Home Blog Page 368

พีทีที สเตชั่น จำหน่ายน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำสูตรพิเศษ ช่วยลดฝุ่น PM 2.5

0

นายบุญมา พลธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ (OR) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ที่กลับมาสูงเกินค่ามาตรฐานอีกครั้งในช่วงปลายปี โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โออาร์ เห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงได้ร่วมกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ จีซี (GC) ให้โรงกลั่นน้ำมันของ จีซี กลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่มีคณภาพสูงและมีค่ากำมะถันต่ำเฉลี่ยประมาณ 10 PPM  ต่ำกว่าค่าที่กฎหมายกำหนด (50 PPM) ถึงประมาณ 5 เท่า และนำน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกำมะถันต่ำจาก จีซี ดังกล่าวมาผลิตเป็นน้ำมันอัลตร้าฟอร์ซ ดีเซล (UltraForce Diesel) สูตรพิเศษที่คลังน้ำมันพระโขนงของโออาร์ ทั้งน้ำมันอัล- ตร้าฟอร์ซ ดีเซล น้ำมันอัลตร้าฟอร์ซ ดีเซล บี7 และน้ำมันอัลตร้าฟอร์ซ ดีเซล บี20 เพื่อจ่ายให้กับสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมกว่า 400 สถานี รวมทั้งจ่ายให้กลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม และหน่วยงานราชการ  เป็นต้น โดยมีปริมาณการจ่ายประมาณ 40 ล้านลิตรต่อเดือน ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่16 พฤศจิกายน 2563  – 28 กุมภาพันธ์ 2564 

โดยเมื่อเทียบในสัดส่วนไบโอดีเซลที่เท่ากัน พบว่า น้ำมันดีเซลหมุนเร็วกำมะถันต่ำนี้ จะช่วยทำให้ปริมาณกำมะถันในน้ำมันลดลง ส่งผลให้ปริมาณฝุ่นละลองขนาดเล็ก (PM2.5) ลดลง 19-21% และควันดำลดลง 19-40% (จากผลการทดสอบของสถาบันนวัตกรรม ปตท. ในรถกระบะรุ่นเก่าอายุรถ 8 ปี และรถกระบะรุ่นใหม่ อายุรถ 3 ปี)

นอกจากนี้ ปัจจุบันสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ยังจำหน่ายน้ำมันเกรดพรีเมียม อัลตร้าฟอร์ซ ดีเซล พรีเมียม (UltraForce Premium Diesel) ที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น กว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งเป็นน้ำมันที่ได้มาตรฐานยูโร 5 (Euro 5) จึงเป็นน้ำมันที่มีกำมะถันต่ำ และยังมีคุณสมบัติที่แรงกว่า และสะอาดกว่าน้ำมันดีเซลสูตรปกติอีกด้วย

ซีพี ออลล์ จับมือ CONNEXT ED ดันโครงการ ‘ต้นกล้าไร้ถัง’ ผลิตเยาวชนรักษ์โลก

0

นาย สุวิทย์ กิ่งแก้ว ที่ปรึกษาอาวุโสคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ซีพี ออลล์ ร่วมกับมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์ อีดี (CONNEXT ED) ผลักดันสร้างเยาวชนรักษ์โลก ปลูกฝังให้เยาวชนร่วมลดปริมาณขยะในโครงการ ‘ต้นกล้าไร้ถัง’

โดยโครงการที่โรงเรียนอนุบาลทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ประสบความสำเร็จในการลดปริมาณขยะจาก 15 ตัน เหลือ 2 กิโลกรัมต่อเดือน ทำให้มีการต่อยอดโครงการนำร่องอีก 54 โรงเรียน

ความสำเร็จในโครงการต้นกล้าไร้ถังของรร.อนุบาลทับสะแก เกิดจากหลักการลด ละ เลิก สิ่งที่สามารถกลายมาเป็นขยะ อย่างเช่น หลอด จานกระดาษ แก้วน้ำแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ซึ่งอาศัยการสร้างความร่วมมือกับพ่อค้าแม่ค้าในโรงเรียน ให้เลิกขายและใช้ภาชนะที่สร้างขยะ นอกจากนี้ยังมีการซื้อแก้วน้ำส่วนตัวให้นักเรียน และยังมีการปลูกฝังให้นักเรียนในโรงเรียนมีส่วนร่วมในการจัดการขยะในชีวิตประจำวันตั้งแต่ต้น เพื่อให้เห็นภาพร่วมของปัญหาในการจัดการขยะชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ยังมีการบูรณาการหลักสูตรการจัดการขยะ เพื่อต่อยอดความรู้นำสิ่งที่ถูกทิ้งมารียูส รีไซเคิล และผลิตเป็นวัสดุอินทรีย์สร้างรายได้กลับสู่โรงเรียนอีกด้วย

ทั้งนี้ ซีพี ออลล์ เป็นกำลังหลักในการเข้าไปสนับสนุนงบประมาณ พร้อมทั้งให้คำแนะนำ จนเกิดการพัฒนาเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน เพื่อมอบองค์ความรู้ด้านการจัดการขยะให้แก่คนในชุมชน ทำให้โครงการต้นกล้าไร้ถัง ได้สร้างโมเดลการการจัดการขยะที่ทำได้จริงและยั่งยืนให้กับชุมชน

โรงเรียนนำร่องทั้ง 54 แห่ง จะได้รับคู่มือการดำเนินการจัดการขยะของโครงการต้นกล้าไร้ถัง พร้อมสื่อการเรียนรู้ เพื่อจัดทำเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน ให้กลับไปใช้ดำเนินการต่อในโรงเรียนของตัวเอง ขณะเดียวกัน จะได้รับคำแนะนำ การติดตาม และประเมินผลอย่างใกล้ชิด จากทั้งโรงเรียนอนุบาลทับสะแก และทางซีพี ออลล์ ตลอดช่วงปีการศึกษา 2563

นอกจากนี้ ซีพี ออลล์ ยังวางแผนในอนาคตขยายผลโครงการต้นกล้าไร้ถังไปสู่ทั่วประเทศ โดยจะเริ่มดำเนินการกับโรงเรียนที่อยู่ในเครือข่ายสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED ภายใต้ความดูแลของซีพี ออลล์ จำนวนกว่า 392 โรงเรียนภายในปี 2565 อีกด้วย

ซีเจ พร้อมรุกตลาดกทม. เปิดตัว ‘ซีเจ มอร์’ ที่สีลม

0

นาย เสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป พร้อมบุกตลาดกรุงเทพฯ แล้วอย่างจริงจัง หลังจากใช้เวลา 2 ปีในการเตรียมความพร้อมรอบด้าน เริ่มตั้งแต่การขยายสาขา ขณะนี้เปิดบริการ ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส 45 แห่ง ทำให้มีความเข้าใจธุรกิจและเรียนรู้พฤติกรรมผู้บริโภคคนเมืองได้มากขึ้น 

ด้วยการพัฒนาค้าปลีกโมเดลใหม่ ในชื่อ “ซีเจ มอร์”(CJ MORE) ที่จะเป็นหัวหอกในการเปิดตลาดเมืองกรุง ด้วยคอนเซปต์ More Than Anyone, More Than Supermarket เป็นมากกว่าซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อทั่วไป รองรับทุกความต้องการของลูกค้าและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในธุรกิจเดียวกันอย่างชัดเจน 

ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป กลุ่มทุนสัญชาติไทย เตรียมรุกธุรกิจรีเทล ภายใต้แผน 3 ปี (2564-2566) โดยเร่งขยายเครือข่ายเพิ่มกว่าเท่าตัว จากเป้าหมาย 580 สาขาในสิ้นปี 2563 จะมีสาขาไม่ต่ำกว่า 1,500 แห่ง ภายในปี 2566 โดยแต่ละปีลงทุนราว 2,350 ล้านบาท สำหรับการเปิดสาขาใหม่ ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต ขนาดพื้นที่ 200 ตร.ม. งบลงทุนเฉลี่ย 8 ล้านบาท ซีเจ มอร์ ขนาดพื้นที่  600-700 ตร.ม. หรือ ที่ดินขนาด 2 ไร่ ลงทุนเฉลี่ย 15 ล้านบาท  ใช้เม็ดเงินลงทุนร่วม 7,000 ล้านบาทใน 3 ปีข้างหน้้า และยังลงทุนคลังสินค้าแห่งที่ 2 ย่านถนนบางนา-ตราด บนที่ดินขนาด 100 ไร่ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจค้าปลีกในอนาคต  รวมเม็ดเงินลงทุนทั้งหมดเกือนหมื่นล้านบาท ในการบุกธุรกิจค้าปลีกและเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ใน 3-4 ปีข้างหน้า ซึ่งในเวลานั้น จะมีจำนวนสาขามากกว่า 1,500 แห่ง สามารถสร้างรายได้ถึง 30,000 ล้านบาท เพื่อระดมทุนขยายอาณาจักรค้าปลีกทั่วประเทศต่อไป  

สำหรับ “ซีเจ มอร์” เลือกใช้พื้นที่ย่านสีลม อาคาร 393 สีลมซอย 7 ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่คาราบาว กรุ๊ป เป็นแฟลกชิพสโตร์ 1,200 ตร.ม. เพื่อเป็นต้นแบบสำหรับการขยายสาขา ซีเจ มอร์ ในอนาคต ที่มั่นใจว่าจะเข้ามาสร้างสีสันและปรากฏการณ์ “The New Revolution Of Retail” พร้อมด้วย  “5 แบรนด์ค้าปลีก” ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาเปิดให้บริการอย่างครบครันในที่เดียวเปรียบเสมือน “ศูนย์การค้าขนาดเล็กในชุมชน” ที่แตกต่างจากคู่แข่งและสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งตลาดกรุงเทพฯ เน้นเจาะย่านชุมชนบนถนนเส้นรอง เลี่ยงคู่แข่งรายใหญ่ที่ยึดทำเลหลักบนถนนหลักไปแล้ว

ซีเจ มอร์ ประกอบด้วย ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต (CJ Supermarket) แบรนด์ค้าปลีกดั้งเดิมเน้นจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค จุดเด่นคือการมีสินค้า ครบ คุ้ม ราคาประหยัดเทียบเท่ากับไฮเปอร์มาร์เก็ต แต่สะดวกมากกว่าด้วยสาขาใกล้บ้าน ในช่วงแรกเน้นการขยายสาขาในภาคกลาง เช่น นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ชลบุรี และกรุงเทพฯ ปัจจุบันมีมากกว่า 500 สาขาทั่วประเทศ และยังเร่งขยายสาขาไปยังภูมิภาคต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

โดย ซีเจ มอร์ ประกอบไปด้วย แบรนด์ค้าปลีกหลักๆ  ได้แก่ นายน์ บิวตี้ (Nine Beauty) โซนเครื่องสำอาง และความงามมัลติแบรนด์ , บาว คาเฟ่(Bao Café)  ร้านกาแฟสดใกล้บ้าน ภายใต้แนวคิด “รสชาติถูกปาก ราคาถูกใจ” , อูโนะ (UNO) โซนสินค้าไลฟ์สไตล์ สินค้าแฟชั่น เครื่องเขียน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ , เอ-โฮม (A-Home) โซนสำหรับคนรักบ้านกับคอนเซปต์ “เรื่องบ้าน เรื่องง่าย” ครบครันด้วยสินค้า D.I.Y. อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้

ก่อนหน้านี้ “ซีเจ มอร์”ได้ทดลองเปิดให้บริการที่ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต สาขาสามัคคี จ.นนทบุรี ตั้งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา พร้อมบริการร้านสะดวกซัก บาว คาเฟ่ สะดวกซัก” นอกจากนี้เตรียมขยายสาขาอีก 2 แห่ง ได้แก่ ซีเจ มอร์ สาขาอุทัยที่ พระนครศรีอยุธยา และ ซีเจ มอร์ สาขาจรัญสนิทวงศ์ 13

ผลประกอบการของ ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป ปี 2562 มีรายได้รวม 13,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 61 ที่มีรายได้ 11,500 ล้านบาท เติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2558 มีรายได้เพียง 7,100 ล้านบาท คาดปีนี้ จะมีรายได้ 17,000 ล้านบาท 

ซีพีเอฟ ติดอันดับดัชนีความยั่งยืน DJSI ต่อเนื่อง ปีที่ 6

0

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI (Dow Jones Sustainability Indices) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ประเภทดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) สะท้อนความมุ่งมั่นของซีพีเอฟในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทุกมิติทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เป็นการตอกย้ำการดำเนินงานของบริษัทฯด้วยความรับผิดชอบ จากการบริหารจัดการกระบวนผลิตอาหารปลอดภัยตลอดห่วงโซ่การผลิตและใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหาร

DJSI เป็นดัชนีที่ใช้ประเมินประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทชั้นนำระดับโลก จัดทำขึ้นโดย S&P Global โดยเชิญบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ทั่วโลกกว่า 3,500 แห่งใน 61 กลุ่มอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประเมินผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ครอบคลุม 3 มิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และเป็นดัชนีที่นักลงทุนทั่วโลกใช้ประกอบในการตัดสินใจลงทุน

ในปีนี้ ซีพีเอฟ มีความโดดเด่นในหลายด้าน เช่น การเคารพสิทธิมนุษยชน, สุขภาพและโภชนาการ และการบริหารจัดการนวัตกรรม เป็นต้น โดยในเรื่องสิทธิมนุษยชน ซีพีเอฟได้ดำเนินการตรวจประเมิน (Due Diligence Process) เป็นประจำทุก 3 ปี ประกอบด้วยกระบวนการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน การบริหารจัดการความเสี่ยง การติดตามและรายงานผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งครอบคลุมทุกสายธุรกิจในกิจการประเทศไทย ตลอดจนการคิดค้นและพัฒนาอาหารเพื่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการ ถือเป็นหัวใจในการผลิตอาหารมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบัน มากกว่า 30% ของผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นสุขโภชนาการ สุขภาพและสุขภาวะที่ดี

โดยซีพีเอฟ มีการวางแผนและกำหนดกลยุทธ์ความยั่งยืนระยะยาวในการดำเนินธุรกิจ ภายใต้กลยุทธ์สู่ความยั่งยืน 3 เสาหลัก ประกอบด้วย อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน ดินน้ำป่าคงอยู่ สอดคล้องตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) อย่างต่อเนื่อง

บาริสต้าสูงวัย กับโอกาสที่ได้รับ และรู้จักคุณค่าในตัวเองอีกครั้ง

0

การเปิดโอกาสให้คนสูงวัยได้แสดงศักยภาพสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ ได้มีงานทำ เป็นเรื่องที่ดีสำหรับสังคมไทยในปัจจุบัน  ก่อนหน้านี้ สังคมมักมองวัยสูงอายุว่าเป็นวัยที่เหมาะกับการอยู่บ้าน เลี้ยงดูลูกหลาน ไม่ต้องออกไปทำงาน ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว ผู้สูงวัยยังมีศักยภาพ สามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเอง ไม่ต้องเป็นภาระให้กับคนรอบข้าง

แต่ด้วยตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้โอกาสการหางานทำ เป็นไปได้ยาก นายจ้างก็ต้องการคนทำงานวัยหนุ่มสาว แต่เมื่อประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้เริ่มมีหลาย ๆ บริษัท ให้ความสำคัญกับคนสูงวัยว่ายังมีศักยภาพ และเปิดโอกาสรับคนสูงวัยให้ทำงาน เช่นเดียวกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน ) หรือ โออาร์ ที่ให้โอกาสกลุ่มผู้สูงวัยได้กลับมาทำงานในร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน เพื่อการสร้างโอกาส หรือคาเฟ่ อเมซอน ฟอร์ แช้นส์ (Café Amazon for Chance) ที่สาขากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ละออ จันทภาส หรือ แม่ต้อ ผันตัวเองจากอาชีพครูในโรงเรียนเอกชนมาเป็นบาริสต้าสูงวัยคอยให้บริการ สร้างสรรค์กาแฟรสชาติเข้มข้นหอมกรุ่นได้มาตรฐานไว้คอยบริการลูกค้า “แม่ต้อ” เล่าให้ “บิ๊กเกรียน” ฟังว่าเมื่อก่อนตัวเองเป็นคุณครูสอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง แต่เมื่อเกษียณออกมาก็อยากมีงานทำต่อ อยากมีรายได้ จึงไปติดต่อกรมจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และทิ้งประวัติไว้

ละออ จันทภาส หรือ แม่ต้อ บาริสต้าสูงวัย คาเฟ่ อเมซอน ฟอร์ แช้นส์ (Café Amazon for Chance) อดีตคุณครูโรงเรียนเอกชน

ใช้ชีวิตหลังเกษียณผ่านมา 5 เดือน จนวันหนึ่งได้รับโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาสอบถามแม่ต้อว่า สนใจอยากชงกาแฟมั๊ย พอดีทาง คาเฟ่ อเมซอน มีโครงการรับผู้สูงวัยเข้าทำงาน แม่ต้อจึงตอบตกลง

เมื่อตอบตกลงที่จะทำงานนี้ เจ้าหน้าที่ก็มีการชี้แจงรายละเอียด รูปแบบการทำงาน และทางด้านของ คาเฟ่ อเมซอน ก็ส่งตัวแม่ต้อไปฝึกอบรมการชงกาแฟให้ได้มาตรฐาน

“งานแรกที่ทำ เริ่มจากฝึกชงกาแฟตามสูตร คาเฟ่ อเมซอน ทั้งการตวงกาแฟ ชงกาแฟ จากขั้นตอนแรกไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย และที่สำคัญคือต้องจำสูตรกาแฟสูตรต่าง ๆ ให้ได้ และได้มีการทดสอบสูตรกาแฟด้วย ก็ค่อนข้างยาก เพราะอายุเยอะ แต่ไม่มีอะไรเกินความพยายาม”

เมื่อผ่านการฝึกฝนจากทีมงาน AICA แล้ว สามารถเริ่มงานประจำที่สาขา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และทำงานจนถึงทุกวันนี้ ต้องขอบคุณ โออาร์ ที่ให้โอกาสคนสูงวัยอย่างแม่ต้อได้มีงานทำ มีรายได้เลี้ยงดูตัวเอง และจะทำงานตรงนี้จนกว่าจะทำไม่ไหว

“การที่ โออาร์ ให้โอกาส เป็นเรื่องที่ดี ในการดูแลผู้สูงวัยได้มีงานทำ จากปกติ คนจะมองว่าผู้สูงวัยควรที่จะพักผ่อนได้แล้ว แต่บางคนยังมีกำลัง ยังมีแรงที่จะทำงานได้ ก็ไม่อยากที่จะพัก อยากที่จะทำงาน มีรายได้ อีกทั้งการดูแลที่ดีของ โออาร์ ก็ช่วยให้มีกำลังใจในการทำงาน เมื่อผู้สูงวัยคนอื่น ทราบว่า โออาร์ เปิดโอกาสรับคนสูงวัยเข้าทำงาน ก็มาสมัครงานเป็นจำนวนมากอยากให้ โออาร์ ให้โอกาสคนสูงอายุต่อไปเรื่อย ๆ” แม่ต้อบอก

ผู้สูงวัยอีกท่านที่ได้รับโอกาส คือ แม่รัตน์ รัตนา วิริยะเวสม์กุล อดีตพนักงานบัญชีบริษัทเอกชนข้ามชาติ ที่ทำงานมานานกว่า 20 ปี

แม่รัตน์ รัตนา วิริยะเวสม์กุล อดีตพนักงานบัญชีบริษัทเอกชนข้ามชาติ

เมือก่อนกิจวัตรประจำวัน คือ ตื่นเช้าไปทำงาน เย็นมาก็กลับบ้าน ดูแลคุณแม่ จนอายุล่วงเลยมาจนเกษียณ ตอนแรกแม่รัตน์ ตั้งใจจะอยู่บ้าน เลี้ยงดูคุณแม่เพียงอย่างเดียว ด้วยเงินที่ได้หลังเกษียณ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เงินหลังเกษียณก็เริ่มลดลง ไม่มีรายได้ใหม่เพิ่มขึ้น สักวันเงินก็จะหมด แม่รัตน์จึงตัดสินใจที่จะหางานทำ

แม่รัตน์มองว่า ตัวเองยังมีศักยภาพยังสามารถที่จะทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ ทำให้แม่รัตน์ตัดสินใจไปฝากประวัติที่กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และในระหว่างนี้ แม่รัตน์ ก็ได้เข้าร่วมการฝึกอบรมของกระทรวงแรงงาน รวมถึงหาความรู้เพิ่มเติมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะเรื่องของคอมพิวเตอร์ ตอนที่มีโทรศัพท์ติดต่อกลับมาบอกว่า มีงานที่เหมาะสำหรับแม่รัตน์ แม่รัตน์ดีใจมาก เพราะด้วยอายุที่มากขึ้น ทำให้หางานยาก แม้ว่าตัวเธอจะมีประสบการณ์ด้านบัญชีกว่า 20 ปีก็ตาม แต่ก็ไม่ค่อยมีบริษัทที่อยากจะรับคนสูงวัยเข้าทำงาน ดังนั้น เมื่อ โออาร์ ยื่นโอกาส แม่รัตน์ ก็พร้อมที่จะศึกษาเรียนรู้ เพื่อที่จะทำงาน

“อาชีพบาริสต้ากับพนักงานบัญชี มีความแตกต่างกันมาก แต่แม่รัตน์ก็ทำได้ เพราะทาง โออาร์ ได้เปิดโอกาสให้แม่รัตน์ ได้ทำหลากหลายหน้าที่ ทั้งบาริสต้าชงกาแฟ ไปจนถึงแคชเชียร์คิดเงิน และบางครั้งยังได้นำความรู้ด้านบัญชีมาใช้ในการทำงานอีกด้วย แต่ก็ไม่มีอะไรที่ยากเกินความพยายาม”

“เรื่องที่แม่ต้องพยายามอย่างมากคือ การจำสูตรกาแฟ ที่ต้องเป๊ะ ตอนเรียนก็ต้องจำ กลับบ้านมาก็ต้องทบทวนทุกวัน จนจำได้เพราะสูตรชงกาแฟถือเป็นหัวใจหลัก หากจำสูตรไม่ได้ ทุกอย่างก็จบ ดังนั้น แม่จะต้องทบทวนจนทุกวันนี้ ไม่ว่าจะสั่งอะไร แม่ก็จำสูตรได้หมด แม่ภูมิใจกับอาชีพนี้ เมื่อคนสั่งได้กินกาแฟที่เราทำแล้วมีความสุขแม่ก็ดีใจ”

ขอบคุณ โออาร์ ที่ใส่ใจให้โอกาสคนสูงวัยได้มีงานทำ มีเงินหาเลี้ยงตัวเองได้อีกครั้ง อีกทั้งการดูแลผู้สูงวัยของ โออาร์ ก็ดูแลอย่างดี ทั้งในเรื่องของอุปกรณ์ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับคนสูงวัย มีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำ ทำให้พวกแม่ได้กลับมาทำงานอีกครั้ง

พ่อหนึ่ง ธานินทร์ จิตระพันธุ์ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ทำงานมาหลากหลายอาชีพ ทั้ง ติวเตอร์ พ่อค้า ครูสอนผู้ด้อยโอกาสในสังคม เป็นอีกคนที่ได้รับโอกาสเข้ามาทำงานใน คาเฟ่ อเมซอน ฟอร์แชนส์ พ่อหนึ่งเล่าว่า ด้วยวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานจนอายุเลย 60 ปี และทำมาหลากหลายอาชีพ ก็ไม่เคยคิดว่า วันหนึ่งจะได้รับเลือกให้เข้ามาทำงานในบริษัทขนาดใหญ่แบบนี้ เพราะที่ผ่านมาบริษัทใหญ่ ๆ มักจะไม่เปิดโอกาสให้คนสูงวัยได้ร่วมงาน แม้คน ๆ นั้นจะมีศักยภาพในการทำงาน

ธานินทร์ จิตระพันธุ์ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ทำงานมาหลากหลายอาชีพ ทั้ง ติวเตอร์ พ่อค้า ครูสอนผู้ด้อยโอกาสในสังคม

คนสูงวัย ไม่จำเป็นที่ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน แต่คนสูงวัย บางคนที่ดูแลสุขภาพดี แข็งแรง ก็ทำงานได้ไม่แพ้หนุ่มสาว แค่วัยล่วงเลยมามากกว่าเท่านั้น ทุกวันนี้ การเข้ามาทำงานใน คาเฟ่ อเมซอน ฟอร์แชนส์ ถือเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมากสำหรับพ่อหนึ่ง เพราะไม่คิดว่าวันหนึ่งพ่อจะได้ทำงานกับองค์กรที่มีชื่อเสียง มีศักยภาพ มีความมั่นคง และยังเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศเช่นนี้

“อยากจะให้ทาง โออาร์ เปิดโอกาสให้คนสูงวัยหรือผู้ด้อยโอกาสทางสังคมต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อคนเหล่านี้ จะได้มีงานทำ มีเงินใช้ ไม่เป็นภาระของใคร ขอบคุณ โออาร์ ที่ให้โอกาสผมด้วยครับ”

จะเห็นได้ว่าการให้โอกาสกลุ่มคนด้อยโอกาสทางสังคม ผู้สูงวัยของ โออาร์ จะช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้แก่กลุ่มคนเหล่านี้ ได้ลุกขึ้นมาหางานทำ เพื่อหาเลี้ยงตัวเอง ไม่เป็นภาระให้กับบุตรหลาน สร้างภูมิคุ้มกันทางด้านจิตใจ ให้กับคนเหล่านี้ ได้มีกำลังใจในการต่อสู้ ใช้ชีวิต หาเงินเลี้ยงตัวเองต่อไป

นอกจาก กลุ่มผู้สูงวัยที่ได้รับโอกาสแล้ว ทาง โออาร์ ยังเล็งเห็นและให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคมกลุ่มอื่น ทั้งผู้พิการทางการได้ยิน ผู้พิการทางการเรียนรู้ และทหารผ่านศึก เพราะการทำให้ทุกคนได้รับโอกาสที่เท่าเทียมและทั่วถึง ในการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างโอกาส สร้างงาน อย่างยั่งยืน ล้วนเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ของ โออาร์ ในการทำธุรกิจบนฐานของการสร้างคุณค่าให้กับสังคมชุมชน เพื่อเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

ทีมศก.ทันสมัย ชูศาสตร์พระราชา เศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนธุรกิจเกษตร เพชรบุรี ผ่านเทคโนโลยียุคใหม่

0

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนธุรกิจเกษตร (Agribusiness) กระทรวงเกษตรฯ พร้อมด้วย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายภูมิสรรค์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ที่ปรึกษารัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เเละนโยบาย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช) นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย โฆษกรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางสาวอรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางสาวชมพูนุท นาครทรรพ คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมฯ รวมถึงตัวแทนจากทีมเศรษฐกิจทันสมัยได้แก่ นายอรรถ เหมวิจิตรพันธ์ นายปริญญา พรศิริชัยวัฒนา และ รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ลงพื้นที่ดูงานสวนป่าหนองซอท่ายาง ฟื้นฟูสภาพ ดิน น้ำ ป่า พัฒนาชีวิต ตามแนวพระราชดำริ ณ ไร่ชีวิตพอเพียงเพ็ชร์บุรี จ.เพชรบุรี

ไร่ชีวิตพอเพียงเพ็ชร์บุรี เป็นวิถีชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงบนผืนเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวพระราชดำริ ที่ทำเกษตรผสมผสาน เพื่อใช้เป็นแหล่งผลิตอาหาร และพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกร ถือเป็นงานขยายผลการพัฒนาแปลงเกษตรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และการจัดการบริหารชุมชนโดยให้ชุมชนมีส่วนร่วม พึ่งพาตนเองได้ โดยกิจกรรมการดูงานในครั้งนี้ยังได้สัมผัสถึงการทำเกษตรแปรรูป วิถีภูมิปัญญาพื้นถิ่นเมืองเพชร ลองชิมอาหารคาวหวานภูมิปัญญาชาวบ้าน และการทำของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันด้วยงานมือของชุมชนไร่โคกและชุมชนธงไชย ทั้งนี้ ไร่ชีวิตพอเพียงเพ็ชร์บุรี มีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาคน พัฒนาชุมชนแข็งแรง สร้างภูมิคุ้มกันแผ่นดิน

นายปริญญ์ได้แสดงความชื่นชมไร่ชีวิตพอเพียงเพ็ชร์บุรี ที่น้อมนำแนวพระราชดำริ หลักเศรษฐกิจพอเพียง มาต่อยอดฟื้นฟูแก้ปัญหาดินและน้ำ เพื่อพัฒนาที่ดินทำกิน สร้างคุณภาพชีวิตให้ชาวบ้านในชุมชน ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสังคม บนพื้นฐานของชุมชนที่แสวงหาความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันสร้างให้ชุมชนเข้มแข็ง สนองพระราชปณิธานในหลวงรัชกาล 9 สานฝันสร้างไร่ฯ ช่วยเหลือชาวบ้าน เพิ่มแหล่งเรียนรู้ อย่างสร้างสรรค์ บนวิถีชีวิตภูมิปัญญา ซึ่งเป็นโครงการที่ดีที่สร้างเสริมประสบการณ์ องค์ความรู้ได้อย่างต่อเนื่อง และขับเคลื่อนจนเป็นต้นแบบสถานที่ศึกษาดูงาน ด้านปราชญ์ชาวบ้าน และเป็นคลังอนุรักษ์สืบสานภูมิปัญญาของเมืองเพชรบุรี โดยทางทีมเศรษฐกิจทันสมัยจะนําเอาองค์ความรู้ด้านการเงินยุคใหม่ ระบบการตลาดออนไลน์&ออฟไลน์ (omnichannels) การใช้พลังงานบริสุทธิ์ (โซลาร์เซลล์ทันสมัย) การบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาชุมชนและสร้างผู้ประกอบการเกษตรรุ่นใหม่ให้สามารถเพิ่มรายได้ให้ชุมชนต่อไป

ด้าน นางสาวดำรัสสิริ ถิรังกูร ผู้ก่อตั้งและบริหารไร่ชีวิตพอเพียงเพ็ชรบุรี ได้กล่าวด้วยความน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่เป็นแรงบันดาลใจให้สร้างไร่ชีวิตพอเพียงเพ็ชรบุรี เพื่อสร้างชุมชนแข็งแรง เกื้อกูลงานพัฒนาคนตั้งแต่เกิดถึงตาย โดยมุ่งพัฒนาคน ให้ลูกหลานเกษตรกรพ้นความลำบากภายใต้วิถีชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงบนผืนเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่จะพัฒนาคน พัฒนาชุมชนให้แข็งแรง เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แผ่นดิน สำหรับไร่ชีวิตพอเพียงเพ็ชรบุรีเป็นองค์กรเพื่อสังคม ดำเนินงานพัฒนาชุมชนบนรากฐานเศรษฐกิจพอเพียงมีพื้นที่ 3 แห่งใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ สวนป่าหนองซอท่ายาง อู่ข้าวอู่น้ำธงไชย และคลังอนุรักษ์สืบสานภูมิปัญญาของเมืองเพชรบุรี

ซีพีเอฟ ยกระดับมาตรฐานแรงงานในห่วงโซ่อุปทานไก่เนื้อไทยสู่สากล

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมแสดงเจตจำนงในฐานะเป็นสมาชิกของสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย ในการสร้างงานที่ดีและมีคุณค่า ส่งเสริมการจัดการด้านแรงงานอย่างรับผิดชอบในห่วงโซ่อุปทานไก่เนื้อไทยสู่มาตรฐานสากล ในพิธิเปิดการอบรมวิทยากรต้นแบบ (Training of Trainer) การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับฺผิดชอบ จัดโดย องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนในการดำเนินโครงการฯ จากสหภาพยุโรป โดยมี นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจสัตว์บก ซีพีเอฟ รับมอบปฏิญญาไตรภาคีว่าด้วยหลักการเกี่ยวกับบรรษัทข้ามชาติและนโยบายทางสังคม (MNE Declaration) จากนายแกรม บักเลย์ ผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศประจำประเทศไทย กัมพูชา และ สปป. ลาว ที่โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพ

นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกล่าวเปิดงาน ว่า รัฐบาลไทยและกระทรวงแรงงานให้ความสำคัญและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในด้านการดูแลแรงงานและสิทธิมนุษยชน และในวันนี้เป็นโอกาสอันดี ที่แสดงให้เห็นว่า สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย และภาคธุรกิจชั้นนำ 3 บริษัท คือ ซีพีเอฟ เบทาโกร และคาร์กิล ตระหนักถึงความสำคัญของกฎหมายแรงงานและการสร้างงานที่มีคุณค่า สร้างสภาพการทำงานที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งนอกจากจะยกระดับคุณภาพของสินค้าตอบรับความคาดหวังของผู้บริโภคและสังคมได้แล้ว ยังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ด้านทรัพยากรบุคคล ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแรงงานตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยดูแลพนักงานทุกเชื้อชาติและทุกระดับในสถานประกอบการ โรงงาน และฟาร์มอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม ผ่านการรับรองมาตรฐานแรงงานไทย (มรท. 8001) ของกระทรวงแรงงาน และยังส่งเสริมให้เกษตรกรในโครงการคอนแทร็คฟาร์มยึดตามแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี หรือ Good Labour Practice (GLP) ตั้งแต่ปี 2559 โดยที่บริษัทเข้าไปติดตามประเมินผลเป็นประจำทุกปี

ซีพีเอฟยินดีที่ ILO ซึ่งเป็นองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ มาช่วยส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านแรงงานขององค์กรเอกชนไทยได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศมากขึ้น เป็นการช่วยยกระดับมาตรฐานแรงงานในห่วงโซ่อุปทานไก่เนื้อของไทยสู่สากล โดยเฉพาะสหภาพยุโรปซึ่งเป็นตลาดสำคัญที่นำเข้าไก่เนื้อไทย หลังจากการอบรมฯ วิทยากรต้นแบบของบริษัทฯ จะนำความรู้และแนวทางการปฏิบัติที่ดีต่อแรงงานขององค์กรระดับโลกไปถ่ายทอดให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องในองค์กรได้นำไปใช้บริหารจัดการแรงงานของซีพีเอฟอย่างถูกต้อง ก้าวสู่มาตรฐานแรงงานสากลอย่างยั่งยืน

วิทยากรต้นแบบของซีพีเอฟจะนำองค์ความรู้ที่ได้รับจากการอบรมไปถ่ายทอดให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องของโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ 4 แห่ง ประกอบด้วย โรงงานแปรรูปไก่เนื้อนครราชสีมา โรงงานแปรรูปไก่เนื้อสระบุรี โรงงานแปรรูปไก่เนื้อมีนบุรี และโรงงานแปรรูปเนื้อไก่-เป็ดบางนา และจะขยายต่อไปถึงฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของบริษัท และเกษตรกร เพื่อให้มั่นใจว่าแรงงานได้รับการปฏิบัติที่ดีตามหลักสิทธิมนุษยชน ตลอดห่วงโซ่การผลิตไก่เนื้อของบริษัท ตลอดจนการส่งเสริมการทำงานร่วมกันบนพื้นฐานของความเข้าใจและเคารพในความหลากหลาย ไม่มีการใช้แรงงานบังคับ แรงงานเด็ก หรือแรงงานผิดกฎหมายทุกรูปแบบ ตลอดจนร่วมมือกับทุกภาคส่วน ภาครัฐ ภาคประชาสังคม ขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของแรงงานในห่วงโซ่การผลิตอาหารอย่างต่อเนื่อง

ทิพยประกันภัย โชว์ผลประกอบการ 3 ไตรมาส กำไรพุ่ง 1.6 พันล้านบาท

0

จับมือพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มช่องทางการตลาด-รุกตลาดดิจิทัล ควบคู่กับการดูแลสังคม

ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TIP เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานประจำงวด 9 เดือน สิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2563 ว่า มีกำไรสุทธิกว่า 1,610.04 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.68 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เพิ่มขึ้น 13.91%

ปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาจากบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดี สามารถทำเบี้ยประกันภัยรับรวมงวด 9 เดือนกว่า 16,579.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 3,187.57 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23.80%  จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 13,391.98 ล้านบาท สำหรับเบี้ยประกันภัยรับจำนวน 16,579.55 ล้านบาท ประกอบด้วย เบี้ยประกันอัคคีภัย  เพิ่มขึ้น 6.23%  เบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่ง เพิ่มขึ้น 47.06% เบี้ยประกันภัยรถยนต์ เพิ่มขึ้น 25.20%  และเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด เพิ่มขึ้น 25.46%

ด้านฐานะการดำเนินงานของบมจ.ทิพยประกันภัย ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 ยังคงดำรงฐานะความมั่นคงและแข็งแกร่ง ด้วยสินทรัพย์รวม 41,359.49 ล้านบาท หนี้สินรวม 33,783.97ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 7,575.52 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ผลการดำเนินงานของ TIP ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ว่าแม้ตลอดปีที่ผ่านมาธุรกิจต้องเผชิญกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  แต่ TIPได้ปรับตัวเพื่อรองรับกับภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงเข้าสู่วิถีใหม่มากขึ้น โดนออกแบบผลิตภัณฑ์และพัฒนาการให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าให้สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้มากขึ้น

ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวกรมธรรม์ใหม่ “TIP Personal Cyber” หรือประกันภัยไซเบอร์ส่วนบุคคล เพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคในสังคมยุคดิจิทัลที่ใช้จ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยกรมธรรม์ “TIP Personal Cyber” จะให้ความคุ้มครองธุรกรรมทางการเงินที่ใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ในกรณีที่เกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นการถูกขโมยข้อมูลส่วนตัว รหัสผ่านบนบัตรและนำไปใช้  รวมถึงกรณีถูกฉ้อโกงจากการซื้อของ หรือขโมยเงินผ่านช่องทางออนไลน์ และยังมีการประกันภัยไซเบอร์สำหรับองค์กร โดยบริษัทได้จับมือกับ บริษัท  ACIS Professional Center ที่ปรึกษาเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT )ที่มีชื่อเสียง  เพื่อร่วมกันปิดความเสี่ยง ทางไซเบอร์ให้กับลูกค้าองค์กร 

จากการออกแบบสินค้าและพัฒนาการให้บริการที่สอดคล้องต่อความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง จนได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นอย่างดี ล่าสุด TIP ยังได้รับเลือกจากสำนักงาน คปภ. รับรางวัลเกียรติยศ บริษัทประกันวินาศภัยที่มีการบริหารงานดีเด่น อันดับ 1 จากงานประกันภัยดีเด่นครบวงจร (Prime Minister’s Insurance Awards 2020) สะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ ฐานะทางการเงินมั่นคง และธรรมาภิบาลเป็นเลิศ

ขณะเดียวกัน บมจ.ทิพยประกันภัย ได้ตระหนักถึงความเดือfร้อนของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 กระทบต่อราคาสินค้าเกษตรและรายได้ของเกษตรกร จึงได้จัดโครงการ “เกษตรเป็นสุข” เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยมุ่งเน้นการ “เพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย สลายความเสี่ยง” และทำให้เกษตรกรมีเงินเหลือเก็บเพื่อใช้ในการดำรงชีพมากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้เกษตรกรนำผลผลิตทางการเกษตรมาแลกเปลี่ยนเป็นกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัท ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มช่องทางการกระจายสินค้าหรือผลิตผลทางการเกษตรแล้ว ยังช่วยให้เกษตรกรได้รับความคุ้มจากการเสี่ยงภัยต่างๆ อีกด้วย

สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 นั้น จะยังคงเดินหน้าสานต่อนโยบายการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ รวมทั้งการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดและเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้า ล่าสุดได้ร่วมกับบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดโครงการ TIP@pttstation ขยายจุดบริการอำนวยความสะดวกเพิ่มทางเลือก ให้ลูกค้าในการซื้อกรมธรรม์ ภายในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station เป็นต้น

สุกรไทยยืนหนึ่งแถวหน้าเอเชีย ย้ำ PRRS-ASF ไม่ติดคน

0

บทความโดย ผศ. ดร. นายสัตวแพทย์ ดุสิต เลาหสินณรงค์ และ รศ. ดร. นายสัตวแพทย์ กัมพล แก้วเกษ หน่วยสร้างเสริมสุขภาพและผลผลิตสุกร ภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกและการสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

การเลี้ยงสุกรของประเทศไทยมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของไทยไม่น้อย ระบบการเลี้ยงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเป็นระดับแนวหน้าของภูมิภาคเอเชีย สัตวแพทย์สุกรของไทยได้รับความไว้วางใจให้เป็นที่ปรึกษาในหลายประเทศของภูมิภาคนี้ เช่น จีน เวียดนาม กัมพูชา ขณะที่การผลิตสุกรส่วนใหญ่ของบ้านเรา ยังเป็นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งมีบริโภคอย่างเพียงพอ ไม่เคยขาดแคลน

แม้สุกรไทยจะยืนหนึ่งเป็นสุกรที่มีมาตรฐานสูงของเอเชีย แต่ในประเทศเรากลับมีข่าวเท็จเกี่ยวกับโรคระบาดในสุกรเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์หลายครั้ง อาทิ ข่าวสุกรป่วยเป็นเอดส์ ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงคือ โรคเอดส์ไม่ใช่โรคของสุกร และไม่มีโรคนี้ในตำราทั้งไทยและเทศ ซึ่งเป็นไปได้ว่าข่าวเท็จที่เกิดขึ้นนี้ มุ่งหวังเพื่อทำให้สูญเสียเสถียรภาพราคาสุกร เนื่องจากจะทำให้ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งตระหนก เป็นผลให้พ่อค้าคนกลางอ้างภาวะตลาด และกดราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มของเกษตรกร แต่นำไปขายต่อในราคาเนื้อสุกรที่ปรับสูงขึ้น โดยอ้างว่าสุกรตายมากเนื่องจากโรคระบาด ทำให้พ่อค้าได้กำไรแต่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรขาดทุน หรือแม้แต่กรณีข่าวการระบาดของโรค PRRS ในประเทศไทยอย่างที่เกิดขึ้นล่าสุดใน จ.สระแก้ว และโรค ASF ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความตระหนก และเกรงว่าจะติดต่อสู่คนได้จากการบริโภคเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ ซึ่งขอยืนยันซ้ำอีกครั้งว่าโรคทั้งสองของสุกรนี้ ไม่ติดต่อสู่คน และขออธิบายเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้

โรค PRRS (พีอาร์อาร์เอส หรือ เพิร์ส) เป็นโรคติดต่อในสุกรเท่านั้น เกิดจากเชื้อไวรัส ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินหายใจของสุกร โรคนี้พบราว พ.ศ.2523 จนกระทั่งปี พ.ศ.2534 ได้มีการบัญญัติชื่อโรคนี้ว่า “Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome” หรือ PRRS โรคนี้พบได้ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เป็นโรคที่ก่อปัญหาและความเสียหายให้กับการเลี้ยงสุกรจนถึงปัจจุบัน สำหรับการป้องกันนั้นปัจจุบันมีวัคซีนจำหน่าย และเกษตรกรส่วนใหญ่ใช้วัคซีนนี้ ซึ่งช่วยลดการสูญเสียได้ ทั้งนี้ โรคนี้ไม่เคยมีรายงานการติดต่อสู่คน จึงไม่ต้องกังวลต่อการบริโภค

ข่าวเท็จที่ส่งต่อกันมานั้น จะเชื่อมโยงโรค PRRS กับโรคเอดส์ โดยอ้างว่าสุกรเป็นเอดส์ห้ามบริโภค ทั้งสองโรคนี้เหมือนกันที่ไวรัสก่อโรคเป็นชนิด RNA สำหรับความแตกต่างระหว่างโรค PRRS กับโรคเอดส์มีหลายประการ สิ่งแรกคือ ไวรัสก่อโรคเป็นคนละชนิดกัน ตามที่ทราบกันว่าโรคเอดส์นั้นเกิดจากเชื้อไวรัส HIV อยู่ในวงศ์ Retroviridae ขณะที่ไวรัส PRRS อยู่ในวงศ์ Arteriviridae สำหรับอาการของโรคก็แตกต่างกัน แม้ว่าไวรัสทั้งสองนี้จะโจมตีระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิคุ้มกันถูกกด (immunosuppression) แต่โรค PRRS จะมีอาการหลัก 2 ระบบคือ ระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินหายใจ กล่าวคือ แม่สุกรจะพบปัญหาระบบสืบพันธุ์เป็นหลัก ขณะที่สุกรขุนจะมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ ต่างจากโรคเอดส์ที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เสี่ยงต่อการติดเชื้อระบบต่าง ๆ ไม่เน้นระบบใดระบบหนึ่ง ดังนั้นโรค PRRS จึงไม่ใช่โรคเอดส์ในสุกร และไม่ติดต่อก่อโรคในคน

ส่วนโรค ASF (เอเอสเอฟ) เป็นโรคจากเชื้อไวรัสเก่าแก่โรคหนึ่งของสุกร พบครั้งแรกปี พ.ศ.2452 ที่ประเทศเคนยา มีชื่อเต็มว่า “African Swine Fever” เนื่องจากชื่อโรคภาษาอังกฤษตรงกับโรคสุกรโรคหนึ่งคือ “Swine Fever” หรือ “Classical Swine Fever” (CSF) โดยโรคนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า hog cholera ซึ่งคำว่า “cholera” แปลว่า “อหิวาตกโรค” ดังนั้น จึงบัญญัติชื่อโรค ASF ภาษาไทยว่า “โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร” โดยโรคนี้ยังไม่มียาและวัคซีน เป็นโรคที่สร้างความเสียหายแก่การเลี้ยงสุกรอย่างมาก หลายประเทศที่มีโรคนี้ระบาด ทำให้สุกรตายอย่างใบไม้ร่วง และยากที่จะกำจัด ด้วยชื่อโรคทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดว่า โรคนี้จะติดต่อสู่คนได้ และก่อให้เกิดโรคอหิวาตกโรค เนื่องจากชื่อโรคมีคำว่า “อหิวาต์” ซึ่งเป็นโรคที่ร้ายแรงในคน เป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตได้ จึงทำให้ผู้ไม่หวังดีสร้างข่าวเท็จ ทั้งนี้ โรคอหิวาตกโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ขณะที่โรค ASF เกิดจากเชื้อไวรัส โรค ASF นี้มีมานานกว่าร้อยปี แต่ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโรคนี้ ดังนั้น จึงไม่ใช่โรคอหิวาห์ตกโรค และไม่ติดต่อก่อโรคในคน

โรค ASF นี้มีการระบาดในประเทศจีนเมื่อปีพ.ศ.2561 ทำให้โรคนี้มีความสำคัญต่อประเทศไทยมากขึ้น อย่างไรก็ตามประเทศไทยมีการเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว มีมาตรการการเฝ้าระวังและป้องกันโรค โรคนี้ระบาดเข้าสู่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ เวียดนาม ลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเมียนมา ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ยังคงป้องกันโรคนี้ได้ และยังไม่มีการระบาด ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันทุกภาคส่วนทั้ง หน่วยงานรัฐ (นำโดยกรมปศุสัตว์) หน่วยงานเอกชน (ฟาร์มสุกร) มหาวิทยาลัย และสัตวแพทย์สุกร

ความที่โรคนี้ยังไม่สามารถพัฒนาวัคซีนเพื่อใช้ป้องกันโรคได้ ไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัส ดังนั้น แนวทางเดียวคือการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (biosecurity) ประเทศไทยสามารถดำรงสถานภาพการเป็นประเทศปลอดโรค ASF ได้ จึงส่งผลดีต่อธุรกิจการเลี้ยงสุกรและเศรษฐกิจของประเทศ ช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศด้วยการส่งออกสุกรมีชีวิต เนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ ลดภาระของรัฐบาลในภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้เป็นอย่างดี.

ข้าวตราฉัตร เปิดตัวนวัตกรรมถุงข้าวลดโลกร้อน ลดขยะ แบรนด์แรกของไทย

0

นายฐิติ ลุจินตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจการค้าข้าวและอาหารในประเทศและต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจข้าวตราฉัตร เปิดเผยว่า ข้าวตราฉัตร มีเป้าหมายความยั่งยืนที่ยกเลิกการใช้พลาสติกที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ภายในปี 2568 ทั้งนี้ จากยุทธศาสตร์ความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรสหประชาชาติ ทั้ง 17 ประการ กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือข้าวตราฉัตร ได้นำนโยบายนี้มาปรับใช้ภายในองค์กร จึงเกิดเป็นปณิธานทั้ง 3 ข้อ 1. มุ่งมั่นที่จะยกเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีปัญหา หรือไม่จำเป็นภายในองค์กร 2. เปลี่ยนการใช้บรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งไป สู่รูปแบบที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ และ3. 100% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่นำมาใช้ ต้องสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

ปัจจุบัน ถุงข้าวตราฉัตร ได้ปรับเปลี่ยนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ถุงข้าวตราฉัตรสามารถนำไปรีไซเคิลได้อย่างสมบูรณ์ โดยตั้งเป้าพัฒนาต่อเนื่องในอนาคตให้ถุงข้าวตราฉัตรมีประสิทธิภาพสูงและแข็งแรงยิ่งขึ้น ในขณะที่ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้านการลดใช้ปริมาณพลาสติกและพลังงาน ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสาเหตุของภาวะโลกร้อน

ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือนี้ ข้าวตราฉัตรได้พัฒนาถุงข้าวรุ่นใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เพื่อวางจำหน่ายในไตรมาสแรกของปี 2564 ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดเป็นแบรนด์แรกในไทย โดยผลิตถุงข้าวจากเม็ดพลาสติก INNATE™ คุณภาพสูงของ Dow ด้วยเทคนิค ดาวน์ เกจจิ้ง ทำให้ถุงข้าวสารบางลงจากเดิม 110 ไมครอน เหลือ 90 ไมครอน แต่แข็งแรง ทนทานยิ่งขึ้นกว่าเดิม สามารถทนการตกกระแทกจากความสูง 4 เมตรได้โดยไม่แตกรั่ว พร้อมระบบเก็บล็อคความสดใหม่ และกลิ่นหอมของข้าวได้ดีดังเดิม

นอกจากนี้ยังช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนด้วยการประหยัดปริมาณพลาสติก และลดพลังงานในกระบวนการบรรจุด้วยการใช้อุณหภูมิที่ต่ำลงในการปิดปากถุงข้าว

ในช่วงเริ่มต้นคาดว่าจะลดปริมาณการใช้พลาสติกได้กว่า 300 ตันต่อปี ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 600 ตันคาร์บอนต่อปี เทียบเท่ากับปลูกต้นไม้กว่า 600 ไร่ และเป็นการส่งเสริมการรีไซเคิล เนื่องจากเป็นถุงฟิล์มหลายชั้นที่ผลิตจากพลาสติกโพลีเอทิลีนชนิดเดียวที่รีไซเคิลได้ง่าย อีกทั้งยังเข้าร่วมโครงการ “มือวิเศษ x วน โดย PPP Plastics” ร่วมรณรงค์ให้ผู้บริโภคนำถุงข้าวตราฉัตรมาบริจาคที่จุดดรอปพอยต์ของโครงการฯ กว่า 300 จุดทั่วกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง หรือรวบรวมส่งทางไปรษณีย์ เพื่อให้ถุงข้าวตราฉัตรเข้าสู่วงจรเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างสมบูรณ์ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาขยะพลาสติกตกค้างในสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”

นายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหารกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย เปิดเผยว่า Dow รู้สึกยินดีที่ข้าวตราฉัตร ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยร่วมกันพัฒนาถุงข้าวที่รีไซเคิลได้ง่าย และ ยังมุ่งมั่นประหยัดทรัพยากร และลดโลกร้อน ความร่วมมือนี้สอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของ Dow ในการต้านโลกร้อน ด้วยการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้ง การลดขยะพลาสติก และ ส่งเสริมวงจรรีไซเคิล

นายภราดร จุลชาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีแพค ประเทศไทย จำกัด ในเอสซีจีพี (SCGP) กล่าวว่า เอสซีจีพีให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและการดูแลสิ่งแวดล้อม ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน และนำแนวทางของระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้การใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในด้านการออกแบบสินค้าและบริการให้เจ้าของสินค้า และผู้บริโภคได้รับความสะดวก ใช้งานง่าย ใช้ทรัพยากรน้อยแต่คงทนแข็งแรง ใช้ซ้ำและรีไซเคิลได้ และ ในด้านกระบวนการ มีการปรับปรุงการผลิตและการดำเนินการให้เกิด Circular Economy ตลอดทั้ง Supply Chain เช่น การลดการใช้น้ำและพลังงานในกระบวนการผลิต

ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถนำถุงข้าวตราฉัตรทิ้งลงในถังรีไซเคิลตามปกติ หรือ นำมาบริจาคที่ “ถังวนถุง” ในห้างสรรพสินค้า อาทิ มาบุญครอง เซ็นทรัล เดอะมอลล์ เทสโก้ โลตัส และปั๊มน้ำมันบางจาก เป็นต้น (เช็คจุดตั้ง “ถังวนถุง” ใกล้บ้านได้ที่ shorturl.at/wBGKV) หรือ รวบรวมส่งทางไปรณีย์มาที่ “โครงการ วน” บริษัท ทีพีบีไอ จำกัด (มหาชน) 42/174 ม.5 ต.ไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม 73210 โดยถุงข้าวตราฉัตรที่ประชาชนนำมามอบให้ “ถังวนถุง” จะมีมูลค่า กิโลกรัมละ 5 บาท เป็นเงินบริจาคให้กับมูลนิธิด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป