Home Blog Page 365

ซีพี เฟรชมาร์ท ปรับโฉมใหม่ สาขาศรีโสธร จ.ฉะเชิงเทรา พร้อมบริการส่งถึงบ้าน

0


นายพูลทรัพย์ สมบูรณ์ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานในพิธีฉลองเปิดร้านซีพี เฟรชมาร์ท  สาขาศรีโสธร จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งปรับเปลี่ยนรูปแบบโฉมใหม่มีความทันสมัย รับวิถีปกติใหม่หรือ New normal ด้วยแนวคิด “รวมพลความสด คุณภาพดี ราคาเป็นกันเอง” พร้อมให้บริการส่งถึงบ้าน ช่วยเพิ่มระยะห่างทางสังคมและลดโอกาสการแพร่เชื้อให้กับผู้บริโภคชาวฉะเชิงเทรา

นายศักดิ์สิทธิ์ ฉันททิพย์ญาณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟเทรดดิ้ง จำกัด  กล่าวว่า ร้านซีพี เฟรชมาร์ท สาขาศรีโสธร เป็นสาขาที่ 4 ของ จ.ฉะเชิงเทรา ก่อนหน้านี้ ร้านซีพี เฟรชมาร์ทจะเน้นขายผลิตภัณฑ์แช่แข็งและเครื่องปรุง ตอนนี้ทางร้านจะเน้นของสด ไม่ว่าจะเป็นหมู ไก่ ไข่ไก่ และเป็ด รวมถึงผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ เช่น กุ้ง ปลาดอร์รี่ ทุกอย่างจะถูกจัดส่งจากฟาร์มและแหล่งผลิตตรงมาที่ร้าน เพื่อนำเสนอสินค้าสดใหม่ มีคุณภาพ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ให้กับผู้บริโภคและผู้ประกอบการร้านอาหารทุกวัน

และเน้นการชำระแบบไร้เงินสด ด้วยการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่น True Money Wallet ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางจับจ่ายให้กับผู้บริโภคมากขึ้น โดยในปีหน้าจะขยายให้ครอบคลุมทุกอำเภอของ จ.ฉะเชิงเทรา

ร้านซีพี เฟรชมาร์ท โฉมใหม่ มินิซูเปอร์มาร์เก็ตที่รวมอาหารสด สะอาด ปลอดภัย คุณภาพดี ทั้งหมูสด ไก่สด ไข่ไก่ เนื้อโคขุนและกุ้งสดพรีเมียม ที่ส่งตรงจากฟาร์มทุกวัน และด้วยวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จึงเพิ่มสถานีชาบู-หมูกระทะ เป็นอีกหนึ่งสถานีที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่มีทั้งเนื้อหมูปรุงรส เนื้อไก่ปรุงรส ลูกชิ้นหลากหลายประเภทอย่างครบครัน โดยสินค้าจะเก็บรักษาคุณภาพด้วยตู้แช่เย็น ที่ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีใหม่เป็นระบบ Double Cooling มีการกระจายความเย็นได้ทั้งด้านบนและด้านล่างควบคู่กัน ทำให้สามารถคงความสดใหม่ของสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญยังเป็นระบบ Eco friendly ใช้พลังงานน้อยลง พร้อมกันนี้ ยังมีผักและผลไม้สดนานาชนิดเพิ่มขึ้น ขณะที่อาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมทาน และอาหารแห้ง รวมถึงเครื่องปรุงต่างๆ ก็ยังคงมีวางจำหน่ายเช่นเดิม

สำหรับสาขาฉะเชิงเทรา-ศรีโสธร จัดโปรโมชั่นพิเศษมากมาย อาทิ ไข่ไก่เบอร์ 3 แพ็กขนาด 30 ฟอง เนื้ออกไก่  เนื้อสะโพกหมู เกี๊ยวกุ้งสับ และปลาแพนกาเซียสดอร์รี่แล่ ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2563 เท่านั้น โดยให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-20.00 น. และยังให้บริการผ่าน E-Commerce ที่ลูกค้าสามารถสั่งซื้ออาหารได้ถึง 3 ช่องทาง ได้แก่ แอปพลิเคชัน CPFreshMart , สายด่วนฮอตไลน์ โทร.1788 และเว็บไซต์ www.cpfreshmartshop.com โดยร้านจะจัดส่งอาหารในรัศมี 5 กม. ให้ถึงมือผู้รับภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งเป็นการตอบโจทย์วิถีปกติใหม่ได้อย่างลงตัว

สิงห์อาสา จับมือคณะหมอ 5 มหาวิทยาลัย เปิดโครงการ “33 ปี หน่วยแพทย์เคลื่อนที่” ตรวจสุขภาพชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล

0

ผู้สืือข่าว รายงานว่า สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับเครือข่ายสิงห์อาสาคณะแพทยศาสตร์ ใน 5 มหาวิทยาลัย ออกดูแลสุขภาพพี่น้องประชาชนในพื้นที่ห่างไกลที่ได้รับผลกระทบจากภัยหนาว ได้แก่ สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ดูแลพื้นที่จ.เชียงราย , คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดูแลพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จ.แม่ฮ่องสอน จ.ลำปาง จ.ลำพูน, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ดูแลพื้นที่ จ.พะเยา จ.น่าน จ.แพร่, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดูแลพื้นที่ จ.ขอนแก่น จ.มหาสารคาม และสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ดูแลพื้นที่ จ.นครราชสีมา จ.ชัยภูมิ ภายใต้โครงการ “33 ปี หน่วยแพทย์เคลื่อนที่” สานต่อภารกิจหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ที่มีปณิธานในการเดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจต่อเนื่องมานานตั้งแต่ปี 2530 โดยโครงการนี้ได้เริ่มต้นที่จังหวัดเชียงรายเมื่อ 33 ปีที่แล้ว

เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 63 ได้เริ่มโครงการ “33 ปี หน่วยแพทย์เคลื่อนที่” ในปีนี้ ที่จังหวัดเชียงราย โดยร่วมกับ สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ออกตรวจสุขภาพประชาชน ที่โรงเรียนบ้านใหม่สุขสันต์ ต.ตาดควัน อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย มีชาวบ้านจาก 2 หมู่บ้าน คือ หมู่ 4 หมู่บ้านใหม่สุขสันต์ และหมู่ 9 หมู่บ้านรักษ์พนา เป็นหมู่บ้านพื้นที่ราบสลับภูเขาสูง ทำให้ในช่วงฤดูหนาวมีอากาศหนาวเย็น มีชาวบ้าน กว่า 1,600 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงวัยและกลุ่มเด็ก รวมทั้งมีผู้พิการ เข้ารับการตรวจสุขภาพกับทีมแพทย์และรับมอบเสื้อกันหนาว

โดยมีคุณรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์ ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหาร บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด นายแพทย์สมปรารถน์ หมั่นจิต อาจารย์ประจำสำนักวิชาแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และรองศาสตราจารย์นายแพทย์ณัฐพงศ์ โฆษชุณหนันท์ รองคณบดี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมเปิดงาน พร้อมทั้งบุคลากรโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ร่วมออกหน่วยแพทย์อาสาในครั้งนี้กว่า 20 ท่าน

ทั้งนี้ มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2518 ด้วยเจตนารมย์เพื่อช่วยเหลือดูแลสังคม ในด้านต่างๆ อีกทั้งยังได้จัดตั้งกลุ่ม “สิงห์อาสา” เพื่อทำภารกิจในการช่วยเหลือสังคม บรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโครงการสำคัญที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง อาทิการมอบทุนการศึกษา ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 38 โดยให้ทุนการศึกษาแก่นิสิต-นักศึกษา ใน 22 มหาวิทยาลัยแล้ว รวมถึงการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดูแลและให้ความรู้เรื่องสุขภาพกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ห่างไกลก็เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่ทำต่อเนื่องมาเป็นเวลาถึง 33 ปี ติดต่อกัน

ซีพีเอฟ ได้ใจคู่ค้า เครดิตเทอม 30 วันช่วยฟื้นสภาพคล่อง ธุรกิจเดินหน้าต่อ

0

รายงานข่าว จากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า โครงการเครดิตเทอม 30 วัน (Faster Payment) ได้รับการตอบรับที่ดีจากคู่ค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ว่าได้รับประโยชน์เต็มจากการมีส่วนทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น เสริมสภาพคล่องคู่ค้าตลอดห่วงโซ่การผลิต 6 พันราย สามารถเดินหน้าธุรกิจโดยไม่หยุดชะงัก ฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 ได้แข็งแกร่ง

โครงการเครดิตเทอม 30 วัน หรือ Faster Payment ของ ซีพีเอฟ มีเป้าหมายอัดฉีดสภาพคล่องให้คู่ค้าที่เป็น SMEs มีเงินหมุนเวียนในการบริหารจัดการธุรกิจช่วยรักษาลูกจ้าง และผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานให้อยู่รอด เพิ่มความมั่นใจในการขยายการลงทุน เพื่อพยุงธุรกิจ SMEs ซึ่งเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่จะช่วยให้กับเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว

นายสุวัฒน์ บุษบาวศินกุล กรรมการผู้จัดการ หจก.แอ๊ดวานซ์ คอมเมอร์ซ ผู้ให้บริการซ่อมแซมมอเตอร์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณซีพีเอฟ ที่ปรับลดเครดิตเทอมภายใน 30 วัน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากกับผู้ประกอบการรายย่อย ช่วยให้มีเงินหมุนเวียนเข้ามาลงทุนและใช้จ่ายได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยรักษาธุรกิจและลูกจ้างให้อยู่ทำงานได้

ด้านนายพีรณัฐ หุ่นธานี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามพาที จำกัด กล่าวว่า สยามพาทีเป็นคู่ค้าของซีพีเอฟให้บริการปั๊มและวาล์วอุตสาหกรรม ในจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อ SMEs ยอดสั่งซื้อน้อยลงมาก การได้รับเครดิตเทอมภายใน 30 วันช่วยให้ผู้ประกอบการมีเงินหมุนเวียนในระบบเร็วขึ้น สามารถขยายงานหรือมีเงินลงทุนสำหรับรับคำสั่งซื้อใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องกู้ยืม ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ และยังนำเงินไปใช้ปรับปรุงสภาพการทำงานของลูกจ้างให้ดีขึ้นอีกด้วย

นายเกษม วิบูลย์รัตนศรี ผู้จัดการ ห้างหุ่นส่วนจำกัด สุภัคแอร์ เซลส์ แอนด์เซอร์วิส จัดจำหน่ายสินค้าเครื่องปรับอากาศและงานซ่อมบำรุงแอร์ จ.สระบุรี กล่าวว่า โครงการเครดิตเทอม 30 วันของซีพีเอฟ ช่วยสนับสนุนทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ SMEs ขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ cashflow ของบริษัทดีขึ้นกว่าเดิม เอื้อให้บริษัทสามารถปรับเปลี่ยน การจัดการด้านการบริหารเงินทุนภายในร้านได้และวางแผนการสั่งสินค้าได้คล่องตัวขึ้น และมีความมั่นใจที่จะวางแผนในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้

นายนันตพร ศิรินุพงศ์ เจ้าของกิจการ หจก.นิธิกร เอ็นจิเนียริ่ง ผู้ผลิตเครื่องจักรและงานกลึงครบวงจร จ.สระบุรี กล่าวว่า ในช่วงการระบาดโควิด 19 มีผลกระทบกับงานลดลงไปบางส่วน ซึ่งจากโครงการเครดิตเทอม 30 วัน ทางหจก.ฯขอขอบคุณผู้บริหารของซีพีที่เล็งเห็นความสำคัญของซัพพลายเออร์ ที่ได้รับผลกระทบ พอมีโครงการนี้มา ทำให้ โปรเจคต่างๆ ดำเนินคล่องตัวมากขึ้น ถือว่าเป็นโครงการที่ดี ซัพพลายเออร์บางแห่งระบบการเงินอาจจะชะงัก ซึ่งก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือและเยียวยาผู้รับเหมาซัพพลายเออร์ ทำให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น เพราะเครดิตเทอมลดลง ระยะเวลาสั้นลง ทำให้การทำงานได้เงินเร็วขึ้น

นายสุรนาท ตั้งจิตรชอบ เจ้าของ หจก.ตั้งจิตรเทรดดิ้ง กล่าวว่า ตนเป็นซัพพลายเออร์บริการ สินค้าฮาร์ดแวร์ให้กับซีพีเอฟมาหลายปี ขอขอบคุณมากที่ซีพีเอฟเข้าใจและลงมาช่วยแก้ปัญหา SMEs เพราะ กิจการของตัวเองได้รับผลกระทบจากจากสถานการณ์โควิด-19 มากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยอดสั่งซื้อลดลง แต่ค่าใช้จ่ายคงเดิม เมื่อได้เครดิตเทอมเร็วขึ้น ช่วยให้เงินสดมาหมุนคล่องตัวมากขึ้น ไม่ต้องหาเงินทุนจากแหล่งอื่นที่ต้องรับภาระดอกเบี้ยสูง

“เครดิตเทอม 30 วัน ถือเป็นการช่วยปลดล็อคสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการรายย่อย สามารถรักษากิจการและลูกจ้าง รวมทั้ง ผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานให้อยู่รอด และเป็นการเปิดโอกาสให้ SMEs พัฒนาปรับปรุงกิจการให้เติบโตและผ่านพ้นวิกฤติได้อย่างแข็งแกร่ง”

ทั้งนี้ การดำเนินโครงการ Faster Payment ของซีพีเอฟ เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายบริษัทฯ ในการช่วยเหลือคู่ค้า SMEs และคู่ค้ารายบุคคลทั้ง 6 พันรายได้ 100% เพราะบริษัทฯเชื่อว่าซัพพลายเออร์อยู่รอด ระบบการค้าดี ธุรกิจสามารถเติบโตต่อเนื่อง จะมีส่วนช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยให้สามารถก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ได้

นอกจากโครงการ Faster Payment แล้ว ซีพีเอฟ ยังเข้าร่วมโครงการ “พาณิชย์ ลดราคา ! ช่วยประชาชน” ของกระทรวงพาณิชย์ นำสินค้าในร้านซีพี เฟรชมาร์ทมาจำหน่ายในราคาพิเศษ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศโตต่อเนื่อง

เอไอเอส จับมือธรรมศาสตร์ เปิดศูนย์ปฏิบัติการความยั่งยืนแห่งแรกในเอเชีย

0

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า บริษัท ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดตัวศูนย์ปฏิบัติการความยั่งยืนแห่งแรกในเอเชีย “SDG Lab by Thammasat & AIS” ที่อุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ภายใต้แนวคิดเชิงบูรณาการนำเทคโนโลยีดิจิทัล 5G และ IoT มาเป็นฐานรากเพื่อสร้างความยั่งยืน ผลักดันให้เป็นพื้นที่แห่งการทดลองและการลงมือปฏิบัติของนักคิด นักประดิษฐ์ เพื่อรองรับการพัฒนานวัตกรรมและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในมิติต่างๆ อันนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยและขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสมาร์ทซิตี้

ทั้งนี้ แนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน Sustainable Development Goals (SDGs) เป็นเป้าหมายที่ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยให้ความสำคัญมากขึ้นและถูกใช้เป็นฐานการกำหนดนโยบายของประเทศและองค์กร โดยมีเป้าหมายสูงสุดของแนวคิดอยู่ที่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรโลก โดยยังสามารถรักษาระดับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของมนุษย์ไม่ให้เกินศักยภาพการผลิตของธรรมชาติ และมุ่งเน้นความสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ เอไอเอส จึงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจที่ตั้งอยู่บนแนวคิดความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและการนำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเข้าไปสนับสนุนเพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นแก่ทุกฝ่าย โดยได้กำหนดกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) การประสานสังคมให้เป็นหนึ่งเดียว 2) ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า 3) สร้างหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ยั่งยืน 4) ส่งเสริมบุคลากรให้เติบโตในทุกย่างก้าว 5) สรรค์สร้างนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้ ที่ผ่านมา เอไอเอสได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนในทั้งระดับสากลและระดับประเทศ โดยได้รับการประกาศให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ในกลุ่มดัชนีโลก (World Index) และดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) ในกลุ่มอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคม 2 ปีซ้อน คือ ปี 2019 และ 2020 และได้รับคัดเลือกให้ผ่านดัชนีความยั่งยืน FTSE4Good Index Series ต่อเนื่อง 6 ปี และในระดับประเทศได้รับประกาศจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยติดรายชื่อ หุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2563 ซึ่งถือเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน 

จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในการพัฒนาศูนย์ SDG Lab by Thammasat & AIS ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอสในการนำเทคโนโลยีและบริการดิจิทัลที่ดีและทันสมัยที่สุด โดยเฉพาะ 5G มาให้คนไทยได้สัมผัสประสบการณ์ที่เหนือระดับไปอีกขั้นของ 5G ตลอดจนเห็นถึงประโยชน์ของการนำเทคโนโลยี 5G ไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเป็นทรัพยากรสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศไทยในระยะยาว โดยมีขอบข่ายการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดประโยชน์กับสังคมและประเทศชาติอย่างสร้างสรรค์ ประกอบด้วย

1) Climate& Environment พัฒนาความยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยี 5G ในการพัฒนาเพื่อสังคม

2) City พัฒนาระบบ การขนส่ง และระบบการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ให้สอดรับกับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน

3) Living พัฒนาความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนให้กับคนในสังคม ผ่านการบริหารจัดการพลังงาน, ทรัพยากรธรรมชาติ และขยะรวมทั้งขยะอิเล็กทรอนิกส์

4) Farming พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืนที่จะตอบรับเรื่องความมั่นคงทางอาหาร

5) People ส่งเสริมการมีส่วนร่วมองประชาชนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เป้าหมายของ SDG Lab by Thammasat & AIS คือ การเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ และลงมือปฏิบัติจริง ที่เปิดโอกาสและเชื่อมโยงนวัตกร นักพัฒนา และนักประดิษฐ์จากทั่วโลกที่มีจุดมุ่งหมายในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม หรือต้องการสร้างนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนได้เข้ามาร่วมสร้างนวัตกรรมต้นแบบที่ตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาได้จริง โดยสามารถใช้งาน Network Infrastructure โครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ทั้ง 5G, IoT, Fibre และ AIS Super WiFi รวมถึงเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัยต่างๆ ภายในศูนย์ฯ เพื่อสร้างนวัตกรรมต้นแบบได้ด้วยตนเอง พร้อมทดลอง ทดสอบบนเครือข่ายและสภาพแวดล้อมจริงได้เลย

นอกจากนี้ เอไอเอส ยังติดตั้งอุปกรณ์ IoT ควบคุมดูแลการเพาะปลูกแบบอัตโนมัติ และติดตั้งสถานีวัดสภาพอากาศและวัดปริมาณฝุ่น PM2.5 ไว้บนแปลงเกษตร Rooftop อาคารอุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี ที่สามารถควบคุมการทำงานผ่านระบบฟาร์มอัจฉริยะ Smart Farm เพื่อบริหารจัดการน้ำในภาคการเกษตรให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งในอนาคตก็จะนำ AIS 5G มาใช้ในการพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มากยิ่งขึ้น อาทิ การบริหารจัดการการจราจร ผ่านเทคโนโลยี Smart Parking และ Autonomous Car (รถยนต์ไร้คนขับ) เพื่อเดินหน้ายกระดับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สู่ Smart University อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าความร่วมมือกันในครั้งนี้จะช่วยให้เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ก่อให้เกิดการสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน พร้อมรับมือกับวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

รศ.เกศินี วิทูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การสานต่อความร่วมมือกับเอไอเอส ในการนำเทคโนโลยีดิจทัล 5G, IoT และดิจิทัลโซลูชันอีกมากมายเข้ามาใช้ภายในศูนย์ SDG Lab by Thammasat & AIS และครอบคลุมบริเวณอุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี ทั้ง 100 ไร่ นี้ จะทำให้การบริหารจัดการภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้นวัตกรรมต่างๆ ที่ได้คิดและพัฒนาสามารถเกิดขึ้นได้จริง และเป็นต้นแบบของนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนให้กับประเทศ ที่จะก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของนักศึกษา นวัตกรรุ่นใหม่ และเหล่าสตาร์ทอัพที่จะเข้ามาร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ที่จะส่งผลประโยชน์ต่อประเทศชาติและทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของมหาวิทยาลัยในการสร้างเมืองอัจฉริยะให้เกิดขึ้นจริง

โออาร์ จับรางวัล “เที่ยว เลี้ยว ลุ้น” ครั้งที่ 2 แจกรถยนต์ BMW X1 และรางวัลอื่นๆ รวมกว่า 8 ล้านบาท แก่สมาชิกบลูการ์ด

0

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) จับรางวัลจากแคมเปญ “เที่ยว เลี้ยว ลุ้น” ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวหลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 เริ่มผ่อนคลาย 

โดยมอบรางวัลให้สมาชิก Blue Card รวม 963 รางวัล ได้แก่ รถยนต์ BMW X1 จำนวน 3 รางวัล มูลค่ากว่า 5.9 ล้านบาท โทรศัพท์มือถือ iPhone 11 จำนวน 60 รางวัล และของรางวัลอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก Blue Card ที่ซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ร้านค้าในเครือของ โออาร์ ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม 2563 – 31 ตุลาคม 2563 ไม่ว่าจะเป็นการเติมน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมัน PTT Station, การซื้อผลิตภัณฑ์หล่อลื่น PTT Lubricants ที่สถานีบริการน้ำมัน PTT Station หรือร้านสะดวกซื้อ Jiffy การซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto การซื้อผลิตภัณฑ์ที่ร้าน Café Amazon ร้านสะดวกซื้อ Jiffy ร้าน Texas Chicken ร้านฮั่วเซงฮงติ่มซำ และร้าน Pearly Tea โดยมีจำนวนสิทธิ์ร่วมลุ้นทั้งสิ้นถึง 22,968,415 สิทธิ์ และจะประกาศผลการจับรางวัลครั้งที่ 2 ในวันที่ 15 ธันวาคม 2563 ทางเว็บไซต์ www.pttbluecard.com และ Blue Card Mobile Application โดยจะมีการมอบรางวัลทั้งหมดให้แก่ผู้โชคดีในวันที่ 24 ธันวาคม 2563 นี้

ทั้งนี้ โออาร์ ขอบคุณสมาชิก Blue Card กว่า 6 ล้านราย ที่สนับสนุนผลิตภัณฑ์ในเครือของโออาร์เป็นอย่างดีมาโดยตลอด และจะยังคงนำเสนอสิทธิพิเศษและกิจกรรมดี ๆ สำหรับสมาชิก Blue Card อย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง จะยังคงพัฒนาระบบและการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้สามารถนำเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ตรงความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้อย่างดีที่สุด โดยผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสมัครสมาชิก Blue Card ได้ที่ www.pttbluecard.com และ Blue Card Mobile Application หรือ โทร. 1365 Contact Center 

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : ข้อควรรู้ก่อนลงทุนแบบ DCA (2)

0

ก่อนอื่นมาทบทวนกันอีกครั้งว่า การลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Averaging) คือลงทุนในหลักทรัพย์แบบสม่ำเสมอด้วย “จำนวนเงินที่เท่ากัน” โดยกำหนด “ความถี่” และ “ระยะเวลา” ที่ลงทุน เช่น กำหนดว่าจะลงทุนในหุ้น “ก” ทุกวันที่ 1 ของเดือน ด้วยเงิน 10,000 บาททุกเดือนต่อเนื่อง 5 ปี จะทำให้เราซื้อหุ้น “ก” ได้ใน “ราคาต้นทุนแบบถัวเฉลี่ย” ซึ่งจะทำให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวมากกว่า

ครั้งที่แล้ว เราพูดถึงข้อแรกที่แนะนำให้ลงทุน DCA แบบอัตโนมัติกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) มากกว่าการลงทุนด้วยตัวเอง เพราะระบบจะตัดเงินในบัญชีไปลงทุนโดยอัตโนมัติ โดยไม่สนใจว่าราคาหุ้นตอนนั้นจะขึ้นหรือลง ทำให้เรา “ตัดอารมณ์ส่วนตัว” ออกไปได้

ข้อ 2.ระหว่าง DCA แบบกำหนดจำนวนเงินกับแบบกำหนดจำนวนหุ้นที่จะซื้อ พบว่า DCA แบบกำหนดจำนวนเงินได้รับความนิยมมากกว่า เพราะจากสถิติพบว่ามีความผันผวนของอัตราผลตอบแทนต่ำกว่า!! เนื่องจากช่วงที่ราคาหุ้นขึ้นจำนวนหุ้นที่ได้รับก็จะน้อยลง แต่ช่วงที่ราคาหุ้นลงก็จะได้หุ้นจำนวนมากขึ้น ทำให้ระยะยาวต้นทุนเฉลี่ยแบบกำหนดเงินจะต่ำกว่าและผันผวนน้อยกว่า DCA แบบกำหนดจำนวนหุ้นที่จะซื้อในจำนวนเท่ากัน ไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลงก็ตาม

3.เลือกลงทุน DCA แบบไหนดี รายปี รายเดือน หรือรายวัน ซึ่ง งานวิจัยของ Financial Planning Association พบว่าการลงทุนด้วยความถี่ที่ต่างกัน ไม่มีความแตกต่างกันชัดเจนในแง่อัตราผลตอบแทน แต่หากพิจารณาความเสี่ยง หรือความผันผวนของผลตอบแทนกลับพบว่ายิ่งความถี่ในการลงทุนมากเท่าไร ความเสี่ยงของผลตอบแทนก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น จึงแนะนำให้ลงทุนตามรอบรายได้ เช่น ได้เงินเดือนก็ลงทุนเป็นรายเดือน แต่หากรายได้ไม่แน่นอนอาจสะสมเงินก่อนและลงทุนปีละ 1-2 ครั้ง

4.วันที่เลือกตัดเงินในบัญชีมาลงทุนต้นเดือน-กลางหรือปลายเดือนดี?? งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าวันที่ลงทุนแบบ DCA ในแต่ละเดือนนั้น ไม่ได้มีผลต่ออัตราผลตอบแทนอย่างชัดเจน แต่วันที่ควรเลือกลงทุนมากที่สุดคือวันที่เราสะดวกที่สุดมากกว่า เช่น ลงทุนวันเดียวกับวันที่ได้รับเงินเดือน เพื่อจะได้ไม่นำเงินไปใช้จ่ายด้านอื่นๆจนอาจทำให้ไม่มีเงินเหลือสำหรับลงทุนตามที่ตั้งใจ

5.ลงทุนแบบ DCA เดือนละเท่าไหร่ดี?? ตอบได้ทันทีว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการลงทุนคือจำนวนเงินที่ลงทุน ระยะเวลาและอัตราผลตอบแทน ยิ่งลงทุนมากเท่าไร โอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายก็จะเร็วขึ้น เช่น หากลงทุนด้วยเงิน 1,000 บาท 2,000 บาท และ 5,000 บาทต่อเดือน โดยได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี ต่อเนื่อง 20 ปี การลงทุนเดือนละ 1,000 บาท ณ ปีที่ 20 จะมีเงิน 759,000 บาท ลงทุน 2,000 บาท จะมีเงิน 1,518,000 บาท ลงทุน 5,000 บาท จะมีเงิน 3,796,000 บาท

ลงทุนมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่เป้าหมายและความสามารถในการลงทุนของแต่ละคน ทางที่ดีค่อยๆเพิ่มเงินลงทุนตามรายได้ที่ได้รับมากขึ้นในแต่ละปี มีวินัยลงทุนต่อเนื่องและเลือกช่องทางลงทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี ก็จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอน!!

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดยคุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ นสพ.ไทยรัฐ

ซีพี ออลล์ ได้คะแนนห้าดาว บ.ธรรมาภิบาลดีเลิศในรายงาน CGR ปี 63

0

นายธานินทร์ บูรณมานิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ เปิดเผยว่า ซีพี ออลล์ ได้รับคะแนนประเมินในระดับ 5 ดาว หรือดีเลิศ จากผลสำรวจรายงาน Corporate Governance Report of Thai Listed Companies หรือ CGR ประจำปี 2563 จัดทำโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) จากการสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ทั้งนี้ รายงาน CGR เป็นการสำรวจ และติดตามพัฒนาการด้านการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย ตามหลักเกณฑ์ที่พัฒนาจากหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Cooperation and Development หรือ OECD) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการกำกับดูแลกิจการโดยมีบรรษัทภิบาล (Governance) เป็นพื้นฐาน ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ควบคู่ไปพร้อมกับการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และสังคม

ทั้งนี้ ซีพีออลล์ มีเจตจำนงยึดมั่นในการรังสรรค์ธุรกิจอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และเท่าเทียม เพราะเชื่อมั่นว่า แนวปฏิบัติด้านการดูแลกิจการที่ดี จะช่วยสร้างพื้นฐานความยั่งยืนขององค์กรให้เติบโต และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน สอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกเรื่องการกำกับดูแล

“เพราะความสุขและรอยยิ้มของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายคือหัวใจในการดำเนินธุรกิจของซีพี ออลล์ เราจึงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักธรรมาภิบาล เพื่อเป็นธุรกิจที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ขณะเดียวกัน เรายังส่งเสริมให้บุคลากรเป็นคนดีของสังคม โดยยึดมั่นคาถาบรรษัทภิบาล ซื่อสัตย์ โปร่งใส ยุติธรรม คำนึงถึงชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังให้โอกาสทุกคนในการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง เพื่อสร้างเส้นทางสู่การเติบโตเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืน” 

สำหรับรายงาน CGR จัดทำขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2544 โดยปีนี้มี บล. เข้าร่วมการประเมินทั้งสิ้น 692 บริษัท ภายใต้เกณฑ์ประเมิน 241 ข้อ ใน 5 หมวด ได้แก่ สิทธิผู้ถือหุ้น การปฏิบัติที่เท่าเทียมกันต่อผู้ถือหุ้น บทบาทของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใส และความรับผิดชอบของคณะกรรมการ ซึ่งผล CGR จะถูกนำไปใช้เป็นแนวทางการพัฒนาการกำกับดูแลกิจการ ใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุนในบริษัทจดทะเบียน และใช้คัดกรองรางวัลในด้าน CG อย่าง Board of the Year Awards และ SET Awards ด้วย

ซีพีเอฟ โชว์นวัตกรรม 3i ในงาน Feed Innovation Week 2020

0

ชูแนวคิดลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ สนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจอาหารสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เป็นประธานเปิดงาน Feed Innovation Week 2020 โดยมีนายบุญเสริม เจริญวัฒน์ และนายสกุลยศ สามเสน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส พร้อมด้วยคณะผู้บริหารซีพีเอฟ  ร่วมเปิดงาน ณ ศูนย์การเรียนรู้โรงงานผลิตอาหารสัตว์บก หนองแค จ.สระบุรี เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ที่ผ่านมา

เรวัติ หทัยสัตยพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ

นายเรวัติ กล่าวว่า ธุรกิจอาหารสัตว์บกปลูกฝังค่านิยมองค์กร ในเรื่องการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้แก่พนักงานตามแนวนโยบายของเครือเจริญโภคภัณฑ์มาตลอด ซึ่งช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมาสามารถสร้างนวัตกรได้ถึง 354 คน ภายใต้หลักสูตร Triz ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ให้ความรู้ในเรื่องกระบวนการคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างเป็นระบบ ลดการคาดเดา โดยสามารถนำความรู้ไปต่อยอดในหน่วยธุรกิจของตนเองพร้อมสร้างนวัตกรใหม่ๆเพิ่มขึ้น 

นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ในกระบวนการทำงาน เนื่องจากอาหารสัตว์ถือเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตสินค้าปศุสัตว์ จึงต้องให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพ มาตรฐาน สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และต้องมั่นใจว่า ส่งมอบอาหารปลอดภัยจนถึงมือผู้บริโภค  

“การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้กับธุรกิจอาหารสัตว์บกในการผลิตตลอดเวลา ตอบโจทย์ให้กับคนทำงาน เพื่อประสิทธิการผลิตที่ดี ลดต้นทุน และลดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ อีกทั้งยังส่งเสริมให้พนักงานคิดค้นสิ่งใหม่ๆ เพื่อสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง” นายเรวัติ กล่าว 

โดยครั้งนี้ เป็นการแสดงผลงาน 3i ในรูปแบบ online สอดรับกับการเรียนรู้วิถีใหม่ในยุค New Normal ทั้งหมด 149 ผลงาน ในงาน Feed Innovation Week 2020 ตั้งแต่วันที่ 23-27 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสร้างบรรยากาศให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงาน 3i อย่างต่อเนื่อง คือ i1 การปรับปรุงงาน i2 สร้างสิ่งใหม่ i3 ผลงานนวัตกรรม รวมถึงเป็นเวทีคัดเลือกผลงานที่จะไปนำเสนอในเวที CPF CEO AWARDS 2020 ต่อไป

TrueRyde x Smart Taxi เปิดบริการ PRIVATE TAXI ปลอดภัย ตรวจสอบได้ตลอดการเดินทาง

0

ดร.พงศ์พนัสถ์ สุทธิพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ธุรกิจทรูไรด์ บริษัท ทรูอีโลจิสติกส์ จำกัด เปิดเผยว่า ทรูไรด์ มุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับคนขับรถแท็กซี่ พร้อมร่วมยกระดับมาตรฐานบริการรถแท็กซี่สาธารณะ โดยร่วมมือกับ บริษัท สมาร์ทแท็ก คอมมูนิเคชั่น จำกัด ผู้พัฒนาระบบแท็กซี่โดยคนไทย เพื่อคนไทย เปิดบริการ PRIVATE TAXI BY SMART TAXI ชูจุดเด่นด้านความปลอดภัยตลอดการเดินทางแก่ผู้โดยสาร ด้วยการควบคุมตรวจสอบการให้บริการแบบเรียลไทม์ผ่านระบบดิจิทัล พร้อมอำนวยความสะดวกให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ทรูไรด์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านหลากหลายช่องทาง อาทิ คอลเซ็นเตอร์ ไลน์ และเฟซบุ๊ก เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าที่เน้นความปลอดภัยในการเดินทาง สามารถเลือกใช้บริการ PRIVATE TAXI BY SMART TAXI และยังสามารถชำระค่าโดยสารผ่าน ทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้ด้วย

นอกจากจะเป็นการเพิ่มจำนวนรถแท็กซี่ในแพลตฟอร์มทรูไรด์แล้ว ยังเป็นการสนับสนุนคนขับรถแท็กซี่ให้มีโอกาสเพิ่มรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 โดยทรูไรด์มอบสิทธิประโยชน์สำหรับคนขับรถแท็กซี่ อาทิ ประกันชีวิตกรณีเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต สิทธิ์ซื้อโทรศัพท์มือถือในราคาพิเศษ รวมถึงแพ็กเกจสุดคุ้มให้ติดต่อสื่อสารและใช้งานอินเทอร์เน็ตบนเครือข่ายทรูมูฟ เอช เป็นต้น พร้อมกันนี้ ทรูไรด์ยังเตรียมเปิดให้ลูกค้าสามารถเรียกใช้บริการ PRIVATE TAXI BY SMART TAXI ผ่านแอปพลิเคชันทรูไรด์ ได้เร็วๆ นี้

พิเศษ ทินกร ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทแท็ก คอมมูนิเคชั่น จำกัด กล่าวว่า สมาร์ทแท็กซี่ มีแนวคิดตรงกันกับ ทรูไรด์ ในการยกระดับมาตรฐานคนขับแท็กซี่ อีกทั้งยังมีแพลตฟอร์มที่เข้าถึงคนขับได้ง่าย ปัจจุบันมีรถแท็กซี่ให้บริการทั่วกรุงเทพฯ ถึง 5,000 คัน และได้พัฒนาบริการ PRIVATE TAXI BY SMART TAXI ที่มุ่งสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสาร ทั้งระบบสแกนยืนยันตัวตนของผู้ขับขี่ ทุกครั้งที่เปิดมิเตอร์ ตรวจสอบและรับรองได้ว่าคนขับมีคุณภาพและมีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย รถแท็กซี่ มีระบบ GPS ติดตามและตรวจสอบเส้นทางได้อย่างแม่นยำถูกต้องตลอดการเดินทาง รวมทั้งมีกล้องวงจรปิดภายในตัวรถ บันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างการเดินทาง มีหลักฐานตรวจสอบย้อนหลังได้ มั่นใจว่าความร่วมมือกับทรูไรด์ในครั้งนี้ จะช่วยให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายและปลอดภัยไร้กังวล เมื่อใช้บริการ PRIVATE TAXI BY SMART TAXI

ผู้ที่ต้องการใช้บริการรถแท็กซี่ สามารถเลือกใช้บริการ PRIVATE TAXI BY SMART TAXI ได้ง่ายๆ เพียงสังเกตสติ๊กเกอร์ TrueRyde x Smart Taxi ที่กระจกหน้ารถแท็กซี่ สำหรับคนขับรถแท็กซี่ที่สนใจเข้าร่วมบริการ PRIVATE TAXI BY SMART TAXI สามารถสมัครได้ที่ศูนย์สมาร์ทแท็กซี่ โทร. 02-044-9999 ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป

ซีพีเอฟ ร่วมกับเทศบาลนครสวรรค์ จัดคาราวานสินค้าลดค่าครองชีพ ตั้งแต่วันนี้-28 พ.ย.

0

เทศบาลนครนครสวรรค์ ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จัดมหกรรม “คาราวานซีพีเอฟลดค่าครองชีพแก่ประชาชน” ปีที่ 12 ส่งเสริมการเข้าถึงอาหารคุณภาพดี ในราคาย่อมเยาแก่คนไทยต่อเนื่อง ชวนชาวนครสวรรค์จับจ่ายผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพมาตรฐาน จากบริษัทในเครือซีพีและซีพีเอฟในราคาพิเศษ ณ ลานหน้าเทศบาลนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ ระหว่างวันนี้ (23 พ.ย.)- 28 พ.ย. 2563 เวลา 10.00-21.00 น.

นายอดิศร์ กฤษณวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ เดินหน้าจัดคาราวานสินค้าราคาประหยัดเพื่อลดค่าครองชีพแก่พี่น้องประชาชนชาวไทย และเพิ่มทางเลือกในการเข้าถึงอาหารคุณภาพปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก ถึงมือผู้บริโภคโดยตรงอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 โดยในช่วงต้นปีได้จัดโครงการ “เทศบาลนครนครสวรรค์ ร่วมกับคาราวานซีพีเอฟ ลดค่าครองชีพแก่ประชาชน” และได้รับการตอบรับที่ดีจากพี่น้องชาวปากน้ำโพ ขณะเดียวกันซีพีเอฟตระหนักถึงปัญหาภาวะเศรษฐกิจในวิกฤติโควิด-19 ที่กระทบกับค่าครองชีพของพี่น้องคนไทยในวงกว้าง บริษัทจึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน โดยจัดกิจกรรมขึ้นอีกครั้ง เพื่อร่วมเคียงข้างประชาชนสู้ภัยเศรษฐกิจ ด้วยการยกขบวนคาราวานสินค้าคุณภาพมาตรฐานจากบริษัทในเครือซีพีและซีพีเอฟ ทั้งซีพีเฟรชมาร์ท FiveStar เชสเตอร์ ซีพี-เมจิ นำผลิตภัณฑ์อาหารสด สะอาด ปลอดภัยมาจำหน่ายในราคาประหยัด พร้อมผนึกกำลังกับทรูคอร์ปอเรชั่นนำผลิตภัณฑ์มาจัดจำหน่าย รวมไปถึงของดีประจำจังหวัดและสินค้า OTOP ที่หลากหลาย เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่พี่น้องประชาชน

“กิจกรรมในครั้งนี้ซีพีเอฟร่วมกับบริษัทในเครือซีพี นำผลิตภัณฑ์อาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคร่วมสู้ภัยโควิด-19 มากกว่า 200 รายการ ทั้งผลิตภัณฑ์อาหารสด อาหารแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารพร้อมทาน อาหารเพื่อสุขภาพ และอาหารทานเล่นส่งตรงถึงมือพี่น้องชาวนครสวรรค์และจังหวัดใกล้เคียงได้เลือกจับจ่ายในราคาพิเศษสุด และขอเชิญชวนประชาชนชาวนครสวรรค์และพื้นที่ใกล้เคียง ร่วมเป็นกำลังใจแก่นักมวยไทยในการป้องกันตำแหน่งแชมป์โลก และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารมาตรฐานสากลระดับโลก ในราคาสุดพิเศษ พร้อมร่วมสนุกกับมหกรรมคอนเสิร์ตและความบันเทิงฟรีตลอดงาน”

ภายในงานซีพีเอฟยังเติมพลังชีวิต สืบวิถีไทย…สู่มวยโลก จัดกิจกรรม “ศึกซีพีเอฟยอดมวยโลก” เพื่อสนับสนุนนักมวยชาวไทยให้ก้าวสู่เวทีโลก ในวันศุกร์ที่ 27 พ.ย. เวลา 13.45 น. เป็นการป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกรุ่นมินิมัมเวต 105 ปอนด์ ของสภามวยโลก WBC ระหว่าง วันเฮง ซีพีเอฟ แชมป์โลก กับ ปัญญา ประดับศรี รองแชมป์โลกอันดับ 3 โดยมีการถ่ายทอดสดทางช่อง 7HD พร้อมชมมวยสากลพิเศษ 6 ยก และยังมีการแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินชั้นนำ อาทิ อาม-ชุติมา พร้อมแขกรับเชิญพิเศษ ในวันที่ 25 พ.ย. และ วันเดอร์ เฟรม เต็มวง พร้อมแขกรับเชิญพิเศษ ในวันที่ 26 พ.ย. ที่มาร่วมสร้างสรรความบันเทิงและความสุขให้กับผู้ร่วมงานตลอดการจัดงาน