเขาจึงตกลงซื้อที่ดินเพิ่มอีก 23 ไร่ สร้างโรงเรือนเพิ่มอีก 4 หลัง เริ่มเข้าเลี้ยงเมื่อต้นปี 2568

จากคนที่ไม่เคยเลี้ยงหมู ตอนนี้ หจก.ชนิสราฟาร์ม อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีโรงเรือนเลี้ยงขุน 11 หลัง ความจุรวม 9,150 ตัว บนพื้นที่กว่า 55 ไร่ กลายเป็นหนึ่งในฟาร์มหมูที่มีระบบการจัดการที่ทันสมัย ใช้ระบบอัตโนมัติ และกำลังก้าวสู่ Smart Farm โดยมีพนักงานดูแลเพียง 12 คน

“การเลี้ยงหมูคอนแทรคฟาร์มมิ่ง ไม่ใช่อาชีพเสี่ยง เพราะมีระบบที่มั่นคงและชัดเจน เราแค่ต้องตั้งใจ ใส่ใจ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด” วรเชษฐ์เล่าถึงเคล็ดลับความสำเร็จ

เทคโนโลยีและความรู้ในฟาร์มถูกอัปเดตอยู่ตลอด ทั้งอุปกรณ์เลี้ยง การจัดการฟาร์ม และระบบ Smart Farm เพื่อช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น รายได้ก็เติบโตตามไปด้วย

แม้มีฟาร์มใหญ่ระดับหมื่นตัว ชนิสรายังคงใช้ชีวิตเรียบง่าย ยังคงขายของแม่และเด็ก และกำลังวางรากฐานให้ลูกๆ ทั้งสองคนเข้ามาเรียนรู้การเลี้ยงหมู ให้เรียนรู้มรดกอาชีพที่พ่อแม่สร้างให้ เพราะเชื่อว่า “อาชีพที่มั่นคงคืออาชีพที่รู้จริงและลงมือทำเอง”

สำหรับชนิสราและวรเชษฐ์ ความมั่นคงคือการมีอาชีพที่สร้างรายได้แน่นอน พอเลี้ยงครอบครัว พอขยายกิจการ และยังพอสำหรับแบ่งปันให้กับชุมชนที่เขาอยู่ อย่างเช่นการปัน “น้ำปุ๋ย” ให้เพื่อนเกษตรกรในชุมชนใช้ในนาข้าว เป็นการทำที่เริ่มจากใจ เพื่อให้ฟาร์มและชุมชนอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

“ชนิสราฟาร์ม” จึงไม่ใช่แค่ฟาร์มหมูทันสมัย ที่มีคอนแทรคฟาร์มเป็นระบบที่ช่วยสนับสนุน แต่คือเรื่องราวของคนสองคนที่ลงมือสร้างอนาคตอย่างมั่นคง และเป็นแรงบันดาลใจให้เห็นว่า “ความสำเร็จ สร้างได้ด้วยสองมือ”

นักวิชาการชี้ “ลักลอบนำเข้า” เป็น ต้นเหตุสำคัญ สัตว์ต่างถิ่นระบาดในไทย

0

เรากำลังเผชิญกับภัยคุกคามเงียบที่คืบคลานเข้าสู่ระบบนิเวศของชาติจากการระบาดของสัตว์น้ำต่างถิ่น หรือ “เอเลียนสปีชีส์” ซึ่งต้นตอหรือที่มาของปัญหาไม่ได้มาจากธรรมชาติ แต่เป็นความหละหลวมของมนุษย์เองทำให้เกิดเหตุอย่างที่เราเห็นในกรณีของปลาหมอคางดำ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลผลิตจากรากปัญหาที่เรื้อรังมานาน นั่นคือการลักลอบนำเข้า

ศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ปัญหาการนำเข้าสัตว์น้ำแปลกปลอมดำเนินมาอย่างยาวนานนับสิบปี แม้จะมีการพูดถึงการควบคุม แต่ในทางปฏิบัติ กฎหมายและกระบวนการบังคับใช้กลับเต็มไปด้วย ช่องโหว่ ที่กลายเป็นทางด่วนให้ขบวนการผิดกฎหมายสามารถทะลุทะลวงเข้ามาได้

การที่ผู้เชี่ยวชาญต้องออกโรงเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งดำเนินการแก้ไขกฎหมายและเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่อย่างเป็นรูปธรรม ก็เป็นเครื่องยืนยันว่ากลไกการป้องกันของเรายังอยู่ในสภาพที่อ่อนแอเกินกว่าจะรับมือกับภัยร้ายนี้ได้ ต่างจากประเทศที่มีความเคร่งครัดอย่างออสเตรเลีย ซึ่งมีมาตรการที่เข้มงวดถึงขั้นห้ามผู้โดยสารนำแม้แต่ผลไม้สดติดเข้าประเทศ

ความเข้มแข็งของกฎระเบียบคือปราการด่านแรกที่สำคัญมาก แต่เมื่อปราการนี้อ่อนแรง ปัญหาก็ย่อมบานปลายจนยากจะเยียวยา นอกจากประเด็นทางกฎหมายแล้ว สิ่งที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังคือ ความรับผิดชอบและจิตสำนึก ของภาคประชาชน

ดร.สุชนา ย้ำถึงความสำคัญของการตระหนักรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้ประกอบการและผู้เลี้ยงปลาสวยงาม หากธุรกิจไม่เป็นไปตามคาดหวัง และตัดสินใจนำสัตว์น้ำต่างถิ่นเหล่านั้นไปปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือหายนะทางระบบนิเวศ

ความจริงที่ต้องยอมรับจากประสบการณ์กว่าสองทศวรรษของผู้เชี่ยวชาญคือ เมื่อใดก็ตามที่เอเลียนสปีชีส์หลุดรอดเข้ามาและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้แล้ว ไม่เคยมีประเทศใดในโลกที่สามารถกำจัดมันให้หมดสิ้นไปได้ พวกมันจะเติบโต ขยายพันธุ์ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบอย่างรวดเร็วจนเกินความสามารถในการจัดการให้หมดไป การใช้งบประมาณมหาศาลเพื่อไล่ล่ากำจัดจึงเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

ดังนั้น การพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสจึงเป็นทางออกที่ดูสมเหตุสมผลที่สุด ปลาเหล่านี้ก็คือแหล่งโปรตีนที่มีคุณค่า เราไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพื่อกำจัดสิ่งที่เราสามารถนำมา ใช้ประโยชน์ ได้ แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายประเทศทั่วโลกเลือกที่จะอยู่ร่วมกับสัตว์ต่างถิ่นและหาวิธีควบคุมผ่านการใช้ประโยชน์ เช่น สหรัฐอเมริกาที่ส่งเสริมการจับและบริโภคปลาสิงโตเพื่อควบคุมจำนวน การนำเอาวัฒนธรรมการบริโภคมาเป็นเครื่องมือควบคุมนับเป็นแนวทางที่ชาญฉลาดและปฏิบัติได้จริง ซึ่งประเทศไทยเองก็ควรนำมาปรับใช้กับสัตว์น้ำรุกรานของเราเช่นกัน

หากไม่สามารถอุดช่องโหว่เรื่องการลักลอบนำเข้าได้อย่างเด็ดขาดตั้งแต่ต้นทาง และยังไม่สามารถปลุกจิตสำนึกความรับผิดชอบของทุกภาคส่วนให้ตระหนักถึงภัยคุกคามนี้ ปัญหาเอเลียนสปีชีส์ก็จะยังคงเป็นบาดแผลที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศต่อไป ภารกิจหลักในการหยุดยั้งปัญหาจึงตกอยู่กับ ภาครัฐ ที่ต้องใช้ความกล้าหาญทางกฎหมายและความจริงจังในการยุติการลักลอบนำเข้าให้ได้โดยเร็วที่สุด.

คณะผู้บริหารเมืองไทยประกันชีวิต ลงนามถวายความอาลัย และถวายสักการะเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง   

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำคณะผู้บริหารและพนักงานบริษัทฯ เข้าลงนามถวายความอาลัยและถวายสักการะเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อแสดงความอาลัย และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง

ทั้งนี้ คณะผู้บริหารและพนักงานของเมืองไทยประกันชีวิต น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้  ที่พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาวไทย  โดยเฉพาะการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน การอนุรักษ์วัฒนธรรมและหัตถศิลป์ไทย  ตลอดจนงานด้านสาธารณประโยชน์ อันนับเป็นคุณูปการอย่างยิ่งต่อประเทศชาติและปวงชนชาวไทย

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนคนไทยใช้ “Happy Money App” ตรวจสุขภาพการเงินประจำปี ฟรี

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เชิญชวนคนไทยดูแลสุขภาพการเงินของตนเองให้แข็งแรงและมั่นคงยิ่งขึ้นด้วย “Happy Money App” แอปพลิเคชันบริหารจัดการเงินส่วนบุคคล ที่ช่วยวิเคราะห์สถานะทางการเงินได้อย่างรอบด้าน ทั้งรายรับ-รายจ่าย ทรัพย์สิน-หนี้สิน เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้จุดแข็งและจุดอ่อนทางการเงิน พร้อมรับคำแนะนำในการปรับพฤติกรรมทางการเงินอย่างเหมาะสม เพื่อให้การวางแผนการเงินสำเร็จได้ง่ายขึ้น

“Happy Money App” พัฒนาโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ โดดเด่นด้วยรูปแบบที่ทันสมัย ปลอดภัย มาพร้อมกับคุณสมบัติที่ครบครัน ทั้งระบบบันทึกรับจ่าย การติดตามสินทรัพย์หนี้สิน รวมถึงการวิเคราะห์สุขภาพทางการเงินอย่างละเอียด ช่วยให้วางแผนการออมและบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ง่ายขึ้น

ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด “Happy Money App” ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งบนระบบ iOS และ Android โดยค้นหาคำว่า SET Happy Money หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/happymoney/app.html