Home Blog Page 378

สิงห์อาสา ลงพื้นที่สะเมิง ส่งกำลังใจและมอบน้ำดื่มให้เจ้าหน้าที่ดับไฟป่า

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 มี.ค 64 สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ เครือข่ายนักศึกษามหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา จ.เชียงใหม่ ลงพื้นที่มอบน้ำดื่มสิงห์ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ควบคุมไฟป่า ณ สถานีควบคุมไฟป่าขุนขาน-สะเมิง เนื่องจากคืนวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมาเกิดไฟป่ากระจายเป็นวงกว้างบนภูเขาบริเวณบ้านศาลา ต.สะเมิงใต้ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ทำให้เจ้าหน้าที่ดับไฟป่า เจ้าหน้าที่สถานีควบคุมไฟป่าขุนขาน-สะเมิง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 เชียงใหม่ ชุดเหยี่ยวไฟ กรมป่าไม้ และชุดอาสาสมัครดับไฟป่าของหมู่บ้านจำนวนมากต้องเร่งขึ้นไปปฏิบัติภารกิจเร่งด่วนเพื่อควบคุมไฟป่า และทำแนวกันไฟ เพื่อสกัดไม่ให้ไฟลุกลามไปยังบริเวณอื่น

ทั้งนี้ สิงห์อาสาจะคอยติดตามสถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนืออย่างใกล้ชิด โดยได้รับความร่วมมือจาก10 เครือข่ายสถาบันการศึกษาภาคเหนือที่ได้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังไฟป่าเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า ทั้งในเรื่องของน้ำดื่ม ข้าวสารและอุปกรณ์ดับไฟป่า อุปกรณ์ที่จำเป็นแก่เจ้าหน้าที่ รวมถึงจัดอบรมแก่ประชาชนในพื้นที่เพื่อสร้างการตระหนักถึงปัญหาไฟป่าและหมอกควันและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนต่อไป

ทิพยประกันภัย เปิดตัว TIP Rainbow ปลดล็อคเงื่อนไข ผู้รับผลประโยชน์ไม่ต้องสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือระบุเพศ

0

ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย เปิดเผยว่า ทิพยฯ เปิดตัวโครงการ “TIP Rainbow” เพื่อปลดล็อคทุกเงื่อนไข ก้าวข้ามกรอบมอบสิทธิ์ให้กับคนที่คุณรัก คู่รัก คู่ชีวิต โดยผู้รับผลประโยชน์ไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือระบุเพศ สำหรับทุกการประกันภัยส่วนบุคคล (Personal Line) ทุกประเภท ของบริษัทฯ นอกจากนี้เตรียมส่งทัพกรมธรรม์ ภายใต้โครงการ เช่น ประกันรถยนต์ ประกันอัคคีภัย ฯลฯ พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์โครงการ TIP Rainbow “อ๊อฟ ปองศักดิ์ รัตนพงษ์”

จากความสำเร็จของการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบสนองความต้องการในแต่ละ Lifestyle และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า อาทิ ประกันภัย “TIP Lady” ประกันภัยรถยนต์สำหรับผู้หญิง ที่ให้มากกว่าประกันชั้น 1 , ประกัน “TIP อัพทูไมล์” ประกันรถยนต์ชั้น 1 ขับแค่ไหน จ่ายแค่นั้น ตามระยะไมล์ ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว

สำหรับ “TIP Rainbow” ได้ถูกสร้างสรรค์จากทีมงานคนรุ่นใหม่ของทิพยประกันภัย ที่มีแนวคิดที่ต้องการตอบสนองความต้องการทุก Lifestyle เพื่อจะปลดล็อคข้อจำกัดต่างๆ เพิ่มทางเลือกใหม่ จากแนวคิดนี้ ส่งผลให้ทิพยประกันภัยได้ มีการเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้ เพิ่มเติมจากการระบุคำนำหน้าชื่อตามแบบเดิมๆ เช่น นาย นาง นางสาว รวมถึง สามารถระบุคู่ชีวิต คู่รัก ของตนเองเป็นผู้รับผลประโยชน์ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ซึ่งการระบุดังกล่าวจะปรับใช้ในทุกการประกันภัยส่วนบุคคล (Personal Line) ทุกประเภทของบริษัทฯด้วย เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่

พร้อมกันนี้ยังได้เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์โครงการ TIP Rainbow “อ๊อฟ ปองศักดิ์ รัตนพงษ์” ศิลปิน นักร้อง นักแสดง ที่เป็นตัวแทนของคนที่มีความชัดเจน มีความหลากหลายในชีวิต เป็น ไอคอนของการก้าวข้ามทุกข้อจำกัดได้อย่างชัดเจนที่สุด

หลังจากนี้ทิพยประกันภัยเตรียมเปิดตัวประกันภัยต่างๆที่อยู่ภายใต้โครงการ TIP Rainbow เช่น ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล ที่มีความคุ้มครองพิเศษแปลกใหม่นอกเหนือจากประกันสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคลอื่นๆ ประกันรถยนต์ ประกันอัคคีภัย ฯลฯ

อย่างไรก็ตามทิพยประกันภัยยังคงให้ความสำคัญ ในทุกความต้องการของลูกค้าทุกๆกลุ่่ม เพราะเราเข้าใจ เราจึงอยากดูแล ทั้งหมดนี้คือความตั้งใจที่จะมอบการให้บริการอย่างดีที่สุด สำหรับลูกค้าทุกๆท่าน เรายังมีผลิตภัณฑ์ประกันภัยส่วนบุคคล (Personal Line) อีกมากมาย เช่น ประกันภัยโควิด ที่เราได้ออกมารับประกันเป็นเจ้าแรกของประเทศ ประกันวัคซีนโควิด ประกันรถยนต์ ประกันอัคคีภัย ประกันการเดินทาง ประกันสัตว์เลี้ยง และประกันอื่นๆ

สำหรับรายละเอียดโครงการ หรือสนใจทำประกันภัย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.Tipinsure.com หรือโทร 1736 และสำนักงานสาขาของทิพยประกันภัยทั่วประเทศ

OR มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางชุมชน เปิดตัวแคมเปญโฆษณา “PTT Station เติมเต็มทุกความสุข” เติบโตไปพร้อมชุมชน

0
จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า โออาร์ มีเป้าหมายที่จะเป็นองค์กรชั้นนำระดับโลกที่สร้างคุณค่าและสร้างพลังบวกให้กับสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม มุ่งดำเนินธุรกิจโดยนำความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) ในการออกแบบรูปแบบทางธุรกิจ ด้วยแนวคิด “Retailing Beyond Fuel” ที่มุ่งพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค พร้อมกับดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน และสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกันอย่างยั่งยืน ในฐานะที่ OR เป็นผู้บริหารแบรนด์ PTT Station สถานีบริการน้ำมันซึ่งเติบโตเคียงข้างคนไทยมากว่า 30 ปี และครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ต่อเนื่อง 25 ปี จึงกำหนดกลยุทธ์ให้ PTT Station ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางที่จะร่วมเติมเต็มทุกความสุขและเติบโตไปพร้อมกับทุกชุมชน (Living Community) โดยพัฒนาและออกแบบองค์ประกอบที่อยู่ใน PTT Station ให้สามารถตอบโจทย์ให้ครอบคลุมการเติมเต็มความสุขให้ครอบคลุมครบทุกความต้องการของคนไทย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 เป้าหมาย ได้ดังนี้

1.     เติมเต็มความสุข…ให้ผู้คน PTT Station ใส่ใจทุกความต้องการ เพื่อรอยยิ้มของทุกคน ด้วยการพัฒนาสินค้า บริการ สิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย ผ่านโครงการต่าง ๆ ได้แก่

·      จุดช่วยเหลือเพื่อนเดินทาง…เติมเต็มความสุขให้คนเดินทาง จัดตั้งจุดช่วยเหลือเพื่อนเดินทาง ซึ่งเป็นจุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น และจุดซ่อมรถเบา เพื่อให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดเรื่องฉุกเฉินโดยทันที

·      Friendly Design…เติมเต็มความสุข ความห่วงใยให้ทุกคน ออกแบบพื้นที่ใน PTT Station เพื่อให้เหมาะกับการเดินทางของคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสภาพร่างกาย เพื่อสร้างความอุ่นใจว่าทุกคนจะได้รับความสะดวกระหว่างการเดินทาง

2.     เติมเต็มความสุข…ให้ชุมชน PTT Station ร่วมสร้างคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจที่ดีแก่ชุมชน สังคม ผ่านการนำเอกลักษณ์และความภาคภูมิใจของแต่ละท้องถิ่น มาสร้างโอกาสและรายได้ให้คนในท้องถิ่นผ่านโครงการ ดังต่อไปนี้

·      พื้นที่ปันสุข…เติมเต็มความสุข ให้รอยยิ้มของเกษตรกร ช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่ประสบปัญหาในการหาช่องทางจำหน่ายผลิตผล สนับสนุนและจัดสรรพื้นที่ใน PTT Station ให้เกษตรกรมาจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง

·      ตลาดวิถีชุมชน และโครงการไทยเด็ด…เติมเต็มความสุข สร้างรายได้ให้วิสาหกิจชุมชน เปิดพื้นที่ให้ชุมชนโดยรอบ PTT Station เข้ามาจำหน่ายสินค้าของชุมชนได้ เพื่อสนับสนุนความภาคภูมิใจและรายได้ให้แก่ธุรกิจของชุมชน อีกทั้งยังมีจุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โครงการไทยเด็ดที่คัดสรรของเด็ดของวิสาหกิจชุมชน

·      ตกแต่งอัตลักษณ์…เติมเต็มความสุข สร้างความภาคภูมิใจให้ชุมชน เพื่อสร้างแหล่งท่องเที่ยว ส่งเสริมเศรษฐกิจและรายได้ ด้วยเอกลักษณ์ของชุมชนนั้น ๆ

3.     เติมเต็มความสุข…ให้สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกับผู้คนในชุมชนและท้องถิ่นโดยรอบที่ PTT Station ตั้งอยู่ ผ่านการดำเนินงานและโครงการที่ช่วยลดมลพิษ รวมทั้งการพัฒนาพลังงานสะอาดและพลังงานธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น

·      EV Station…เติมเต็มความสุข ลดการเกิดมลพิษ เพิ่มจุดชาร์จไฟ EV Station ให้ครบทุกเส้นทางสายหลักทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนการลดการใช้มลพิษ ให้โลกมีอากาศบริสุทธิ์ ชุมชนมีชีวิตดีขึ้น

·      แยก แลก ยิ้ม…เติมเต็มความสุข ให้กับโลกและชุมชน เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการจัดการขยะอย่างถูกต้อง และช่วยดูแลสังคม ด้วยการนำขยะที่แยกไปขายนำเงินไปสร้างสาธารณประโยชน์ให้ตามความต้องการที่ชุมชนรอบ PTT Station นั้นต้องการ โดยมีชุมชนที่ช่วยเหลือแล้วมากกว่า 3,000 โครงการ

ทั้งนี้ นอกเหนือจากโครงการดังกล่าวข้างต้น ทุกผลิตภัณฑ์ และบริการอื่น ๆ ใน PTT Station ล้วนสามารถเติมเต็มทุกความสุขให้กับใครได้หลายคน ซึ่งเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ที่ได้ดูแลคนไทยในทุกชุมชน จากจำนวนสาขาที่ครอบคลุมในทุกพื้นที่ของชุมชนมาอย่างยาวนาน จึงมีความเข้าใจ และนำความเข้าใจนั้นมาพัฒนาองค์ประกอบต่าง ๆ ใน PTT Station ต่อยอดจุดแข็งเดิมในเรื่องคุณภาพ และความครบครันที่แข็งแกร่งที่สุดในธุรกิจ พัฒนารูปแบบความสุขในทุกองค์ประกอบทั้งผลิตภัณฑ์และบริการ ให้มีองค์ประกอบที่ช่วยสร้างความสุขมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม ทำให้PTT Station เป็นมากกว่าสถานีบริการน้ำมัน แต่คือการออกแบบ Living Ecosystem ที่สามารถสะท้อนภาพการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความหมาย เกิดการเติมเต็มความสุขให้กันและกันแบบที่ไม่รู้ตัว

ล่าสุด OR ได้เปิดตัวแคมเปญโฆษณา “PTT Station เติมเต็มทุกความสุข” ประกอบด้วยภาพยนตร์โฆษณาความยาว 30 วินาที จำนวน 3 เรื่อง คือ “เติม” “เต็ม” และ “สุข” เพื่อสร้างการรับรู้ และความผูกพันของผู้บริโภคกับแบรนด์ PTT Station โดยมีแนวคิดหลักในการสื่อสารว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เพียงแวะเข้ามาที่ PTT Station ก็สามารถเติมเต็มทุกความสุขกลับไปได้เช่นกัน เพราะ PTT Station กำลังก้าวไปอีกขั้น ด้วยการเปลี่ยนมาสู่การเป็นศูนย์กลางที่จะร่วมเติมเต็มทุกความสุขและเติบโตไปพร้อมกับทุกสังคม ชุมชน รวมถึงช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม

ซีพี ออลล์ เดินหน้า 7 Go Green Mission 2021 ปักธงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม

0

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บมจ.ซีพี ออลล์ เปิดเผยว่า ซีพี ออลล์ เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย เซเว่น โก กรีน  2021 เพื่อสิ่งแวดล้อม 24 ชั่วโมง ภายใต้การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG) เพื่อสังคม ชุมชน และประเทศชาติ อย่างยั่งยืน พร้อมเชิญชวนคนไทย ลด ละ เลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อม

ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บมจ.ซีพี ออลล์

โดยมุ่งมั่นที่จะร่วมพัฒนาชุมชนและสังคมควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้ชื่อโครงการ 7 GO Green ตั้งแต่ปี 2550 เพื่อลด และ เลิก ใช้ถุงพลาสติกที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ 

พร้อมขับเคลื่อนเคมแปญ “ลดวันละถุง…คุณทำได้ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา เพื่อรณรงค์เชิญชวนลูกค้าที่มาใช้บริการที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ปฏิเสธการใช้ถุงพลาสติก รวมทั้งรณรงค์ให้ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ซึ่งได้รับการตอบรับและความร่วมมือจากลูกค้าทั่วประเทศเป็นอย่างดียิ่ง ทำให้แคมเปญ “ลดวันละถุง คุณทำได้”สามารถลดการใช้ถุงพลาสติกและเปลี่ยนเป็นยอดสมทบทุนรวมกว่า 211 ล้านบาท มอบให้กับ โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลในชุมชน และโรงพยาบาลในถิ่นทุรกันดาร 154 โรงพยาบาลทั่วประเทศ  

อีกทั้ง ซีพี ออลล์ ได้ดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และตระหนักถึงความสำคัญของสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ทำให้ ซีพี ออลล์ มิอาจนิ่งนอนใจต่อการเปลี่ยนแปลงและรับผิดชอบต่อการดำเนินธุรกิจด้วยหัวใจที่เอื้ออาทรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โดยมุ่งมั่นในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อป้องกันผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน อาทิ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเรียนรู้การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค เพื่อช่วยกันลดโลกร้อนด้วยสองมือเรา  

นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ปี 2564 ซีพี ออลล์ วางแนวทางในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมภายใต้นโยบาย 7 GO Green Mission 2021 ประกอบด้วย

1. Green Building : การออกแบบและบริหารจัดการร้านอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมการปรับปรุงระบบและอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ภายใต้กลยุทธ์ “ร้านเพื่อสิ่งแวดล้อม” อาทิ โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพคอยล์เย็น สำหรับตู้แช่เย็นขนาดใหญ่, โครงการเครื่องปรับอากาศ ประเภท Inverter ภายในร้านฯ, โครงการใช้หลอดไฟ LED, โครงการสำรวจและติดตามสภาพอากาศภายในร้านฯ, โครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์, โครงการปรับปรุงระบบทำความเย็นของตู้แสดงสินค้า ชนิดไร้บานประตูเป็นแบบรวมศูนย์, โครงการ Knockdown Store นำวัสดุเปลือกอาคารกลับมาใช้ใหม่ และ โครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้า สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า โดยในปี 2564 นี้ ซีพี ออลล์ ตั้งเป้า แผนการดำเนินงาน ปี 2564 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานทดแทนได้  82,987,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 40,248 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า(tCO2e) หรือเปรียบเทียบการปลูกไม้ยืนต้นจำนวน 111,554 ต้น 

2. Green Store : โครงการด้านการจัดการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่มีในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น มุ่งหวังในการลดปริมาณขยะพลาสติก ผ่านแนวคิด “ลด และ ทดแทน” โดยพิจารณาตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบและการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่คำนึงถึงทุกกระบวนการในวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการหาวัสดุที่มาจากแหล่งทรัพยากรที่สามารถทดแทนได้ และต้องสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reusable) หรือนำมาใช้ใหม่ (Recyclable) หรือสามารถย่อยสลายได้ (Compostable) ได้แก่ การจัดการบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง โดยได้เริ่มใช้ฝายกดื่มไม่พึ่งหลอด ตั้งแต่ปี เมษายน 2563  ในร้าน All Café จำนวน 8,492 สาขาทั่วประเทศ และใช้ “แก้วรักษ์โลก” หรือ กระดาษที่สามารถย่อยสลายได้ตามตามธรรมชาติ สำหรับเครื่องดื่มร้อน – เย็น ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศ เริ่มใช้ตั้งแต่ปี ธันวาคม 2562  ปัจจุบันใช้แก้วรักษ์โลกในร้านสาขาพื้นที่เกาะ สถานศึกษา และ สำนักงาน รวมกว่า 874 สาขา โครงการการลดใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง (Single-use Plastic) โดยการลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง และใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติทดแทน ได้แก่ ไม้คนกาแฟ ถุงกระดาษ และ กระดาษหุ้มหลอด การขับเคลื่อนโครงการ 7 Go Greenในพื้นที่เกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์พื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ  รณรงค์ให้ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมและมีความรับผิดชอบต่อธรรมชาติ นำไปสู่การสร้างพฤติกรรมใหม่ให้เกิดแนวคิดท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์, โครงการเสื้อพนักงานที่ผลิตจากขวดพลาสติกรีไซเคิล โดยการนำขวดพลาสติกมารีไซเคิลเป็นเสื้อ และ โครงการใบเสร็จรับเงิน / ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรณรงค์ในการลดใช้กระดาษ โดยในปี 2564  ซีพี ออลล์ ตั้งเป้ากำหนดการแผนการดำเนินงานในการลดปริมาณการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกจำนวน 10,813 ตันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 80,921 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) หรือเปรียบเทียบการปลูกไม้ยืนต้น จำนวน 224,283 ต้น

3. Green Logistic : ซีพี ออลล์ ได้ดำเนินงานด้านการขนส่งและการกระจายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการจัดการพลังงานผ่านโครงการต่างๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการขนส่งและออกแบบศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้ กลยุทธ์ “โลจิสติกส์เพื่อสิ่งแวดล้อม” ทั้งนี้ ซีพี ออลล์ ได้นำหลักเกณฑ์สำหรับการประเมินอาคาร     สีเขียว (Leadership in Energy & Environmental Design: LEED) เป็นหลักเกณฑ์ที่่ใช้การพัฒนาและออกแบบศููนย์กระจายสินค้าทั่่วประเทศอีกด้วย ปัจจุบันมีทั้งหมด 20 แห่งใน 12 จังหวัดทั่วประเทศ และได้ติดตั้งแผง Solar Cell เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วประเทศ

โดยในปี 2564  ซีพี ออลล์ ตั้งเป้าเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานทดแทนได้ 8,786,280 กิโลวัตต์ชั่วโมง(kWh), ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 4,261 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) หรือเปรียบเทียบการปลูกไม้ยืนต้นจำนวน 11,810 ต้น 

4. Green Living   ซีพี ออลล์ ได้สานต่อโครงการ “ลดและทดแทน” ภายใต้แนวคิด “ปลูกจิตสำนึกเพื่อสิ่งแวดล้อม” โดยการ รณรงค์และเชิญชวนลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อป้องกันผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม และคำนึงถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนแนวคิดหลัก เศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy โดยล่าสุดจัดให้มีโครงการ “ถังคัดแยกขยะ” เพื่อรณรงค์ให้คนไทยช่วยกันคัดแยกขยะพลาสติก เพื่อนำขยะพลาสติกเข้าสู่กระบวนการ แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy อย่างยั่งยืน

โดยในปี 2564 ซีพี ออลล์ ได้กำหนดแผนการดำเนินงาน เพื่อลดและชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 128,426 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) หรือเปรียบเทียบการปลูกไม้ยืนต้นจำนวน 347,648 ต้น

“ซีพี ออลล์ ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ ผ่านมาตรการต่างๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงานที่สอดคล้องกับแผนธุรกิจ และสร้างจิตสำนึกในการให้ความสำคัญของประเทศชาติภายใต้ปณิธาน “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน” นายยุทธศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย 

พรีบิลท์ ปลื้ม โครงการ “พรรณา” ย่านพุทธมณฑล ทำยอดขายทะลุเป้า เตรียมเปิดบ้านตัวอย่างให้ลูกค้าทดลองอยู่จริง

0
วิโรจน์ เจริญตรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด(มหาชน)

นายวิโรจน์ เจริญตรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด(มหาชน) หรือ PRE-BUILT เปิดเผยว่า โครงการพรรณนา พุทธมณฑลสาย 3 ภายใต้การพัฒนาของ บริษัทพรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ บริษัทลูกของ พรีบิลท์ ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ระดับราคา 15-20 ล้านบาท ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยเฟสแรก สามารถขายได้แล้วกว่า 90% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการรวม 1,250 ล้านบาท

ปัจจุบันมีลูกค้าโอนบ้านและย้ายเข้ามาอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง การประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายของโครงการพรรณา มาจากประสบการณ์ของบริษัทแม่ คือ พรีบิลท์ ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจก่อสร้างระดับไฮเอนด์มายาวนานและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำต่างๆ จำนวนมาก ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนและเลือกสิ่งที่ดีและมีคุณค่าที่สุดให้กับลูกค้า ทำให้บริษัทพรีบิล์ ดีเวลลอปเม้นท์ สามารถสร้างโครงการที่มีความสมบูรณ์แบบในทุกด้าน มีความคุ้มค่าและแตกต่างจากโครงการอื่นๆ ในย่านเดียวกัน ทั้งทำเลที่ตั้ง การดีไซน์ฟังก์ชั่นการใช้งานที่ลงตัว เรียบหรู โปร่งโล่งสบาย มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ รวมถึงการเลือกใช้วัสดุที่สวยงามคงทน สามารถส่งต่อรุ่นสู่รุ่นได้อย่างทรงคุณค่า ในราคาที่สมเหตุสมผลและคุ้มค่า จึงทำให้ลูกค้าที่ได้เข้ามาชมโครงการส่วนใหญ่ตัดสินใจจองซื้อ

สถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มระบาดมาตั้งแต่ในช่วงต้นปี 2563 ต่อเนื่องมาถึงปีนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจมากมาย รวมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่โครงการบ้านเดี่ยว “พรรณนา” ที่บริษัทเริ่มก่อสร้างและเปิดขายอย่างไม่เป็นทางการ ไม่ได้รับผลกระทบ แต่กลับได้รับการตอบรับอย่างน่าพอใจจากลูกค้าที่เข้ามาชมบ้านตัวอย่าง โดยมีการตัดสินใจจองซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ยอดขายทะลุได้เกินเป้าหมายมากกว่า 90% ในเฟสแรก บริษัทปรับแผนการก่อสร้างให้เร็วขึ้น เพื่อให้ทันกับความต้องการของลูกค้าที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะเปิดบ้านตัวอย่างให้ลูกค้าที่สนใจสามารถทดลองเข้ามาอยู่จริงได้ 1 วัน ซึ่งเรามั่นใจว่าลูกค้าจะประทับใจและทำให้มีการตัดสินใจในการซื้อบ้านเพิ่มขึ้น

ด้านนายมานะ ศิริประเสริฐศักดิ์ ผู้อำนวยการการตลาดและการขาย บริษัทพรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า บ้านของโครงการพรรณนาเป็นงานออกแบบภายใต้แนวคิด ‘Timeless’ หรือความงามอย่างยั่งยืน เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความต้องการบ้านขนาดใหญ่ ที่มีดีไซน์ที่โปร่งโล่งสบาย มีรูปแบบการใช้งานที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ที่มีห้องน้ำในตัวทุกห้อง ห้องเอนกประสงค์ ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่รองรับครอบครัวขนาดใหญ่ พร้อมที่จอดรถในร่ม 3 คัน

นอกจากนี้ พรีบิลท์ฯ ยังให้ความสำคัญเรื่องความเป็นส่วนตัวของลูกบ้าน เห็นได้จากทั้งโครงการมีจำนวนบ้านเพียง 98 ยูนิตเท่านั้น และการวางตำแหน่งและจำนวนบ้านที่ไม่หนาแน่น โดยในหนึ่งซอยมีเพียง 4 -6 ยูนิต รวมถึงบ้านเลขที่ของโครงการเป็นเลขมงคล คือ บ้านเลขที่เริ่มต้นด้วย 888 ขณะที่เรื่องของสะดวกสบายด้านอื่นๆ นั้น โครงการเรามีพื้นที่ส่วนกลางและคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ coworking space, fitness แยกส่วน, สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือขนาดใหญ่ half Olympic, แบ่ง kid zone เป็นสัดส่วน, life park สวนสีเขียวที่คัดสรรพันธุ์ไม้อย่างพิถีพิถันกับลำธารหินและบ่อน้ำให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติที่สำคัญบริษัทยังมีบริการหลังการขายอย่างเป็นระบบด้วยความใส่ใจและคำนึงถึงเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย ความรวดเร็วเป็นหลัก โดยมีพันธมิตรธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญการดูแลบริหารจัดการหมู่บ้าน บริษัท ควอลิตี้ พรอพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด (QPM) เข้ามาช่วยดูแลในส่วนบริการหลังการขาย และ บริษัท ไอเอสเอส ฟาซิลิตี้ เซอร์วิส จำกัด (ISS) ดูแลระบบรักษาความปลอดภัยโครงการตลอด 24 ชั่วโมงซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีรสนิยมได้ครบในทุกมิติและจะได้รับความพึงพอใจเป็นอย่างมากจากบริการดังกล่าว

IRCP ดึง “ประชา เหตระกูล – กังวาล กุศลธรรมรัตน์” ร่วมบอร์ด เสริมแกร่ง เดินหน้าลุยธุรกิจ

0
แดน เหตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์นชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) (IRCP)

นายแดน เหตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์นชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) (IRCP) เปิดเผยว่า  คณะกรรมการของบริษัท มีมติให้เพิ่มจำนวนกรรมการจาก 7 คน เป็น 9 คน โดยได้อนุมัติให้แต่งตั้ง นายประชา เหตระกูล และนายกังวาล กุศลธรรมรัตน์ เข้ามาเป็นกรรมการ ซึ่งบุคคลทั้ง 2 ถือว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ และมีความสามารถ มีภาวะผู้นำและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ซึ่งจะเข้ามาสร้างความแข็งแกร่งและเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนได้ อีกทั้ง เพื่อเตรียมความพร้อมในการรุกธุรกิจให้กลับมาเทิร์นอะราวด์และเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยจะเสนอให้ผู้ถือหุ้นอนุมัติในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 9 เมษายน นี้  

“คณะกรรมการบริษัทมีความเห็นว่าบริษัทสมควรมีกรรมการเพิ่มเติมและคณะกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทนได้พิจารณาถึงประวัติ ประสบการณ์การทํางานการอุทิศเวลาให้แก่บริษัท และคุณสมบัติในด้านต่าง ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินงานของบริษัทในอนาคต”  นายแดนกล่าว

นอกจากนี้ ในการประชุมผู้ถือหุ้น บริษัทจะขออนุมัติปรับโครงสร้างทุน ทั้งลดทุน เพิ่มทุนนำสำรองมาล้างขาดทุนสะสม เพื่อให้กลับมาจ่ายเงินปันผลกับผู้ถือหุ้นได้เร็วที่สุด  และมีทุนในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทชนะการประมูลของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กว่า 837 ล้านบาท  ซึ่งจะสนับสนุนให้ผลดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงอนาคตจะผลักดัน บริษัท ไอที กรีน จำกัด (มหาชน) (ITG) เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต รวมถึงการหาธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะเป็น New s-curve ให้กับบริษัทต่อไปในอนาคต

ซีพีเอฟ ยันธุรกิจอาหารสัตว์น้ำตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ พร้อมผนึกพันธมิตรขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารทะเลยั่งยืน

0

นายไพโรจน์ อภิรักษ์นุสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจสัตว์น้ำ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งมั่นจัดหาวัตถุดิบหลักสำหรับธุรกิจอาหารสัตว์น้ำด้วยความรับผิดชอบ ยึดมาตรฐานสากล ยืนยัน กิจการประเทศไทยใช้ปลาป่นจากผลพลอยได้ของโรงงานแปรรูป (By-Product) 100% ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก MarinTrust (หรือชื่อเดิม คือ IFFO RS) พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนสร้างความยั่งยืนของอุตสาหกรรมประมงไทย ป้องกันการทำประมงไม่ถูกต้องและผิดกฎหมาย และดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเล

บริษัทฯให้ความสำคัญกับผลิตกุ้งด้วยความรับผิดชอบและยั่งยืนตลอดห่วงโซ่ ควบคู่การรักษาสมดุลสิ่งแวดล้อม โดยเดินหน้าขับเคลื่อนการจัดหาวัตถุดิบปลาป่นสำหรับการผลิตอาหารสัตว์น้ำทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต้องมาจากแหล่งที่ถูกกฎหมาย ยึดหลักสากล สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบได้

ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจเพาะเลี้ยงและผลิตกุ้ง มิได้ดำเนินธุรกิจเดินเรือหรือเป็นเจ้าของเรือประมง และไม่ได้เป็นผู้ผลิตปลาป่น เป็นผู้ใช้ปลาป่นเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารสัตว์น้ำ โดยปลาป่นทั้งหมดที่บริษัทใช้ในกิจการประเทศไทย มาจากผลพลอยได้จากโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำ (By-Product) เช่น โรงงานผลิตทูน่ากระป๋อง และโรงงานผลิตลูกชิ้นปลา โดยทั้งหมดต้องได้รับการรับรองมาตรฐาน MarinTrust ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตปลาป่นอย่างยั่งยืนในระดับสากลที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ช่วยให้บริษัทสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบได้ถึงเรือประมงที่จับปลา

และได้จับมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเล ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐบาล ภาคประชาสังคม ริเริ่มโครงการปรังปรุงและพัฒนาการประมง (Fishery Improvement Programme, FIP) จัดทำแนวทางการพัฒนาปรับปรุงการประมงทั้งฝั่งอันดามัน และอ่าวไทย ซึ่งปัจจุบัน ประเทศไทยได้รับการอนุมัติแผนการปรับปรุงและพัฒนาการประมง (Fishery Action Plan, FAP) จาก MarinTrust เรียบร้อยแล้ว และเริ่มดำเนินงานตามแผนงาน

ในด้านการแก้ไขปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) ซีพีเอฟเป็นหนึ่งในสมาชิกร่วมก่อตั้ง Seafood Task Force ซึ่งเป็นเครือข่ายภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมอาหารทะเล ทำหน้าที่ส่งเสริมโครงการด้านความยั่งยืนทางทะเลต่างๆ เช่น การใช้เครื่องติดตามเรือ (Vessel Monitoring System – VMS) ตลอดจน ร่วมมือกับ องค์การสะพานปลา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย ศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเลสงขลา(บ้านสุขสันต์) จัดตั้งศูนย์ Fishermen’s Life Enhancement Center หรือ FLEC Center ที่ท่าเทียบเรือประมงจังหวัดสงขลา เพื่อบูรณาการความร่วมมือจัดการปัญหาเรื่องการทำประมงผิดกฏหมาย รวมทั้งร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของแรงงานข้ามชาติ และครอบครัวในอุตสาหกรรมประมงตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน

จากความสำเร็จในการดำเนินงานร่วมกับกลุ่มเครือข่าย และผู้มีส่วนได้ส่วนได้เสียเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาประมง การคุ้มครองและเคารพสิทธิมนุษยชนที่ยั่งยืนและอย่างจริงจัง มีส่วนช่วยประเทศไทยได้รับการยกเลิกใบเหลืองในกรณี IUU Fishing จากสหภาพยุโรป และในปัจจุบัน รูปแบบการดำเนินงานของ Seafood Task Force ถูกนำไปใช้เป็นต้นแบบในประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนาม เป็นต้น

ในปีนี้ บริษัทยังมีส่วนร่วมในการกำจัดขยะทางทะเล โดยได้ร่วมกับมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาการประมงเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Fisheries Research And DevelopmentInstitute: SFRD) สนับสนุนโครงการ “ทะเลสะอาด” ที่ส่งเสริมและรณรงค์ให้ชาวประมงลดการทิ้งขยะลงสู่ทะเลและช่วยกันเก็บขยะจากกิจกรรมประมง ทั้งขยะจากการอุปโภคบริโภคบนเรือและขยะที่ติดมากับเครื่องมือประมงกลับขึ้นฝั่ง เพื่อนำมาคัดแยกและส่งขายให้กับโรงรับซื้อขยะต่อไป

ในระดับโลก ซีพีเอฟได้ร่วมกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารทะเลชั้นนำ จากทั่วโลก ในกลุ่ม Seafood Business for Ocean Stewardship (SeaBOS) กลุ่มความร่วมมือสากลในการพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเล ประกาศเจตนารมณ์พัฒนาอุตสาหกรรมอาหารทะเลอย่างยั่งยืน บนบรรทัดฐานเดียวกัน รวมถึงนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าอาหารทะเลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และป้องกันปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายอีกด้วย./

เอไอเอส 5G จับมือ LGU+ เบอร์หนึ่งคอนเท็นต์เกาหลี ส่ง VR ถึงมือคนไทย ผ่านแอป AIS 5G PLAY VR

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า AIS 5G ต่อยอดการเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมคอนเทนต์ความบันเทิง ผสานเข้ากับเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตอย่าง Virtual Reality หรือ VR โดยล่าสุด ร่วมมือกับ LGU+ ผู้นำคอนเทนต์ความบันเทิงอันดับ 1 ของเกาหลีใต้ มอบประสบการณ์รับชมคอนเทนต์บนโลกเสมือนจริงอย่างเต็มประสิทธิภาพ บนแอปพลิเคชั่น AIS 5G PLAY VR ที่นับเป็น platform ที่มี Exclusive immersive content มากที่สุดในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ลูกค้าเอไอเอส สามารถรับชม content ได้ทั้งแบบ online และ offline นอกจากนั้นความร่วมมือในครั้งนี้ทำให้มีการเพิ่ม content ใหม่ๆ เข้าไปอีกมากกว่า 133 คลิป อาทิ ส่งเสียงเชียร์ให้โอปป้าและเกิลด์กรุ๊ปในดวงใจ กับรายการ The Show รายการเพลงระดับ Top rating ของเกาหลี, Dating ฟินๆ กับ Star idol จากวง EXO, NCT และ Son Na Eun รวมไปถึงการแสดงกายกรรมระดับโลก จาก Cirque du Soleil ทั้งนี้พิเศษสุด สำหรับลูกค้า AIS สามารถ โหลดฟรี เล่นฟรี! แม้จะไม่มีแว่นก็รับชมสุดยอดคอนเทนต์ได้ด้วยมุมมองแบบ 360 องศาจนถึงเดือนกันยายน 2564 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ais.co.th/5g/vr

สิงห์อาสา ผนึกกำลัง 10 มหาวิทยาลัยภาคเหนือ ตั้งศูนยเฝ้าระวังไฟป่า รักษาต้นน้ำ

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้ร่วมกับ เครือข่ายสถาบันการศึกษาภาคเหนือ 10 สถาบัน ประกอบด้วย นักศึกษาจาก ม.เชียงใหม่, ม.แม่โจ้, ม.ราชภัฏเชียงใหม่, ม.เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา, ม.แม่ฟ้าหลวง, ม.ราชภัฏเชียงราย, วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย, ม.ราชภัฏลำปาง, ม.มหามกุฏราชวิทยาลัย และม.พะเยา ประกาศจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ ภายใต้โครงการ “สิงห์อาสาสู้ไฟป่า รักษาต้นน้ำ” โดยในงานได้จัดอบรมแลกเปลี่ยนและเรียนรู้เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานร่วมกันของทุกภาคส่วนในการปกป้อง ดูแลรักษาป่าต้นน้ำ พร้อมกับเรียนรู้การทำแนวกันไฟป่า ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหาไฟป่าที่ส่งผลกระทบต่อป่าต้นน้ำของไทย โดยหลังจากนี้จะนำความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับชาวบ้านกว่า 50 ชุมชน ในพื้นที่รอบมหาวิทยาลัย รวมถึงการตั้งศูนย์เฝ้าระวังไฟป่า เพื่อสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ในการดับไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว

ดร.ปเนต มโนมัยวิบูลย์ ผู้ช่วยอธิการบดีและผู้อำนวยการศูนย์ศึกษา วิจัยและปฏิบัติการเพื่อลดปัญหาการเกิดไฟป่า หมอกควันในประเทศไทยและในภูมิภาค มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยว่า ม.แม่ฟ้าหลวงได้มีการให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลทรัพยากรน้ำแก่สมาชิกชุมชน ตั้งแต่ในระดับเยาวชนไปจนถึงผู้นำและปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งดิน น้ำ และป่า พร้อมร่วมกันกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับกับบริบทของพื้นที่ ซึ่งการที่สิงห์อาสาได้จัดทำกิจกรรมร่วมกับเครือข่ายต่างๆ ในครั้งนี้ เชื่อว่าจะช่วยขยายเครือข่ายให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น โดยเฉพาะการรักษาต้นน้ำ สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่มีปัญหาได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับทรัพยากรในพื้นที่ต้นน้ำได้อย่างทันท่วงที

ทั้งนี้ โครงการ “สิงห์อาสาสู้ไฟป่า รักษาต้นน้ำ” เป็น 1 ใน 4 ภารกิจ “ต้นน้ำ แหล่งน้ำ สายน้ำ และความยั่งยืน” ตอกย้ำเป้าหมายการดำเนินงานของ สิงห์อาสา เนื่องในวาระครบรอบ 10 ปี มุ่งเน้นภารกิจด้านการดูแลทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน เป็นภารกิจที่ดูแลรักษาป่าต้นน้ำทั้งการอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับวิธีทำแนวกันไฟป่าที่มีประสิทธิภาพให้แก่ชาวบ้าน อาสาสมัครป้องกันไฟป่าในพื้นที่ สร้างฝายชะลอน้ำ ปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่ป่าต้นน้ำพร้อมกับสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานต่างๆ อาทิ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, มูลนิธิกระจกเงา, ศูนย์ศึกษาวิจัยและปฏิบัติการเพื่อลดปัญหาการเกิดไฟป่า หมอกควันในประเทศไทยและในภูมิภาค ม.แม่ฟ้าหลวง, อาสาสมัครป้องกันไฟป่าในพื้นที่ โดยสนับสนุนอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันไฟป่า อาทิ เครื่องมือทำแนวกันไฟที่ได้มาตรฐาน รองเท้าเซฟตี้ รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็น และยังสนับสนุนอาหาร-น้ำดื่มสำหรับเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครปฏิบัติงาน โดยกิจกรรมครั้งต่อไปจะเป็นการร่วมแรงร่วมใจสร้างฝายต้นน้ำ และปลูกป่า เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของป่าต้นน้ำ ให้มีน้ำใช้อย่างยั่งยืนไม่ขาดแคลน

สำหรับ 4 ภารกิจ “ต้นน้ำ แหล่งน้ำ สายน้ำ และความยั่งยืน”  จัดทำขึ้นเพื่อตอกย้ำเป้าหมายการดำเนินงานของ สิงห์อาสา เนื่องในวาระครบรอบ 10 ปี โดยมุ่งเน้นภารกิจด้านการดูแลทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนในทุกมิติทั่วทุกภูมิภาคของไทย ได้แก่ โครงการ “สิงห์อาสาสู้ไฟป่า รักษาต้นน้ำ” ร่วมกับเครือข่ายสิงห์อาสาและองค์กรในภาคเหนือ,  โครงการ “สิงห์อาสา แหล่งน้ำชุมชน” ร่วมกับเครือข่ายสิงห์อาสาและองค์กรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, โครงการ “สิงห์อาสา ฟื้นฟูสายน้ำ” ร่วมกับเครือข่ายสิงห์อาสาและองค์กรในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง และ โครงการ “สิงห์อาสา ซี ยู สตรอง” ร่วมกับเครือข่ายสิงห์อาสาและองค์กรในพื้นที่ภาคใต้และตะวันออก  โดยแต่ละโครงการจะร่วมกับเครือข่ายสิงห์อาสาทั่วประเทศเพื่อช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่องตามปณิธานการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมของ “พระยาภิรมย์ภักดี”

ซีพีเอฟ​ จับมือกรมป่าไม้ กับชุมชน พลิกฟื้นป่าเขาพระยาเดินธง สร้างแหล่งอาหารยั่งยืน

0

ซีพีเอฟ ร่วมมือกรมป่าไม้ และชุมชน เดินหน้าโครงการ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” ตำบลพัฒนานิคม อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี โดยปีนี้เข้าสู่ระยะที่สอง (ปี 2564-2568) มีเป้าหมายอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าเพิ่มเป็น 7,000 ไร่ จากระยะที่หนึ่ง (ปี 2559-2563) ที่ดำเนินการแล้วเสร็จรวม 5,971 ไร่

สำหรับกิจกรรมแรกของปีนี้ จิตอาสาซีพีเอฟ เจ้าหน้าที่จากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 5 (สระบุรี) และชุมชน ร่วมซ่อมแซมฝายชะลอน้ำ 6 ฝาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการชะลอการไหลของน้ำและดักตะกอนก่อนเข้าสู่ฤดูฝน โดยมี ว่าที่ร้อยตรีทรงพล แป้นแก้ว นายอำเภอพัฒนานิคม เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นายภูมินพศ์ บุญบันดาร ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 5 (สระบุรี) นำเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้ ร่วมกิจกรรม และนายบัญชา ขาวเมืองน้อย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ ในฐานะรองประธานคณะทำงานโครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง นำจิตอาสาซีพีเอฟจากสายธุรกิจต่างๆ​ 200 คน รวมทั้งอาจารย์และนักศึกษาจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลพบุรี ลงพื้นที่

นายบัญชา​ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลัก​ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน ดินน้ำป่าคงอยู่ โดยในด้านดินน้ำป่าคงอยู่ โครงการ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง”มีเป้าหมายบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ และต่อยอดสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน สนับสนุนการขับเคลื่อนเป้าหมายความยั่งยืน 2030 ของซีพีเอฟ และสอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ(Sustainable Development Goals : SDGs)

“ซีพีเอฟ ขอเป็นส่วนหนึ่งของการส่งมอบผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ประเทศ เป็นแหล่งต้นน้ำ และเป็นแหล่งอาหารที่ยั่งยืนของชุมชน” รองประธานคณะทำงานฯ กล่าว

ด้านผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 5 (สระบุรี) กล่าวว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นความร่วมมือของชุมชน และองค์กรเอกชน ร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูผืนป่าของประเทศ ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายของภาครัฐที่อยากให้ประชาชนทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้เพื่อแผ่นดิน และในโอกาสวันป่าไม้โลก 21 มีนาคมของทุกปี ทางกรมป่าไม้ได้มอบหมายให้สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ในท้องที่บูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการฟื้นฟูป่า ทางสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 5 (สระบุรี) จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่หน่วยงานภาครัฐและซีพีเอฟ ร่วมกันทำกิจกรรมในวันนี้ สอดคล้องตามเจตนารมย์ของบันทึกความร่วมมือการปกป้องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate Change)ระหว่างกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือน
กระจก (องค์การมหาชน) และซีพีเอฟ

รายงานข่าว​ เปิดเผยว่า​ กิจกรรมเริ่มต้นของปีนี้ซึ่งเข้าสู่ระยะที่สอง จิตอาสาซีพีเอฟ ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้และชุมชน ลงพื้นที่ซ่อมแซมฝายชะลอน้ำ 6 ฝาย ที่ทำไว้ตั้งแต่ ปี 2561 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำหน้าที่ของฝายในการชะลอการไหลของน้ำ ดักตะกอน กิ่งไม้ เศษไม้ ดิน โคลน เพิ่มความชุ่มชื้นในบริเวณฝายและพื้นที่เหนือฝาย เพิ่มปริมาณน้ำใต้ดิน ทำให้ผืนดินมีความชุ่มชื้น ซึ่งในระยะต่อไป ต้นไม้ในพื้นที่โครงการฯที่เติบโตขึ้น จะสามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยบรรเทา
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นอกจากนี้ ผืนป่าเขาพระยาเดินธงยังเป็นต้นแบบการปลูกป่า จากความสำเร็จในการนำรูปแบบปลูกป่า 4 รูปแบบมาใช้ทำป่าฟื้นตัวเร็วขึ้น เป็นห้องเรียนธรรมชาติ และแหล่งเรียนรู้ของเด็ก เยาวชน และประชาชนที่สนใจเกี่ยวกับการปลูกป่า โดยที่ผ่านมา มีหน่วยงานต่างๆ และสถานศึกษาที่สนใจเข้ามาศึกษาดูงาน อาทิ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี สาขาชีววิทยาเชิงอนุรักษ์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลพบุรี บริษัท บี.กริม ดร.เกฮาร์ด ลิงค์ บิวดิ้ง จำกัด
บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟได้นำความสำเร็จการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไปขยายผลในการสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืนให้กับชุมชนใกล้เคียง โดยส่งเสริมให้คนใน
ชุมชนมีส่วนร่วมผลิตอาหารที่ปลอดภัย จากการทำโครงการปลูกผักปลอดสาร และโครงการปล่อยปลาลงเขื่อน ทำให้ชุมชนมีแหล่งอาหารไว้บริโภคเอง และตระหนักรู้คุณค่าของป่าและน้ำ