Home Blog Page 109

นักวิชาการยัน “หมูเถื่อน” อันตราย วอนรัฐเร่งจัดการ ก่อนเป็นปัญหาสุขภาพประชาชน

ดร.คมกริช พิมพ์ภักดี

รศ.น.สพ. ดร.คมกริช พิมพ์ภักดี คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยถึง สถานการณ์หมูเถื่อนที่กำลังระบาดอย่างหนักทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานว่า กำลังส่งผลต่อสุขอนามัยของคนไทย ซึ่งสามารถก่อปัญหาต่อระบบสาธารณสุขในอนาคต เนื่องจากหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามานั้น เป็นหมูหมดอายุ ไม่มีคุณภาพ ไม่ผ่านการตรวจโรค และมีสารปนเปื้อนอันตรายกว่าที่คาด

“ประเทศไทยมีกฏหมายหลายฉบับที่ออกมาเพื่อความปลอดภัยทางอาหารของคนไทย อย่างหมูไทยจะต้องผ่านการตรวจทั้งก่อนชำแหละและหลังชำแหละ เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะเป็นหมูที่ปลอดภัยต่อคนไทย แต่หมูเถื่อนที่ไม่ผ่านการตรวจสอบจากเจ้าพนักงาน มีทั้งเชื้อโรคหรือสารต้องห้ามที่ประเทศไทยไม่อนุญาตให้ใช้ ซึ่งเป็นอันตรายถึงผู้บริโภคได้” รศ.น.สพ.ดร.คมกริช กล่าว

ทั้งนี้ หมูที่ลักลอบเข้ามาจากสหภาพยุโรปและอเมริกาเป็นหมูแช่แข็งที่ต้องพึงระวัง ส่วนใหญ่เป็นหมูไม่ได้คุณภาพ บางล๊อตเป็นหมูหมดอายุแล้ว หรือเป็นหมูที่คนในประเทศต้นทางคัดทิ้ง ไม่ต้องการบริโภค แทนที่จะฝังทำลายกลับส่งเข้ามาดั๊มพ์ในประเทศไทย โดยขายในราคาถูกมาก เป็นหมูด้อยคุณภาพ การขนส่งทางไกลที่ใช้เวลาหลายเดือน กว่าจะถึงเมืองไทยย่อมไม่ได้มาตรฐาน และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการปนเปื้อนในระหว่างทาง เช่น เชื้อรา สินค้าจากต่างประเทศเช่นนี้ย่อมไม่ใช่อาหารปลอดภัยที่คนไทยสมควรบริโภค โดยสารตกค้างดังกล่าวมีทั้งที่เป็นสารก่อมะเร็ง เช่น เบต้าอะโกรนิสต์ และยาปฏิชีวนะที่บางประเทศยังอนุญาตให้ใช้ รวมถึงบางส่วนยังปนเปื้อนเชื้อรา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพผู้บริโภค ที่เบื้องต้นอาจพบอาการท้องเสีย หรือในระยะยาวก็สามารถพบเชื้อปนเปื้อนนั้นๆ ตกค้างในร่างกายทำให้เกิดการเจ็บป่วยเรื้อรัง และก่อปัญหาด้านสุขภาพและการสาธารณสุขของประเทศในระยะยาว

“ผู้บริโภคควรซื้อหาเนื้อหมูจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และพึงสังเกตราคาหมูที่ถูกผิดปกติก็ควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ หมูกระทะ ไม่ควรนำมาจำหน่ายให้ลูกค้าซึ่งตรงนี้เป็นจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคมที่ทุกร้านควรจะมี”

รศ.น.สพ. ดร.คมกริช กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า หมูเถื่อนในภาคอีสานลักลอบส่งผ่านเข้ามาทางชายแดน หรือ ช่องทางธรรมชาติ “กรมปศุสัตว์” ต้องกวดขันอย่างเข้มแข็ง ตรวจสอบจับกุมการลักลอบให้เข้มข้นขึ้น เพื่อความปลอดภัยของคนไทยทุกคน และจะเป็นการป้องกันไม่ให้ “หมูเถื่อน” บานปลายเป็นปัญหาสุขภาพของคนในชาติที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ถึงระบบสาธารณสุขของประเทศด้วย

ศูนย์ FLEC พัฒนาทักษะชีวิตลูกหลานแรงงานประมงข้ามชาติ สู่ความมั่นคงด้านอาหารและการพึ่งพาตนเอง

ศูนย์สวัสดิภาพและธรรมาภิบาลแรงงานประมงสงขลา (Fishermen’s Life Enhancement Center หรือ ศูนย์ FLEC) มุ่งมั่นเดินหน้าขับเคลื่อนกิจกรรมเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ของแรงงานประมงข้ามชาติ รวมถึงครอบครัว ในจังหวัดสงขลา เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ เสริมสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ร่วมป้องกันการค้ามนุษย์ โดยล่าสุด ศูนย์ฯ จัดกิจกรรมทัศนศึกษา เปิดโอกาสให้บุตรหลานแรงงานประมงข้ามชาติ ได้เรียนรู้นอกห้องเรียนต่อเนื่องเป็นปีที่ 4

นางสาวนาตยา เพชรรัตน์ ผู้จัดการศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเลสงขลา ในฐานะกรรมการศูนย์ FLEC กล่าวว่า เร็วๆ นี้ ศูนย์ FLEC พาลูกหลานของแรงงานประมงข้ามชาติ จำนวน 16 คน ซึ่งเป็นนักเรียนของ “ห้องเรียนรู้เพื่อเด็กและครอบครัวแรงงานเพื่อนบ้าน” ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์ FLEC เปิดประสบการณ์เรียนรู้นอกห้องเรียน อบรมวิชาชีพการประกอบอาหารและขนมไทย ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน ภาค 12 จังหวัดสงขลา สนับสนุนให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การเตรียมและปรุงอาหารอย่างปลอดภัย ต่อยอดโครงการปลูกผักสวนครัวของห้องเรียนรู้ฯ ที่เด็ก ๆ ดูแลและเก็บไปทานกับครอบครัว ซึ่งเป็นโครงการที่ริเริ่มตั้งแต่ปี 2560

ลูกหลานของแรงงานประมงข้ามชาติได้เรียนรู้การทำห่อหมกทะเล ขนมกะหรี่ปั๊บ ขนมเค้กไข่นึ่ง และขนมปุยฝ้าย กับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำแนะนำทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด และเปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือฝึกทำอาหารตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น ชั่ง ตวงวัตถุดิบ หั่นเนื้อ ล้าง นวดแป้ง ปั้นขนม ปรุง จนถึงล้างและจัดเก็บอุปกรณ์และภาชนะที่ใช้ในการปรุงอาหาร เด็กๆ ได้ชิมอาหารที่ตนเองและเพื่อนทำทั้งยังนำกลับไปแบ่งกับครอบครัวที่บ้านอีกด้วย

ด.ญ.รอเซีย วิน อายุ 13 ปี กล่าวว่า ได้มาทัศนศึกษาเป็นครั้งแรก ชอบกิจกรรมเรียนทำอาหารครั้งนี้มาก ดีใจที่ได้มา สนุก ชอบช่วงที่นวดแป้งและทำกะหรี่ปั๊บมากที่สุด ตั้งใจว่า โตขึ้นจะเป็นแม่ครัว เรียนเป็นเชฟทำขนม

ด.ญ.คีวา นู อายุ 14 ปี กล่าวว่า สนุกมาก ปกติชอบทำอาหารอยู่แล้ว ดีใจที่ได้ร่วมกิจกรรม สนุกที่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ชอบมากตอนทำขนมเค้กไข่นึ่ง และภูมิใจได้ชิมขนมฝีมือตัวเอง ตั้งใจนำกลับไปฝากที่บ้านด้วย และฝึกฝนต่อที่บ้าน ก่อนหน้านี้คุณครูพาไปเที่ยวสวนสัตว์ เมืองเก่าของจังหวัดสงขลา

“การจัดทัศนศึกษาช่วยเปิดโลกทัศน์ให้เด็กและเยาวชน เปลี่ยนบรรยากาศการเรียนรู้ กระตุ้นให้เด็กตั้งใจพัฒนาตนเองมากขึ้น ปีนี้ ศูนย์ FLEC จัดกิจกรรมทัศนศึกษาให้กับเด็กแล้ว 4 ครั้ง เด็กชอบและสนุกกับกิจกรรม โดยเฉพาะ การเรียนการทำอาหารครั้งนี้สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก และช่วยให้เด็กตระหนักการปรุงอาหารที่สด สะอาด ปลอดภัย เป็นพื้นฐานช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งสามารถพัฒนาเป็นทักษะอาชีพได้อีกด้วย” นางสาวนาตยา กล่าว

กิจกรรมเรียนการทำอาหาร เป็นกิจกรรมต่อยอดจากกิจกรรมส่งเสริมปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินเอง เข้าถึงอาหารปลอดภัยที่ดีต่อสุขภาพ ลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาศักยภาพในการพึ่งพาตนเอง และร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับครอบครัวแรงงานประมงข้ามชาติ สอดคล้องกับเป้าหมายของศูนย์ FLEC ในการส่งเสริมทักษะจำเป็นเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน ให้แก่กลุ่มเปราะบาง

ศูนย์ FLEC ได้ก่อตั้งและดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน เป็นการผนึกความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม 7 องค์กร ประกอบด้วย 1) องค์การสะพานปลา 2) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 3) สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยฯ 4) ศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเลสงขลา (บ้านสุขสันต์) 5) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ 6) บริษัท จีอีพีพี สะอาด จำกัด หรือ GEPP สตาร์ทอัพไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านข้อมูลการบริหารจัดการขยะ และ 7) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บูรณาการความเชี่ยวชาญมาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานประมงข้ามชาติ และครอบครัว กว่า 200 ครัวเรือน บริเวณท่าเรือประมงสงขลาให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ในทุกมิติ ทั้งมิติสุขภาพ การศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม โดยนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ และถ่ายทอดความรู้ และพัฒนาทักษะต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์และตรงกับความต้องการของครอบครัวแรงงานข้ามชาติ และต่อยอดสู่การส่งเสริมแรงงานประมงข้ามชาติเป็นอีกพลังร่วมในการจัดการปัญหาขยะในชุมชนและขยะในทะเลอย่างยั่งยืน ซึ่งจะกลายเป็นต้นแบบความร่วมมือในการยุติปัญหาการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานเด็ก และแรงงานผิดกฎหมาย และดูแลสิ่งแวดล้อมทางทะเล

AIS ปล่อยแคมเปญ “มีความรู้ก็อยู่รอด” ชวนคนไทยหยุดเสี่ยงภัยไซเบอร์ รู้เท่าทันโลกออนไลน์

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เปิดเผยว่า AIS เปิดตัวแคมเปญสื่อสาร พร้อมหนังโฆษณาชุดใหม่ล่าสุดภายใต้แนวคิด “มีความรู้ก็อยู่รอด” ตอกย้ำภารกิจเพื่อนคู่คิดดิจิทัล เพื่อคนไทยทุกเจนเนอเรชัน ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลอันดับ 1 ของไทยที่พร้อมเป็นกลไกช่วยผลักดันและส่งเสริมการเติบโตเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการยกระดับสังคมการใช้งานดิจิทัลให้มีความปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยมุ่งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาจากภัยไซเบอร์ทุกรูปแบบ ที่วันนี้กำลังกลายเป็นปัญหาคอขาดบาดตาย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และสิ่งเดียวที่จะทำให้เราเอาชนะภัยไซเบอร์ได้ก็คือ “ความรู้” ซึ่งวันนี้สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองกับหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ จากการเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขในมิติของการร่วมสร้างสุขภาวะดิจิทัลที่ดี รวมถึงกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือ ตำรวจไซเบอร์ ในมิติการดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มมิจฉาชีพ ทั้งหมดเพื่อขับเคลื่อนสังคมสู่การเป็นพลเมืองดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบ

“ภารกิจของ AIS อุ่นใจไซเบอร์ คือ การเดินหน้าทำงานเพื่อความยั่งยืนเพื่อสร้างทักษะดิจิทัล ใน 2 มิติ คือ 1) นำเทคโนโลยีมาพัฒนาในรูปแบบของบริการดิจิทัลที่ช่วยป้องกันภัยไซเบอร์ และ 2) สร้างภูมิปัญญา องค์ความรู้ เพื่อส่งเสริมและสร้างทักษะดิจิทัลให้คนไทยรู้เท่าทัน พร้อมอยู่กับโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยล่าสุดเราได้ เปิดตัวหลักสูตรการเรียนรู้ออนไลน์ “อุ่นใจไซเบอร์” ที่เป็นการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐทั้งและเอกชน ยกระดับการเรียนการสอนในยุคดิจิทัล เพื่อปกป้องภัยไซเบอร์ สร้างภูมิคุ้มกันการใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลยุคใหม่ตั้งแต่เด็กและเยาวชนไปจนถึงคนทั่วไป อันจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือป้องกันภัยร้ายจากโลกไซเบอร์ ”

“การทำงานอย่างต่อเนื่องทำให้เรามองเห็นถึงปัญหาที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น สร้างผลกระทบต่อสังคม และในบางกรณีตามมาถึงขั้นสร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน การปกป้องสร้างภูมิคุ้มกัน รวมถึงสร้างการตระหนักรู้ในเรื่องนี้ให้กับคนไทย จึงถือเป็นวาระเร่งด่วน และเป็นที่มาของการเปิดตัวแคมเปญการสื่อสารภายใต้แนวคิด “มีความรู้ก็อยู่รอด” เพราะเชื่อว่าสิ่งที่จะทำให้เราสู้กับทุกภัยไซเบอร์ได้คือ การมีความรู้ ซึ่งจะเป็นการตอกย้ำภารกิจและความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS ในการนำองค์ความรู้มาส่งต่อให้กับคนไทยได้ใช้เป็นอาวุธเพื่อรับมือกับภัยไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานออนไลน์ในหลากหลายรูปแบบ”

นายพลัช ร่มไทรย์ ผู้กำกับภาพ Phenomena อธิบายว่า “ถือเป็นโจทย์ที่สนุกและท้าทายสำหรับพวกเราในการที่จะสื่อสารเรื่องภัยไซเบอร์ให้ออกมาแล้วสามารถสร้างความเข้าใจให้กับผู้ชมได้ในวงกว้าง โดยเราเลือกที่จะชี้ให้เห็นว่าภัยเหล่านี้ เป็นปัญหาใหญ่แบบคอขาดบาดตาย ที่ทุกคนอาจจะตายได้หากไม่รู้ ไม่เข้าใจ และไม่มีวิธีรับมือ ซึ่งสิ่งเดียวที่จะช่วยให้รอดได้ก็คือ ความรู้ โดยเราเลือกใช้วิธีเล่าเรื่องแนวตลก สยองขวัญ ผ่านตัวละครผีที่โดนภัยไซเบอร์ในรูปแบบใกล้ตัวทำร้าย จนถึงขั้นเสียชีวิต เพื่อสื่อให้เห็นว่าทุกคนมีโอกาสตกเป็นเหยื่อจากการใช้งานออนไลน์หรือแม้แต่สื่อดิจิทัลได้ตลอดเวลา และ “ความรู้” เท่านั้นจะช่วยให้อยู่รอดได้”

แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงสถานการณ์ภาพรวมด้านสุขภาพจิตของคนไทยโดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้งานสื่อออนไลน์ที่ส่งผลต่อสุขภาวะดิจิทัลว่า “การอยู่รอดและมีสุขภาพดี หมายรวมถึงการมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี ซึ่งวันนี้ยังมีคนไทยและเยาวชนมากมาย ที่เจอปัญหาภัยไซเบอร์และไม่สามารถรับมือได้อย่างเหมาะสม กรมสุขภาพจิต จึงมุ่งสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจถึงทักษะด้านดิจิทัล โดยเฉพาะ Digital Literacy พร้อมๆกับการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างการตระหนักรู้ เพราะวันนี้คิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องมาร่วมกันหยุดปัญหานี้เพื่อลดความสูญเสียทั้งต่อจิตใจ ชีวิต และทรัพย์สิน ด้วยการเสริมสร้างองค์ความรู้ที่จะอยู่รอดได้อย่างดีในโลกยุคดิจิทัลปัจจุบัน ก่อนที่จะแก้ไขไม่ทัน”

นอกเหนือจากการสร้างทักษะดิจิทัลที่ดีเพื่อรับมือกับปัญหาการกลั่นแกล้ง การล้อเลียน การไซเบอร์บูลลี่ หรือปัญหาที่ส่งผลต่อสุขภาวะของผู้คนแล้ว การมีความรู้ยังช่วยทำให้เราป้องกันภัยที่เกิดขึ้นจากกลุ่มมิจฉาชีพที่หวังใช้โอกาสจากเทคโนโลยีในการหลอกลวงจนนำไปสู่ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินในที่สุดด้วย โดย พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รองผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้ความคิดเห็นในเรื่องนี้ว่า “การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ถือเป็นภารกิจหลักของ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งหัวใจสำคัญที่จะทำให้ภารกิจนี้สำเร็จได้คือพี่น้องประชาชนต้องมีสติรู้เท่าทันกลลวงของมิจฉาชีพ ผมเชื่อว่าถ้าเราร่วมกันสื่อสาร และสร้างองค์ความรู้ให้ประชาชนมีสติรู้เท่าทันโดยต้อง ไม่เชื่อ สรรพคุณอวดอ้างหรือการชักจูงในทุกรูปแบบ ไม่คุยกับสายที่ไม่มั่นใจ ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัว ไม่โอนเงินให้กับคนที่ไม่รู้จักผ่านการรับสายอย่างเด็ดขาด หากเข้าใจกระบวนการและวิธีการปฏิเสธได้ ความรู้เหล่านี้จะเป็นภูมิคุ้มกันชั้นดีที่ทำให้เราปลอดภัยจากโลกไซเบอร์ได้”

ติดตามแคมเปญ “มีความรู้ก็อยู่รอด” ได้ที่ Facebook: AIS Sustainability และรับชมหนังโฆษณาชุดใหม่ล่าสุดได้ที่ https://m.ais.co.th/rxHnoozSJ

รู้เก็บรู้ออม : SET IN THE CITY 2022

ที่มา คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง” หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

แฟนคอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน…สู่ความมั่งคั่ง” สอบถาม “คุณนายพารวย” มาว่า งานมหกรรมการลงทุน SET IN THE CITY อีเวนต์ใหญ่ส่งท้ายปี ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งนักลงทุนและประชาชนผู้สนใจเรื่องการเงินการลงทุน ต่างเฝ้ารอ งานปี 65 นี้จะจัดขึ้นเมื่อไหร่?

มีประกาศออกมาแล้วว่า SET IN THE CITY 2022 ปีนี้ มีกำหนดจัดงานวันที่ 5-6 พ.ย.2565 ตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น. แฟนพันธุ์แท้เรื่องลงทุนทราบกันแล้ว ห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะถึงเวลาแล้วที่เราจะทำให้เงินออมเงินเก็บได้งอกเงย จากการลงทุนในรูปแบบต่างๆและโอกาสใหม่ๆผ่านความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุนกันแบบจุใจ สร้างความมั่นใจในการลงทุนในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น

งานครั้งนี้ มีสัมมนา 4 หัวข้อสำคัญ ที่จะช่วยวิเคราะห์แนวโน้ม ทิศทางลงทุน ให้เราไม่ตกเทรนด์ ไม่ว่าจะเป็น อัปเดตเศรษฐกิจ จับทิศลงทุน 2023, ปรับพอร์ต จัดทัพ รับดอกเบี้ยขาขึ้น, วิเคราะห์เจาะ Theme เด่น Trend เติบโต และ เปิด Roadmap สู่การลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล

พร้อมจัดทัพเวิร์กช็อป สุดเข้มข้นเพื่อนักลงทุนมือใหม่ สอนแบบจับมือทำ Step-by-Step เรียนได้ทุกเพศ ทุกวัย ขอเพียงมีใจรักการลงทุน เห็นเรื่องที่เปิดสอนทั้ง 6 เรื่องแล้วน่าเข้าร่วมทุกเรื่อง ทั้ง การสอนมือใหม่ ลงทุนออนไลน์ ให้เทรดได้ ใช้เครื่องมือเป็น กับ Streaming, การสร้างพอร์ตลงทุน ทำได้เองไม่ง้อเซียน, เปิดตำราหาหุ้น ฉบับมือใหม่ สไตล์ KFC, เปิดสูตรลงทุนหุ้นต่างประเทศ เทรดอย่างมืออาชีพ, สร้างโอกาสทำกำไร ในกราฟเทคนิค กับ Wave Rider และสอนเทรด TFEX FX FUTURES แบบ Step-by-Step ด้วย MT4

และยกขบวนผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและการลงทุนมาคอยให้คำแนะนำ ปลดล็อกทุกปัญหาให้กับนักลงทุนทั้งหน้าเก่า หน้าใหม่ หรือผู้สนใจที่มีคำถาม ข้อสงสัยเรื่องการเงินการลงทุนการันตีได้เลยว่า ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับประโยชน์จากข้อมูล ความรู้แบบจัดเต็ม เช่นเดียวกับ SET IN THE CITY ทุกปีที่ผ่านมา

งานจัดขึ้นที่หอประชุม ศ.สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถ.รัชดาภิเษก เดินทางสะดวกโดยรถไฟฟ้า MRT ลงสถานีศูนย์วัฒนธรรม ออกประตู 3 เป็นงานแรกที่จัดควบคู่ทั้ง Online และ Offline เปิดอาคารต้อนรับผู้ลงทุน ภายในงานยังมีหลากหลายบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ รวมถึง 22 แห่งที่มาให้คำปรึกษาบริการเปิดบัญชีลงทุน ครบ จบในงาน พร้อมโปรโมชันพิเศษต้อนรับมือใหม่อีกด้วย

ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้แล้วตั้งแต่ตอนนี้ทาง เว็บ www.setinvestnow. com/setinthecity รีบหน่อย! เพราะงานนี้รับจำนวนผู้เข้าร่วมงานจำนวนจำกัดเพียง 1,000 คนเท่านั้น และผู้ลงทะเบียนร่วมงานจะได้รับสิทธิพิเศษถึง 3 ต่อ คือสิทธิ์ในการเข้าใช้ SET Smart 3 เดือน, เอกสารประกอบการสัมมนาจากทุกวิทยากร และกระเป๋าผ้า Investnow

จดปฏิทินทำตัวเองให้ว่าง รอวันงานกันไว้เลย เพราะถ้าพลาดไปเสียดายแทน รออีกทีปีหน้าเลยจ้ะ!

คุณนายพารวย

TIP ZONE By ทิพยประกันภัย มอบหมวกกันน็อค 500 ใบ ให้นร.ในพื้นที่เขตยานนาวา สร้างสังคมปลอดภัย

รายงานข่าวเปิดเผยว่า นายอาคม ไม้ดัดจันทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย มอบหมวกกันน็อคสำหรับนักเรียน ตามโครงการ “TIP ZONE by ทิพยประกันภัย ร่วมสร้างสังคมปลอดภัย” จำนวน 500 ใบ โดยมี ผศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯกทม. รับมอบ เพื่อนำไปมอบให้กับโรงเรียนต่างๆ ในเขตพื้นที่ยานนาวา เป็นการรณรงค์ส่งเสริมให้ ผู้ปกครอง นักเรียน และบุคลากรในสถานศึกษา ตระหนักถึงความปลอดภัย และปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเคารพกฎจราจร สวมหมวกกันน็อคเมื่อขับขี่หรือซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันและลดความรุนแรงการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแล้วยังลดผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหรือบุคคลรอบข้าง

ทั้งนี้ยังร่วมกันปลูกต้นไม้ในโครงการปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้นของกทม. เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว และกำแพงกรองฝุ่นอีกด้วย ณ. เขตยานนาวา

ซีพีเอฟ ใช้ระบบคอมพาร์ทเม้นท์ ป้องกันโรคไข้หวัดนก 100% ตอกย้ำผู้ผลิตอาหารปลอดภัยส่งถึงมือผู้บริโภค

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ชูระบบ “คอมพาร์ทเม้นท์” (Compartment) ช่วยป้องกันโรคไข้หวัดนกในอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ไทยปลอดจากไข้หวัดนกมานานกว่า 14 ปี แนะเกษตรกรเฝ้าระวังและคุมเข้ม ยกระดับระบบการควบคุมความปลอดภัยทางชีวภาพในฟาร์มสัตว์ปีก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค ว่าเนื้อไก่ ไข่ไก่ และผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกของไทยปลอดภัย แนะเลือกซื้อจากผู้ผลิตและแหล่งจำหน่ายมาตรฐาน ย้ำปรุงสุกก่อนรับประทานเท่านั้น

สพ.ญ.ดร.นิอร บุญประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการ หน่วยงานสัตวแพทย์บริการด้านสัตว์ปีก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มีระบบป้องกันไข้หวัดนกในฟาร์มสัตว์ปีกของบริษัท และฟาร์มของเกษตรกรในโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงไก่กับบริษัท (Contract Farming) อย่างแข็งแกร่ง โดยพัฒนาระบบการควบคุมความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity System) เพื่อป้องกันโรคสัตว์ปีก และยกระดับมาตรฐานการจัดการฟาร์มสัตว์ปีก โดยได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ ที่สำคัญซีพีเอฟได้ร่วมกับกรมปศุสัตว์ จัดทำ “โครงการปลอดโรคไข้หวัดนก” ภายใต้รูปแบบการบริหารจัดการด้วย “ระบบคอมพาร์ทเม้นท์” หรือการเลี้ยงสัตว์ปีกในระบบฟาร์มปิด ตามหลักการขององค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (World Organization for Animal Health หรือ OIE) มาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นให้ความรู้ สร้างความตระหนักแก่บุคลากรและเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก ในเรื่องสุขศาสตร์ การป้องกันโรค วิธีการสังเกตอาการป่วยของสัตว์ปีก และแนวทางการปฏิบัติเพื่อการป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง จึงสามารถป้องกันโรคในสัตว์ปีกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สพ.ญ.ดร.นิอร บุญประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการ หน่วยงานสัตวแพทย์บริการด้านสัตว์ปีก ซีพีเอฟ

ปัจจุบันการเลี้ยงสัตว์ปีกในฟาร์มของซีพีเอฟทั้งหมด ใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Fully Automation) ช่วยลดแรงงานคนให้น้อยที่สุด ทดแทนด้วยการใช้เทคโนโลยี เพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อโรคที่จะเข้าไปสู่ตัวสัตว์ในระบบการเลี้ยง โดยมีสัตวบาลผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบการเลี้ยงผ่านคอมพิวเตอร์ ด้วยการใช้ AI ในการตรวจติดตามพฤติกรรม ความเป็นอยู่และสุขภาพสัตว์ หากพบความผิดปกติเกิดขึ้น ก็สามารถปรึกษากับสัตวแพทย์ได้ทันที เพื่อวางแผนการรักษาได้โดยไม่ต้องเข้าตรวจในฟาร์ม ช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากคนเป็นพาหะ บางกรณีที่จำเป็นต้องใช้แรงงานคน ต้องมีมาตรการที่เข้มงวด บุคลากรที่จะเข้าไปในพื้นที่เลี้ยง ต้องมีชำระร่างกายและคัดกรองโรคตามมาตรฐานที่กำหนด รวมถึงยานพาหนะที่เข้าไปในเขตฟาร์มต้องผ่านการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อก่อนทุกครั้ง

“ซีพีเอฟมีมาตรการติดตามสุขภาพฝูงสัตว์ปีกและเฝ้าระวังโรคอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง ด้วยมาตรการที่รัดกุมของระบบคอมพาร์ทเม้นท์ จึงช่วยลดโอกาสและลดความเสี่ยงการเกิดโรคสัตว์ได้เป็นอย่างดี จากหลักการประเมินความเสี่ยงหรือวิเคราะห์ปัจจัยของการเกิดโรคภายในฟาร์ม เพื่อหาทางป้องกันและจัดการกับปัจจัยเสี่ยงจึงทำให้การควบคุมและป้องกันโรคทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหลายประเทศกำลังประสบปัญหาไข้หวัดนกอยู่ เกษตรกรไทยต้องมีมาตรการเฝ้าระวังและดูแลฝูงสัตว์ปีกที่เข้มข้นขึ้น (Disease Surveillance System) โดยใช้มาตรการป้องกันโรคตั้งแต่ต้นทาง มีระบบการเลี้ยง การจัดการที่ถูกต้อง ด้วยระบบการป้องกันโรคที่ดี ตามคำแนะนำของกรมปศุสัตว์และสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด เกษตรกรมั่นใจได้ว่าสามารถป้องกันโรคไข้หวัดนกได้อย่างแน่นอน” สพ.ญ.ดร.นิอร กล่าว

สำหรับกระบวนการตรวจติดตามสถานะทางสุขภาพสัตว์ของซีพีเอฟ มีการดำเนินการเป็นประจำทุกเดือน โดยมีการเก็บตัวอย่าง swab สัตว์ปีกพันธุ์เพื่อส่งตรวจแยกเชื้อไวรัสสำคัญ และเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อตรวจติดตามสถานะทางภูมิคุ้มกันของฝูงสัตว์ปีกต่อโรคติดเชื้อสำคัญ สำหรับสัตว์ปีกเนื้อจะมีการสุ่มเก็บตัวอย่าง swab และอวัยวะทุกฝูงก่อนปลด เพื่อส่งตรวจวิเคราะห์ว่าปราศจากการปนเปื้อนไวรัสสำคัญ ได้แก่ ไข้หวัดนก และนิวคาสเซิล ควบคู่กับการตรวจสอบการปนเปื้อนยาปฏิชีวนะและสารตกค้างต่างๆ และเก็บตัวอย่างเนื้อที่เป็นผลิตภัณฑ์สุดท้ายหลังแปรรูป ส่งตรวจในห้องปฏิบัติการอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยในผลิตภัณฑ์ก่อนถึงมือผู้บริโภค ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟยังร่วมกับกรมปศุสัตว์ และเกษตรกรในพื้นที่ เก็บตัวอย่างเพื่อตรวจเฝ้าระวังโรคในฟาร์มสัตว์ปีกที่เลี้ยงในพื้นที่ 1 กิโลเมตร รอบฟาร์มอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมการทำวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิลในฝูงสัตว์ปีกเลี้ยงหลังบ้าน และสนับสนุนการพ่นยาฆ่าเชื้อในบริเวณจุดเสี่ยงต่อการติดเชื้อด้วย

สพ.ญ.ดร.นิอร กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงไม่ให้เชื้อไวรัสก่อโรคและเชื้อจุลชีพอื่นเข้ามาภายในฟาร์มเลี้ยงไก่ ต้องมีระบบป้องกันโรคที่ดี โดยมีหลักการที่ควรปฏิบัติ 8 ประการ คือ แยกบริเวณพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่เลี้ยงสัตว์ปีกให้ชัดเจน มีรั้วรอบขอบชิดสามารถป้องกันสัตว์พาหะจากภายนอกฟาร์ม ทำการจำกัดบุคคลเข้าฟาร์มเท่าที่จำเป็นเท่านั้น มีการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อยานพาหนะทุกชนิดก่อนเข้ามาไปภายในฟาร์ม ต้องล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเตรียมโรงเรือนก่อนเลี้ยงไก่รุ่นใหม่ ทำการซ่อมแซมโรงเรือน โครงสร้าง และอุปกรณ์การเลี้ยงให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน มีตาข่ายกันนกเพื่อไม่ให้มาทำรังบริเวณชายคาหรือเข้าไปภายในโรงเรือน มีระบบป้องกันสัตว์พาหะอื่นๆ โดยเฉพาะ หนู ด้วงดำ และแมลงวันซึ่งเป็นพาหะนำโรค จัดทำระบบการบำบัดน้ำและจัดการของเสียภายในฟาร์มอย่างถูกวิธี

กรณีที่เกษตรกรผู้เลี้ยงพบสัตว์ปีกตายกะทันหัน หรือมีอาการผิดปกติ ต้องแจ้งสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มและปศุสัตว์ในพื้นที่โดยเร็ว หากพบการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกผิดกฎหมาย โดยเฉพาะพื้นที่เขตชายเดน หรือพบสัตว์ปีกตามธรรมชาติแสดงอาการป่วยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตรวจวินิจฉัยต่อไป สำหรับวิธีการป้องกันตนเองจากไวรัสไข้หวัดนก ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ไม่ทราบประวัติ รวมถึงมูลและสารคัดหลั่ง หรือสัตว์ปีกที่มีอาการหรือสงสัยว่าป่วย หากเกิดการสัมผัสให้ใช้สบู่ล้างมือให้สะอาดทันที สำหรับผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศในพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดของโรค ควรสังเกตสุขภาพตนเอง หากรู้สึกมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ให้ไปพบแพทย์โดยเร็ว รวมถึงสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค

“เพื่อการรับประทานเนื้อไก่ เนื้อเป็ด และสัตว์ปีกอื่นได้อย่างมั่นใจ ผู้บริโภคควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตที่มีระบบการผลิตผ่านการรับรองมาตรฐาน และแหล่งจำหน่ายที่เชื่อถือได้ สังเกตสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” และซื้อผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่มีฉลากแจ้งข้อมูลสำคัญที่ชัดเจน อาทิ วันผลิต วันหมดอายุ และก่อนรับประทาน ต้องปรุงสุกที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส ขึ้นไป ใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาที ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดนกได้” สพ.ญ.ดร.นิอร กล่าวทิ้งท้าย

“หมูเถื่อน” มหันตภัยร้าย คนขายเลิกฉวยประโยชน์ คนซื้อเลือกหมูปลอดภัย

บทความโดย ผศ.น.สพ.ดร. สุเจตน์ ชื่นชม นายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มหมูไทย

ปี 2565 นับเป็นปีแห่งวิกฤตซ้อนวิกฤตของผู้เลี้ยงหมู จากต้นทุนการเลี้ยงที่สูงทำให้ผู้เลี้ยงต้องแบกรับต้นทุนสูง สืบเนื่องจากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ยังคงปะทุอยู่ ส่งผลให้ต้นทุนของภาคปศุสัตว์ที่สูงอยู่แล้วตั้งแต่ปลายปี 2564 พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รำ ข้าวสาลี กากถั่วเหลือง อาทิ ข้าวโพดอาหารสัตว์ ที่พุ่งขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 13 บาท ล่าสุดมีราคากิโลกรัมละ 12.35 บาท จากแต่เดิมภาครัฐต้องมีมาตรการควบคุมราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขั้นต่ำที่กิโลกรัมละ 8.50 บาท โดยต้นทุนวัตถุดิบสำคัญๆ นี้คิดเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นรวม 25-30 %

ขณะเดียวกัน ภาวะโรคระบาด ทั้งโรคระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินหายใจหมู (Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome : PRRS) โรคระบบทางเดินอาหาร (Porcine Epidemic Diarrhea : PED) ที่ทำให้หมูเกิดอาการท้องเสียในหมูทุกช่วงอายุ และที่สาหัสสุดคือ โรคอหิวาต์แอฟริกัน (African Swine Fever : ASF) เป็นจุดเปลี่ยนของวงการเลี้ยงหมู เกษตรกรผู้เลี้ยงที่ยังอยู่รอดได้ต่างต้องให้ความสำคัญกับการนำระบบไบโอซีเคียวริตี้ มาปรับใช้ในระบบการเลี้ยง ยิ่งส่งผลให้ต้นทุนการเลี้ยงสูงขึ้น โดยบางฟาร์มมีต้นทุนต่อตัวหมูถึง 500 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนรายที่เสียหาย และไม่สามารถไปต่อได้ ก็อำลาวงการไป ทำให้ปริมาณหมูในระบบลดน้อยลง ปริมาณลูกหมูที่เคยผลิตได้ 21-22 ล้านตัวต่อปี ซึ่งรองรับการบริโภคในประเทศได้อย่างเพียงพอ เหลือเพียง 12-13 ล้านตัวต่อปี

Raw pork meat isolated on white background

ในภาวะที่ผู้เลี้ยงหมูพยายามประคับประคองราคาหน้าฟาร์มไว้ที่ 100 บาทต่อกิโลกรัม กลับมีวิกฤตซ้อนวิกฤตให้เกษตรกรเผชิญคือ “หมูเถื่อน” หรือ “หมูกล่อง” จากประเทศต่างๆ เช่น บราซิล เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สเปน มาในรูปของเนื้อหมู และชิ้นส่วนต่างๆ ทั้งขา หัว เครื่องใน ที่ออกมาขายกันเกลื่อนเมือง และขายในราคาต่ำมากที่ 135-140 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งหมูเถื่อนเหล่านี้มีโอกาสปนเปื้อนเชื้อ ASF แทบทั้งหมด จากที่มีการตรวจพบเชื้อดังกล่าวในเนื้อหมูที่ขายตามตลาดในกรุงเทพฯ อีกทั้งยังมีการใช้สารเร่งเนื้อแดง สารต้องห้ามตาม พรบ.ควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ของไทย ของกรมปศุสัตว์ ตั้งแต่ปี 2546

สืบเนื่องจากประเทศต้นทางยังไม่เข้มงวดกับสารตกค้างในเนื้อสัตว์ ทั้งยาปฏิชีวนะ สารเร่งเนื้อแดง และยาฆ่าแมลง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ นอกจากนี้ หมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามายังเป็นเนื้อหมูหมดอายุจากประเทศต้นทาง ทำให้สามารถขายได้ในราคาถูก กล่าวได้ว่า เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับหมูขยะ ทำให้ประเทศต้นทางไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำลาย โดยส่งบรรดาเศษหมูเหลือทิ้งเหล่านั้น เข้ามาทำลายกลไกการเลี้ยงหมูในประเทศ

ท่ามกลางสถานการณ์หมูเถื่อน จึงจัดเป็น “มหันตภัย” ของประเทศ ทำลายทั้งสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค อาจ “ตายผ่อนส่ง” จากสารเร่งเนื้อแดง ข้อสำคัญผู้บริโภคต้องไม่เห็นแก่ของถูก ควรเลือกซื้อจากแหล่งจำหน่ายที่เชื่อถือได้ ผ่านการรับรองมาตรฐานจากกรมปศุสัตว์ ด้วยการสังเกตสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” ที่การันตีกระบวนการผลิตหมูปลอดภัยไร้สารตกค้าง ส่วนผู้ค้าต้องไม่นำหมูเถื่อนเหล่านี้มาขาย เพียงเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ขอให้เห็นแก่สุขอนามัยที่ดีของผู้บริโภคไทยทุกคน รวมทั้งยังช่วยพยุงอาชีพการเลี้ยงหมูของพี่น้องเกษตรกร ซึ่งการเลี้ยงหมูช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องมากกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี

ดังนั้น การกวาดล้าง “หมูเถื่อน” จึงเป็นเรื่องของประชาชนทุกคนที่ต้องไม่นิ่งดูดาย และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจะต้องร่วมดำเนินการอย่างบูรณาการ ทั้งกรมปศุสัตว์ กรมศุลกากร และตำรวจ ในการจัดการปัญหาลักลอบนำเข้าอย่างจริงจัง เพื่อรักษามาตรฐานความปลอดภัยอาหารของประเทศ ช่วยให้เกษตรกรมีกำลังใจในการฟื้นฟูการเลี้ยง ผลิตเนื้อหมูคุณภาพดีให้กับผู้บริโภค

AIS คว้า 2 รางวัลใหญ่ SET AWARDS 2022 บทพิสูจน์เป้าหมายดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เปิดเผยว่า AIS สามารถคว้า 2 รางวัลใหญ่จากเวที SET AWARDS 2022 ที่จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ที่มีความยอดเยี่ยมและดีเด่นในด้านต่างๆ จากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา

สำหรับปีนี้ AIS ยังคงทำผลงานได้อย่างโดดเด่น กวาดมาได้ถึง 2 รางวัลใหญ่ ได้แก่ รางวัล Business Excellence สาขา Outstanding Investor Relations Awards ซึ่งเป็นการได้รับรางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และรางวัล Highly Commended Sustainability Awards ซึ่งได้รับการจัดอันดับในระดับที่สูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาในกลุ่มรางวัล Sustainable Excellence ที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส ตามหลักบรรษัทภิบาลเพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างรอบด้าน

“เป็นอีกครั้งที่ความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS ในฐานะผู้นำด้านการให้บริการดิจิทัลโครงข่ายที่แข็งแกร่ง ทำให้เราได้รับรางวัลเกียรติยศจาก SET AWARDS 2022 อันถือเป็นความภูมิใจของชาว AIS อย่างยิ่ง เพราะเป็นรางวัลที่สะท้อนให้เห็นถึงการทำงานเพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ ผ่านศักยภาพความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่มุ่งขยายโอกาสการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประชาชนอย่างเท่าเทียม”

นอกจากนี้ AIS ยังให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ผ่านการสร้างสมดุลระหว่างการบริหารจัดการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และดูแลการใช้งานของลูกค้าเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดทั้งในแง่ของคุณภาพโครงข่ายและการให้บริการ รวมไปถึงการใช้พลังงานทางเลือก และการจัดการของเสียจากการดำเนินธุรกิจ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้คนไทยเข้าใจวิธีการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี

สำหรับรางวัล Business Excellence สาขา Outstanding Investor Relations Awards เป็นรางวัลที่พิจารณาจากการได้รับการยอมรับและเชื่อมั่นขององค์กร ตลอดจนความพึงพอใจจากกลุ่มนักลงทุนในมิติของการดำเนินกิจกรรมนักลงทุนสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ มุ่งเน้นความถูกต้องโปร่งใส ให้ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ และสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงยังมีการวางนโยบายที่คำนึงถึงประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและนักลงทุนอย่างดียิ่งมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รางวัล Highly Commended Sustainability Awards ซึ่งได้รับการจัดอันดับในระดับที่สูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาในกลุ่มรางวัล Sustainable Excellence ก็นับเป็นเครื่องยืนยันได้ถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการดำเนินธุรกิจตามกรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ AIS ที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในโลกดิจิทัล

นายสมชัย กล่าวตอนท้ายว่า “ต้องขอขอบคุณตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และวารสารการเงินธนาคาร ที่มอบรางวัลอันทรงเกียรติให้กับ AIS ถึง 2 รางวัลในปีนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจและพลังให้พวกเราทำงานอย่างสุดความสามารถในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้แข็งแกร่ง อันจะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศในทุกมิติ เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับบริษัทจดทะเบียนและผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ที่สามารถใช้ขีดความสามารถขององค์กรมาสร้างการเติบโตร่วมกันของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ได้อย่างเต็มศักยภาพตามเป้าหมายการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน”

 

OR กวาด 3 รางวัลใหญ่เวที SET Awards 2022 ด้านความโดดเด่น และธุรกิจยั่งยืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มอบรางวัล SET Awards 2022 จำนวน 3 รางวัล ได้แก่ รางวัล Deal of the Year Awards จากกลุ่มรางวัล Business Excellence รางวัล Rising Star Sustainability Awards จากกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence และรางวัล Outstanding Deal Award จากกลุ่มรางวัล Business Excellence ให้แก่ นายวิศาล ชวลิตานนท์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และนายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ OR ในงานประกาศผลรางวัล SET Awards 2022 จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร เพื่อเป็นการยกย่อง เชิดชู สร้างความภาคภูมิใจให้แก่บริษัทจดทะเบียนและผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 เป็นต้นมา ต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 นับเป็นรางวัลเกียรติยศที่ทรงคุณค่าสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความยั่งยืนของตลาดทุนไทย

นายวิศาล เปิดเผยว่า ปีนี้ OR ได้รับรางวัล SET Awards 2022 ถึง 3 รางวัล ประกอบด้วย รางวัล Deal of the Year Awards จากกลุ่มรางวัล Business Excellence เนื่องด้วยผลงานอันโดดเด่นของ OR ในการขับเคลื่อนตลาดทุน ด้วยการเป็น IPO deal ที่มีผู้จองซื้อรายย่อยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กว่า 530,000 รายการ อีกทั้งยังเป็น deal กลุ่มพลังงานที่ใหญ่สุด และรางวัล Rising Star Sustainability Awards จากกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence ซึ่งตอกย้ำผลสำเร็จจากการที่ OR ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคง ตามแนวทาง ESG และร่วมสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ตลอดจนสังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่ง OR มุ่งมั่นที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) เพื่อมุ่งสู่การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon-neutrality) ภายในปี 2030 และจะเป็นรากฐานที่นำไปสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรที่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Carbon Zero) ในปี 2050 นอกจากนี้ OR ยังได้รับรางวัล Outstanding Deal Award จากกลุ่มรางวัล Business Excellence เนื่องจาก OR มีผลงานอันโดดเด่นจากการระดมทุน IPO ที่มีขนาดมากกว่า 3,000 ล้านบาท โดย OR สามารถระดมทุนได้ 53,000 ล้านบาทอีกด้วย

OR ขอขอบคุณคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ที่เชื่อมั่นในศักยภาพและพิจารณาให้ OR ได้รับรางวัลเหล่านี้ รวมทั้ง การได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อของกลุ่มบริษัทที่มีหุ้นยั่งยืน THSI ประจำปี 2565 ในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร ซึ่งถือเป็นอีกบทพิสูจน์ของการดำเนินธุรกิจที่มุ่งมั่นสร้างโอกาสเพื่อทุกการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนทั้ง ผู้คน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ภายใต้วิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนองค์กรของ OR “Empowering All toward Inclusive Growth” หรือ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน” นายวิศาล กล่าวตอนท้าย

เชสเตอร์เสิร์ฟ 2 เมนูพรีเมียม เอาใจสาย Truffle Lover – สายเฮลท์ตี้เจแปนนีสฟู้ด

บริษัท เชสเตอร์ ฟู้ด จำกัด ธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในเครือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ภายใต้แบรนด์ Chester’s (เชสเตอร์) เปิดตัวเมนูใหม่สุดพรีเมียม “Truffle Lover” ได้แก่ “ข้าวสเต๊กไก่ย่างซอสทรัฟเฟิล” ไก่ย่าง นุ่มฉ่ำ สูตรลับเชสเตอร์ ราดด้วยซอสเห็ดทรัฟเฟิลสุดเข้มข้น รังสรรค์ด้วยวัตถุดิบคุณภาพดี ผสมผสานเห็ดแชมปิญอง เพิ่มความหอม อร่อยกลมกล่อมลงตัว ทานคู่ข้าวหอมมะลิร้อนๆ ในราคาเพียง 115 บาท และ “ไก่กรอบซอสทรัฟเฟิล” ไก่ทอดกรอบไร้กระดูก ราดด้วยซอสทรัฟเฟิล เสิร์ฟคู่กับเฟรนช์ฟรายส์ดับเบิ้ลความฟิน เพียง 129 บาท การันตีความอร่อยสไตล์เชสเตอร์ ใครได้ลองเป็นต้องร้องว้าว

ยังไม่พอ! เชสเตอร์ยังเอาใจสายเฮลตี้ เจแปนนีสฟู้ด เสิร์ฟเมนู “ข้าวสเต๊กปลาซาบะซอสเทอริยากิ” สเต๊กปลาซาบะชิ้นโต ย่างจนหอมเกรียม ท้อปปิ้งด้วยซอสเทอริยากิ สูตรซิกเนเจอร์ของเชสเตอร์ รับประทานพร้อมกับข้าวหอมมะลิร้อนๆ อร่อยฟิน สไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ไม่ควรพลาด! เพียง 169 บาทเท่านั้น

นอกจากนี้ เชสเตอร์ ยังจัดโปรโมชั่นสุดปัง! ชุดอร่อยสุดคุ้มแบบไม่ยั้ง ได้แก่ ชุดข้าวสเต๊กไก่ย่างซอสทรัฟเฟิล พิเศษเพียง 159 บาท (จากปกติ 204 บาท) อิ่มฟินไปกับข้าวสเต๊กไก่ย่างซอสทรัฟเฟิล คู่คริสปี้วิงส์ 2 ชิ้น พร้อมเป๊ปซี่ 16 ออนซ์ 1 แก้ว หรือชุดไก่กรอบซอสทรัฟเฟิล พิเศษเพียง 149 บาท (จากปกติ 169 บาท) หอมอร่อยไปกับไก่กรอบซอสทรัฟเฟิล พร้อมเป๊ปซี่ 16 ออนซ์ 1 แก้ว สำหรับสายเฮลท์ตี้ แนะนำชุดสเต๊กปลาซาบะซอสเทอริยากิ เสิร์ฟคู่กับเป๊ปซี่ 16 ออนซ์ 1 แก้ว พิเศษเพียง 185 บาท (จากปกติ 246 บาท) เลือกอิ่มอร่อยได้ในแบบที่ต้องการ ราคานี้เฉพาะทานที่ร้านหรือนำกลับเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2565 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

เชสเตอร์ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเมนูมีคุณภาพหลากหลาย รสชาติอร่อย และการบริการที่รวดเร็ว เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า รวมถึงกิจกรรมทางการตลาดที่ทันสมัยตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกวัย สามารถติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆ ได้ที่ Facebook Page เชสเตอร์ : https://www.facebook.com/chesterthai/ และ www.chesters.co.th หรือ โทร. 1145 พิเศษ! บริการจัดส่งฟรี เมื่อสั่ง 200 บาทขึ้นไป หรือ แอดไลน์เป็นเพื่อนกับเชสเตอร์ได้ที่ @chestersthai