Home Blog Page 445

พีทีที สเตชั่น ปรับแผนขายแอลกอฮอล์ล้างมือราคาทุน มีแบบขวด และถุง กระจายสินค้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น

0

พีทีที สเตชั่น ปรับแผนการจำหน่ายแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือราคาต้นทุน ในส่วนภูมิภาค

มีแบบขวด และถุง ให้เลือกซื้อ เพื่อกระจายสินค้าให้ผู้บริโภคเข้าถึง ได้หลากหลายพื้นที่มากขึ้น

หลีงจากที่พีทีที สเตชั่น ได้ซื้อแอลกอฮอล์สำหรับใช้ทำความสะอาดมือนี้มาจากบริษัทผู้ผลิตที่มีสูตรผลิตและได้ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และนำมาจำหน่ายให้กับผู้บริโภคในราคาต้นทุน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคในทุกภาคของประเทศไทยสามารถหาซื้อแอลกอฮอล์ได้สะดวกมากขึ้น แต่เนื่องจาก พีทีที สเตชั่น สามารถซื้อแอลกอฮอล์ดังกล่าวได้ในจำนวนจำกัด จึงอาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเพียงพอ

พีทีทีสเตชั่น

ล่าสุด ทางพีทีที สเตชั่น ได้ปรับแผนจำหน่ายแอลกอฮอล์สำหรับทำความสะอาดมือ โดยเพิ่มการจำหน่ายแบบถุง จากเดิมที่มีเป็นแบบขวดอย่างเดียว เพื่อกระจายสินค้าให้ถึงมือผู้ที่ต้องการได้จำนวนมาก และหลายหลายพื้นที่ขึ้น

แอลกอฮอล์ 70% สำหรับทำความสะอาดมือชนิดน้ำ แบบขวด (1000 มล.) ราคาพิเศษขวดละ 110 บาท โดยสถานีบริการน้ำมันฯ ที่ร่วมรายการในปริมณฑล มีแห่งละ 80 ขวด ส่วนสถานีบริการน้ำมันฯ ที่ร่วมรายการในส่วนภูมิภาค มีแห่งละ 144 ขวด

แอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือชนิดเจล แบบถุง (ถุงละ 500 มล.) ขายถุงละ 40 บาท โดยสถานีบริการน้ำมันฯ ที่ร่วมรายการในปริมณฑล มีแห่งละ 312 ถุง ส่วนสถานีบริการน้ำมันฯ ที่ร่วมรายการในภูมิภาค มีแห่งละ 168 ถุง

และกำหนดเงื่อนไขให้สามารถเลือกซื้อได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

รวมทั้ง จำกัดการซื้อ 1 คน ต่อ 1 ขวด หรือ 1 คน ต่อ 1 ถุง เท่านั้น

ผู้ซื้อต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน / ใบขับขี่ / บัตรข้าราชการ หรือบัตรที่มีเลขประจำตัวประชาชน พร้อมกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มก่อนซื้อ รวมทั้งต้องใส่หน้ากากและเว้นระยะห่างในการต่อแถวรอซื้ออย่างน้อย 1 เมตร

เริ่มจำหน่ายตั้ง 08:00 น. เป็นต้นไป จนกว่าสินค้าจะหมด

กำหนดวัน และพื้นที่ในการจำหน่ายแอลกอฮอล์สำหรับทำความสะอาดมือ ดังนี้
15 เมษายน 2563 สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมรายการ ในจังหวัดนนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี
22 เมษายน 2563 สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมรายการ ในภาคใต้
24 เมษายน 2563 สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมรายการ ในภาคตะวันออก
1 พฤษภาคม 2563 สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมรายการ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
2 พฤษภาคม 2563 สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมรายการ ในภาคกลาง
4 พฤษภาคม 2563 สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมรายการ ในภาคเหนือ
6 พฤษภาคม 2563 สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมรายการ ในภาคตะวันตก

สอบถามรายชื่อสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมรายการในแต่ละภาครวมถึงรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 1365 Contact Center หรือ www.pttor.com

ที่ปรึกษาด้านธุรกิจ ศบค. เตรียมชง เปิดห้างสรรพสินค้า ร้านตัดผม หวั่นยืดเยื้ออีกสองเดือน คนตกงานทะลุสิบล้าน

0

นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ว่า ภาคเอกชนมีข้อเสนอมาตรการรับมือกับสถานการณ์ช่วงเวลานี้, ประเมินมาตรการระยะที่1-3 ที่รัฐบาลประกาศใช้ และการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์คลี่คลายแล้ว

จึงได้แบ่งการทำงานออกเป็น 5 กลุ่มเพื่อรวบรวมข้อเสนอมากลั่นกรอง และประชุมอีกครั้งวันที่ 20 เม.ย. 2563 ก่อนเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

ประกอบด้วย

  1. กลุ่มมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ มีนายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นผู้ดูแล
  2. กลุ่มมาตรการเพื่อการกลับมาเปิดธุรกิจใหม่ มีนายกลินทร์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นผู้ดูแล
  3. กลุ่มมาตรการเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) มีนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นผู้ดูแล
  4. กลุ่มมาตรการเพื่อการแก้ไขปัญหาด้วยดิจิทัล มีนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นผู้ดูแล
  5. กลุ่มมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ที่มีนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ เป็นผู้ดูแล

นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ จะรวบรวมธุรกิจที่จะขอให้เปิดดำเนินการได้ โดยเน้นธุรกิจที่มีความจำเป็นกับชีวิตประจำวัน เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านตัดผม แต่ถ้าหากเปิดจะต้องมีวิธีการให้ปลอดภัย ส่วนจำนวนคนตกงานตอนนี้มีจำนวน 7 ล้านคน หากยืดเยื้อไปอีก 2-3 เดือน จะมีคนตกงานถึง 10ล้านคน

และเสนอขอให้เอกชนนำค่าใช้จ่ายสำหรับป้องกันโควิด-19 มาหักค่าใช้จ่ายได้ 3 เท่า, ขอให้ออกเกณฑ์การประชุมกรรมการบริษัทผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (อี-มีทติ้ง) โดยกรรมการไม่จำเป็นต้องอยู่ในประเทศไทยทั้งหมด เพราะปัจจุบันแม้จะประชุมทางไกลกันได้แต่ทุกคนยังต้องอยู่ในประเทศไทย แต่กรรมการต่างชาติไม่สามารถเข้าประเทศได้ รวมถึง ขอขยายการลดหย่อนภาษีจากเงินบริจาคการกุศลสำหรับปีนี้ เป็นไม่มีเพดาน

ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท. เปิดเผยว่า ทางกลุ่ม เสนอขอให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) ค้ำประกันในสัดส่วน 80% เพื่อให้ธนาคารเชื่อมั่นและกล้าปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอี, ปรับลดค่าไฟฟ้า 5% ทั่วประเทศและลดค่าไฟผันแปร (ค่าเอฟที) , ลดเงินนำส่งกองทุนประกันสังคมในส่วนของนายจ้างให้เหลือ 1% เพื่อให้เหมือนกับที่ลดให้ในส่วนลูกจ้างไปแล้ว

และเสนอให้ช่วยเหลือแรงงานที่เงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท โดยขอให้รัฐจ่ายให้ 50% และบริษัทจ่าย 25% ของค่าจ้าง และนำค่าจ้างมาหักค่าใช้จ่ายในการคำนวณได้ 3 เท่า ขอให้งดเก็บภาษีเงินได้กรณีเอสเอ็มอีเป็นเวลา 2 ปี เพราะปีนี้ ผลประกอบการคงจะขาดทุนกัน, ขอเลื่อนการส่งงานออกไป 4 เดือนในโครงการที่ทำสัญญากับรัฐแต่ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากผลกระทบของโรคระบาด, ลดอัตราภาษีจดจำนองเหลือ 0.01% และอนุญาตให้จ้างงานเป็นรายชั่วโมงได้ จ้างงานวันละ 4-8 ชม/วัน

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า จะจัดทำโครงร่างปัญหาที่เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อผ่อนปรน(ซอฟท์โลน) ไม่ได้ไปพลางก่อน เพื่อรอให้พระราชกำหนดให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทย ปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ วงเงิน 500,000 ล้านบาทให้แก่ ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ประกาศออกมาใช้ก่อน จึงจะทราบได้ว่า ธนาคารจะผ่อนปรนเงื่อนไขในเรื่องหลักประกันได้แค่ไหน รวมถึงประเด็นที่บอกว่ารัฐจะชดเชยความเสียหายบางส่วนกรณีหนี้เสีย 60-70% ก็ต้องรอ พ.ร.ก.ออกมาก่อนเพราะในสภาพความจริงจะต้องมีสูตรในการคำนวณด้วย

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เสนอให้เน้นการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเข้ามาเป็นตัวช่วยในการพัฒนาฝีมือแรงงานทั้งลักษณะการยกระดับและการฝึกฝน วางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้ครอบคลุมเพื่อเป็นพื้นฐานการเข้าถึงการเรียนรู้ การหาเครื่องมือที่จะเป็นสื่อการเรียน การเข้าถึงบิ๊กดาต้า ระบบกฎหมายที่จะเข้ามาดูแลให้เกิดความปลอดภัยของข้อมูล

สภาเภสัชกรรม เตือนรัฐปรับระบบจัดการบริหารยา รับมือปัญหาขาดแคลนยาในภาวะฉุกเฉิน

0

ปรากฏสัญญาณการขาดแคลนยาจำเป็นบางรายการ และอุตสาหกรรมยาในประเทศเริ่มประสบปัญหาในการจัดหาวัตถุดิบยา

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 การดูแลรักษาผู้ติดเชื้อนับเป็นภารกิจเร่งด่วนอันดับหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ร่วมกันจัดระบบการบริหารจัดการยา ทั้งการจัดหาและการกระจายยา เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาเหล่านี้ได้

ขณะเดียวกัน ไม่เพียงแต่ยาที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อ COVID-19 เท่านั้นที่มีความสำคัญเร่งด่วน ยาประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นยาช่วยชีวิต และยาที่ใช้ในกลุ่มโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ก็มีความจำเป็นที่ผู้ป่วยต้องเข้าถึงยาและต้องได้รับยาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

ภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เริ่มปรากฏสัญญาณการขาดแคลนยาจำเป็นบางรายการ และอุตสาหกรรมยาในประเทศเริ่มประสบปัญหาในการจัดหาวัตถุดิบยา สืบเนื่องจากประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ได้ใช้มาตรการปิดประเทศ ทำให้เกิดปัญหาการจัดส่งวัตถุดิบยา ผลิตภัณฑ์ยา และบรรจุภัณฑ์ ประกอบกับประเทศไทยเริ่มมีนโยบายให้สถานพยาบาลจ่ายยาโรคเรื้อรังให้แก่ผู้ป่วยล่วงหน้า 6 เดือน ทำให้มีการสำรองยาในสถานพยาบาลบางแห่งมากผิดปกติ

กระทรวงสาธารณสุขจำเป็นต้องเร่งจัดระบบการบริหารจัดการยาที่ต่างไปจากภาวะปกติ

สภาเภสัชกรรม และแผนงานพัฒนาวิชาการและสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) มีข้อกังวลว่า หากไม่มีการวางระบบจัดการยาและกระจายยาอย่างเหมาะสม ไทยอาจต้องเผชิญภาวะขาดแคลนยา โดยได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภาคราชการและเอกชน เพื่อจัดทำข้อเสนอต่อรัฐบาลในการจัดการ สรุปได้ดังนี้

  • รัฐบาลต้องจัดให้มีกลไกกลางในการจัดหาและกระจายยาในรายการที่จำเป็น โดยเชื่อมโยงการบริหารระดับนโยบาย ระดับบริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น องค์การเภสัชกรรม สมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน สภาเภสัชกรรม และนักวิชาการด้านยา
  • กระทรวงสาธารณสุขต้องมีนโยบายให้สถานบริการสั่งซื้อยาล่วงหน้า 6 เดือน แต่ทยอยการจัดส่งทุก 1-2 เดือน เพื่อให้โรงงานเตรียมจัดหาวัตถุดิบในการผลิตล่วงหน้า
  • ให้สถานบริการเร่งรัดการจ่ายเงินให้รวดเร็วภายในไม่เกิน 1 เดือน หลังจากได้รับใบแจ้งหนี้ เพื่อให้อุตสาหกรรมยาสามารถสำรองวัตถุดิบยาได้ 6 เดือน จากเดิมที่สำรองวัตถุดิบยาไว้ที่ 3 เดือน
  • ในกรณีจำเป็นตามคำเรียกร้องของสมาคมผู้ผลิตยาแผนปัจจุบัน ให้รัฐบาลประสานกับประเทศจีน อินเดีย และประเทศผู้ผลิตวัตถุดิบ เพื่อซื้อวัตถุดิบยาในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือจัดเครื่องบินไปรับวัตถุดิบยา ผลิตภัณฑ์ยา รวมถึงบรรจุภัณฑ์
  • ให้อุตสาหกรรมยา รวมทั้งองค์การเภสัชกรรม สำรองวัตถุดิบในการผลิตยา 6 เดือน

ทั้งนี้ ปัญหาการเข้าถึงยาโรคเรื้อรังเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขโดยด่วนเช่นเดียวกับการบริหารจัดการรายการยาสำหรับโรค COVID-19 ไม่เช่นนั้นอีกไม่ถึง 1 เดือน จะเกิดปัญหาโกลาหลของห้องยาและผู้ป่วยอย่างแน่นอน จึงนำเสนอให้รัฐบาลพิจารณาจัดการโดยด่วน

ซีพีเอฟ เดินหน้าส่งเสบียงอาหารให้ครอบครัวหมอ พยาบาล

0

ซีพีเอฟ เดินหน้าเพิ่มพลังใจนักรบเสื้อกาวน์ เอาชนะไวรัสโควิด-19
อาสาช่วยส่งเสบียงอาหารให้ครอบครัวของแพทย์-พยาบาล

ซีพีเอฟเดินหน้าส่งมอบอาหารปลอดภัยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐ 88 แห่งทั่วประเทศทุกวันอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมเป็นมา โดยครอบคลุมโรงพยาบาลในกรุงเทพ และต่างจังหวัด เพื่ออำนวยความสะดวกและเป็นกำลังใจให้แก่ ทีมแพทย์ พยาบาล และ บุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องทำงานอย่างหนักตลอด 24 ชั่วโมง

ล่าสุด ซีพีเอฟได้ขยายการสนับสนุนอาหารให้ครอบคลุมไปยังครอบครัวของแพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ภายใต้โครงการ ‘CPF ส่งอาหารจากใจให้โรงพยาบาลและครอบครัวหมอ-พยาบาล’ เพื่อให้คนในครอบครัวได้รับอาหารที่ดี มีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มที่

เป้าหมายในการดำเนินโครงการฯ นี้ บริษัทขอเข้ามามีส่วนหนึ่งของสังคมในการช่วยเหลือทีมแพทย์พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์รวมทั้งพี่น้องประชาชนคนไทยในการต่อสู้เพื่อเอาชนะไวรัสร้ายโควิด-19 ได้โดยเร็ว ซึ่งคาดว่าใช้งบประมาณรวม 200 ล้านบาท เข้า

สำหรับ แพทย์และพยาบาลที่ต้องการรับการสนับสนุนอาหารให้แก่สมาชิกในครอบครัว สามารถลงทะเบียนและติดตามเงื่อนไขได้ที่ ไลน์ซีพี เฟรชมาร์ท http://bit.ly/2PFFcyB หรือ โทร.สายด่วนฮอตไลน์ โทร.1788

นอกจากนี้ บริษัทยังพร้อม เป็นตัวกลางให้กับผู้ที่ประสงค์จะบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์หรือสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ไปยังโรงพยาบาลต่างๆ โดยใช้เครือข่ายการกระจายสินค้า (Logistic Network) ของซีพีเอฟ โดยผู้ประสงค์จะบริจาคสามารถแจ้งความจำนงได้ที่ โทร. 083-989-0010

ขนส่งฯ สั่งระงับเดินรถโดยสารเส้นทางโคราช รวมปิดแล้ว 220 เส้นทาง 15 จังหวัด

0

จิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563 ได้ลงนามคำสั่งเรื่องระงับการเดินรถโดยสารสารประจำทางในเส้นทางหมวด 2 และหมวด 3 ในเส้นทางที่มีต้นทางหรือปลายทางในเขตพื้นที่ จังหวัดนครราชสีมา เป็นการชั่วคราวในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อป้องกันโควิด-19 จนกว่าจะมีสถานการณ์เปลี่ยนแปลง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น มีผลตั้งแต่วันที่ 11 เมษายนนี้ เป็นต้นไป

จิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก

ทีั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกได้ออกคำสั่งระงับการเดินรถโดยสารสาธารณะเป็นการชั่วคราวในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดออกคำสั่งระงับการเดินรถ รวม 15 จังหวัด ประกอบด้วย

หมวด 2 ระงับ 35 เส้นทาง จากทั้งหมด 209 เส้นทาง หรือคิดเป็น 16.75% ได้แก่ พังงา 3 เส้นทาง, ภูเก็ต 2 เส้นทาง, กระบี่ 3 เส้นทาง, สตูล 2 เส้นทาง, ยะลา 1 เส้นทาง, พัทลุง 1 เส้นทาง, สงขลา 4 เส้นทาง, นราธิวาส 2 เส้นทาง, บึงกาฬ 2 เส้นทาง, นครราชสีมา 2 เส้นทาง, นครพนม 6 เส้นทาง, ร้อยเอ็ด 4 เส้นทาง และตราด 3 เส้นทาง

หมวด 3 ระงับ 185 เส้นทาง จากทั้งหมด 634 เส้นทางหรือคิดเป็น 29.18% ได้แก่ พังงา 3 เส้นทาง, ภูเก็ต 27 เส้นทาง, กระบี่ 10 เส้นทาง, ตรัง 7 เส้นทาง, สตูล 1 เส้นทาง, ยะลา 13 เส้นทาง, พัทลุง 4 เส้นทาง, สงขลา 27 เส้นทาง, ปัตตานี 7 เส้นทาง, นราธิวาส 2 เส้นทาง, บึงกาฬ 10 เส้นทาง, นครราชสีมา 31 เส้นทาง, นครพนม 20 เส้นทาง, ร้อยเอ็ด 17 เส้นทาง และตราด 6 เส้นทาง

ตั้ว กีรติ ดีไซเนอร์ชื่อดัง เสียชีวิตแล้วในบ้านตัวเอง นานเกือบเดือน

0

เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 10 เมษายน​ 2563​ ร.ต.อ.ชาตรี ขาวสะอาด รอง สว.(สอบสวน) สน.โชคชัยรับแจ้งเหตุ​ ตั้ว กีรติ ชลสิทธิ์ อายุ 66 ปี ดีไซเนอร์ดังและเจ้าของห้องเสื้อดวงใจบิส เจ้าของบ้าน

เสียชีวิตมานานเกือบเดือน​ สภาพไม่สวมเสื้อผ้าร่างเริ่มแห้งติดกระดูก​ แต่มีกลิ่นเหม็นโชยปะทะจมูก

ในห้องโถงชั้นล่าง​ บ้านพัก​ 3​ ชั้น​ เนื้อที่​ 100​ ตารางวา​ เลขที่ 35ถนนโชคชัย4 ซอย 81 แขวงและเขตลาดพร้าว กทม.

สอบสวนทราบว่า ผู้ตายพักอาศัยอยู่ที่บ้าน​ ตามลำพัง ประตูบ้านล็อกจากด้านใน​ ทรัพย์สินยโทรศัพท์ กุญแจรถ อยู่ครบ​ ไม่มีร่องรอยการรื้อค้น

ก่อนหน้า​ ญาติติดต่อไม่ได้ตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่​ มาช่วยตรวจสอบที่บ้าน

ตำรวจทราบจากเพื่อนบ้านได้กลิ่นเหม็นออกมาจากบ้าน เจ้าหน้าที่​ ต้องปีนประตูรั้วหน้าบ้านเข้าไปและงัดหน้าต่างดูจนพบศพ ตั้ว​ กีรติ​ ดีไซเนอร์​ดังเสียชีวิต

เบื้องต้น​ สันนิษฐาน​เสียชีวิตจากเป็นโรคหัวใจ มีสลิงใช้ฉีดโรคเบาหวาน​ แต่ทั้งนี้​ ต้องรอผลผ่าพิสูจน์​หาสาเหตุการตายอีกครั้ง

โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยของซีพี ใกล้เสร็จ คาดอีก 1 สัปดาห์ เปิดเครื่องเดินหน้าผลิต

0

โรงงานผลิตหน้ากากอนามัย โครงการของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์  งบลงทุน 100 ล้านบาท ใกล้ก่อสร้างเสร็จแล้ว ล่าสุด ซีพีใช้วิธีเช่าเหมาลำเครื่องบิน เพื่อขนส่งเครื่องจักรและวัตถุดิบเข้ามาให้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ขณะนี้ได้นำเข้าเครื่องจักรครบหมดแล้ว รวมทั้งวัตถุดิบสำคัญคือ เมลต์โบลวน์ (Meltblown) ที่เป็นแผ่นป้องกันเชื้อโรค

ที่ผ่านมา  การนำเข้าเครื่องจักรผลิตหน้ากากอนามัยที่เครือซีพีสั่งซื้อจากประเทศจีน และการจัดหาวัตถุดิบ เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากสถาการณ์โควิด-19 ระบาด ทำให้ทุกประเทศมีมาตรการเข้มงวดเรื่องการนำเข้าและส่งออก, เที่ยวบินจากประเทศจีนมีจำนวนเที่ยวบินลดลงกว่า 70% และมีกำหนดการที่ไม่แน่นอน ทำให้ต้องปรับแผนการขนส่งเครื่องจักรกันแบบวันต่อวัน ไม่สามารถคาดการณ์ได้ชัดเจน

นอกจากนี้ วัตถุดิบสำคัญ คือ แผ่นกั้นเชื้อโรค หรือ เมลต์โบลวน์ สถานการณ์ตอนนี้ทำให้เป็นวัตถุดิบที่หายากและราคาปรับสูงขึ้นหลายสิบเท่า ทำให้กระบวนการจัดซื้อต้องใช้พลังจากเครือข่ายและพันธมิตรในหลายประเทศ เนื่องจากต้องการให้มีวัตถุดิบผลิตได้อย่างต่อเนื่อง

ขั้นตอนต่อไป เป็นการประกอบเครื่องจักรและทดสอบระบบ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ และจะพร้อมเข้าสู่กระบวนการผลิต โดยจะสามารถผลิตหน้ากากอนามัยได้ 3 ล้านชิ้นต่อเดือน เพื่อแจกฟรีให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนเพื่อใช้ในการป้องกันโรค

ซีพีเอฟ ทุ่มงบ 200 ล้านบ. ดูแลส่งมอบอาหารครอบครัวหมอ พยาบาล ต่อ หลังเดินหน้าส่งให้รพ.ทั่วประเทศ

0

ประกาศเดินหน้าโครงการ 2 “ซีพีเอฟ ส่งอาหารจากใจให้โรงพยาบาลและครอบครัวหมอ-พยาบาล“

ซีพีเอฟ ประกาศเดินหน้าโครงการสอง “ซีพีเอฟ ส่งอาหารจากใจให้โรงพยาบาลและครอบครัวหมอ-พยาบาล“ เพื่อส่งต่อความห่วงใยไปยังครอบครัวของบุคลากรที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ย่อท้อ โดยเปิดตัวโครงการนี้ที่กระทรวงสาธารณสุข มี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน พร้อมด้วย นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงฯ ร่วมด้วยนายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และ ประธานกรรมการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ นายอาณัติ เมฆไพบูลย์วัฒนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และนายสุวิทย์ กิ่งแก้ว ที่ปรึกษาประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพีออลล์

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟภูมิใจที่ได้มีส่วนในการสนับสนุนรัฐบาล เพื่อเดินหน้าต่อสู้วิกฤตโรคระบาด ภายใต้โครงการ “ซีพีเอฟ ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิค19” เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 โดยการส่งมอบอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและปลอดภัย เพื่อดูแลสุขภาพของแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐที่มีผู้ป่วยโควิด19 ทั่วประเทศ จำนวน 88 แห่ง และส่งอาหารให้ผู้เฝ้าระวังตนที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน อีกกว่า 20,000 คน ขณะนี้รัฐบาลมีมาตรการเข้มงวดในการคัดกรองเพื่อชะลอผู้เดินทางเข้าประเทศไทย ทำให้ผู้รับบริการส่วนนี้ลดลงมาก บริษัทจึงขอยุติการส่งมอบอาหารในกลุ่มนี้ เพื่อร่วมดูแลการส่งมอบอาหารให้กับโรงพยาบาลของรัฐต่อไปอย่างเต็มที่

ซีพีเอฟ จะขยายการสนับสนุนอาหารให้ครอบคลุมไปยังครอบครัวของแพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐที่ดูแลผู้ป่วยโควิด ภายใต้โครงการ “ซีพีเอฟ ส่งอาหารจากใจให้โรงพยาบาลและครอบครัวหมอ-พยาบาล” เพื่อให้คนในครอบครัวได้รับอาหารที่ดีมีคุณค่าทางโภชนาการ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มที่ โดยแพทย์และพยาบาลสามารถลงทะเบียนและติดตามเงื่อนไขได้ที่ไลน์ ซีพี เฟรชมาร์ท http://bit.ly/2PFFcyB หรือ สายด่วนฮอตไลน์ โทร.1788 คาดว่าจะใช้งบประมาณในการดำเนินงานโครงการทั้งหมดประมาณ 200 ล้านบาท

และ พร้อมเป็นตัวกลางให้กับผู้ที่ประสงค์จะบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์หรือสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ไปยังโรงพยาบาลต่างๆ โดยใช้เครือข่ายการกระจายสินค้า (Logistic Network) ของซีพีเอฟ ผู้ประสงค์จะบริจาคสามารถแจ้งความจำนงได้ที่ โทร. 083-989-0010

ด้านนายสุภกิต เจียรวนนท์ กล่าวย้ำว่า เครือซีพี ยังคงมุ่งมั่นให้ความช่วยเหลือในทุกด้านให้มากกว่านี้ และขอเป็นกำลังใจให้แพทย์และพยาบาลทั่วประเทศที่เสียสละ

นพ.สุขุม ปลัดกระทรวงฯ กล่าวว่า การที่แพทย์ได้รับความช่วยเหลือจาก ซีพี ทำให้มีกำลังใจ และมั่นใจว่าความร่วมมือกันจะทำให้ประเทศไทยพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ได้ และยังแสดงให้เห็นถึงน้ำใจคนไทย

บุญรอดฯ ส่งมอบเงิน 50 ล้าน ถึงมือรพ.ทั่วประเทศ 26 แห่ง

0

ช่วยบุคลากรทางการแพทย์สู้ COVID-19

ตามที่ คณะกรรมการ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด มีมติมอบเงิน 50 ล้านบาท ให้โรงพยาบาลต่างๆเพื่อช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์รับมือ COVID-19 พร้อมดูแลรักษาผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ

ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 63  บุญรอดบริวเวอรี่ ได้ส่งมอบเงินบริจาคให้แก่โรงพยาบาลทั้ง 26 โรงพยาบาล ได้แก่ 6 โรงพยาบาลหลักของรัฐในกรุงเทพฯ ที่ทำหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วย COVID-19 คือ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลราชวิถี และ สถาบันบำราศนราดูร และอีก 20 โรงพยาบาลในจังหวัดต่างๆ ทุกภูมิภาค เพื่อนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ในการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งในส่วนของหน้ากากอนามัย, Face Shield, ชุด PPE หรืออุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ รวมทั้งใช้ในการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อใช้ในการดูแลผู้ป่วย เช่น เครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น

นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นตัวแทนของ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และพนักงานบริษัทฯทุกคน ขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ได้เสียสละปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเทเพื่อพวกเราทุกคน ท่านคือฮีโร่ตัวจริงของประชาชนคนไทย

จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด

“นอกจากการสนับสนุนงบประมาณ 50 ล้านบาท ให้กับโรงพยาบาล 26 แห่ง ของบริษัทฯ เพื่อใช้ในการดูแลบุคคลากรทางการแพทย์ และจัดหาอุปกรณ์ในการรักษาผู้ป่วยครั้งนี้ ผมเชื่อว่าเราทุกคนสามารถช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้ทีมแพทย์ พยาบาล ได้ง่ายๆด้วยการรับผิดชอบต่อตนเอง ดูแลตัวเองให้ดี ถ้าเราดูแลตัวเองให้ดีแล้ว เราก็สามารถดูแลคนที่เรารักและคนรอบข้างได้ ซึ่งเท่ากับเป็นลดภาระของแพทย์ รวมถึงยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบสังคมได้อีกทางหนึ่ง” นายจุตินันท์ กล่าว

ทั้งนี้บริษัทฯ จะยังคงให้การสนับสนุนอาหารและน้ำดื่มสิงห์ ให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งในส่วนของการดูแลผู้ป่วยและบุคคลากรทางการแพทย์ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่ทุกท่าน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายเข้าสู่สภาวะปกติ

เปิดตัว “ไก่รุ่นรักษ์โลก” อาหารสัตว์ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซต์

0
ไก่รุ่นรักษ์โลก

ซีพีเอฟ เปิดตัว “ไก่รุ่นรักษ์โลก” นวัตกรรมอาหารสัตว์ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์

ดร.ไพรัตน์ ศรีชนะ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักวิชาการอาหารสัตว์ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หน่วยงานวิจัยและพัฒนาสูตรอาหารสัตว์บกให้กับ ซีพีเอฟ กล่าวว่า นวัตกรรมอาหารไก่รุ่นรักษ์โลก เป็นการพัฒนาสูตรอาหารสัตว์โดยการใช้สมดุลกรดอะมิโนที่เหมาะสมและการคัดเลือกเอนไซม์ที่ใช้ในอาหาร อย่างเหมาะสมกับสัตว์ในแต่ละช่วงวัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารที่สัตว์กินเข้าไป ส่งผลดีต่อสุขภาพของสัตว์ ขณะเดียวกันจะช่วยลดการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพดและโปรตีน ที่ใส่มากเกินความต้องการของสัตว์และกำจัดออกมาเป็นของเสียหรือมูลสัตว์

ดร.ไพรัตน์ ศรีชนะ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักวิชาการอาหารสัตว์ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด

“เป้าหมายของการวิจัยนวัตกรรมอาหารสัตว์ คือ การสรรหาและคิดค้นวัตถุดิบเพื่อนำไปผลิตและพัฒนาสูตรอาหารสัตว์ที่ตรงกับความต้องการอาหารของสัตว์ในแต่ละช่วงวัย ช่วยให้สัตว์ย่อยอาหารได้ดี ส่งผลต่อการเติบโตของสัตว์อย่างมีประสิทธิภาพ สัตว์มีสุขภาพแข็งแรง โดยเหลือของเสียน้อยที่สุดหรือของเสียเป็นศูนย์ (zero waste) ขณะเดียวกันช่วยลดต้นทุนของบริษัทฯ” ดร.ไพรัตน์ กล่าวและเสริมว่า สูตรอาหารไก่ไข่รุ่นรักษ์โลกนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์กับกองควบคุมอาหารและยาสัตว์ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรียบร้อยแล้ว

อาหารไก่ไข่รักษ์โลก จะช่วยลดไนโตรเจนได้ 12-13% ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ประมาณ 103 ตันต่อปี ช่วยในการลดกลิ่น ซึ่งจะใช้ในโครงการคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ ทีมีการเลี้ยงไก่ไข่จำนวน 6.5 ล้านตัว ซึ่งเป็นการผลิตไข่ไก่แบบครบวงจรและช่วยเพิ่มการป้องกันโรคจากภายนอกตามระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ โดยนำฟาร์มเลี้ยงไก่รุ่น ไก่ไข่ โรงคัดไข่ และโรงงานแปรรูปไข่มาไว้ในพื้นที่เดียวกันภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดต้นทุนการผลิตของบริษัท ขณะเดียวกันจะช่วยเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกสะสมที่สามารถลดได้จากการดำเนินโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด

ปัจจุบัน ซีพีเอฟ ใช้นวัตกรรมอาหารสุกรรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถช่วยปริมาณไนโตรเจนในมูลสุกรได้ถึง 20-30% ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ 23,700 ตัน ในปี 2561 สำหรับกิจการในประเทศไทย บริษัทฯได้ขยายผลไปยังธุรกิจผลิตอาหารสุกรในอีก 7 ประเทศ ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน ไต้หวัน และรัสเซีย สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 41,000 ตันคาร์บอนไดอ๊อกไซด์

ดร.ไพรัตน์ กล่าวว่า ทีมวิจัยกำลังศึกษาเพื่อต่อยอดอาหารสุกรรักษ์โลกจากการช่วยลดกลิ่นไปสู่ช่วยลดการใช้น้ำ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563 ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยในการบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม