Home Blog Page 362

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : สำรับการเงินสามัญประจำบ้าน (1)

0

วันนี้ “คุณนายพารวย” พามารู้จัก “สำรับการเงินสามัญประจำบ้าน” เครื่องมือและเคล็ดลับในการบริหารจัดการเรื่องเงินๆทองๆ เพื่อสร้างความสุขทางการเงินให้ตนเองและครอบครัว เรียกว่าถ้ารู้เคล็ดลับและลงมือปฏิบัติตามสำรับการเงินอย่างเคร่งครัดแล้ว “ชีวิตจะดี ไม่มีอด” รอดพ้นจากวิถีชีวิตลูกหนี้ แถมมั่งคั่งมั่งมีในยามชรา ไม่ต้องลำบากลูกหลาน

โดยในเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th/happymoney ได้ชักชวนให้ประชาชนมาสร้างความมั่นคงทางการเงิน (Wealth Creation) กับ “สำรับการเงินสามัญประจำบ้าน” เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินง่ายๆ ประกอบด้วย 3 สำรับการเงินที่สำคัญ ดังนี้

สำรับที่ 1 คือ เคล็ดลับ 4 รู้ สู่ความมั่งคั่ง รู้หา-รู้เก็บ-รู้ใช้-รู้ขยายดอกผล, สำรับที่ 2 คือเครื่องมือจัดการเงิน ที่จะทำให้ชีวิตสบายไม่มีจน รู้จักทำงบดุล-บัญชีรับจ่าย-งบประมาณครอบครัว และสำรับที่ 3 คือวิธีบริหารหนี้ มีเงินออม แก้ปัญหาการเงินได้ถูกจุด และหาวิธีเพิ่มความมั่งคั่งได้ถูกทาง

มาเริ่มทำความรู้จักกับสำรับที่ 1 คือ เคล็ดลับ 4 รู้ สู่ความมั่งคั่ง รู้หา-รู้เก็บ-รู้ใช้-รู้ขยาย ดอกผล เพื่อสร้างความมั่งคั่ง ซึ่งเป็นด่านแรกที่เราจะต้องฟันฝ่าไปให้ได้หากอยากมั่งคั่ง ร่ำรวย หรือมีอิสรภาพทางการเงินอย่างที่ฝันไว้ ซึ่งคนที่จะสร้างความมั่งคั่งได้ต้อง “รู้หา รู้เก็บ รู้ใช้ และรู้ขยายดอกผล” อย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็นนิสัย

รู้หา : คือการหาเงินเพิ่ม เสริมรายได้ นอกจากงานที่สร้างรายได้ประจำแล้ว ต้องมองลู่ทางหารายได้เสริมด้วยเพราะปัจจุบันต้องมีรายได้หลายช่องทาง ต้องไม่พึ่งพารายได้จากทางเดียว

รู้เก็บ : คาถาที่ต้องท่องให้ขึ้นใจ “ออมก่อนใช้” เพื่อให้มีเงินเก็บเงินออม แต่ต้องเก็บเท่าไร ก็ต้องตั้งเป้าหมายการออมและกำหนดระยะเวลาให้ชัดเจนเพื่อวางแผนการออมให้บรรลุเป้าหมายได้ โดยเฉพาะการออมเพื่อเกษียณ ในหน้าเว็บไซต์ หัวข้อ “สำรับการเงินสามัญประจำบ้าน” มีโปรแกรมคำนวณเงินออมที่ต้องเตรียมไว้ใช้หลังเกษียณ รวมทั้งการคำนวณเงินก้อนหรือเงินเก็บที่มีอยู่ตอนนี้ หากกำหนดว่าจะใช้เดือนละเท่านั้นเท่านี้หลังเกษียณ จะใช้ได้กี่ปีถึงจะหมด โดยคำนวณเงินเฟ้อที่จะทำให้ค่าเงินลดลงในอนาคตไว้ด้วย

รู้ใช้ : ใช้จ่ายอย่างฉลาด ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในสิ่งที่ไม่จำเป็น ยึดหลักเงินที่ออกจากกระเป๋า ต้องใช้จ่ายอย่างไรให้คุ้มค่าเงิน

รู้ขยายดอกผล : คือการรู้จักนำเงินออมออกไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ถูกที่ ก่อนอื่นคือ ต้อง “รู้จักตัวเอง” เพื่อตั้งเป้าหมายการลงทุน หลังจากนั้นก็ศึกษาช่องทางการลงทุน ให้เหมาะสมกับตัวเอง โดยเฉพาะผลตอบแทนเป้าหมายและระยะเวลาเพื่อให้ถึงเป้าหมายการลงทุนนั้นๆ โดยต้องเข้าใจถึงโอกาสและความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนด้วย เพื่อพิจารณาว่า ตัวเราเองนั้นสามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้แค่ไหน ยอมให้เงินต้นหรือเงินออมหดหาย ได้กี่ % เป็นต้น และต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนเท่าไร เพื่อเลือกสินทรัพย์ที่จะลงทุนได้เหมาะสมและตอบโจทย์บรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้ตามเวลา

สัปดาห์หน้าเรามาว่ากันต่อสำหรับสำรับที่ 2 และสำรับที่ 3 ของ “สำรับการเงินสามัญประจำบ้าน” รู้แล้วรอด รู้แล้วรวย!!


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดยคุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ซีพีเอฟ เบอร์หนึ่งขององค์กรนายจ้างยอดเยี่ยมระดับโลก

0

รายงานข่าวจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทได้รับการจัดอันดับเป็น องค์กรนายจ้างยอดเยี่ยมระดับโลกแห่งปี 2020 (The World’s Best Employer 2020) จัดโดยนิตยสาร “ฟอร์บส์” และเป็นอันดับที่ 1 ในฐานะบริษัทไทยจากความโดดเด่นในการมีส่วนร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับสังคมไทยและกิจการในต่างประเทศ พร้อมยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยและป้องกันเชื้อโควิด-19 ตลอดห่วงโซ่การผลิตอย่างเคร่งครัด สร้างความมั่นคงทางอาหารและส่งมอบปลอดภัยอย่างเพียงพอให้กับผู้บริโภค

โดยในปีนี้ “ฟอร์บส์” นิตยสารด้านการเงินและธุรกิจชั้นนำระดับโลกของสหรัฐ ร่วมกับ Statista ทำการสำรวจความคิดเห็นพนักงานประจำและชั่วคราว 160,000 คนใน 58 ประเทศทั่วโลก เพื่อสรรหาองค์กรนายจ้างยอดเยี่ยมระดับโลก แห่งปี 2020 (The World’s Best Employer 2020) โดยมีบริษัทไทยติดอันดับครั้งนี้ 4 บริษัท ซึ่ง ซีพีเอฟ จัดอยู่ในอันดับที่ 248 ถือเป็นอันดับที่ 1 ของไทย ตามด้วยบริษัทฮานา ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ อันดับที่ 263, บริษัท ปตท. อันดับที่ 476 และการบินไทย อันดับที่ 673

ทั้งนี้ ซีพีเอฟ มีการดำเนินงานด้านทรัพยากรมนุษย์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานจากการสำรวจในหัวข้อ ความต้องการของพนักงานที่อยากจะชักชวนเพื่อนๆ ญาติพี่น้องให้เข้ามาทำงานด้วยกัน, ภาพลักษณ์ของบริษัทต่อสาธารณชน, บทบาทของบริษัทที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและโลก, โครงการพัฒนาทักษะพนักงาน, ความเท่าเทียมทางเพศ, ความรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนความพึงพอใจที่มีต่อการรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซีพีเอฟ เป็นบริษัทแรกของไทยที่ประกาศยกระดับความปลอดภัยของพนักงานขึ้นสู่ระดับสูงสุด ด้วยมาตรการป้องกันที่เข้มงวดด้านสุขอนามัยทั้งห่วงโซ่การทำงานตั้งแต่ที่บ้าน การเดินทางไป-กลับ การปฏิบัติตัวในระหว่างทำงาน การรับประทานอาหาร การรักษาระยะห่างทางสังคม (social distancing) และระยะห่างทางบุคคล (Physical Distancing) การติดตั้งประตูสแกนอุณหภูมิร่างกายแบบเดินผ่านก่อนเข้าสู่สายการผลิตอาหาร เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อในพื้นที่และจุดที่สัมผัสบ่อย รวมถึงเพิ่มการขนส่งด้วยระบบสายพาน เพื่อลดการสัมผัสของพนักงาน ตลอดจนการส่งอาหารให้พนักงานที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและกักตัวที่บ้าน เป็นต้น ส่งผลให้บริษัทฯ ไม่มีการรายงานพนักงานเจ็บป่วยด้วยโรคระบาดในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งมาตรการดังกล่าวใช้เป็นแนวทางปฏิบัติทั้งกิจการในประเทศไทยและกิจการในต่างประเทศ และมีการสื่อสารให้พนักงานรับทราบข้อมูลข่าวสารสถานการณ์อย่างทั่วถึง

นอกจากมาตรการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนการผลิตอาหารได้อย่างต่อเนื่องและเพียงต่อความต้องการบริโภคแล้ว บริษัทฯ ยังร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ในการส่งมอบอาหารปลอดภัยเพื่อช่วยเหลือสังคมและชุมชนอย่างต่อเนื่องใน “โครงการ ซีพีเอฟ ส่งอาหารจากใจร่วมต้านภัยโควิด-19” ให้กับแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ ชุมชนต่างๆ ผู้มีรายได้น้อย ตลอดจน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน สร้างความภาคภูมิใจให้กับพนักงานทุกคนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในแสดงความรับผิดชอบต่อประเทศไทยในภาวะวิกฤติ และการแสดงบทบาทร่วมกับบริษัทฯในฐานะ Good Corporate Citizen

การพัฒนาทรัพยากรบุคคลตามความสามารถ ควบคู่ไปกับมุมมองของจิตสำนึกที่ดีสอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กร (CPF Way) เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของ ซีพีเอฟ ที่ใช้ดำเนินธุรกิจและสร้างบุคลากรให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับองค์กรระดับโลก โดยบริษัทมีการสำรวจระบบผลประโยชน์ตอบแทนและสวัสดิการพนักงานเป็นประจำทุกปี เพื่อสร้างประสบการณ์การทำงานที่ดีและอำนวยสะดวกด้านสถานที่ปฏิบัติงานและอุปกรณ์ทำงานอย่างเหมาะสม สนับสนุนการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแก่พนักงานตลอดระยะเวลาที่ทำงานร่วมกับ ซีพีเอฟ (Work Life Balance) จนกระทั่งพนักงานเกษียณอายุ

โออาร์ ส่งมอบถุงยังชีพถึงมือพี่น้องชาวใต้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ได้ส่งมอบความช่วยเหลือไปยังผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีนายวิทศักดิ์ จำเริญนุสิต นายอำเภอสิงหนคร รับมอบถุงยังชีพจำนวน 300 ถุง จาก นายวิสิทธิ์ ศิริพฤกษ์ ผู้จัดการส่วนคลังปิโตรเลียมสงขลา โออาร์ เพื่อมอบให้ชุมชนในพื้นที่ชุมชนตำบลสทิงหม้อ ชุมชนตำบลชิงโค และชุมชนตำบลหัวเขา จ.สงขลา เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยต่อไป ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการดำเนินธุรกิจของโออาร์ที่มุ่งเน้นการดูแลคุณภาพชีวิตของสังคมชุมชนที่อยู่รอบพื้นที่สถานประกอบการ

นอกจากนี้ โออาร์ ยังได้ร่วมกับผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น หจก.วาสนาปิโตรเลียม และสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น บจ.สนองผล อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช จัดเตรียมถุงยังชีพ จำนวน 400 ถุง และนำไปมอบเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม ในพื้นที่ ต.หินตก อ.ร่อนพิบูลย์ และ ต.ช้างซ้าย อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นไปตามความตั้งใจของ โออาร์ ที่มุ่งเน้นให้สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ช่วยดูแลชุมชน และเป็นที่พึ่งของคนในชุมชน ตามแนวคิด Living Community อีกด้วย

คอเกมถูกใจ AIS 5G Cloud Game เล่นเกมพีซี-คอนโซล บนมือถือได้ทุกที่ทุกเวลา

0

นายอลิสแตร์ เดวิด จอห์นสตั้น กรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจพัฒนาธุรกิจใหม่ เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส ได้ร่วมมือกับ  Gameloft Business Solutions ผู้นำเกมโซลูชันสำหรับผู้ให้บริการ (Carriers) และผู้ผลิต (Manufacturers) เปิดประสบการณ์การเล่นเกมรูปแบบใหม่กับ AIS 5G Cloud Game บนแอปพลิเคชัน Blacknut by Gameloft ครั้งแรกในไทยกับการเล่นเกมพีซีและเกมคอนโซลบนมือถือผ่านการสตรีมจากเทคโนโลยีคลาวด์ ทำให้สามารถเล่นเกมได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องดาวน์โหลดเกมลงในเครื่อง และยังให้ประสบการณ์การเล่นเกมคุณภาพสูง พร้อมเล่นได้ลื่นไหลกว่า ไม่มีแล็ก ไม่มีสะดุด บนเครือข่าย AIS 5G โดยมีเกมดังให้เลือกเล่นมากกว่า 360 เกม เข่น  Asphalt 9, Minion Rush: Despicable Me, Ryse son of rome 

นายฟลอเรนท์ วอโลรี Managing Director SEA Pacific & Indian Subcontinent Gameloft Limited กล่าวว่า  ปัจจุบันอุตสาหกรรมเกมทั่วโลกที่มีมูลค่ากว่า 288 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยเชื่อว่าวิวัฒนาการก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมวิดีโอเกมจะก้าวไปสู่บริการแบบสมัครสมาชิกแบบไม่มีโฆษณาคั่น มอบวิธีใหม่ที่ไม่เหมือนใครในการเข้าถึงและสนุกสนานไปกับวิดีโอเกมด้วยเครือข่าย 5G ซึ่งความร่วมมือกับเอไอเอสในครั้งนี้สอดคล้องกับปรัชญาของเราในการมอบประสบการณ์เกมให้กับทุกคนโดยไร้ข้อจำกัดทั้งในด้านสถานที่และอุปกรณ์ของพวกเขา เพื่อให้เกมเมอร์กว่าล้านรายได้สัมผัสประสบการณ์การเล่นเกมจากคลาวด์เป็นครั้งแรกในไทย

ลูกค้าเอไอเอสที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Blacknut by Gameloft ได้ที่ Play Store พร้อมสมัครบริการ AIS Cloud Game เริ่มต้นเพียง 79 บาทต่อสัปดาห์ และรายเดือน เดือนละ 299 บาท พิเศษสุด! สำหรับลูกค้าที่สมัครใช้งานแพ็กเกจ AIS 5G Max Speed ราคา 699 บาทขึ้นไป รับสิทธิ์เล่น AIS Cloud Game ฟรี 3 เดือน ดูรายละเอียดเพิ่มเติม กด *528# หรือ www.ais.co.th/5G/CloudGame

ทิพยประกันภัย เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ ลงพื้นที่มอบสินไหมทดแทน พร้อมฟื้นฟูบ้านหลังน้ำลด

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บมจ.ทิพยประกันภัย เดินหน้าให้ความช่วยเหลือประชาชนและลูกค้าผู้ทำประกัน พร้อมดูแลให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง หลังลูกค้าและประชาชนที่ประสบภัย และได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในหลายจังหวัดทางภาคใต้ โดยดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้จัดส่งทีมงานสำนักงานใหญ่-สำนักงานสาขา ทีมสินไหม ทีม TIP Smart Assist และหน่วยหนุมานทิพยจิตอาสา ลงพื้นที่ เพื่อมอบถุงยังชีพช่วยเหลือประชาชนและลูกค้าผู้ทำประกัน รวมถึงจ่ายค่าสินไหมกรณีลูกค้าที่ทำประกันได้รับความเสียหายทั้งที่อยู่อาศัยและรถยนต์ ที่ทำประกันไว้ โดยทีมงานยังคงอยู่ในพื้นที่จนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายกลับสู่สภาวะปกติ

สำหรับบางพื้นที่ที่น้ำเริ่มลด หน่วย TIP Smart Assist , หน่วยหนุมานทิพยจิตอาสา ก็ได้เข้าพื้นที่เพื่อทำการฟื้นฟูบ้านเรือนชาวบ้าน โดยช่วยกันทำการขนย้ายทรัพย์สินที่เสียหายออกจากบ้านพักอาศัย ช่วยทำความสะอาดบ้านเรือน ขนย้ายซ่อมแซมรถยนต์ที่เสียหาย และกระจายกำลังออกไปฟื้นฟูในพื้นที่จุดอื่นๆที่น้ำลดต่อไป

เซเว่น อีเลฟเว่น ปล่อยแคมเปญกระตุ้นท่องเที่ยว ชวนคนไทย กิน เที่ยวครบทุกอำเภอทั่วไทย

0
ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บมจ.ซีพี ออลล์

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และ เซเว่น เดลิเวอรี่ เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลแห่งความสุข การเฉลิมฉลองและท่องเที่ยว เซเว่น อีเลฟเว่น ออกแคมเปญ “7-11 มอบสุขทุกอำเภอ ชวนเธอเที่ยวไทย” ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนไทยในการหาสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร หรือที่พักในทุกอำเภอทั่วไทย ภายใต้

ทั้งนี้ ตั้งเเต่วันนี้ถึงวันที่ 23 มกราคม 2564 ขอเชิญคนไทยร่วมสนุกกับแคมเปญ “7-11 มอบสุขทุกอำเภอ ชวนเธอเที่ยวไทย” เพียงลูกค้าที่เป็นสมาชิก ALL Member สแกน QR Code ที่สื่อหน้าร้าน 7-11 เพื่อเข้าไปค้นหาข้อมูลโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว และร้านอาหารทุกอำเภอทั่วไทย พร้อมรับส่วนลดพิเศษอื่นๆอีกมากมาย หรือสแกน QR Code ที่ท้ายสลิปใบเสร็จผ่าน 7App เพื่อส่งสิทธิ์ ลุ้นรางวัลใหญ่ รถยนต์ New MG ZS EV พร้อมสิทธิ์กินฟรี เครื่องดื่ม All Café เมนูเย็น และ ข้าวกล่องแช่แข็ง, แพ็กเกจเน็ต ทรูมูฟ เอช 10 GB และแพ็กเกจทรูไอดีพลัส ฟรีตลอดปี จำนวน 1 รางวัล และรางวัลอื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งสิ้น 770 รางวัล มูลค่ากว่า 23 ล้านบาท โดยนอกจากจะได้ส่งสิทธิ์ลุ้นรางวัลผ่าน 7App แล้ว ยังสามารถดูข้อมูลท่องเที่ยวในอำเภอที่ลูกค้าซื้อสินค้าต่อได้อีกด้วย

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : เปลี่ยนพอยต์เป็นกองทุนรวม

0

วันนี้ “คุณนายพารวย” พาไปพบกับทางเลือกใหม่ในการลงทุนอย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้เงิน เพียงเปลี่ยนคะแนนสะสมของบัตรเครดิตเป็นหน่วยลงทุนของกองทุนรวม!!

จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าปัจจุบัน มีบัญชีผู้ถือบัตรเครดิตรวมกันกว่า 24 ล้านบัญชี และในปี 2562 มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตรวมกันกว่า 2.2 ล้านล้านบาท ทำให้ผู้ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตได้รับคะแนนสะสมจากธนาคารพาณิชย์และบริษัทบัตรเครดิต ที่ตีมูลค่าคะแนนสะสมเป็นเงินรวมกันกว่า 8 พันล้านบาท!! (ใช้สมมติฐานมูลค่าการใช้จ่าย 25 บาท = 1 คะแนน และ 1,000 คะแนน มีมูลค่าคิดเป็น 100 บาท)

จึงเกิดโครงการดีๆ “Point to Invest : เปลี่ยนพอยต์เป็นกองทุนรวม” โดยตลาดหลักทรัพย์ ร่วมกับองค์กรพันธมิตร คือ ธนาคารพาณิชย์ บริษัทบัตรเครดิต และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จัดทำโครงการ “Point to Invest : เปลี่ยนพอยต์เป็นกองทุนรวม ให้นำคะแนนสะสมหรือพอยต์ที่ได้จากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมาเปลี่ยนเป็นเงินลงทุนในกองทุนรวมได้

ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดทุนของคนไทย!! และสามารถเชื่อมการลงทุนให้เข้ากับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของผู้ที่ถือบัตรเครดิตได้อย่างง่ายๆ

โดยผู้ถือบัตรเครดิต ก็มีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการใช้ประโยชน์จากคะแนนสะสมบัตรเครดิต โดยนำคะแนนสะสมเปลี่ยนเป็นเงินลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งมีโอกาสเพิ่มมูลค่าได้ในอนาคต ทำให้ทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตสามารถต่อยอดไปสู่การลงทุนได้

ขณะเดียวกัน ธนาคารพาณิชย์และบริษัทบัตรเครดิตได้เพิ่มทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้นให้ผู้ถือบัตรเครดิตในการแลกคะแนนสะสม ขณะที่ บลจ.ก็ได้เพิ่มโอกาสในการขยายฐานผู้ลงทุนสู่กลุ่มผู้ถือบัตรเครดิต โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำหน้าที่ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในตลาดทุน

ที่สำคัญที่สุดการเปลี่ยนคะแนนสะสมเป็นเงินลงทุนในโครงการนี้ ยังถือเป็นทางเลือกที่จะช่วยสร้างความมั่งคั่งให้กับผู้ถือบัตรเครดิตได้อีกทางหนึ่งด้วย!!

สำหรับ พันธมิตรที่เข้าร่วมโครงการดีๆ นี้ คือธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารทหารไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารธนชาต, บริษัท บัตรกรุงไทย, บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา, บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส ส่วนในฝั่งกองทุน ประกอบด้วย บลจ.กรุงไทย, บลจ.กรุงศรี, บลจ.กสิกรไทย, บลจ.ทหารไทย, บลจ.ไทยพาณิชย์, บลจ.ธนชาต, บลจ.บัวหลวง และ บลจ.บางกอกแคปปิตอล

ใครเป็นลูกค้าบัตรเครดิตของธนาคารและบริษัทบัตรเครดิตเหล่านี้รีบเลย เพราะช่องทางในการแลกพอยต์สามารถทำได้ง่ายและสะดวก มีทั้งการแลกผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์อย่างแอปพลิเคชัน และเว็บไซต์ หรือจะแลกผ่าน call center, SMS หรือสาขาของธนาคารก็ได้

อย่ามัวรอช้า รีบเข้าไปดูรายละเอียดการแลกพอยต์ ของบัตรเครดิตแต่ละแห่งในโครงการ Point to Invest ได้ที่เว็บไซต์ www.set.or.th/pointtoinvest ได้เลย บอกเลยบรรดานักช็อปมือหนักทั้งหลาย ที่รูดปรื๊ด..รูดปรื๊ดทุกเดือน ประตูสู่ความมั่งคั่งของคุณเปิดแล้ว ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง มาลงทุนง่ายๆ แบบไม่ต้องใช้เงิน เพียงเปลี่ยนพอยต์ของบัตรเครดิตเป็นกองทุนรวมกัน!!


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : ตลาดหุ้นกับปฏิบัติการลดโลกร้อน

0

ครั้งก่อน คุณนายพารวย พาไปทำความรู้จักตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในบทบาทของการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ทั้งโครงการปลูกไม้ให้ได้ป่า : Care the wild และโครงการขยะล่องหน : Care the Whale แล้ว

ทำให้เห็นว่าเสาหลักของตลาดทุนหรือองค์กรอย่างตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้แคร์แค่เรื่องการลงทุนหรือนักลงทุนในตลาดหุ้นเท่านั้น แต่ยังแคร์กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราด้วย

อีกหนึ่งการแคร์ ที่เป็นกิจกรรมดีๆของตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ โครงการ Care the bear : Change the Climate Change ที่เป็นการส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงองค์กรภาครัฐและเอกชน มาช่วยกันลดปัญหาโลกร้อนด้วยการลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการจัดกิจกรรมหรืออีเวนต์ พร้อมส่งเสริมผู้บริโภคให้เกิดพฤติกรรมการมีส่วนช่วยลดโลกร้อน ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน Sustainable Development Goals (SDGs) ข้อที่ 13 ว่าด้วย Climate Action

ล่าสุดมีองค์กรพันธมิตร ทั้งที่เป็นองค์กรภาครัฐ ภาคสังคม และองค์กรภาคธุรกิจมากกว่า 60 องค์กร ผนึกกำลังเข้าร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าโครงการนี้แล้ว

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะแม่นำเสนอและส่งมอบ Care the Bear : Digital Eco Calculator Kit สะดวก ใช้งานง่าย สามารถรายงานผลได้ ผ่านเว็บไซต์ www.setsocialimpact.com เพื่อใช้คำนวณการลดการปล่อยคาร์บอนจากการจัดกิจกรรมหรืออีเวนต์

คู่มือจัดกิจกรรม (Eco Event Kit) ประกอบด้วย 6 เรื่อง คือ 1.รณรงค์ให้เดินทางโดยรถสาธารณะหรือเดินทางร่วมกัน 2.ลดการใช้กระดาษและพลาสติก 3.งดการใช้โฟมจากบรรจุภัณฑ์ หรือโฟมเพื่อการตกแต่ง 4.ลดการใช้พลังงานจากอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน 5.ใช้วัสดุตกแต่งที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ 6.ลดขยะจากอาหารเหลือทิ้งในงานอีเวนต์

โดยตลาดหลักทรัพย์ฯจะร่วมกับธุรกิจเพื่อสังคมในการให้คำปรึกษา การเก็บข้อมูลเพื่อจัดทำอีเวนต์ลดคาร์บอน และข้อมูลตัวเลขว่ากิจกรรมที่ทำไป ช่วยลดคาร์บอนได้เท่าไร จะถูกจัดเก็บประชาสัมพันธ์ในสื่อต่างๆ และรวบรวมเป็นสถิติความร่วมมือของภาคตลาดทุนต่อไป

จากความมุ่งมั่นทำโครงการ 3 แคร์ ของตลาดหลักทรัพย์ ทั้ง ปลูกไม้ให้ได้ป่า : Care the wild และขยะล่องหน : Care the Whale และล่าสุดโครงการ Care the bear ลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อน

ทำให้เห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ได้ “แคร์แค่บางคน” เพราะเราไม่สามารถอยู่ได้ เพียงลำพังบนโลกใบนี้ หรือทำธุรกิจโดยหวังแต่ตัวเลขกำไร โดยไม่สนใจไยดีสิ่งแวดล้อม แต่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันใส่ใจสิ่งแวดล้อม ทั้งการใช้ทรัพยากร และพลังงานอย่างประหยัดรู้คุณค่า เพื่อให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีสำหรับส่วนรวมและคนรุ่นต่อไป!!


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดยคุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ไทยยูเนี่ยน เอาใจทาสแมว เปิดตัว ChangeTer ขนมแมวเลีย รักสุขภาพน้องเหมียว

0

ตอกย้ำคอนเซ็ปต์ ‘healthy living’ จากความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนสู่สัตว์เลี้ยงที่เรารัก

รายงานข่าวจาก บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทขานรับเทรนด์ เอาใจทาสแมว ด้วยการเปิดตัว ChangeTer เปลี่ยนขนมน้องแมวให้กลายเป็นขนมแมวเลียสุดเฮลตี้ ดีต่อไต และอุดมไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพของน้องแมว เนื่องจาก ปัจจุบันบรรดาคนรักสัตว์เลี้ยงให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารแมวที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์

โดย บริษัทไทยยูเนี่ยนได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ ChangeTer ขนมแมวเลียเพื่อสุขภาพและดีต่อไตน้องแมว ตอบรับกระแสผู้บริโภคที่ปัจจุบันวิถีชีวิตเปลี่ยนมาอยู่บ้าน ทำอาหารทานเองและมีเวลาเล่นกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น

ChangeTer คือขนมแมวเลียที่นอกจากจะอร่อยแล้วยังไม่ทำร้ายไต คิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์และนักโภชนาการเพื่อให้บรรดาทาสแมวมั่นใจได้ว่าเวลาเล่นให้ขนมเจ้าเหมียวทานนั้น นอกจากพวกเขาจะได้รับสารอาหารที่ดีมีประโยชน์แล้ว ยังไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายของแมวอีกด้วย

นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานกรรมการ กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีรายงานหลายฉบับที่ชี้ให้เห็นว่า สาเหตุการตายลำดับต้นๆ ในแมวมาจาก โรคไต ทำให้เจ้าของแมวต้องการเลือกซื้ออาหารและขนมที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ เหมือนกับที่เราเลือกซื้ออาหารสุขภาพให้กับตนเองและครอบครัว ขนมแมวเลีย ChangeTer จึงเป็นความตั้งใจของไทยยูเนี่ยนที่อยากให้เจ้าของแมวสามารถเล่นให้ขนมกับแมวได้อย่างไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป

ทั้งนี้ ChangeTer มี 5 สูตร 5 รสชาติให้เลือกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นสูตรบำรุงการย่อยอาหาร สูตรบำรุงผิวและขน สูตรบำรุงข้อและกระดูก และสูตรช่วยลดความเครียด สำหรับสูตรที่ 5 เป็นการรวม 4 รสเอาไว้ด้วยกัน โดย ChangeTer มีวางจำหน่ายแล้วที่ร้านอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำทั่วไป หรือสามารถสั่งซื้อได้ทางเฟสบุ๊คแฟนเพจ ChangeTer

“ความตั้งใจของไทยยูเนี่ยนนอกจากจะทำขนมแมวเลียที่ดีและปลอดภัยต่อสุขภาพแมวแล้ว เรายังมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือสัตว์ที่เจ็บป่วย โดยเรามีโครงการช่วยเหลือสัตว์ที่เจ็บป่วยตามโรงพยาบาลสัตว์และบ้านสงเคราะห์สัตว์ต่างๆ ทั่วประเทศ รายได้ส่วนหนึ่งจากการขายผลิตภัณฑ์ ChangeTer จะนำไปบริจาคสมทบทุนช่วยเหลือสัตว์ตามที่ต่างๆ ทุกไตรมาส” นายพิพิตชัย กล่าวเพิ่มเติม

ปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยนมีผลิตภัณฑ์อาหารสุนัขและแมวภายใต้แบรนด์ Bellotta และ Marvo วางจำหน่ายในประเทศไทย โดยศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยนมีทีมนักวิทยาศาสตร์ที่วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ และในฐานะบริษัทอาหารทะเลระดับโลก ที่มีแบรนด์ต่างๆ วางจำหน่ายทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น King Oscar, John West, Chicken of the Sea, Petit Navire, Mare Blu และ SEALECT

เครือซีพี ครองแชมป์ความยั่งยืนระดับชาติ คว้า 11 รางวัลเวที Sustainable Business Award Thailand

0

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ นายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหาร ด้านความยั่งยืนองค์กร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด  เป็นตัวแทนขึ้นรับรางวัลธุรกิจที่ยั่งยืนประจำประเทศไทย หรือ  Sustainable Business  Award Thailand  (SBA)  ในงาน Sustainable Business Award  (SBA) 2019 Thailand  ครั้งแรกในไทย ซึ่งจัดขึ้นในรูปแบบ Virtual Awards Ceremony เนื่องจากอยู่ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีผู้ลงทะเบียนร่วมงานจาก 20 ประเทศทั่วโลก และมีบริษัทที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่และ SMEs ในไทยเกือบ 20 แห่งได้รับรางวัลนี้

นายนพปฎล เปิดเผยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ได้รับรางวัลความยั่งยืนบนเวทีนี้มากที่สุด รวมทั้งสิ้น 11 รางวัล แบ่งเป็นรางวัลชนะเลิศ 6 รางวัล ได้แก่

  1. ด้านแรงงาน ( Workforce)
  2. ด้านชุมชน (Community)
  3. ด้านการจัดการน้ำ  (Water Management)
  4. ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดินและความหลากหลายทางชีวภาพ (Land use and Biodiversity)
  5. ด้านการจัดการกลยุทธ์และนโยบายความยั่งยืน (Strategy and Sustainability Management)
  6. ด้านการดำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals) 

อกจากนี้ยังได้รับรางวัลชมเชย 5 รางวัล ได้แก่

  1. ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate change) 
  2. ด้านการจัดการด้านพลังงาน (Energy Management)
  3. ด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management)
  4. ด้านความรับผิดชอบและจริยธรรมทางธุรกิจ (Business Responsibility and Ethics)
  5. ด้านระบบการผลิตและการจัดการขยะ (Waste and  Material Productivity)  

งานครั้งนี้ จัดขึ้นโดย Global Initiative เครือข่ายด้านความยั่งยืนระดับโลก มอบรางวัลความยั่งยืน  Sustainable Business Award  (SBA) 2019 Thailand  เป็นครั้งแรกในประเทศไทยเพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน   โดยคณะกรรมการพิจารณารางวัลมีความประทับใจในกรอบยุทธศาสตร์ความยั่งยืนของเครือฯที่เรียกว่า  3 Hs ประกอบด้วย Heart : ความมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน  Health : ความมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมที่ยั่งยืน และ Home : ความมุ่งมั่นที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน รวมไปถึงความเชื่อของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่เห็นว่าการช่วยเหลือคนยากจนที่ดีที่สุดคือการสร้างงานไม่ใช่การบริจาค ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้บรรลุเป้าหมายในการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยและกลุ่มเปราะบางไปแล้วมากกว่า 100,000 ราย 

Sustainable Business Award  Thailand 2020 มีองค์กรชั้นนำในประเทศไทยที่เข้าร่วมประกวดผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน แยกเป็นหมวดองค์กรขนาดใหญ่ และหมวด SMEs  โดยกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ มีบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด เป็นผู้ชนะเลิศโดยรวม Overall Winners  โดยมีบริษัทอื่นที่ได้รับรางวัลประกอบด้วย  Mondelez International บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล   และบมจ. อินโดรามา เป็นต้น  และในหมวดSMEs ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศโดยรวม หรือ Overall Winners คือ South Pole โดยมี SMEs ที่ได้รับรางวัล ได้แก่  สานพลังวิสาหกิจเพื่อสังคม  Locla Alike  และ บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด