Home Blog Page 2

ออมสิน เปิดโครงการ “สินเชื่อออมสินรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” ลดดบ. 4 กลุ่มสินเชื่อ แก้หนี้ครัวเรือนตามนโยบายรัฐบาล

ออมสิน เปิดให้กู้โครงการ “สินเชื่อออมสินรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” ตั้งเป้าแก้หนี้ครัวเรือนตามนโยบายรัฐ ลดดอกเบี้ย 4 กลุ่มสินเชื่อ ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2567 เป็นต้นไป

รายงานข่าว เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งรัดการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ธนาคารออมสิน ได้พิจารณาออกมาตรการรีไฟแนนซ์ ภายใต้โครงการ “สินเชื่อออมสินรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” รับรีไฟแนนซ์หนี้เดิม (ไม่ใช่การปล่อยสินเชื่อใหม่) เพื่อช่วยลดภาระแก่ลูกหนี้ 4 กลุ่ม ด้วยหลักเกณฑ์ดอกเบี้ยต่ำ พร้อมเงื่อนไขพิเศษอื่น เพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐ และสอดรับกับบทบาทธนาคารเพื่อสังคม ทั้งนี้ ตั้งเป้าช่วยเหลือประชาชนลดภาระการชำระหนี้ ผ่อนสบายมากขึ้น หรือผู้ที่รีไฟแนนซ์แล้วแต่ประสงค์ผ่อนชำระเงินงวดเท่าเดิม ก็จะตัดเงินต้นมากขึ้นเพราะดอกเบี้ยลดลง ทำให้ปิดหนี้ได้เร็วขึ้น โดยมีรายละเอียดหลักเกณฑ์ทั้ง 4 มาตรการ ดังนี้

☑️ 1. Re-Card : รับรีไฟแนนซ์สำหรับลูกหนี้บัตรเครดิต
▪️ เพื่อไปชำระหนี้บัตรเครดิตของสถาบันการเงิน หรือ Non-Bank อื่น โดยการรีไฟแนนซ์/รวมหนี้บัตรเครดิตมาผ่อนชำระกับธนาคารออมสินในรูปแบบเงินกู้ระยะยาว (Long Term Loan)
▪️ วงเงินกู้ไม่เกิน 5 เท่าของรายได้รวม สูงสุดไม่เกินรายละ 500,000 บาท
▪️ ไม่ต้องมีหลักประกัน

☑️ 2. Re P-Loan : รับรีไฟแนนซ์สำหรับลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan : P-Loan)
▪️ เพื่อไปชำระหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล P-Loan ของสถาบันการเงิน หรือ Non-Bank อื่น
▪️ วงเงินให้กู้ตามภาระหนี้คงเหลือของสัญญากู้เดิม สูงสุดไม่เกินรายละ 100,000 บาท
▪️ ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 5 ปี
▪️ ไม่ต้องมีหลักประกัน

☑️ 3. Re-Nano : รับรีไฟแนนซ์สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย
▪️ เพื่อไปชำระหนี้สินเชื่อ Nano Finance ที่กู้ไปเพื่อลงทุนในการประกอบอาชีพ
▪️ วงเงินให้กู้ตามภาระหนี้คงเหลือของสัญญากู้เดิม สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท
▪️ ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 8 ปี
▪️ ธนาคารออมสินร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในการค้ำประกันการกู้

☑️ 4. Re-Home : รับรีไฟแนนซ์สำหรับลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย
▪️ เพื่อไถ่ถอนจำนองที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น วงเงินกู้ 1-5 ล้านบาท
▪️ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่ 2.95% ต่อปี
▪️ เงื่อนไขพิเศษผ่อนต่ำ ปีที่ 1 ผ่อนชำระเงินงวดล้านละ 3,000 บาท/เดือน ปีที่ 2 ล้านละ 4,000 บาท/เดือน และปีที่ 3 ล้านละ 5,000 บาท/เดือน

ทั้งนี้ ธนาคารสนับสนุนนโยบายรัฐในการแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนของประชาชน ให้สามารถมีเงินเหลือใช้สอยดำรงชีพโดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบ รวมถึงส่งเสริมการปลูกฝังทัศนคติการกู้เงินเท่าที่จำเป็นและผ่อนไหว โดยมาตรการสินเชื่อรีไฟแนนซ์ “โครงการสินเชื่อออมสินรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน เปิดให้ยื่นขอกู้ได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 และจัดทำนิติกรรมสัญญาภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567

หมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร ต่อยอดความสำเร็จธนาคารน้ำใต้ดิน สร้างความมั่นคงทรัพยากรน้ำ

“น้ำ” คือทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญยิ่ง ทั้งใช้ในการอุปโภค บริโภค ในครัวเรือน ภาคเกษตร และภาคอุตสาหกรรม การบริหารจัดการน้ำที่ดีย่อมทำให้มีทรัพยากรน้ำไว้ใช้ได้อย่างเพียงพอ นวัตกรรม ‘ธนาคารน้ำใต้ดิน’ นับเป็นหนึ่งในการบริหารจัดการน้ำแบบสมดุลที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ในการรับมือภัยแล้งและน้ำท่วม จากความแปรปรวนของสภาวะอากาศที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

วันนี้ พาขึ้นเหนือไปจังหวัดกำแพงเพชร เพื่อชมความสำเร็จของ หมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงพชร ต.เทพนคร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ที่นอกจากจะเป็นหมู่บ้านต้นแบบ “ชุมชนคนเลี้ยงหมู” แล้ว ที่นี่ยังเดินหน้าโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน จนปรากฏผลอย่างเป็นรูปธรรม

พิเชษฐ์ ใหญ่แก่นทราย ประธานหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร เล่าที่มาว่า โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร ประสบปัญหาการระบายน้ำท่วมขังจากน้ำฝนในบริเวณพื้นที่โครงการฯ มาอย่างยาวนาน ชาวชุมชนจึงได้ร่วมกันศึกษาค้นคว้าวิธีการแก้ปัญหา จนมาพบกับรูปแบบการบริหารจัดการน้ำผิวดินสู่ใต้ดิน (Ground Water Recharge) หรือการทำธนาคารน้ำใต้ดิน ทั้งแบบบ่อปิดและแบบบ่อเปิด ที่ช่วยลดปัญหาปริมาณน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝน ทำให้สามารถนำพื้นที่กลับมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้อย่างยั่งยืน

การดำเนินโครงการฯ ตามกลยุทธ์ “ขีด คิด ร่วม ข่าย” จากการนำ “ขีด” ความสามารถของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการระบบน้ำมาขับเคลื่อนโครงการฯ ภายใต้การสนับสนุนของผู้บริหารหมู่บ้านฯ ร่วมกับทีมงานของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ที่มาร่วม “คิด” นำแนวคิดนวัตกรรมสู่ความยั่งยืนด้วยการทำธนาคารน้ำ ที่ช่วยลดปัญหาปริมาณน้ำท่วมขัง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการน้ำและนำพื้นที่กลับมาใช้ประโยชน์ ผ่านการมีส่วน “ร่วม” ของทีมงานและผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด ที่ร่วมกันสนับสนุนร่วมถึงวางแผนงานโครงการ และร่วมพัฒนาแหล่งเรียนรู้ นอกจากนี้ ยังมีการสร้างเครือ “ข่าย” ความร่วมมือกับเครือข่ายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยทุกฝ่ายร่วมกันพัฒนาแหล่งเรียนรู้ให้แก่ชุมชนและหน่วยงานต่างๆ

โครงการฯนี้ เริ่มต้นจากการศึกษาดูงานความสำเร็จของโครงการธนาคารน้ำใต้ดินของ หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ และถ่ายทอดต่อไปยังเกษตรกร ขณะเดียวกัน ได้เชิญวิทยากรจาก อบต.วังหามแห จ.กำแพงเพชร มาบรรยายให้ความรู้ และทำ Work shop ร่วมกันทั้งชาวชุมชน เกษตรกร และทีมงาน รวมทั้งเชิญผู้เชี่ยวชาญจากหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า มาให้คำแนะนำโครงการฯ กระทั่งสามารถสร้างระบบธนาคารน้ำใต้ดิน ทั้งรูปแบบบ่อปิดและแบบบ่อเปิด รวม 10 บ่อในพื้นที่โครงการ

“ธนาคารน้ำใต้ดิน เป็นการบริหารจัดการน้ำใต้ดินแบบครบวงจร ช่วยแก้ไขปัญหาทั้งปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม และน้ำหลาก และยังช่วยป้องกันการสูญเสียสมดุลของน้ำใต้ดิน หลังจากดำเนินโครงการฯนี้แล้ว สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝนได้เป็นอย่างดี ช่วยเพิ่มพื้นที่ทางการเกษตรให้กับชุมชน ทั้งยังสร้างสุขอนามัยที่ดีให้กับเกษตรกร ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้การบริหารการจัดการกักเก็บน้ำใต้ดิน ถ่ายทอดองค์ความรู้และเป็นสถานที่ศึกษาดูงานของหน่วยงาน และน้องๆนักเรียนนักศึกษาในพื้นที่ และวางแผนต่อยอดสู่การเป็นศูนย์เรียนรู้หลักสูตรชลกร ร่วมกับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกำแพงเพชรต่อไป” พิเชษฐ์ กล่าว

การดำเนินโครงการตลอดปี 2566 ที่ผ่านมา ธนาคารน้ำใต้ดินทั้ง 10 บ่อ มีส่วนช่วยเพิ่มพื้นที่ทำการเกษตรในโครงการหมู่บ้านฯ ได้ถึง 50 ไร่ นอกจากนี้ ยังขยายผลสู่ “โครงการ 1 บ้าน 1 บ่อ” ส่งเสริมการสร้างบ่อระบบปิดในบ้านเกษตรกรในโครงการฯ นำร่องแล้ว 12 ครัวเรือน และวางเป้าหมายขยายโครงการฯ ให้กับเกษตรกรทั้งหมู่บ้านสุกรพันธุ์และสุกรขุนครบทั้ง 40 ครัวเรือน ภายในปี 2567 นี้

วันนี้หมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร สามารถแก้ปัญหาของพวกเขาด้วยนวัตกรรมธนาคารน้ำใต้ดิน โดยการฝากน้ำไว้กับดิน ที่ช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง และป้องกันปัญหาภัยแล้ง ทำให้มีน้ำใช้ในการเลี้ยงสุกรและการเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี ช่วยสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำอย่างเป็นรูปธรรม

หมู่บ้านแห่งนี้ยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การสนับสนุนของเครือซีพีและซีพีเอฟ ทั้งด้านการสร้างอาชีพมั่นคงยั่งยืนจากการเลี้ยงหมู และมีรายได้จากการเพาะปลูกพืช ปลูกผักกระเฉดน้ำ เลี้ยงปลาดุก-ปลาสวาย และปุ๋ยมูลสุกรตากแห้ง ที่เป็นอาชีพเสริม ดังที่ดำเนินการมาตลอด 45 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้ที่นี่เป็น “หมู่บ้านสามัคคี เทคโนโลยีทันสมัย พัฒนาก้าวไปอย่างยั่งยืน”

รู้เก็บรู้ออม : เช็กระดับความรู้เรื่องการเงิน

“ความไม่รู้” เป็นบ่อเกิดแห่งการเรียนรู้ เราไม่สามารถอ้างความไม่รู้ว่าเป็นสาเหตุของข้อผิดพลาดใดๆ อีกทั้งในชีวิตจริงแล้ว ราคาที่ต้องจ่ายเพราะความไม่รู้นั้น มักจะแพงเสมอ!!

ความรู้เรื่องการเงินขั้นพื้นฐาน เป็นเรื่องที่คนไทยจำนวนมากยังไม่รู้ ส่งผลให้มีสุขภาพการเงินอ่อนแอ จากการไม่มีเงินเก็บ ไม่รู้จักออม ใช้จ่ายแบบเกินตัว หาเงินได้เท่าไรก็ไม่พอจ่าย และการก่อหนี้สินจนท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

ตลาดหลักทรัพย์ฯเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์ม SET Fin Quizz โดยเปิดให้ทุกคนเข้ามาทดสอบ เพื่อวัดระดับความรู้ในเรื่องการเงินและการลงทุน ผ่านแบบทดสอบความรู้การเงินในชีวิตประจำวัน หรือ “Know Your Money” ที่มีเนื้อหาครอบคลุม 6 ด้านคือ การบริหารรายรับ การบริหารรายจ่าย การบริหารหนี้สิน การบริหารเงินออม การบริหารการลงทุน และการบริหารความเสี่ยงของชีวิตและทรัพย์สิน

พบว่า ผลทดสอบของคนไทย 32,090 คน ในปี 2566 ส่วนใหญ่กว่า 70% มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเงินในกระเป๋าของตนเองทั้งเรื่องผลิตภัณฑ์การออม ประเภทของรายจ่าย และโครงสร้างรายรับ แต่ยังต้องทำความเข้าใจเพิ่มในเรื่องการประกันชีวิต การจัดพอร์ตลงทุน และดอกเบี้ยทบต้น

ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงได้จัดทำแบบทดสอบเกี่ยวกับการลงทุนอีก 2 ชุด คือ แบบทดสอบความรู้การลงทุนในหลักทรัพย์ หรือ “Ready to Invest” เพื่อช่วยเช็กความพร้อมก่อนลงทุนจริงกับแบบทดสอบความรู้การเลือกหุ้น หรือ “Fit to Invest” เพื่อช่วยเรื่องการค้นหาหุ้นด้วยตัวเอง พบว่า 80% ของผู้ทดสอบ 9,890 คน มีความเข้าใจเรื่องความต้องการผลตอบแทนสูง ก็จะมีความเสี่ยงที่สูงขึ้น และเข้าใจว่าความผันผวนของราคาคือความเสี่ยง รวมถึงไม่ควรใส่ไข่ในตะกร้าใบเดียว แต่ยังต้องทำความเข้าใจเพิ่มเรื่องการคำนวณค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้น การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น และการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น จะต้องรวมทั้งส่วนต่างของราคาและเงินปันผล

นอกจากนี้ ยังได้ทำหลักสูตร SET e-Learning เพื่อเสริมความรู้เรื่องการประเมินมูลค่าหุ้นจากเงินปันผล การวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยแต่ละแบบทดสอบจะเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องจากแหล่งความรู้ต่างๆ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาทีหลังอีก เช่น หลักสูตรใน SET e-Learning และสื่อเรียนรู้บนเว็บไซต์ของ SETInvestnow, INVESTORY และห้องสมุดมารวย

ซึ่งจะเห็นได้ว่า SET Fin Quizz เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยพัฒนาทักษะความรู้ทางการเงินการลงทุน โดยผลจากแบบทดสอบถูกนำมาวิเคราะห์ เพื่อออกแบบเนื้อหาความรู้ให้ตอบโจทย์ เพื่อปิดช่องว่างความรู้ด้านการเงินและการลงทุนของคนไทย

ผู้ที่สนใจ สามารถทำแบบทดสอบ SET Fin Quizz ได้ที่เว็บไซต์ https://finquizz.setgroup.or.th ส่วนองค์กร หน่วยงาน สถาบันการศึกษา หรือกลุ่มบุคคลที่ต้องการข้อมูลผลทดสอบของกลุ่มไปใช้เป็นการเฉพาะ พร้อมรับ e-Certificate หลังทำแบบทดสอบเสร็จ สามารถติดต่อได้ที่อีเมล SETFinQuizz@set.or.th

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ออมสินฉลองครบ 111 ปี จัดดบ.เงินฝากสูงสุดคุ้มกับ “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 11 เดือน”

ธนาคารออมสิน ฉลองครบ 111 ปี ออก “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 11 เดือน” รับดอกเบี้ยเต็มๆ ไม่ต้องเสียภาษี

รายละเอียดเงินฝาก :

เงื่อนไขการฝาก

  1. เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท
  2. บุคคลธรรมดาที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปี ขึ้นไป
  3. นิติบุคคลทุกประเภท
  4. บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทุกประเภท ไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุด

การคิดดอกเบี้ย / ผลตอบแทน 

อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.61 ต่อปี (เทียบเท่าเงินฝากประจำร้อยละ 1.89 ต่อปี)

ระยะเวลารับฝาก

  • ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 เม.ย. 2567 

รายละเอียดเพิ่มเติม > https://shorturl.asia/3p0gz

⚠ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

ผู้เลี้ยงไก่ไข่ แจงอากาศร้อนกระทบแม่ไก่ออกไข่น้อย ทำให้ราคาขยับตามกลไกตลาด

นางพเยาว์ อริกุล นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง เปิดเผยว่า การขึ้นราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มฟองละ 20 สตางค์ อยู่ที่ราคาฟองละ 3.60 บาท ตามที่เครือข่ายสหกรณ์ไข่ไก่ประกาศไปเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมานั้น เป็นผลจากภาวะอากาศร้อน – แล้ง ที่ทำให้แม่ไก่ไข่เกิดความเครียด กินอาหารได้น้อยลง กินน้ำมากขึ้นเพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกาย เนื่องจากไก่ไม่มีต่อมเหงื่อ ทั้งยังมีขนปกคลุม เป็นอุปสรรคต่อการระบายความร้อนออกจากร่างกาย เมื่อมีความเครียดสะสมและสารอาหารที่ได้ไม่เพียงพอกับการสร้างฟองไข่ ผลผลิตไข่ไก่จึงลดลง ส่งผลให้ปริมาณไข่ไก่ในตลาดมีจำนวนน้อยลง ขณะที่ขนาดไข่ไก่ก็เล็กลง รายได้ที่เกษตรกรได้รับก็ลดลงด้วย สวนทางต้นทุนค่าน้ำที่สูงขึ้นและค่าไฟฟ้าที่ต้องใช้มากขึ้น เชื่อผู้บริโภคเข้าใจ

“ราคาไข่ไก่มีการปรับขึ้น-ลง ตามกลไกตลาดอุปสงค์-อุปทาน ซึ่งเห็นได้ว่าช่วงอากาศร้อน-แล้ง ปริมาณไข่ไก่จะน้อยลงจากสภาพทางกายภาพของแม่ไก่ กระทบปริมาณผลผลิตไข่ออกสู่ตลาด ทำให้ราคาไข่หน้าฟาร์มขยับขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาดเช่นนี้ทุกปี หากอากาศเย็นลงปริมาณไข่ไก่ออกสู่ตลาดมากขึ้น ราคาก็จะขยับลง เชื่อว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่เข้าใจในกลไกนี้ดี” นางพเยาว์กล่าว

สอดคล้องกับ กรมการค้าภายใน ที่ยืนยันในทิศทางเดียวกันว่า ราคาไข่ไก่เป็นไปตามฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อนของทุกปี แม่ไก่ไข่จะออกไข่น้อยลงหรือมีขนาดเล็กลง ทำให้ปริมาณไข่ไก่หายไปราว 10% และราคาอาจขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

อนึ่ง ราคาไข่ฟองละ 3.60 บาทไม่ใช่ราคาสูงสุดในปี 2567 เนื่องจากก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนมกราคม 2567 ราคาไข่คละหน้าฟาร์มเคยสูงสุดที่ 3.80 บาทมาแล้ว

ส.ผู้เลี้ยงสุกรฯ ยืนยันทยอยปรับราคาหมูหน้าฟาร์มตามกลไกตลาด วอนผู้บริโภคเข้าใจ ย้ำราคายังต่ำกว่าต้นทุนผลิต

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ยืนยันการปรับราคาสุกรหน้าฟาร์มเป็นการทยอยปรับตามอุปสงค์-อุปทาน ไม่ได้ปรับครั้งเดียว 12 บาทต่อกิโลกรัม และเกษตรกรยังขายสุกรได้ต่ำกว่าราคาต้นทุน หลังแบกภาระขาดทุนสะสมมานานกว่า 1 ปีแล้ว

นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า กรณีที่มีการลงพื้นที่สำรวจตลาดและแจ้งว่ามีการปรับราคาหมูหน้าฟาร์มทั้งตัวขึ้น 12 บาทต่อกิโลกรัมและมีผลต่อราคาเนื้อหมูในตลาดสดต้องปรับสูงขึ้นนั้น เป็นการสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากราคาดังกล่าวเป็นการทยอยปรับเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ไม่ใช่การปรับครั้งเดียว ที่สำคัญราคาขายปลีกเนื้อสันในราคาสูง250 บาทต่อกิโลกรัม เพราะสันในเป็นเนื้อส่วนที่มีเพียงชิ้นเดียวในหมู 1 ตัว ราคาจึงสูงเมื่อเทียบกับชิ้นส่วนอื่นๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่า

“สมาคมฯ ดูแลทั้งผู้บริโภคและเขียงหมู ไม่ได้ปล่อยปละละเลย และพยายามทำทุกวิถีทางให้ทุกภาคส่วนได้รับราคาที่เป็นธรรม ทั้งที่ผู้เลี้ยงยังไม่สามารถขายหมูหน้าฟาร์มได้ตามราคาแนะนำ ซ้ำร้ายยังมีภาระขาดทุนสะสมนานกว่า 1 ปี จนเกษตรกรหลายรายต้องทิ้งอาชีพไปเพราะไม่มีเงินทุนหมุนเวียน” นายสิทธิพันธ์ กล่าว

ทั้งนี้ สมาคมฯ ประกาศราคาแนะนำสุกรหน้าฟาร์ม เป็นประจำทุกๆ วันพระ ซึ่งเป็นราคาที่เกษตรกรพออยู่ได้ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา มีการปรับราคาขึ้น 4 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 70-75 บาทต่อกิโลกรัม แต่เกษตรกรขายได้จริงเพียง 65 บาทเท่านั้นขณะที่ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรตามประกาศของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คือ 78-80 บาทต่อกิโลกรัม เกษตรกรจึงยังอยู่ในภาวะขาดทุนสูง

ราคาหมูหน้าฟาร์มดังกล่าว จะทำให้ราคาขายปลีกชิ้นส่วนต่างๆ ต่อกิโลกรัม เช่น หมูเนื้อแดง ไม่ควรเกิน 150บาท หมูสามชั้นและหมูสันนอก 170-180 บาท หมูสันในประมาณ 180 บาท ส่วนสะโพกและหัวไหล่เฉลี่ย 115-125บาท อย่างไรก็ตาม ราคาขายปลีกยังมีระบบการค้าที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น ภาคอีสาน จะขายหมูตรงจากฟาร์มให้กับเขียงหมู ราคาเนื้อหมูอาจต่ำกว่าบางพื้นที่ ที่เขียงหมูต้องซื้อผ่านโบรกเกอร์

นายสิทธิพันธ์ ย้ำว่า กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลราคาและระบบการค้าให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภคและผู้ค้า ขณะเดียวกันต้องดูแลเกษตรกรให้ได้รับราคาที่เหมาะสมด้วย หากภาคการผลิตอยู่ในภาวะที่ขาดทุนต่อเนื่องและถูกกดราคา ผู้เลี้ยงก็ไปไม่รอด จึงควรปล่อยให้กลไกตลาดทำงานสร้างสมดุลราคา และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้คนไทยมีเนื้อหมูบริโภคโดยไม่ขาดแคลนและในราคาสมเหตุผล

เมืองไทยประกันชีวิต มอบหมวกนิรภัย “โครงการรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567”

เมืองไทยประกันชีวิตเข้าร่วม “โครงการรณรงค์ความปลอดภัยทางถนน  ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567”  กับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ)  และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย”   โดยฉพาะแนวคิดขับขี่อุ่นใจด้วยการ  “กันน็อก” คือการสวมหมวกนิรภัยกันน็อกขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ทุกครั้ง  โดยตระหนักให้เกิดการรับรู้และการกระตุ้นจิตสำนึกในการขับขี่ปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน อีกทั้งให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารตระหนักถึงความปลอดภัย

รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงระบบประกันภัยให้มากยิ่งขึ้น โดย เมืองไทยประกันชีวิต ได้ร่วมโครงการ “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มสงกรานต์คลายร้อน (ไมโครอินชัวรันส์) เพื่อมอบความอุ่นใจและส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุให้กับตนเองและครอบครัว สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบการประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงจากอุบัติเหตุได้สะดวก เข้าถึงได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น กับพาร์เนอทร์ทางธุรกิจ อาทิ  AIS   สมาชิก Max Card โดย แมกซ์ โซลูชัน และ เคาน์เตอร์เซอร์วิส

ในโอกาสนี้ น.ส.นิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นางจินดามณี ตั้งคุณสมบัติ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านประกันภัย นางขนิษฐา นิโครวนจำรัส  ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการประกันภัย ดำเนินโครงการรณรงค์ความปลอดภัยทางถนน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567 ร่วมมอบหมวกนิรภัยกันน็อค   ให้แก่กลุ่มรถจักรยานยนต์สาธารณะ  ซอยรัชดาภิเษก 18   เพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ และเพื่อป้องกันและลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุทางถนน  ณ หอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต.

บอร์ดตลท. เห็นชอบแนวทางเพิ่มความเชื่อมั่นผู้ลงทุน ด้านการกำกับดูแลการซื้อขายหุ้น และแนวทางการพัฒนาและชูศักยภาพของบจ.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2567 มีมติเห็นชอบการกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางเพิ่มความเชื่อมั่นผู้ลงทุนตามที่ได้เคยอนุมัติไว้ รวมถึงเห็นชอบแนวทางดำเนินการอื่นเพื่อพัฒนาและชูศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์การสร้างตลาดทุนที่มีคุณภาพสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ดังนี้

  1. แนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น มุ่งยกระดับการกำกับดูแล Naked Short Selling และการใช้คอมพิวเตอร์ส่งคำสั่งซื้อขาย (Program Trading) โดยเฉพาะการส่งคำสั่งซื้อขายด้วยความเร็วสูง (HFT) ด้วยการกำหนดให้ต้องมีการยื่นคำขอหรือลงทะเบียนผู้ลงทุนที่มีการส่งคำสั่งซื้อขายแบบ HFT เพื่อให้สามารถเห็นข้อมูลผู้ลงทุนในระดับบัญชีย่อย (Sub-Account) ของบัญชีที่ไม่เปิดเผยชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ (Omnibus Account) ในขณะเดียวกันบริษัทหลักทรัพย์ต้องจัดให้มีระบบควบคุมการบริหารความเสี่ยงในการส่งคำสั่งซื้อขาย (Pre-Trade Risk Management) เพื่อตรวจสอบการมีหลักทรัพย์ของลูกค้าที่มีการส่งคำสั่งซื้อขายแบบ HFT ก่อนที่จะส่งคำสั่งขายเข้ามาในระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ นอกจากนี้ จะมีการกำหนดเวลาขั้นต่ำของคำสั่งซื้อขาย ก่อนที่จะสามารถแก้ไขหรือยกเลิกคำสั่งดังกล่าว (Minimum Order Resting Time) เพื่อสร้างมาตรฐานเกี่ยวกับความเร็วของการส่งคำสั่งซื้อขาย ซึ่งจะช่วยป้องกันพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในการส่งคำสั่งซื้อขายทุกประเภท

ทั้งนี้ มาตรการดำเนินการเกี่ยวกับการซื้อขายดังกล่าวข้างต้นอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น และคาดว่าจะสามารถนำเสนอต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ภายในไตรมาส 2 ปี 2567 นี้

  • แนวทางการพัฒนาและชูศักยภาพของบริษัทจดทะเบียน มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกด้วยการเก็บรวบรวมและการนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน ความสามารถในการแข่งขันรายกลุ่มอุตสาหกรรม ภาวะอุตสาหกรรม โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนที่มีการประกอบธุรกิจซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New Economy)
    อันจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบายของภาครัฐ ออกมาเผยแพร่และต่อยอดร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ และสื่อต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุก ๆ ฝ่าย อีกทั้งจะให้การสนับสนุนข้อมูลและงบประมาณให้กับหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ เพื่อจัดทำ Industry Analysis & Outlook Report รวมถึงจะประสานความร่วมมือกับองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้อง (เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย) เพื่อให้เกิดการ
    บูรณาการข้อมูลร่วมกัน อันจะช่วยให้สามารถวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน รวมถึงกำหนดกลยุทธ์ในการส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New Economy) ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนในตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเพิ่มการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทย

AIS เผยสถิติถ.ข้าวหลามครองแชมป์คนใช้งานเน็ตสูงสุด นักท่องเที่ยวต่างชาติปักหมุดเล่นน้ำยอดโตพุ่ง 38%

AIS เปิดพฤติกรรมการใช้งานช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2567 ของลูกค้าและคนไทย โดยได้จัดเต็มโครงข่าย ทั้งมือถือและเน็ตบ้านสาดสัญญาณฉ่ำตลอดเทศกาล ครอบคลุมโมเมนต์ความสุขทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต โดยปีนี้พฤติกรรมการใช้งานของคนไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์พบว่ามีการกระจายตัวของการใช้งานในพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ โดยเฉพาะในจุดที่มีการจัดกิจกรรมการเล่นน้ำสงกรานต์ นอกจากนี้ตัวเลขการใช้งานของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสกับ Soft Power เมืองไทย มรดกโลกทางวัฒนธรรมอย่างประเพณีสงกรานต์ก็โตพุ่งกว่า 38%

โดยจากการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานตั้งแต่วันที่ 12-15 เมษายน 2567 พบข้อมูลที่น่าสนใจอีกหลายประเด็น อาทิ

Top 10 จุดเล่นน้ำใช้อินเทอร์เน็ตฉ่ำที่สุด คือ 1) ถนนข้าวหลาม ชลบุรี 2) ป่าตอง ภูเก็ต 3) ถนนข้าวเหนียว ขอนแก่น 4) ประตูชุมพล นครราชสีมา 5) ถนนข้าวสุก อ่างทอง 6) ไอคอนสยาม กรุงเทพ 7) สยามสแควร์ กรุงเทพ 8) RCA กรุงเทพ 9) ถนนข้าวดอกข่า พังงา 10) ถนนข้าวสาร กรุงเทพ

จังหวัดที่มีการใช้งานมือถือสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, นครราชสีมา, สมุทรปราการ และเชียงใหม่

จังหวัดที่มีการใช้งานเน็ตบ้านสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, นนทบุรี, ชลบุรี, ปทุมธานี และสมุทรปราการ ซึ่งมีอัตราการเติบโตของการใช้งานสูงขึ้นจากปีก่อน กว่า 15.78% แสดงให้เห็นว่ายังมีลูกค้าที่ใช้เวลาในช่วงวันหยุดยาวทำกิจกรรมร่วมกันภายในบ้านกับครอบครัว

จุดท่องเที่ยววันหยุดยาวที่มีการใช้งาน AIS Super Wifi สูงสุด คือ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์

ถนนสายหลักยอดฮิตในการเดินทางที่ใช้งานสูงสุด ได้แก่ ถนนเพชรเกษม, ถนนพหลโยธิน, ถนนสุขุมวิท และถนนมิตรภาพ ตามลำดับ

แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่ถูกใช้งานสูงสุดผ่านมือถือ ได้แก่คือ Facebook, TikTok และ YouTube ตามลำดับ และบนเน็ตบ้าน ได้แก่ Facebook, TikTok และ YouTube เช่นกัน

คอนเทนต์ที่ถูกรับชมมากที่สุดบน AIS PLAYBOX คือ หนังและซีรีย์ 24% รายการเกี่ยวกับเด็กและครอบครัว 10% โดยพบว่ารายการเกี่ยวกับเด็กและครอบครัวถูกใช้เวลาในการรับชมนานกว่าหนังและซีรีย์ถึง 2 เท่า แสดงถึงพฤติกรรมการใช้งานของกลุ่มครอบครัวที่ใช้เวลาร่วมกันในช่วงวันหยุดยาว

อัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย (Inbound Roamer) เติบโตถึง 38% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน (YoY)

อัตราการเติบโตของการแลกสิทธิเศษในช่วงสงกรานต์ เพิ่มขึ้น 15-30% ต่อวัน โดย Top 3 อันดับ สิทธิพิเศษที่ลูกค้าใช้คะแนน AIS 1 Points แลกมากที่สุด อันดับ 1 คูปองส่วนลดบิ๊กซี มูลค่า 100 บาท อันดับ 2 อุ่นใจซองกันน้ำ และอันดับ 3 แลกรับโค้ดชม WeTV VIP

รู้เก็บรู้ออม : บริหารเงินรับสงกรานต์

ช่วงสัปดาห์นี้ เป็นเวลาแห่งความสุขของเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นวันหยุดยาวของไทย ขณะที่รัฐบาลคาดหวังให้งานมหาสงกรานต์ปีนี้ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศโดยให้ช่วงเวลาของการเที่ยวฉลองสงกรานต์ปีนี้ยาวนานขึ้น และกระจายการจัดอีเวนต์และกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อหวังเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ

ตลาดหลักทรัพย์ฯ สถาบันการเงิน ตลอดจนบริษัทห้างร้านหยุดยาว ตั้งแต่ 12-16 เม.ย. 67 ให้พนักงานได้หยุดพัก หลายคนเดินทางกลับต่างจังหวัดไปเยี่ยมพ่อแม่พี่น้อง ท่องเที่ยวพักผ่อน หรือใช้เวลาอยู่กับครอบครัวที่บ้าน หน่วยงานด้านเศรษฐกิจคาดว่าจะมีเงินสะพัดจากสงกรานต์ปีนี้ราว 4.7 หมื่นล้านบาท จากการใช้จ่ายเพื่อซื้อของกินของใช้ และค่าเดินทางที่จะเกิดขึ้นในช่วงเทศกาล ส่วนนักลงทุนอย่างเราๆจะได้ถือโอกาสนี้ไปพักร่างพักสมองหลังจากลุยศึกลงทุนกันมาตั้งแต่ต้นปี

สำหรับคนที่วางแผนใช้วันหยุดสงกรานต์ไปเที่ยวพักผ่อน จะไปเดี่ยว ไปคู่ หรือไปกันเป็นแก๊ง หรือมีนัดพบปะสังสรรค์กับญาติสนิทมิตรสหาย “คุณนายพารวย” ขอนำทริกดีๆ และไม่ล้าสมัยของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เคยนำเสนอ 3 เทคนิคจัดการเงินแบบง่ายๆ ต้อนรับสงกรานต์ มาทบทวนอีกหน เพื่อพวกเราจะได้ไม่ต้องเผชิญกับปัญหาการเงินตามมาให้ว้าวุ่นใจกันทีหลัง

ประกอบไปด้วย 1.ตั้งงบก่อนใช้ บังคับตัวเองให้ “คิดก่อนใช้จ่าย” งบที่ตั้งไว้จะถูกจะแพงก็ขอให้เหมาะสมกับสถานะการเงินของตัวเองไว้ก่อน อย่าเผลอเที่ยวสนุกจนเกินตัวไม่งั้นจะมีปัญหาจนหมดสนุกแน่นอน 2.จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรม ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ “ต้องทำ” มากกว่าสิ่งที่ “อยากทำ” หากจัดลำดับผิดชีวิตอาจขิตก่อนพ้นสงกรานต์ และ 3. สรุปการใช้เงินในแต่ละกิจกรรม และทำตามแผนอย่างตั้งใจ เพื่อไม่ให้งบบานปลายจนต้องเดือดร้อนในภายหลัง

อีกประการที่สำคัญ คือ อย่าลืมวางแผนเผื่อเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดกับชีวิตและทรัพย์สิน ด้วยการถือเงินสดให้เพียงพอ และพกบัตรเดบิต/เครดิตสำรองไว้ หากมีแผนจะเดินทางท่องเที่ยว ก็ต้องซื้อประกันอุบัติเหตุหรือประกันเดินทางไว้ เพราะจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาจากภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้จากเหตุไม่คาดคิด ตัวอย่างประเภทเสียค่าทิปหลักพัน แต่ต้องมาควักเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลหลักแสน ก็เกิดขึ้นกับหลายคนที่ไม่ได้ทำประกันไว้มาแล้ว

ส่วนคนที่ไม่ได้ไปไหน ตั้งใจจะใช้เวลาพักผ่อนนอนหลับแบบเต็มอิ่มอยู่กับบ้าน ก็สามารถใช้โอกาสพิเศษนี้นอกจากเก็บข้าวของในห้อง และบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังสามารถใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ด้วยการเรียนรู้ และอัปเลเวลตัวเอง โดยเข้าเว็บไซต์ set.or.th เพื่อตักตวงความรู้เรื่องการเงินการลงทุน จากบทความต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย หรือจะลงทะเบียนเข้าไปเรียนคอร์สออนไลน์ที่มีเนื้อหาหลักสูตรเพื่อเตรียมตัวสำหรับการลงทุนหลังสงกรานต์

และเนื่องในโอกาสวันปีใหม่ไทย สงกรานต์นี้ “คุณนายพารวย” ขออวยพรให้แฟนๆคอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมฯ” โชคดีมีชัย เดินทางปลอดภัย ประสบความสุขความเจริญในชีวิต คิดประสงค์สิ่งใดก็ให้ได้สิ่งนั้น มีวินัยในการออม และขวนขวายหาความรู้เรื่องการลงทุนให้กับตัวเอง เพื่อเดินหน้าลงทุนอย่างมีคุณภาพไปด้วยกันค่ะ.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ