Home Blog Page 185

AIS ผนึกพันธมิตร ทดสอบ 5G SA Roaming ข้ามทวีปยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พลิกโฉมประสบการณ์ใช้งานสำหรับนักท่องเที่ยว

0
Deutsche Telekom Global Carrier, Sunrise และ AIS ประสบความสำเร็จในการทดสอบเทคโนโลยี 5G SA (5G Standalone) ข้ามทวีป ระหว่างยุโรป และ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั้งสองบริษัทพันธมิตรประสบความสำเร็จในการเชื่อมต่อภายใต้สภาพแวดล้อมของห้องทดลองด้วยซิมการ์ดและอุปกรณ์ที่ใช้จริง ระหว่างเครือข่าย 5G SA ของ AIS และ Sunrise ผู้ให้บริการรายใหญ่ของสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งมี Deutsche Telekom Global Carrier เป็นผู้เชื่อมต่อ ความสำเร็จนี้นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ที่จะทำให้การให้บริการ 5G SA ระหว่างประเทศเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมเร็วๆนี้

การทดลองทดสอบครั้งนี้ ผ่านการเชื่อมต่อโดยตรงแบบ SEPP-to-SEPP (Security Edge Protection Proxy) ตามมาตรฐานของ GSMA โดย SEPP เข้ามาทำให้การเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย 5G มีความปลอดภัย และเชื่อมั่นได้ยิ่งขึ้น ระหว่างฝั่งต้นทาง และ เครือข่ายปลายทาง ผ่านมาตรฐานการออกแบบด้านความปลอดภัยของ 5G SA roaming ตามมาตรฐาน 3GPP

Nicholas Nikrouyan, Vice President, Voice & Mobile Solutions ของ Deutsche Telekom Global Carrier กล่าวว่า “เราต้องการเร่งนวัตกรรมเพื่อยกระดับเทคโนโลยี 5G ด้วยการส่งเสริมให้พันธมิตรที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมนี้ได้เรียนรู้และบริหารจัดการเทคโนโลยีร่วมกัน สำหรับความสำเร็จล่าสุดในการเชื่อมต่อการรับส่งข้อมูลผ่าน 5G SA ระหว่าง Sunrise และ AIS จะปูทางสู่การพัฒนาในอนาคตที่จะทำให้ 5G SA เข้าถึงบริการด้านโทรคมนาคมยุคใหม่ ที่มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยจาก SEPP ที่สามารถเป็นแม่ข่ายที่มีประสิทธิภาพสำหรับ IPX ของเครือข่าย Deutsche Telekom Global Carrier อีกด้วย”

Robert Redeleanu, Chief Business Officer ของ Sunrise ให้ความเห็นว่า “เราภูมิใจที่ประสบความสำเร็จในการเชื่อมต่อ 5G SA ระหว่างเครือข่ายของเรากับ AIS ร่วมกับ Deutsche Telekom Global Carrier และเรารอคอยที่จะเปลี่ยนความสำเร็จนี้สู่การให้บริการ 5G SA ความเร็วสูง และ เชื่อถือได้ สำหรับลูกค้าส่วนบุคคล และ องค์กรทั้งในยุโรป และ ทั่วโลก”

ศรัณย์ ผโลประการ Head of Mobile and Consumer Products Development ของ AIS กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ Deutsche Telecom Global Carrier และ Sunrise ในครั้งนี้ ยืนยันความมุ่งมั่นของเราในการส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และพันธมิตร การรับส่งข้อมูลผ่าน 5G SA เป็นนวัตกรรมในการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงมาก โดยรองรับโซลูชั่นส์ที่หลากหลาย สิ่งนี้จะมอบความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตสำหรับลูกค้าเป็นอย่างมากระหว่างการเดินทางต่างประเทศ”

ความสำเร็จในการเชื่อมต่อข้ามทวีปบน 5G SA เป็นส่วนหนึ่งของ นวัตกรรม 5G ของ Deutsche Telekom Global Carrier ที่ก้าวไปอีกขั้นสู่การทดลอง และสำรวจความต้องการในการรับส่งข้อมูลผ่าน 5G ในสถานการณ์ต่างๆ ก่อนที่จะตัดสินใจทางกลยุทธ์ ภายในสิ่งแวดล้อมนี้ มีกระบวนการทดสอบไอเดียธุรกิจก่อนดำเนินการ (proof-of-concept [PoC]) 4 แบบ ที่ได้ดำเนินการเกี่ยวกับ ระบบสัญญาณและความปลอดภัยของ 5G ผ่านการใช้ 5G network slicing ของการรับส่งข้อมูล และ การข้ามผ่านภูมิภาค

ในช่วงปีที่ผ่านมา Deutsche Telekom Global Carrier ยังประสบความสำเร็จในการร่วมกับ Comfone ผู้เชี่ยวชาญด้านการรับส่งข้อมูลโทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างประเทศในเฟสแรกของ inter-carrier 5G SA Roaming PoC และได้ดำเนินการเชื่อมต่อข้อมูลแบบ low-latency ระหว่างเยอรมนี และ สเปน ร่วมกับ Telefonica เป้าหมายสูงสุดของ Deutsche Telekom Global Carrier คือส่งเสริมผลักดันให้อุตสาหกรรมเปลี่ยนจากการร่วมมือในเชิงรับ สู่ การร่วมมือในเชิงรุก ในการส่งมอบการบริการ

กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ – ส.ผู้ค้าปลีกไทย เดินหน้าโครงการ “1 บริษัทดูแล 1 องค์กรคนพิการ” ลดเหลื่อมล้ำทางอาชีพ

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) และ นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือใน โครงการ C.H.A.N.C.E for Friend : Friend for Disabled (โอกาสเพื่อเพื่อน) ตามโมเดล “1 บริษัท ดูแล 1องค์กรคนพิการ” ที่ริเริ่มขึ้นโดย นักศึกษาหลักสูตรผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตย (ปนป) รุ่นที่ 12 สถาบันพระปกเกล้า กลุ่มวัว เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการประกอบอาชีพของผู้พิการ ณ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

นางสาวสราญภัทร เปิดเผยว่า โครงการ C.H.A.N.C.E for Friend เป็นการช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางอาชีพของคนพิการ โดยผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมผู้ค้าปลีกไทยมอบองค์ความรู้ด้านการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และช่องทางการจัดจำหน่ายให้กับองค์กรคนพิการ ด้วยโมเดล “1 บริษัท ดูแล1องค์กรคนพิการ” เป็นโอกาสให้ผู้พิการได้รับการพัฒนาศักยภาพและมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว นำไปสู่การเห็นคุณค่าของตนเองและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในสังคม

ด้าน นายญนน์ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่ดี และจะเป็นการบูรณาการครั้งแรกในประเทศไทย ที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางอาชีพและรายได้ให้กับคนพิการ ซึ่งสมาคมฯ ขอชื่นชมนักศึกษา ปนป.12 กลุ่มวัว สถาบันพระปกเกล้าที่กล้าคิด และผลักดันโครงการฯนอกเหนือจากที่รัฐต้องดำเนินการ ทั้งนี้ สมาคมฯจะประสานงานกับสมาชิกทั้ง 92 บริษัท ในการขับเคลื่อนความร่วมมือดังกล่าวให้เกิดเป็นรูปธรรม

‘ซีพี-เมจิ’ ร่วมสู้วิกฤตควันพิษ มอบอุปกรณ์ป้องกัน-ดับไฟป่า หนุน กรมอุทยานแห่งชาติฯ ดูแลป่าไม้อย่างยั่งยืน

0

ท่ามกลางสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ห่วงใยประชาชนและเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช สานต่อโครงการ “ซีพี-เมจิ รักษ์ป่า รักษ์น้ำ รักแผ่นดิน” ต่อเนื่อง ล่าสุด มอบอุปกรณ์ป้องกันและดับไฟป่า สนับสนุนอุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย จ.สระบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง เนื่องในวันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า เพื่อปกป้องผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและดูแลทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยมี ว่าที่ ร.ท.รุ่งศักดิ์ ขุนวิเศษ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 สาขาสระบุรี เป็นประธานเปิดงาน พร้อมทั้งรับมอบอุปกรณ์ จาก นางสาวชาลินี พูนลาภมงคล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และความยั่งยืน ซีพี-เมจิ ผู้แทนบริษัทฯ

ว่าที่ ร.ท.รุ่งศักดิ์ ขุนวิเศษ กล่าวว่า อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย จ.สระบุรี เป็นพื้นที่ป่าใกล้เขตเมือง จำนวน 26,238 ไร่ ที่มีชุมชนโดยรอบประมาณ 1,388 ครัวเรือน ขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ให้ความร่วมมือสนับสนุนกิจกรรมในครั้งนี้ โดยเฉพาะ ซีพี-เมจิ ที่มอบอุปกรณ์ป้องกันและดับไฟแก่เจ้าหน้าที่ สอดคล้องกับแนวทางการทำงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมและปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนและเยาวชนรู้สึกหวงแหน มีส่วนร่วมในการดูแลป่าไม้และสัตว์ป่า ลดความเสียหายจากการเกิดไฟป่า รวมทั้งใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้าน นางสาวชาลินี พูนลาภมงคล กล่าวว่า ซีพี-เมจิ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความยั่งยืนโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม จึงร่วมมือกับกรมอุทยานแห่งชาติฯ ปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว รวมทั้งมอบอุปกรณ์ป้องกันและดับไฟป่าอย่างต่อเนื่อง ในครั้งนี้ ชาวซีพี-เมจิ จิตอาสา ลงพื้นที่มอบอุปกรณ์ต่างๆ จำนวน 16 รายการ อาทิ ถังฉีดน้ำ ไม้ตบไฟ ครอบดับไฟ เครื่องเป่าลมเป่าใบไม้ชนิดเครื่องยนต์พร้อมอุปกรณ์เสริม เครื่องตัดหญ้า กล้องติดหมวกสำหรับบันทึกภาพ พร้อมด้วยนมเมจิคุณภาพ เสริมพลังกายเติมกำลังใจสำหรับเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร

“ซีพี-เมจิ ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.สระบุรี เราให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักปรัชญา 3 ประโยชน์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงสานต่อโครงการฯ ป้องกันไฟป่า ซึ่งเป็นภัยพิบัติตามฤดูกาลที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนส่งความช่วยเหลือในชุมชนต่างๆ เพื่อเฝ้าระวังไฟป่า ลดปัญหาฝุ่นควันพิษ และร่วมกันรักษาป่าต้นน้ำสำคัญ”

ซีพี-เมจิ ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ริเริ่ม “โครงการ ซีพี-เมจิ รักษ์ป่า รักษ์น้ำ รักแผ่นดิน” มาตั้งแต่ปี พ.ศ 2564 โดยร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ จ.สระบุรี และใกล้เคียง สนับสนุนการปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 30,000 ต้น บนพื้นที่รวม 150 ไร่ และมีแผนที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวเป็น 1,000 ไร่ ในปี พ.ศ.2573 เพื่อดูแล อนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน มุ่งขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี พ.ศ.2593

AWC โชว์กำไรปี 65 พุ่งเฉียด 4 พันล. มั่นใจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฟื้นตัว

0

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เผยผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2565 ด้วยผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ยอดเยี่ยมที่สุดของปี โดยมีกำไรสุทธิตามงบการเงิน 1,438 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) รวมกำไรสุทธิตามงบการเงินปี 2565 อยู่ที่ 3,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดมากกว่าร้อยละ 280 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เป็นผลจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของกลุ่มโรงแรมที่สามารถสร้างอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate หรือ ADR) สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ AWC สอดรับการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในครึ่งหลังของปี 2565 แสดงให้เห็นศักยภาพขององค์กรในการสร้างกระแสเงินสดจากทรัพย์สินดำเนินงานคุณภาพที่เพิ่มขึ้นประกอบกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง และพร้อมหนุนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

“ผลประกอบการในไตรมาส 4/2565 ที่ผ่านมานี้ นับเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบปี 2565 ของบริษัท ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวของประเทศที่กลับมาฟื้นตัวอย่างเด่นชัดในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวส่งท้ายปี (High Season) และการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้ภาพรวมการดำเนินงานของ บริษัทกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนศักยภาพของ AWC ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและการบริการที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่การแพร่ระบาด COVID-19 ในต้นปี 2563 ขณะที่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) ยังสามารถสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน จากแผนพัฒนาและปรับกลยุทธ์ของโครงการต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นอาคาร “เอ็มไพร์” ภายใต้แนวคิด Co-Living Collective: Empower Future หรือ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น เพื่อสร้างแลนด์มาร์คการท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์ริมแม่น้ำใหญ่ที่สุด ผ่านประสบการณ์ “ALL DAY EVERYDAY HAPPINESS” และกิจกรรมความบันเทิงร่วมกับเดอะ วอลต์ ดิสนีย์ ใน “DISNEY100 VILLAGE AT ASIATIQUE” รวมถึงการที่บริษัทได้รับกำไรจากการรวมมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 จำนวนกว่า 4,920 ล้านบาท แสดงให้เห็นการเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่องของพอร์ตทรัพย์สินคุณภาพซึ่งมากกว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน” นางวัลลภา กล่าว

ด้านกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างก้าวกระโดดสอดรับกับมาตรการการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ โดยมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเที่ยวด้วยตัวเอง (Foreign Independent Tour หรือ FIT) จำนวนกว่า 11.8 ล้านคนในปี 2565 ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีกำลังซื้อสูง (High-to-Luxury) ส่งผลให้ภาพรวมการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจนี้ กลับมาเติบโตขึ้นในทุกเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมประชุมสัมมนา (MICE) กลุ่มโรงแรมในกรุงเทพฯ กลุ่มรีสอร์ทระดับลักซ์ซูรี รวมถึงเซ็กเมนต์อาหารและเครื่องดื่มจากงานอีเว้นท์ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น อาทิ การฉลองในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นต้น โดยในไตรมาส 4 นี้ ภาพรวมอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ของโรงแรมในเครือ AWC อยู่ที่ร้อยละ 63.5 และมีราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (ADR) อยู่ที่ 5,697 บาทต่อคืน เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 45.7 เมื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงที่สุดตลอดการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท

นอกจากนี้ ในไตรมาส 4/2565 กลุ่มธุรกิจโรงแรมและบริการมีรายได้จากการดำเนินงาน 2,499 ล้านบาท คิดเป็นกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) กว่า 848 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด อยู่ที่ร้อยละ 11,535 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 71.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมี Revenue Generation Index (RGI) ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรม แบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 223.6 โรงแรม บันยันทรี กระบี่ มีค่า RGI เท่ากับ 184.4 และโรงแรม คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ มีค่า RGI เท่ากับ 176.8 เป็นต้น

AWC ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าเสริมพอร์ตคุณภาพในกลุ่มโรงแรมและการบริการ ด้วยการเข้าลงทุนในโรงแรม เดอะ เวสทิน สิเหร่ เบย์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต และโรงแรมดุสิต ดีทู เชียงใหม่ เพื่อใช้ศักยภาพและความได้เปรียบในการพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพเสริมความได้เปรียบในการแข่งขันและเสริมพอร์ตทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งให้กับบริษัทในฐานะทรัพย์สินดำเนินงานที่สามารถรับรู้รายได้ในทันที รวมถึงโรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว แบงค็อก วินด์เซอร์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินอยู่ในระหว่างการพัฒนา ส่งผลให้ในสิ้นปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทมีจำนวนโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์ดำเนินการทั้งหมด 20 โรงแรม รวม 5,458 ห้อง ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มี 16 โรงแรม และจำนวนห้องรวม 3,432 ห้อง

สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์นั้น กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน ยังคงสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มปี 2565 และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 ซึ่งเป็นผลมาจาก ศักยภาพของอาคารสำนักงานเกรด A ที่คำนึงด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อบริหารจัดการพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ AWC ได้ยกระดับมาตรฐานใหม่เป็นครั้งแรกของวงการอาคารสำนักงาน ด้วยการมอบพื้นที่ 1,500 ตร.ม. ให้เป็น Co-Living เปิดประสบการณ์พิเศษ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายให้ผู้เช่าได้เสริมรูปแบบการกลับมาทำงานแบบ New Normal อีกทั้งช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายขององค์กรและพนักงานจากทั่วโลก และเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งในใจของคนทำงานรุ่นใหม่อีกด้วย

ภาพรวมของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า มีผลการดำเนินการที่เติบโตต่อเนื่องครอบคลุมเกือบทุกเซ็กเมนต์เช่นกัน จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาครึกครื้น การจับจ่ายใช้สอยและการรับประทานอาหารนอกบ้านเพื่อพบปะสังสรรค์ในช่วงเทศกาลปลายปี โดยเฉพาะในกลุ่มคอมมูนิตี้ช็อปปิ้งมอลล์ ส่งผลให้รายได้เติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 18 นอกจากนี้ ศูนย์การค้าเพื่อการท่องเที่ยวอย่างโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ก็มีการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 98 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนลูกค้าชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาใช้บริการเพิ่มขึ้น และการปรับกลยุทธ์เพื่อดึงดูดผู้เช่า ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทุกกลุ่ม ผ่านกิจกรรมพิเศษต่างๆ ตลอดทั้งปี

“AWC มุ่งมั่นที่จะยกระดับและเสริมศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ ตอบรับนโยบาย “ปีท่องเที่ยวไทย 2566” ผ่านการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าประเทศและคนไทยที่ท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น ทางบริษัทจึงดำเนินกลยุทธ์เร่งดำเนินการเปลี่ยนสินทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นสินทรัพย์ดำเนินงาน และสร้างการเติบโตของผลตอบแทนของทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องให้กับบริษัท ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่กระทบกับคุณภาพการบริการ อาทิ การเพิ่มขึ้นของยอดการสำรองห้องพักโดยตรงกับทางโรงแรม (Direct Booking) การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ (Solar Cell) เพื่อเพิ่มพลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการบริหารจัดการด้านต้นทุนค่าใช้จ่ายของบุคลากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ (HR Multiple) เพื่อสร้างมูลค่าและผลตอบแทนสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้นที่จะส่งผ่านเป็นอิบิทดา (Flow Through) ในสัดส่วนมากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ โดยในปี 2566 นี้ AWC ยังคงพัฒนาโครงการต่างๆ ในทุกกลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อจะเปิดให้บริการในปี อาทิ โรงแรม อินน์ไซด์ กรุงเทพ สุขุมวิท โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง และโรงแรมแมริออท เชียงใหม่ รวมถึงการยกระดับมาตรฐานใหม่ของกลุ่มอาคารสำนักงาน การพัฒนาโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรอย่างยั่งยืน” นางวัลลภา กล่าวเสริม

AWC มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อ “สร้างคุณค่าด้านความยั่งยืนในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ผ่านกรอบการดำเนินงาน 3 เสาหลัก (3BETTERs): Better Planet, Better People, Better Prosperity โดยล่าสุด AWC ได้ติดอันดับรายงานความยั่งยืน S&P CSA Yearbook 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022” และรางวัล “Industry Mover” ในฐานะบริษัทที่มีความยั่งยืนของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ โดยความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้พันธกิจ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า”

เมืองไทยประกันชีวิต เปิดหลายช่องทางให้ลูกค้าตรวจสอบค่าเบี้ยประกันเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2566 ถือเป็นปีสำคัญของเมืองไทยประกันชีวิต ในการอยู่เคียงข้างสร้างรอยยิ้มแก่คนไทยครบ 72 ปี พร้อมกำหนดทิศทางการดำเนินงานในปีนี้ของบริษัทฯ ด้วยการตั้งเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในทุกมิติ ด้วยการดำเนินกลยุทธ์ “Happiness Reinvented” เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิต ประกาศปักธงเป็นอันดับหนึ่งในฐานะคู่คิดด้านชีวิตและสุขภาพที่ลูกค้าวางใจ (No.1 Most Trusted Life & Health Partner) ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกบทบาทของชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ เพื่อสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกๆ คน (Democratizing Insurance) โดยบริษัทฯ มุ่งดำเนินงานผ่าน 4 แกนสำคัญ ได้แก่ บุคลากร (People) พาร์ทเนอร์ (Preferred Partner) ลูกค้า (Customers) และ นอกเหนือจากลูกค้า (Beyond Our Customers)

บริษัทฯ ได้อำนวยความสะดวกในด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษี ให้กับลูกค้าที่มีประกันชีวิต สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ประกันชีวิตแบบบำนาญ และประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรส กับบริษัทฯ และต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบเบี้ยประกันภัยสำหรับใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้หลากหลายช่องทาง อาทิ ช่องทางบริการข้อมูลทางโทรศัพท์อัตโนมัติ ที่โทร. 1766 หรือแอปพลิเคชัน MTL Click และ MTL Mini Click (ผ่านLINE @muangthailife)

ลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์ขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษี เพื่อให้บริษัทฯ นำส่งข้อมูลการชำระเบี้ยประกันภัยของลูกค้าให้กับกรมสรรพากรแบบอัตโนมัติทุกปี เพิ่มความสะดวกให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องแนบหนังสือรับรองหรือต้องขอเอกสารเพิ่มเติม ในขณะเดียวกันสำหรับลูกค้าที่แจ้งความประสงค์เรียบร้อยแล้ว บริษัทฯ จะนำส่งข้อมูลการชำระเบี้ยประกันภัย รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้กับกรมสรรพากร และบริษัทฯ ขอยกเลิกการจัดส่งหนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกันภัยรูปแบบกระดาษตั้งแต่ปีภาษี 2564 เป็นต้นไป โดยสามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่เว็บไซต์เมืองไทยประกันชีวิต หรือ MTL Mini Click (ผ่าน Line @muangthailife) สนใจผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากประกันชีวิตและประกันสุขภาพ สามารถสอบถามได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ หรือ โทร. 1766

“จุดยืนในการมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านการประกันชีวิตและสุขภาพของเรา ไม่ใช่แค่เข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร แต่เราจะคิดเผื่อไปมากกว่านั้น และสิ่งที่เรานำมามอบให้แก่ลูกค้า ไม่ใช่แค่เรื่องของประกัน การเคลม หรือการติดต่อตัวแทนประกันชีวิต แต่เป็นการดูแลลูกค้าผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ที่ถูกออกแบบโดยการคิดเผื่อรอบด้านเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในทุกช่วงชีวิต” นายสาระ กล่าว

รู้เก็บรู้ออม : โอกาสลงทุนรับเฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ย

0

สัปดาห์ที่แล้ว “คุณนายพารวย” พูดถึงเรื่องปรับพอร์ตลงทุนรับมือกับเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งมีสัญญาณเตือนในหลายประเทศ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้วเมื่อปีก่อน และเริ่มปรับลดลงแบบค่อยเป็นค่อยไป

ทำให้คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดสปีดการขึ้นดอกเบี้ยลง ไม่ขึ้นเร็วเท่าปี 65 หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มอ่อนแอลง ทั้งตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ธ.ค.ที่เริ่มลดลง และตัวเลขค้าปลีกที่หดตัว จนนักวิเคราะห์มองว่าเฟดจะลดความร้อนแรงในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อประคองเศรษฐกิจไม่ให้หดตัวแรง

บทความ “ลงทุนอะไรดีช่วงเฟดใกล้หยุดขึ้นดอกเบี้ย” ของ ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย ที่เผยแพร่ในเว็บ SETINVESTNOW มองว่าการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของเฟดใกล้จะสิ้นสุดแล้ว และคาดว่าเฟดจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 2 ของปีนี้

ดังนั้นตลาดจะเริ่มให้น้ำหนักในจุดนี้ และเข้าลงทุนก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง จึงเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน โดยได้โฟกัสที่กองทุนรวมที่น่าสนใจดังนี้ 1.กองทุนรวมหุ้นพื้นฐานดีกระจายทั่วโลก เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเข้าไปเก็บสะสมหุ้น โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ที่มีพื้นฐานดี ภาระหนี้ไม่สูง มีโอกาสสร้างรายได้ให้เติบโตได้ในภาวะที่เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะเมื่อตลาดปรับย่อลง หลังนักลงทุนผิดหวังกับผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 65 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดสูงสุด อัตราเงินเฟ้อกำลังย่อลงอย่างชัดเจน และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้เข้าสู่ภาวะถดถอยที่รุนแรง เพียงแต่ชะลอหรืออาจติดลบเล็กน้อยชั่วคราว

ส่วน การลงทุนในฝั่งยุโรป ก็น่าสนใจ หลังปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้รุนแรงจนเกิดวิกฤติพลังงานอย่างที่กังวลกัน แม้ปัญหาเงินเฟ้อจะรุนแรง และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะมีไปอีกระยะแต่ราคาสินทรัพย์ที่ย่อลงมามากในช่วงก่อนหน้า และได้สะท้อนภาวะที่น่ากังวลไปมากแล้ว

2.กองทุนรวมหุ้นในตลาดเกิดใหม่ มองว่าตั้งแต่ต้นปีมาตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ทั้ง จีน อินเดีย และบราซิล รวมทั้งตลาดหุ้นในเอเชียได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวและการเปิดประเทศ โดยภาคการผลิต การบริโภค ธนาคาร และเทคโนโลยี มีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งการกระจายการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูง รวมทั้งเงินเฟ้อที่ไม่รุนแรงจะสนับสนุนให้นักลงทุนหันมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในภูมิภาคนี้มากขึ้น

3.กองทุนรวมหุ้นจีน รัฐบาลจีนลดความเข้มงวดในการคุมโควิด และเปิดประเทศ แม้ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงได้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว แต่มูลค่าหุ้นจีนยังน่าสนใจ การเปิดประเทศของจีนจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจจีนเติบโตได้ดีกว่าที่คาด รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป แต่ต้องระวังปัญหาหนี้ภาคธุรกิจสูงและปัญหาฟองสบู่ในตลาดอสังหาฯ นักลงทุนอาจหันมาลงทุนหุ้นกลุ่มนวัตกรรมและการบริโภคแทน ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็ก น่าจะเติบโตมากกว่าหุ้นใหญ่

4.กองทุนรวมตราสารหนี้ นักลงทุนอาจหาจังหวะเข้าลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสูง แม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯเริ่มย่อตัวลง แต่ยังอยู่ในระดับสูงทำให้ได้ผลตอบแทนต่อเนื่องในระดับที่น่าพอใจ

นักลงทุนมือใหม่ที่อยากวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจ เพื่อจับทิศทางการลงทุน สามารถเข้าไปเรียนรู้ผ่าน e-Learning หลักสูตร “Macro Analysis” หรืออยากวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคที่มีผลต่อการลงทุนรายกลุ่มอุตสาหกรรม แนะนำหลักสูตร “Sector Rotation” เรียนฟรีทั้งสองหลักสูตร!!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน…สู่ความมั่งคั่ง” หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ซีพีเอฟ กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเพิ่มขึ้น 60% เชื่อมั่นปี 66 ผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ” รายงานยอดขายปี 2565 จำนวน 614,197 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 20 จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งระดับราคาสินค้าที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 13,970 ล้านบาท

ซีพีเอฟมีการลงทุนและร่วมลงทุนใน 17 ประเทศ ส่งออกจากประเทศไทยไปประเทศต่างๆ อีกมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลกด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร สัดส่วนยอดขายในปี 2565 ที่ผ่านมาเป็นของกิจการในต่างประเทศร้อยละ 63 กิจการประเทศไทยร้อยละ 31 และยอดขายจากการส่งออกร้อยละ 6 ของยอดขายรวม กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 60 มีกำไรจากการปรับราคายุติธรรมของสินค้าชีวภาพเพิ่มขึ้นร้อยละ 159 ส่งผลให้มีกำไรสุทธิในปี 2565 จำนวน 13,970 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 7 แต่หากหักกำไรจากการแลกเปลี่ยนเงินลงทุนด้วยหุ้นของ Makro ซึ่งเป็นรายการพิเศษที่เกิดขึ้นในปี 2564 จำนวน 7,849 ล้านบาท จะทำให้กำไรก่อนรายการพิเศษในปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 170 จากปีก่อน

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นว่า ส่วนหนึ่งมาจากการให้ความสำคัญด้านมาตรฐานการควบคุมความปลอดภัยทางชีวภาพอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้ผลการดำเนินงานที่ผ่านมารวมถึงธุรกิจในประเทศไทยปีนี้มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นภายใต้ภาวะที่อุตสาหกรรมเผชิญกับการระบาดของโรค ASF ในสุกร (African Swine Fever) นอกจากนี้ ซีพีเอฟมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับสังคมรูปแบบใหม่สืบเนื่องมาจากการระบาดของโรคโควิด-19 (New Normal) ด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการขยายช่องทางการขายให้มีความหลากหลาย ส่งเสริมคู่ค้าในการปรับรูปแบบการขายเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและสร้างคุณค่าร่วมไปด้วยกัน

นอกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว ซีพีเอฟยังคงมุ่งสร้างสมดุลในการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยบริษัทได้มีการสนับสนุนลดการใช้พลังงานถ่านหินและหันมาใช้พลังงานทดแทน และมีการยกเลิกการใช้ถ่านหินในโรงงานประเทศเวียดนามตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 และ ในโรงงานประเทศไทยตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2565

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2566 ซึ่งจะยังมีความท้าทายอย่างต่อเนื่อง เช่น ผลกระทบจากโรคระบาดในคนและสัตว์ ผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น และสภาวะเศรษฐกิจที่มีสัญญาณถดถอยในหลายประเทศ บริษัทฯจึงมีความระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจและการลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ดี ด้วยรากฐานที่มั่นคงและแผนการขยายธุรกิจที่รัดกุม เชื่อมั่นว่าปี 2566 บริษัทจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

คณะกรรมการบริษัทซีพีเอฟได้มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2565 ให้แก่ผู้ถือหุ้นรวมทั้งสิ้นในอัตราหุ้นละ 0.75 บาท โดยบริษัทได้มีการจ่ายเงินปันผลครั้งแรกเป็นเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2565 และเป็นเงินปันผลจ่ายครั้งที่สองจากผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท ซึ่งจะมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 8 พฤษภาคมนี้

AIS ผนึก​พาร์ทเนอร์ระดับโลก​ ทดสอบ 5G CA ทำความเร็วแรงทะลุมาตรฐานที่ 22.01Gbps ครั้งแรกของโลก

0

หลังจากที่ AIS ประกาศความสำเร็จในการทดสอบเทคโนโลยี 5G CA (Carrier Aggregation) สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลกบนคลื่นความถี่ 2600 MHz และ 26 GHz เมื่อต้นปี 2565 ที่ผ่านมา โดยในครั้งนั้นเป็นการทดสอบที่สามารถทำความเร็วการดาวน์โหลดได้ที่ 8.5 Gbps และอัปโหลดได้ถึง 2.17Gbps วันนี้ AIS ยืนยันความมุ่งมั่นอีกครั้งในการนำนวัตกรรมเข้ามายกระดับโครงข่ายตามเจตนารมณ์ที่ได้เข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ ด้วยการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ด้านเครือข่ายระดับโลกในการทดลองทดสอบเทคโนโลยี 5G CA อย่างต่อเนื่อง  ด้วยการนำคลื่นความถี่แบบเต็มแบนด์วิธทั้งคลื่นความถี่ย่านกลาง 2600 MHz จำนวน 100 MHz รวมกับคลื่นความถี่ย่านสูง 26 GHz จำนวน 1200 MHz มาทดสอบทั้งในห้องแล็บ และบน Live Network หรือเครือข่ายจริงที่กำลังให้บริการ ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกที่สามารถทำความเร็วดาวน์โหลดสูงสุดทะลุมาตรฐาน 5G ได้ถึง 22.01Gbps และอัพโหลดสูงสุด 4.4Gbps นับเป็นการยืนยันความพร้อมของโครงข่ายอัจฉริยะ 5G จาก AIS ที่พร้อมเชื่อมต่อทุกอุปกรณ์ที่รองรับในอนาคต

วสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS กล่าวว่า “จากเป้าหมายการเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co ทำให้ AIS เดินหน้าพัฒนาขีดความสามารถของโครงข่ายที่มีในมือให้มีความพร้อม ด้วยงบลงทุนในปีนี้กว่า 27,000 – 30,000 ล้านบาท เพื่อให้รองรับการใช้งานดิจิทัลสำหรับลูกค้าและคนไทยทุกกลุ่มให้เข้าถึงการใช้งานรวมถึงบริการดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียมทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว โดยเฉพาะโครงข่าย 5G ที่วันนี้ AIS ยังคงเป็นผู้นำทั้งในแง่ของความครอบคลุมพื้นที่การใช้งาน และในแง่ของความพร้อมในการรองรับจำนวนผู้ใช้บริการ

จึงเป็นที่มาของการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันคิดค้นพัฒนานวัตกรรมโครงข่ายและอุปกรณ์เพื่อเตรียมรองรับการใช้งานทั้งกับผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงภาคธุรกิจ ที่ต้องการความเร็วแรงของเครือข่ายในระดับสูง ดังเช่นการทดลองทดสอบเทคโนโลยี 5G CA ในครั้งนี้ที่เป็นทดลองทดสอบ ทั้งในห้องทดสอบ (Lab Test) และบนเครือข่ายที่กำลังให้บริการหรือ Live Network ที่กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ซึ่งใช้อุปกรณ์ตัวรับสัญญาณ และกระจายสัญญาณ AAU 2600MHz และ AAU mmWave เป็นตัวแรกของโลก มาทดสอบ บนคลื่นความถี่ย่านกลาง 2600 MHz จำนวนแบนด์วิธ 100 MHz มารวมกับคลื่นความถี่ย่านสูง 26GHz จำนวนแบนด์วิธ 1200MHz  ทำให้เป็นการทดสอบครั้งแรกที่มีการนำแบนด์วิธกว้างที่สุดถึง 1200 MHz ซึ่งผลการทดลองทดสอบออกมาได้ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุดถึง 22.01Gbps และ อัพโหลดสูงสุด 4.4 Gbps”

นายวสิษฐ์ กล่าวว่า “เราเชื่อว่าศักยภาพของ 5G จะเป็นหัวใจสำคัญต่อการเติบโตของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงจะสร้างประโยชน์และประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งผู้บริโภคและกลุ่มองค์กรภาคธุรกิจ นอกเหนือจากการ​เร่งวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีให้มีความแข็งแกร่งแล้ว การที่เราเดินหน้าทดลองทดสอบเทคโนโลยีโครงข่ายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นับเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของผู้ประกอบการไทย ที่จะผลักดันให้ Ecosystem ทั้งด้านอุปกรณ์ Network, Chipset และ Terminal Devices ผลิตอุปกรณ์ออกมาให้รองรับมาตรฐาน 5G ที่ความเร็วสูงสุดตามที่ได้มีการทดลองทดสอบ เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสประสบการณ์การใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และนำนวัตกรรมไปต่อยอดสร้างประโยชน์ให้ประเทศก้าวไปยืนอยู่ในเวทีโลกต่อไป”

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ฯ เปิดแผนปี 66 มุ่งตอบแทนคุณแผ่นดิน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัย สร้างคุณค่าสู่ทั่วสังคมไทยให้ยั่งยืน “จากภูผา ผืนนา สู่มหานที”

0

นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ ผู้ช่วยบริหาร สำนักประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ในฐานะ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เปิดเผยว่า ตลอด 35 ปี มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ได้น้อมนำพระราชดำริปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สานต่อปณิธานตอบแทนคุณแผ่นดิน ตามรอยใต้เบื้องพระยุคลบาท และยังคงขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคมไทย ตามแนวคิด ”มุ่งสร้าง 4 ดี พัฒนา 4 ด้าน” ได้แก่ คนดี พลเมืองดี อาชีพดี และสิ่งแวดล้อมดี สอดคล้องไปกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ใน 3 มิติหลัก ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนตามเป้าหมายหลักการสากล “การพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ 17 ประการ (SDGs)” เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ของประเทศไทยทั้ง 77 จังหวัด ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน สังคม และการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันอย่างสมดุล

ในปี 2566 มูลนิธิฯ มีเป้าหมายขยายขอบเขตพื้นที่ในการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย จาก “ภูผา ผืนนา สู่มหานที” ทั่วทุกภูมิภาคอย่างยั่งยืน โดย “ภูผา” มูลนิธิฯ ยังคงเดินหน้าโครงการอมก๋อย โมเดล สร้างอมก๋อยน่าอยู่ คู่ป่าต้นน้ำ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟู อนุรักษ์ป่าต้นน้ำที่มีกว่า 1 ล้านไร่ ของประเทศไทยให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาอาชีพและส่งเสริมรายได้ให้เกษตรกรและชุมชนอย่างยั่งยืน โดยการดำเนินงานที่ผ่านมามีการปลูกต้นไม้ กว่า 70,000 ต้น มีเกษตรกรในโครงการจาก 3 ตำบล รวม 990 ครัวเรือน นอกจากนี้ ยังมีงานด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า (กวางผา) เพื่อรักษากวางผาสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ในพื้นที่เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อยให้อยู่ในภาวะสมดุลและยั่งยืนต่อไป

“ผืนนา” มูลนิธิฯ ยังคงมุ่งเป้าหมายเพื่อพัฒนาให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีรายได้มั่นคง ยกระดับคุณภาพชีวิต และเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลได้ โดยร่วมกับภาคีทุกภาคส่วน ในการส่งเสริมเรื่องต่างๆ อาทิ เพิ่มองค์ความรู้ เกษตรมูลค่าสูง การจัดการและเทคโนโลยีด้านการเกษตร การแปรรูปเพิ่มมูลค่า การจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน สร้างผู้นำเกษตรรุ่นใหม่ การเชื่อมโยงตลาด การออมในรูปแบบธนาคารชุมชนและกลุ่มออมทรัพย์ชุมชน โดยมีเกษตรกรในโครงการแล้วกว่า 3,500 คน สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ 12.5 ล้านบาท ผ่านการดำเนินงาน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการเกษตรผสมผสานตามแนวพระราชดำริ จ.บุรีรัมย์ โครงการตามพระราชประสงค์หมู่บ้านสหกรณ์ โครงการห้วยองคต อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.กาญจนบุรี โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ จ.เพชรบุรี และโครงการสนับสนุนการพัฒนาร่วมกับภาคีเครือข่าย

โดยปีนี้มูลนิธิฯ ขยายขอบเขตงาน เพื่อมุ่งสู่ “มหานที” ผ่านโครงการพัฒนาอาชีพตำบลปากรอ ตามดำริ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ จ.สงขลา และขยายสู่โครงการทะเลสาบสงขลาโมเดล ด้วยเล็งเห็นความสำคัญของทรัพยากรทะเลสาบสงขลา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำใหญ่ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศ ครบคลุมพื้นที่ 5 ล้านไร่ ใน 3 จังหวัด ที่กำลังประสบปัญหา ทั้งปัญหาด้านภัยธรรมชาติ และปัญหาจากการกระทำของมนุษย์ จึงเกิดเป็นแผน 3 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การปกป้องฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสาบสงขลา การพัฒนาอาชีพ และยกระดับรายได้ชุมชน และการสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านมิติงานต่าง ๆ สำหรับด้านพัฒนาเด็กและเยาวชน ได้แก่ โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ยังคงมุ่งมั่นส่งต่อโภชนาการที่ดีแก่นักเรียนในพื้นที่ห่างไกล โดยปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมแล้วกว่า 935 โรงเรียน สามารถผลิตไข่ไก่เพื่อบริโภคและจำหน่ายได้ถึง 20 ล้านฟอง ที่นักเรียนได้รับโปรตีนจากไข่ไก่ที่สด สะอาด ปลอดภัยในทุกๆ วัน ซึ่งในปีนี้ยังมีการขยายพื้นที่สนับสนุนที่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ อ.แม่ระมาด และ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ซึ่งมีประชากรกว่า 10,000 คน มีฐานะยากจนและอยู่ในพื้นที่สูงทุรกันดาร โครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ฯ เพิ่มโอกาสทางการศึกษาแก่เด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะนักเรียนศิษย์เก่าโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน มาดูแลอยู่พักค้างหอพักในศูนย์ฝึกอาชีพเยาวชนเกษตร เพื่อบ่มเพาะให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีคุณธรรม รวมถึงการเสริมสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ โดยเฉพาะเรียนรู้ทักษะด้านธุรกิจเกษตร โดยในปีนี้ ยังคงดูแลเด็กนักเรียนทุนอย่างต่อเนื่องกว่า 100 คน ในปีการศึกษา 2565 โครงการศูนย์ฝึกอาชีพเยาวชนเกษตร เป็นพื้นที่ฝึกทักษะอาชีพให้นักเรียนทุนฯ นอกจากนี้ยังตั้งเป้าให้เด็กและเยาวชน เกษตรกร และผู้ที่สนใจเป็นสถานที่ศึกษา สถานที่ดูงาน ศูนย์สาธิตด้านการเกษตร และ โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม (เด็กกำพร้า) มูลนิธิเห็นความสำคัญของเด็กกำพร้าให้ได้รับความรักความอบอุ่น และความมั่นคงทางจิตใจจากครอบครัวอุปการะ สามารถเติบโตมีพัฒนาการที่สมวัย และได้รับการศึกษา ช่วยหล่อหลอมให้เติบโตเป็นคนดี เป็นพลเมืองดีของสังคมทั้งทางกายและจิตใจ

มูลนิธิฯ ยังรับนโยบายเรื่อง “ความกตัญญู” ผู้มีคุณต่อประเทศชาติ ของเครือซีพี ผ่านโครงการกตัญญูและศูนย์พัฒนาสุขภาพผู้สูงวัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่ยากลำบาก และเสริมสร้างค่านิยมความกตัญญูแก่พนักงานและชุมชน ทั้งยังสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุร่วมกับภาคีชุมชน อาสาสมัคร รวมถึงพนักงานเครือซีพี และสุดท้าย โครงการพัฒนาอาชีพด้านการบริบาล เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษา สร้างอาชีพบริบาลแก่เยาวชนที่สนใจ รองรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแลอย่างดูแลอย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยในปีนี้ จะดำเนินโครงการฯ ร่วมกับโรงเรียนการบริบาลจำนวน 6 แห่ง และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) ในการจัดหลักสูตรฝึกอบรม มีนักเรียนที่สนใจเข้าร่วมมากกว่า 100 คน

ตลอดระยะเวลาของการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาของมูลนิธิฯ ส่งผลเชิงบวกทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคมสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งยังคงมุ่งมั่นสานต่อโครงการต่างๆ เพื่อร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงและสามารถส่งมอบคุณค่าสู่สังคมไทย ทั้งในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็ก เยาวชน ชุมชนและเกษตรกร ตลอดจนสิ่งแวดล้อม ควบคู่กันอย่างยั่งยืน

gettgo So You คว้ารางวัล Most Innovative Health Insurance Initiative Thailand 2022

0
gettgo ตบเท้าเข้าร่วมรับรางวัล Most Innovative Health Insurance Initiative Thailand 2022 ในงาน The Global Economics Awards Ceremony จัดโดย The Global Economics นิตยสารการเงินชั้นนำชื่อดังจากสหราชอาณาจักร นับเป็นอีกหนึ่งรางวัลอันทรงเกียรติสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดภายใต้ gettgo กับความคุ้มครองสุขภาพ So You ประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่โดดเด่นด้วยการให้ลูกค้าออกแบบความคุ้มครองได้เอง (Customized) เปิดขายมากว่า 1 ปีเต็ม พร้อมการใช้นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อส่งมอบประสบการณ์การซื้อประกันที่ง่ายและดีที่สุดให้ลูกค้าทุกคน

นายวรวัฒน์ โรจน์รังษี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยโบรกเกอร์ จำกัด (gettgo) กล่าววา “1 ปีที่ผ่านมา So You พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความตั้งใจที่จะไม่หยุดพัฒนาระบบ และเลือกใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี AI เข้ามาปรับใช้ ส่งผลให้เราเจาะกลุ่มลูกค้าที่ชอบการ Customized ได้สำเร็จ และได้เข้าใจถึงความหลากหลายของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะเป็น โปรดักต์ที่ยังใหม่อยู่แต่เราเดินมาถูกทางแล้ว และขอขอบคุณทาง The Global Economics ที่มองเห็นความตั้งใจของ gettgo ในการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้าของเรา”

ความคุ้มครองสุขภาพ So You ชูจุดเด่น นำเทรนด์คัสต้อม “แมตช์ง่ายทุกไลฟ์สไตล์ จ่ายเท่าที่เลือก”
gettgo So You ชูกลยุทธ์ Customization ที่นอกจากจะซื้อออนไลน์ได้ง่าย ๆ และตรงตามความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงแล้ว ลูกค้ายังไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันในส่วนที่เกินความต้องการอีกด้วย นอกจากนี้ยังทำให้ลูกค้ารู้สึกสนุก มีส่วนร่วมต่อแผนประกัน และเกิดการบอกต่อบนโลกโซเชียลในที่สุด ส่งผลให้สามารถเก็บอินไซด์ของลูกค้าได้แม่นยำขึ้นเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไปในอนาคตได้อีกด้วย

ขั้นตอนการซื้อแผนประกัน ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและสะดวกที่สุด เพียง 4 ขั้นตอน ดังนี้

  1. เลือกปรับแต่งแผนประกัน – เพิ่ม / ลด ความคุ้มครองได้ตรงใจ
  2. ตอบคำถามสุขภาพ 3 ข้อ – ไม่ต้องตรวจสุขภาพ เพียงตอบคำถามสุขภาพง่ายๆ
  3. กรอกข้อมูลยืนยันตัวตน – กรอกข้อมูลเพียงไม่กี่ข้อ จากนั้นยืนยันตัวตนผ่าน eKYC ที่รับรองความปลอดภัยของข้อมูล
  4. ชำระเงิน – ซื้อสบาย จ่ายสะดวกผ่านบัตรเครดิต / เดบิต / สแกนจ่าย หรือโอนผ่านธนาคาร รอรับกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ (e-policy) ภายใน 2 วันทำการ (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)

นายวรวัฒน์ กล่าวว่า ทีมงาน gettgo ทุกคนทุ่มเทให้กับทุกขั้นตอนการซื้อเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการกรอกข้อมูลและยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน 1 ใบ เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่เรามุ่งมั่นพัฒนาและปรับปรุง จนปัจจุบันมีความแม่นยำและถูกต้องมากยิ่งขึ้น โดยใช้นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและ AI เข้ามาช่วยตรงนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าการถูกแอบอ้างจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของรางวัลแห่งความภาคภูมิใจของทีมงาน gettgo ทุกคน

gettgo ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของมูลส่วนตัวตามกฎหมาย PDPA จึงมั่นใจได้ว่าข้อมูลของลูกค้า gettgo ทุกคนมีความปลอดภัยอย่างแน่นอน

แพลตฟอร์มประกันของ gettgo ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาให้ดียิ่งกว่าเดิม ทั้งการใช้พละกำลังและความสามารถของทีมงานที่มี เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประวัติการซื้อ รีวิว คอมเมนต์ คำติชม หรือการพูดถึงแบรนด์ในแง่ใดก็ตามบนโลกโซเชียล เพื่อนำมาประกอบการสร้าง ปรับปรุง พัฒนาผลิตภัณฑ์และเว็บไซต์อยู่ตลอดเวลา ให้คุ้มค่ากับความไว้วางใจที่ลูกค้ามอบให้เราและยังคงยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางเช่นเดิม

ผู้สนใจอยากลองคัสต้อมความคุ้มครองสุขภาพ So You ในยุคที่แม้แต่ประกันสุขภาพก็ซื้อออนไลน์ได้ง่าย ๆ แล้ว ก็สามารถเข้าไปลองเลือกประกันสุขภาพได้แล้ววันนี้ที่ https://s.gettgo.com/SoYou