Home Blog Page 366

AIS เตือนภัย มิจฉาชีพหลอกให้ใช้บัตรประชาชนซื้อมือถือไปขายต่อ เสี่ยงโดนข้อหาฉ้อโกง คนซื้อต่อ เข้าข่ายรับซื้อของโจร

0

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอสขอเตือนภัยขบวนการหลอกลวง ว่าจ้างให้เหยื่อใช้บัตรประชาชนซื้อเครื่องโทรศัพท์พร้อมแพ็กเกจ ในราคาพิเศษ จากค่ายมือถือ ซึ่งในเงื่อนไขจะต้องมีการเปิดเบอร์และใช้งานกับเครื่องที่ซื้อมา พร้อมชำระเงินต่อเนื่องตามระยะเวลาที่กำหนด  แต่เหยื่อกลับเอาเครื่องไปให้คนร้ายขายต่อแลกกับค่าตอบแทน โดยไม่ชำระค่าบริการ ท้ายที่สุดคนร้ายปล่อยให้เหยื่อถูกฟ้องร้องจากบริษัทฯเพราะผิดเงื่อนไขตามสัญญา นอกจากนั้นสำหรับผู้ที่ซื้อเครื่องต่อจากคนร้าย เสี่ยงเข้าข่ายรับซื้อของโจรด้วยเช่นกัน

“ปัจจุบันมีการเกิดขึ้นของอาชญากรรมดังกรณีข้างต้นเป็นจำนวนมาก โดยพบว่า มีทั้งกลุ่มที่โดนหลอกลวง และกลุ่มที่จงใจใช้บัตรประชาชน ซื้อเครื่องโทรศัพท์มือถือพร้อมแพ็กเกจ จากนั้นนำเครื่องโทรศัพท์ไปแยกขายต่อ โดยไม่มีการชำระค่าบริการตามเงื่อนไขในสัญญา ซึ่งบริษัทฯกังวลถึงผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นในภาพรวมและอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นปริมาณของประชาชนที่ถูกดำเนินคดีฉ้อโกงที่เพิ่มขึ้น รวมถึง ความเสี่ยงของผู้ที่ซื้อเครื่องต่อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่อาจจะเข้าข่ายรับซื้อของโจรด้วย”

ดังนั้น เอไอเอสจึงขอแจ้งเตือนผู้ที่อาจหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของการกระทำ หรือ จงใจกระทำการดังกล่าวข้างต้นว่า การก่อเหตุในลักษณะนี้ เจ้าของบัตรประชาชนที่ทำสัญญาซื้อเครื่องโทรศัพท์พร้อมแพ็กเกจจะมีความผิด โดยมีบทลงโทษฐานฉ้อโกง มาตรา ๓๔๑ โทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือ ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ รวมไปถึงการมีชื่อติด Black List ในระบบ ส่งผลให้ในอนาคตจะมีปัญหาในการทำธุรกรรมกับค่ายมือถือ ซึ่งปัจจุบันมีระบบตรวจสอบอย่างเข้มข้น อีกทั้งในส่วนของผู้ที่รับซื้อเครื่องต่อไป จะเข้าข่ายความผิดฐานรับของโจร มาตรา ๓๕๗ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ในส่วนของเอไอเอส จำเป็นต้องดำเนินคดีตามกฏหมายขั้นสูงสุดกับผู้กระทำผิดทุกราย โดยไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้น จึงขอเน้นย้ำว่า อย่าหลงเชื่อ และใช้ข้อมูลส่วนบุคคลไปดำเนินการอย่างไม่ถูกต้อง อีกทั้งผู้ที่จะซื้อโทรศัพท์มือถือ ก็ขอให้ตรวจสอบแหล่งที่มาให้ดี เพราะอาจมีความเสี่ยงทั้งคุณภาพของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีการรับประกันและผิดกฏหมายอีกด้วย

ทรูมันนี่ เปิดตัว Start Invest บริการซื้อขายกองทุนรวมผ่านแอป TrueMoney Wallet

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน แอสเซนด์ เวลธ์ ภายใต้บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด เปิดให้บริการซื้อ“กองทุนรวม”ผ่าน แอปฯ TrueMoney Wallet

โดยเปิดตัว “Start Invest” บริการเปิดบัญชีและชำระเงินซื้อขายกองทุนรวม ผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet เป็นครั้งแรกในไทย ภายใต้แนวคิด “ลงทุนง่าย ๆ ใครก็ทำได้บนทรูมันนี่ วอลเล็ท” เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทรูมันนี่เป็นประจำกว่า 15 ล้านรายที่ส่วนใหญ่ยังไม่เคยลงทุน ให้มาเริ่มลงทุนเป็นครั้งแรกผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet

คาดว่า จะสามารถดึงดูดนักลงทุนทั้งรายเก่าและใหม่ให้เปิดบัญชีได้ไม่น้อยกว่า 600,000 รายและสร้างมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 15,000 ล้านบาท ในปี 2564

ทั้งนี้ ช่วงแรกของบริการเปิดบัญชีซื้อขายกองทุนผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet ได้นำเสนอกองทุนรวมมากกว่า 600 กองทุน จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำในประเทศไทย 10 แห่ง ได้แก่ บลจ.พรินซิเพิล, บลจ.ทาลิส, บลจ.แลนด์ แอนเฮ้าส์, บลจ.ไทยพาณิชย์, บลจ.กรุงศรี, บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด, บลจ. วรรณ จำกัด, บลจ.เกียรตินาคินภัทร จำกัด, บลจ. วี จำกัด และ บลจ.ทหารไทย พร้อมเชื่อมเทคโนโลยี e-Wallet เข้ากับบริการ FundConnext ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า ทรูมันนี่ ได้ทำให้ Financial Inclusion ในประเทศไทยมีความหลากหลายและครอบคลุมความต้องการด้านบริการทางการเงินมากยิ่งขึ้น และ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทรูมันนี่เป็นประจำกว่า 15 ล้านรายที่ส่วนใหญ่ยังไม่เคยลงทุนให้มาเริ่มลงทุนเป็นครั้งแรกผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet เพื่อตอกย้ำพันธกิจที่เรามุ่งมั่นมาโดยตลอดนั่นก็คือการมอบนวัตกรรมทางการเงินที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ผ่านการพัฒนานวัตกรรมฟินเทคที่มอบโอกาสทางการเงินให้ทุกคนสามารถใช้จ่าย สร้างหลักประกัน เก็บออมกู้ยืม รวมถึงลงทุน ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยผ่านแอปฯ อีวอลเล็ทพร้อมสร้างความมั่นคงทางการเงินที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้พวกเขาได้

นางสาวณัฐวดี แซ่เอี้ย ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และนวัตกรรมทางธุรกิจ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากสร้างแพลตฟอร์ม Payment ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง วันนี้ ทรุมันนี่ได้ต่อยอดพัฒนานวัตกรรมบริการทางการเงินไปสู่การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนมีโอกาสเข้าถึงการลงทุน

นอกจากนี้ การนำเสนอบริการลงทุนกองทุนรวม ‘Start Invest’ บนแอปฯ TrueMoney Wallet ให้

1) เข้าใจง่าย และผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม ยังไม่เปิดพอร์ตก็เข้ามาดูและศึกษาการลงทุนได้

2)สามารถเปิดบัญชีเพื่อเริ่มลงทุนได้ง่าย ๆ ผ่านแอปฯ ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็สามารถเปิดพอร์ตการลงทุนและเข้าถึงกองทุนรวมกว่า 600 กองทุนซึ่งในอนาคตมีแผนจะเพิ่มจำนวนให้มีความหลากหลายมากขึ้น ที่สำคัญมีอิสระในการซื้อกองทุนได้แบบไม่จำกัดค่าย และมีกองทุนที่เริ่มต้นเพียงหนึ่งบาทก็ลงทุนได้ ลูกค้าที่มีเงินในบัญชีที่ยังไม่นำไปใช้จ่ายจึงสามารถเอาไปลงทุนให้งอกเงยได้อย่างสบาย

3) มอบ Disruptive Customer Journey ที่ตอบรับความต้องการของทั้งนักลงทุนรายใหม่และรายเก่า โดยจัดทำPersonalized Fund Guide ที่เหมาะกับนักลงทุน, มีการจัดเรียงกองทุนตาม performanceที่ผู้ใช้สามารถตั้งค่าดูได้ง่าย ๆ แม้เป็นมือใหม่ หรือคลิ๊ก favorite กองทุนที่สนใจเพื่อกลับมาดูทีหลัง

ทั้งนี้ บริษัทได้นำนวัตกรรม e-Wallet มาเชื่อมต่อเข้ากับบริการ FundConnext ของ ตลท.ช่วยให้นักลงทุนสามารถศึกษาการลงทุน ติดตามหนังสือชี้ชวนการลงทุน คำแนะนำต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ ซื้อหรือ ขายกองทุนผ่านหน้าแดชบอร์ดในแอปพลิเคชั่นได้แบบเรียลไทม์

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกล่าวว่า ความร่วมมือกันเปิดให้บริการซื้อขายกองทุนรวมผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet ซึ่งการเชื่อมต่อ e-Wallet เข้ากับโลกการลงทุนในครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยตลาดหลักทรัพย์ฯพร้อมให้การสนับสนุนองค์ความรู้และเครื่องมืออย่างเต็มที่”

ผู้สนใจเริ่มลงทุนในกองทุนรวมผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet สามารถคลิกดูเงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ได้ที่ www.truemoney.com/startinvest หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน บลน. แอสเซนด์ เวลธ์ จำกัด โทร 1240 กด 8

ซีพีโลตัสจีน ช่วยเกษตรกรไทย นำลองกอง-ทุเรียน จากจังหวัดชายแดนใต้สู่ตลาดโลก

0

ในวิกฤตยังมีโอกาส แม้จะมีความผันผวนทางเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด แต่ผลไม้ไทย ยังเป็นที่ต้องการในระดับภูมิภาค ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า การพัฒนาสินค้าชุมชน และการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนในภาคการเกษตร สุดท้ายก็มักไปจบที่เรื่องของการไม่มีตลาดรองรับ และหากจำหน่ายเพียงแค่ในประเทศก็จะเจอปัญหาสินค้าล้นตลาด ทำให้ราคาตกต่ำ

ดังนั้น สินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ไทย เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีน มาเลเซีย และเวียดนาม ดังนั้นการที่ซีพี ได้เทสโก้ โลตัส ทั้งในประเทศไทยและมาเลเซียกลับมา จะทำให้เชื่อมกับซีพีโลตัสจีน ขยายโอกาสสินค้าเอสเอ็มอีไทยไปยังต่างประเทศ

ทั้งนี้ การนำสินค้าไทยออกไปยังต่างประเทศต้องพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำ พัฒนาคุณภาพสินค้า ให้ได้ระดับของการส่งออก โดยเครือซีพี ตั้งเป้าหมายการช่วยเหลือเอสเอ็มอี และเกษตรกรไทย เพื่อบุกตลาดภูมิภาค ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซีพีส่งออกลองกองจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อแก้ปัญหาลองกองล้นตลาด สู่ตลาดแดนมังกร นำร่องเปิดขายในซี.พี.โลตัส 9 สาขาที่เมืองกวางโจว และขยายต่อไปอีกหลายเมืองในประเทศจีน เพื่อหวังปูทางสร้างตลาดใหม่รองรับผลไม้ไทยในระดับสากล สร้างรายได้และการเติบโตที่ยั่งยืนให้แก่เกษตรกร ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2559 ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง 5 ปีแล้ว และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรไทย

ผู้บริโภคชาวจีนที่ชื่นชอบผลไม้จากประเทศไทย มีโอกาสได้ลิ้มรสลองกองรสเลิศพันธุ์ตันหยงมัส จาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส โดยวางจำหน่ายผ่าน ซี.พี.โลตัส ธุรกิจซูเปอร์เซ็นเตอร์ในประเทศจีนที่เครือฯ เข้าไปลงทุน เพื่อให้เป็นช่องทางจำหน่ายปลีกในต่างประเทศเพิ่มเติม ภายใต้บรรจุภัณฑ์ขนาดกล่องละ 500 กรัม หวังสร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับลองกองไทยสู่สากล เพื่อสร้างรายได้ และการเติบโตสู่วิสาหกิจชุมชนอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกร ทำให้จำหน่ายได้รวดเร็ว และช่วยระบายสินค้าเกษตร ไม่ให้เกิดปัญหาการล้นตลาดในประเทศไทย

นอกจากลองกองแล้ว ซีพี ยังได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ทำโครงการทุเรียนคุณภาพ ดันเกษตรกร 3 จังหวัดใต้ปลูกทุเรียนเกรดสูง โดยเชิญชวนซีพีเข้ามามีส่วนร่วมในการส่งขายจีน สร้างรายได้กว่า 160 ล้านบาท นับว่าเป็นเรื่องโชคดีที่แม้ว่ายังอยู่ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ทุเรียนไทยก็ยังสามารถส่งออกไปขายยังต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นผู้รับซื้อหลักได้ รวมถึงทุเรียนใน 3 จังหวัดภาคใต้ คือ ยะลา นราธิวาส และปัตตานี ซีพีได้เข้าร่วมสนับสนุนโครงการทุเรียนคุณภาพ โดยจะดูแลด้านการตลาด พร้อมกับรับซื้อจากเกษตรกรในราคาสูงกว่าท้องตลาด 10-15 เปอร์เซ็นต์

ทั้งนี้ ทางปิดทองหลังพระฯ จะเป็นผู้รวบรวมผลผลิต หลังจากนั้นจะส่งไปยังศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าของซีพีที่จังหวัดชุมพร เพื่อให้ซีพีรับช่วงต่อ ส่งไปยังมาบตาพุด เพื่อส่งออกไปยังประเทศจีน โดยจะนำไปจำหน่ายให้กับผู้บริโภคชาวจีนในห้างโลตัส และเครือข่ายของซีพีในประเทศจีนต่อไป

ทั้งนี้ โลตัสซูเปอร์เซ็นเตอร์ ซึ่งอยู่ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) โลตัสในจีนมีชื่อว่า “อี้ชูเหลียนฮัว” คำว่า “อี้ชู” หรือ “เอ็กชอ” ในภาษาแต้จิ๋ว เป็นชื่อของผู้ก่อตั้งซีพี ส่วน “เหลียนฮัว” คือ ดอกบัวที่คนไทยถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ ร่ำรวย ซื่อสัตย์ ความห่วงใย และการมีชีวิตที่ดี ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “ปู่เฟิงเหลียนฮัว”

ในปี 2536 ซีพีได้ร่วมทุนกับห้างวอลมาร์ท หลังจากซีพีได้แยกตัวจากวอลมาร์ทในปี 2538 จึงเริ่มงานซีพีโลตัสที่เซี่ยงไฮ้ และเกิดเป็นโลตัสซูเปอร์เซ็นเตอร์ครั้งแรกในปี 2540 จากนั้นเริ่มขยายไปที่เขตเหนือ (North Region) คือ กรุงปักกิ่งและมหานครเทียนจิน และซีอาน ปัจจุบัน โลตัสในจีนมีทั้งหมด 76 สาขาใน 15 มณฑล/มหานคร ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ (สำนักงานใหญ่) ปักกิ่ง เทียนจิน ฉงชิ่ง เจียงซู เจ้อเจียง ซานตง กวางตุ้ง เสฉวน ส่านซี หูเป่ย เหอหนาน อันฮุย เหอเป่ย และหูหนาน สำหรับที่ซีอานมี 3 สาขา คือ สาขาถังเอี๋ยนลู่ ฉางอิงลู่ และฉางอันลู่

การเปิดตลาดภูมิภาคในครั้งนี้จะเป็นการส่งเสริมเกษตรกร และเอสเอ็มอี ในการนำสินค้าไทย ไปสู่ตลาดโลก สำหรับโอกาสทางการตลาดสำหรับสินค้าเกษตรและอาหารของไทย นอกจากนี้ ปัจจุบันไทยสามารถที่จะส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปยังสมาชิกอาร์เซ็ปได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยมีสินค้าเกษตรที่ไทยน่าจะได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นจากการทยอยยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่ส่งออกจากไทย เช่น ผักผลไม้แปรรูปและไม่แปรรูป น้ำมันที่ได้จากพืช ของปรุงแต่งจากธัญพืชและแป้ง แป้งมันสำปะหลัง แป้งสาคู สินค้าประมง อาหารแปรรูป น้ำผลไม้ เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังสามารถใช้เกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าเดียวกันในการส่งออกไปยังประเทศสมาชิกอาร์เซ็ป จากเดิมที่ใช้เกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าที่แตกต่างกันตามความตกลงเอฟทีเอแต่ละฉบับ อีกทั้งเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้ความตกลงอาร์เซ็ปยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้แหล่งวัตถุดิบที่หลาหลายมากขึ้น ทั้งจากประเทศในกลุ่มและนอกอาร์เซ็ปได้ ทำให้โลตัส จะเป็นแพลตฟอร์มการส่งเสริมเอสเอ็มอีอย่างดีในการบุกตลาดโลกของสินค้าเกษตรกรของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างยั่งยืน

ซีพีเอฟ โชว์นวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพในงาน ASEAN Innovation Roadmap

0

รายงานข่าวจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทได้นำผู้เชี่ยวชาญร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และโชว์นวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ ในงาน ASEAN Innovation Roadmap & Bioeconomy Forum in Conjunction with GBS2020  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งจัดที่โรงแรมแชงกรีลา กรุงเทพมหานคร 

งาน ASEAN Innovation Roadmap จัดขึ้นเพื่อเป็นแผนเชิงกลยุทธ์ในการสร้างความร่วมมือ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อนำความรู้มาบูรณาการให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในมิติ สังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม  รวมถึงสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์กรสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) 

โดยซีพีเอฟ ได้นำวิทยากรร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ในหัวข้อ CPF Food Innovation Through Healthier Choices ตลอดจนนำผลงานนวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพของบริษัทฯ ได้แก่ หมูชีวา และเครื่องดื่มแบรนด์ INNOWENESS ไปร่วมจัดแสดงในงาน 

นางอรอนุช ทัพพสารดำรง รองกรรมการผู้จัดการ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ภายใต้วิสัยทัศน์ “ครัวของโลก” บริษัทฯ มีเป้าหมายในการผลิตอาหารคุณภาพดีและปลอดภัย ตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยเฉพาะการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพมีเป้าหมาย 30% ของผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นสุขโภชนาการ สุขภาพและสุขภาวะ ในปี 2563 

ซีพีเอฟ ได้พัฒนาและวิจัยนวัตกรรมอาหารเพื่อการมีสุขภาพที่ดี มีคุณค่าทางโภชนาการ ปลอดภัย รสชาติดี และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เช่น “หมูชีวา” ที่มีโอเมก้า 3 มากกว่าหมูทั่วไป เลี้ยงในระบบปิดที่ใส่ใจความปลอดภัย สอดคล้องตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยง และได้รับรางวัลชนะเลิศสุดยอดสินค้านวัตกรรมระดับโลก จากงาน Thaifex 2020 และผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ แบรนด์ INNOWENESS เช่น  เครื่องดื่มเบต้ากลูแคน IMU ผลิตจากเห็ดสกัดธรรมชาติ เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ลดอาการภูมิแพ้ และหวัด เครื่องดื่มแอลธีอานิน DEEP ช่วยให้นอนหลับลึก ผ่อนคลายความตึงเครียดก่อนนอน และเครื่องดื่ม FRESH สกัดจากน้ำทับทิม และชาเขียว ช่วยปลุกสมอง คืนความสดชื่น ระหว่างวัน  

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนานวัตกรรมด้านโปรตีนทดแทนจากพืช ที่ยังคงคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่ม Flexitarian ที่เพิ่มมากขึ้น และความต้องการด้านเทรนด์สุขภาพของผู้บริโภค ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญต่อการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เพื่อร่วมแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน

เอาใจชาวเกาะ จัดงาน “ออมสินเพื่อสมุย” ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่

0

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในไทย แม้ว่าจะคลี่คลาย แต่จากการที่ยังไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลักอย่าง อ. เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งปัจจุบันอยู่ในสภาพเงียบเหงา ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวต่างปิดกิจการ ผู้ประกอบการเดือนร้อน แรงงานตกงานจึงโยกย้ายกลับถิ่นฐาน รวมถึงคนในพื้นที่ก็ขาดรายได้จุนเจือครอบครัว

เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของคนสมุย ธนาคารออมสินจึงเกิดแนวคิดจัดทำโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” หรือ GSB SAMUI MODEL ขึ้น คาดมีเม็ดเงินหมุนเวียนช่วยพยุงเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท โดยผู้บริหารและพนักงานธนาคารออมสิน ใช้เวลากว่า 2 เดือนลงพื้นที่เพื่อสำรวจสภาพปัญหาและความช่วยเหลือเฉพาะหน้าที่ชาวบ้านต้องการ แล้วกำหนดเป็นมาตรการเร่งด่วนให้ชาวบ้านได้รับความช่วยเหลือในทันที

โดยในวันที่ 8 – 9 ธันวาคม 2563 คณะกรรมการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน จะอยู่ในพื้นที่เกาะสมุย เพื่อพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเป็นกรณีพิเศษแก่ผู้ประกอบการและประชาชน ให้สามารถเบิกจ่ายเงินกู้ได้ท้นที รวมถึงการให้คำปรึกษาด้านการจัดการหนี้แก่ลูกค้าสินเชื่อเดิมของธนาคาร และมอบความช่วยเหลือเพื่อเยียวยาปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การมอบทุนการศึกษาแก่บุตรหลานที่ผู้ปกครองได้รับความเดือดร้อน การมอบทุนต่อยอดสู่การสร้างรายได้แบบพึ่งพาตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนและเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อมเริ่มต้นทำฟาร์มไก่ไข่ ปุ๋ยและเมล็ดพันธุ์พืช การฝึกอาชีพ และการมอบสิ่งยังชีพ เช่น ไข่ไก่และปลาแห้งที่ธนาคารออมสินอุดหนุนจากชุมชนในพื้นที่เกาะสมุย เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังเปิดพื้นที่จัดลาน Street Food และสินค้าพื้นถิ่น ให้ร้านค้าได้มาออกร้านจำหน่ายสินค้าฟรีโดยไม่คิดค่าเช่าบูธ โดยผู้ร่วมงานยังมีสิทธิ์ได้ลุ้นรางวัลมากมาย อาทิ ส่วนลดร้านค้า บัตรชมภาพยนตร์ บัตรส่วนลดห้างซุปเปอร์เซ็นเตอร์

และสำหรับผู้ยื่นขอสินเชื่อ หรืออุดหนุนร้านค้าภายในงานแล้วจ่ายเงินผ่านแอป MyMo จะได้รับแจกกระปุกออมสินไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ผ่านการปลุกเสกแล้วเป็นของที่ระลึกอีกด้วย ยังไม่รวมกิจกรรมร่วมสนุกอื่น ๆ อีกมากมายที่ธนาคารออมสินเตรียมมาจัดเต็ม พร้อมมอบของขวัญของแจกแก่ผู้ร่วมงานให้ได้ติดไม้ติดมือกลับบ้านกันทุกคน

สำหรับงานออมสินเพื่อสมุย : GSB SAMUI MODEL เป็นโครงการที่ธนาคารออมสินจัดขึ้นเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรม และสอดคล้องตามจุดยืนการเป็นธนาคารเพื่อสังคม (GSB Social Bank) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 9 ธันวาคม 2563 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย อ. เกาะสมุย จ. สุราษฎร์ธานี

เครือซีพี ร่วมกับประมงพื้นบ้านหัวไทร ชูโมเดล “อนุรักษ์เพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ อนุรักษ์กินได้ อนุรักษ์มีรายได้”

0

รายงานข่าวจากการจัดงาน “ASEAN Innovation Roadmap & Bioeconomy Forum in Conjunction with GBS2020” โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ระหว่างวันที่ 16 – 20 พฤศจิกายน 2563  เพื่อเป็นเวทีระดมสมองให้เกิดแนวทางการใช้ประโยชน์จากแผนที่นำทาง ในการผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจฐานชีวภาพ ผ่านการประชุมหารือ แลกเปลี่ยนแนวคิดระหว่างผู้แทนจากหน่วยงานในต่างประเทศ ภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน และการนำเสนอข้อริเริ่มเชิงสร้างสรรค์ในการสร้างนวัตกรรมให้เกิดในอาเซียน โดยมี ดร.อธิป อัศวานันท์ ผู้บริหาร สำนักบริหารความยั่งยืน ธรรมาภิบาล บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ได้ร่วมนำเสนอโมเดลการทำงานร่วมกันระหว่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ และสมาคมประมงพื้นบ้านหัวไทร อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ภายใต้แนวคิด “อนุรักษ์เพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ อนุรักษ์กินได้ อนุรักษ์มีรายได้”  นอกจากนี้ยังมีผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน ผู้แทนจากประเทศคู่เจรจา ฝ่ายเลขานุการอาเซียนจากคณะกรรมการสาขาต่าง ๆ ตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัด อว. และหน่วยงานราชการต่าง ๆ ให้ความเห็นเพิ่มเติม และนำเสนอกิจกรรมที่สามารถร่วมมือได้ต่อไปในอนาคต

ดร.อธิป กล่าวว่า จากวิกฤตปัญหาที่เกิดขึ้นกับท้องทะเลไทย ส่งผลกระทบต่อชุมชน และสิ่งแวดล้อม เครือเจริญโภคภัณฑ์ จึงให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและฟื้นฟูการประมงชายฝั่งอย่างยั่งยืน ทั้งในพื้นที่จังหวัดชายฝั่งทะเล ทั้งฝั่งภาคตะวันออก, อ่าวไทย และทะเลอันดามัน โดยดำเนินการผ่านแนวคิดหลัก “SEACOSYSTEM เพื่อทะเลไทยยั่งยืน” เพื่ออนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลเชิงบูรณาการสำคัญ 5 ด้าน ประกอบด้วย การพัฒนารูปแบบการทำธุรกิจที่ยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน การขยายพันธุ์สัตว์น้ำ การสร้างแหล่งที่อยู่อาศัยที่สมดุลแก่สัตว์น้ำ การพัฒนาและวิจัยเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการส่งเสริมศักยภาพและคุณภาพชีวิตของชุมชนประมงชายฝั่งอย่างยั่งยืน

การทำงานร่วมกับสมาคมประมงพื้นบ้านหัวไทร ต.เกาะเพชร อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ที่ได้มีการต่อยอดการทำงานเชิงอนุรักษ์จนนำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่ชาวประมง ภายใต้แนวคิดการอนุรักษ์เพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ อนุรักษ์กินได้ อนุรักษ์มีรายได้ โดยในปี 2560 ทีมชุมชนสัมพันธ์ สำนักบริหารความยั่งยืน ธรรมาภิบาล บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ได้เข้ามาร่วมทำงานเชิงบูรณาการร่วมกับชุมชน โดยเฉพาะการนำเอาระบบนวัตกรรมธนาคารสัตว์น้ำมาใช้ในพื้นที่ชุมชน ทั้งยังนำเทคโนโลยีพลังงานทดแทน (โซล่าเซลล์ และกังหันลม) เข้ามาผสมผสานจนเกิดเป็นระบบอนุรักษ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นำไปสู่แนวคิดการบริหารจัดการซั้ง (บ้านปลา) ในรูปแบบหมุนเวียน เพราะการวางซั้งบ้านปลาในแต่ละครั้ง บริเวณตามแนวเชือกซั้งจะมีหอยแมลงภู่มาเกาะ ซึ่งถือเป็นผลพลอยได้จากการอนุรักษ์ และหากคำนวณระยะเวลาการเจริญเติบโตของหอยแมลงภู่ ชาวประมงสามารถนำหอยแมลงภู่ที่ได้ไปบริโภค หรือไปจำหน่าย โดยรายได้ที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งจะถูกนำกลับมาทำซั้งต้นใหม่เพื่อวางในครั้งถัดไป รวมถึงการส่งต่อซั้ง (บ้านปลา) ที่มีลูกพันธุ์หอยแมลงภู่ติดตามแนวเชือกไปยังพื้นที่ฝั่งอันดามัน เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของทรัพยากรสัตว์ในทะเล ถือเป็นนวัตกรรมชุมชนที่สร้างประโยชน์ ทั้งการเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน เพิ่มทรัพยากรสัตว์น้ำ และยังทำให้งานอนุรักษ์ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม แม้ชาวประมงสามารถจับสัตว์น้ำได้ในปริมาณที่มาก แต่กลไกตลาดที่ผันผวน ส่งผลให้สัตว์น้ำมีราคาตกต่ำ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และสมาคมประมงพื้นบ้านหัวไทร ร่วมกันการพัฒนาต่อยอด ด้วยการแปรรูปอาหารทะเลจากสัตว์น้ำที่ชาวชุมชนสามารถหาได้ ภายใต้ชื่อ “รอยยิ้มชาวเล” เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรสัตว์น้ำที่จับมา และให้ชาวประมงสามารถเป็นผู้กำหนดราคา หรือขายสัตว์น้ำได้เอง สร้างการกระจายรายได้ และอาชีพให้กับคนในชุมชน โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์สนับสนุนการด้านความรู้ทางการตลาด การค้าขายออนไลน์ ตลอดจนการบริการจัดสินค้า จนทำให้ชาวประมงมีรายได้สะสมจากการจำหน่ายสินค้าอาหารทะเลแปรรูปกว่า 2.2 ล้านบาท (ระหว่างเดือนเมษายน-กันยายน 2563)

ชุมชนยังได้มีการจัดสรรปันส่วนของรายได้ และกำไรจากการจำหน่ายอาหารทะเลแปรรูป ออกเป็น 5 ส่วน โดยส่วนแรก ปันผลกำไรให้กับสมาชิก 50% ส่วนที่สองเป็นกองทุนเพื่อการอนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลในเขตพื้นที่อนุรักษ์ของชุมชน 20%, ส่วนที่สามเป็นทุนการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาส ตลอดจนลูกหลานชาวประมง 15%, ส่วนที่สี่นำไปทำนุบำรุง และจัดกิจกรรมของมัสยิด และวัด 5% และส่วนที่ห้า เพื่อนำไปเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของสมาคมประมงพื้นบ้านหัวไทร ชุมชนประมงพื้นบ้านเกาะเพชร 10% 

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะดำเนินการต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโรงเรือนการผลิตแปรรูปให้เป็นไปตามมาตรฐาน GMP และ อย.เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับสินค้า และการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปในรูปแบบใหม่ๆ ตลอดจนการขยายรูปแบบ หรือโมเดลการทำธุรกิจสู่ชีวิตที่ยั่งยืนเพื่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวประมงให้มีความเป็นอยู่ที่ดี ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช 12 เครือข่าย 7 พื้นที่ ครอบคลุม 1,056 ครัวเรือน โดยให้สมาคมประมงพื้นบ้านหัวไทรเป็นต้นแบบการเรียนรู้ และศูนย์กลางในการรับวัตถุดิบจากเครือข่ายเพื่อการแปรรูปและจัดจำหน่าย ซึ่งเป็นการต่อยอดการทำงานด้านการอนุรักษ์ไปสู่การสร้างรายได้ ตามแนวคิด “อนุรักษ์เพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ อนุรักษ์กินได้ อนุรักษ์มีรายได้” ที่สอดคล้องกับ “เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy)” ซึ่งมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สู่การพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงอย่างแท้จริง

เซเว่น อีเลฟเว่น สาขาธาราพัทยา ได้รางวัล ASEAN Energy Awards 2020 ด้านอนุรักษ์พลังงาน ระดับอาเซียน

0

นายวิเชียร จึงวิโรจน์ กรรมการบริหารและรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนรับรางวัลในโอกาสที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น สาขา ธาราพัทยา รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภท Best Practices of Green Building Small & Medium Category ซึ่งนับเป็นบริษัทในประเทศไทยเพียงหนึ่งเดียวที่รับรางวัลในประเภทนี้ จากงาน ASEAN Energy Awards จัดโดย องค์กร ASEAN Centre for Energy (ACE) ผ่านระบบ VDO Conference จากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย

โดยรางวัล การประกวด ASEAN Energy Awards 2020 ด้านอนุรักษ์พลังงาน จะพิจารณาจากเกณฑ์การตัดสินด้านต่างๆ ได้แก่ ประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน (Energy Efficiency), ประสิทธิภาพการใช้น้ำ (Water Efficiency), ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability), คุณภาพสิ่งแวดล้อมภายในอาคาร (Indoor Environmental Quality) และ การดำเนินงาน การบำรุงรักษา และด้านสิ่งแวดล้อม (Operation and maintenance & Other Green)

สำหรับร้านเซเว่น อีเลฟเว่น สาขาธาราพัทยา เปิดให้บริการเมื่อเดือนธันวาคม 2561 โดยเป็นร้านที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสังคม ด้วยการออกแบบให้ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยก่อสร้างตามเกณฑ์ “การประเมินความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมไทย” หรือที่เรียกว่าเกณฑ์อาคารเขียว ของสถาบันอาคารเขียวไทย เช่น ติดตั้งหลังคาแบบ Solar Rooftop ผลิตไฟฟ้าทดแทนได้ประมาณ 50%, จุดบริการ EV Charger สถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ระบบไฟฟ้า, ระบบแสงสว่างใช้หลอดไฟ LED ทั้งร้าน ช่วยประหยัดไฟมากกว่าหลอดไฟธรรมดากว่า 30%, ผนังกระจก 2 ชั้น ลดการถ่ายเทความร้อน, ตู้จำหน่ายสินค้าแช่เย็นมีบานเปิด-ปิดใส ช่วยเก็บอุณหภูมิสินค้าใหม่ให้คงที่ พร้อมทั้งมีจอ LED แสดงผลการใช้พลังงานจากอุปกรณ์ไฟฟ้าในสาขาแบบ Real Time ฯลฯ

ทิพยประกันภัย ตามรอยเสด็จในหลวงร.9 เยือนสวนสมเด็จย่า จ.เพชรบุรี

0

นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)  ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และมูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด และประธานมูลนิธิธรรมดี กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และมูลนิธิธรรมดี นำคณะครูอาจารย์จากสถาบันการศึกษาต่างๆ กว่า 40 คน ผู้นำชุมชนกว่า 35 คน ร่วมกิจกรรมโครงการตามรอยพระราชา “ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา ครั้งที่ 10” ตามรอยเสด็จพระราชดำเนินทางรถไฟครั้งแรกของในหลวงรัชกาลที่ 9 เยือนสวนสมเด็จย่า พื้นที่เงาฝน พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต จังหวัดเพชรบุรี เพื่อเรียนรู้และถอดรหัสพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมทั้งถอดบทเรียนสร้างนวัตกรรมด้านการเรียนการสอนให้กับเยาวชน โดยมี นางวันเพ็ญ  มังศรี  รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม

โครงการสวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สวนสมเด็จย่า) อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เดิมเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยว พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงมีพระราชดำริให้พัฒนาพื้นที่เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาด้านการเกษตรที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ฟื้นฟูให้คืนความอุดมสมบูรณ์ด้วยการทำเกษตรแบบผสมผสานและสร้างแหล่งน้ำ เป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิตและเป็นแหล่งเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้านการเกษตร การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และพันธุกรรมพืช รวมถึงเป็นที่ฝึกอบรมการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรและสมุนไพร

โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรม ได้ร่วมกันเก็บดอกบัวหลวงสัตตบุศย์ในนาบัว พับกลีบดอกบัวถวายเป็นเครื่องสักการะสมเด็จย่า แล้วนั่งรถรางชมโครงการและปลูกป่า ปิดท้ายด้วยการปลูกข้าวแบบโบราณที่ต้องถอนกล้าและดำนา

นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมยังได้รับชุดหนังสือภาษาอังกฤษ ‘King Bhumibol Adulyadej of Thailand’ จำนวน 3 เล่ม ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับพระราชประวัติและพระราชจริยวัตร ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นำไปถ่ายทอดแก่นักเรียนผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้เยาวชนรุ่นหลังได้รู้จักพระองค์ท่านและสามารถสื่อสารให้ชาวต่างชาติฟังได้ว่า ทำไมคนไทยจึงรักและผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งยังให้ข้อคิดในการใช้ชีวิตเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณธรรม

AIS จับมือเซ็นทรัลเวิลด์ เปิดตัว AIS 5G SMART MIRROR กระจกลองเสื้อเสมือนจริง

0

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า  เอไอเอส ร่วมกับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เปิดตัว AIS 5G SMART MIRROR ครั้งแรกในไทยกับการลองเสื้อผ้าบนโลกเสมือนจริงในรูปแบบ Virtual Fitting ผ่านเครือข่าย 5G ที่ทำให้ลูกค้าสามารถมิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อผ้าจากหลากหลายแบรนด์ดังได้แบบเรียลไทม์ในที่เดียว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นักช้อปยุคนิวนอร์มัล ที่เน้นเรื่องความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย  

AIS 5G SMART MIRROR หรือกระจกอัจฉริยะที่เป็นดั่งผู้ช่วยในการแต่งตัว ที่ทำงานบนเครือข่าย AIS 5G ซึ่งมีพลานุภาพสูง ทั้งในแง่ของอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Speed) การตอบสนองต่อการสั่งงานที่รวดเร็ว มีความหน่วงต่ำ (Latency) พร้อมรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ที่หลากหลาย (IoT Connectivity) เข้าไปพลิกโฉมประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้าในยุค 5G ให้สนุกและตื่นเต้นกว่าที่เคย

โดยเมื่อลูกค้าส่องกระจกอัจฉริยะแล้ว ระบบจะสร้างรูปจำลองแบบเสมือนจริง เพื่อช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพชัดเจนขึ้น สามารถเปลี่ยนทรงผม ปรับสรีระร่างกาย เลือกไซส์ และเลือกสไตล์เสื้อผ้าได้หลากหลายแบรนด์ พร้อมแสดงผลได้อย่างรวดเร็วผ่านเครือข่าย 5G ทำให้ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาไปลองเสื้อผ้าจากหลายๆ ร้านให้ยุ่งยาก แต่สามารถรู้ข้อมูลสินค้าและราคาได้ก่อนตัดสินใจซื้อได้ในที่เดียว โดยมีร้านค้าแบรนด์ดังที่ร่วมรายการมากมาย ได้แก่ CARNIVAL, H&M, MLB, MICHAEL KORS, POLO RALPH LAUREN, PULL&BEAR, SUPERDRY, TOPSHOP/TOPMAN, UNIQLO และ ZARA

และเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าได้สัมผัสความเร็วแรงของเทคโนโลยี 5G ที่เหนือระดับไปอีกขั้น จึงมอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าเอไอเอส ที่ไปลองเสื้อผ้าที่บูธ AIS 5G SMART MIRROR ตั้งแต่วันนี้ – 5 มกราคม 2564 ณ ชั้น 2 โซนเซ็นทรัลคอร์ท หน้าลิฟต์แก้ว ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ประกอบด้วย

• รับทันทีคูปองส่วนลด 200 บาท เมื่อร่วมกิจกรรมที่บูธ AIS 5G SMART MIRROR และใช้ AIS Points   200 คะแนน

• รับทันทีของขวัญสุดพรีเมียมจาก AIS เมื่อช้อปครบ 2,000 บาท ในร้านค้าที่ร่วมรายการ

ด้าน ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด เซ็นทรัลพัฒนา    กล่าวว่า การจับมือกับพาร์ทเนอร์อย่างเอไอเอส ร่วมกันตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคนิวนอร์มัล ผ่าน AIS 5G SMART MIRROR กระจกอัจฉริยะ Virtual Fitting ตัวช่วยในการลองเสื้อผ้าแบบไม่ต้องเสียเวลา ลูกค้าสามารถเลือกลองเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ๆ จากหลากหลายแฟชั่นแบรนด์ชั้นนำตั้งแต่ Street Fashion, Fast Fashion, Affordable Luxury ที่เซ็นทรัลเวิลด์ได้พร้อมๆ กันแบบไม่ต้องเหนื่อย ที่ผ่านมาเราและเอไอเอสต่างเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ตรงกันในการนำนวัตกรรมมาสู่ผู้บริโภค มีการนำเทคโนโลยี 5G มาช่วยเสริมประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยของประชาชนในศูนย์การค้า เช่น หุ่นยนต์ตรวจอุณหภูมิ หุ่นยนต์บริการเจลแอลกอฮอล์ ซึ่งได้สร้างปรากฎการณ์ระดับโลกร่วมกันมาแล้ว

แบงก์ชาติ ออก 3 มาตรการ คุมค่าเงินบาท

0

นางสาว วชิรา อารมย์ดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ออกมาตรการ 3 ด้าน ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อค่า เงินบาท และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ช่วยให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีความสมดุลมากขึ้น หลังจาก ธปท. กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ร่วมมือกันแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนไทยอย่างยั่งยืน เพื่อให้เกิดระบบนิเวศของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ (FX Ecosystem)

มาตรการ 3 ด้าน ประกอบด้วย

1. เปิดให้คนไทยฝากเงินตราต่างประเทศได้เสรี (Foreign Currency Deposit : FCD) และโอนเงินระหว่างบัญชี FCD ของคนไทยได้เสรี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ส่งออกบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศและบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้คล่องตัวมากขึ้น สามารถทำธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยลดต้นทุนการโอนเงินและชำระเงิน รวมทั้งทำให้คนไทยสามารถกระจายความเสี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินตราต่างประเทศได้สะดวกขึ้น เช่น การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ และการซื้อขายทองคำเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นต้น

2. ปรับกฎเกณฑ์และกระบวนการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ทั้งเรื่องวงเงินและผลิตภัณฑ์ที่ลงทุนได้ เพื่อเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้กับคนไทยและสนับสนุนให้มีการกระจายความเสี่ยงการลงทุนได้มากขึ้น เช่น เพิ่มวงเงินลงทุนให้นักลงทุนรายย่อยลงทุนโดยตรงได้เป็น 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี จากเดิม 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี และไม่จำกัดวงเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่ลงทุนผ่านตัวกลางในประเทศ เช่น บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน

รวมถึง ไม่จำกัดวงเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศสำหรับนักลงทุนภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. และเปิดให้มีการนำหลักทรัพย์ต่างประเทศมาซื้อขายในไทยได้โดยไม่จำกัดวงเงิน เช่น กองทุนรวมดัชนี (ETF) ที่อ้างอิงหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ เป็นต้น

3.การลงทะเบียนแสดงตัวตนเพื่อซื้อขายตราสารหนี้ (Bond Pre-trade Registration)  ผู้ลงทุนในตราสารหนี้ไทยต้องลงทะเบียนแสดงตัวตนก่อนการซื้อขาย ทำให้ ธปท. ระบุตัวตนและติดตามพฤติกรรมของนักลงทุนได้อย่างใกล้ชิด เป็นการยกระดับการติดตามข้อมูลและเอื้อให้ ธปท. สามารถดำเนินนโยบายได้อย่างตรงจุดและทันการณ์ ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับการดำเนินการของหลายประเทศ เช่น เกาเหลีใต้ มาเลเซีย ไต้หวัน เป็นต้น