Home Blog Page 110

“ภูริต” นายกเอ็กซ์ตรีม เปิดรายการแข่งเวคบอร์ด-เวคสเก็ต ชิงแชมป์โลก 2022 ครั้งแรกในไทย

“ภูริต ภิรมย์ภักดี” นายกสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย เป็นประธานเปิด เวคบอร์ด-เวคสเก็ต ชิงแชมป์โลก 2022 รายการเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยมีนักกีฬาจาก 32 ประเทศ 300 ชีวิต ร่วมชิงชัย พร้อมเผยได้การตอบรับจากเหล่านักกีฬาทั่วโลกเป็นอย่างดี ขณะที่ นักกีฬาไทย ก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ชี้ “เมืองไทย” จัดแข่งกีฬาอะไร ใครๆ ก็อยากมาเยือน ยืนยันพร้อมดึงรายการระดับโลกมาจัดอีก แถมเล็ง “โค้ชฝีมือดี” มาสร้างนักกีฬาเอ็กซ์ตรีมไทยในประภทต่างๆ เพื่อพัฒนาไปสู่ระดับโลกต่อไป ด้านการแข่งขัน “พิรัฐพงศ์ กิตติวีระภัค” นักเวคบอร์ดหนุ่มไทย โชว์ลีลาสุดสะเด่า คว้าแชมป์กลุ่ม เวคบอร์ด รุ่นมาสเตอร์ ชาย (อายุมากกว่า 30 ปี) ตีตั๋วเข้ารอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ

การแข่งขันเวคบอร์ด-เวคสเก็ต ชิงแชมป์โลก 2022 รายการ “Singha IWWF World Cable Wakeboard and Wakeskate Championships 2022” ซึ่งสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย ได้รับเกียรติจากสหพันธ์วอเตอร์สกีและเวคบอร์ดนานาชาติ (International Waterski & Wakebord Federation) หรือ IWWF ให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น, การกีฬาแห่งประเทศไทย และกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ จัดแข่งขันที่สนามเอส ไทย เวคปาร์ค (ESC Thai wake park) อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม-6 พฤศจิกายน 2565 มีนักกีฬาเวคบอร์ดและเวคสเก็ตระดับโลก และนักกีฬาทีมชาติไทย รวม 32 ประเทศ เข้าร่วมอย่างคับคั่งกว่า 300 คน

ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจาก นายภูริต ภิรมย์ภักดี นายกสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย มร.โฆเซ อันโตนิโอ เปเรซ ประธานสหพันธ์เวคบอร์ดนานาชาติชาวสเปน พร้อมคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ และนักกีฬาจากทุกชาติเข้าร่วมในพิธี

นายภูริต ภิรมย์ภักดี นายกสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ได้จัดรายการแข่งเวคบอร์ด-เวคสเก็ตระดับโลก มีนักกีฬาเข้ามาร่วมถึง 300 คน ถือว่าเป็นการตอบรับที่ดีมากๆ นอกจากนี้ ตนกำลังคุยกับทางสเก็ตบอร์ดและอินไลน์สเก็ต เพื่อจัดการแข่งขันรายการใหญ่ๆ ในไทย

ส่วนผลการแข่งขันในวันที่ 2 นั้น ยังคงเป็นการแข่งขันในรอบคัดเลือก เพื่อคัดเอานักกีฬาที่ได้อันดับ 1 ของกลุ่ม ในแต่ละรุ่นของแต่ละประเภท เข้าไปแข่งขันในรอบรองชนะเลิศ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ต่อด้วยรอบชิงชนะเลิศ ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ต่อไป

ไฮไลต์ที่น่าสนใจของนักเวคบอร์ดและเวคสเก็ตทีมชาติไทย อยู่ที่ประเภทเวคบอร์ด รุ่นมาสเตอร์ ชาย (อายุมากกว่า 30 ปี) กลุ่ม C ปรากฏว่า พิรัฐพงศ์ กิตติวีระภัค โชว์ลีลาได้อย่างสุดยอด เก็บคะแนนไป 60.00 คะแนน คว้าแชมป์กลุ่ม พร้อมกับผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ได้สำเร็จ ขณะที่ ศุภนัฐ อนุภาพภันธ์ คว้าอันดับ 2 ทำได้ 52.67 คะแนน ต้องไปลุ้นคว้าตั๋วเข้ารอบรองชนะเลิศ อีกครั้ง ในการแข่งขันรอบคัดเลือกครั้งสุดท้าย หรือ LCQ (last change qualify) ส่วนรุ่นมาสเตอร์ หญิง (อายุมากกว่า 30 ปี) อันดับ ได้แก่ แม็กซิน ซาพูเลตต์ จากเนเธอร์แลนด์ ทำได้ 77.00 คะแนน ส่วน ศีรสินธุ์ ขำกล่อม ทำได้ 45.33 คะแนน จบอันดับ 3 ยังต้องไปลุ้นในรอบ LCQ

ส่วนผลรุ่นอื่นๆ ของนักกีฬาไทย ที่น่าสนใจ มีดังนี้ ประเภทเวคบอร์ด รุ่นอาวุโส ชาย (อายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไป) กลุ่ม A อันดับ 1 ได้แก่ ซาเวียร์ ลาโครซ์ จากฝรั่งเศส ทำได้ 54.33 คะแนน ส่วน ศุภกฤษ มะลิแย้ม คว้าอันดับ 4 ทำได้ 35.00 คะแนน ต้องไปลุ้นในรอบ LCQ

รุ่นอาวุโส หญิง (อายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไป) อันดับ 1 ได้แก่ เอลซเบียตา นิตส์เซอร์ จากโปแลนด์ ทำได้ 55.33 คะแนน ส่วน ธัญชนก การสมมุติ ทำได้ 44.67 คะแนน ได้อันดับ 2 และ อนงนาฏ นาคปาน ได้อันดับ 4 ทำได้ 25.00 คะแนน โดยทั้งคู่ยังได้ลุ้นในรอบ LCQ

รุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี หญิง คัดเอาอันดับ 1-2 เข้ารอบรองชนะเลิศ กลุ่ม A อันดับ 1 ได้แก่ นิโคเล เรกัซโซ จากอิตาลี ทำได้ 73.67 คะแนน อันดับ 2 ได้แก่ วาเนสซา ทิททาเรลลี จากอิตาลี ทำได้ 68.00 คะแนนส่วน จัสมิน โนแลน จบอันดับ 5 ทำได้ 56.00 คะแนน ส่วนกลุ่ม C อันดับ 1 ได้แก่ ไลลา ชิลลิง จากฝรั่งเศส ทำได้ 73.67 คะแนน อันดับ 2 มาเรียลลา เฟลมเม จากออสเตรีย ทำได้ 64.33 คะแนน และ ศิรประภา สีตวาริน จบอันดับ 5 ทำได้ 34.00 คะแนน โดยจัสมินและศิรประภา ยังได้แก้ตัวในรอบ LCQ.

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ ตอน “อยากช่วยคนอื่น แต่ตัวเองก็ไม่ไหว ถือว่าเห็นแก่ตัวไหม”

พระราชวัชรบัณฑิต (ประนอม ธมฺมาลงฺกาโร) เจ้าอาวาสวัดจากแดง

กูรูกู้ใจ บอกว่า ถ้าสุดวิสัยที่เราจะช่วยได้ ก็ต้องวางอุเบกขาวางใจเป็นกลาง เค้าสร้างเหตุมาแบบนี้จึงได้รับผลแบบนี้

เราช่วยไม่ได้ เราก็มองด้วยใจกรุณาสงสาร ไม่ซ้ำเติมก็พอแล้ว

ติดตามรายการ #รู้ทันปากท้อง กับ #ตลาดหลักทรัพย์ ได้ที่ LINE “SET ทั่วไทย” กดเพิ่มเพื่อน https://lin.ee/8XMjNPQ

ซีพีเอฟ เดินหน้าคลายทุกข์ประชาชน 28 จังหวัดทั่วไทย เร่ง “ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม” ต่อเนื่อง

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เร่งช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม 28 จังหวัด ล่าสุด ชาวซีพีเอฟจิตอาสาเดินหน้ามอบอาหารและน้ำดื่ม ภายใต้โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม” ช่วยคลายทุกข์ชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นนทบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท อ่างทาง ร้อยเอ็ด และศรีสะเกษ อย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วย พลตำรวจโทจิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 รับมอบไข่ไก่สดซีพี ปลอดสาร ปลอดภัย จำนวน 10,000 ฟอง เพื่อสนับสนุนภารกิจของตำรวจภูธรภาค 1 ที่จะนำไปบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมใน 4 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี อ่างทอง และสิงห์บุรี อย่างทั่วถึง โดยมี นายสัมฤทธิ์ แสงลอย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธุรกิจผลิตไก่รุ่น ไก่ไข่ ภาคกลาง พร้อมทีมงานจิตอาสา ร่วมกันส่งมอบ ณ กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พลตำรวจโทจิรพัฒน์ ภูมิจิตร กล่าวว่า ไข่ไก่สดซีพีที่รับมอบในครั้งนี้ จะส่งต่อไปยัง ตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยา ตำรวจภูธรนนทบุรี ตำรวจภูธรอ่างทอง และตำรวจภูธรสิงห์บุรี เพื่อให้ข้าราชการฝ่ายปกครองและตำรวจ มอบให้ประชาชนทั้ง 4 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากพายุโนรู จนทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นท่วมบ้านเรือนประชาชนในจังหวัดดังกล่าว ขอขอบคุณซีพีเอฟที่เร่งให้ความช่วยเหลือคนไทยสู้วิกฤตนี้มาโดยตลอด ในเวลาที่พี่น้องกำลังเดือดร้อนและต้องการอาหารการกิน ไข่ไก่เป็นเรื่องสำคัญเพราะสามารถปรุงสดได้ทันที ในยามที่คนไทยยากลำบาก ข้าราชการต้องลงไปช่วยและเป็นสะพานเชื่อมให้ภาคเอกชนอย่าง ซีพีเอฟ มาร่วมด้วยช่วยกัน

ด้านจังหวัดร้อยเอ็ด ที่บ้านคุยค้อ ตำบลดินดำ อำเภอจังหาร ยังคงมีพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณฝนที่ตกลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แม่น้ำชีล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรมของประชาชน นายอัมพร อัมพรพุทธิสกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ มอบหมายให้ผู้บริหารและทีมงานศูนย์ตัดแต่งและแปรรูปสุกรแปดริ้ว ฉะเชิงเทรา ลงพื้นที่ช่วยเหลือและมอบผลิตภัณฑ์เนื้อหมูพร้อมปรุง 750 กิโลกรัม ให้กับชาวบ้านคุยค้อ 211 ครัวเรือน จากระดับน้ำท่วมสูงถึง 2 เมตร อีกทั้งยังมีครอบครัวพนักงานที่อาศัยในพื้นที่ด้วย โดย นายทินกร ขันแก้ว นายอำเภอจังหาร พร้อมด้วย นางประจิน ปวงสุข นายกเทศบาลตำบลดินดำ และ นายอาคม เฉลิมแสน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด ร่วมรับมอบ

ขณะที่ จังหวัดชัยนาท นายศักรินทร์ ศรีสมวงศ์ นายอำเภอมโนรมย์ มอบหมายให้ นายจรัญ เรืองรุ่ง ปลัดอาวุโสอำเภอมโนรมย์ รับมอบเครื่องอุปโภคบริโภคจาก ซีพีเอฟ ประกอบด้วย น้ำดื่มซีพี 6,000 ขวด ข้าวสาร 105 กิโลกรัม ไข่ไก่สด อาหารสำเร็จรูป และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยมี นายสุรชัย ศรีพารา ผู้จัดการโครงการส่งเสริมสุกรขุนชัยนาท และ นายศตวรรษ ต๊ะปวก ผู้จัดการโครงการส่งเสริมสุกรขุนสิงห์บุรี พร้อมชาวซีพีเอฟจิตอาสา ร่วมมอบ ทั้งนี้ นายอำเภอมโนรมย์ ขอบคุณซีพีเอฟที่ห่วงใยพี่น้องคนไทยเร่งให้ความช่วยเหลือในเหตุการณ์น้ำท่วมมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะด้านอาหารการกินให้ทุกคนได้มีอาหารเพียงพอในการดำรงชีวิต พร้อมทั้งส่งกำลังใจเพื่อให้ผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน

นอกจากนี้ ทีมงานจิตอาสาธุรกิจห้าดาว ยังเดินหน้าภารกิจ “ห่วงใยกัน สู้ภัยน้ำท่วม” ช่วยประชาชนสู้ ใน 3 จังหวัด รวม 5 พื้นที่ ได้แก่ สิงห์บุรี อ่างทอง และศรีสะเกษ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์จากซีพีเอฟ น้ำดื่ม ข้าวสาร อาหารแห้ง แทนความห่วงใยคนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมอบถึงมือชาวชุมชน ตลอดจนตัวแทนจากหน่วยงานช่วยเหลือและป้องกันอุทกภัยประจำจังหวัด ที่ทำหน้าที่กระจายเสบียงอาหารทั้งหมดอย่างทั่วถึง เชื่อว่าสถานการณ์จะคลี่คลายในเร็วๆ นี้

ซีพีเอฟ ยังคงเดินหน้ามอบอาหารปลอดภัยส่งตรงถึงมือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ 28 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครนายก ขอนแก่น อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร นครราชสีมา มหาสารคาม เลย ร้อยเอ็ด เชียงใหม่ สุโขทัย เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ อุทัยธานี อ่างทอง ชัยนาท พิจิตร พิษณุโลก สระบุรี ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี นนทบุรี และกรุงเทพฯ ในเขตบางนาและมีนบุรี อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนไทยก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

รู้เก็บรู้ออม : รู้จัก Direct Listing!!

ทุกวันนี้การจะนำหุ้นหรือหลักทรัพย์เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยได้ ขั้นตอนแรกคือ ต้องมีการกระจายขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือการขายหุ้น IPO (Initial Public Offering) ในตลาดแรก

จากนั้นก็จะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งถือเป็น “ตลาดรอง” ที่อนุญาตให้นำหุ้น IPO มาซื้อขายเปลี่ยนมือกันได้เพื่อให้เกิดสภาพคล่อง

ขั้นตอนขายหุ้นใน “ตลาดแรก” ต้องตั้งที่ปรึกษาหรือวาณิชธนกิจ เข้ามาทำให้บริษัทมีคุณสมบัติตามที่กำหนด ประเมินมูลค่ากิจการ เพื่อกำหนดราคาหุ้น IPO จากนั้นแต่งตั้ง อันเดอร์ไรเตอร์ เป็นตัวแทนจำหน่าย โดยเป้าหมายบริษัทที่นำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็เพื่อระดมทุนไปขยายกิจการให้เติบโต และทำให้ภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของบริษัทดีขึ้น

ปัจจุบันมีการเข้าตลาดหุ้นแบบใหม่ที่เรียกว่า Direct Listing โดยไม่ต้องทำ IPO ซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2561 โดยบริษัท Spotify Technology S.A. ผู้พัฒนาแอปฯฟังเพลงแบบสตรีมมิง Spotify และบริษัท Slack Technologies, Inc. ผู้พัฒนาแอปฯ Slack ที่ใช้ส่งข้อความทำงานร่วมกันในองค์กร ก็เข้าตลาดหุ้นนิวยอร์กด้วยวิธี Direct Listing!!

Direct Listing ก็คือการนำหุ้นของบริษัทมาขายให้นักลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้น โดยไม่ต้องขายผ่านตัวกลาง หรืออันเดอร์ไรเตอร์ ในตลาดแรกก่อน นั่นคือ ไม่มีการทำ IPO นั่นเอง

ดังนั้นจึงไม่มีการออกหุ้นใหม่ ไม่ต้องสำรวจความต้องการซื้อ ไม่มีราคาจองซื้อ นักลงทุนที่สนใจสามารถเข้ามาซื้อขายได้พร้อมกันในวันแรกของการซื้อขายบนกระดาน ราคาซื้อ-ขาย ก็จะขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อ-ขายของแต่ละฝ่าย นั่นจึงทำให้ราคาหุ้นถูกกำหนดตามกลไกตลาด หรืออุปสงค์-อุปทานอย่างแท้จริง

ข้อดีของ Direct Listing คือ ประหยัดเวลา ไม่ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ เช่น จัดหาผู้จัดจำหน่าย การประเมินราคา การจัดสรรหุ้น หรือการนำเสนอข้อมูลต่อผู้ลงทุน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะตัดขั้นตอนตัวกลาง กระบวนการต่างๆ

แต่มีข้อควรระวัง คือนักลงทุนอาจเผชิญกับความผันผวนของราคา เพราะไม่ได้ผ่านการประเมินราคาจากวาณิชธนกิจ จึงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูล และประเมินมูลค่าให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน!!

สำหรับตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) มีการเสนอขายแบบ Direct Listing ทุกตัว โดยบริษัทหลักทรัพย์จะเป็นผู้ออก DW แล้วนำ DW เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นเลย

แต่อนาคตใกล้ๆนี้ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) จะใช้รูปแบบ Direct Listing มากขึ้น ซึ่งนักลงทุนสามารถรู้ราคา DR และเปรียบเทียบราคา DR ที่ซื้อขายกับสินทรัพย์อ้างอิงในต่างประเทศได้ว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ ก่อนตัดสินใจซื้อ และผู้ออกอาจจัดให้มีผู้ดูแลสภาพคล่อง ช่วยให้นักลงทุนมั่นใจว่าจะสามารถซื้อขาย DR ได้

ดังนั้น DR ถือเป็นอีกทางเลือกการลงทุนในตราสารต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูล อัปเดตเทรนด์การลงทุนสม่ำเสมอเพื่อไม่พลาดโอกาสลงทุน!!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง” หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

นักวิชาการยัน “หมูเถื่อน” อันตราย วอนรัฐเร่งจัดการ ก่อนเป็นปัญหาสุขภาพประชาชน

ดร.คมกริช พิมพ์ภักดี

รศ.น.สพ. ดร.คมกริช พิมพ์ภักดี คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยถึง สถานการณ์หมูเถื่อนที่กำลังระบาดอย่างหนักทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานว่า กำลังส่งผลต่อสุขอนามัยของคนไทย ซึ่งสามารถก่อปัญหาต่อระบบสาธารณสุขในอนาคต เนื่องจากหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามานั้น เป็นหมูหมดอายุ ไม่มีคุณภาพ ไม่ผ่านการตรวจโรค และมีสารปนเปื้อนอันตรายกว่าที่คาด

“ประเทศไทยมีกฏหมายหลายฉบับที่ออกมาเพื่อความปลอดภัยทางอาหารของคนไทย อย่างหมูไทยจะต้องผ่านการตรวจทั้งก่อนชำแหละและหลังชำแหละ เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะเป็นหมูที่ปลอดภัยต่อคนไทย แต่หมูเถื่อนที่ไม่ผ่านการตรวจสอบจากเจ้าพนักงาน มีทั้งเชื้อโรคหรือสารต้องห้ามที่ประเทศไทยไม่อนุญาตให้ใช้ ซึ่งเป็นอันตรายถึงผู้บริโภคได้” รศ.น.สพ.ดร.คมกริช กล่าว

ทั้งนี้ หมูที่ลักลอบเข้ามาจากสหภาพยุโรปและอเมริกาเป็นหมูแช่แข็งที่ต้องพึงระวัง ส่วนใหญ่เป็นหมูไม่ได้คุณภาพ บางล๊อตเป็นหมูหมดอายุแล้ว หรือเป็นหมูที่คนในประเทศต้นทางคัดทิ้ง ไม่ต้องการบริโภค แทนที่จะฝังทำลายกลับส่งเข้ามาดั๊มพ์ในประเทศไทย โดยขายในราคาถูกมาก เป็นหมูด้อยคุณภาพ การขนส่งทางไกลที่ใช้เวลาหลายเดือน กว่าจะถึงเมืองไทยย่อมไม่ได้มาตรฐาน และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการปนเปื้อนในระหว่างทาง เช่น เชื้อรา สินค้าจากต่างประเทศเช่นนี้ย่อมไม่ใช่อาหารปลอดภัยที่คนไทยสมควรบริโภค โดยสารตกค้างดังกล่าวมีทั้งที่เป็นสารก่อมะเร็ง เช่น เบต้าอะโกรนิสต์ และยาปฏิชีวนะที่บางประเทศยังอนุญาตให้ใช้ รวมถึงบางส่วนยังปนเปื้อนเชื้อรา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพผู้บริโภค ที่เบื้องต้นอาจพบอาการท้องเสีย หรือในระยะยาวก็สามารถพบเชื้อปนเปื้อนนั้นๆ ตกค้างในร่างกายทำให้เกิดการเจ็บป่วยเรื้อรัง และก่อปัญหาด้านสุขภาพและการสาธารณสุขของประเทศในระยะยาว

“ผู้บริโภคควรซื้อหาเนื้อหมูจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และพึงสังเกตราคาหมูที่ถูกผิดปกติก็ควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ หมูกระทะ ไม่ควรนำมาจำหน่ายให้ลูกค้าซึ่งตรงนี้เป็นจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคมที่ทุกร้านควรจะมี”

รศ.น.สพ. ดร.คมกริช กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า หมูเถื่อนในภาคอีสานลักลอบส่งผ่านเข้ามาทางชายแดน หรือ ช่องทางธรรมชาติ “กรมปศุสัตว์” ต้องกวดขันอย่างเข้มแข็ง ตรวจสอบจับกุมการลักลอบให้เข้มข้นขึ้น เพื่อความปลอดภัยของคนไทยทุกคน และจะเป็นการป้องกันไม่ให้ “หมูเถื่อน” บานปลายเป็นปัญหาสุขภาพของคนในชาติที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ถึงระบบสาธารณสุขของประเทศด้วย

ศูนย์ FLEC พัฒนาทักษะชีวิตลูกหลานแรงงานประมงข้ามชาติ สู่ความมั่นคงด้านอาหารและการพึ่งพาตนเอง

ศูนย์สวัสดิภาพและธรรมาภิบาลแรงงานประมงสงขลา (Fishermen’s Life Enhancement Center หรือ ศูนย์ FLEC) มุ่งมั่นเดินหน้าขับเคลื่อนกิจกรรมเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ของแรงงานประมงข้ามชาติ รวมถึงครอบครัว ในจังหวัดสงขลา เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ เสริมสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ร่วมป้องกันการค้ามนุษย์ โดยล่าสุด ศูนย์ฯ จัดกิจกรรมทัศนศึกษา เปิดโอกาสให้บุตรหลานแรงงานประมงข้ามชาติ ได้เรียนรู้นอกห้องเรียนต่อเนื่องเป็นปีที่ 4

นางสาวนาตยา เพชรรัตน์ ผู้จัดการศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเลสงขลา ในฐานะกรรมการศูนย์ FLEC กล่าวว่า เร็วๆ นี้ ศูนย์ FLEC พาลูกหลานของแรงงานประมงข้ามชาติ จำนวน 16 คน ซึ่งเป็นนักเรียนของ “ห้องเรียนรู้เพื่อเด็กและครอบครัวแรงงานเพื่อนบ้าน” ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์ FLEC เปิดประสบการณ์เรียนรู้นอกห้องเรียน อบรมวิชาชีพการประกอบอาหารและขนมไทย ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน ภาค 12 จังหวัดสงขลา สนับสนุนให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การเตรียมและปรุงอาหารอย่างปลอดภัย ต่อยอดโครงการปลูกผักสวนครัวของห้องเรียนรู้ฯ ที่เด็ก ๆ ดูแลและเก็บไปทานกับครอบครัว ซึ่งเป็นโครงการที่ริเริ่มตั้งแต่ปี 2560

ลูกหลานของแรงงานประมงข้ามชาติได้เรียนรู้การทำห่อหมกทะเล ขนมกะหรี่ปั๊บ ขนมเค้กไข่นึ่ง และขนมปุยฝ้าย กับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำแนะนำทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด และเปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือฝึกทำอาหารตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น ชั่ง ตวงวัตถุดิบ หั่นเนื้อ ล้าง นวดแป้ง ปั้นขนม ปรุง จนถึงล้างและจัดเก็บอุปกรณ์และภาชนะที่ใช้ในการปรุงอาหาร เด็กๆ ได้ชิมอาหารที่ตนเองและเพื่อนทำทั้งยังนำกลับไปแบ่งกับครอบครัวที่บ้านอีกด้วย

ด.ญ.รอเซีย วิน อายุ 13 ปี กล่าวว่า ได้มาทัศนศึกษาเป็นครั้งแรก ชอบกิจกรรมเรียนทำอาหารครั้งนี้มาก ดีใจที่ได้มา สนุก ชอบช่วงที่นวดแป้งและทำกะหรี่ปั๊บมากที่สุด ตั้งใจว่า โตขึ้นจะเป็นแม่ครัว เรียนเป็นเชฟทำขนม

ด.ญ.คีวา นู อายุ 14 ปี กล่าวว่า สนุกมาก ปกติชอบทำอาหารอยู่แล้ว ดีใจที่ได้ร่วมกิจกรรม สนุกที่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ชอบมากตอนทำขนมเค้กไข่นึ่ง และภูมิใจได้ชิมขนมฝีมือตัวเอง ตั้งใจนำกลับไปฝากที่บ้านด้วย และฝึกฝนต่อที่บ้าน ก่อนหน้านี้คุณครูพาไปเที่ยวสวนสัตว์ เมืองเก่าของจังหวัดสงขลา

“การจัดทัศนศึกษาช่วยเปิดโลกทัศน์ให้เด็กและเยาวชน เปลี่ยนบรรยากาศการเรียนรู้ กระตุ้นให้เด็กตั้งใจพัฒนาตนเองมากขึ้น ปีนี้ ศูนย์ FLEC จัดกิจกรรมทัศนศึกษาให้กับเด็กแล้ว 4 ครั้ง เด็กชอบและสนุกกับกิจกรรม โดยเฉพาะ การเรียนการทำอาหารครั้งนี้สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก และช่วยให้เด็กตระหนักการปรุงอาหารที่สด สะอาด ปลอดภัย เป็นพื้นฐานช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งสามารถพัฒนาเป็นทักษะอาชีพได้อีกด้วย” นางสาวนาตยา กล่าว

กิจกรรมเรียนการทำอาหาร เป็นกิจกรรมต่อยอดจากกิจกรรมส่งเสริมปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินเอง เข้าถึงอาหารปลอดภัยที่ดีต่อสุขภาพ ลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาศักยภาพในการพึ่งพาตนเอง และร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับครอบครัวแรงงานประมงข้ามชาติ สอดคล้องกับเป้าหมายของศูนย์ FLEC ในการส่งเสริมทักษะจำเป็นเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน ให้แก่กลุ่มเปราะบาง

ศูนย์ FLEC ได้ก่อตั้งและดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน เป็นการผนึกความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม 7 องค์กร ประกอบด้วย 1) องค์การสะพานปลา 2) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 3) สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยฯ 4) ศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเลสงขลา (บ้านสุขสันต์) 5) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ 6) บริษัท จีอีพีพี สะอาด จำกัด หรือ GEPP สตาร์ทอัพไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านข้อมูลการบริหารจัดการขยะ และ 7) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บูรณาการความเชี่ยวชาญมาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานประมงข้ามชาติ และครอบครัว กว่า 200 ครัวเรือน บริเวณท่าเรือประมงสงขลาให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ในทุกมิติ ทั้งมิติสุขภาพ การศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม โดยนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ และถ่ายทอดความรู้ และพัฒนาทักษะต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์และตรงกับความต้องการของครอบครัวแรงงานข้ามชาติ และต่อยอดสู่การส่งเสริมแรงงานประมงข้ามชาติเป็นอีกพลังร่วมในการจัดการปัญหาขยะในชุมชนและขยะในทะเลอย่างยั่งยืน ซึ่งจะกลายเป็นต้นแบบความร่วมมือในการยุติปัญหาการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานเด็ก และแรงงานผิดกฎหมาย และดูแลสิ่งแวดล้อมทางทะเล

AIS ปล่อยแคมเปญ “มีความรู้ก็อยู่รอด” ชวนคนไทยหยุดเสี่ยงภัยไซเบอร์ รู้เท่าทันโลกออนไลน์

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เปิดเผยว่า AIS เปิดตัวแคมเปญสื่อสาร พร้อมหนังโฆษณาชุดใหม่ล่าสุดภายใต้แนวคิด “มีความรู้ก็อยู่รอด” ตอกย้ำภารกิจเพื่อนคู่คิดดิจิทัล เพื่อคนไทยทุกเจนเนอเรชัน ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลอันดับ 1 ของไทยที่พร้อมเป็นกลไกช่วยผลักดันและส่งเสริมการเติบโตเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการยกระดับสังคมการใช้งานดิจิทัลให้มีความปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยมุ่งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาจากภัยไซเบอร์ทุกรูปแบบ ที่วันนี้กำลังกลายเป็นปัญหาคอขาดบาดตาย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และสิ่งเดียวที่จะทำให้เราเอาชนะภัยไซเบอร์ได้ก็คือ “ความรู้” ซึ่งวันนี้สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองกับหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ จากการเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขในมิติของการร่วมสร้างสุขภาวะดิจิทัลที่ดี รวมถึงกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือ ตำรวจไซเบอร์ ในมิติการดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มมิจฉาชีพ ทั้งหมดเพื่อขับเคลื่อนสังคมสู่การเป็นพลเมืองดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบ

“ภารกิจของ AIS อุ่นใจไซเบอร์ คือ การเดินหน้าทำงานเพื่อความยั่งยืนเพื่อสร้างทักษะดิจิทัล ใน 2 มิติ คือ 1) นำเทคโนโลยีมาพัฒนาในรูปแบบของบริการดิจิทัลที่ช่วยป้องกันภัยไซเบอร์ และ 2) สร้างภูมิปัญญา องค์ความรู้ เพื่อส่งเสริมและสร้างทักษะดิจิทัลให้คนไทยรู้เท่าทัน พร้อมอยู่กับโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยล่าสุดเราได้ เปิดตัวหลักสูตรการเรียนรู้ออนไลน์ “อุ่นใจไซเบอร์” ที่เป็นการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐทั้งและเอกชน ยกระดับการเรียนการสอนในยุคดิจิทัล เพื่อปกป้องภัยไซเบอร์ สร้างภูมิคุ้มกันการใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลยุคใหม่ตั้งแต่เด็กและเยาวชนไปจนถึงคนทั่วไป อันจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือป้องกันภัยร้ายจากโลกไซเบอร์ ”

“การทำงานอย่างต่อเนื่องทำให้เรามองเห็นถึงปัญหาที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น สร้างผลกระทบต่อสังคม และในบางกรณีตามมาถึงขั้นสร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน การปกป้องสร้างภูมิคุ้มกัน รวมถึงสร้างการตระหนักรู้ในเรื่องนี้ให้กับคนไทย จึงถือเป็นวาระเร่งด่วน และเป็นที่มาของการเปิดตัวแคมเปญการสื่อสารภายใต้แนวคิด “มีความรู้ก็อยู่รอด” เพราะเชื่อว่าสิ่งที่จะทำให้เราสู้กับทุกภัยไซเบอร์ได้คือ การมีความรู้ ซึ่งจะเป็นการตอกย้ำภารกิจและความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS ในการนำองค์ความรู้มาส่งต่อให้กับคนไทยได้ใช้เป็นอาวุธเพื่อรับมือกับภัยไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานออนไลน์ในหลากหลายรูปแบบ”

นายพลัช ร่มไทรย์ ผู้กำกับภาพ Phenomena อธิบายว่า “ถือเป็นโจทย์ที่สนุกและท้าทายสำหรับพวกเราในการที่จะสื่อสารเรื่องภัยไซเบอร์ให้ออกมาแล้วสามารถสร้างความเข้าใจให้กับผู้ชมได้ในวงกว้าง โดยเราเลือกที่จะชี้ให้เห็นว่าภัยเหล่านี้ เป็นปัญหาใหญ่แบบคอขาดบาดตาย ที่ทุกคนอาจจะตายได้หากไม่รู้ ไม่เข้าใจ และไม่มีวิธีรับมือ ซึ่งสิ่งเดียวที่จะช่วยให้รอดได้ก็คือ ความรู้ โดยเราเลือกใช้วิธีเล่าเรื่องแนวตลก สยองขวัญ ผ่านตัวละครผีที่โดนภัยไซเบอร์ในรูปแบบใกล้ตัวทำร้าย จนถึงขั้นเสียชีวิต เพื่อสื่อให้เห็นว่าทุกคนมีโอกาสตกเป็นเหยื่อจากการใช้งานออนไลน์หรือแม้แต่สื่อดิจิทัลได้ตลอดเวลา และ “ความรู้” เท่านั้นจะช่วยให้อยู่รอดได้”

แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงสถานการณ์ภาพรวมด้านสุขภาพจิตของคนไทยโดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้งานสื่อออนไลน์ที่ส่งผลต่อสุขภาวะดิจิทัลว่า “การอยู่รอดและมีสุขภาพดี หมายรวมถึงการมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี ซึ่งวันนี้ยังมีคนไทยและเยาวชนมากมาย ที่เจอปัญหาภัยไซเบอร์และไม่สามารถรับมือได้อย่างเหมาะสม กรมสุขภาพจิต จึงมุ่งสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจถึงทักษะด้านดิจิทัล โดยเฉพาะ Digital Literacy พร้อมๆกับการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างการตระหนักรู้ เพราะวันนี้คิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องมาร่วมกันหยุดปัญหานี้เพื่อลดความสูญเสียทั้งต่อจิตใจ ชีวิต และทรัพย์สิน ด้วยการเสริมสร้างองค์ความรู้ที่จะอยู่รอดได้อย่างดีในโลกยุคดิจิทัลปัจจุบัน ก่อนที่จะแก้ไขไม่ทัน”

นอกเหนือจากการสร้างทักษะดิจิทัลที่ดีเพื่อรับมือกับปัญหาการกลั่นแกล้ง การล้อเลียน การไซเบอร์บูลลี่ หรือปัญหาที่ส่งผลต่อสุขภาวะของผู้คนแล้ว การมีความรู้ยังช่วยทำให้เราป้องกันภัยที่เกิดขึ้นจากกลุ่มมิจฉาชีพที่หวังใช้โอกาสจากเทคโนโลยีในการหลอกลวงจนนำไปสู่ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินในที่สุดด้วย โดย พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รองผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้ความคิดเห็นในเรื่องนี้ว่า “การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ถือเป็นภารกิจหลักของ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งหัวใจสำคัญที่จะทำให้ภารกิจนี้สำเร็จได้คือพี่น้องประชาชนต้องมีสติรู้เท่าทันกลลวงของมิจฉาชีพ ผมเชื่อว่าถ้าเราร่วมกันสื่อสาร และสร้างองค์ความรู้ให้ประชาชนมีสติรู้เท่าทันโดยต้อง ไม่เชื่อ สรรพคุณอวดอ้างหรือการชักจูงในทุกรูปแบบ ไม่คุยกับสายที่ไม่มั่นใจ ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัว ไม่โอนเงินให้กับคนที่ไม่รู้จักผ่านการรับสายอย่างเด็ดขาด หากเข้าใจกระบวนการและวิธีการปฏิเสธได้ ความรู้เหล่านี้จะเป็นภูมิคุ้มกันชั้นดีที่ทำให้เราปลอดภัยจากโลกไซเบอร์ได้”

ติดตามแคมเปญ “มีความรู้ก็อยู่รอด” ได้ที่ Facebook: AIS Sustainability และรับชมหนังโฆษณาชุดใหม่ล่าสุดได้ที่ https://m.ais.co.th/rxHnoozSJ

รู้เก็บรู้ออม : SET IN THE CITY 2022

ที่มา คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง” หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

แฟนคอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน…สู่ความมั่งคั่ง” สอบถาม “คุณนายพารวย” มาว่า งานมหกรรมการลงทุน SET IN THE CITY อีเวนต์ใหญ่ส่งท้ายปี ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งนักลงทุนและประชาชนผู้สนใจเรื่องการเงินการลงทุน ต่างเฝ้ารอ งานปี 65 นี้จะจัดขึ้นเมื่อไหร่?

มีประกาศออกมาแล้วว่า SET IN THE CITY 2022 ปีนี้ มีกำหนดจัดงานวันที่ 5-6 พ.ย.2565 ตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น. แฟนพันธุ์แท้เรื่องลงทุนทราบกันแล้ว ห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะถึงเวลาแล้วที่เราจะทำให้เงินออมเงินเก็บได้งอกเงย จากการลงทุนในรูปแบบต่างๆและโอกาสใหม่ๆผ่านความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุนกันแบบจุใจ สร้างความมั่นใจในการลงทุนในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น

งานครั้งนี้ มีสัมมนา 4 หัวข้อสำคัญ ที่จะช่วยวิเคราะห์แนวโน้ม ทิศทางลงทุน ให้เราไม่ตกเทรนด์ ไม่ว่าจะเป็น อัปเดตเศรษฐกิจ จับทิศลงทุน 2023, ปรับพอร์ต จัดทัพ รับดอกเบี้ยขาขึ้น, วิเคราะห์เจาะ Theme เด่น Trend เติบโต และ เปิด Roadmap สู่การลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล

พร้อมจัดทัพเวิร์กช็อป สุดเข้มข้นเพื่อนักลงทุนมือใหม่ สอนแบบจับมือทำ Step-by-Step เรียนได้ทุกเพศ ทุกวัย ขอเพียงมีใจรักการลงทุน เห็นเรื่องที่เปิดสอนทั้ง 6 เรื่องแล้วน่าเข้าร่วมทุกเรื่อง ทั้ง การสอนมือใหม่ ลงทุนออนไลน์ ให้เทรดได้ ใช้เครื่องมือเป็น กับ Streaming, การสร้างพอร์ตลงทุน ทำได้เองไม่ง้อเซียน, เปิดตำราหาหุ้น ฉบับมือใหม่ สไตล์ KFC, เปิดสูตรลงทุนหุ้นต่างประเทศ เทรดอย่างมืออาชีพ, สร้างโอกาสทำกำไร ในกราฟเทคนิค กับ Wave Rider และสอนเทรด TFEX FX FUTURES แบบ Step-by-Step ด้วย MT4

และยกขบวนผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและการลงทุนมาคอยให้คำแนะนำ ปลดล็อกทุกปัญหาให้กับนักลงทุนทั้งหน้าเก่า หน้าใหม่ หรือผู้สนใจที่มีคำถาม ข้อสงสัยเรื่องการเงินการลงทุนการันตีได้เลยว่า ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับประโยชน์จากข้อมูล ความรู้แบบจัดเต็ม เช่นเดียวกับ SET IN THE CITY ทุกปีที่ผ่านมา

งานจัดขึ้นที่หอประชุม ศ.สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถ.รัชดาภิเษก เดินทางสะดวกโดยรถไฟฟ้า MRT ลงสถานีศูนย์วัฒนธรรม ออกประตู 3 เป็นงานแรกที่จัดควบคู่ทั้ง Online และ Offline เปิดอาคารต้อนรับผู้ลงทุน ภายในงานยังมีหลากหลายบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ รวมถึง 22 แห่งที่มาให้คำปรึกษาบริการเปิดบัญชีลงทุน ครบ จบในงาน พร้อมโปรโมชันพิเศษต้อนรับมือใหม่อีกด้วย

ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้แล้วตั้งแต่ตอนนี้ทาง เว็บ www.setinvestnow. com/setinthecity รีบหน่อย! เพราะงานนี้รับจำนวนผู้เข้าร่วมงานจำนวนจำกัดเพียง 1,000 คนเท่านั้น และผู้ลงทะเบียนร่วมงานจะได้รับสิทธิพิเศษถึง 3 ต่อ คือสิทธิ์ในการเข้าใช้ SET Smart 3 เดือน, เอกสารประกอบการสัมมนาจากทุกวิทยากร และกระเป๋าผ้า Investnow

จดปฏิทินทำตัวเองให้ว่าง รอวันงานกันไว้เลย เพราะถ้าพลาดไปเสียดายแทน รออีกทีปีหน้าเลยจ้ะ!

คุณนายพารวย

TIP ZONE By ทิพยประกันภัย มอบหมวกกันน็อค 500 ใบ ให้นร.ในพื้นที่เขตยานนาวา สร้างสังคมปลอดภัย

รายงานข่าวเปิดเผยว่า นายอาคม ไม้ดัดจันทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย มอบหมวกกันน็อคสำหรับนักเรียน ตามโครงการ “TIP ZONE by ทิพยประกันภัย ร่วมสร้างสังคมปลอดภัย” จำนวน 500 ใบ โดยมี ผศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯกทม. รับมอบ เพื่อนำไปมอบให้กับโรงเรียนต่างๆ ในเขตพื้นที่ยานนาวา เป็นการรณรงค์ส่งเสริมให้ ผู้ปกครอง นักเรียน และบุคลากรในสถานศึกษา ตระหนักถึงความปลอดภัย และปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเคารพกฎจราจร สวมหมวกกันน็อคเมื่อขับขี่หรือซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันและลดความรุนแรงการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแล้วยังลดผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหรือบุคคลรอบข้าง

ทั้งนี้ยังร่วมกันปลูกต้นไม้ในโครงการปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้นของกทม. เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว และกำแพงกรองฝุ่นอีกด้วย ณ. เขตยานนาวา

ซีพีเอฟ ใช้ระบบคอมพาร์ทเม้นท์ ป้องกันโรคไข้หวัดนก 100% ตอกย้ำผู้ผลิตอาหารปลอดภัยส่งถึงมือผู้บริโภค

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ชูระบบ “คอมพาร์ทเม้นท์” (Compartment) ช่วยป้องกันโรคไข้หวัดนกในอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ไทยปลอดจากไข้หวัดนกมานานกว่า 14 ปี แนะเกษตรกรเฝ้าระวังและคุมเข้ม ยกระดับระบบการควบคุมความปลอดภัยทางชีวภาพในฟาร์มสัตว์ปีก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค ว่าเนื้อไก่ ไข่ไก่ และผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกของไทยปลอดภัย แนะเลือกซื้อจากผู้ผลิตและแหล่งจำหน่ายมาตรฐาน ย้ำปรุงสุกก่อนรับประทานเท่านั้น

สพ.ญ.ดร.นิอร บุญประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการ หน่วยงานสัตวแพทย์บริการด้านสัตว์ปีก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มีระบบป้องกันไข้หวัดนกในฟาร์มสัตว์ปีกของบริษัท และฟาร์มของเกษตรกรในโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงไก่กับบริษัท (Contract Farming) อย่างแข็งแกร่ง โดยพัฒนาระบบการควบคุมความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity System) เพื่อป้องกันโรคสัตว์ปีก และยกระดับมาตรฐานการจัดการฟาร์มสัตว์ปีก โดยได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ ที่สำคัญซีพีเอฟได้ร่วมกับกรมปศุสัตว์ จัดทำ “โครงการปลอดโรคไข้หวัดนก” ภายใต้รูปแบบการบริหารจัดการด้วย “ระบบคอมพาร์ทเม้นท์” หรือการเลี้ยงสัตว์ปีกในระบบฟาร์มปิด ตามหลักการขององค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (World Organization for Animal Health หรือ OIE) มาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นให้ความรู้ สร้างความตระหนักแก่บุคลากรและเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก ในเรื่องสุขศาสตร์ การป้องกันโรค วิธีการสังเกตอาการป่วยของสัตว์ปีก และแนวทางการปฏิบัติเพื่อการป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง จึงสามารถป้องกันโรคในสัตว์ปีกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สพ.ญ.ดร.นิอร บุญประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการ หน่วยงานสัตวแพทย์บริการด้านสัตว์ปีก ซีพีเอฟ

ปัจจุบันการเลี้ยงสัตว์ปีกในฟาร์มของซีพีเอฟทั้งหมด ใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Fully Automation) ช่วยลดแรงงานคนให้น้อยที่สุด ทดแทนด้วยการใช้เทคโนโลยี เพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อโรคที่จะเข้าไปสู่ตัวสัตว์ในระบบการเลี้ยง โดยมีสัตวบาลผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบการเลี้ยงผ่านคอมพิวเตอร์ ด้วยการใช้ AI ในการตรวจติดตามพฤติกรรม ความเป็นอยู่และสุขภาพสัตว์ หากพบความผิดปกติเกิดขึ้น ก็สามารถปรึกษากับสัตวแพทย์ได้ทันที เพื่อวางแผนการรักษาได้โดยไม่ต้องเข้าตรวจในฟาร์ม ช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากคนเป็นพาหะ บางกรณีที่จำเป็นต้องใช้แรงงานคน ต้องมีมาตรการที่เข้มงวด บุคลากรที่จะเข้าไปในพื้นที่เลี้ยง ต้องมีชำระร่างกายและคัดกรองโรคตามมาตรฐานที่กำหนด รวมถึงยานพาหนะที่เข้าไปในเขตฟาร์มต้องผ่านการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อก่อนทุกครั้ง

“ซีพีเอฟมีมาตรการติดตามสุขภาพฝูงสัตว์ปีกและเฝ้าระวังโรคอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง ด้วยมาตรการที่รัดกุมของระบบคอมพาร์ทเม้นท์ จึงช่วยลดโอกาสและลดความเสี่ยงการเกิดโรคสัตว์ได้เป็นอย่างดี จากหลักการประเมินความเสี่ยงหรือวิเคราะห์ปัจจัยของการเกิดโรคภายในฟาร์ม เพื่อหาทางป้องกันและจัดการกับปัจจัยเสี่ยงจึงทำให้การควบคุมและป้องกันโรคทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหลายประเทศกำลังประสบปัญหาไข้หวัดนกอยู่ เกษตรกรไทยต้องมีมาตรการเฝ้าระวังและดูแลฝูงสัตว์ปีกที่เข้มข้นขึ้น (Disease Surveillance System) โดยใช้มาตรการป้องกันโรคตั้งแต่ต้นทาง มีระบบการเลี้ยง การจัดการที่ถูกต้อง ด้วยระบบการป้องกันโรคที่ดี ตามคำแนะนำของกรมปศุสัตว์และสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด เกษตรกรมั่นใจได้ว่าสามารถป้องกันโรคไข้หวัดนกได้อย่างแน่นอน” สพ.ญ.ดร.นิอร กล่าว

สำหรับกระบวนการตรวจติดตามสถานะทางสุขภาพสัตว์ของซีพีเอฟ มีการดำเนินการเป็นประจำทุกเดือน โดยมีการเก็บตัวอย่าง swab สัตว์ปีกพันธุ์เพื่อส่งตรวจแยกเชื้อไวรัสสำคัญ และเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อตรวจติดตามสถานะทางภูมิคุ้มกันของฝูงสัตว์ปีกต่อโรคติดเชื้อสำคัญ สำหรับสัตว์ปีกเนื้อจะมีการสุ่มเก็บตัวอย่าง swab และอวัยวะทุกฝูงก่อนปลด เพื่อส่งตรวจวิเคราะห์ว่าปราศจากการปนเปื้อนไวรัสสำคัญ ได้แก่ ไข้หวัดนก และนิวคาสเซิล ควบคู่กับการตรวจสอบการปนเปื้อนยาปฏิชีวนะและสารตกค้างต่างๆ และเก็บตัวอย่างเนื้อที่เป็นผลิตภัณฑ์สุดท้ายหลังแปรรูป ส่งตรวจในห้องปฏิบัติการอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยในผลิตภัณฑ์ก่อนถึงมือผู้บริโภค ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟยังร่วมกับกรมปศุสัตว์ และเกษตรกรในพื้นที่ เก็บตัวอย่างเพื่อตรวจเฝ้าระวังโรคในฟาร์มสัตว์ปีกที่เลี้ยงในพื้นที่ 1 กิโลเมตร รอบฟาร์มอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมการทำวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิลในฝูงสัตว์ปีกเลี้ยงหลังบ้าน และสนับสนุนการพ่นยาฆ่าเชื้อในบริเวณจุดเสี่ยงต่อการติดเชื้อด้วย

สพ.ญ.ดร.นิอร กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงไม่ให้เชื้อไวรัสก่อโรคและเชื้อจุลชีพอื่นเข้ามาภายในฟาร์มเลี้ยงไก่ ต้องมีระบบป้องกันโรคที่ดี โดยมีหลักการที่ควรปฏิบัติ 8 ประการ คือ แยกบริเวณพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่เลี้ยงสัตว์ปีกให้ชัดเจน มีรั้วรอบขอบชิดสามารถป้องกันสัตว์พาหะจากภายนอกฟาร์ม ทำการจำกัดบุคคลเข้าฟาร์มเท่าที่จำเป็นเท่านั้น มีการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อยานพาหนะทุกชนิดก่อนเข้ามาไปภายในฟาร์ม ต้องล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเตรียมโรงเรือนก่อนเลี้ยงไก่รุ่นใหม่ ทำการซ่อมแซมโรงเรือน โครงสร้าง และอุปกรณ์การเลี้ยงให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน มีตาข่ายกันนกเพื่อไม่ให้มาทำรังบริเวณชายคาหรือเข้าไปภายในโรงเรือน มีระบบป้องกันสัตว์พาหะอื่นๆ โดยเฉพาะ หนู ด้วงดำ และแมลงวันซึ่งเป็นพาหะนำโรค จัดทำระบบการบำบัดน้ำและจัดการของเสียภายในฟาร์มอย่างถูกวิธี

กรณีที่เกษตรกรผู้เลี้ยงพบสัตว์ปีกตายกะทันหัน หรือมีอาการผิดปกติ ต้องแจ้งสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มและปศุสัตว์ในพื้นที่โดยเร็ว หากพบการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกผิดกฎหมาย โดยเฉพาะพื้นที่เขตชายเดน หรือพบสัตว์ปีกตามธรรมชาติแสดงอาการป่วยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตรวจวินิจฉัยต่อไป สำหรับวิธีการป้องกันตนเองจากไวรัสไข้หวัดนก ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ไม่ทราบประวัติ รวมถึงมูลและสารคัดหลั่ง หรือสัตว์ปีกที่มีอาการหรือสงสัยว่าป่วย หากเกิดการสัมผัสให้ใช้สบู่ล้างมือให้สะอาดทันที สำหรับผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศในพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดของโรค ควรสังเกตสุขภาพตนเอง หากรู้สึกมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ให้ไปพบแพทย์โดยเร็ว รวมถึงสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค

“เพื่อการรับประทานเนื้อไก่ เนื้อเป็ด และสัตว์ปีกอื่นได้อย่างมั่นใจ ผู้บริโภคควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตที่มีระบบการผลิตผ่านการรับรองมาตรฐาน และแหล่งจำหน่ายที่เชื่อถือได้ สังเกตสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” และซื้อผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่มีฉลากแจ้งข้อมูลสำคัญที่ชัดเจน อาทิ วันผลิต วันหมดอายุ และก่อนรับประทาน ต้องปรุงสุกที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส ขึ้นไป ใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาที ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดนกได้” สพ.ญ.ดร.นิอร กล่าวทิ้งท้าย