Home Blog Page 108

OR เปิดรับสมัครเยาวชน ร่วมโครงการ OR Together Camp เรียนรู้ทักษะการทำคอนเทนต์

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR จัดกิจกรรม OR Together Camp ภายใต้แนวคิด How to be a Content Creator เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและให้ความรู้ให้กับเยาวชนที่มีใจรักในการทำ Content ได้มาฝึกฝนทักษะ สร้างไอเดีย และลงมือผลิต Online Content ให้มีความน่าสนใจและโดดเด่นยิ่งขึ้น โดย OR เปิดรับสมัครและขอเชิญชวนเยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 15-20 ปี ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมระหว่างวันที่ 17-18 ธันวาคม 2565 ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค กรุงเทพฯ

ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้พบกับแขกรับเชิญพิเศษที่จะมาให้ความรู้ด้านเทคนิคการถ่ายทำContent พร้อมถ่ายถอดแนวคิดและประสบการณ์ให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน ได้แก่ คุณโค้ดดี้ อรรถพล โพธิ์หาญรัตนกุล ผู้ก่อตั้ง บริษัทกู๊ดดีล เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด และ ผู้ผลิตรายการ Online ชื่อดัง “เสือร้องไห้” พร้อมด้วย Content Creator ชื่อดังอีก 2 ท่าน ที่จะมาร่วมแชร์ประสบการณ์การทำ Content สุดปังภายในงาน ไม่ว่าจะเป็น คุณภูมิ นวสิทธิโสภณ ผู้ร่วมก่อตั้งเพจ Sneak out หนีเที่ยว และ คุณต่อ สิทธิชัย รักพินิจ ผู้ก่อตั้งเพจ “เด็กเซาะกราว” ซึ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะสามารถนำความรู้ได้รับไปใช้เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัว รวมทั้งจะได้เข้าร่วมกิจกรรมสุดพิเศษภายในงานนั่นคือ การแข่งขันแสดงไอเดียผลิต Online Content ในหัวข้อ “OR Lively community” เพื่อร่วมชิงเงินรางวัลมูลค่ากว่า 50,000 บาท อีกด้วย

ผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ OR Together Camp สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2565 โดยรับสมัครทีมละ 2-4 คน และต้องเป็นผู้สมัครที่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ตลอดระยะเวลาการจัดงาน ประกาศผลผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรม 2 ธันวาคม 2565 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการ สามารถติดตามเงื่อนไขการรับสมัครเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3g31Z7s รวมทั้งช่องทาง Facebook OR Official

AIS โชว์แกร่ง ไตรมาส 3 รายได้พุ่ง 4.6 หมื่นล. ลูกค้าเพิ่มทั้งมือถือและเน็ตบ้าน

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 ของปี 2565 ว่า AIS ทำรายได้รวมอยู่ที่ 46,234 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ด้านฐานผู้ใช้บริการ 5G เติบโตกว่า 41% จากไตรมาสก่อน รวมมากกว่า 5.5 ล้านราย ในฝั่งของธุรกิจ AIS Fibre ยังมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งมีฐานลูกค้ารวมแตะที่ 2.1 ล้านราย ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยบวกมาจากการคลี่คลายของสถานการณ์โควิด-19 และมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ก็ยังคงมีปัจจัยลบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามด้วยความต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่เพิ่มสูงขึ้น AIS ได้พัฒนาและขยายโครงข่าย 5G ด้วยการติดตั้งสถานีฐานที่ใช้งานบนคลื่นความถี่ต่ำและคลื่นความถี่สูงทั่วประเทศ ทำให้การให้บริการ 5G มีความครอบคลุมสูงสุดเป็นอันดับ 1 ที่ 85% ของพื้นที่ประชากร ซึ่งเป็นไปตามแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วยงบ 30,000 ล้านบาท รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งการใช้งานทั่วไปและการใช้งานด้านธุรกิจ เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีของประเทศให้มีความแข็งแกร่ง ภายใต้วิสัยทัศน์การเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co

  “ในไตรมาสที่ผ่านมาเราเผชิญกับความท้าทายหลายอย่างทั้งภาวะต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เราต้องเพิ่มการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หรือแม้แต่สถานการณ์ของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวภาคธุรกิจ และอารมณ์ของผู้บริโภคก็ยังไม่ได้กลับมาอยู่ในจุดที่จะเป็นแรงขับเพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเรายังเห็นสัญญาณบวกจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรายได้หลักของประเทศที่วันนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับกิจกรรมต่างๆ ภายในประเทศเริ่มกลับมาคึกคักภาครัฐ ภาคธุรกิจเริ่มกลับมาจัดงานอีเว้นต่างๆ ก็น่าจะเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวกลับมาได้”

สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 รายได้รวมอยู่ที่ 46,234 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2.1% กับไตรมาสก่อน โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อม (EBITDA) ในไตรมาสนี้ที่ 22,091 ล้านบาท ลดลง -3.5% จากปีก่อน และ -1.2% เทียบกับไตรมาสก่อน โดยอัตรา EBITDA Margin ยังคงแข็งแกร่งที่ 48% ในส่วนของกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2565 อยู่ที่ 6,032 ล้านบาท ลดลง -5.4% เทียบกับปีก่อนและ   -4.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีผลการดำเนินงานแยกตามรายธุรกิจดังนี้

  • ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ รายได้กลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ AIS ลดลง -0.3% เทียบกับปีก่อน และลดลง -0.4% จากไตรมาสก่อน ด้านจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นสุทธิ 157,300 เลขหมายในไตรมาสนี้ โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการแบบรายเดือนที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้ปัจจุบันมีจำนวนลูกค้าโทรศัพท์มือถือรวมที่ 45.7 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็นลูกค้าระบบเติมเงิน 33.3 ล้านเลขหมาย และระบบรายเดือน 12.4 ล้านเลขหมาย ทางด้านการให้บริการ 5G AIS มีผู้ใช้บริการรวมทั้งสิ้นแล้วมากกว่า 5.5 ล้านราย  เพิ่มขึ้นกว่า 41% จากไตรมาสก่อน จากการพัฒนาและขยายโครงข่าย 5G ด้วยการติดตั้งสถานีฐานที่ใช้งานบนคลื่นความถี่ต่ำและคลื่นความถี่สูงทั่วประเทศ ทำให้ AIS เป็นผู้ให้บริการโครงข่าย 5G ที่สามารถให้บริการครอบคลุมแล้วกว่า 85% ของพื้นที่ประชากร มากที่สุดเป็นอันดับ 1  
  • ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง AIS Fibre ยังคงทำผลงานได้อย่างโดดเด่น และยกระดับการแข่งขันด้วยมาตรฐานการให้บริการด้วยทีมที่พร้อมดูแลและอยู่เคียงข้างแก้ไขปัญหาตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่สู่ตลาด ด้วยอุปกรณ์ส่งสัญญาณ High Performance รองรับการใช้งานที่ความเร็วแรงระดับ 2Gbps พร้อมนำ AI มาปรับใช้ร่วมกับอุปกรณ์ส่งสัญญาณเพื่อเสริมศักยภาพในการส่งสัญญาณ Wi-Fi อัจฉริยะ ที่สามารถจัดสรรการใช้งานให้สอดรับกับพฤติกรรมหลากหลายของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ AIS Fibre เติบโต 16% เทียบกับปีก่อน และ 2.2% ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน มีจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นกว่า 114,500 ราย ทำให้มีฐานลูกค้ารวมกว่า 2.1 ล้านราย
  • ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร มีการเติบโต 17% เทียบกับปีก่อนโดยยังคงมีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนและเติบโตเคียงข้างภาคธุรกิจไทยให้แข็งแกร่งผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้พร้อมทรานส์ฟอร์มองค์กรด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ผ่านโซลูชันเครื่องมือดิจิทัลที่ตอบโจทย์ ทั้ง AIS 5G NEXTGen Platform สำหรับการพัฒนา 5G Use Cases แห่งแรกในประเทศไทย การรุกตลาดบริการ Cloud Security ระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์เต็มรูปแบบสำหรับองค์กรภาคธุรกิจ ด้วยเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกจากการทำงานร่วมกับ Cisco รวมถึงยังเปิดตัว AIS Cloud X ระบบนิเวศคลาวด์อัจฉริยะที่เป็นการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอีกด้วย นอกจากนี้ยังหนุนภาคธุรกิจไทยใช้ดิจิทัลทรานส์ฟอร์มองค์กรด้วย มาร์เก็ตเพลสซอฟต์แวร์ รายแรกในไทยกับ AIS Biz App Mart ด้วยการนำเสนอโซลูชันและเครื่องมือทางธุรกิจที่ดีที่สุดจากไมโครซอฟท์ โดยทั้งหมดก็ยังคงเป้าหมายเดินหน้าทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ทุกอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความสมบูรณ์ของ 5G Ecosystem ให้กับภาคธุรกิจไทยในอนาคต

“ในไตรมาสนี้ AIS ยังคงทำผลงานออกมาเป็นที่น่าพอใจ ภายใต้แรงกดดันจากสภาพแวดล้อมทางการแข่งขันและความท้าทายมากมาย เราเชื่อว่าหัวใจสำคัญของการจะเป็น Cognitive Tech-Co ตามวิสัยทัศน์ขององค์กรได้นั้น ต้องอาศัยพลังและความมุ่งมั่นของพวกเรา เพื่อทำให้โครงข่ายอัจฉริยะถูกพัฒนาสู่บริการดิจิทัลที่จะเชื่อมต่อการเติบโตสู่โลกอนาคตได้อย่างสมบูรณ์

นายสมชัย กล่าวตอนท้ายว่า  AIS ในฐานะผู้นำด้านการให้บริการโครงข่ายดิจิทัล นอกเหนือจากการทำงานเพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการแล้ว เรายังมีหน้าที่สำคัญในการทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศมีความแข็งแกร่ง ทำให้เราเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วยงบประมาณ 30,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพโครงข่าย และขยายความครอบคลุมของการให้บริการ รองรับความต้องการการใช้งาน ทั้งสำหรับลูกค้าทั่วไป และการใช้งานในองค์กร

เครือข่ายสิงห์อาสา ลงพื้นที่สิงห์บุรี บิ๊กคลีนนิ่งโรงเรียนหลังน้ำลด ก่อนเปิดเรียน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สิงห์อาสา ร่วมกับ สมาคมกู้ภัยจังหวัดสิงห์บุรี, เครือข่ายนักศึกษาสิงห์อาสา วิทยาลัยเทคนิคสิงห์บุรี, วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสิงห์บุรี พร้อมด้วย บริษัท บุญรอดเอเซียเบเวอเรช จำกัด ลงพื้นที่ทำความสะอาด ฟื้นฟูอาคารเรียนและสภาพแวดล้อมบริเวณโรงเรียนหลังน้ำลด ที่โรงเรียนวัดเตย อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี หลังจากเกิดน้ำท่วมในพื้นที่เมื่อช่วงเดือนต.ค. ได้สร้างความดือดร้อนให้กับชาวบ้านรวมถึงส่งผลกระทบต่อการเรียนของเด็กนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล-ม.3 เนื่องจากมีน้ำท่วมสูงประมาณ 1 เมตร และท่วมนานกว่า 1 เดือน เส้นทางและอาคารเรียนไม่สามารถใช้ได้ ทำให้ต้องปิดการเรียนการสอนเป็นเวลานาน ช่วงที่น้ำท่วมนักเรียนก็จะเรียนผ่านระบบ On Hand แจกเอกสารให้นักเรียนตามบ้านได้เรียนกัน เพราะบางคนยังไม่มีเครื่องมือสื่อสารที่จะเรียนผ่านระบบ Online โดยกิจกรรมในครั้งนี้เครือข่ายสิงห์อาสาได้ร่วมกับนักเรียนและชาวบ้านในพื้นที่ช่วยกันฟื้นฟูพื้นที่ดังกล่าว โดยสูบน้ำออกจากบริเวณอาคารเรียน เก็บเศษซากขยะ ขัดห้อง ขนย้ายอุปกรณ์การเรียนจากที่สูง เพื่อเตรียมพร้อมกับภาคเรียนที่ 2 ก่อนที่จะเปิดภาคเรียนในสัปดาห์ถัดไป

ทั้งนี้ จากสถานการณ์น้ำท่วมในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในหลายจังหวัด ทุกภูมิภาคของประเทศไทย สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนจำนวนมาก โดยที่ผ่านมา สิงห์อาสาได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง มีการจัดตั้งศูนย์สนับสนุนกู้ภัยน้ำท่วมภาคกลาง เปิดคลังน้ำดื่ม ประสานกู้ภัยทั่วอีสานเร่งช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยพายุโนรู จัดรถโฟวิลยกสูง นำเจ้าหน้าที่พยาบาลเข้าพื้นที่น้ำท่วมนำยารักษาโรคและปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถเดินทางออกไปรักษาได้ รวมถึงพาผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุออกจากพื้นที่น้ำท่วมเพื่อเดินทางไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอีกด้วย เพื่อบรรเทาทุกข์ของพี่น้องประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทันสถานการณ์

ซีพีเอฟ ยึดหลัก One Health มุ่งเน้นสวัสดิภาพสัตว์ สร้างอาหารปลอดภัยตั้งแต่ฟาร์มสู่จาน

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญสูงสุดในการผลิตอาหารปลอดภัย ควบคู่กับการดูแลสวัสดิภาพสัตว์และสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค สอดคล้องกับมาตรฐานสากลตามแนวทางการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน

 นสพ.พยุงศักดิ์ สมยานนทนากุล

      นสพ.พยุงศักดิ์ สมยานนทนากุล รองกรรมการผู้จัดการ ด้านมาตรฐานฟาร์มและข้อกำหนดลูกค้า ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความปลอดภัยด้านอาหาร และคำนึงถึงสวัสดิภาพของสัตว์ก่อนนำมาเป็นวัตถุดิบอาหาร รวมทั้งหลักสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) คือ “สุขภาพคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม” ซีพีเอฟ ผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ยึดมั่นในหลักสวัสดิภาพสัตว์ นำหลักอิสรภาพสัตว์ 5 ประการ (Five Freedoms of Animals) มาตรฐานสากลที่ทั่วโลกยอมรับ มาเป็นหลักปฏิบัติในการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม ทั้งไก่เนื้อ ไก่ไข่ เป็ด สุกร และสัตว์น้ำ อย่างเคร่งครัด โดยดูแลคุ้มกันไม่ให้เกิดความรู้สึกกลัวและอยู่ในภาวะเครียด ให้สัตว์อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เติบโตอย่างเหมาะสม ได้รับอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ สามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติอย่างอิสระ ควบคู่การเลี้ยงสัตว์ในโรงเรือนระบบปิดที่มีการบริหารจัดการฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีทันสมัย พร้อมยกระดับการป้องกันและควบคุมโรคตามมาตรฐานสากล ส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตและสุขภาพที่ดีของสัตว์ ทำให้ได้เนื้อสัตว์ปลอดภัย

      “ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหาร และผลิตอาหารปลอดภัยตลอดห่วงโซ่การผลิต ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่าจะได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่มีส่วนสำคัญยิ่งในการผลักดันความมุ่งมั่นดังกล่าว บริษัทฯ มีการวัดผลการส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ (Welfare Outcome Measures : WOMs) ทั้งในประเทศไทยและกิจการต่างประเทศ เพื่อประเมินว่าสัตว์ได้รับสวัสดิภาพสัตว์ขั้นสูง โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยหลัก ทั้งอัตราการเลี้ยงรอด อัตราการเติบโต อัตราการสูญเสีย ปริมาณและคุณภาพซาก การแสดงออกพฤติกรรมทางธรรมชาติ ซึ่งสัตว์ที่ได้รับสวัสดิภาพขั้นสูงจะสัมพันธ์กับลักษณะทางกายภาพ อารมณ์ และพฤติกรรมที่ดี ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ เพื่อส่งมอบอาหารปลอดภัยและดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค” น.สพ.พยุงศักดิ์ กล่าว

      สำหรับ ฟาร์มไก่เนื้อ บริษัทฯ ริเริ่มใช้หลักสวัสดิภาพสัตว์ในการเลี้ยงไก่เนื้อมานานกว่า 33 ปี นับตั้งแต่ปี 2532 โดยการเลี้ยงไก่เนื้อแบบปล่อยอิสระไม่ขังกรง (Cage free) นำเทคโนโลยีโรงเรือนระบบปิดปรับอากาศด้วยการระเหยของน้ำ หรือ โรงเรือนระบบอีแวป (EVAP : Evaporative Cooling System) และอุปกรณ์อัตโนมัติมาใช้เป็นรายแรกสำหรับธุรกิจไก่เนื้อครบวงจร ในภูมิภาคอาเซียน ช่วยให้ไก่มีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย พร้อมทั้งเดินหน้าใช้เทคโนโลยี Smart Farm มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์มไก่เนื้อ ด้วยการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ ระบบอัตโนมัติในการประมวลผลข้อมูลในฟาร์ม ช่วยควบคุมการจัดการฟาร์ม เพื่อให้ไก่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีและเหมาะสมตลอดการเลี้ยง อีกทั้งสร้างเสริมให้ไก่มีความสุขด้านจิตใจ จากการแสดงออกพฤติกรรมธรรมชาติ มีการเสริมสภาพแวดล้อมทางกายภาพไว้ในโรงเรือน ด้วยลูกบอลสำหรับจิกเล่น และมีถุงบรรจุแกลบวางไว้ให้ไก่ได้ปีนป่าย

      นอกจากนี้ ยังนำนวัตกรรมโปรไบโอติก (Probiotics) มาใช้ในอาหารสัตว์ ช่วยปรับสมดุลในลำไส้ไก่ เป็นการเสริมภูมิคุ้มกันให้สัตว์แข็งแรงตามธรรมชาติ มีสุขภาพดี รวมถึงไม่มีการใช้ฮอร์โมนเพื่อเร่งการเจริญเติบโตตลอดการเลี้ยง ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟยังเป็นภาคเอกชนไทยรายแรกนอกเขตสหภาพยุโรปที่ได้รับรองมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ ACP (Assured Chicken Production) ของประเทศอังกฤษ ทำให้ไก่ไทย ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก อย่างในสหภาพยุโรป อังกฤษ เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ล่าสุด สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย และซาอุดีอาระเบีย ได้เปิดตลาดรับไก่เนื้อจากไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

      ขณะเดียวกัน ธุรกิจไก่เนื้อ เลี้ยงไก่โดยไม่ตัดจะงอยปาก (No Breaking Trimming) 100% นอกจากนี้ ยังมีไก่ไข่ที่เลี้ยงแบบปล่อยอิสระ (cage-free farm) ในโรงเรือนระบบปิด ซึ่งเป็นการเลี้ยงตามแนวทาง Biosecurity Hi-Tech Farming

      ในส่วนของ ธุรกิจสุกร มีการเลี้ยงสุกรตามหลัก 3’Ts (No Testicles, No Teeth Clipping and No Tail Docking) ทั้งกิจการในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยกิจการในสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ยกเลิกการตัด/กรอฟันลูกสุกรแล้ว 100% ตั้งแต่ปี 2562 ขณะที่กิจการในไทยได้ยกเลิกการตัดใบหูลูกสุกรไปแล้วกว่า 69% ของลูกสุกรทั้งหมด

      สำหรับธุรกิจสัตว์น้ำ ยกตัวอย่างการเลี้ยงแม่พันธุ์กุ้ง ซีพีเอฟใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีชีวภาพทดแทนในธุรกิจเพาะฟักและอนุบาลลูกกุ้ง ทำให้แม่พันธุ์กุ้งสามารถสร้างและวางไข่ได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องตัดก้านตา (Female Non Eyestalk Ablation) เป็นต้น

MQDC ดัน ‘ดีทีจีโอ พรอสเพอร์รัส (DTP)’ ลุยตปท. ก้าวสู่บริษัทด้านการลงทุนระดับโลก

บริษัท ดีทีจีโอ พรอสเพอร์รัส (DTP) ในเครือ บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ซึ่งอยู่ในบริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (DTGO) ประกาศแผนการลงทุนและระดมทุนในทรัพย์สินที่มีคุณภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้น 4 กลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโต ทั้งในด้านการลงทุน บริหารสินทรัพย์ กองทุน และการลงทุนในธุรกิจเชิงนวัตกรรม ผ่าน 3 กลยุทธ์การลงทุน มุ่งมั่นก้าวสู่บริษัทด้านการลงทุนระดับโลก เพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม และสานต่อวิสัยทัศน์ในการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

หรรสา สุสายัณห์ ประธานกรรมการ DTP

นายหรรสา สุสายัณห์ ประธานกรรมการ DTP เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายเป็นบริษัทด้านการลงทุนระดับสากล ด้วยการลงทุนและระดมทุนทั่วโลก พุ่งเป้าไปที่ทรัพย์สิน และ อสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพและก่อให้เกิดรายได้อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการลงทุนเชิงนวัตกรรม เพื่อการขยายฐานการลงทุนที่หลากหลาย สอดคล้องกับพันธกิจของกลุ่ม DTGO ที่ต้องการทำธุรกิจเพื่อดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ DTP จัดตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นบริษัทด้านการลงทุนและระดมทุนของกลุ่ม DTGO เพื่อสนับสนุนเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจเพื่อดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนของกลุ่ม DTGO ที่ได้กำหนดเป็นนโยบายให้มีการจัดสรรงบ 2% ของรายได้ เพื่อใช้ในการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอดโดยปัจจุบัน DTP วางโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

  • Global Investment การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพจากทั่วโลก โดยในปี 2019 ได้เข้าซื้อกิจการโรงแรมในประเทศอังกฤษ จำนวน 17 แห่ง และมีห้องพักทั้งหมดรวมกันประมาณ 3,383 ห้อง บริหารภายใต้เครือโรงแรมชั้นนำในระดับสากล อาทิ Hilton IHG และ Marriott ปัจจุบันมีมูลค่าเติบโตขึ้นและเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุน
  • Assets Management การบริหารสินทรัพย์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่เฉพาะกิจการ แต่รวมถึงพนักงาน ชุมชนและสังคมโดยรอบ เช่น การบริหารโรงแรม 17 แห่งที่ประเทศอังกฤษ เริ่มตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด พอเกิดโควิดบริษัทยังคงดูแลพนักงานจำนวน 1,200 คน โดยไม่มีการปลดออก รวมถึงได้พัฒนาใช้แก๊สในการผลิตไฟฟ้า เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมพร้อมกับลดต้นทุนด้านพลังงาน ส่งผลให้มีผลประกอบการและกำไรที่ดีเมื่อกลับมาเปิดดำเนินธุรกิจอีกครั้งหลังโควิด
  • Funds Management การระดมทุนในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อหาโอกาสและสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในอนาคต ในรูปแบบ Private Equity สินทรัพย์คุณภาพที่มีอยู่เป็นจำนวนมากทั่วโลก และล่าสุดได้เปิดตัว “กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่า ดีทีพี ฮอสพิทอลลิตี้ ที่มีข้อตกลงในการซื้อคืน” หรือ DTPHREIT มูลค่าโครงการ 4,107 ล้านบาท ของโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ (Waldorf Astoria Bangkok) และ โรงแรมยู เขาใหญ่ (U Khao Yai) เป็นต้น
  • VC & Innovative Investment การลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ความเป็นอยู่ที่ดีของทุกชีวิต (For All Well-Being) โดยที่ผ่านมามีการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพทางด้านเทคโนโลยี เช่น REDDS Technology Fund, การพัฒนานวัตกรรมชะลอวัย (Reverse Aging) และ MIND AI รวมทั้งธุรกิจที่มีศักยภาพด้านอื่นๆ ซึ่งถือเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อรองรับแนวโน้มของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป (Long-Term Investment)
ฐิติ ทองเบญจมาศ ประธานอำนวยการ DTP

นายฐิติ ทองเบญจมาศ ประธานอำนวยการ DTP กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการลงทุนทั้ง 4 กลุ่มในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน โดยในช่วง 2 ปีข้างหน้า บริษัทจะมองหาโอกาสการลงทุนจากอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพจากทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเติบโตทั้งในยุโรป อเมริกา เอเชีย รวมถึงตะวันออกกลาง ซึ่งมีความน่าสนใจในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านนวัตกรรมการเงิน รวมทั้งในประเทศไทยยังมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับกลยุทธ์ด้านการลงทุนของ DTP ให้ความสำคัญใน 3 ด้านหลัก คือ 1. Business Synergy หรือการลงทุนที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม ต่อยอดทางธุรกิจ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่ม DTGO ได้ 2. Monetization เป็นการลงทุนในทรัพย์สินที่สามารถพัฒนาให้เติบโต ขายเพื่อเพิ่มรายได้ หรือสามารถนำไประดมทุนผ่านกองทุนฯ หรือเครื่องมือการเงินต่างๆ ได้ เพื่อนำเงินกลับมา สร้างโอกาสในการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง (Re-Investment Opportunity) 3. Risk Diversification ต้องเป็นการลงทุนที่ช่วยกระจายความเสี่ยง ทั้งในประเภททรัพย์สินที่เข้าไปลงทุน มีการกระจายโลเคชั่นเข้าไปในพื้นที่ที่มีศักยภาพต่างๆ ของโลก รวมทั้งกระจายความเสี่ยงด้าน financial risk อีกด้วย

“เราเน้นการบริหารธุรกิจแบบ Asset Light ลดการถือครองสินทรัพย์โดยหาพันธมิตรที่มีความสนใจในเรื่องสังคมและสิ่งแวดล้อมเข้ามาเป็นผู้ร่วมลงทุน เพื่อให้เราสามารถบริหารธุรกิจแบบตัวเบา เน้นการเข้าไปช่วยสนับสนุนด้านการบริหาร การช่วยเหลือสังคมในทุกๆ ที่ที่เราเข้าไปลงทุนตามพันธกิจของกลุ่ม DGTO ที่ต้องการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อให้ความสำคัญกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง” นายฐิติกล่าว

“ภูริต” นายกเอ็กซ์ตรีม เปิดรายการแข่งเวคบอร์ด-เวคสเก็ต ชิงแชมป์โลก 2022 ครั้งแรกในไทย

“ภูริต ภิรมย์ภักดี” นายกสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย เป็นประธานเปิด เวคบอร์ด-เวคสเก็ต ชิงแชมป์โลก 2022 รายการเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยมีนักกีฬาจาก 32 ประเทศ 300 ชีวิต ร่วมชิงชัย พร้อมเผยได้การตอบรับจากเหล่านักกีฬาทั่วโลกเป็นอย่างดี ขณะที่ นักกีฬาไทย ก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ชี้ “เมืองไทย” จัดแข่งกีฬาอะไร ใครๆ ก็อยากมาเยือน ยืนยันพร้อมดึงรายการระดับโลกมาจัดอีก แถมเล็ง “โค้ชฝีมือดี” มาสร้างนักกีฬาเอ็กซ์ตรีมไทยในประภทต่างๆ เพื่อพัฒนาไปสู่ระดับโลกต่อไป ด้านการแข่งขัน “พิรัฐพงศ์ กิตติวีระภัค” นักเวคบอร์ดหนุ่มไทย โชว์ลีลาสุดสะเด่า คว้าแชมป์กลุ่ม เวคบอร์ด รุ่นมาสเตอร์ ชาย (อายุมากกว่า 30 ปี) ตีตั๋วเข้ารอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ

การแข่งขันเวคบอร์ด-เวคสเก็ต ชิงแชมป์โลก 2022 รายการ “Singha IWWF World Cable Wakeboard and Wakeskate Championships 2022” ซึ่งสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย ได้รับเกียรติจากสหพันธ์วอเตอร์สกีและเวคบอร์ดนานาชาติ (International Waterski & Wakebord Federation) หรือ IWWF ให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น, การกีฬาแห่งประเทศไทย และกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ จัดแข่งขันที่สนามเอส ไทย เวคปาร์ค (ESC Thai wake park) อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม-6 พฤศจิกายน 2565 มีนักกีฬาเวคบอร์ดและเวคสเก็ตระดับโลก และนักกีฬาทีมชาติไทย รวม 32 ประเทศ เข้าร่วมอย่างคับคั่งกว่า 300 คน

ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจาก นายภูริต ภิรมย์ภักดี นายกสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย มร.โฆเซ อันโตนิโอ เปเรซ ประธานสหพันธ์เวคบอร์ดนานาชาติชาวสเปน พร้อมคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ และนักกีฬาจากทุกชาติเข้าร่วมในพิธี

นายภูริต ภิรมย์ภักดี นายกสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ได้จัดรายการแข่งเวคบอร์ด-เวคสเก็ตระดับโลก มีนักกีฬาเข้ามาร่วมถึง 300 คน ถือว่าเป็นการตอบรับที่ดีมากๆ นอกจากนี้ ตนกำลังคุยกับทางสเก็ตบอร์ดและอินไลน์สเก็ต เพื่อจัดการแข่งขันรายการใหญ่ๆ ในไทย

ส่วนผลการแข่งขันในวันที่ 2 นั้น ยังคงเป็นการแข่งขันในรอบคัดเลือก เพื่อคัดเอานักกีฬาที่ได้อันดับ 1 ของกลุ่ม ในแต่ละรุ่นของแต่ละประเภท เข้าไปแข่งขันในรอบรองชนะเลิศ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ต่อด้วยรอบชิงชนะเลิศ ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ต่อไป

ไฮไลต์ที่น่าสนใจของนักเวคบอร์ดและเวคสเก็ตทีมชาติไทย อยู่ที่ประเภทเวคบอร์ด รุ่นมาสเตอร์ ชาย (อายุมากกว่า 30 ปี) กลุ่ม C ปรากฏว่า พิรัฐพงศ์ กิตติวีระภัค โชว์ลีลาได้อย่างสุดยอด เก็บคะแนนไป 60.00 คะแนน คว้าแชมป์กลุ่ม พร้อมกับผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ได้สำเร็จ ขณะที่ ศุภนัฐ อนุภาพภันธ์ คว้าอันดับ 2 ทำได้ 52.67 คะแนน ต้องไปลุ้นคว้าตั๋วเข้ารอบรองชนะเลิศ อีกครั้ง ในการแข่งขันรอบคัดเลือกครั้งสุดท้าย หรือ LCQ (last change qualify) ส่วนรุ่นมาสเตอร์ หญิง (อายุมากกว่า 30 ปี) อันดับ ได้แก่ แม็กซิน ซาพูเลตต์ จากเนเธอร์แลนด์ ทำได้ 77.00 คะแนน ส่วน ศีรสินธุ์ ขำกล่อม ทำได้ 45.33 คะแนน จบอันดับ 3 ยังต้องไปลุ้นในรอบ LCQ

ส่วนผลรุ่นอื่นๆ ของนักกีฬาไทย ที่น่าสนใจ มีดังนี้ ประเภทเวคบอร์ด รุ่นอาวุโส ชาย (อายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไป) กลุ่ม A อันดับ 1 ได้แก่ ซาเวียร์ ลาโครซ์ จากฝรั่งเศส ทำได้ 54.33 คะแนน ส่วน ศุภกฤษ มะลิแย้ม คว้าอันดับ 4 ทำได้ 35.00 คะแนน ต้องไปลุ้นในรอบ LCQ

รุ่นอาวุโส หญิง (อายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไป) อันดับ 1 ได้แก่ เอลซเบียตา นิตส์เซอร์ จากโปแลนด์ ทำได้ 55.33 คะแนน ส่วน ธัญชนก การสมมุติ ทำได้ 44.67 คะแนน ได้อันดับ 2 และ อนงนาฏ นาคปาน ได้อันดับ 4 ทำได้ 25.00 คะแนน โดยทั้งคู่ยังได้ลุ้นในรอบ LCQ

รุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี หญิง คัดเอาอันดับ 1-2 เข้ารอบรองชนะเลิศ กลุ่ม A อันดับ 1 ได้แก่ นิโคเล เรกัซโซ จากอิตาลี ทำได้ 73.67 คะแนน อันดับ 2 ได้แก่ วาเนสซา ทิททาเรลลี จากอิตาลี ทำได้ 68.00 คะแนนส่วน จัสมิน โนแลน จบอันดับ 5 ทำได้ 56.00 คะแนน ส่วนกลุ่ม C อันดับ 1 ได้แก่ ไลลา ชิลลิง จากฝรั่งเศส ทำได้ 73.67 คะแนน อันดับ 2 มาเรียลลา เฟลมเม จากออสเตรีย ทำได้ 64.33 คะแนน และ ศิรประภา สีตวาริน จบอันดับ 5 ทำได้ 34.00 คะแนน โดยจัสมินและศิรประภา ยังได้แก้ตัวในรอบ LCQ.

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ ตอน “อยากช่วยคนอื่น แต่ตัวเองก็ไม่ไหว ถือว่าเห็นแก่ตัวไหม”

พระราชวัชรบัณฑิต (ประนอม ธมฺมาลงฺกาโร) เจ้าอาวาสวัดจากแดง

กูรูกู้ใจ บอกว่า ถ้าสุดวิสัยที่เราจะช่วยได้ ก็ต้องวางอุเบกขาวางใจเป็นกลาง เค้าสร้างเหตุมาแบบนี้จึงได้รับผลแบบนี้

เราช่วยไม่ได้ เราก็มองด้วยใจกรุณาสงสาร ไม่ซ้ำเติมก็พอแล้ว

ติดตามรายการ #รู้ทันปากท้อง กับ #ตลาดหลักทรัพย์ ได้ที่ LINE “SET ทั่วไทย” กดเพิ่มเพื่อน https://lin.ee/8XMjNPQ

ซีพีเอฟ เดินหน้าคลายทุกข์ประชาชน 28 จังหวัดทั่วไทย เร่ง “ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม” ต่อเนื่อง

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เร่งช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม 28 จังหวัด ล่าสุด ชาวซีพีเอฟจิตอาสาเดินหน้ามอบอาหารและน้ำดื่ม ภายใต้โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม” ช่วยคลายทุกข์ชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นนทบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท อ่างทาง ร้อยเอ็ด และศรีสะเกษ อย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วย พลตำรวจโทจิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 รับมอบไข่ไก่สดซีพี ปลอดสาร ปลอดภัย จำนวน 10,000 ฟอง เพื่อสนับสนุนภารกิจของตำรวจภูธรภาค 1 ที่จะนำไปบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมใน 4 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี อ่างทอง และสิงห์บุรี อย่างทั่วถึง โดยมี นายสัมฤทธิ์ แสงลอย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธุรกิจผลิตไก่รุ่น ไก่ไข่ ภาคกลาง พร้อมทีมงานจิตอาสา ร่วมกันส่งมอบ ณ กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พลตำรวจโทจิรพัฒน์ ภูมิจิตร กล่าวว่า ไข่ไก่สดซีพีที่รับมอบในครั้งนี้ จะส่งต่อไปยัง ตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยา ตำรวจภูธรนนทบุรี ตำรวจภูธรอ่างทอง และตำรวจภูธรสิงห์บุรี เพื่อให้ข้าราชการฝ่ายปกครองและตำรวจ มอบให้ประชาชนทั้ง 4 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากพายุโนรู จนทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นท่วมบ้านเรือนประชาชนในจังหวัดดังกล่าว ขอขอบคุณซีพีเอฟที่เร่งให้ความช่วยเหลือคนไทยสู้วิกฤตนี้มาโดยตลอด ในเวลาที่พี่น้องกำลังเดือดร้อนและต้องการอาหารการกิน ไข่ไก่เป็นเรื่องสำคัญเพราะสามารถปรุงสดได้ทันที ในยามที่คนไทยยากลำบาก ข้าราชการต้องลงไปช่วยและเป็นสะพานเชื่อมให้ภาคเอกชนอย่าง ซีพีเอฟ มาร่วมด้วยช่วยกัน

ด้านจังหวัดร้อยเอ็ด ที่บ้านคุยค้อ ตำบลดินดำ อำเภอจังหาร ยังคงมีพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณฝนที่ตกลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แม่น้ำชีล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรมของประชาชน นายอัมพร อัมพรพุทธิสกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ มอบหมายให้ผู้บริหารและทีมงานศูนย์ตัดแต่งและแปรรูปสุกรแปดริ้ว ฉะเชิงเทรา ลงพื้นที่ช่วยเหลือและมอบผลิตภัณฑ์เนื้อหมูพร้อมปรุง 750 กิโลกรัม ให้กับชาวบ้านคุยค้อ 211 ครัวเรือน จากระดับน้ำท่วมสูงถึง 2 เมตร อีกทั้งยังมีครอบครัวพนักงานที่อาศัยในพื้นที่ด้วย โดย นายทินกร ขันแก้ว นายอำเภอจังหาร พร้อมด้วย นางประจิน ปวงสุข นายกเทศบาลตำบลดินดำ และ นายอาคม เฉลิมแสน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด ร่วมรับมอบ

ขณะที่ จังหวัดชัยนาท นายศักรินทร์ ศรีสมวงศ์ นายอำเภอมโนรมย์ มอบหมายให้ นายจรัญ เรืองรุ่ง ปลัดอาวุโสอำเภอมโนรมย์ รับมอบเครื่องอุปโภคบริโภคจาก ซีพีเอฟ ประกอบด้วย น้ำดื่มซีพี 6,000 ขวด ข้าวสาร 105 กิโลกรัม ไข่ไก่สด อาหารสำเร็จรูป และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยมี นายสุรชัย ศรีพารา ผู้จัดการโครงการส่งเสริมสุกรขุนชัยนาท และ นายศตวรรษ ต๊ะปวก ผู้จัดการโครงการส่งเสริมสุกรขุนสิงห์บุรี พร้อมชาวซีพีเอฟจิตอาสา ร่วมมอบ ทั้งนี้ นายอำเภอมโนรมย์ ขอบคุณซีพีเอฟที่ห่วงใยพี่น้องคนไทยเร่งให้ความช่วยเหลือในเหตุการณ์น้ำท่วมมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะด้านอาหารการกินให้ทุกคนได้มีอาหารเพียงพอในการดำรงชีวิต พร้อมทั้งส่งกำลังใจเพื่อให้ผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน

นอกจากนี้ ทีมงานจิตอาสาธุรกิจห้าดาว ยังเดินหน้าภารกิจ “ห่วงใยกัน สู้ภัยน้ำท่วม” ช่วยประชาชนสู้ ใน 3 จังหวัด รวม 5 พื้นที่ ได้แก่ สิงห์บุรี อ่างทอง และศรีสะเกษ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์จากซีพีเอฟ น้ำดื่ม ข้าวสาร อาหารแห้ง แทนความห่วงใยคนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมอบถึงมือชาวชุมชน ตลอดจนตัวแทนจากหน่วยงานช่วยเหลือและป้องกันอุทกภัยประจำจังหวัด ที่ทำหน้าที่กระจายเสบียงอาหารทั้งหมดอย่างทั่วถึง เชื่อว่าสถานการณ์จะคลี่คลายในเร็วๆ นี้

ซีพีเอฟ ยังคงเดินหน้ามอบอาหารปลอดภัยส่งตรงถึงมือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ 28 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครนายก ขอนแก่น อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร นครราชสีมา มหาสารคาม เลย ร้อยเอ็ด เชียงใหม่ สุโขทัย เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ อุทัยธานี อ่างทอง ชัยนาท พิจิตร พิษณุโลก สระบุรี ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี นนทบุรี และกรุงเทพฯ ในเขตบางนาและมีนบุรี อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนไทยก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

รู้เก็บรู้ออม : รู้จัก Direct Listing!!

ทุกวันนี้การจะนำหุ้นหรือหลักทรัพย์เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยได้ ขั้นตอนแรกคือ ต้องมีการกระจายขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือการขายหุ้น IPO (Initial Public Offering) ในตลาดแรก

จากนั้นก็จะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งถือเป็น “ตลาดรอง” ที่อนุญาตให้นำหุ้น IPO มาซื้อขายเปลี่ยนมือกันได้เพื่อให้เกิดสภาพคล่อง

ขั้นตอนขายหุ้นใน “ตลาดแรก” ต้องตั้งที่ปรึกษาหรือวาณิชธนกิจ เข้ามาทำให้บริษัทมีคุณสมบัติตามที่กำหนด ประเมินมูลค่ากิจการ เพื่อกำหนดราคาหุ้น IPO จากนั้นแต่งตั้ง อันเดอร์ไรเตอร์ เป็นตัวแทนจำหน่าย โดยเป้าหมายบริษัทที่นำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็เพื่อระดมทุนไปขยายกิจการให้เติบโต และทำให้ภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของบริษัทดีขึ้น

ปัจจุบันมีการเข้าตลาดหุ้นแบบใหม่ที่เรียกว่า Direct Listing โดยไม่ต้องทำ IPO ซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2561 โดยบริษัท Spotify Technology S.A. ผู้พัฒนาแอปฯฟังเพลงแบบสตรีมมิง Spotify และบริษัท Slack Technologies, Inc. ผู้พัฒนาแอปฯ Slack ที่ใช้ส่งข้อความทำงานร่วมกันในองค์กร ก็เข้าตลาดหุ้นนิวยอร์กด้วยวิธี Direct Listing!!

Direct Listing ก็คือการนำหุ้นของบริษัทมาขายให้นักลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้น โดยไม่ต้องขายผ่านตัวกลาง หรืออันเดอร์ไรเตอร์ ในตลาดแรกก่อน นั่นคือ ไม่มีการทำ IPO นั่นเอง

ดังนั้นจึงไม่มีการออกหุ้นใหม่ ไม่ต้องสำรวจความต้องการซื้อ ไม่มีราคาจองซื้อ นักลงทุนที่สนใจสามารถเข้ามาซื้อขายได้พร้อมกันในวันแรกของการซื้อขายบนกระดาน ราคาซื้อ-ขาย ก็จะขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อ-ขายของแต่ละฝ่าย นั่นจึงทำให้ราคาหุ้นถูกกำหนดตามกลไกตลาด หรืออุปสงค์-อุปทานอย่างแท้จริง

ข้อดีของ Direct Listing คือ ประหยัดเวลา ไม่ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ เช่น จัดหาผู้จัดจำหน่าย การประเมินราคา การจัดสรรหุ้น หรือการนำเสนอข้อมูลต่อผู้ลงทุน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะตัดขั้นตอนตัวกลาง กระบวนการต่างๆ

แต่มีข้อควรระวัง คือนักลงทุนอาจเผชิญกับความผันผวนของราคา เพราะไม่ได้ผ่านการประเมินราคาจากวาณิชธนกิจ จึงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูล และประเมินมูลค่าให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน!!

สำหรับตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) มีการเสนอขายแบบ Direct Listing ทุกตัว โดยบริษัทหลักทรัพย์จะเป็นผู้ออก DW แล้วนำ DW เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นเลย

แต่อนาคตใกล้ๆนี้ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) จะใช้รูปแบบ Direct Listing มากขึ้น ซึ่งนักลงทุนสามารถรู้ราคา DR และเปรียบเทียบราคา DR ที่ซื้อขายกับสินทรัพย์อ้างอิงในต่างประเทศได้ว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ ก่อนตัดสินใจซื้อ และผู้ออกอาจจัดให้มีผู้ดูแลสภาพคล่อง ช่วยให้นักลงทุนมั่นใจว่าจะสามารถซื้อขาย DR ได้

ดังนั้น DR ถือเป็นอีกทางเลือกการลงทุนในตราสารต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูล อัปเดตเทรนด์การลงทุนสม่ำเสมอเพื่อไม่พลาดโอกาสลงทุน!!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง” หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

นักวิชาการยัน “หมูเถื่อน” อันตราย วอนรัฐเร่งจัดการ ก่อนเป็นปัญหาสุขภาพประชาชน

ดร.คมกริช พิมพ์ภักดี

รศ.น.สพ. ดร.คมกริช พิมพ์ภักดี คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยถึง สถานการณ์หมูเถื่อนที่กำลังระบาดอย่างหนักทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานว่า กำลังส่งผลต่อสุขอนามัยของคนไทย ซึ่งสามารถก่อปัญหาต่อระบบสาธารณสุขในอนาคต เนื่องจากหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามานั้น เป็นหมูหมดอายุ ไม่มีคุณภาพ ไม่ผ่านการตรวจโรค และมีสารปนเปื้อนอันตรายกว่าที่คาด

“ประเทศไทยมีกฏหมายหลายฉบับที่ออกมาเพื่อความปลอดภัยทางอาหารของคนไทย อย่างหมูไทยจะต้องผ่านการตรวจทั้งก่อนชำแหละและหลังชำแหละ เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะเป็นหมูที่ปลอดภัยต่อคนไทย แต่หมูเถื่อนที่ไม่ผ่านการตรวจสอบจากเจ้าพนักงาน มีทั้งเชื้อโรคหรือสารต้องห้ามที่ประเทศไทยไม่อนุญาตให้ใช้ ซึ่งเป็นอันตรายถึงผู้บริโภคได้” รศ.น.สพ.ดร.คมกริช กล่าว

ทั้งนี้ หมูที่ลักลอบเข้ามาจากสหภาพยุโรปและอเมริกาเป็นหมูแช่แข็งที่ต้องพึงระวัง ส่วนใหญ่เป็นหมูไม่ได้คุณภาพ บางล๊อตเป็นหมูหมดอายุแล้ว หรือเป็นหมูที่คนในประเทศต้นทางคัดทิ้ง ไม่ต้องการบริโภค แทนที่จะฝังทำลายกลับส่งเข้ามาดั๊มพ์ในประเทศไทย โดยขายในราคาถูกมาก เป็นหมูด้อยคุณภาพ การขนส่งทางไกลที่ใช้เวลาหลายเดือน กว่าจะถึงเมืองไทยย่อมไม่ได้มาตรฐาน และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการปนเปื้อนในระหว่างทาง เช่น เชื้อรา สินค้าจากต่างประเทศเช่นนี้ย่อมไม่ใช่อาหารปลอดภัยที่คนไทยสมควรบริโภค โดยสารตกค้างดังกล่าวมีทั้งที่เป็นสารก่อมะเร็ง เช่น เบต้าอะโกรนิสต์ และยาปฏิชีวนะที่บางประเทศยังอนุญาตให้ใช้ รวมถึงบางส่วนยังปนเปื้อนเชื้อรา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพผู้บริโภค ที่เบื้องต้นอาจพบอาการท้องเสีย หรือในระยะยาวก็สามารถพบเชื้อปนเปื้อนนั้นๆ ตกค้างในร่างกายทำให้เกิดการเจ็บป่วยเรื้อรัง และก่อปัญหาด้านสุขภาพและการสาธารณสุขของประเทศในระยะยาว

“ผู้บริโภคควรซื้อหาเนื้อหมูจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และพึงสังเกตราคาหมูที่ถูกผิดปกติก็ควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ หมูกระทะ ไม่ควรนำมาจำหน่ายให้ลูกค้าซึ่งตรงนี้เป็นจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคมที่ทุกร้านควรจะมี”

รศ.น.สพ. ดร.คมกริช กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า หมูเถื่อนในภาคอีสานลักลอบส่งผ่านเข้ามาทางชายแดน หรือ ช่องทางธรรมชาติ “กรมปศุสัตว์” ต้องกวดขันอย่างเข้มแข็ง ตรวจสอบจับกุมการลักลอบให้เข้มข้นขึ้น เพื่อความปลอดภัยของคนไทยทุกคน และจะเป็นการป้องกันไม่ให้ “หมูเถื่อน” บานปลายเป็นปัญหาสุขภาพของคนในชาติที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ถึงระบบสาธารณสุขของประเทศด้วย