Home Blog Page 108

AWC ผนึก IHG พัฒนาโรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่ สองแห่งแรกในเชียงราย ภายใต้แบรนด์ InterContinental และ Kimpton ดึงดูดนักเดินทางทั่วโลก

0

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ลงนามข้อตกลงในการพัฒนาและบริหารโรงแรมกับเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป หรือ IHG Hotels & Resorts เพื่อพัฒนาโรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่ ใหม่ 2 แห่ง ในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ ‘อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต’ (InterContinental Chiang Rai Golden Triangle Resort) และ ‘คิมป์ตัน เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล’ (Kimpton Chiang Rai Golden Triangle) ซึ่งนับเป็นโครงการแรกของ AWC และ IHG ในจังหวัดเหนือสุดแดนสยามนี้ สนับสนุนกลยุทธ์ GROWTH-LED ของ AWC ในระยะยาวเพื่อพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพในทําเลที่มีศักยภาพสูง รวมถึงเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตโฟลิโอกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ ด้วยการนำแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาสู่จังหวัดเชียงราย ในฐานะอัญมณีเม็ดงามด้านการท่องเที่ยวที่รอการค้นพบ พร้อมสนับสนุนเชียงรายสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมสำหรับนักเดินทางทั่วโลก

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC กล่าวว่า “จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของประเทศไทย ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามทางธรรมชาติ งานศิลปะ ไปจนถึงวัดวาอาราม และหมู่บ้านของชาวเขาพื้นเมือง จึงสามารถมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายและยั่งยืนให้กับนักเดินทาง และด้วยศักยภาพในฐานะเมืองที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น ‘เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ’ จากทาง UNESCO Creative Cities Network (UCCN) รวมถึงยังเป็นบ้านของศิลปินแห่งชาติหลายท่าน ผนวกกับความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานอย่างสนามบินนานาชาติ ทำให้ความร่วมมือระหว่าง AWC และ IHG ในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมให้จังหวัดเหนือสุดของประเทศไทยแห่งนี้เป็นที่จดจำสำหรับนักเดินทางจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตอบโจทย์กลุ่มนักเดินทางคู่รักและครอบครัวที่ให้ความสำคัญในเรื่องของธรรมชาติและวัฒนธรรม และการพักผ่อนในเวลเนสรีสอร์ตระดับลักซ์ชัวรี่ นอกจากนี้ที่ตั้งของโครงการอยู่ในทำเลชั้นเยี่ยมติดแม่น้ำ พรั่งพร้อมด้วยห้องอาหารและบาร์ริมน้ำที่จะเติมเต็มประสบการณ์สุดพิเศษกับการล่องเรือสำราญเชื่อมโยงการท่องเที่ยวระหว่างไทย ลาว และเมียนมา และด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 1,500 ล้านบาท โรงแรมทั้ง 2 แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการในภาคเหนือของไทย แต่ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนท่ามกลางธรรมชาติและมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของล้านนา โดยโรงแรมทั้ง 2 แห่งนี้จะตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยวสำหรับประสบการณ์การเข้าพักตามอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของแบรนด์ เพื่อสนับสนุนเชียงรายสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลก พร้อมทั้งช่วยสร้างสร้างมูลค่าระยะยาวควบคู่การสร้างคุณค่าให้กับชุมชนและสังคมโดยรอบโครงการ”

มร. ราจิต สุกุมารัน กรรมการผู้จัดการ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG Hotels & Resorts กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสําคัญของความสัมพันธ์ระยะยาวมากกว่า 10 ปี ระหว่าง IHG และ AWC ที่จะดึงดูดให้กลุ่มลูกค้าของเรามีโอกาสได้เดินทางมายังภาคเหนือของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดย ‘อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต’ และ ‘คิมป์ตัน เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล’ จะนำเสนอประสบการณ์ของแบรนด์ที่โดดเด่นเพื่อแนะนำจังหวัดเชียงรายให้กับนักเดินทางจากทั่วโลก ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะเติบโตในประเทศไทยด้วยการนําเสนอการบริการระดับเวิร์ลคลาส

ด้วยกลยุทธ์ของ AWC ในการพัฒนาสินทรัพย์คุณภาพในทําเลที่มีศักยภาพสูงและการเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลก โรงแรม ‘อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต’ จะเป็นโครงการที่จะได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ในขณะที่ ‘คิมป์ตัน เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล’ จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างการพัฒนาขึ้นใหม่และการปรับปรุงโรงแรมอิมพีเรียลโกลเด้นไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่อันงดงามของสามเหลี่ยมทองคําในอําเภอเชียงแสน ท่ามกลางเทือกเขาของภาคเหนือ ล้อมรอบด้วยแม่น้ำโขงและแม่น้ำรวกซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างประเทศไทย เมียนมา และลาว โดยโรงแรมดังกล่าวถือเป็นโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลแห่งที่สองของทาง AWC ในภาคเหนือของประเทศไทย หลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดตัวอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล และเป็นโรงแรมคิมป์ตันแห่งที่สามของทาง AWC ต่อจาก คิมป์ตัน พัทยา และ คิมป์ตัน หัวหิน โดยโรงแรมใหม่ทั้ง 2 แห่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่สี่ของปี 2569

อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต’ มีสถาปัตยกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมล้านนาแบบดั้งเดิม ประกอบไปด้วยพูลวิลล่าและการ์เด้นวิลล่า 68 หลัง ในขณะที่ ‘คิมป์ตัน เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล’ ให้บริการห้องสวีทสไตล์ล้านนาร่วมสมัย 68 ห้อง รวมถึงห้องที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว และห้องแบบพูลแอคเซส โดยโรงแรมทั้ง 2 แห่งจะมีห้องอาหารและบาร์ทั้งหมด 8 แห่ง รวมถึง Glasshouse Cafe and Restaurant ขนาด 110 ที่นั่งริมแม่น้ำโขง ด้วยสถาปัตยกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 พร้อมดีไซน์การตกแต่งภายในแบบร่วมสมัย

นอกจากนี้ โรงแรมยังนำเสนอประสบการณ์ท่องเที่ยวบนสายน้ำรูปแบบใหม่ให้กับผู้เข้าพักด้วยบริการเลาจน์บนเรือสำราญ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการมาถึงของตะวันตกผ่านการเดินทางทางแม่น้ำในช่วงปลายยุคอุตสาหกรรม การล่องเรือในแม่น้ำจะนําผู้มาเยือนเดินทางไปเยี่ยมชมชุมชนท้องถิ่นริมสองฝั่งแม่น้ำโขง รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาและลาวที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง พร้อมให้บริการชุดน้ำชายามบ่ายด้วยขนมหวานแบบไทยและแบบท้องถิ่น รวมถึงยังมีบาร์และห้องอาหารที่นำเสนอกลิ่นอายของวัฒนธรรมทางภาคเหนือของไทย ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน

โรงแรมใหม่ทั้ง 2 แห่งจะเป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพด้วยทรีตเมนท์สมุนไพรไทย สระว่ายน้ำ ฟิสเนสเซ็นเตอร์ และการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม ด้วยความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ในการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น ควบคู่ไปกับโครงการ “AWC Stay to Sustain” ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มอย่างยั่งยืนเพื่อเชิญชวนแขกของโรงแรมเข้าร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในป่าชุมชน นอกจากนี้ โรงแรม ‘อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต’ และ ‘คิมป์ตัน เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล’ ยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนาเพื่อให้ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED หรือ WELL ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการตามมาตรฐานอาคารสีเขียวของ AWC รวมถึงทางโรงแรมยังเป็นที่ตั้งของร้าน เดอะ GALLERY โครงการวิสาหกิจเพื่อสังคมของ AWC ที่นําเสนอผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการสร้างสรรค์โดยนักออกแบบ ศิลปิน และชุมชนชาวไทย

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ผนึกกำลัง ซีพีเอฟ หนุนวิสาหกิจชุมชนบ้านบุโพธิ์ โมเดลเลี้ยงไก่ไข่ชุมชนธุรกิจเพื่อสังคม

0

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ส่งมอบ โครงการเลี้ยงไก่ไข่ธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) แก่วิสาหกิจชุมชนบ้านบุโพธิ์โมเดล อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เพื่อพัฒนาและช่วยเหลือสังคมควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนธุรกิจของชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านกลไกการบริหารงานโดยชุมชนด้วยธุรกิจไก่ไข่เป็นแห่งแรก

นายจอมกิตติ ศิริกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เปิดเผยว่า โครงการเลี้ยงไก่ไข่ธุรกิจเพื่อสังคมดังกล่าว ถือเป็นธุรกิจชุมชนเพื่อสังคมแห่งแรก ที่มูลนิธิฯ ร่วมกันขับเคลื่อนกับซีพีเอฟ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจไก่ไข่ ที่ให้การส่งเสริมสนับสนุนองค์ความรู้การเลี้ยงไก่ไข่ แนวคิดการจัดการวิสาหกิจชุมชน และการตลาด ตลอดจนมองเห็นโอกาสในการต่อยอดเชิงธุรกิจ เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตชาวชุมชนบ้านบุโพธิ์ทุกคน ไปพร้อมๆ กับการสร้างอาชีพและรายได้ สู่เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง รวมถึงการได้รับประโยชน์และเข้าถึงแหล่งโปรตีนคุณภาพที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน ที่สำคัญคือการผลักดันให้โครงการฯนี้ กลายเป็นสถานที่ศึกษาดูงานถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกรและผู้ที่สนใจ ไปพร้อมๆ กับการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับกลุ่มอาชีพอื่นๆ ในชุมชน ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าชุมชน ผ่านการสร้างแบรนด์และการแปรรูป ก่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน เพื่ออนาคตที่ดีของเด็กและเยาวชนลูกหลานบ้านบุโพธิ์ต่อไป

ทางด้าน นายสมคิด วรรณลุกขี กล่าวว่า โครงการฯนี้ เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากการผนึกกำลังของ ซีพีเอฟ และมูลนิธิฯ ที่ร่วมกันสนับสนุนโครงการการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน มาอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 35 ปี สู่การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนบ้านบุโพธิ์ให้เป็นโมเดลเลี้ยงไก่ไข่ธุรกิจเพื่อสังคม ที่จะทำให้คนในชุมชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงและบริโภคไข่ไก่สดที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึง จากปริมาณไข่ไก่ที่วิสาหกิจชุมชนฯ ผลิตได้เฉลี่ยวันละ 270 ฟอง หรือประมาณ 90,000 ฟองต่อปี จากสถิติคนไทยบริโภคไข่ไก่เฉลี่ยปีละ 220 ฟองต่อคน โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงไก่ไข่ของซีพีเอฟ ให้คำแนะนำการเลี้ยงไก่ไข่ การจัดการการเลี้ยง และการดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้โครงการฯ สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง นำไปสู่เป้าหมายการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

“มูลนิธิฯ ซีพีเอฟ และองค์การบริหารส่วนตำบลบุโพธิ์ ให้การสนับสนุนการดำเนินกิจการต่างๆ ให้กับกลุ่มวิสาหกิจฯ อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการปลูกมะพร้าวน้ำหอม การปลูกฝรั่งกิมจู การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105 และที่สำคัญคือ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ” ที่สามารถสร้างประโยชน์และเป็นแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพให้กับชาวบ้านบุโพธิ์ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ จากการเสวนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง “โอกาส อนาคต ย่างก้าวแห่งความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนบ้านบุโพธิ์โมเดล” ยังทำให้ได้แนวทางส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจชุมชนอย่างยั่งยืนและเข้มแข็งต่อไป” นายวิชาญ สิวิเส็ง กำนันบ้านบุโพธิ์และประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ กล่าว

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ได้เข้ามาสนับสนุนและดำเนินการในพื้นที่ตำบลบุโพธิ์ในทุกมิติตั้งแต่ปี 2540 ส่งเสริม 7 อาชีพ 7 รายได้ และต่อยอดความสำเร็จจากอดีตสู่การขับเคลื่อนในปัจจุบัน ผ่าน 5 แผนงาน เพื่อยกระดับฐานอาชีพ ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน ชาวบ้าน และเกษตรกรบ้านบุโพธิ์ อาทิ เกษตรประณีตมูลค่าสูง เกษตรผสมผสานมูลค่าสูง ธนาคารน้ำใต้ดิน การพัฒนาวิสาหกิจชุมชน และโครงการเลี้ยงไก่ไข่ชุมชนธุรกิจเพื่อสังคม

เอไอเอส​ ผนึกพันธมิตร​ เปิดตัว​ 4​ แพ็คเกจใหม่​ เอาใจพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์​

0

AIS ตอกย้ำความตั้งใจที่จะเสริมความแข็งแกร่งเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านการอยู่เคียงข้างกลุ่มผู้ทำธุรกิจออนไลน์  โดยพร้อมส่งมอบสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์การทำธุรกิจแบบรู้จักและรู้ใจยิ่งกว่า (Personalize) ล่าสุด​เปิดตัวแพ็กเกจ Online Seller ที่คิดมาเพื่อกลุ่มคนค้าขาย พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์โดยเฉพาะ สะท้อนการเป็นผู้นำด้านดิจิทัลรายแรกที่พร้อมเติมเต็มประสบการณ์การค้าขายบนโลกออนไลน์ที่ครบทุกองศา ไม่ว่าจะเป็นการไลฟ์สดที่ไหลลื่น ไม่มีสะดุดบนโครงข่าย 5G, เน็ตร้านไฟเบอร์ พร้อมโซลูชันเครื่องมือตัวช่วยทางการตลาดจากสุดยอดพาร์ทเนอร์ชั้นนำระดับโลกและระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็น TikTok Shop, Canva, Microsoft  365, LINE MAN MESSENGER, MyOrder, ถุงเงิน และ FlowAccount ที่จะมาร่วมกันติดอาวุธเสริมแกร่งให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ทำธุรกิจปัง ยอดขายพุ่ง พร้อมก้าวสู่การเป็นพอยท์พาร์ทเนอร์ของเอไอเอส

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า  “เราพร้อมอยู่เคียงข้างกลุ่มนักธุรกิจ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ (Residential SMEs)  ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงตั้งแต่สถานการณ์โควิด โดยนำจุดแข็ง 3 ด้านมาสนับสนุน ประกอบด้วย โครงข่ายสื่อสารที่แข็งแกร่ง ทั้งมือถือและเน็ตบ้าน พันธมิตรผู้ให้บริการโซลูชันและแอปพลิเคชันระดับโลก รวมไปถึงโอกาสในการนำสินค้าและบริการส่งมอบให้แก่ฐานลูกค้าในกลุ่มเอไอเอสกว่า 49 ล้านราย ในฐานะของการเป็นพอยท์พาร์ทเนอร์กับเอไอเอส”

“โดยวันนี้เราพบว่า ด้วยวิถีของคนค้าขายปัจจุบันที่อาจจะมีหน้าร้านขายของ หรือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองเห็นโอกาสในการค้าขายและผันตัวสู่การเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ โดยไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคล ต่างมีโจทย์ความต้องการเครื่องมือเป็นระบบสื่อสารและบริการที่ชัดเจนและไม่ซับซ้อน อาทิ โครงข่ายที่เชื่อมต่อกับ Online Platform ที่การไลฟ์ขายของต้องเสถียร พร้อมกับซอฟท์แวร์ โซลูชัน ที่ช่วยบริหารจัดการระบบหลังบ้านได้ด้วยตัวเอง จึงเป็นที่มาของการออกแบบแพ็กเกจ Online Seller สำหรับกลุ่มคนค้าขายพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์โดยเฉพาะ ทั้งบริการสื่อสารบนโครงข่าย 5G และเน็ตร้านที่ดีที่สุด ให้ทุกการไลฟ์สดขายของหรือแม้แต่การตอบแชทคุยเพื่อรับ/ส่งสินค้า กับลูกค้าราบรื่นไม่สะดุด นอกจากนี้เรายังทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำ เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางให้เข้าถึงลูกค้าได้แบบมือโปรผ่าน TikTok Shop, สุดยอดเครื่องมือที่จะทำให้คุณสามารถออกแบบกราฟฟิกโปรโมทสินค้าได้แบบง่ายๆ บน Canva, อัดแน่นโปรแกรมจัดการเอกสารสุดพรีเมียมจาก Microsoft 365 พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลสูงถึง 1TB, ตัวช่วยเรื่องการขนส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็วจาก LINE MAN MESSENGER, อัพเกรดการทำธุรกิจอย่างมืออาชีพกับระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ MyOrder ที่ลดขั้นตอนการทำธุรกิจของคุณ, ความพิเศษในการใช้งานแอปพลิเคชันของร้านค้าถุงเงินกว่า 1.8 ล้าน ร้านค้าทั่วประเทศ และหมดปัญหาเรื่องระบบบัญชีด้วยโซลูชันจาก FlowAccount ตอบโจทย์คนค้าขายออนไลน์ยุคใหม่ ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นการติดอาวุธอย่างรอบด้านตอบโจทย์ทุกองศาของการทำธุรกิจ ซึ่งรวมอยู่ใน 4 แพ็กเกจ Online Seller แพ็กที่เข้าใจรู้จักและรู้ใจคนค้าขายและพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มากที่สุด”

  • แพ็กเกจ AIS All in One นิยามใหม่ของเน็ตร้าน แรงทุกจุด ให้ครบทุกฟังก์ชัน นอกจากสปีดที่มากพอกับการใช้งานแล้ว ยังมี AI Router ถึง 2 ตัว พร้อม SIM Net 20 GB และพิเศษสุดกับ Microsoft 365 Family ที่ใช้งานได้สูงสุด 6 ผู้ใช้งาน พร้อม One Drive 1TB ต่อผู้ใช้งาน พิเศษสำหรับลูกค้าเอไอเอสรายเดือน ที่มียอดค่าใช้บริการ 349 บาทขึ้นไป  สามารถซื้อแพ็กในราคาเพียง 1,199 บาท/เดือน (ลูกค้าทั่วไป 1,499 บาท/เดือน) จะได้รับ On-Top Internet 20GB ที่หมายเลขเอไอเอสรายเดือนที่ใช้รับสิทธิ์เท่านั้น เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกมิติการค้าขายอย่างแน่นอน
  • แพ็กเกจ AIS 5G Seller จุใจกับเน็ตเต็มสปีด! จัดเต็มตัวช่วยการขายที่ให้ลูกค้าได้ออกแบบโปสเตอร์ หรือชิ้นงาน Artwork จาก Canva Pro ใช้งานฟรีถึง 45 วัน พร้อมโปรแกรมตัวช่วยระบบหลังบ้านอย่าง MyOrder ฟรีนานถึง 6 เดือน นอกจากนี้ยังมีระบบขนส่งจาก LINE MAN MESSENGER รับส่วนลดจุกๆ รวมมูลค่ากว่า 3,100 บาท มาในราคาสุดคุ้มเริ่มเพียง 699 บาท /เดือน สำหรับลูกค้าย้ายค่าย รับลดเพิ่มอีก 25% เหลือเพียง 974 บาท 
  • แพ็กเกจ AIS 5G TikTok Shop ให้พ่อค้าแม่ค้าได้ LIVE สดแบบไม่มีสะดุด กับเน็ต 5G เต็มสปีด โทรคุ้มทุกเครือข่าย ฟรีค่าโฆษณา บน TikTok มูลค่า 300 บาท พร้อมโปรแกรมดูแลลูกค้าจาก FlowAccount ในราคา 699 บาท/เดือน
  • แพ็กเกจ AIS 5G ถุงเงิน โซเชียล ให้เล่นโซเชียลได้ไม่อั้น ได้ถึง 4 แอปพลิเคชันไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันถุงเงิน, LINE, Instagram และ Facebook นอกจากนี้ยังให้ใช้เน็ตแบบไม่อั้น รับเน็ตเต็มสปีด 30 GB ทั้งหมดนี้ราคาเพียง 499 /เดือน

นอกจากนี้สำหรับลูกค้า AIS ไม่ว่าจะเป็นเปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่ายเบอร์เดิม เติมเงิน หรือแบบรายเดือน ก็สามารถสมัครแพ็กเกจการใช้งานที่ตรงกับความต้องการเพิ่มเติมได้ถึง 2 แพ็กเกจ ไม่ว่าจะเป็น แพ็กเกจ Microsoft แบบรายปี ได้ทั้งแบบ 1 ผู้ใช้งาน หรือแบบ Microsoft 365 Family สำหรับใช้งานสูงสุด 6 ผู้ใช้งาน ในราคาแบบคุ้มๆ สมัครได้ถึงปลายเดือนธันวาคมนี้ สำหรับสายคอนเทนต์ตัวแม่ สามารถซื้อแพ็กเกจ เหมา เหมา TikTok 5G แบบรายเดือน ในราคาสบายกระเป๋าเพียง 199 บาท รับเน็ตความเร็วสูงสุดถึง 100 GB ไปท่องโลก TikTok กันได้แบบจุใจไม่อั้นอีกด้วย

นายปรัธนา กล่าวในตอนท้ายว่า “สำคัญที่สุดคือ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่เลือกใช้แพ็กเกจนี้ จะก้าวสู่การเป็นพอยท์พาร์ทเนอร์ของเอไอเอสทันที ที่มาพร้อมโอกาสในการขายสินค้า และบริการให้แก่ลูกค้าในกลุ่มเอไอเอสกว่า 49 ล้านราย  ดังนั้นจึงเท่ากับว่า การเปิดตัวแพ็กเกจในครั้งนี้ นอกจากเราจะสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านการหนุนความสามารถของผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจผ่านทาง Online  อันจะเป็นส่วนหลักในการเติบโตของเศรษฐกิจฐานรากประเทศ ตอกย้ำแนวคิด ECOSYSTEM ECONOMY ที่มุ่งหวังสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกๆ ภาคส่วนแล้ว ยังได้มอบความพิเศษให้แก่ฐานลูกค้าทั้งหมดของเอไอเอสได้ลดภาระในการใช้จ่าย พร้อมทางเลือกในการซื้อสินค้าและบริการผ่านทาง Online ได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย”

แม็คกรุ๊ป คว้าเรตติ้ง “AA” หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 66 พร้อมได้คะแนน CGR ระดับ 5 ดาว ห้าปีซ้อน

0

“แม็คกรุ๊ป” หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” ตอกย้ำมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดี ความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ สู่การพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมก้าวสู่ปีที่ 49 อย่างมั่นคง ล่าสุดได้รับผลการประเมิน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ระดับ AA จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งคว้าคะแนน CGR ระดับ 5 ดาว “ดีเลิศ” เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน  

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยว่า บริษัทได้รับผลการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ที่ระดับเรตติ้ง“AA” โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยเป็น 1 ใน 193 บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ควบคู่กับการยึดถือหลักบรรษัทภิบาล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กร ตลอดจนการเป็นธุรกิจที่พร้อมสร้างโอกาสและการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) หรือ สัญลักษณ์ 5 ดาว จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน โดยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งได้ดำเนินการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัท                   จดทะเบียนไทย ประจำปี 2566 (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies 2023 : CGR)

แม็คกรุ๊ปฯ มีความมุ่งมั่นสร้างการเติบโตทางธุรกิจ เพื่อสร้างประสบการณ์ในการจับจ่ายสินค้าอันน่าจดจำให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นบริการที่ดี การคัดสรรสินค้าคุณภาพ และความคุ้มค่า เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนพร้อมทั้งให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม และร่วมพัฒนาสังคมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ด้วยพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้บริษัทฯ สามารถได้ก้าวผ่านความท้าทายหลากหลายรูปแบบ และยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืน

“บุชเชอร์” ฉลอง 10 ปี เปิดประสบการณ์ครั้งแรกในไทย ยกบาร์หมุนสไตล์ยุโรบมาไว้ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ไอคอนสยาม

0

นางสาว อนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CPFGS เปิดเผยว่า บุชเชอร์ แบรนด์ไส้กรอกพรีเมียมอันดับ 1 ของไทย ซึ่งบริษัทมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์มาตลอด 1 ทศวรรษ จากภาพรวมตลาดไส้กรอกเห็นว่า กลุ่มไส้กรอกพรีเมียมขยายตัวเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทุกปีจากความนิยมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มองหาสินค้าคุณภาพดี และรสชาติอร่อย นอกจากนี้ บุชเชอร์ ยังได้ปรับแพ็กเกจให้มีความพรีเมียม น่าทานมากยิ่งขึ้นอีกด้วย พร้อมกับขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น ขณะที่ยังคงราคาที่จับต้องได้ ตลอดจนการออกแบบแคมเปญที่ตอบโจทย์เทรนด์การบริโภค เพื่อทำให้ผู้บริโภคร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์อย่างต่อเนื่อง

และเพื่อเป็นการฉลองครบรอบหนึ่งทศวรรษของไส้กรอกบุชเชอร์ บริษัทจึงได้เนรมิตพื้นที่ไอคอร์พาร์ค ให้กลายเป็นบรรยากาศสไตล์ยุโรป เพื่อสร้างประสบการณ์ฟินเหนือระดับ ท่ามกลางบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงลิ้มลองเมนูเอ็กซ์คลูซีฟจากบุชเชอร์ ได้แก่ บุชเชอร์ ไส้กรอกหมูคูโรบูตะ กลิ่นชาร์โคล์กริลล์ ที่ทำจากเนื้อหมูหมูคูโรบูตะบดหยาบคัดสรรพิเศษ เนื้อนุ่มฉ่ำ หอมกลิ่นย่างถ่านชาร์โคลล์เป็นเอกลักษณ์ และบุชเชอร์ ไส้กรอกหมูชีสกลิ่นทรัฟเฟิล ไส้กรอกหมูบดหยาบหนังกรอบ สอดไส้ชีสกลิ่นทรัฟเฟิลนำเข้าจากเยอรมนี มาเสิร์ฟให้กับผู้ร่วมงาน

ภายในงาน ฺBUCHER GLAM-BAR CAROUSEL ตกแต่งบรรยากาศสไตล์ยุโรป และห้ามพลาดกับไฮไลท์ของงน คือ บาร์หมุน ให้ผู้ร่วมงานนั่งทานอาหาร ดื่มด่ำชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา และเก็บภาพความประทับใจ นอกจากนี้ยังมีมุมถ่ายภาพที่จำลองบอลลูนขนาดใหญ่ อย่าง Bucher’s Glam Balloon เทศกาลบอลลูนที่ย่ิ่งใหญ่ระดับโลก และ Bucher’s Oriental Express ขบวนรถไฟสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เสมือนท่องเที่ยวในแดนยุโรปอีกด้วย

สำหรับผู้สนใจ เชิญสัมผัสบรรยาศ และเปิดประสบการณ์สุดฟิน ฟรี ตั้งแต่วันที่ 13-19 พฤศจิกายน 2566 โดยวันที 14-17 พ.ย. จะเปิดให้บริการ 16.00-22.00 น. ส่วนวันที่ 18-19 พ.ย. เปิดให้บริการเวลา 15.00-22.00 ที่ ICONSIAM Park ชั้น 2 ไอคอนสยาม

กสทช. ไฟเขียว AIS ซื้อหุ้น 3ฺฺBB ผ่านฉลุย

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ได้รับการแจ้งจาก กสทช. อย่างเป็นทางการในการพิจารณาอนุญาตให้ AWN  เข้าซื้อหุ้นของ บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB  (TTTBB) เข้ามาเป็นบริษัทในกลุ่มของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เพื่อเสริมศักยภาพ และยกระดับการให้บริการอินเทอร์เน็ต ให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS  เปิดเผยว่า “จากการที่ AIS โดย AWN ได้ยื่นรายงานการขอรวมธุรกิจระหว่าง AWN และ 3BB ไปยัง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)  เพื่อขออนุมัติการเข้าซื้อหุ้นของ 3BB ในช่วงที่ผ่านมาล่าสุด เราได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการแล้วว่า กสทช. ได้พิจารณาอนุญาตให้ AWN เข้าซื้อหุ้นของ บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB  (TTTBB) มาเป็นบริษัทในกลุ่มของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส โดยการเข้าลงทุนของเอไอเอสในครั้งนี้ จะสร้างประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเน็ตบ้านทั้งในปัจจุบันและในระยะยาว ช่วยทำให้คนไทยทุกพื้นที่ ทั้งในเขตเมืองและพื้นที่ต่างจังหวัด เข้าถึงบริการดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจากเทคโนโลยีไฟเบอร์ออปติก พร้อมนวัตกรรมล่าสุดจากการผนึกกำลังของทีม AIS, AIS Fibre และ 3BB ทำให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีที่ครอบคลุมการใช้งาน อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณการลากสายไฟเบอร์ที่ทับซ้อนเกินความจำเป็น พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศในทุกรูปแบบธุรกิจอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

ทั้งนี้  ผู้สนใจใช้บริการเน็ตบ้านยังสามารถเลือกใช้บริการจาก AIS Fibre และ 3BB ได้ด้วยมาตรฐานบริการคุณภาพ พร้อมเพิ่มเติมด้วยประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น  ทั้งความครอบคลุมของเครือข่าย, นวัตกรรมทันสมัยตอบโจทย์การใช้งานแต่ละกลุ่ม รวมถึงบริการดิจิทัล คอนเทนต์ และสิทธิพิเศษที่คุ้มค่าและหลากหลายมากขึ้นอันเกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่าง AIS Fibre และ 3BB”

ซึ่งนอกเหนือจากประโยชน์ของลูกค้าดังกล่าวแล้ว เรายังมองถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตบ้านที่ยังต้องอาศัยผู้เล่นที่มีความพร้อมในการพัฒนาโครงข่ายไฟเบอร์ในประเทศไทย เพื่อให้เกิดการขยายการลงทุนไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ที่จะเปิดโอกาสให้คนไทยทุกกลุ่มได้รับบริการอินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดและพื้นที่ห่างไกล ซึ่งจะเป็นการผลักดันให้ตลาดเกิดการแข่งขัน สร้างทางเลือกที่หลากหลายให้กับผู้บริโภค จากบริการอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็ว ครอบคลุม

“สาระ ล่ำซำ” คว้ารางวัลสุดยอดซีอีโอด้านนวัตกรรมและการบริหารจัดการองค์กร​ ​เวที​ Bangkok Post CEO of the Year 2023

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับรางวัลเกียรติยศ “Best CEO in Innovation and Management Excellence 2023”  สุดยอดซีอีโอด้านนวัตกรรมและความเป็นเลิศในการบริหารการจัดการองค์กร ในงาน Bangkok Post CEO of the Year 2023  โดยมีนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติมอบรางวัล ซึ่งรางวัลสะท้อนถึงความสำเร็จและความเป็นเลิศในการบริหารจัดการที่เป็นเอกลักษณ์ในตำแหน่งซีอีโอขององค์กร รวมถึงความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความชำนาญในด้านนวัตกรรมและการบริหารจัดการองค์กร โดยงานจัดขึ้น  ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

สำหรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้  แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการกำหนดกลยุทธ์ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพในการนำองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน  โดยการนำนวัตกรรมมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว   เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและ        การให้บริการแก่ลูกค้า นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการองค์กรที่เป็นเลิศและมีคุณภาพ  โดยส่งผลที่มีประสิทธิภาพขององค์กรไปยังลูกค้าทุกคน  ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการองค์กรขณะเดียวกันความเป็นเลิศในการบริหารจัดการและนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพจะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญสำหรับการพัฒนาธุรกิจ ตลอดจนการส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคม ผ่านการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่   และการสร้างองค์กรที่มีความยั่งยืนในอนาคต

TNL ไตรมาส 3/66 กำไรสุทธิพุ่ง 653% โตก้าวกระโดด เดินหน้าลุยธุรกิจปล่อยสินเชื่อ-บริหารสินทรัพย์

0

นางสาวสุธิดา จงเจนกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TNL เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมที่ 842 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 305 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 271 ล้านบาท เติบโตขึ้น 235 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 653% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จาก 3 ธุรกิจใหม่ในปี 2566 สำหรับผลประกอบการในงวด 9 เดือน ปี 2566 บริษัทฯ รายได้รวมที่ 2,186 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 730 ล้านบาท หรือโตขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 501 ล้านบาท เติบโตขึ้น 422 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 534%                 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการเสริมทัพด้วย 3 Growth Engine ใหม่ โดยสามารถเพิ่มอัตรากำไรสุทธิเป็น 23% ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับ 5% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

สำหรับธุรกิจ 3 Growth Engine ใหม่ที่ผลักดันรายได้และกำไรสุทธิให้แก่บริษัทฯ ประกอบด้วย ธุรกิจให้สินเชื่อที่มีหลักประกัน ผ่าน บริษัท ออกซิเจน แอสเซ็ท จำกัด (Oxygen) ในไตรมาส 3 ปี 2566 มีรายได้ 141 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยปัจจุบัน Oxygen   มีพอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 5,193 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 1,604 ล้านบาท หรือ 45% จากวันที่ 31 ธันวาคม 2565 สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2566 Oxygen มีรายได้รวมที่ 358 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 Oxygen ยังคงบริหารคุณภาพพอร์ตสินเชื่อได้ดี โดยลูกหนี้ทั้งหมดของ Oxygen มีสถานะปกติ ไม่มีลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)

ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายผ่าน บริษัท บริหารสินทรัพย์ ออกซิเจน จำกัด (OAM) เริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 หลังจากประมูลพอร์ต NPL ได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 โดยมีหนี้ที่บริหารรวมมูลค่า 1,621 ล้านบาท โดยในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปี 2566 OAM มีรายได้รวม 46 ล้านบาท

และ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ผ่าน บริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด (TNLA)  ในไตรมาส 3 ปี 2566 มีรายได้ 277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 199 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยหลักๆ  มาจากการรับรู้กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนทั้งหมดของ 2 Joint Ventures ได้แก่ บริษัท พระราม 9  อัลไลแอนซ์ จำกัด และบริษัท คูคต สเตชัน อัลไลแนซ์ จำกัด ให้แก่ บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) (PROUD) สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2566 TNLA มีรายได้ 415 ล้านบาท

นางสาวสุธิดา กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 บริษัทฯ ยังคงมุ่งขยายธุรกิจทั้ง 4 ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้อย่างสม่ำเสมอ โดยมี 3 ธุรกิจใหม่ที่เป็น New Growth Engine ที่จะช่วยเพิ่มอัตราการทำกำไรให้เติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่บริษัทในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน และสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความไม่แน่นอนสูง บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตพอร์ตสินเชื่อ และพอร์ตลงทุน NPLs อย่างมีคุณภาพและระมัดระวัง และเน้นการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อ Oxygen และใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพของ AMC

ทั้งนี้ ตอกย้ำด้วยผลการประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (CGR) ประจำปี 2566 ล่าสุดที่จัดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ภายใต้การสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทฯ ได้รับการประเมินในระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) โดยได้คะแนนสูงถึง 108% ซึ่งตอกย้ำศักยภาพการดำเนินงานของบริษัท ที่มุ่งเน้นพัฒนาการกำกับดูแลกิจการที่ดี และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน

ล่าสุด บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้จำนวน 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการออกหุ้นกู้ครั้งแรกของบริษัทฯ โดยได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม โดยมีนักลงทุนทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ เสนอความต้องการซื้อเข้ามาจำนวนมาก ซึ่งได้ดำเนินการการขายเสร็จสิ้นแล้ว โดยวัตถุประสงค์ของการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้  เพื่อเตรียมเป็นเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจ ทั้งธุรกิจให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่มีหลักประกัน (Secured Lending) และธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC) ในอนาคต

นางสาวสุธิดากล่าวว่า บริษัทฯ เป็นหนึ่งบริษัทในเครือสหพัฒน์ที่มีประวัติยาวนาน โดยก่อตั้งมาแล้ว 48 ปี ที่ผ่านมาสามารถสร้างผลประกอบการและผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นมาอย่างต่อเนื่อง และในปี 2566 ถือเป็นปีแรกที่บริษัทฯ ได้ปรับโฉมธุรกิจใหม่ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเข้าลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการเติบโตเพิ่มขึ้นและยั่งยืนให้กับบริษัทด้วยการปรับเปลี่ยนใน 2 ด้าน ได้แก่ 1.โครงสร้างธุรกิจ โดยการเพิ่ม 3 ธุรกิจใหม่ที่จะมาเป็น New Growth Engine แก่บริษัท และ 2. โครงสร้างองค์กร โดยมี Strategic Partner บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เข้ามาร่วมถือหุ้นในบริษัทฯ เพื่อร่วมขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตไปด้วยกัน

ปัจจุบัน บริษัทฯ ดำเนินงานใน 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญอยู่เดิม และเสริมทัพด้วยธุรกิจใหม่จากผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง BTS ได้แก่ ธุรกิจให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่มีหลักประกัน (Secured Lending) และธุรกิจการเงินประเภทธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจการลงทุนในบริษัทร่วมทุนเพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย เพื่อเติมเต็ม Ecosystem ของธุรกิจสู่การเป็นผู้นำอย่างครบวงจร

ผู้เชี่ยวชาญ ย้ำกระบวนการผลิตอาหารแปรรูป สะอาด ปลอดภัย ผู้บริโภคมั่นใจได้

0
บทความ​โดย​ รองศาสตราจารย์ ดร.อินทาวุธ สรรพวรสถิตย์ รองคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิถีชีวิตที่เร่งรีบแข่งกับเวลาในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ในร้านสะดวกซื้อ ถือเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้ดี เพราะช่วยตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบาย ประหยัดเวลา กระบวนการผลิตได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองอย่างถูกต้อง มีความสะอาด ปลอดภัย อีกทั้งอาหารยังคงคุณค่าทางโภชนาการที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไว้อีกด้วย

ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป เป็นอาหารที่ผลิตจากวัตถุดิบทางการเกษตร เช่น เนื้อสัตว์ พืชผัก ผลไม้ ที่นำมาผ่านกระบวนการแปรรูปด้วยเทคโนโลยี ไม่ว่าการให้ความร้อน ความเย็น หรือวิธีใดก็ตาม เปลี่ยนเป็นอาหารปรุงรสสำเร็จ พร้อมรับประทาน เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาให้นานขึ้น และอาหารมีความปลอดภัยมากขึ้น โดยยังคงคุณค่าทางโภชนาการไว้ ทำให้ผู้บริโภครับประทานง่าย สะดวก และได้รับคุณค่าทางอาหารที่ร่างกายต้องการ

ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร ผู้ผลิตที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน Good Manufacturing Practice หรือ GMP ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติที่ดีในการผลิตอาหาร นอกจากกระบวนการผลิตจะได้รับมาตรฐานแล้ว ยังต้องมีความปลอดภัยสูงสุด มีการควบคุมหลายด้าน เช่น ควบคุมแมลง หรือสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรค ควบคุมอุณหภูมิ ทั้งในกระบวนแปรรูป กระบวนการทำให้สุก และอุณหภูมิการเก็บรักษา มีการตรวจสอบทุกขั้นตอนการผลิต ซึ่งจะมีการสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์อยู่เป็นประจำตามข้อกำหนด หรือตามระยะเวลาที่กำหนด ให้มั่นใจว่าจะไม่มีสิ่งที่เป็นอันตรายมาถึงผู้บริโภค

ผู้บริโภคควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและเนื้อสัตว์แปรรูป จากผู้ผลิตที่มั่นใจได้ว่ามีมาตรฐาน สังเกตจากตราสัญลักษณ์ข้อกำหนดมาตรฐานที่ผู้ผลิตใช้รับรอง อาทิ ระบบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม GMP HACCP หรือ มาตรฐานอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร รวมถึงพิจารณาสลากผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผู้บริโภคต้องให้ความสำคัญโดยเฉพาะ วันเดือนปีที่หมดอายุ หรือวันเดือนปีที่ผลิต รวมถึงล็อตการผลิต ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปได้ถึงตั้งแต่วันผลิต หรือใช้เนื้อสัตว์ล็อตใด โดยมีการบันทึกไว้ตลอดทุกขั้นตอน หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นจะทำให้ตรวจสอบได้ว่าเกิดขึ้นที่ขั้นตอนใด นอกจากนี้สลากยังระบุถึงองค์ประกอบต่างๆ ของอาหาร รวมถึงคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์จากสารอาหารที่จะได้รับ ผู้บริโภคควรพิจารณาเพื่อที่จะได้มั่นใจว่าอาหารที่รับประทานเป็นประโยชน์ และเหมาะต่อสุขภาพร่างกายของผู้บริโภค

“ผู้บริโภคที่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปจากผู้จำหน่ายในตลาดสด หรือสตรีทฟู้ด ให้สอบถามผู้จำหน่ายว่า ผลิตภัณฑ์เป็นของผู้ผลิตใด หากไม่ทราบ หรือมีแหล่งที่มาไม่ชัดเจน ขาดความน่าเชื่อถือ ควรหลีกเลี่ยงเพื่อความปลอดภัย”

ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและเนื้อสัตว์แปรรูป แม้จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการทำให้สุกแล้ว รับประทานได้ทันที แต่ต้องเก็บแบบแช่เย็นไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิต่ำ เพื่อป้องกันทั้งจุลินทรีย์ที่ก่อโรค และจุลินทรีย์ที่ไม่ก่อโรคที่จะทำให้เกิดการเสื่อมเสียที่ตัวของผลิตภัณฑ์ ส่วนผลิตภัณฑ์ที่อุ่นแล้ว เปิดแล้ว แนะนำให้รับประทานในทันที หากเก็บไว้มีโอกาสที่จะเกิดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ สัตว์เลื้อยคลาน แมลง หรือไข่แมลงต่างๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมโดยรอบ จึงต้องระมัดระวัง ดังนั้นหากยังไม่รับประทานควรเก็บในอุณหภูมิแช่เย็นเพื่อป้องกันปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว

สำหรับปริมาณในการรับประทานเนื้อสัตว์แปรรูปในกลุ่มไส้กรอก อาจต้องคำนึงว่าข้างในมีองค์ประกอบของโปรตีนและไขมันเป็นหลัก ควรพิจารณาจำกัดปริมาณให้พอเหมาะ เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับพลังงานที่มาจากไขมันมากจนเกินไป เพราะร่างกายต้องการสารอาหารที่หลากหลายครบหมู่ ไม่ใช่เฉพาะโปรตีน ไขมัน หรือ คาร์โบไฮเดรตเท่านั้น รวมถึงเกลือแร่และวิตามินด้วย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารตามที่ต้องการอย่างครบถ้วนเพียงพอ

รู้เก็บรู้ออม : SET ESG Ratings

0

ถึงตอนนี้ คงไม่มีนักลงทุนคนไหนส่ายหน้าไม่รู้จัก “หุ้นยั่งยืน” อีกต่อไป เพราะปัจจุบัน การลงทุนในหุ้นยั่งยืน ถือเป็นเทรนด์การลงทุนของโลกยุคใหม่ โดยถูกใช้เป็นเกณฑ์ประกอบการตัดสินใจเลือกลงทุนในหุ้น ควบคู่ไปกับผลประกอบการทางธุรกิจ

ขณะที่ผู้ประกอบการ เจ้าของบริษัทเองก็เพิ่มน้ำหนักและความสำคัญกับเรื่องการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล เห็นได้จากมีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ผ่านเกณฑ์ได้รับคัดเลือกอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน เพิ่มจำนวนสูงขึ้นทุกปี

ส่วนสำคัญมาจากการผลักดันอย่างต่อเนื่องของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่สนับสนุนให้ บจ.ทำธุรกิจแบบมีความรับผิดชอบ สร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ผ่านการประกาศรายชื่อหุ้นยั่งยืนที่จัดขึ้นทุกปี นับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา

และในปีนี้เช่นกันที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำการประกาศรายชื่อ แต่มีความพิเศษตรงที่มีการเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่จากเดิม THSI มาเป็น “SET ESG Ratings” และยกระดับการประกาศผลในรูปแบบของการจัดเรตติ้ง แบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่ AAA, AA, A และ BBB

คุณ “ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยว่า ปี 2566 นี้ มีบจ. ได้รับการประกาศผล SET ESG Ratings ทั้งหมด 193 บริษัท แบ่งเป็น ระดับ AAA (คะแนนรวม 90-100) จำนวน 34 บริษัท, ระดับ AA (คะแนนรวม 80-89) จำนวน 70 บริษัท, ระดับ A (คะแนนรวม 65-79) จำนวน 64 บริษัท และระดับ BBB (คะแนนรวม 50-64) จำนวน 25 บริษัท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 13 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 72% เมื่อเทียบกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมดของ SET และ mai

พบว่า บจ.ส่วนใหญ่มีการเปิดเผยข้อมูลได้ดีขึ้น ทั้งนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม การลดการใช้พลังงาน, ไฟฟ้า และน้ำ, การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ, การเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และข้อมูลที่เกี่ยวกับการจัดการความปลอดภัยอาชีวอนามัย

แต่ บจ.ยังต้องปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูลในเรื่องการบริหารความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน, ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการจัดการประเด็นสิทธิมนุษยชนในองค์กรและห่วงโซ่อุปทาน และการวัดผลสำเร็จที่ได้จากโครงการพัฒนาชุมชนและสังคม

นอกจากนี้ ผลประเมิน SET ESG Ratings ยังจะถูกนำมาใช้เป็นเกณฑ์คัดเลือกสมาชิกในดัชนี SETESG เพื่อส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน และการคัดเลือกรางวัล SET Awards กลุ่ม Sustainability Excellence เพื่อเฟ้นหา บจ.ต้นแบบด้านความยั่งยืนอีกด้วย

ผู้สนใจสามารถติดตามกระบวนการและวิธีการประเมิน รวมทั้งผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ได้ที่ SET ESG Ratings.

คุณนายพารวย

ที่มา่ คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ