Home Blog Page 363

รถไฟฟ้าบีทีเอส ปฏิเสธข่าวขึ้นค่าโดยสารตลอดเส้นทาง 158 บาท สัญญาจะให้บริการเป็นปกติจนถึงที่สุด

0

บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ในเครือบมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ออกหนังสือชี้แจงกรณีข่าวว่า บีทีเอสเตรียมขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าตลอดเส้นทางเป็นจำนวน 158 บาทว่า อัตรา 158 บาทเป็นการกำหนดค่าโดยสารตามสัญญาสัมปทานเดิม โดยรถไฟฟ้าบีทีเอส ในฐานะผู้รับผิดชอบการบริหารรถไฟฟ้า ผู้ลงทุนขบวนรถ ส่วนกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในฐานะผู้ลงทุนงานโยธาและระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ได้ร่วมรับผิดชอบดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้ส่วนต่อขยายประกอบด้วยช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า ช่วงอ่อนนุช-เคหะ และ ช่วงหมอชิต-คูคต จำนวน 59 สถานี รวมระยะทางถึง 68.25 กม. สามารถเชื่อมโยงการเดินทางครอบคลุมถึง 3 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี , กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ โดยมีความคืบหน้าพร้อมเปิดเป็นทางการครบทั้ง 59 สถานี ในวันที่ 16 ธ.ค.63 นี้

สำหรับค่าโดยสารที่จะเพิ่มขึ้นจากเส้นทางเดินรถไฟฟ้าในส่วนต่อขยาย ช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า, ช่วงอ่อนนุช-เคหะ และ ช่วงหมอชิต-คูคต ยังคงเป็นการกำหนดโดยกรุงเทพมหานคร ส่วน BTSC อยู่ในฐานะผู้รับจ้างการเดินรถในส่วนต่อขยายนี้เท่านั้น และที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทย รวมถึงกทม.มีเป้าหมายในการทำให้ค่าโดยสารมีอัตราที่เหมาะสม โดยจะมีการเก็บค่าโดยสารตามระยะทางเริ่มต้นจาก 15 บาท และรวมตลอดเส้นทางอยู่ในระดับไม่เกิน 65 บาท เพื่อไม่ให้เป็นภาระกระทบต่อคุณภาพชีวิตชาวกรุงเทพมหานคร จากค่าโดยสารตลอดเส้นทางที่ศึกษาไว้เดิมสูงสุดถึง 158 บาท จนนำมาสู่การเจรจาเพื่อแก้ไขสัญญาสัมปทาน เพื่อให้สามารถจัดเก็บค่าโดยสารตามเป้าหมายและแก้ไขปัญหาเรื่องภาระหนี้สินของกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการและกระทรวงมหาดไทยและอยู่ระหว่างการเสนอขออนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

ทั้งนี้ บริษัทขอยืนยันในข้อเท็จจริงข้างต้น พร้อมย้ำอีกครั้งว่า ถึงแม้จะต้องเป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการเดินรถส่วนต่อขยายจากหนี้คงค้างของกรุงเทพมหานครกว่า 8,000 ล้านบาท ทางบริษัทฯ ให้คำมั่นสัญญาจะรับผิดชอบให้บริการ การเดินรถไฟฟ้าบีทีเอส แก่ชาวกรุงเทพมหานคร และ ปริมณฑล เป็นปกติเช่นเดิมจนถึงที่สุด รวมถึงยืนยันหลักการในความร่วมมือกับทุกฝ่ายโดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย และกทม. เพื่อทำให้แผนการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมระยะทาง 68.25 กม. มีความสมบูรณ์แบบมากที่สุด จนกว่าจะมีความชัดเจนอย่างใดอย่างหนึ่งจากที่ประชุมครม.

CPAll หนุนรร.บ้านดอนแดงดอนน้อยวิทยา สร้างอาชีพ/รายได้ยั่งยืน พร้อมเปิดศูนย์เรียนรู้ทำเฟอร์นิเจอร์จากไม้พาเลท

0

ทักษะงานช่างที่สามารถต่อยอดไปสู่การประกอบอาชีพอาจไม่ใช่สิ่งที่มีสอนในทุกโรงเรียน แต่การสนับสนุนของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ภายใต้การขับเคลื่อนมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์ อีดี (CONNEXT ED) ในโครงการ “ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ไม้ภายใต้แบรนด์ Sambaisit by Dondang” ของ  โรงเรียนบ้านดอนแดงดอนน้อยวิทยา จ.ขอนแก่น กำลังกลายเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างงานสร้างอาชีพผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียน และขยายผลในวงกว้างออกไปสู่การถ่ายทอดองค์ความรู้ในชุมชน 

นายธานินทร์ บูรณมานิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหาร เซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า ด้วยความมุ่งมั่นของบุคลากรภายในโรงเรียนบ้านดอนแดงดอนน้อยวิทยา ในการพัฒนาหลักสูตรทักษะงานช่างสำหรับการประกอบอาชีพสำหรับทั้งในโรงเรียนและชุมชน ประกอบกับแนวคิดในการพัฒนาสินค้าที่ดูแปลกใหม่ สวยงาม ทันสมัย อย่างเฟอร์นิเจอร์จากไม้พาเลทและถังน้ำมัน ซีพี ออลล์ จึงได้เข้ามาสนับสนุนโครงการ “ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ไม้ภายใต้แบรนด์ Sambaisit by Dondang (ซำบายซิท บาย ดอนแดง)” ของ  โรงเรียนบ้านดอนแดงดอนน้อยวิทยา จ.ขอนแก่น ทั้งในด้านงบประมาณ องค์ความรู้ ในการพัฒนาธุรกิจ ตลอดจนช่วยพัฒนาช่องทางออนไลน์ให้พร้อมสำหรับการจำหน่าย 

ธานินทร์ บูรณมานิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

“โครงการนี้มีทั้งแนวคิดที่ดี กระบวนการที่ดี สินค้าที่ดี ตลอดจนจุดมุ่งหมายที่ดี ทั้งเด็กๆ บุคลากรในโรงเรียน ตลอดจนคนในชุมชน สามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับหลักสูตรได้ จึงได้ยกให้โรงเรียนบ้านดอนแดงดอนน้อยวิทยา เป็นหนึ่งในโรงเรียน Best Practice ที่ต่อยอดขึ้นมามี “ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน” พร้อมกับเพิ่มกำลังการผลิตเฟอร์นิเจอร์ และเข้ามาสนับสนุนด้านต่างๆ ด้วยความมุ่งหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างแบรนด์ Sambaisit by Dondang สร้างอาชีพ สร้างรายได้กลับสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน ในอนาคตหากโรงเรียนได้รับการคัดเลือกเป็นโรงเรียนต้นแบบ หรือ School Model ทางซีพี ออลล์ จะช่วยระดมทุน (crowdfunding) ให้คนทั่วประเทศเข้ามาสนับสนุน จนสามารถยกระดับโครงการนี้เป็นวิสาหกิจชุมชนได้เต็มรูปแบบ” นายธานินทร์ กล่าว 

โครงการ “ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ไม้ภายใต้แบรนด์ Sambaisit by Dondang” ของโรงเรียนบ้านดอนแดงดอนน้อยวิทยา มุ่งมั่นถ่ายทอดองค์ความรู้และทักษะในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์จากถังน้ำมันและลังไม้พาเลท ผ่านการบูรณาการให้เข้ากับหลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียนเชื่อมกับกลุ่มสาระวิชาต่างๆ แก่นักเรียนทุกระดับชั้น อาทิ ชั้นอนุบาล 2-3 เรียนเกี่ยวกับส่วนประกอบของต้นไม้ ประโยชน์และการดูแลต้นไม้ ชั้นประถมศึกษาเรียนเรื่องการเจริญเติบโตของพืช พันธุ์ไม้ที่นิยมทำลังไม้พาเลท การออกแบบผลิตภัณฑ์ และชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นเรียนเกี่ยวกับการเทคนิคการออกแบบ กระบวนการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้พาเลทและถังน้ำมันจากปราชญ์ชาวบ้านในชุมชนผ่าน 4 ฐาน ได้แก่ ฐานที่ 1 แซะ งัด แงะ ฐานที่ 2 ขัด ตัด แต่ง ฐานที่ 3 ประกอบร่าง และฐานที่ 4 พ่น สี ว๊าว รวมถึงการจัดทำบัญชี การโฆษณาและประชาสัมพันธ์  

นอกจากนั้น ทางโรงเรียนได้จัดทำหลักสูตร Sambaisit by Dondang สำหรับประชาชนทั่วไปในการอบรมการออกแบบและผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้พาเลท จำนวน 15 ชั่วโมง โดยผู้ร่วมอบรมจะได้การรับรองจากสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค 6 ขอนแก่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตหากมีความต้องการสินค้ามากขึ้นในอนาคต และนำรายได้ชุมชนบ้านดอนแดง บ้านดอนน้อย และบ้านดอนเจริญ ทั้งยังร่วมกับคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พัฒนารูปลักษณ์ให้ทันสมัยและควบคุมมาตรฐานการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ให้แข็งแรงทนทานต่อการใช้สอยมากขึ้น  

นายนราวุธ รามศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านดอนแดงดอนน้อยวิทยา เล่าว่า เนื่องจากภายใน 3 ชุมชนคือ บ้านดอนแดง บ้านดอนน้อย และบ้านดอนเจริญ มีภูมิปัญญาท้องถิ่น และปราชญ์ชาวบ้านผู้เชี่ยวชาญในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ ทางโรงเรียนจึงสืบทอดมรดกของชุมชนให้คงอยู่ต่อไปด้วยการบรรจุทักษะผลิตเฟอร์นิเจอร์จากไม้พาเลทและถังน้ำมันเข้าสู่หลักสูตรท้องถิ่นในปี 2562  ทั้งนี้ ขอขอบคุณซีพี ออลล์ ที่เข้ามาสร้างฝัน สนับสนุนทุนการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงวางแผนขยายการจัดจำหน่ายสินค้าออกไปทั่วประเทศ เช่น ออกแบบเป็นเฟอร์นิเจอร์ถอดประกอบซึ่งสะดวกต่อการขนส่งมากขึ้น และพัฒนาระบบจำหน่ายสินค้าออนไลน์ให้รวดเร็วและมีหลากหลายช่องทางมากขึ้น 

ด้านด.ญ.ณิชมน กันทรนิคม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านดอนแดงดอนน้อยวิทยา เล่าเพิ่มเติมว่า โครงการ CONNEXT ED ช่วยเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ขั้นตอนการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ การสื่อสารทางการตลาด และฝึกการทำงานร่วมกับเพื่อนๆ ทั้งยังได้ซีพี ออลล์เข้ามาช่วยสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ไม้ภายใต้แบรนด์ Sambaisit by Dondang ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์ของโรงเรียนเป็นที่รู้จักและนำรายได้สู่ชุมชนมากขึ้น  หลังจากนี้ตั้งใจว่าจะนำความรู้และทักษะต่างๆ ที่ฝึกฝนไปต่อยอดอาชีพเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวในอนาคต จึงอยากขอขอบคุณคุณครู เพื่อนๆ คนในชุมชนและซีพี ออลล์ ผู้ใหญ่ใจดีที่ช่วยสนับสนุนโครงการนี้  

ขณะที่นายชัณต์ฎณัย ขุลีทรัพย์ รองผู้จัดการฝ่ายบริหารทั่วไป และรักษาการฝ่ายควบคุมสินค้า DC ขอนแก่น ผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ที่ดูแลโรงเรียนบ้านดอนแดงดอนน้อยวิทยา เปิดเผยว่า ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ไม้ภายใต้แบรนด์ Sambaisit by Dondang ก่อให้เกิดการร่วมแรงร่วมใจระหว่างโรงเรียนและชาวบ้านทั้ง 3 ชุมชนเป็นอย่างดี เนื่องจากทุกคนภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นและพัฒนาแบรนด์สินค้าประจำชุมชน  

“เราได้เห็นว่าทุกคนในชุมชนมีความตั้งใจในการรักษามรดกทางภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งผู้อำนวยการและคุณครูในโรงเรียนที่พยายามบูรณาการความรู้เข้ากับหลักสูตรท้องถิ่นแก่นักเรียนทุกระดับชั้น ปราชญ์ชาวบ้านผู้เป็นขุมทรัพย์ขององค์ความรู้ท้องถิ่นช่วยเป็นวิทยากรแก่ผู้ฝึกอบรม ไปจนถึงผู้ปกครองและชาวบ้านที่ร่วมมาเรียนรู้และพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน รวมถึงในอนาคตยังวางแผนการจัดจำหน่ายให้กระจายไปทั่วประเทศ จึงถือเป็นโครงการที่สร้างมูลค่าให้ชุมชนอย่างยั่งยืน” นายชัณต์ฎณัย กล่าว 

สำหรับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในพันธมิตรก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์ อีดี (CONNEXT ED) และเป็น 1 ใน 41 องค์กรเอกชนที่เล็งเห็นความสำคัญและตอบรับการมีส่วนร่วมทางการศึกษา โดยปัจจุบัน ซีพี ออลล์ ดูแลโรงเรียนในโครงการ CONNEXT ED จำนวน 392 แห่งทั่วประเทศ ร่วมสนับสนุนโรงเรียนให้สามารถดำเนินโครงการด้านต่างๆ ทั้งโครงการที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ โครงการพัฒนาคุณภาพคน โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โครงการส่งเสริมอาชีพ โครงการด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้นำรุ่นใหม่ หรือ School Partner ซึ่งเป็นอาสาสมัครจากในองค์กรร่วมลงพื้นที่และคอยให้คำแนะนำในการพัฒนาโครงการของโรงเรียนต่างๆ อย่างใกล้ชิด   

TIP จับมือโลเคเนชั่น เปิดตัวศูนย์ข้อมูลที่กักตัวทางเลือกสำหรับคนต่างชาติ

0

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีการแถลงข่าวเปิดตัว “ASQ Paradise ศูนย์รวมข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่กักตัวทางเลือกสำหรับชาวต่างชาติ” (Alternative State Quarantine) เว็บไซต์ค้นหาที่พักอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศและคุ้มครองประกันโควิด – 19 โดยมี ดร.พลรัตน์ เอกโยคยะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์, นางสาวณฐินี ธนะรัชต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุ บมจ. ทิพยประกันภัย, นายเปเป้ อรุณานนท์ชัย ผู้ก่อตั้ง บริษัท โลเคเนชั่น จำกัด , นายปรินทร์ พัฒนธรรม ประธานชมรม ASQ Thailand Club และกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ พร้อมด้วย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยท (ททท.) ร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวครั้งนี้

สำหรับ ASQ Paradise นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสามารถเลือกจองที่พักในโครงการในช่วงระหว่างกักตัวผ่านเว็บไซต์ www.asq.locanation.com ซึ่งจะมีกิจกรรมต่างๆสำหรับนักท่องเที่ยวให้ทำ เช่น กิจกรรมนันทนาการ Quarantine Shopping online, กิจกรรม Happy DIY Set ซึ่งจะเป็นสินค้าพรีเมี่ยมจากชุมชนท่องเที่ยวของประเทศไทย มอบให้กับนักท่องเที่ยวที่ทำการจองและเข้าพักใน ASQ รวมถึงกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย

ด้านบมจ. ทิพยประกันภัย เองได้ออกแบบแพคเกจประกันภัยที่เหมาะสมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เช่น การให้ความคุ้มครองประกันภัยโควิดทุนประกันภัยสูงสุด 100,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐรวมถึงประกันสุขภาพอื่นๆ ตามประกาศของรัฐบาล ตามข้อกำหนดของวีซ่าแต่ละประเภท เพื่อสร้างความมั่นใจและอำนวยความสะดวกให้กับชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยหรือท่องเที่ยวอยู่ในประเทศไทยสูงสุดระยะเวลานาน 1 ปีรวมถึงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจสำหรับผู้ประกอบการในประเทศ อีกด้วย

ออมสิน พักหนี้ 3 เดือนทันที พร้อมปล่อยกู้ฉุกเฉินปลอดดอกเบี้ยช่วยพี่น้องชาวใต้เดือดร้อนน้ำท่วมหนัก

0
วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้เร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติน้ำท่วมใน จ.นครศรีธรรมราช กับ จ.สุราษฎร์ธานี โดยนำถุงยังชีพและน้ำดื่มไปแจกจ่ายเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าเป็นการด่วนแล้วกว่า 3,500 ชุด และหน่วยบริการอาหารฟรีทุกวัน โดยในสองจังหวัด มีลูกค้าเงินฝากและสินเชื่อธนาคารออมสินกว่า 957,000 ราย และพื้นที่ใกล้เคียง ธนาคารออมสินได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน โดยได้ออกมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกค้าสินเชื่อทุกประเภท แบ่งเป็น 3 ระดับตามความหนักเบาของผลกระทบที่ได้รับ

  • ระดับความรุนแรงสูง และทางการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัย ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบที่พักอาศัย/สถานประกอบการเสียหายส่งผลให้รายได้ลดลง และ/หรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ธนาคารฯ ผ่อนปรนให้พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน
  • ระดับความรุนแรงปานกลาง ที่มีน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน และมีค่าใช้จ่ายปรับปรุง/ซ่อมแซม ให้พักชำระเงินต้นและชำระแต่ดอกเบี้ย 50% ในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี
  • ระดับความรุนแรงขั้นต้น ที่ถูกภัยน้ำท่วมและมีน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน ให้พักชำระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี และชำระเงินแต่ดอกเบี้ย ขยายเวลาชำระหนี้เท่ากับระยะเวลาพักชำระเงินต้น

ขณะเดียวกัน ออมสินยังให้ประชาชนที่ประสบภัยกู้เงินฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากเหตุน้ำท่วม/ภัยพิบัติ รายละไม่เกิน 50,000 บาท ไม่คิดดอกเบี้ยในปีแรก หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.85 ต่อเดือน (Flat Rate) ชำระเงินเป็นรายเดือน 3-5 ปี โดยปลอดชำระเงินงวด 3 เดือนแรกนอกจากนี้ ยังให้สินเชื่อเคหะแก่ผู้ประสบภัยพิบัติ เพิ่มเติมสำหรับลูกค้าเดิมและประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบเพื่อซ่อมแซมต่อเติมที่อยู่อาศัยส่วนที่เสียหายได้ถึง 100% ของราคาประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยดอกเบี้ยปีแรก 0% ปีที่ 2-3 = 3.00% ต่อปี และ ปีที่ 4 เป็นต้นไป = MRR-0.75% ต่อปี และสินเชื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจของธนาคาร วงเงินกู้สูงสุด 10% ของวงเงินกู้เดิมแต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 5 ปี โดยปลอดชำระเงินต้น 1 ปี อัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.50% ปีที่ 2 เป็นต้นไป = MLR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยธนาคาร MRR = 6.245% และ MLR = 6.150% ต่อปี)

เชสเตอร์ เดินหน้า”ปันรัก ปันน้ำใจ” ปีที่ 8 วัดป่าเจริญราช

0

รายงานข่าวจาก บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด เปิดเผยว่า ผู้บริหารของบริษัท นำโดย นางรุ่งทิพย์ พรหมชาติ รองกรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วย นางสาวสิริญชา จันทรคำ ผู้จัดการทั่วไป (การตลาด) และพนักงาน ร่วมทำกิจกรรมจิตอาสา ในโครงการ “เชสเตอร์ ปันรัก ปันน้ำใจ” ปีที่ 8 ที่วัดป่าเจริญราช อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี

นางรุ่งทิพย์ เปิดเผยว่า เชสเตอร์ฟู้ด จัดกิจกรรมเพื่อสังคม ภายใต้โครงการ “เชสเตอร์ ปันรัก ปันน้ำใจ” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 เพื่อส่งเสริมและปลูกฝังความมีจิตสาธารณะให้กับผู้บริหารและพนักงาน ด้วยการร่วมทำความดีในกิจกรรมจิตอาสาช่วยเหลือสังคมอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง

โดยล่าสุด ได้นำผู้บริหารและพนักงานไปช่วยกันพัฒนาปรับปรุงภูมิทัศน์ และทำความสะอาดศาสนสถาน โดยมีเป้าหมาย สืบสานหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่ดี ด้วยการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งนำเงินบริจาคจากลูกค้าที่ผ่านกล่องรับบริจาคในร้านเชสเตอร์กว่า 200 สาขาทั่วประเทศ ร่วมสมทบทุนจัดซื้อสิ่งของอุปโภค บริโภค เพื่อถวายวัด สำหรับพระสงฆ์และผู้มาปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าเจริญราช อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี

เชสเตอร์ฟู้ดส์ ดำเนินโครงการ “เชสเตอร์ ปันรัก ปันน้ำใจ” เน้นการจัดกิจกรรมจิตอาสาให้กับมูลนิธิและองค์กรสาธารณประโยชน์ที่ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคม ให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือสังคมด้วยการกำหนดนโยบายเพื่อนำสู่การปฏิบัติงานอย่างแท้จริง โดยมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือสังคมในทุกด้าน เพื่อร่วมสร้างความมั่นคง และยั่งยืนให้แก่ประเทศ

AIS จับมือค่ายเพลง ใช้ 5G ทำมิวสิควิดีโอวีอาร์ครั้งแรกในไทย

0

นางศิวลี บูรณสงคราม หัวหน้าแผนกงานบริหารแบรนด์ เอไอเอส เปิดเผยว่า บริษํทเดินหน้าขยายศักยภาพ 5G สู่การยกระดับอุตสาหกรรมบันเทิงไทย โดยผนึกความร่วมมือในรูปแบบ Co-Creation Content กับ บีอีซี-เทโร มิวสิค ในเครือ บริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และ โฟร์ วัน วัน มิวสิก ในเครือ บริษัท โฟร์ วัน วัน เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด สร้างสรรค์ 1st MV VR 360 by AIS 5G มิวสิกวิดีโอในรูปแบบ Virtual Reality (VR) สุดล้ำครั้งแรกในประเทศไทย ในโปรเจ็กต์ “แอลลี่ อิน เดอะ ไนน์ตี้ส์” (ALLY IN THE 90’S)  นำเพลงสุดฮิตในตำนานไอดอลยุค 90’S อย่าง “ผ้าเช็ดหน้า” มาทำใหม่ โดยได้ศิลปินสาว แอลลี่-อชิรญา นิติพน นักร้องไอดอลหญิง เป็นผู้ขับร้องเพลง โดย เอไอเอส นำเทคโนโลยี VR 360๐ เข้ามาสนับสนุนการผลิต MV เพลงดังกล่าว ถือเป็นการต่อยอดความสามารถของ 5G 

สามารถรับชมได้ผ่านแอปพลิเคชัน AIS 5G PLAY VR และยังเพิ่มความเสมือนจริงได้เมื่อรับชมแบบ VR MODE ผ่านแว่น AIS PLAY VR และแว่น AIS VR 4K นอกจากนี้ ยังมีแอปพลิเคชัน AIS 5G PLAY AR ที่ให้ทุกคนเข้าไปเต้นกับศิลปินได้เหมือนอยู่ในสถานที่เดียวกัน ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีสุดล้ำที่ให้ศิลปินได้แสดงผลงานและแสดงความสามารถที่มี เพื่อสร้าง Engagement กับแฟนคลับได้อย่างสอดรับกับโลกในยุคนิวนอร์มอลอีกด้วย ทั้งยังเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมวงการบันเทิงของประเทศไทยไปพร้อมกัน

ติดตามชมเอ็มวีเพลง ผ้าเช็ดหน้า ในรูปแบบ 1st MV VR 360 by AIS 5G ได้ที่แอปพลิเคชัน AIS 5G PLAY VR ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และถ่ายรูปหรือวิดีโอได้ใกล้ชิดเสมือนจริงกับแอลลี่ได้ที่แอปพลิเคชัน AIS 5G PLAY AR โดยทั้งสองแอปพลิเคชันพร้อมให้ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้บน App Store และ Play Store

สิงห์อาสา ลุยน้ำท่วมภาคใต้ ส่งน้ำ-ข้าวสาร ถึงมือพี่น้องชาวนครศรีฯ

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ สืบเนื่องมาจากลมมรสุมพัดปกคลุมอ่าวไทย และหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.63 ที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายพื้นที่ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน จ.นครศรีธรรมราช เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก เข้าท่วมทั้ง 23 อำเภอของจังหวัด โดยอำเภอที่หนักสุด อาทิ อ.เมือง อ.พระพรหม อ.เชียรใหญ่ อ.เฉลิมพระเกียรติ อ.ลานสกา อ.นบพิตำ อ.ท่าศาลา อ.ทุ่งสง ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 184,750 ครัวเรือน หรือ 5 แสนคน

ล่าสุด เมื่อ 3 ธ.ค.63 สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ บริษัท สิงห์อรฉัตร จำกัด พร้อม หน่วยกู้ชีพ กู้ภัยนครเต็กก่าจีคุงเกาะ จ.นครศรีธรรมราช และเครือข่ายนักศึกษาสิงห์อาสา จาก ม.ราชภัฏนครศรีธรรมราช ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช โดยได้นำน้ำดื่มสิงห์ และข้าวสาร รวมถึงอาหารปรุงสุก ไปมอบให้พี่น้องประชาชนผู้ประสบภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น รวมถึง ซึ่งกลุ่มสิงห์อาสา จะลงพื้นที่ต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้จะคลี่คลาย เพื่อเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องผู้ประสบภัยต่อไป

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : “ขยะล่องหน”

0

สัปดาห์ที่แล้ว “คุณนายพารวย” พาพักเรื่องเงินๆทองๆ ไปทำความรู้จักกับอีกบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯ กับ Care the Wild : ปลูกป้อง Plant & Protect โดยการระดมทุนจากภาคธุรกิจและบุคคลทั่วไป เพื่อร่วมกัน “ปลูกไม้ให้ได้ป่า” ซึ่งจะได้ติดตามการเติบโตของต้นไม้ เรียนรู้ และร่วมดูแลเอาใจใส่ต้นไม้ที่ปลูกให้เติบโต ร่วมกับชาวบ้านผู้รักษาป่าได้ ผ่านแอปพลิเคชัน “Care the Wild”

สัปดาห์นี้ มาว่ากันต่อกับอีกโครงการดีๆ คือโครงการ “Care the Whale ขยะล่องหน” เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาคสังคม ภาคธุรกิจ ภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในย่านถนนรัชดาภิเษก เพราะการทำธุรกิจปัจจุบัน จะคิดแต่ผลกำไรอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องใส่ใจต่อส่วนรวม สังคมและสิ่งแวดล้อม

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้รวมพลังกับภาคธุรกิจที่อยู่บนถนนรัชดาภิเษก ทั้งสถานประกอบการสำนักงาน อาคารที่อยู่อาศัย และศูนย์การค้า โดยแต่ละบริษัทได้จัดให้มีการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม จัดกิจกรรมภายในองค์กร การเก็บข้อมูลและรายงานความคืบหน้า การสร้างเนื้อหา เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การเป็นศูนย์เรียนรู้ เรื่องสิ่งแวดล้อม การจัดการของเสีย และประเด็นอื่นๆ ภายใต้กรอบความรู้ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

ด้วยแนวคิด กำจัดคำว่า “ขยะ” ให้หายไป ร่วมหาทางใช้…ให้ถึงที่สุด โดยเริ่มต้นที่ตัวเราทุกคน ร่วมรณรงค์แนวคิดใหม่ให้ไม่มีคำว่า “ขยะ” อยู่ในการดำเนินชีวิต ใช้ทรัพยากรทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อให้ “ขยะล่องหน” หรือทำให้ “การก่อขยะเป็นศูนย์” ซึ่งต้องอาศัยการผนึกกำลังของทุกองค์กร ทั้งการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ของสมาชิกในเครือข่าย โดยข้อมูลทั้งหมดของโครงการจะถูกจัดเก็บและประมวลผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการลดขยะต้นทาง เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายการลดโลกร้อน

งานนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะผู้ริเริ่มโครงการ ได้เปิดพื้นที่อาคารให้เป็น “ศูนย์เรียนรู้เส้นทาง Zero Waste to landfill” เพื่อให้เกิดการพัฒนางานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการจัดการ การบริหารต้นทุน การประสานเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการวัสดุ สิ่งของ เพื่อการแปรรูปหรือกำจัดได้อย่างเหมาะสม เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างแท้จริง

“Care the Whale ขยะล่องหน” มี “วาฬ (Whale)” เป็นตัวแทนของระบบนิเวศที่รอให้มนุษย์เข้ามาแก้ไขและสร้างความสมดุล โดยองค์กรพันธมิตรย่านรัชดาจะมีวาฬอยู่หน้าอาคาร ซึ่งจะมีแนวคิดและเรื่องราวที่แตกต่างกันไป

“วาฬ” ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ตึกอาคารเลขที่ 93 บนถนนรัชดาภิเษก เป็นประติมากรรมจากขยะพลาสติก เพื่อให้ทุกคนตระหนักว่า ปัจจุบันเราสร้างขยะพลาสติกจำนวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อทรัพยากรของโลก ระบบนิเวศทั้งบนบกและในน้ำ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ และสภาพอากาศของโลก

ทุกคนมีส่วนร่วมกับโครงการนี้ได้ ด้วยการลดการก่อขยะ ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แยกประเภทขยะก่อนทิ้ง หากเรากำจัดขยะได้ถูกวิธีตั้งแต่ต้นทางแล้ว ต่อไปจะกำจัดอุปสรรคต่อวินัยการออมของตัวเองได้ก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรง เรามาเริ่มต้นทำให้ “ขยะล่องหน” แต่หมั่นเพิ่มพูน “เงินออม” ตั้งแต่วันนี้กันดีกว่า!!

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

คนขับรถต้องใส่ใจ ระยะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง

0

น้ำมันเครื่อง ทำหน้าที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ให้นานยิ่งขึ้น รวมถึงป้องกันการสึกหรอของเครื่องยนต์ด้วย

ปกติการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ควรจะทำทุก 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน หรืออาจจะเร็วกว่านั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้งานของรถยนต์แต่ละบ้าน และเมื่อถึงกำหนดเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง แต่ยังนิ่งเฉย ผลที่ตามมาคือเครื่องยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่อื่น ๆ จะมีโอกาสเสียหายมากขึ้น

เมื่อพบว่ารถยนต์ของเราเกิดอาการงอแงแบบนี้ มีสิทธิ์ซ่อมเครื่องชุดใหญ่
1. เครื่องยนต์สั่นและเสียงดังกว่าปกติ
2. เครื่องกินน้ำมันมากขึ้น จากปกติเติมสัปดาห์ละครั้ง อาจจะเพิ่มเป็น 2 – 3 ครั้ง
3. เครื่องอืด อัตราเร่งหนืด เร่งความเร็วไม่ขึ้น

คนใช้รถ จึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องระยะเวลาหรือรอบเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง โดยปกติแล้ว ระยะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง มี 3 ประเภท ได้แก่

  • น้ำมันเครื่องธรรมดา ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน ราคาถูก อายุการใช้งานสั้น ควรเปลี่ยนทุก 5,000 กิโลเมตร
  • น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ผลิตจากน้ำมันแร่ผสมกับน้ำมันสังเคราะห์ อายุการใช้งานจะน้อยกว่าแบบสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนทุก 7,000 – 8,000 กิโลเมตร
  • น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ผลิตจากน้ำมันเกรดสูง ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการกลั่น คุณภาพดีกว่าน้ำมันชนิดอื่น ควรเปลี่ยนทุก 10,000 – 15,000 กิโลเมตร

ทั้งนี้ รอบการเปลี่ยนเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับการใช้งาน ระยะทางและสภาพอากาศที่ส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์ด้วย เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นขณะขับรถ แนะนำให้หมั่นตรวจเช็กเครื่องยนต์หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องก่อนถึงระยะที่กำหนด เพื่อให้รถยนต์ใช้งานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ


ที่มา บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) เพจ OR Official

ธ.ก.ส. ออกสินเชื่อ ช่วยรักษาเสถียรภาพราคาข้าว

0

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดโครงการสินเชื่อชะลอขายข้าวเปลือก ฟรีดอกเบี้ย 5 เดือน และสินเชื่อรวบรวมข้าวโดยสถาบันเกษตรกร อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี วงเงินรวมกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการเก็บรักษาข้าวเปลือกและรักษาเสถียรภาพด้านราคาข้าวไม่ให้ตกต่ำในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก

นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ที่เสนอโดยกระทรวงพาณิชย์ และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม และ 26 พฤศจิกายน 2563 ได้เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. สนับสนุนการจ่ายเงินในโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว เพื่อช่วยเหลือให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม เป็นธรรม คุ้มค่ากับการผลิต และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 กับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปแล้วนั้น

เพื่อเป็นการดูแลรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีรายได้ที่มั่นคง รัฐบาลได้มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการภายใต้มาตรการคู่ขนานเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 เพื่อให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนระหว่างชะลอการขายข้าว ไม่ต้องเร่งขายในช่วงที่ราคาตกต่ำ โดยมีเป้าหมายการจ่ายสินเชื่อจำนวน 1.5 ล้านตันข้าวเปลือก ณ ความชื้นไม่เกินร้อยละ 15 สิ่งเจือปนไม่เกินร้อยละ 2 ซึ่งข้าวเปลือกชนิดสีได้ต้นข้าวต่ำกว่า 20 กรัม ไม่รับเข้าร่วมโครงการ และข้าวหอมมะลิจะมีเมล็ดข้าวแดงได้ไม่เกินร้อยละ 0.5 (ไม่เกิน 22 เมล็ดใน 100 กรัม) กำหนดวงเงินสินเชื่อต่อตัน ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิในเขต 23 จังหวัด ตั้งแต่ 10,400 – 11,000 บาท/ตัน ข้าวหอมมะลินอกเขต 23 จังหวัด ตั้งแต่ 8,900 – 9,500 บาท/ตัน ข้าวเจ้า 5,400 บาท/ตัน ข้าวหอมปทุม 7,300 บาท/ตัน และข้าวเหนียว 8,600 บาท/ตัน วงเงินรวม 15,284 ล้านบาท โดยเกษตรกรกู้ได้รายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตรแห่งละไม่เกิน 300 ล้านบาท กลุ่มเกษตรกรแห่งละไม่เกิน 20 ล้านบาท และวิสาหกิจชุมชนแห่งละไม่เกิน 5 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่บัดนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2564 และภาคใต้ตั้งแต่เดือนมีนาคม – 31 กรกฎาคม 2564 กำหนดชำระคืนเงินกู้ภายใน 5 เดือนนับถัดจากเดือนที่รับเงินกู้ โดยไม่มีอัตราดอกเบี้ย

และโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2563/64 เพื่อช่วยให้สถาบันเกษตรกรเข้ามามีบทบาทในการช่วยดูดซับปริมาณข้าวเปลือกในตลาดโดยรวบรวมและรับซื้อข้าวจากสมาชิกและเกษตรกรทั่วไป นำมาเก็บรักษาตามเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อรอการขายหรือนำมาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรจะได้รับวงเงินกู้ตามศักยภาพ แผนธุรกิจ และไม่เกินวงเงินที่นายทะเบียนกำหนด ระยะเวลาตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 กันยายน 2564 กำหนดระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้ตามรอบธุรกิจแต่ไม่เกิน 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือโทร Call Center 02 555 0555