Home Blog Page 346

ออมสิน คว้ารางวัลสุดยอดองค์กรคุณภาพมาตรฐานโลก

0

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า สำนักงานรางวัลคุณภาพแห่งชาติ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ กระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศให้ธนาคารออมสินเป็นองค์กรคุณภาพได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ Thailand Quality Award : TQA ประจำปี 2563 รางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการองค์กรทัดเทียมระดับมาตรฐานโลก ซึ่งธนาคารออมสินได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและยกระดับการบริหารจัดการคุณภาพ โดยเริ่มศึกษาเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ และเข้ารับการตรวจประเมินองค์กรมาตั้งแต่ปี 2558 ต่อมาในปี 2560 ธนาคารได้รับรางวัล Thailand Quality Class และพัฒนาสู่รางวัล Thailand Quality Class (Plus) ด้าน Customer และด้าน Operation ในปี 2561-2562 ตามลำดับ จนมาประสบความสําเร็จได้รับรางวัลสูงสุด Thailand Quality Award ในปี 2563 เป็นปีที่ 6 ธนาคารที่ส่งผลงาน ถือเป็นรางวัลแห่งความมุ่งมั่นในการพัฒนาปรับปรุงและบริหารจัดการคุณภาพองค์กรสู่ความเป็นเลิศอย่างแท้จริง

ในปี 2563 ที่ผ่านมา ทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ธนาคารออมสินมีบทบาทอย่างมากในการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ ผ่านมาตรการต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ธนาคารสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว มีการนำเอาช่องทางบริการรูปแบบดิจิทัลมาให้บริการสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน MyMo เป็นครั้งแรก เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของธนาคารภายใต้มาตรการเว้นระยะห่าง โดยธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อช่วยเหลือผู้เดือดร้อนได้เป็นจํานวนมาก ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ตามโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” มาตรการพักหนี้ชําระหนี้บรรเทาภาระ มาตรการให้สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูให้กลับมาประกอบอาชีพได้ สามารถให้บริการลูกค้ามากกว่าการให้บริการในภาวะปกติถึง 3 เท่า ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบแล้วกว่า 5 ล้านราย

“ธนาคารออมสิน เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ที่ก่อตั้งมาเป็นระยะเวลา 108 ปี ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ปัจจุบันธนาคารมีสินทรัพย์ 2.9 ล้านล้านบาท ดูแลลูกค้ากว่า 22 ล้านราย ภารกิจที่ธนาคารดำเนินการกว่าร้อยละ 80 เป็นภารกิจเชิงสังคมและตอบสนองนโยบายของรัฐบาล สำหรับทิศทางยุทธศาสตร์ใน 5 ปีข้างหน้า ธนาคารออมสินมุ่งขับเคลื่อนสู่การเป็น “ธนาคารเพื่อสังคม หรือ Social Bank” อย่างต่อเนื่องจริงจัง โดยธนาคารยังได้เข้าร่วมลงนามรับในหลักการของ Responsible Banking กับ สหประชาชาติ หรือ UNEP FI เพื่อพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานสากลและมุ่งเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ช่วยแก้ปัญหาความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำ ” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าว

Ookla การันตี เอไอเอส ไฟเบอร์ เน็ตบ้านเร็วแรงเบอร์ 1 ของไทย

0

นายกิตติ งามเจตนรมย์ หัวหน้าฝ่ายงานบริหารธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบนด์ เอไอเอส เปิดเผยว่า  Ookla® Speedtest® ประกาศให้ AIS Fibre  ได้รับรางวัล เครือข่ายอินเทอร์เน็ตบ้านที่เร็วที่สุด ในประเทศไทย -Thailand’s Fastest ISP 2 ปีซ้อน (ปี 2019-2020) โดยผลล่าสุด ในปี 2020  AIS Fibre ยังคงเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยคะแนนความเร็วในการให้บริการอินเทอร์เน็ต Speed Score 137.94 ความเร็วเฉลี่ยการดาวน์โหลด 407.81 Mbps ความเร็วเฉลี่ยการอัปโหลด 299.44 Mbps สอดคล้องกับรายงานก่อนหน้านี้ที่  Ookla ได้เผยผลการทดสอบความเร็วการดาวน์โหลดของอินเทอร์เน็ตทั่วโลกในปี 2020 ว่า  อินเทอร์เน็ตบ้านของไทย มีความเร็วเฉลี่ยในการดาวน์โหลดสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก โค่นแชมป์เก่าอย่างสิงคโปร์และฮ่องกงขาดลอย ซึ่งแน่นอนว่า ผลจากความทุ่มเทของชาว AIS Fibre ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับถึงการยกระดับคุณภาพการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล อันเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญสู่ความเชื่อมั่นในระดับสากลจากรายงานดังกล่าว

ทั้งนี้ Ookla® Speedtest® เป็นผู้ให้บริการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตอันดับ 1 ของโลก  มีผู้ใช้มากกว่า 500 ล้านรายใน 190 ประเทศทั่วโลก มีการทดสอบมากกว่า 10 ล้านครั้งต่อวัน ปัจจุบัน Ookla มีจำนวนการทดสอบมาแล้วกว่า 30,000 ล้านครั้งทั่วโลก ด้วยความแม่นยำและได้รับการยอมรับในมาตรฐานสากล พร้อมทั้งเป็นแอป สปีดเทสที่คนไทยนิยมใช้มากที่สุด

นายกิตติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ เอไอเอสยังได้ออกแบบเเพ็กเกจแรกในเมืองไทยที่คุ้มค่าและดูแลลูกค้าที่ต้อง Work From Home, Learn From Home, Entertainment@Home ได้ตลอดเวลา ด้วยเเพ็กเกจ “บรอดแบนด์24” ที่มั่นใจได้ว่า ค่าดาวน์โหลดและอัปโหลดจะมีทั้งความความเร็วและความเสถียร พร้อมฟีเจอร์ Speed Toggle ที่ปรับสปีดความเร็วเพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพสูงสุดถึง 1 Gbps ตอบโจทย์การใช้งานในครอบครัวที่มีหลากหลายอุปกรณ์ โดย AIS Fibre เป็นรายแรกที่อำนวยความสะดวกในการนัดติดตั้งเร็วภายใน 24 ชั่วโมงจากทีมช่างมืออาชีพอีกด้วย ทั้งหมดนี้คือ ความทุ่มเทเพื่ออยู่เคียงข้างคนไทยให้สามารถรับมือกับความท้าทายจากสถานการณ์ปัจจุบันไปได้อย่างดีที่สุด

เเพ็กเกจบรอดแบนด์24 มาพร้อมความโดดเด่น ได้แก่

–          ความเร็วสูงถึง 500/500 Mbps ในราคาเพียง 599 บาท/เดือน นาน 24 เดือน (ลูกค้า AIS ลด 10% เพียง 539 บาท/เดือน) พร้อมเป็นรายเดียวที่มีฟีเจอร์ Speed Toggle ให้ปรับสปีดความเร็วได้สูงสุดถึง 1 Gbps โดยสามารถปรับ Overdrive Download ที่ 1000/300 Mbps หรือ Overdrive Upload ที่ 300/1000 Mbps ได้ฟรี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ผ่าน myaisfibre.com  หรือ AIS Fibre LINE Connect

–          อำนวยความสะดวกกับบริการติดตั้งเร็วภายใน 24 ชั่วโมง ในทุกช่องทางการสมัคร (ยกเว้นการสมัครด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์) และเอกสารการสมัครครบถ้วน โดยสามารถติดต่อทำรายการ หรือแจ้งปัญหาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งผ่าน AIS Call Center 1175 และ AIS Fibre LINE Connect รวมทั้งการรับประกันงานซ่อม การแก้ไขปัญหาการใช้งานให้จบภายใน 24 ชั่วโมงเช่นกัน (นับระยะเวลาตั้งแต่ลูกค้าแจ้งปัญหา ยกเว้นกรณีภัยพิบัติธรรมชาติและพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าปฏิบัติการ)

–          มาพร้อม SuperMESH WiFi Router มาตรฐานใหม่ของเราท์เตอร์เมืองไทย ซึ่งถือเป็นรายแรกและรายเดียว ที่พัฒนาเราท์เตอร์มาตรฐานจากเทคโนโลยีดีที่สุด โดยลูกค้าสามารถสมัครใช้บริการเสริม AIS Fibre MESH WiFi เพียงเดือนละ 100 บาทต่อจุด เชื่อมต่อทั้งบ้านเป็นโครงข่าย Mesh WiFi ช่วยกระจายสัญญาณให้เร็วแรง  หมดปัญหาจุดอับสัญญาณภายในบ้าน กระจายสัญญาณเร็วแรง ครอบคลุมทั่วทุกห้องในบ้าน โดยทีมช่างติดตั้งผู้ชำนาญการ

–          สามารถเลือกเพิ่มบริการเสริม AIS PLAYBOX เพียง 100 บาทต่อเดือน พร้อมฟรี แพ็กเกจ PLAY FAMILY นาน 24 เดือน รับชมหนัง ซีรีส์ คอนเสิร์ต และรายการทีวีมากมาย พร้อมช่องพรีเมี่ยมดังระดับโลกถึง 10 ช่อง

“เราจะยังคงเดินหน้าส่งมอบประสบการณ์จากอินเทอร์เน็ตบ้านที่ดีที่สุดในทุกมิติ และยืนยันคุณภาพเป็นเลิศในทุกขั้นตอนแบบ End To End  เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างต่อเนื่อง” นายกิตติ กล่าวย้ำ

ทิพยประกันภัย ใจป้ำ “คุ้มครองการฉีดวัคซีนโควิด-19” สูงสุด 1 ล้านบาท รับตรุษจีน-วาเลนไทน์

0

ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิพยฯ ขยายความคุ้มครองสำหรับลูกค้าที่ถือกรมธรรม์ ประกันภัยโควิด-19 ของบริษัทฯ ให้ฟรี โดย“คุ้มครองการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19” กรณีหากเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือ ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนและต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยใน (IPD) หรือ หากเกิดภาวะโคม่า ก็จะได้รับความคุ้มครองเท่ากับกรมธรรม์ที่ลูกค้าได้ถือไว้ สุงสูดถึง 1,000,000 บาท (ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์)

และสำหรับลูกค้าใหม่ที่ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 ของทิพยประกันภัย ก็จะได้รับความคุ้มครองนี้ด้วยเช่นกัน ถือเป็นความห่วงใย และเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลวันตรุษจีนและวาเลนไทน์ให้กับลูกค้าและประชาชนจากทิพยประกันภัย ในช่วงที่ยังคงมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 และ เพื่อสร้างความอุ่นใจและเชื่อมั่น ในการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 อีกด้วย

ทรีนีตี้ เตรียมเปิดจองซื้อ ‘หุ้นกู้ JMART’ 9-11 มี.ค.นี้

0

“ทรีนีตี้” เตรียมเปิดจองซื้อ “หุ้นกู้ JMART” เสนอขายประชาชนทั่วไปและ/หรือผู้ลงทุนสถาบัน จำนวน 2 ชุด อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.20-4.60% จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้  คาดเปิดจองซื้อ 9-11 มี.ค.นี้

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ของ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) เตรียมเปิดจองซื้อหุ้นกู้ JMART ครั้งที่ 1/2564 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ จำนวนจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือผู้ลงทุนสถาบัน (PO) คาดว่าจะเปิดให้จองซื้อ ระหว่างวันที่  9-11 มีนาคม 2564  ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายกับสำนักงาน ก.ล.ต. และยังไม่มีผลบังคับใช้

หุ้นกู้ดังกล่าว มีจำนวน 2 ชุด รายละเอียดดังนี้ ชุดที่ 1 มีอายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.20 ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอน ปี 2566 ชุดที่ 2  มีอายุ 3 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.60 ต่อปี  ครบกำหนดไถ่ถอน ปี 2567

สำหรับ หุ้นกู้ของบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) ครั้งนี้ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ“BBB-” แนวโน้ม “Stable” โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2564 ผู้สนใจดูรายละเอียดได้ที่  https://www.trinitythai.com/th/Service/Debenture/119 หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร  02-343-9541

‘เฉลิมชัย’ สั่งกรมชลประทาน จับตาปัญหาความเค็มรุกล้ำแม่น้ำท่าจีนรายชั่วโมง

0

ลดผลกระทบเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้บริเวณคลองจินดา พร้อมเร่งบรรทุกน้ำจืดช่วย ขณะที่ปริมาณน้ำ “ลุ่มเจ้าพระยา” เหลือน้อย เกษตรกรทำนา เกินแผน 2.6 ล้านไร่

นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน  เปิดเผยว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ สั่งการให้กรมชลประทาน เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ เพื่ออุปโภค-บริโภค บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นรายชั่วโมง ภายใต้การบริหารจัดการน้ำฤดูแล้งเพื่อแก้ปัญหาความเค็ม โดยเฉพาะการควบคุมความเค็มในบริเวณคลองจินดา หลังจากเมื่อวันที่ 2 ก.พ. ค่าความเค็มพุ่งสูงถึง 2.29 กรัมต่อลิตร สูงกว่าเกณฑ์เฝ้าระวังที่ 0.25 กรัมต่อลิตร และค่ามาตรฐานเพื่อการผลิตน้ำประปาต้องไม่เกิน 0.50 กรัมต่อลิตร

สัญญา แสงพุ่มพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน 

โดยรมว.เกษตรและสหกรณ์ สั่งการให้ระบายน้ำเพื่อเจือจางความเค็ม และติดตั้งเครื่องวัดความเค็มแบบเรียลไทม์ 8 แห่งในแม่น้ำท่าจีน และให้กรมชลประทานประชุมร่วมกับเกษตรกรชาวสวนกล้วยไม้ที่ได้รับผลกระทบจากค่าความเค็มสูงเกินมาตรฐาน ส่งผลให้ไม่มีน้ำจืดรดกล้วยไม้ โดยให้เกษตรกรสามารถเปิดรับน้ำและสูบน้ำจากแม่น้ำท่าจีนได้เมื่อค่าความเค็มน้อยกว่า 0.75 กรัมต่อลิตร และส่งรถบรรทุกน้ำจืดช่วยเหลือชาวสวนกล้วยไม้ที่ขาดแคลนน้ำจืด

นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเมื่อวันที่ 1 พ.ย.2563 ปริมาณน้ำใช้การได้มีประมาณ 5,771 ล้าน ลบ.ม.หรือประมาณ 32% ของความจุฯ และวันที่ 2 ก.พ.2564 ปริมาณน้ำใช้การได้เหลือประมาณ 4,295 ล้าน ลบ.ม.หรือประมาณ 24% ของความจุฯ ซึ่งตามแผนจัดสรรน้ำใช้ในฤดูแล้ง มีการจัดสรรไว้ประมาณ 4,000 ล้าน ลบ.ม. ขณะนี้ใช้ไปแล้ว 2,290 ล้าน ลบ.ม. หรือประมาณ 57% ของน้ำที่จัดสรรไว้ใช้ในฤดูแล้ง ส่งผลให้น้ำเหลือใช้ประมาณ 1,710 ล้าน ลบ.ม.หรือประมาณ 43% จากปริมาณที่จัดสรรไว้

ขณะนี้ สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำในอ่างขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศจำนวน 447 แห่ง มีปริมาณน้ำรวมกัน 44,261 ล้าน ลบ.ม. หรือ 58% ของความจุอ่างฯ ปริมาณน้ำใช้การได้ 20,331 ล้าน ลบ.ม. หรือ 39%  โดยอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำใช้การน้อยกว่าหรือเท่ากับ 30% ของความจุฯ มีจำนวน 5 แห่ง คือ ภูมิพล สิริกิติ์ แม่มอก วชิราลงกรณ และคลองสียัด

ปริมาณน้ำไหลลงอ่างและระบาย ช่วงฤดูแล้ง ปี 2563/64 ของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่ง ระหว่าง 1 พ.ย. 63 – ปัจจุบัน ปริมาณน้ำไหลลงอ่าง 4,718.13 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ำระบายจากอ่าง 5,880.91 ล้าน ลบ.ม. การใช้น้ำมีมากกว่าแผนที่กำหนดไว้ รวมถึงอิทธิพลจากน้ำทะเลหนุนสูงบริเวณอ่าวไทย ส่งผลให้เกิดความเค็มหนุนสูง กระทบกับน้ำในการทำน้ำประปา และบางเวลาน้ำประปาอาจมีรสชาติเปลี่ยนไป

สำหรับแผนทำนาทั่วประเทศ มีแผนเพาะปลูกข้าวนาปรัง 1.90 ล้านไร่ เพาะปลูกแล้ว 4.261 ล้านไร่  แยกเป็นเพาะปลูกในแผน 1.627 ล้านไร่ คิดเป็น 86% ของแผน และเพาะปลูกนอกแผน 2.634 ล้านไร่ ในลุ่มเจ้าพระยา กรมชลประทานได้รณรงค์ลดการทำนาต่อเนื่องในฤดูแล้ง ปี 2563/64 หรือไม่ให้มีการทำนาเลย ส่วนการเพาะปลูกข้าวนาปีปี 2563 ทั่วประเทศ แผนเพาะปลูกข้าวนาปี 16.79 ล้านไร่ ปลูกแล้ว 14.45 ล้านไร่ คิดเป็น 86% ของแผน เก็บเกี่ยวแล้ว 14.02 ล้านไร่ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา แผนเพาะปลูกข้าวนาปี 8.1 ล้านไร่ ปลูกแล้ว 6.39 ล้านไร่ คิดเป็น 79% ของแผน เก็บเกี่ยวแล้ว 6.35 ล้านไร่

สำหรับ ผลการจัดสรรน้ำฤดูแล้งปี 2563/64 ทั้งประเทศ 1 พ.ย. 63 – 30 เม.ย. 64 วางแผนการจัดสรรน้ำรวม 17,122 ล้าน ลบ.ม. จัดสรรน้ำไปแล้ว 7,946 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 46% ของแผนฯ เฉพาะลุ่มเจ้าพระยา วางแผนการจัดสรรน้ำรวม 4,000 ล้าน ลบ.ม. มีการใช้น้ำไปแล้ว 2,290 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 57% ของแผนฯ ด้านลุ่มน้ำแม่กลอง วางแผนจัดสรรน้ำรวม 3,000 ล้าน ลบ.ม. จัดสรรน้ำไปแล้ว 624 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น  21% ของแผนฯ

ซีพีเอฟ ผนึกกำลัง อ.ส.ค. เดินหน้าสร้างความยั่งยืนโคนมไทย

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การพัฒนาผู้เลี้ยงโคนมไทย “โครงการสี่ประสาน สร้างความยั่งยืนโคนมไทย” มุ่งเป้าพัฒนาฟาร์มต้นน้ำโคนมไทย พร้อมส่งต่อองค์ความรู้ให้กับทั้งสหกรณ์โคนม-ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ และเกษตรกรโคนม ดันมาตรฐานการจัดการโคนม ได้น้ำนมคุณภาพสูง สร้างผลกำไรสูงสุด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรโคนมสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน 

นายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการทำการแทนผู้อำนวยการ อ.ส.ค. เปิดเผยว่า อ.ส.ค. ต้องการยกระดับความสามารถเกษตรกรโคนมไทยให้ดำรงอาชีพอย่างมั่นคงและยั่งยืน ดังนั้นการที่มีภาคเอกชนมาร่วมมือเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ความร่วมมือกับซีพีเอฟ ที่เป็นผู้นำด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร มุ่งพัฒนาอาหารสัตว์บกคุณภาพสูงเพื่อเกษตรกรมาโดยตลอด ขณะที่ อ.ส.ค. เป็นผู้นำด้านการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคนม เป็นผู้รับซื้อและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมคุณภาพ จะทำให้มีผลลัพธ์ของการดำเนินโครงการที่น่าพอใจ

“โครงการนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือที่จะส่งผลดีต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม และอุตสาหกรรมนมไทย โดยที่ผ่านมามี 5 ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ ที่ได้ร่วมมือกับซีพีเอฟในการพัฒนาตลอดกระบวนการผลิตน้ำนมให้มีมาตรฐาน ส่งผลให้ตัวชี้วัดด้านคุณภาพและประสิทธิภาพมีค่าเฉลี่ยที่ดีขึ้น ทั้งค่าองค์ประกอบน้ำนม ผลผลิต ประสิทธิภาพการเลี้ยงโคนม รวมถึงด้านความสะอาดของน้ำนม และตั้งเป้าว่าต้องมีค่าโซมาติกเซลล์ (ค่า SCC) ไม่เกิน 500,000 เซลล์ต่อมิลลิลิตร ตามเกณฑ์การรับซื้อน้ำนมดิบตามข้อกำหนดของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม”  นายสุชาติ กล่าว 

ด้าน นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทมีองค์ความรู้ด้านการเลี้ยงและการจัดการโคนมมานานกว่า 30 ปี โดยมีฟาร์มวิจัยและพัฒนาด้านโคนมของซีพีเอฟทั้ง 4 แห่งทั่วประเทศ ที่มีความพร้อมด้านทรัพยากรคน เครื่องมือ และเทคโนโลยีทันสมัย ที่ช่วยยกระดับมาตรฐานการเลี้ยงโคนม เพื่อแบ่งเบาภาระเกษตรกร ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ด้วยการพัฒนาการจัดการด้านการเลี้ยงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยซีพีเอฟได้เริ่มต้นความร่วมมือพัฒนาศูนย์นมและเกษตรกรโคนมในเครือข่ายของ อ.ส.ค. รวม  5 ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ ได้แก่ สหกรณ์โคนมกระนวนสามัคคี, สหกรณ์โคนมน้ำพอง จ.ขอนแก่น, สหกรณ์โคนมหนองวัวซอ จ.อุดรธานี, สหกรณ์โคนมแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ และสหกรณ์โคนมไทย–เดนมาร์คลำพญากลาง จ.สระบุรี นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 เป็นต้นมา

ทั้งซีพีเอฟ และ อ.ส.ค. มีเป้าหมายเดียวกันที่จะยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมนมไทยทั้งห่วงโซ่ จึงเกิดความร่วมมือครั้งนี้ขึ้น และยังร่วมกันตั้งเป้าหมายในการขยายโครงการไปอีก 7 ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบทั่วประเทศ ภายในปีนี้ คาดว่าจะมีประชากรโคนม มากกว่า 12,000 ตัว มุ่งเป้าสู่ “การเกษตรแบบแม่นยำ” ด้วยการเก็บข้อมูลบันทึกการเลี้ยง สำหรับนำมาวิเคราะห์เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด และสามารถวัดผลได้ พร้อมส่งต่อองค์ความรู้และมาตรฐานของซีพีเอฟสู่เกษตรกรโคนม มุ่งเน้นให้คนเลี้ยงโคนมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตลอดจนร่วมกันสร้างผลผลิตน้ำนมที่มีคุณภาพ สด สะอาด ปลอดภัย สู่ผู้บริโภค

ที่นี่มีคำตอบ คำถามยอดฮิตเรื่องจองหุ้นโออาร์

0

คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการจองหุ้น OR

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คลายข้อสงสัย ถึงคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการจองหุ้นโออาร์ หรือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปจองเมื่อวันที่ 24 ม.ค. จนถึงวันที่ 2 ก.พ. 2564 ที่ผ่านมา โดยในวันพรุ่งนี้ (6 ก.พ.) นักลงทุนรายร่อย จะสามารถตรวจสอบผลการจัดสรรหุ้นได้ ส่วนผู้ถือหุ้น PTT ที่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้น จะสามารถตรวจสอบผลได้ตั้งแต่วันนี้ 5 ก.พ. โดยคำตอบของแต่ละข้อมีดังนี้

1. ตรวจสอบผลการจัดสรรหุ้น OR ได้ที่ไหน เมื่อไหร่

  • นักลงทุนรายย่อย
    ตรวจสอบผลได้ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 ตั้งแต่เวลา 00:01 น. เป็นต้นไป ที่ www.settrade.com/OR
  • ผู้ถือหุ้น PTT ที่ได้รับสิทธิและทำการจองซื้อ
    ตรวจสอบผลได้ตั้งแต่วันนี้ ที่เว็บไซต์ ธนาคารกสิกรไทย

2. หากไม่ได้รับหุ้น หรือ ได้รับไม่ครบจำนวนที่จอง จะได้รับเงินคืนอย่างไร

  • ได้รับเงินโอนเข้าบัญชีธนาคาร ภายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 หรือ
    เช็คส่งออกทางไปรษณีย์ ภายในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564
    โปรดสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ธนาคารที่ท่านจองซื้อ

3. เมื่อได้หุ้นจอง OR แล้ว จะได้รับหุ้นเมื่อไหร่

  • เข้าบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ (Broker)
    จะได้รับ “หุ้น” เข้าบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ภายใน 1 วันทำการก่อนวันเริ่มซื้อขาย
  • เข้าบัญชี 600 (Issuer Account) ฝากหุ้นไว้กับ TSD
    จะได้รับ “เอกสารการฝากหุ้นเข้าบัญชี” ที่จะส่งออกไปรษณีย์ ภายใน 3 วันทำการจากวันเริ่มซื้อขาย
  • ใบหุ้น
    จะได้รับ “ใบหุ้น” ที่จะส่งออกไปรษณีย์ ภายใน 15 วันทำการจากวันจองซื้อวันสุดท้าย

4. ขายหุ้นจอง OR ในตลาดหลักทรัพย์ได้เมื่อไหร่ และต้องทำอย่างไร

  • เข้าบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ (Broker)
    ซื้อขายได้ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำการซื้อขาย
    ติดตามข้อมูลวันเริ่มซื้อขาย << คลิกที่นี่ >>
  • เข้าบัญชี 600 (Issuer Account) / ใบหุ้น
    ทำการโอนหุ้นเข้าบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์
    เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ <<คลิกที่นี่>>

5. หากข้อมูลในการจองซื้อไม่ถูกต้อง ทำอย่างไร
(เช่น ชื่อบัญชี/เลขที่บัญชีไม่ถูกต้อง หรือ ชื่อผู้จองซื้อไม่ตรงกับชื่อบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์)

  • โปรดติดต่อบริษัทหลักทรัพย์เพื่อตรวจสอบและแก้ไขข้อมูล

6. เมื่อได้หุ้นจอง OR แล้ว ข้อมูลผู้ถือหุ้นไม่ถูกต้อง ทำอย่างไร

7. หากต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการถือหุ้น OR ต้องทำอย่างไร

เดิมใหม่ติดต่อแบบฟอร์ม
เข้าบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ (Broker)เข้าบัญชี 600 (Issuer Account)บริษัทหลักทรัพย์แบบฟอร์มคำขอโอน/
รับโอนหลักทรัพย์
ใบหุ้นบริษัทหลักทรัพย์แบบฟอร์มคำขอถอนหลักทรัพย์ จากบัญชีสมาชิกผู้ฝากหลักทรัพย์
เข้าบัญชี 600 (Issuer Account)เข้าบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ (Broker)บริษัทหลักทรัพย์แบบฟอร์มคำขอโอน/
รับโอนหลักทรัพย์
ใบหุ้นTSD
(บริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์)
แบบฟอร์มคำขอถอนหลักทรัพย์ จากบัญชีผู้ออกหลักทรัพย์
ใบหุ้นเข้าบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ (Broker)บริษัทหลักทรัพย์ไม่ต้องใช้แบบฟอร์ม
เข้าบัญชี 600 (Issuer Account)TSD
(บริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์)
แบบฟอร์มคำขอฝากหลักทรัพย์

ที่มา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

‘อนุทิน’ ขอบคุณ ซีพี-ซีพีเอฟ ส่งมอบอาหารจากใจและหน้ากากอนามัย สู้โควิด

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค รับมอบหน้ากากอนามัยซีพี จำนวน 30,000 ชิ้น และผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพพร้อมทานจำนวน 83,200 แพ็ค เป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วย จากนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และขอบคุณ เครือซีพี – ซีพีเอฟ ในการดำเนินโครงการ “CPF ส่งมอบอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” ช่วยสนับสนุนภารกิจของภาครัฐในการควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ถนนติวานนท์

นายอนุทิน กล่าวว่า ในนามของกระทรวงสาธารณสุข และรัฐบาล ขอขอบคุณเครือซีพี – ซีพีเอฟ ที่ได้ช่วยดูแลสังคมไทย เหมือนกับทุกครั้งที่ประเทศไทยประสบภัยพิบัติ จะเห็นเครือซีพีและซีพีเอฟ ออกมาเป็นรายแรกๆ ที่ให้ความช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชน ด้วยการสนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน และหน้ากากอนามัยซีพี ถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภารกิจของภาครัฐ เป็นกำลังใจที่ดีให้กับทีมแพทย์ พยาบาล รวมทั้ง ผู้ที่มากักตัวที่โรงพยาบาลสนามได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

“ซีพีเอฟ เป็นครัวของโลก ห้องครัวที่นอกจากจะจ้างงานเป็นจำนวนมาก ยังช่วยสร้างรายได้ที่สำคัญให้กับประเทศไทย และในท่ามกลางวิกฤตก็ยังได้เห็นซีพีเอฟอยู่เคียงข้างสังคมอย่างต่อเนื่อง ผมและบุคลากรทุกท่าน ซาบซึ้งในน้ำใจไมตรีของท่านประธานอาวุโส เครือซีพี นายธนินท์ เจียรวนนท์ ที่มอบนโยบายดูแลและช่วยเหลือประเทศ ขอให้มั่นใจว่าอาหารและหน้ากากอนามัยที่มอบให้ กระทรวงฯ จะนำไปแจกจ่ายให้ถึงมือทุกคน” นายอนุทินกล่าว

ด้าน นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า การดำเนินโครงการ “CPF ส่งมอบอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” สนับสนุนสังคมฝ่าวิกฤตโควิด ขานรับนโยบายของเครือซีพี ที่ยึดหลักปรัชญา 3 ประโยชน์ ไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหนเราต้องช่วยประเทศและประชาชนในประเทศนั้นมีความมั่นคงเจริญก้าวหน้า เช่นเดียวการอยู่เคียงข้างสังคมในยามที่เผชิญกับวิกฤตโควิดครั้งนี้ ซีพีเอฟ ตั้งใจจะสนับสนุนและช่วยสังคมอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น

นับเป็นเวลากว่า 1 เดือนนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ซีพีเอฟได้สานต่อ โครงการ “ด้วยการส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพพร้อมทานให้แก่ 15 โรงพยาบาล ใน 6 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้สนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารแก่โรงพยาบาลสนาม “ศูนย์ห่วงใยคนสาคร” 9 แห่ง จนถึงวันนี้ บริษัทฯ ได้ร่วมส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารสนับสนุนภาครัฐ รวมทั้งสิ้น 83,200 แพ็ค พร้อมติดตั้งตู้แช่เย็นจากซีพี เฟรชมาร์ท ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลสนามอีกด้วย

ขณะเดียวกัน บริษัท ยังได้ร่วมมือกับ มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน หรือ LPN ส่งอาหารพร้อมทาน 30,800 แพ็ค และไข่ไก่สด 10,000 ฟอง ส่งมอบความห่วงใยและช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่กักตัวอยู่ในชุมชนตลาดกลางกุ้งมหาชัย จ.สมุทรสาคร

นอกจากนี้ เครือซีพี-ซีพีเอฟ ได้ดำเนินการตามดำริของ นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือซีพี- ซีพีเอฟ สนับสนุนหน้ากากอนามัย ให้ จนท.กลุ่มเสี่ยงและชาวชุมชน ใน กทม. เขตหนองแขม บางบอน บางขุนเทียน คลองเตย และดอนเมือง รวมถึงเครือข่ายกลุ่มอาสาดุสิต และสมาคมเชียร์ไทย เพื่อให้ทุกคนมีหน้ากากอนามัยใช้ป้องกันเชื้อโรคได้อย่างทั่วถึง รวมทั้ง ผนึกกำลังกับ ทรู และโอสถสภา ร่วมมอบอาหาร เครื่องดื่ม และซิมอินเตอร์เนต บรรเทาความเดือดร้อนให้แรงงานชาวเมียนมา ใน จ.สมุทรสาคร ผ่านสถานทูตเมียนมา รวมทั้งมอบหน้ากากอนามัย 3 สถานทูต ได้แก่ เวียดนาม, กัมพูชา และ สปป.ลาว ช่วยแรงงานต่างชาติที่พำนักในไทย รวมมอบหน้ากากอนามัยซีพี ทั้งสิ้น 220,800 ชิ้น

“เฉลิมชัย” ปล่อยคาราวานเครื่องจักร-เครื่องมือ ช่วยบรรเทาภัยแล้ง

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินทางมาเป็นประธานในพิธีปล่อยคาราวานเครื่องจักร-เครื่องมือ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ปี 2563/64 กรมชลประทาน พร้อมเดินหน้าโครงการจ้างแรงงาน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชน

นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ปริมาณน้ำใช้การได้รวมทั้งประเทศมีประมาณ 20,433 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 39 ของน้ำใช้การทั้งหมด เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก(เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์)มีปริมาณน้ำใช้การรวมกัน ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 (ต้นฤดูแล้ง)ประมาณ 5,771 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 32 ของน้ำใช้การทั้งหมด ปัจจุบัน เหลือปริมาณน้ำใช้การได้ประมาณ 4,263 ล้าน ลบ.ม.

ทั้งนี้ จะควบคุมการใช้น้ำให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพบว่าในหลายพื้นที่เริ่มได้รับผลกระทบจากภัยแล้งแล้ว จึงได้สั่งการให้โครงการชลประทานทั่วประเทศ ปรับแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 เน้นจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศให้เพียงพอ ตลอดจนประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ถึงสถานการณ์น้ำให้แก่ประชาชนรวมทั้งเกษตรกรได้รับทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งเร่งกำจัดวัชพืชในแม่น้ำและคลองสาขาที่อาจจะเป็นอุปสรรคในการส่งน้ำไปยังพื้นที่ต่างๆ

นอกจากนี้ กรมชลประทานได้คาดการณ์พื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงภาวะน้ำแล้งในเขตชลประทาน จำนวนทั้งสิ้น 39 จังหวัด ในการนี้ สำนักเครื่องจักรกล กรมชลประทาน ได้เตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชนจากสถานการณ์ภัยแล้งปี 2563/64 ไว้ทั้งสิ้น 5,935 หน่วย ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ ประกอบไปด้วยเครื่องสูบน้ำ 2,140 เครื่อง รถบรรทุกน้ำ 503 คัน เครื่องจักรสนับสนุนอื่น 3,292 หน่วย เพื่อให้การช่วยเหลือในพื้นที่ประสบภัยแล้งปี 2563/64 ได้อย่างทันท่วงที และลดความเสียหายจากภาวะขาดแคลนน้ำ โดยประจำการไว้ที่ส่วนบริหารเครื่องจักรกลที่ 1 – 7 และส่วนกลาง ณ สำนักเครื่องจักรกล กรมชลประทาน อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมากรมชลประทานได้นำเครื่องจักร เครื่องมือ เข้าไปให้ความช่วยเหลือ เช่น การติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ปฏิบัติการเปิดทางน้ำ ขุดลอกคลอง กำจัดวัชพืชและสิ่งกีดขวางทางน้ำ รวมถึงกำจัดผักตบชวา เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากภัยแล้งให้กับประชาชนและเกษตรกรมีน้ำใช้ในการอุปโภค บริโภค และทำการเกษตรตลอดฤดูแล้งนี้มาอย่างต่อเนื่อง

ด้านการบริหารจัดการน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศ (ความเค็ม) ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา แม่กลอง ท่าจีนและบางปะกง พบว่าค่าความเค็มในหลายพื้นที่ของลำน้ำสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจากอิทธิพลของน้ำทะเลหนุนสูง กรมชลประทาน จึงต้องบริหารจัดการน้ำโดยการระบายน้ำเพิ่มมากขึ้น เพื่อผลักดันและควบคุมความเค็มไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการผลิตน้ำประปาและการรักษาระบบนิเวศ ในขณะที่ปริมาณน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดไม่สามารถนำไปไล่ความเค็มได้ตลอดเวลา จึงขอให้ทุกภาคส่วนร่วมใจกันใช้น้ำอย่างประหยัด โดยเฉพาะชาวเมืองหลวงและปริมณฑลที่ใช้น้ำจากการประปานครหลวง เพื่อให้ปริมาณน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดเพียงพอใช้ไปจนถึงต้นฤดูฝนหน้า

สำหรับมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ไม่สามารถเพาะปลูกในช่วงฤดูแล้งได้ กรมชลประทาน ได้ดำเนินโครงการจ้างแรงงานชลประทาน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ตามแผนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 สามารถจ้างแรงงานได้ 94,000 คน งบประมาณทั้งสิ้น 5,662.34 ล้านบาท ปัจจุบันมีการจ้างแรงงานไปแล้ว 8,237 คน หรือร้อยละ 9 ของแผนการจ้างงาน โดยหลักเกณฑ์การจ้างแรงงาน จะเน้นพิจารณาจ้างเกษตรกรหรือประชาชนในพื้นที่ชลประทานก่อน อาทิ เกษตรกรผู้ใช้น้ำชลประทานที่ขาดรายได้จากการทำเกษตรกรรม และหากแรงงานที่ต้องการในพื้นที่ไม่เพียงพอจะพิจารณาจ้างแรงงานจากพื้นที่ใกล้เคียงตามความเหมาะสม หากเกษตรกรหรือผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลหรือสมัครเข้าร่วมงานได้ที่โครงการชลประทานใกล้บ้านทุกแห่ง

ซีพีออลล์ เดินหน้าโครงการ “คนไทยไม่ทิ้งกัน” มอบครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ให้ 4 รพ.

0

บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และ เซเว่น เดลิเวอรี่ เดินหน้าสานต่อโครงการ   “คนไทยไม่ทิ้งกัน” มอบเครื่องครุภัณฑ์ทางการแพทย์และชุดอุปโภค บริโภค เพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ให้กับรพ.บ้านแหลม, รพ.บ้านลาด, รพ.พระจอมเกล้าเพชรบุรี และรพ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่

ล่าสุด คุณศุภฤกษ์ ปักเขตานัง ผู้จัดการทั่วไปด้านปฏิบัติการ บมจ.ซีพี ออลล์ พร้อมด้วยพนักงานเซเว่น อีเลฟเว่น ในพื้นที่ร่วมเป็นผู้แทนมอบให้กับแพทย์หญิงอุทัยวรรณ โยคณิต รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านแหลม จ.เพชรบุรี และคุณปทุมรัตน์ ชุมบัวจันทร์ ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.ซีพี ออลล์ พร้อมด้วยพนักงานเซเว่น อีเลฟเว่น ในพื้นที่ร่วมเป็นผู้แทนมอบให้กับแพทย์หญิงปิยนุช ศรีสุคนธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านลาด, คุณศิริพร ศรนารายณ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเพชรบุรี และ คุณนพสิทธิ์ โชติสถิตย์โภคิน พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการพิเศษ (หัวหน้ากลุ่มการพยาบาล) โรงพยาบาลชะอำ จ.เพชรบุรี เป็นผู้แทนรับมอบ

ทั้งนี้ ซีพี ออลล์ จะทยอยสนับสนุนครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นในช่วงวิกฤตไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ให้แก่โรงพยาบาลและหน่วยงานต่างๆ แทนความห่วงใยต่อบุคลากรทางการแพทย์รวมถึงพี่น้องชาวไทย เป็นไปตามปณิธานของซีพี ออลล์ ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน” ต่อไป