Home Blog Page 369

ซีพีเอฟ กำไร 3 ไตรมาสปีนี้ 1.9 หมื่นล้านบาท มั่นใจปีหน้าดีต่อเนื่อง

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รายงานกำไรประจำไตรมาส 3/2563 จำนวน 7,475 ล้านบาท เติบโต 23% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และกำไรสำหรับ 9 เดือนปี 2563  จำนวน 19,614 ล้านบาท เติบโต 36% จากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายภาษีและค่าเสื่อมราคา(EBITDA) จำนวน 61,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% จากปีก่อน ซึ่งเป็น EBITDA ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยหลักมาจากภาวะขาดแคลนสุกรในภูมิภาคจากการระบาดของโรค ASF (African Swine Fever) ที่ส่งผลให้ราคาตลาดอยู่ในระดับที่สูงกว่าปีก่อน ประกอบกับความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยดีขึ้นต่อเนื่องจากการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดและการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ 

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ปัจจัยหลักมาจากการขาดแคลนสุกรในภูมิภาคเอเซีย เนื่องจากการระบาดของโรค ASF ที่ทำให้ปริมาณสุกรลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามและประเทศจีน ทำให้ระดับราคาสุกรปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนอย่างผิดปกติ พร้อมทั้งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกร จากการที่ยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันการระบาด  ผู้เลี้ยงจึงต้องบริหารจัดการฟาร์มอย่างเคร่งครัดตามมาตรฐานชีวภาพเพื่อป้องกันโรค และมีลูกสุกรที่มีความแข็งแรงต้านทานโรคได้ ดังนั้น การเพิ่มปริมาณสุกรเข้าสู่ตลาดน่าจะยังต้องใช้เวลาเพราะหากการจัดการไม่ดีอาจก่อให้เกิดโรคอีกได้ 

นอกจากธุรกิจสุกรแล้ว ผลการดำเนินงานของธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยก็มีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากปีก่อน จากการที่บริษัทปรับรูปแบบและกลยุทธ์ในการทำธุรกิจที่ให้น้ำหนักกับการทำการตลาดภายในประเทศมากขึ้น มองว่าธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยและในต่างประเทศจะมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่องจากนี้ไป  

นายประสิทธิ์กล่าวเพิ่มเติมสำหรับเป้าหมายปีหน้าว่า บริษัทตั้งเป้าหมายมีกำไรที่ดีต่อเนื่อง จากการขยายธุรกิจและการเพิ่มปริมาณการผลิตในหลายประเทศ โดยคาดว่าราคาสุกรในปีหน้าน่าจะอ่อนตัวลงจากปีนี้แต่คงอยู่ในระดับที่สูง  รวมทั้ง บริษัทจะมีการรับรู้กำไรเพิ่มขึ้นจากธุรกิจสุกรในประเทศจีนที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยได้อนุมัติให้เข้าทำรายการเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จึงมั่นใจว่า ในปีหน้าจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดี

เอไอเอส ไฟเบอร์ ผนึกวิศวะจุฬาฯ ยกระดับช่างติดตั้งสู่มาตรฐานสากล

0

ไอเอส ไฟเบอร์ และ ศูนย์ฝึกอบรมทางเทคนิค บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ร่วมกับ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าสื่อสาร ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า และศูนย์เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะด้านเทคโนโลยีไฟฟ้ากำลัง คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินหน้าสร้างมาตรฐานใหม่ของช่างติดตั้งอินเทอร์เน็ตบ้าน ยกระดับความรู้ ความสามารถครบทุกมิติ ตั้งแต่ความรู้พื้นฐาน จนถึงการติดตั้งภายในที่พักอาศัยของลูกค้า เพื่อยกระดับให้เป็นประกาศนียบัตรพื้นฐาน ที่ช่างทุกคนจะต้องสอบผ่านก่อนปฏิบัติงาน ภายใต้โครงการ Certification FTTx Course and Workers for Advance Wireless Network

นายกิตติ งามเจตนรมย์ หัวหน้าฝ่ายงานบริหารธุรกิจฟิกซ์บรอดแบนด์ เอไอเอส กล่าวว่า การจัดตั้งโครงการ Certification FTTx Course and Workers for Advance Wireless Network โดยร่วมมือกับ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าสื่อสาร ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า และศูนย์เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะด้านเทคโนโลยีไฟฟ้ากำลัง คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขึ้น เพื่อพัฒนาศักยภาพของช่างติดตั้งอินเทอร์เน็ตบ้าน เอไอเอส ไฟเบอร์ ทั่วประเทศให้เป็นมาตรฐานในระดับสากล ทั้งเรื่องความเชี่ยวชาญ มั่นใจเรื่องความปลอดภัย เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้าในการใช้บริการ

ด้าน ศาสตราจารย์ ดร. สุพจน์ เตชะวรสินสกุล  คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ และประธานกรรมการบริหารศูนย์เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะด้านเทคโนโลยีไฟฟ้ากําลัง 
รองศาสตราจารย์  ดร. สุขุมวิทย์ ภูมิวุฒิสาร ผู้อำนวยการ และรองศาสตราจารย์ ดร. เชาวน์ดิศ อัศวกุล  หัวหน้าโครงการฯ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าสื่อสาร ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า และศูนย์เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะด้านเทคโนโลยีไฟฟ้ากําลัง  คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ มีพันธกิจสำคัญในการให้ความรู้ ให้บริการทดสอบ งานบริการทางวิชาการ เกี่ยวกับความรู้และเทคโนโลยีในด้านของไฟฟ้ากำลังและไฟฟ้าสื่อสาร ให้กับนิสิต นักศึกษา วิศวกร บุคลากรที่สนใจจากหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ดังนั้นการได้ร่วมมือกับเอไอเอสไฟเบอร์ พัฒนาหลักสูตรการอบรมช่างติดตั้ง FTTx นี้ขึ้น จะเป็นการสร้างเสริม ส่งต่อ องค์ความรู้แก่คนไทย เพื่อสร้างอาชีพ และสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าจะได้รับบริการกับช่างที่มีความรู้ ความเข้าใจทั้งด้านไฟฟ้า และด้านอินเทอร์เน็ตบ้านเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของเราที่จะร่วมถ่ายทอด ความรู้ ความสามารถเพื่อยกระดับวงการบุคลากรช่างติดตั้งไปอีกขั้น”

ทิพยประกันภัย เปิดตัว “#TIP เติมสุข” ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบทางรายได้ จ่าย 3,000 บาทต่อเดือน

0
ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย

เปิดตัวโครงการ “#TIP เติมสุข” ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผล กระทบทางรายได้ จากสถานการณ์โควิด-19 ดีเดย์ 11 เดือน 11 จ่าย 3,000 บาทต่อเดือน

ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย เปิดเผยว่า บริษัทมีความห่วงใยผู้ที่ได้รับผลกระทบทางรายได้ จากวิกฤติโควิด-19 จึงได้เปิดโครงการ “#TIP เติมสุข” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการบรรเทาผลกระทบครั้งนี้ โดยจะเปิดรับสมัคร “TIP Digital Ambassador” เพื่อทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ Tipinsure.com รายได้  3,000 บาทต่อเดือน ระยะเวลา 3 เดือน กำหนดเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 11/11/63 – 12/12/63 หรือจนกว่าสิทธิ์จะเต็ม ลงทะเบียน/ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tipinsure.com  

สำหรับโครงการ “#TIP เติมสุข” เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “TIP ปันสุข” ที่ต้องการสนองนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมารองรับหลังวิกฤตโควิด-19 โดยโครงการ “TIP ปันสุข” ประกอบไปด้วย  4 ซีรี่ส์หลัก คือ เที่ยวปันสุข , เกษตรเป็นสุข , #TIP เติมสุข และ TIP อิ่มสุข ซึ่งช่วงที่ผ่านมาได้เปิดตัวซีรี่ส์  เที่ยวปันสุข เป็นซีรี่ส์แรก รองรับโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ  เราเที่ยวด้วยกัน โดยประชาชนสามารถเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันภัยที่สามารถสร้างหลักประกันและความมั่นใจในการเดิ นทางท่องเที่ยว รวมถึง โครงการเกษตรเป็นสุข ที่ช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถกระจายผลผลิตทางการเกษตร โดยสามารถนำมาเเลกเป็นประกันภัยได้  และโครงการ TIP อิ่มสุข ซึ่งจะเปิดตัวโครงการเป็นลำดับต่อไป ต่อจากโครงการ “# TIP เติมสุข”

ทั้งนี้ โครงการ TIP ปันสุข สอดคล้องกับปณิธานของทิพยประกันภัยที่มุ่งมั่นในการช่วยเหลือและรับผิดชอบสังคมอย่างต่อเนื่องและตลอดไป

ซีพี ออลล์ สวนกระแสฝ่าวิกฤตปี 63 จ้างงานแล้ว 50,534 อัตรา

0
ธานินทร์ บูรณมานิต กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์

นายธานินทร์ บูรณมานิต กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้วิถีชีวิตคนไทยและพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป รวมถึงผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก ทำให้ซีพีออลล์ ต้องเร่งปรับตัวด้วยการลงทุนในธุรกิจออนไลน์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในยุคนิวนอร์มอล

ซีพี ออลล์ มีนโยบายชัดเจนในการจ้างงานเพิ่มในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อรองรับธุรกิจที่ขยายตัวและธุรกิจใหม่ของบริษัท เช่น All Online และ 7 Delivery รวมถึงสนับสนุนให้คู่ค้ามีการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้คนไทยก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกัน

โดยตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2563 ซีพี ออลล์ และบริษัทในกลุ่มได้รับสมัครงานและเกิดการจ้างในตำแหน่งต่างๆ แบ่งเป็นพนักงานประจำรายเดือน จำนวน 20,500 อัตรา และ พนักงานรายวันจำนวน 30,034 อัตรา รวมแล้ว 50,534 อัตรา เพื่อรองรับธุรกิจและช่วยบรรเทาปัญหาด้านเศรษฐกิจให้กับคนไทย และ ซีพี ออลล์ ยังคงเปิดรับสมัครพนักงานเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศอย่างต่อเนื่อง

สำหรับผู้สนใจสมัครงานสามารถลงทะเบียนสมัครและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://job.cpall.co.th หรือสอบถามได้ที่เบอร์ 02-071-1726, 1719

เอกชนประสานเสียงร่วมลดโลกร้อน ขับเคลื่อนวิถีเศรษฐกิจยั่งยืน

0

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสมาคมเครือข่ายโกลบอล คอมแพ็ก ประเทศไทย และประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนา ‘ภาคธุรกิจไทยในวิถียั่งยืน’ ว่า การขับเคลื่อนวิถีเศรษฐกิจยั่งยืนต้องเริ่มจากการตระหนักรู้ เพราะหากองค์กร ผู้นำ พนักงานไม่ตระหนักรู้อก็จะไม่มีการเริ่มต้นโครงการแก้ไข รักษาสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้ตั้งเป้าหมายให้เป็นองค์กรลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ในปีพ.ศ. 2573

ซีพีได้จัดตั้งสำนักงานด้านความยั่งยืนและพัฒนาชุมชนเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่จ.น่านขึ้นเป็นแห่งแรก เพื่อเป็นศูนย์รวมของความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการเริ่มโครงการ ‘Sustainable Coffee’ เนื่องจาก จ.น่านมีปัญหาชลประทานด้านต้นทุนขนส่งสูง จึงต้องหาพืชที่เหมาะ ซึ่งการทำกาแฟจะมีมูลค่าเพิ่มเพราะต่อยอดไปได้หลายอย่าง ทำให้เกิดการจ้างงานและยกระดับคุณภาพชีวิตเศรษฐกิจชุมชน

ความยั่งยืนที่ตนมองนั้นมี 3 เรื่องหลัก คือ 1. โลกที่กำลังร้อนขึ้นจากอุณหภูมิที่สูง เรื่องนี้ต้องให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะหากอุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียสสิ่งมีชีวิตกว่า 3.2 หมื่นสปีชีส์จะเสี่ยงสูญพันธุ์ 2. ลดความเหลื่อมล้ำ 3. การศึกษา หากร่วมมือทำก็จะทำให้สังคมและสิ่งแวดล้อมยั่งยืนได้ ซึพีเองก็มีเป้าหมายชัดเจนเรื่องลดโลกร้อน และต่อไปจะเน้นลงทุนและใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คือแนวทางที่ภาคเอกชนต้องเดินเพราะถือเป็นความยั่งยืนของธุรกิจระยะยาวซึ่ง ส.อ.ท.ได้ร่วมโครงการความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อแก้ไขปัญหาขยะและพลาสติกอย่างยั่งยืน
 

ด้านนายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ประเด็นสำคัญของความยั่งยืน คือทุกคนต้องมีส่วนร่วม มองผลประโยชน์ส่วนรวม เช่น PM 2.5 เป็นเรื่องของทุกคน ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกัน นอกจากนี้ การบริหารจัดการน้ำ ถือเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ ทุกภาคส่วนควรเก็บกักน้ำเพิ่มจาก 10% เป็น 20% เพื่อแก้ไขวิกฤตน้ำในระยะสั้น และในระยะยาวต้องรณรงค์ให้ทุกคนใส่ใจสิ่งแวดล้อม ปลูกป่า ใช้น้ำกันอย่างคุ้มค่าที่สุดในทุกภาคส่วน

สิงห์ปาร์ค เชียงราย จัด 4 อีเว้นท์ใหญ่ ตลอด 4 เดือน ต้อนรับฤดูท่องเที่ยว

0

นาย พงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย และ น.ส. ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นประธานงานแถลงข่าวเปิดตัว “4 WONDERS FEST. : Concert / Countdown / Lights / Love” 4 อีเว้นท์ที่จะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตลอด 4 เดือนในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย

นายพงษ์รัตน์ เปิดเผยว่า สิงห์ปาร์ค เชียงราย จัดโครงการการท่องเที่ยว 4 โครงการต่อเนื่อง 4 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึง กุมภาพันธ์ ในช่วงเวลาที่อากาศดีที่สุด เชื่อว่าทั้ง 4 โครงการที่ตั้งใจจัดขึ้นนี้จะสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเชียงรายและยังสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจโดยภาพรวมให้กับจังหวัดเชียงรายได้เป็นอย่างดี

โดย 4 อีเว้นท์ใหญ่ ที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย ประกอบด้วย “Farm Festival On The Hill ครั้งที่ 8” เทศกาลดนตรีท่ามกลางอากาศเย็นสบาย ห้อมล้อมไปด้วยขุนเขาที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ต่อด้วยเทศกาลความสุขส่งท้ายปีสุดยิ่งใหญ่ในเดือนธันวาคม กับ “แสงเหนือ Countdown Festival 2021” พบกับแลนด์มาร์คเคาท์ดาวน์แห่งใหม่ในไทยที่ทำให้คุณได้พบแสงแห่งปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย ต่อด้วยงาน “Village Of Illumination Festival”  ในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นงานแสดง แสง สี ครั้งแรกในไทยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และ ในเดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก กับงาน “Singha Park Chiangrai Valentine’s Balloon Fiesta 2021” เทศกาลบอลลูนสุดโรแมนติก พร้อมงานจดทะเบียนสมรส-บอกรักบนฟ้าตอกย้ำหนึ่งในเมืองโรแมนติก Love Destination ระดับโลก

ด้านน.ส.ฐาปนีย์ กล่าวว่า เชียงรายเป็นจังหวัดหนึ่งที่ทำให้เห็นว่าการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนก่อให้เกิดประโยชน์มากมายมหาศาล ในเชิงการท่องเที่ยวและการกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัด สำหรับสิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นภาคเอกชนที่แข็งแรง และเข้มแข็ง  ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สิงห์ปาร์คเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวอย่างแพร่หลายทั้งคนไทยและต่างชาติ ผ่านมาตรฐาน SHA ในการจัดอีเว้นท์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและมีความปลอดภัย มีนโยบายในการป้องกันโรคระบาดโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ งาน “Farm Festival On The Hill” เทศกาลดนตรีรับลมหนาวแรกของปี ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศสุดฟินและเสียงเพลงเพราะๆ จากวงดนตรีชื่อดังกับศิลปินนักร้องสุดฮอตกว่า 100 ชีวิต ในธรรมชาติที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขางดงาม จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-29 พฤศจิกายน 2563

“แสงเหนือ Countdown Festival 2021” จัดในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2564  และเป็นครั้งแรกที่สิงห์ปาร์ค  เชียงรายได้ปั้นให้เป็น Destination สำหรับการเคาท์ดาวน์แห่งใหม่ของเชียงรายกับการนับถอยหลังเข้าสู่ศักราชใหม่  ในงานพบกับตลาดอินดี้สุดแนว  จุดถ่ายรูปเก๋ๆ อิ่มอร่อยกับร้านอาหารชื่อดัง และร้านอาหาร Food Truck เทศกาล Bar B Q นานาชาติ  คอนเสิร์ตจากศิลปินชั้นนำและพบความสนุกในการต้อนรับแสงเหนือของปีใหม่

 “Village Of Illumination Festival”  งานเทศกาลแสง สี เสียง ครั้งแรกในไทยที่สิงห์ปาร์คฯ ร่วมกับ บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เนรมิตรพื้นที่กว่า 100 ไร่ ให้เป็นงานแสดงแสง สี เสียง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 14 กุมภาพันธ์ 2564

และ  Singha Park Chiangrai Valentine’s Balloon Fiesta 2021 เทศกาลบอลลูนครั้งที่ 6 มีขึ้นในช่วงเทศกาลวันแห่งความรัก 10 – 14 กุมภาพันธ์ 2564 โดยไฮไลท์เป็นการจดทะเบียนสมรสหมู่ของคู่รักที่สมัครเข้าร่วมกิจกรรมและขึ้นบอลลูนไปบอกรักบนฟ้า พร้อมชมทัศนียภาพความงามเหนือน่านฟ้าของเมืองเชียงรายแบบ 360 องศา

ทิพยประกันภัย เปิดตัว “TIP อัพทูไมล์” ประกันชั้น 1 แบบใหม่ ใช้แค่ไหนจ่ายแค่นั้น

0
ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด(มหาชน)

ทิพยประกันภัย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 รูปแบบใหม่ของวงการประกันภัย “TIP อัพทูไมล์” แค่ไหน แค่นั้น ที่เข้าใจทุกไลฟ์สไตล์ของคนใช้รถน้อย และพร้อมมอบอิสรภาพในการเลือกจ่ายเบี้ย ฯ ตามระยะไมล์ที่ใช้จริง แต่ได้รับความคุ้มครองจัดเต็ม แบบประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ประหยัดเบี้ยสูงสุดถึง 62 เปอร์เซ็นต์ พร้อม Feature “ใช้ไม่หมดเราทบให้ในปีต่ออายุ” และ“ใช้ไม่พอก็สามารถเลือกเติมตามการใช้งานจริงได้” ใช้แค่ไหน ก็จ่ายแค่นั้น ได้ตั้งแต่เริ่ม เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเลือกจ่ายเบี้ย ฯ ได้ตามความต้องการอย่างแท้จริง

ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ประกันภัยรถยนต์ “TIP อัพทูไมล์” แค่ไหน แค่นั้น เป็นการออกแบบประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 รูปแบบใหม่ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าใช้รถน้อย มีรถหลายคัน หรือมีรถประจำตำแหน่งบางท่านจอดรถแล้วใช้บริการรถไฟฟ้า บางคนใช้รถเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ ให้ได้รับความคุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดในการทำประกันตามระยะทางจริงที่ใช้ โดยลูกค้าสามารถเลือกซื้อแบบความคุ้มครองได้ 5,000 กม./ปี หรือ 10,000 กม./ปี และยังได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกันกับการทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ไม่ว่าจะเป็น รถชนไม่มีคู่กรณี รถถูกไฟไหม้ น้ำท่วม รถหาย และความคุ้มครองต่อความเสียหายต่าง ๆ ทั้งทางร่างกาย และทรัพย์สิน

โดยจุดเด่นของ ประกันนี้คือ

  1. คุ้มครองตามระยะทางไมล์ (กิโลเมตร)
  2. กรมธรรม์จะมีความคุ้มครอง 1 ปี หรือ ใช้ระยะไมล์ครบตามแผนที่ซื้อ
    แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจะถึงก่อน
  3. ไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์เสริมภายในรถยนต์
  4. ให้คุ้มครองตลอด 24 ชั่วโมง
  5. หากใช้ไมล์ครบ วันคุ้มครองเหลือ สามารถซื้อไมล์เพิ่มตามความต้องการได้ หรือ ใช้ไมล์เหลือวันคุ้มครองครบกำหนด สามารถนำมาทบในการต่อประกันครั้งต่อไปได้

ดร.สมพร กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทฯเปิดตัวกรมธรรม์ประกันภัย TIP Lady เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นการเจาะกลุ่มตลาดผู้หญิงโดยเฉพาะ และสถานการณ์ในปัจจุบันหลังจากเกิดวิกฤตการณ์การระบาดของไวรัสโควิด – 19 พบว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปมาก มีพฤติกรรมการใช้รถน้อยลงหรือสำหรับคนที่บ้านมีรถหลายคัน ไม่ค่อยได้ขับ ต้องการความคุ้มครองและเสียค่าใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น บริษัทฯ จึงออกแบบผลิตภัณฑ์ “TIP อัพทูไมล์” แค่ไหน แค่นั้น
มาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป“ประกันภัยรถยนต์รูปแบบใหม่ “TIP อัพทูไมล์” แค่ไหน แค่นั้น จึงตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างแท้จริง และสามารถสร้างความอุ่นใจให้แก่ผู้เอาประกัน ในช่วงสถานการณ์เศรษฐกิจซบเซานี้ ซึ่งทิพยประกันภัยพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างในทุกสถานการณ์

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียด หรือสอบถามผ่านช่องทาง www.tipinsure.com , ทิพยประกันภัยสำนักงานใหญ่ และสำนักงานสาขาทั่วประเทศ , Call Center 1736
และตัวแทนนายหน้าทั่วประเทศ นอกจากนี้ “TIP อัพทูไมล์” แค่ไหน แค่นั้น ยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถผ่อนชำระได้สูงสุด 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์
ผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการได้อีกด้วย


ตามดู “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน”

0

ซีพีเอฟ หนุนน้องๆ ในศูนย์การเรียนรู้ อา โยน อู อ.แม่สอด จ.ตาก บริโภคไข่ไก่เพียงพอ

สถานการณ์ระบาดของโควิด 19 เป็นสัญญาณเตือนถึงความสำคัญของ “ความมั่นคงทางอาหาร” และเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าความมั่นคงทางอาหาร เป็นปัจจัยที่ช่วยให้โลกก้าวข้ามวิกฤตครั้งนี้ไปได้ สำหรับประเทศไทยในวิกฤติโควิดครั้งนี้่ เรียกได้ว่า เราไม่ตกอยู่ในภาวะขาดแคลนอาหาร คนไทยยังมีอาหารที่สะอาด ปลอดภัย มีคุณภาพ บริโภคอย่างเพียงพอ ด้วยภาครัฐและภาคเอกชนที่ตระหนักถึงความสำคัญและมีมาตรการรับมือในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี

การสร้างความมั่นคงทางอาหาร หลายโครงการได้รับการสนับสนุนโดยภาคเอกชน หนึ่งในนั้น คือ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” มีโรงเรียนเป็นแหล่งผลิตอาหารที่ยั่งยืน เพื่อส่งมอบโอกาสในการเข้าถึงโปรตีนคุณภาพให้แก่เด็กและเยาวชนอย่างทั่วถึงทั้งเด็กนักเรียนในเมือง เด็กนักเรียนตามโรงเรียนชายขอบ เด็กไทย และเด็กต่างด้าว

“โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ พ.ศ. 2532 เป็นต้นมา จนถึงปี พ.ศ.2563 เข้าสู่ปีที่ 31 แล้ว มีโรงเรียนทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการ 855 โรงเรียน ด้วยความตั้งใจเดียวกัน คือ อยากเห็นเด็กและเยาวชนมีโภชนาการที่ดี เป็นกำลังสำคัญของประเทศ ความร่วมมือโดยบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน หอการค้าญี่ปุ่น – กรุงเทพ ฯ (JCCB) และบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) จึงเป็นความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องและยาวนาน

มาทำความรู้จักและติดตามโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ในศูนย์การเรียนรู้อา โยน อู น( Ah Yone Oo) อยู่ที่หมู่ 10 ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก ติดกับชายแดนเมียวดี ประเทศพม่า ศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ ก่อตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2548 จนถึงปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 16 แล้ว ศูนย์การเรียนรู้ของเด็กต่างด้าว มีจำนวนนักเรียน 110 คน ครู 7 คน ทั้งหมดเป็นสัญชาติเมียนมา เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ศูนย์เด็กเล็กจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 7(Grade 1-7) ใช้หลักสูตรของพม่าในการเรียนการสอน มีวิชาภาษาไทยเข้าไปเสริม และมีการสอนหลักสูตรการศึกษานอกระบบด้วย (กศน.) โดยมีนักเรียนที่ศึกษาในระบบ กศน.จำนวน 7 คน

ก่อนหน้านี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์เข้าไปสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการเรียนการสอนของศูนย์ฯ และต่อยอดสู่การดูแลสุขอนามัยของเด็กนักเรียนในศูนย์ ฯ ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์โดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ร่วมมือกับองค์กรระดับสากล อาทิ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ดูแลด้านโภชนาการของเด็กในศูนย์แห่งนี้

นายจ่อซาน ผู้อำนวยการศูนย์การเรียน อา โยน อู กล่าวว่า การเปิดศูนย์การเรียนรู้ อา โยน อู เพื่อให้ลูกหลานของชาวเมียนมาที่อพยพมาอยู่ในประเทศไทยได้รับการศึกษาและรณรงค์ห่างไกลยาเสพติด เริ่มแรกที่มีการเปิดการเรียนการสอน มีเพียงชั้นเด็กเล็กจนถึงประถมศึกษาปีที่ 2 (Gread 2) จากนั้นได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ สนับสนุนค่าเช่าที่ดินที่เปิดสอน อาคารเรียน เงินเดือนครู ฯลฯ ทางศูนย์ฯ สามารถรับนักเรียนได้เพิ่มขึ้น จนถึงปัจจุบันเปิดสอนจนถึง Grade 7 นอกจากหลักสูตรการเรียนการสอนในห้อง
เรียนแล้ว ทางศูนย์ฯ สนับสนุนให้เด็กๆ เรียนรู้กิจกรรมอื่นๆ อาทิ การเลี้ยงไก่ไข่ การปลูกผักสวนครัว เพื่อที่เด็กๆจะสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ๆไปใช้ในชีวิตประจำวัน

ครูปีเตอร์ ครูสอนภาษาไทยของศูนย์ ฯ เล่าว่า ศูนย์ฯตั้งบนพื้นที่กว้าง 5-6 ไร่ เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ เมื่อปี 2559 โดยได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟ สนับสนุนแม่พันธุ๋ไก่ไข่ อุปกรณ์การเลี้ยงไก่ อาหารสัตว์ให้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายในปีแรก ปัจจุบัน ศูนย์ฯเลี้ยงไก่ไข่เข้าสู่ปีที่ 5 แล้ว จำนวนไก่ที่เลี้ยง 120 ตัว สามารถนำผลผลิตไข่ไก่มาเป็นวัตถุดิบส่งเข้าโครงการอาหารกลางวัน นอกจากทั้งนักเรียนและคุณครู ได้รับประทานไข่ที่สด สะอาด ทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรงแล้ว ยังได้รับความรู้และได้ลงมือปฏิบัติในการเลี้ยงไก่ไข่ ซึ่งจะ เป็นความรู้ที่ติดตัวเด็กๆนำไปใช้ประกอบอาชีพได้ในอนาคต

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาวะโควิด 19 ระบาด โครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ มีประโยชน์อย่างมากทั้งต่อเด็กๆ และชุมชนรอบข้าง โดยที่ศูนย์ฯ นำผลผลิตไข่ไก่ ข้าวสาร และน้ำมัน แจกจ่ายให้นักเรียนและชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนช่วงโควิด และถึงแม้ว่าผลกระทบจากการระบาดของโควิด จะทำให้ศูนย์ฯต้องหยุดการเรียนการสอนไว้ชั่วคราว แต่คุณครูก็ยังไปสอนหนังสือให้นักเรียนตามบ้าน นำไข่ไก่ไปให้นักเรียนได้บริโภคด้วย

เด็กชายชิเหว่ทวย เรียนอยู่ชั้น ป.7 ซึ่งได้รับมอบหมายให้ช่วยรับผิดชอบ ให้น้ำ ให้อาหาร และเก็บไข่ไก่ กล่าวว่า มีความสุขและรู้สึกสนุก ที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ และยังได้ความรู้วิธีการเลี้ยงไก่ที่ถูกต้อง ตั้งใจว่าจะใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเลี้ยงไก่ไข่ให้เป็นประโยชน์ โตขึ้นอยากเลี้ยงไก่เองที่บ้าน เพื่อเป็นอาชีพ มีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว

ด้าน นางสาว เตนเตน เหว่ คุณครูผู้รับผิดชอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่ ของศูนย์ฯ กล่าวว่า ขอบคุณทางซีพีเอฟ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ที่สนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯให้ทางศูนย์การเรียนรู้ ทำให้เด็กๆได้บริโภคไข่ไก่อย่างสม่ำเสมอ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ผู้ปกครองนักเรียนเองได้บริโภคไข่ไก่ที่สด สะอาด ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด เพราะผลผลิตไข่ไก่ส่วนที่เกินจากที่นักเรียนบริโภคเป็นอาหารกลางวัน ทางศูนย์ฯได้นำมาขายให้ผู้ปกครองในราคาแผงละ 80-85 บาท (แผง 30 ฟอง) และทางศูนย์การเรียนรู้ในพื้นที่อื่นๆ ก็เคยมาอุดหนุนไข่ไก่ของศูนย์การเรียนรู้อา โยน อูด้วย

ศูนย์การเรียนรู้ อา โยน อู เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จจากโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ซึ่งซีพีเอฟ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และเครือข่ายพันธมิตร มุ่งมั่นร่วมกันที่จะมีส่วนร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยเดินหน้าส่งมอบโครงการฯให้โรงเรียนต่างๆทุกภาคทั่วประเทศ ซึ่งเดือนพฤศจิกายน 2563 นี้ จะส่งมอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ให้โรงเรียนบ้านทุ่งมน ตำบลบ้านไผ่ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น และส่งท้าย ปี 2563 ส่งมอบให้โรงเรียนบ้านเมืองเก่า “ศรีอินทราทิตย์” ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ในเดือนธันวาคม ส่งเสริมเด็กและเยาวชนเข้าถึงอาหารโปรตีนคุณภาพอย่างไข่ไก่ เพื่อการเติบโตที่สมวัยทั้งร่างกายและสติปัญญา .

เปิดตัวแพ็กเกจ AIS x Shopee รับแคมเปญ 11.11 บิ๊กเซล

0

AIS x Shopee มอบซิมสุดประหยัดพร้อมสิทธิพิเศษให้ผู้ขายบนช้อปปี้ใช้งานแอปพลิเคชัน Shopee ฟรี! แบบไม่คิดค่าเน็ต พร้อมรับเน็ตเพิ่มสูงสุด 4 เท่า บนเครือข่าย AIS 5G ที่ครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมโทรฟรีเบอร์ในเครือข่ายเอไอเอส กว่า 40.9 ล้านเลขหมาย และโทรฟรีเบอร์ Shopee Call Center ตลอด 24 ชั่วโมง

นายพงษกรณ์ คอวนิช หัวหน้าแผนกงานการตลาดด้านผลิตภัณฑ์และลูกค้าโพสต์เพด เอไอเอส เปิดเผยว่า ความร่วมมือระหว่างเอไอเอส และช้อปปี้ ครั้งนี้ เป็นอีกปรากฏการณ์สำคัญที่ตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอสที่ไม่หยุดพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสอดรับกับพฤติกรรมของคนไทยในยุคนิวนอร์มัลที่นิยมซื้อขายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซมากยิ่งขึ้น และเพื่อต้อนรับมหกรรมช้อปออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด Shopee 11.11 Big Sale  เอไอเอสจึงร่วมมือกับช้อปปี้ออกแบบแพ็กเกจพิเศษที่ตอบโจทย์และตรงใจพ่อค้าแม่ค้าช้อปปี้โดยเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้พ่อค้าแม่ค้าช้อปปี้สามารถสื่อสารบอกเล่าเรื่องราวสินค้าและบริการได้แบบไม่มีข้อจำกัดแก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และช่วยลดต้นทุน เพิ่มกำไรในการขายสินค้าบนช่องทางออนไลน์ ซึ่งผู้ค้าช้อปปี้สามารถลงทะเบียนรับซิมได้ตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย.2563 – 9 ม.ค. 2564 ที่ https://shopee.co.th/m/ais-11

โดยไฮไลท์ความพิเศษจากแพ็กเกจ AIS x Shopee ประกอบด้วย

1)      รับเน็ตเพิ่มสูงสุด 4 เท่า (เมื่อเทียบกับแพ็กเกจปกติ) โทรฟรีเบอร์เอไอเอส กว่า 40.9 ล้านเลขหมายได้อย่างไม่จำกัด และใช้งาน AIS SUPER WiFi ฟรีไม่จำกัด

2)      รับชม YouTube Premium ฟรี 3 เดือน

3)      เล่นแอปพลิเคชัน Shopee ฟรี! ไม่คิดค่าเน็ต

4)      โทรฟรี Shopee Call Center ตลอด 24 ชั่วโมง

5)      รับ Shopee Ads Credits สูงสุด 3,000 บาท

6)      รับสิทธิ์ใช้งาน GrowBiz แพลตฟอร์มช่วยบริหารจัดการร้านค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สามารถสมัครเพิ่มได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย)

7)      รับส่วนลดเพิ่ม 2,000 บาท เมื่อซื้อสมาร์ทโฟนที่ร่วมรายการ ได้ที่ AIS Shop ทุกสาขา

นอกจากนี้ เอไอเอสยังเตรียมความพิเศษสำหรับลูกค้าช้อปปี้ ให้ได้เต็มอิ่มกับสินค้าและบริการดิจิทัลจาก AIS แบบเอ็กซ์คลูซีฟ ในร้าน AIS Official บนช้อปปี้ อาทิ สมาร์ทโฟนรุ่นดังในราคาพิเศษ ลดกว่า 50% และเล่นเกมลุ้นรับ THE ONE SIM รวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท

เชื่อมั่นว่าภายใต้ความร่วมมือกันระหว่างเอไอเอส และช้อปปี้ ครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจและสร้างตลาดการซื้อขายใหม่ๆ ที่ก่อประโยชน์ทั้งต่อผู้ซื้อและผู้ขาย รวมถึงเป็นการสนับสนุนและขยายขีดความสามารถให้กับคนไทยได้มีช่องทางการสร้างรายได้ใหม่ๆ ได้

คุณสุชญา ปาลีวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ขายออนไลน์ที่เข้ามาทำธุรกิจบนแพลตฟอร์มของ ช้อปปี้ มากขึ้นถึง 60% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว เป็นสัญญานที่บ่งชี้ถึงพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่ได้ก้าวเข้าสู่พฤติกรรมการบริโภคบนช่องทางออนไลน์อย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยในปี 2562 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการตลาดอยู่ที่ 163,300 ล้านบาท คาดการณ์ว่าในปี 2563 มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้น  35% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา หรือประมาณ 220,000 ล้านบาท  ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยก้าวสู่วิถีความปกติใหม่เต็มรูปแบบยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการซื้อสินค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ

กรุงศรีคอนซูมเมอร์ ยืดชำระหนี้สูงสุด 96 เดือน ช่วยเหลือลูกหนี้

0

นางสาวณญาณี เผือกขำ ประธานกรรมการ กรุงศรีคอนซูมเมอร์ เปิดเผยว่า หลังจากหมดมาตรการช่วยเหลือระยะที่ 2 ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ในสิ้นปีนี้ บริษัทมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ต่อเนื่อง โดยลูกหนี้ที่ยังไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ ก็จะมีมาตรการทั้งการลดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ ที่มีการยืดการชำระหนี้ให้ลูกหนี้ถึง 96 เดือน ซึ่งสูงที่สุดในระบบ และสูงที่สุดตั้งแต่ที่บริษัทเคยมีที่กำหนดระยะเวลาชำระหนี้เพียง 48 เดือนเท่านั้น โดยลูกหนี้บางส่วน ได้ทยอยเข้าร่วมปรับโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่ ก.ย.จนถึงปัจจุบัน 3.2 หมื่นบัญชี หรือคิดเป็นยอดสินเชื่อราว 2.5 พันล้านบาท

ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3 พบว่ามียอดใช้จ่ายผ่านบัตร 1.96 แสนล้านบาท ยอดสินเชื่อใหม่ 5.8 หมื่นล้านบาท ยอดสินเชื่อคงค้าง 1.33 แสนล้านบาททั้งนี้

ในส่วนของทิศทางหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือหนี้เสีย ประธานกรรมการ กรุงศรีคอนซูมเมอร์ ยอมรับว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หากเทียบกับปัจจุบันที่อยู่ระดับ 2.25% และคาดว่าสิ้นปีจะไม่ถึงระดับ 2.5% จากการเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้ แต่หลังจากหมดมาตรการช่วยเหลือระยะที่ 2 มีโอกาสที่จะเห็นหนี้เสียเพิ่มขึ้นสูงสุดได้ ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 เพราะยังมีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและโควิด-19 ที่ส่งผลให้รายได้ลูกหนี้ลดลงส่วนยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 2.8 แสนล้านบาท ติดลบ 11% ขณะที่ยอดสินเชื่อใหม่ปีนี้คาดอยู่ที่ 8.3 หมื่นล้านบาท ติดลบ15%ขณะที่ไตรมาส 4 กรุงศรีคอนซูมเมอร์ เตรียมเปิดบริการ ยูการ์ด บนแอพพลิคชัน ยูชูส เพื่อสมัครบัตรใหม่แบบดิจิทัลเลนดิ้ง จะทำให้ยอดการใช้จ่ายไตรมาส 4 จะเติบโตกว่า 20% เทียบไตรมาสก่อนหน้า คาดตลอดทั้งปีนี้จะมียอดใช้จ่าย 2.8 แสนล้านบาท ยอดสินเชื่อใหม่ 83,000 ล้านบาท และสินเชื่อคงค้าง 1.44 แสนล้านบาท