Home Blog Page 367

รถไฟฟ้าบีทีเอส วิ่งบริการครบ 3.5 พันล้าน เที่ยวคน เตรียมเปิด 7 สถานีใหม่ปลายปีนี้

0

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2563 นี้ รถไฟฟ้าบีทีเอสได้เปิดให้บริการผู้โดยสารครบ 3,500,000,000 เที่ยวคน รวมระยะทางกว่า 104,380,000 กิโลเมตร นับตั้งแต่รถไฟฟ้าบีทีเอสเปิดให้บริการเที่ยวแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2542  จนถึงวันนี้ที่บริษัทก้าวสู่ปีที่ 21

สุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

บีทีเอส ได้ยึดมั่นมาตรฐานในการให้บริการด้านความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง มีจุดมุ่งหมายหลัก เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง พร้อมทั้งช่วยลดปัญหาการจราจร และปัญหามลพิษทางอากาศ  แม้ว่าในช่วงต้นปี 2563 จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นวิกฤติที่ส่งผลกระทบต่อทุกคนในโลกก็ตาม แต่บริษัท ฯ ยังคงอยู่เคียงข้างกับผู้โดยสาร และสามารถก้าวผ่านปัญหาอุปสรรคด้วยกันมาได้อย่างดี จากความร่วมมือของผู้โดยสารทุกท่าน     

ตั้งแต่ปี 2562 ท่ี่ผ่านมา รถไฟฟ้าบีทีเอสได้เริ่มทยอยเปิด โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต – สะพานใหม่- คูคต ได้แก่  สถานีห้าแยกลาดพร้าว , สถานีพหลโยธิน 24 , สถานีรัชโยธิน , สถานีเสนานิคม , สถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และในเดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เปิดสถานีเพิ่มอีก  4  สถานี ได้แก่  สถานีกรมป่าไม้ , สถานีบางบัว , สถานีกรมทหารราบที่ 11  และสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ  รวมระยะทาง 58.42  กิโลเมตร เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี

และในเดือนธันวาคม 2563 นี้ รถไฟฟ้าบีทีเอส เตรียมเปิดให้บริการเพิ่มอีกจำนวน 7 สถานี ต่อจาก สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ ได้แก่ สถานีพหลโยธิน 59 , สถานีสายหยุด , สถานีสะพานใหม่ , สถานีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช , สถานีพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ , สถานีแยก คปอ. และสถานีคูคต รวมระยะทาง 9.8 กิโลเมตร เพื่อเป็นการขยายเส้นทางส่งต่อความสุข  มอบเป็นของขวัญให้แก่ประชาชน ช่วยลดปัญหาการจราจรโดยเฉพาะโซนด้านเหนือซึ่งเป็นประตูสู่กรุงเทพ ฯ เนื่องจากตลอดเส้นทางส่วนต่อขยาย ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต มีทั้งสถาบันการศึกษา ห้างสรรพสินค้า สำนักงานราชการ หมู่บ้าน ชุมชน ซึ่งคาดว่าเมื่อเปิดเดินรถไฟฟ้าได้ครบเรียบร้อยแล้ว จะช่วยบรรเทาการจราจรให้ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เชื่อมโยงการเดินทางครอบคลุมถึง 3 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ โดยจะสามารถรองรับผู้โดยสารที่มาใช้บริการเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,500,000  เที่ยวคนต่อวัน อีกด้วย      

นายสุรพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า ในโอกาสที่รถไฟฟ้าบีทีเอสได้ให้บริการผู้โดยสารครบ 3,500,000,000 เที่ยวคน บริษัทฯ ต้องขอขอบคุณผู้โดยสารทุกท่าน ที่คอยให้การสนับสนุน มาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และพร้อมที่จะปรับปรุงพัฒนาการบริการให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบาย  และมีความปลอดภัยในการใช้บริการให้ดียิ่งขึ้น ตามสโลแกนที่ว่า “LIFT UP YOUR LIFE ความสุขยกระดับของชีวิตวันนี้”

25 โรงงานของ ซีพีเอฟ รับรางวัล CSR-DIW Continuous Award รับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน

0

รายงานข่าวจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า สถานประกอบการ 25 โรงงาน ของ ซีพีเอฟ ได้รับรางวัลในโครงการส่งเสริมโรงงานอุตสาหกรรมให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน ประเภท CSR-DIW Continuous Award จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม มุ่งมั่นรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จัดพิธีมอบรางวัลโครงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมีความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR-DIW) โดยมี นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธี ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดี กรุงเทพฯ

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟเข้าร่วมโครงการ CSR-DIW ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ตั้งแต่ปี 2552 สำหรับปีนี้ มีสถานประกอบการ 25 โรงงานของบริษัทได้รับรางวัล CSR DIW Continuous Award ประจำปี 2563 สะท้อนถึงความตั้งใจอย่างต่อเนื่องในการรักษามาตรฐานการทำงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ที่สำคัญ คือ มีการปฏิบัติตามมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่มีต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง

“การเข้าร่วมโครงการส่งเสริมโรงงานอุตสาหกรรมให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน เป็นตัวชี้วัดว่าบริษัทและพนักงานตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สอดรับกับปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่ซีพีเอฟยึดมั่นในหลัก 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน คือ ต่อประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท ”นายวุฒิชัย กล่าว

นอกจากการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว ซีพีเอฟยังนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ในการบริหารทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้ถูกใช้อย่างคุ้มค่า อาทิ การใช้พลังงานและน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตลอดกระบวนการผลิต ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้งตลอดห่วงโซ่คุณค่า รวมไปถึงการลดปริมาณอาหารส่วนเกินและขยะอาหารในกระบวนการดำเนิน ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีส่วนร่วมอนุรักษ์ ปกป้อง และฟื้นฟูผืนป่าชายเลน และป่าต้นน้ำ ซึ่งเป็นฐานทรัพยากรที่สำคัญของประเทศ และต่อยอดสู่การสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน

ทรูมันนี่ ผนึก ธ.เกียรตินาคินภัทร เปิดบัญชีเงินฝากผ่านแอปฯ ดอกเบี้ยสูง 1.55%

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ทรูมันนี่ ร่วมมือกับ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) อำนวยความสะดวกผู้ใช้ให้สามารถเปิดบัญชีออมทรัพย์ “KKP Start Saving” กับธนาคารเกียรตินาคินภัทรผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet ได้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมมอบดอกเบี้ยเงินฝากสูงถึง 1.55% ต่อปี ตั้งแต่บาทแรก โดยชู 4 จุดเด่น 1. เปิดบัญชีง่ายได้ทุกที่ทุกเวลาไม่ใช้เอกสาร  2. ถอน ฝาก หรือโอนเงินจากบัญชีธนาคารผ่าน TrueMoney Wallet ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งแบบฟรีค่าธรรมเนียม 3. เช็คยอดเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยสะสมแต่ละวัน หรือตรวจสอบประวัติการทำธุรกรรมได้แบบเรียลไทม์ 4. มีความปลอดภัยในการใช้งานระดับสถาบันการเงินชั้นนำตามมาตรฐานของธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยระบบยืนยันตัวตน e-KYC ที่ตรวจสอบสองชั้นด้วยบัตรประชาชนและสแกนใบหน้า 

นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ครั้งนี้ ตอกย้ำว่า ทรูมันนี่ กำลังพัฒนาไปสู่การเป็นผู้นำการให้บริการทางการเงินดิจิทัลที่ตอบรับความต้องการในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ และเปิดยุคการออมแบบ Cashless ซึ่งมอบโอกาสให้ผู้ใช้อีวอลเล็ตสามารถเปิดบัญชีเงินฝากพร้อมรับดอกเบี้ยที่คุ้มค่าได้ง่ายกว่าที่เคย และสามารถโยกเงินเข้าออกระหว่างบัญชีใช้จ่ายในแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet และบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ “KKP Start Saving” ได้สะดวกและรวดเร็ว ผ่านการผสานเทคโนโลยีและศักยภาพของ e-Wallet กับ e-Banking ทั้งนี้ มั่นใจว่าจะกระตุ้นให้ผู้ใช้ทรูมันนี่ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่เกิดการรับรู้และสร้างวินัยการออมแบบ Micro-Saving เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองในอนาคต อีกทั้งตอบโจทย์ไลฟสไตล์แบบ new normal

นายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือกับทรูมันนี่ในการเปิดบริการบัญชี KKP Start Saving  ที่ลดขั้นตอนการเปิดบัญชีแบบเดิมที่ยุ่งยากและเสียเวลา และให้ดอกเบี้ยสูงถึง 1.55% ทำให้ผู้ใช้บริการไม่พลาดโอกาสรับผลตอบแทนเช่นเดียวกับการฝากเงินธนาคาร แม้สำหรับเงินเพื่อการใช้จ่ายในวอลเล็ต โดยธนาคารยังคงไม่หยุดที่จะเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆบน TrueMoney Wallet ให้มากขึ้นเรื่อยๆ ตรงกับเป้าหมายของธนาคารที่ส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภค

ดร. อนุชิต อนุชิตานุกูล ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ธนาคารเชื่อในแนวคิดของ Banking as a Service (BaaS) ที่บริการของธนาคารควรสามารถทำผ่านแพลตฟอร์มที่เหมาะสมใดๆ ก็ได้  เพราะทำให้บริการของธนาคารไปสู่ผู้บริโภคได้มากขึ้นและหลากหลายขึ้นกว่าการจำกัดอยู่ที่สาขาหรือแอปของธนาคารแต่เพียงอย่างเดียว ข้อมูลในระยะที่ผ่านมาชี้ชัดว่าปัจจุบัน มีจำนวนลูกค้าไปใช้บริการที่สาขาของธนาคารลดลงกว่าสองในสาม ดังนั้น ความร่วมมือเช่นที่เกียรตินาคินภัทรทำกับทรูมันนี่ในครั้งนี้ ย่อมจะนำไปสู่ยุคสมัยของ Virtual Banking ที่บริการธนาคารเกิดขึ้นได้ในทุกที่ สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่อัตราการเข้าถึงบริการทางการเงินที่ดีขึ้นสำหรับคนในประเทศ ซึ่งจะยกระดับศักยภาพให้กับระบบเศรษฐกิจโดยรวมต่อไป

ทรู ดิจิทัล พาร์ค เปิด ศูนย์รวมสถาบันเรียนรู้ดิจิทัล ป้อนแรงงานดิจิทัลสู่ตลาด

0

นายฐนสรณ์ ใจดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้มีคนตกงานมากกว่า 3 ล้านคน ขณะที่ในแต่ละปีมีนักศึกษาจบใหม่จากมหาวิทยาลัยปีละ 5 แสนคน ยังไม่นับคนตกงานที่มีการคาดการณ์ว่าปีนี้น่าจะตกงานประมาณ 1.7-1.8 ล้านคน ขณะที่สตาร์ท อัป เองก็มีปัญหาการจ้างงาน ในการหาคนที่เหมาะกับงาน และปัญหาคนอยู่ในองค์กรไม่นาน รวมถึงมาตรฐานการจ้างงาน การอัปสกิล และรีสกิล ทักษะดิจิทัลจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน ทรูจึงต้องการมีบทบาทในการเป็นศูนย์รวมของบริษัทไอทีชั้นนำที่พร้อมนำหลักสูตรด้านไอทีมารวบรวมไว้ที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค อีกทั้งจะเป็นผู้จับคู่หาอาชีพให้แก่ตลาดแรงงานที่ต้องการบุคลากรดังกล่าวด้วย ด้วยการเปิดตัว ‘ศูนย์รวมสถาบันการเรียนรู้ด้านดิจิทัลระดับโลก’ ที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค แห่งแรก และแห่งเดียวในประเทศไทย

โดยทรู ร่วมกับ 13 พันธมิตรในการนำหลักสูตรมาให้ผู้สนใจเข้าร่วมอบรมทั้งแบบฟรีและเสียค่าใช้จ่ายหากต้องการใบรับรอง คาดว่าภายในปีแรกจะมีผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตรต่างๆ จำนวน 2 แสนคน และภายใน 2-3 ปี จะเพิ่มเป็น 7 แสนคน ซึ่งภายในปี 2565 ทรู ดิจิทัล พาร์ค จะเปิดพื้นที่เฟส 2 จำนวน 45,000 ตารางเมตร เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม

สำหรับพันธมิตรที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค จับมือ ประกอบด้วย Alibaba Cloud Thailand, Amazon Web Services, Cisco System (Thailand), Google Thailand, Huawei Cloud Thailand, Microsoft (Thailand), Mitsubishi, Sea (Thailand),True Digital Academy, Bit.studio, Tellscore, สมาคมโปรแกรมเมอร์ไทยและการตลาดวันละตอน

ด้าน นายธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป ทรู ดิจิทัล พาร์ค กล่าวว่า ศูนย์รวมสถาบันการเรียนรู้ด้านดิจิทัลระดับโลก ใช้พื้นที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค ให้ผู้ที่สนใจมาเรียนรู้และอัปสกิลด้านดิจิทัล พร้อมกันนี้ ยังเป็นโอกาสให้ได้พบปะสร้างเครือข่ายสตาร์ท อัป และเทคคอมมูนิตี ในบรรยากาศที่เปิดโล่งและเชื่อมต่อถึงกันในแต่ละชั้น เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรม ตอบโจทย์วิถีการทำงานของคนยุคดิจิทัล

นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้องประชุม เวิร์กชอป ทาวน์ฮอลล์ อีเวนต์ และกิจกรรมอีกมากมาย ซึ่งศูนย์นี้จะช่วยขยายความก้าวหน้าและเปิดโอกาสการเติบโตของคนไทยในการทำงานและการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัล ให้เข้าถึงความรู้และอัปสกิลด้านดิจิทัลผ่านหลักสูตรต่างๆ ที่คัดสรรและออกแบบโดยพันธมิตรองค์กรเทคโนโลยีและดิจิทัลชั้นนำที่เปี่ยมด้วยองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในแต่ละด้านอย่างแท้จริง

อดีตเด็กช่าง ส่งผักขายเซเว่นจนได้จับเงินล้าน พลิกชีวิตช่วงวิกฤตโควิด

0

สุวรรณ เอิร์ธ ผู้ผลิตสินค้าเกษตรประเภทผักสดรับทรัพย์เพิ่มช่วงโควิด -19 ส่ง ‘ผักสด’ เข้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ยอดขายเพิ่มกว่าเท่าตัว จากวันละ 6,000 – 8,000 แพ็ค ขยับเพิ่มเป็น 20,000 แพ็คต่อวัน ได้ช่วยสร้างงาน กระจายรายได้ให้เกษตรกรกว่า 30 ราย ราว 200 ไร่ ความสำเร็จที่เกิดขึ้น อานิสงส์หลักมาจากคนรักสุขภาพเพิ่มขึ้น ตลอดจนได้รับความช่วยเหลือจากร้านเซเว่นฯ ที่มีไอเดียทำชุดผักพร้อมปรุงเพื่อกระตุ้นยอดขาย อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าอยู่บ้านก็สามารถทำอาหารทานเองได้ไม่ยาก   

นาย มานิตย์ ทิพย์ปิ่นทอง หรือ วิทย์ ชายหนุ่มวัย 36 ปี เจ้าของบริษัท สุวรรณ เอิร์ธ จำกัด เล่า ย้อนไปเมื่อปี 2557 เซเว่น อีเลฟเว่น มีโครงการทดลองขายผัดสด ด้วยความสนใจ เลยเข้าไปติดต่อขอร่วมโครงการ จากนั้นได้รับการติดต่อกลับ รู้สึกได้เลยว่า ‘เซเว่น’ ไม่ทอดทิ้งผู้ประกอบการรายย่อย และไม่คิดว่าองค์กรใหญ่จะให้ความสำคัญกับเกษตรกรรายเล็ก

โอกาสที่ชายหนุ่มได้รับ เจ้าตัว บอกว่า ดีใจมาก ไม่คิดว่าความฝันจะเป็นจริง จากเด็กชาวเขา เรียนจบ ปวส. เคยฝันว่าสักวันหนึ่งจะส่งผักเข้าร้านสะดวกซื้อ ทั้งที่ไม่มีทุนทรัพย์ ไม่มีเครือข่าย ซ้ำยังถูกเอารัดเอาเปรียบมาตลอด

“ผมเกิดและเติบโตที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พ่อแม่เป็นชาวเขาเผ่าม้ง มีอาชีพเป็นเกษตรกรปลูกผักขาย อาทิ ผักกาดขาว กะหล่ำปลี จบการศึกษา ปวส. ช่างยนต์ หลังเรียนจบ ราวปี 2551 มาช่วยครอบครัวปลูกผัก ผลผลิตที่ได้ถ้าผักสวยๆ จะถูกพ่อค้าคนกลางคัดไป ส่วนผักไม่สวยจะนำไปขายที่ตลาด กลับมาช่วยขายผัก 3 ปี จากนั้นจึงมองหาช่องทางการขายอื่น”    

หลังชายหนุ่มเลือกทำตลาดเอง เจ้าตัว บอกว่า ใช้วิธีขับรถเร่ขายผักไปตามจังหวัดต่างๆ อาทิ นครสวรรค์ กำแพงเพชร ระยอง ทว่าส่วนใหญ่เป็นตลาดค้าปลีก ลูกค้ากำลังซื้อน้อย สุดท้ายลงมากรุงเทพฯ ตัดสินใจขายส่งผักที่ตลาดสี่มุมเมือง หลักๆ ยังคงเป็น ผักกาดขาว กะหล่ำปลี แคร์รอต บรอกโคลี ในส่วนของรายได้ดีกว่าส่งพ่อค้าคนกลาง เฉลี่ยเดือนละ 200,000 บาท  

แม้กิจการจะดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่พ่อค้าผัก บอกว่า ในใจลึกๆ ฝันไว้ตั้งแต่เด็กอยากส่งผักขายร้านสะดวกซื้อ และห้างสรรพสินค้า เพราะอยากให้คนส่วนใหญ่ได้รับประทานผักปลอดภัย ที่สำคัญเป็นความภูมิใจของครอบครัว

ปี 2557 เหมือนโอกาสมาถึง เซเว่น อีเลฟเว่น มีโครงการทดลองขายผัดสด ชายหนุ่มไม่รอช้า รีบเข้าไปติดต่อขอร่วมโครงการ จากนั้นได้รับการติดต่อกลับ ให้นำผักกาดขาว กะหล่ำปลี แตงกวา แตงร้าน ต้นหอม ผักชี  ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มาทดลองวางจำหน่าย

“ผมดีใจมากที่เซเว่นฯ ติดต่อกลับ ตอนนั้นไม่มีเงินทุนสร้างโรงแพ็คผัก เลยไปหาเช่าโรงแพ็คที่ได้มาตรฐาน เดือนละ 20,000 บาท ในช่วงแรกออร์เดอร์ยังไม่เยอะ ส่งเซเว่นฯ เริ่มต้น 20 สาขา หลังๆ เขยิบเพิ่มขึ้นเป็น 30 สาขา 40 สาขา ปัจจุบัน 300 สาขา เฉพาะกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ส่งผัก 50 รายการ ผักที่ขายดี แตงร้าน แตงกวา กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักบุ้งจีน” 

ค้าขายกับเซเว่นฯ เรื่อยมา กระทั่งปี 2561 ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่หวังสร้างอนาคต ด้วยการซื้อที่ดิน 239 ตารางวา ย่านลำลูกกา คลอง 3 จังหวัดปทุมธานี มูลค่า 7.9 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานแพ็คผัก เพราะออร์เดอร์เกือบทั้งหมดมาจากเซเว่น

               “ทุกวันนี้ผมส่งผักให้เซเว่นเจ้าเดียว แน่วแน่จะฝากอนาคตกับซีพี ออลล์ เพราะที่ผ่านมาออร์เดอร์เพิ่มขึ้นตลอด มีการประกันราคาให้ด้วย ยิ่งช่วงโควิด หลายๆ คนตกงาน แต่ยอดขายเราพุ่งขึ้นมากกว่าเท่าตัว จากเดิมส่งผักวันละ 6,000 – 8,000 แพ็ค ขยับเพิ่มเป็น 20,000 แพ็คต่อวัน ได้ความช่วยเหลือจากเซเว่นฯ ที่คิดไอเดียทำชุดผักพร้อมปรุง อาทิ ชุดต้มยำ ชุดสุกกี้ ชุดผัดกะเพรา ชุดผักน้ำพริก เพื่อกระตุ้นยอดขาย เพราะลูกค้าบางคนไม่รู้ว่าแต่ละเมนูต้องใส่ผักอะไรบ้าง”

สำหรับแหล่งที่มาของผัก เจ้าของกิจการ บอกว่า จะรับซื้อจากเกษตรกร 30 ราย ราว 200 ไร่ รับซื้อวันต่อวัน เช่น กะหล่ำปลีวันละ 400 กิโลกรัม ผักบุ้ง 100 กิโลกรัม  แตงร้าน 150 กิโลกรัม ยอดคะน้า 100 กิโลกรัม เน้นความสดใหม่ สะอาด ผักสวย เป็นผักปลอดภัยทั้งหมด ทั้งนี้จะประกันราคาให้ทั้งปี และให้เกษตรกรเบิกเงินล่วงหน้าได้

ด้านนายทะนงศักดิ์ แซโค้ง เกษตรกรคนขยัน อายุ 66 ปี ปัจจุบันเช่าพื้นที่ปลูกผัก 30 ไร่ ตำบลเชียงรากใหญ่ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ส่งผักปลอดภัยขายในเซเว่นมาปีกว่า เจ้าตัว เล่าว่า ตั้งแต่ค้าขายกับซีพี ออลล์ มีรายได้ที่แน่นอน ไม่ต้องกังวลเรื่องถูกเอาเปรียบ มีรายได้ทุกวัน เฉลี่ยวันละ 1,200 บาท สบายใจ มั่นใจไม่ตกงาน

               “เมื่อก่อนส่งผักขายตลาด มีออร์เดอร์ไม่แน่นอน ซ้ำยังถูกกดราคา ตั้งแต่ส่งผักให้เซเว่นฯ สบายใจขึ้นเยอะ ไม่โดนเอาเปรียบ ได้กำไรแน่นอนอย่างน้อยกิโลกรัมละ 5 บาท ยิ่งช่วงโควิด – 19 เพื่อนเกษตรกรด้วยกันตกงาน แต่เรารายได้เพิ่ม จากวันละ 1,200 เป็น 2,400 บาท เรียกว่าเหนื่อยกายแต่ไม่เหนื่อยใจ เพราะได้จับเงินทุกวัน”   

จากที่ได้ร่วมงานกับบริษัท ซีพี ออลล์ ทั้งนายมานิตย์และนายทะนงศักดิ์  เผยความในใจว่า ตลอดระยะเวลาที่เป็นคู่ค้ากันมา ได้รับการช่วยเหลือจากเซเว่นฯ ทุกอย่าง ไม่คิดว่าองค์กรใหญ่จะให้ความสำคัญกับเกษตรกรที่เรียนจบไม่สูง ช่วยสร้างงานที่มั่นคง มีออร์เดอร์ที่แน่นอน  ปัจจุบันวางอนาคตให้ลูกๆ เข้ามาช่วยงานต่อแล้ว.

ซีพีออลล์ จับมืออัสสัมชัญพาณิชยฯ เปิดสอนค้าปลีกผ่านประสบการณ์จริง

0

นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ เปิดเผยว่า ซีพี ออลล์ ได้ลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชยการ เพื่อร่วมจัดการเรียนการสอนระบบทวิภาคี สำหรับพัฒนาและผลิตบุคลากรให้โอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้รับรู้ทักษะและประสบการณ์จริงจากสถานประการ

ทั้งนี้ ซีพี ออลล์ มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการ พัฒนาคุณภาพ “คน” ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ผ่านวิธีการหลากหลายรูปแบบได้แก่ การก่อตั้งสถาบันการศึกษาเพื่อสังคมขึ้นมา 2 แห่ง คือ วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ (PAT) และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รวมถึงศูนย์การเรียนรู้ปัญญาภิวัฒน์อีกกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ การมอบทุนการศึกษาให้แก่เยาวชนอย่างต่อเนื่องตลอด 15 ปี กว่า 54,000 ทุน เป็นเงินรวมกว่า 5,100 ล้านบาท

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้  เพื่อบูรณาการงานด้านวิชาการระบบทวิภาคี โดยจัดหลักสูตรการเรียนการสอนประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง หรือ ปวส. ในสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยให้นักเรียนได้ฝึกงานในสถานประกอบการและส่งเสริมให้นักศึกษาได้พัฒนาการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงพร้อมสนับสนุนงานด้านวิชาการ

นอกจากนี้ยังร่วมวางแผนร่วมกันพัฒนาหลักสูตรให้กับครูผู้สอน เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของวิทยาการและเทคโนโลยีใหม่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนากำลังคนให้มีประสิทธภาพตรงกับความต้องการของสถานประกอบการในปัจจุบันและอนาคต ตามปณิธานองค์กร ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน

ทรู ปลื้ม ติดอันดับดัชนี DJSI คะแนนสูงสุด 3 ปีซ้อน

0

นายอาณัติ เมฆไพบูลย์วัฒนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ทรู เป็นองค์กรสื่อสารโทรคมนาคมไทย เพียงรายแรกและรายเดียวที่ติดอันดับสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ประเภทตลาดเกิดใหม่ ( Emerging Markets) ด้วยคะแนนสูงสุดที่ 1 (World Industry Leader) ของโลก 3 ปีซ้อนของหมวดธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม รวมถึงคงสถานะเป็นสมาชิกดาวน์โจนส์ ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 (2017 – 2020) สะท้อนความมุ่งมั่นของกลุ่มทรูในการดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ครอบคลุมทุกมิติทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานบรรษัทภิบาลที่แข็งแกร่ง คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มตามยุทธศาสตร์ภายใต้กรอบ 3 H’s : Heart Health Home พร้อมประกาศเดินหน้ามุ่งสู่เป้าหมายอันท้าทายของปี 2030 ทั้งการก้าวเป็นองค์กร Carbon Neutral และกำหนดของเสียที่เกิดจากการดำเนินงานต้องเป็นศูนย์ ภายในปี 2030 เพื่อสร้างคุณค่าระยะยาวและยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชาติต่อไป

นายสฤษดิ์ จิณสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า การที่ได้เป็นบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมไทยเพียงรายแรกและรายเดียว ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และได้รับคะแนนสูงสุด 3 ปีซ้อนนี้ ไม่เพียงจะย้ำภาพความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสื่อสารที่เข้าใจทุกปัญหาและความต้องการของทุกภาคส่วน แต่ยังเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่นักลงทุน นักวิเคราะห์ทางการเงิน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ทั่วโลกอีกด้วย

ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน บมจ. ทรูคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การได้รับการยอมรับในเวทีระดับโลกครั้งนี้ เป็นผลมาจากทุกคนในองค์กรที่ต่างตั้งใจและทุ่มเทปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ตามนโยบายการดำเนินงานของบริษัทฯ ด้านความยั่งยืน และชาวทรูทุกคนจะยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งสำหรับเป้าหมายสู่ปี 2030 นี้ นับว่าท้าทายอย่างมาก ด้วยกลุ่มทรู ได้กำหนดและต้องการบรรลุเป้าหมายที่สำคัญ 2 ข้อ ได้แก่ 1.การเป็นองค์กร Carbon Neutral ภายในปี 2030 ลดการปลดปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ เลิกใช้เทคโนโลยีที่สิ้นเปลืองพลังงาน และใช้พลังงานทางเลือก และ 2.กำหนดให้ของเสียที่เกิดจากการดำเนินงานต้องเป็นศูนย์ ภายในปี 2030
 

ซีพี เฟรชมาร์ท เสิร์ฟอาหารคุณภาพ สดทุกวัน ให้ชาวโคราช ส่งฟรี รับวิถี New Normal

0

นายสมพงษ์ หลวงภักดี หัวหน้าทีมเถ้าแก่กลาง ซีพี เฟรชมาร์ท โคราชโมเดล นำชมร้านซีพี เฟรชมาร์ท สาขาสีคิ้วเมืองใหม่ สาขาล่าสุด รูปโฉมใหม่ที่มีความทันสมัย รับ New Normal ด้วยแนวคิด “สดทุกวัน ส่งถึงคุณ” รวมพลความสด คุณภาพดี ในราคาเป็นกันเอง พร้อมให้บริการส่งถึงบ้าน เพิ่มความสะดวกในทุกมื้อดีๆ ของทุกๆ วัน ให้กับผู้บริโภคชาวนครราชสีมา พร้อมทั้งให้คำแนะนำเรื่องการบริหารงานแก่พนักงาน 

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังร่วมกับซีพีออลล์ ในเขต อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นโครงการนำร่องการผนึกกำลังบริษัทฯ ในเครือ นำผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพของซีพีเอฟ อย่าง “หมูไก่สด CP Selection” มาตรฐานส่งออก ไม่ใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ไม่มีสารเร่งเนื้อแดง และปลอดภัยจากยาปฏิชีวนะ รวม 13 รายการ มาจัดจำหน่ายในร้าน 7-11 เพิ่มความสะดวกให้กับผู้บริโภคใน จ.นครราชสีมา และพื้นที่ใกล้เคียง ได้เข้าถึงของสดใกล้บ้าน 24 ชั่วโมง ได้มากยิ่งขึ้น 

ร้านซีพี เฟรชมาร์ท โฉมใหม่ มินิซูเปอร์มาร์เก็ต ใน จ.นครราชสีมา มี 4 สาขา ได้แก่ ตลาดย่าโม ประโดก-โคกไผ่ ปรุใหญ่ และสีคิ้วเมืองใหม่ แหล่งรวมอาหารสด สะอาด ปลอดภัย คุณภาพดี ทั้งหมูสด ไก่สด เนื้อโคขุน และกุ้งซีพีแปซิฟิก ที่ส่งตรงจากฟาร์มทุกวัน พร้อมเสิร์ฟสถานีชาบู-หมูกระทะ ที่มีทั้งเนื้อหมู-เนื้อไก่ปรุงรส ลูกชิ้นหลากหลายประเภท และยังมีอาหารทะเลด้วย โดยสินค้าจะเก็บรักษาคุณภาพด้วยตู้เย็นระบบ Eco Fresh Tech เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่มีการกระจายความเย็นทั่วทิศทาง ให้ความเย็นคงที่ในอุณหภูมิ 0-4 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาคงความสดใหม่ของเนื้อสัตว์ทุกชิ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญยังเป็นระบบ Eco Friendly ใช้พลังงานน้อยและช่วยลดโลกร้อน เพราะใช้น้ำยาทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน ยังมีผักและผลไม้สดนานาชนิด อาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมทาน อาหารแห้ง รวมถึงเครื่องปรุงต่างๆ และเครื่องดื่มอย่างครบครัน เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในปัจจุบันกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว 

สำหรับ ซีพี เฟรชมาร์ท สาขาสีคิ้วเมืองใหม่ เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 6.00-20.00 น. พร้อมจำหน่ายซีพีไก่สดธงฟ้า ลดค่าครองชีพ ในราคาประหยัด อาทิ เนื้อน่องติดสะโพกไก่ กิโลกรัมละ 46 บาท เนื้ออกไก่ กิโลกรัมละ 50 บาท และปีกบนไก่ กิโลกรัมละ 60 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 22 พฤศจิกายน 2563 เท่านั้น 

นอกจากนี้ ยังให้บริการผ่าน E-Commerce ที่ลูกค้าสามารถสั่งซื้ออาหารได้ถึง 3 ช่องทาง ได้แก่ แอปพลิเคชัน CPFreshMart ซึ่งดาวน์โหลดได้จากมือถือทุกระบบ สายด่วนฮอตไลน์ โทร.1788 หรือ 083-988-9840 และเว็บไซต์ www.cpfreshmartshop.com โดยร้านจะจัดส่งอาหารให้ฟรีแบบไม่ขั้นต่ำ ในรัศมี 10 กิโลเมตร ให้ถึงมือผู้รับภายในเวลาอันรวดเร็ว นับเป็นการตอบโจทย์วิถีปกติใหม่ได้อย่างลงตัว 

เอไอเอส จับมือ BOSCH ร่วมทดสอบเครือข่าย 5G ในพื้นที่โรงงานจริง

0

นายฮุย เวง ชอง กรรมการผู้อำนวยการ เอไอเอส เปิดเผยว่า ว่า บริษัท ร่วมกับ Bosch ผู้นำด้าน Smart Manufacturing และ Factory ระดับโลก เดินหน้านำนวัตกรรมเครือข่าย AIS 5G  ทดลองทดสอบและใช้งานอย่างเป็นรูปธรรมกับโซลูชันของ Bosch ในพื้นที่โรงงานจริง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะขยายผลไปสู่การเป็น Smart Manufacturing สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของประเทศ

แผนการทดลองทดสอบเครือข่าย 5G ในพื้นที่โรงงานจริงครั้งนี้ เป็นการต่อยอดความร่วมมือระหว่างเอไอเอสและ Bosch ที่ได้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจหรือ MOU เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาการใช้งาน 5G ในอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุน กระบวนการสื่อสารระหว่างคนกับเครื่องจักรให้สามารถทํางานเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงหรือข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นในสายการผลิต นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทย รวมทั้งเสริมสร้างการถ่ายทอดความรู้ให้กับบุคลากรทุกคนในอีโคซิสเต็มที่เกี่ยวข้องไปพร้อมกัน

นายโจเซฟ ฮง กรรมการผู้จัดการ Bosch ประเทศไทยและฟิลิปปินส์ กล่าวว่า 5G จากเอไอเอสประกอบกับโซลูชันของ Bosch ไม่จำกัดเฉพาะการติดตั้งในโรงงานสร้างใหม่แต่ยังสามารถนำไปปรับใช้กับระบบโรงงานหรือเครื่องจักรที่มีอยู่เดิม โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารระหว่างคนกับเครื่องจักรรวมถึงกระบวนการอื่นๆ ในโรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนสามารถตรวจสอบและควบคุมเครื่องจักรจำนวนมากแบบไร้สายได้จากระยะไกล การถ่ายโอนข้อมูลแบบเรียลไทม์มีความน่าเชื่อถือช่วยทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยให้ก้าวไปอีกขั้น

บริษัทจดทะเบียนไทย ครองแชมป์เข้าดัชนี DJSI สูงสุดในอาเซียน และผู้นำ 7 กลุ่มอุตสาหกรรมโลก

0

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งเสริมตลาดทุนไทยให้เกิดการพัฒนาที่ยังยืนอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม เพื่อให้ตลาดทุนไทยเป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วนตามวิสัยทัศน์ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” โดยสนับสนุนให้ บจ. ไทยเข้าร่วมประเมินความยั่งยืนของ DJSI ซึ่งนับเป็นความสำเร็จที่ บจ. ไทย ก้าวสู่มาตรฐานด้านความยั่งยืนในระดับสากลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความมุ่งมั่นและให้ความสำคัญของ บจ. ล่าสุด 21 บจ. ไทยได้รับการยอมรับในระดับโลกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืน DJSI ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดในอาเซียนต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยในจำนวนนี้มี 7 บจ. ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นที่หนึ่งของโลกด้านความยั่งยืนใน 7 กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งมากเป็นลำดับที่สองของโลกเป็นรองเฉพาะจากประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ บจ. ที่มีความโดดเด่นด้านความยั่งยืนส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งมีบทบาทและเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ

“การดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักความยั่งยืนนอกจากส่งผลดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังทำให้ธุรกิจแข็งแกร่งและช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจแม้เกิดภาวะวิกฤต การที่ บจ. ไทยได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืน DJSI โดยมีจำนวนสูงสุดในอาเซียนและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้รับคะแนนสูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นลำดับสองของโลกนั้น เป็นผลจากความมุ่งมั่นของบริษัทจดทะบียน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าปัจจุบันธุรกิจให้ความสำคัญในการดำเนินงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ควบคู่ไปกับการสร้างผลประกอบการที่ดี ดังนั้น การเข้าสู่ดัชนี DJSI จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และเชื่อว่าการลงทุนอย่างยั่งยืนหรือการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบจะกลายเป็นการลงทุนกระแสหลักของโลก (Mainstream Investment) ในไม่ช้า เนื่องจากปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน ผู้ลงทุนสถาบัน บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ต่างให้ความสำคัญและนำแนวคิดด้านความยั่งยืนไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการผ่านการให้ข้อมูล การวัดมูลค่า รวมถึงวิธีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ครอบคลุมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมเรื่องการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบจึงถือเป็นภารกิจที่สำคัญและท้าทายของตลาดหลักทรัพย์ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกในปัจจุบัน”

บจ. ไทย 7 แห่งที่ได้คะแนนเป็นที่หนึ่งด้านความยั่งยืนรายกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ 1) BANPU กลุ่มถ่านหินและเชื้อเพลิง 2) BTS กลุ่มขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง 3) PTTEP กลุ่มน้ำมันและแก๊สต้นทาง 4) PTTGC กลุ่มเคมีภัณฑ์ 5) SCC กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 6) TOP กลุ่มการกลั่นและการตลาดน้ำมันและแก๊ส และ 7) TRUE กลุ่มบริการโทรคมนาคม

บจ. ไทย 21 แห่งที่ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืน DJSI ได้แก่ ADVANC, AOT, BANPU, BTS, CPALL, CPF, CPN, EGCO, HMPRO, IRPC, IVL, KBANK, MINT, PTT, PTTEP, PTTGC, SCB, SCC, TOP, TRUE และ TU ในจำนวนนี้ บจ. ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าใหม่ในปีนี้คือ EGCO และมี 11 บจ. อยู่ในดัชนีกลุ่ม DJSI World ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีศักยภาพทั้งในด้านขนาดและผลการประเมินความยั่งยืน ได้แก่ ADVANC, AOT, CPALL, CPN, IVL, KBANK, PTT, PTTEP, PTTGC, SCB และ SCC

ทั้งนี้ การประกาศรายชื่อสมาชิกในกลุ่ม DJSI ในครั้งนี้จะมีผลตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 โดยมีการทบทวนและประกาศรายชื่อสมาชิกในกลุ่ม DJSI ในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี