Home Blog Page 412

ซีพีเอฟ ประกาศจัดการอาหารส่วนเกินและขยะอาหารในกระบวนการผลิตเป็นศูนย์ ในปี 2573

0

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ตระหนักดีถึงการสูญเสียอาหารและขยะอาหารที่เกิดขึ้นตลอดห่วงโซ่คุณค่าการผลิตอาหารตั้งแต่ โรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ กระบวนการผลิตอาหาร รวมทั้งการขนส่ง การจัดเก็บ บรรจุภัณฑ์ และสุดท้ายคือผู้บริโภค ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงแหล่งอาหารของผู้ด้อยโอกาสในสังคม

ซีพีเอฟ กำหนดเป้าหมายที่จะลดการสูญเสียอาหารจากกระบวนการผลิตในห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการสูญเสียอาหารในกระบวนการผลิต การลดอาหารส่วนเกิน และขยะอาหารในกระบวนการดำเนินธุรกิจ ให้เป็น 0 ในปี 2573 ทั้งในประเทศไทยและกิจการในต่างประเทศ

ทั้งนี้ ถือเป็นความรับผิดชอบของทุกภาคส่วน ทั้งระดับตัวบุคคล สถาบันและองค์กร เพราะ1 ใน 3 ของอาหารที่ผลิตมาทั่วโลก จะถูกทิ้งทำลายไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นการบริหารจัดการอย่างจริงจังตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมอาหาร ถึงผู้บริโภค จึงเป็นเรื่องความสำคัญอย่างมาก ในการใช้ทรัพยกรของโลกที่มีอย่างจำกัด ให้เกิดมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อโภชนาการและสุขอนามัยที่ดี สร้างการเข้าถึงอาหารและลดการเหลื่อมล้ำ ทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาการจัดการขยะอาหารของโลกที่ต้นเหตุ

โดยมีแนวทางปฏิบัติ 3 แนวทางหลัก คือ

  1. การลดการสูญเสียอาหาร อาหารส่วนเกิน และขยะอาหารตั้งแต่ต้นทางการผลิต ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่าของการผลิตอาหาร
  2. สนับสนุนการนำอาหารส่วนเกินและขยะอาหาร (ที่เกิดระหว่างกระบวนการผลิต การขนส่ง ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจร้านอาหาร โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อลดการสูญเสีย และเพิ่มมูลค่า ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
  3. การสร้างความตระหนักและส่งเสริมด้านการบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน เพื่อลดการสูญเสียและอาหารส่วนเกินและขยะอาหาร ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย เช่น ลูกค้า คู่ค้า พนักงาน และเกษตรกร ผ่านการสื่อสาร การให้ความรู้และการรณรงค์

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังมีนโยบายที่สนับสนุนเป้าหมายการลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารหลายด้าน เช่น จัดหาอย่างยั่งยืน และแนวปฏิบัติสำหรับคู่ค้าธุรกิจและแนวทางปฏิบัติด้านบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน เป็นต้น โดยมีการสนับสนุนทางเทคนิคและอบรมให้กับคู่ค้าและผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่อุปทานให้ปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกันในการหลีกเลี่ยงและลดการสูญเสียก่อนและหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตและการจัดหาวัตถุดิบ ขณะที่การพัฒนาบรรจุภัณฑ์มุ่งเน้นให้การถนอมและการเก็บรักษาอาหารสามารถทำได้นานขึ้น และใช้วัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

ซีพีเอฟ ยังมุ่งมั่นบริหารจัดการวัตถุดิบในกระบวนการผลิตอาหารให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสนับสนุนให้เกิดโครงการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต (Co-product) เพื่อลดปริมาณการสูญเสียในโรงงานของบริษัทฯ ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การนำชิ้นส่วนเป็ดไปผลิตเป็นลูกชิ้นเป็ด ผลิตภัณฑ์เลือดหมูหลอด ขนเป็ดสำหรับใส่หมอนและเครื่องนอน

นายวุฒิชัย กล่าวต่อไปว่า ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจร ตามวิสัยทัศน์ “ครัวโลกยั่งยืน” ซีพีเอฟ มีการขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ความยั่งยืน 3 เสาหลัก คือ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดินน้ำป่า คงอยู่ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความยั่งยืนในการผลิตและการบริโภค สร้างความมั่นคงทางอาหารและลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

BTS ปลื้ม ได้คัดเลือกเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก สี่ปีซ้อน

0

รายงานข่าวจากบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสกรุ๊ปฯ (BTS ) เปิดเผยว่า บีทีเอสกรุ๊ปได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกในดัชนี FTSE4Good Index Series ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 จาก ฟุซซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีชั้นนำด้านความยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก โดยประเมินศักยภาพขององค์กรในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)

ทั้งนี้ เป็นการจัดอันดับ เพื่อให้นักลงทุนและหลักทรัพย์จัดการกองทุนใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการลงทุน รวมทั้งเป็นกรอบการดำเนินงานเพื่อการมีส่วนร่วมและการรับผิดชอบต่อสังคม การที่บีทีเอสกรุ๊ปได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกในดัชนี FTSE4Good Index Series สะท้อนถึงความมุ่งมั่นการพัฒนาธุรกิจ ควบคู่กับความรับผิดชอบขององค์กรด้านดูแลสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการมีธรรมาภิบาลที่ดี

เด็กจบใหม่ 5 แสนรายส่อเตะฝุ่น กรมจัดหางานแนะทำพาร์ทไทม์

0

นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในประเทศ รวมถึงผู้ที่สำเร็จการศึกษาใหม่ จำนวน 493,875 คน แนวโน้มตลาดรองรับไม่เพียงพอ ทั้งนี้ ได้สั่งการให้กรมฯ เร่งหาแนวทางให้บัณฑิตใหม่เข้าสู่ระบบการจ้างงาน

สุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน

โดยหลายภาคส่วนมีความกังวลเรื่อง การว่างงานของบัณทิตจบใหม่ โดยเฉพาะการเข้าสู่การว่างงานถาวร กระทรวงแรงงานโดยกรมการจัดหางาน ได้เร่งหามาตรการ และนโยบายเพื่อตอบโจทย์ปัญหาว่างงานเหล่านี้ ทั้งนี้ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้รูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนไป นอกจากทำให้มีการปิดกิจกิจการ ลดขนาดองค์กร สถานประกอบการหลายแห่งยังได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานจากเต็มเวลา เป็นการจ้างงานแบบ Part-time ประกอบกับ รูปแบบการทำงานของคนรุ่นใหม่ได้เปลี่ยนไป รับงานอิสระที่สามารถกำหนดเวลาการทำงานได้เป็นบางช่วงเวลา จึงอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง หากบัณทิต เลือกทำงานในรูปแบบพาร์ทไทม์

ขณะนี้ กรมการจัดหางาน ได้รับแจ้งตำแหน่งงานพาร์ทไทม์ จำนวน 2,396 อัตรา คือ 1.แรงงานด้านการผลิต 2.พนักงานจัดส่งสินค้าอื่น ๆ 3.เจ้าหน้าที่เก็บเงิน,แคชเชียร์ 4.เจ้าหน้าที่ขนส่งอื่นๆ 5.พนักงานขาย และผู้นำเสนอสินค้าอื่น ๆ 6.แรงงานในด้านการผลิตต่างๆ, แรงงานทั่วไป 7.พนักงานขายทอดตลาด 8.เจ้าหน้าที่สินเชื่อ,เจ้าหน้าที่การเงิน 9.ตัวแทนนายหน้าขายบริการธุรกิจอื่นๆ 10.พนักงานขายสินค้า (ประจำร้าน),พนักงานขายของหน้าร้าน

สามารถสมัครงานได้ทาง เว็บไซต์ http://smartjob.doe.go.th และที่อาคาร 3 ชั้น หน้ากระทรวงแรงงาน หรือ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือ ติดตามตำแหน่งงานว่าง Part-time ได้ทาง Facebook Fanpage : เสิร์ฟงานด่วน

ผลกระทบของโควิด-19 ทำให้นายจ้างมีปริมาณงานที่ลดลง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก อย่างไรก็ดี รัฐบาลตระหนักว่า หากแรงงานในประเทศ ไม่มีงานทำย่อมส่งผลต่อการใช้จ่ายของคนในประเทศ และอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อไป ถึงภาคส่วนอื่นๆ รัฐบาลจะเร่งหามาตรการและแนวทาง ที่ให้ผลดีที่สุดกับพี่น้องแรงงาน เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และทำให้ประชาชนผู้ว่างงานได้กลับมามีงานทำและรายได้

ตลาดแรงงานเริ่มฟื้น 5 ประเภทธุรกิจจ้างงาน 2.2 แสนอัตราหลังคลายล็อกดาวน์ ด้านท่องเที่ยวยังร่อแร่ จ้างงานต่ำสุด

0
แสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ หัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการ จ๊อบไทย

คุณ แสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการจ๊อบไทย (JobThai)  เว็บไซต์หางาน สมัครงาน เปิดเผยถึงถึงสถานการณ์ด้านตลาดแรงงานช่วงครึ่งปีแรก ว่า มีความผันผวนจากสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 หลายองค์กรต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้ทันต่อสถานการณ์ ขณะที่ผู้ทำงานเองก็ต้องพร้อมปรับเปลี่ยนการทำงานของตัวเองอยู่ตลอดเวลา การพัฒนาทักษะอยู่เสมอเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการทำงานยุคปัจจุบัน

สำหรับทิศทางของตลาดแรงงานจากนี้ไป คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อพิจารณาสถิติช่วงต้นเดือน ก.ค.พบว่า สายอาชีพที่มีแน้วโน้มเปิดรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ ฟรีแลนซ์ , อาจารย์/ครู, แพทย์/เภสัชกร/สาธารณสุข สำหรับการหางานและสมัครงานในจ๊อบไทย พบว่ามีการเติบโตขึ้นมาก ซึ่งจ๊อบไทยได้ออกฟีเจอร์การค้นหางานที่ให้ทำงานที่บ้านได้ (Work from Home) และค้นหางานที่เปิดรับสัมภาษณ์ออนไลน์ เพื่อสร้างความสะดวก ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการและคนหางานด้วย

การระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้นส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับภาพรวมตลาดแรงงาน จากการรวบรวมและวิเคราะห์ฐานข้อมูลงานในจ๊อบไทยแพลตฟอร์ม เพื่อรายงานสถานการณ์ความต้องการแรงงานและพฤติกรรมความต้องการของผู้สมัครงานทั่วประเทศ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 63 ดังนี้

5 ประเภทธุรกิจมีความต้องการแรงงานมากที่สุด ได้แก่

  • 1. อาหาร-เครื่องดื่ม 58,724 อัตรา แม้การผลิตในอุตสาหกรรมอาหารไตรมาส 1/63 จะปรับตัวลดลง (ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม) แต่ผู้บริโภคยังคงมีการใช้จ่ายในหมวดสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ทำให้ประเภทธุรกิจนี้ยังคงมีความต้องการแรงงานมาเป็นอันดับแรก ซึ่งลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 22.9%
  • 2. บริการ 44,750 อัตรา ความต้องการแรงงานในธุรกิจประเภทนี้จะเป็นธุรกิจบริการที่นอกเหนือจากธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาคท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจบริการทำความสะอาด ธุรกิจบริการด้านระบบ ธุรกิจบริการฝึกอบรม
  • 3. ก่อสร้าง 41,353 อัตรา SCB EIC ได้ประเมินว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการยังคงสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างจะมีแนวโน้มหดตัวตามเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงมาก ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์บางส่วนเลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป แต่การก่อสร้างโครงการภาครัฐยังคงมีแรงขับเคลื่อนจากโครงการเมกะโปรเจกต์คมนาคม เช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการสนามบิน โครงการท่าเรือ โครงการมอเตอร์เวย์ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  • 4. ยานพาหนะ/ชิ้นส่วนยานยนต์ 39,883 อัตรา ผลจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อยอดการจำหน่ายและการผลิตรถยนต์ในประเทศและการส่งออกให้ชะลอตัวลง และยังกระทบต่อเนื่องไปยังผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ผู้ผลิตอุปกรณ์ตกแต่งภายในรถยนต์ รวมถึงตัวแทนจำหน่าย (ที่มา : สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) แม้ธุรกิจนี้จะอยู่ในห้าอันดับแรกที่ต้องการแรงงานมากแต่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าความต้องการแรงงานลดลงถึง 31.8%
  • 5. ค้าปลีก 37,482 อัตรา ธุรกิจค้าปลีกโดยรวมมีผลกระทบค่อนข้างมาก ยกเว้นสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นต้องใช้ในการดำรงชีวิต เช่น อาหารและของใช้ส่วนตัว ทำให้ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ยังคงมีความต้องการแรงงาน

5 ประเภทธุรกิจที่มีความต้องการแรงงานน้อยที่สุด ได้แก่

  • 1. ธุรกิจท่องเที่ยว 1,690 อัตรา การระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้นในทุกด้าน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่หดตัวรุนแรงหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยที่มีประกาศใช้มาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ซึ่งความต้องการแรงงานในธุรกิจนี้ลดลงถึง 65.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย)
  • 2. ธุรกิจความบันเทิง 2,075 อัตรา เป็นอีกอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศปิดสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ประกอบกับมาตรการควบคุมโรค โดยห้ามการจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนเป็นจำนวนมาก รวมถึง การถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร ซีรีย์ โฆษณา
  • 3. ธุรกิจกระดาษ/เครื่องเขียน 2,200 อัตรา ธุรกิจกระดาษที่เกี่ยวเนื่องกับสื่อสิ่งพิมพ์มีความต้องการลดลง ส่วนธุรกิจกระดาษที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์แม้มีความต้องการใช้เติบโตขึ้น แต่โดยภาพรวมจะเห็นว่าธุรกิจนี้อยู่ในกลุ่มที่มีความความต้องการแรงงานน้อยเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น ๆ ในจ๊อบไทยแพลตฟอร์ม
  • 4. ธุรกิจโรงแรม/Resort/Spa/สนามกอล์ฟ 2,820 อัตรา จากมาตรการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติในไทยลดลง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจที่กลุ่มนี้ ทำให้ธุรกิจกลุ่มนี้มีการจ้างงานลดมากที่สุด โดยลดลงถึง 75.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
  • 5. ธุรกิจอัญมณี/เครื่องประดับ 3,092 อัตรา การผลิตและจำหน่ายอัญมณีและเครื่องประดับปรับตัวลดลง เนื่องจากการผลิตเพื่อการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศลดลง ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสองธุรกิจที่สภาอุตสาหกรรมประเมินว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมาก

นอกจากนี้ ยังพบว่า 5 องค์กรที่มีผู้สมัครงานมากที่สุด

อันดับหนึ่ง บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)

อันดับสอง บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)

อันดับสาม บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

อันดับสี่ กลุ่มบริษัทเครือเบทาโกร จำกัด

อันดับห้า บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

สำหรับนักศึกษาจบใหม่ในปีนี้ต้องเผชิญกับภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ต้องมีการปรับตัวอยู่เสมอเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและพร้อมรับมือกับอนาคต โดย 5 สายงานที่องค์กรเปิดรับนักศึกษาจบใหม่ปริญญาตรีมากที่สุด อันดับหนึ่ง งานขาย คิดเป็น 23.3% อันดับสอง บริการ คิดเป็น 11.8% อันดับสาม ธุรการ/จัดซื้อ คิดเป็น 9.0% อันดับสี่ วิศวกร คิดเป็น 7.2% อันดับห้า ช่างเทคนิค คิดเป็น 7.1%

พบว่า ช่วงก่อนการระบาดในเดือน ม.ค.-ก.พ.มีแนวโน้มการจ้างงานที่สูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเดือน ม.ค.มีอัตราการเปิดรับ 119,122 เพิ่มขึ้น 8.7% จาก ธ.ค.62 และเดือน ก.พ. มีอัตราการเปิดรับ 124,629 เพิ่มขึ้น 4.6% จาก ม.ค.63

โควิด-19 เริ่มมีการระบาดมากในช่วงเดือน มี.ค.และ เม.ย.รวมทั้งมีการออกมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อทำให้หลายสถานประกอบการจำเป็นต้องปิดกิจการชั่วคราว ตลอดทั้งการประกาศเคอร์ฟิว ส่งผลให้ความต้องการแรงงานลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเดือน มี.ค.มีอัตราการเปิดรับ 112,220 ลดลง 10.0% จาก ก.พ.63 และลดลงหนักสุดในช่วงเดือน เม.ย.มีอัตราการเปิดรับ 91,382 ลดลง 18.6% จาก มี.ค.63

ส่วนเดือน พ.ค.63 อัตราที่เปิดรับ 86,966 ลดลง 4.8% จาก เม.ย.63 และ เดือน มิ.ย.63 อัตราที่เปิดรับ 90,347 เพิ่มขึ้น 3.9% จาก พ.ค.63

ขณะที่อาชีพที่มีการเติบโตมากี่สุดในช่ววโควิด-19 แบ่งเป็น ช่วงที่มีการระบาดหนักและล็อกดาวน์ มีสายงานเดียวที่เปิดรับคนเพิ่มขึ้น คือ แพทย์/เภสัชกร/สาธารณสุข เพิ่มขึ้น 0.5% ส่วนช่วงคลายล็อกดาวน์ มีการเปิดรับ Freelance เพิ่มขึ้น 36.4%

CPF ชูโมเดลรร.เลี้ยงไก่ไข่ ถ่ายทอดความรู้เกษตรกรแผนใหม่

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อ วันที่ 14 สิงหาคม 2563 ได้มีพิธีส่งมอบและเปิดโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ของโรงเรียนบ้านโคกไพล จ.สระแก้ว พร้อมกันนีนายวิทยา มากปาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว นายวินัยโตเจริญ นายอำเภอตาพระยา ผู้แทนเลขาธิการสพฐ. คณะผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต2 ได้เยี่ยมชมโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ของโรงเรียนบ้านโคกไพล โรงเรียนลำดับที่ 778 ในโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน โดยมี นายอภัยชนม์ วัชรสินธุ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิฯ นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) นายวราราชย์ เรืองศรี รองกรรมการผู้จัดการธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ คณะครูและนักเรียนให้การต้อนรับ

นายสมคิด วรรณลุกขี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มุ่งมั่นส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารเพื่อให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มเข้าถึงอาหารอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เป็นหนึ่งในเจตนารมณ์ของบริษัทฯ ในการร่วมบรรเทาปัญหาทุพโภชนาการในเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารและพื้นที่ห่างไกล ซึ่งในส่วนของ ซีพีเอฟ ในฐานะผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ใช้ความเชี่ยวชาญเรื่องการเลี้ยงไก่ไข่ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่คุณครู เด็กนักเรียน และยังขยายผลไปถึงชุมชน เพื่อให้นำไปประยุกต์ใช้เป็นอาชีพสร้างรายได้และเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

โครงการดังกล่าว เป็นความร่วมมือของ ซีพีเอฟ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และกองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน ดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบัน เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารและพื้นที่ห่างไกลได้บริโภคไข่ไก่ อาหารโปรตีนคุณภาพ แก้ปัญหาทุพโภชนาการ โรงเรียนมีแหล่งอาหารที่ยั่งยืนและสามารถขยายผลการเรียนรู้สู่ชุมชน ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ซีพีเอฟให้การสนับสนุนการก่อสร้างโรงเรือนที่ได้มาตรฐานและอุปกรณ์ พันธุ์ไก่ อาหารไก่ ให้แก่ทุกโรงเรียนในปีแรกโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย รวมทั้งส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงไก่ไข่และสัตวบาลให้ความรู้ คำแนะนำ และติดตามการเลี้ยงไก่ไข่ การจัดการ แก่ครูและนักเรียน ซึ่งปัจจุบัน มีพันธมิตรที่ร่วมสนับสนุนโครงการ ได้แก่ บริษัท สยามแม็คโครจำกัด(มหาชน) , หอการค้าญี่ปุ่น –กรุงเทพฯ

และยังเป็นการส่งเสริมเด็กนักเรียนมีโอกาสได้เรียนรู้ด้านโภชนาการ การเกษตรแผนใหม่ ที่สามารถนำไปใช้เป็นอาชีพต่อไปได้ และเป็นการเสริมกระบวนการเรียนรู้การบริหารจัดการเชิงธุรกิจ เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ที่ได้จะถูกนำส่งเข้าสหกรณ์ของโรงเรียน เพื่อขายให้โครงการอาหารกลางวันนักเรียน

นอกจากนี้ ปัจจุบัน ซีพีเอฟได้พัฒนาระบบการติดตามผลการเลี้ยงไก่ไข่ของโรงเรียน โดยนำระบบ CHATBOT มาใช้ เป็นการรายงานข้อมูลผ่านแอพพลิเคชั่น ไลน์ (Line) เพื่อให้สามารถติดตามข้อมูลการเลี้ยงได้ทุกวัน อาทิ จำนวนไก่และอาหาร จำนวนไก่ตายคัดทิ้ง ผลผลิตไข่ไก่ ไก่ปลด รายงานการเลี้ยง ต้นทุนและรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตไข่ไก่ เป็นต้น โดยคุณครูและนักเรียนที่รับผิดชอบมีหน้าที่บันทึกข้อมูลดังกล่าวและรายงานผ่านระบบไลน์หรือกรณีที่โรงเรียนพบปัญหาในการเลี้ยง ก็สามารถรายงานผ่านระบบดังกล่าวได้ เพื่อซีพีเอฟจะได้ส่งผู้เชี่ยวชาญหรือสัตวบาลให้คำแนะนำได้ทันท่วงทีเป็นการสื่อสาร 2 ทาง โดยปัจจุบันมีการนำระบบ CHATBOT ใช้กับทั้ง 855 โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งได้รับความร่วมมือในการบันทึกข้อมูลและการรายงานข้อมูลเป็นอย่างดี ช่วยให้สามารถติดตามการเลี้ยงได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ในแต่ละสัปดาห์ซีพีเอฟมีการส่งสัตวบาล ติดตาม ดูแลและให้คำแนะนำการเลี้ยงไก่ไข่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนให้ดำเนินการได้อย่างยั่งยืน และบรรลุเป้าหมายแก้ปัญหาทุพโภชนาการของเด็กและเยาวชนได้อย่างแท้จริง

“กว่า 30 ปีของการดำเนินโครงการ มีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ 855 แห่ง เด็กและเยาวชนเข้าถึงอาหารโปรตีนคุณภาพมากกว่า 150,000คน สนับสนุนโรงเรียนเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาทางร่างกายและสติปัญญาอย่างสมวัย และเป็นแหล่งเรียนรู้อาชีพของคนในชุมชนต่อไป” นายสมคิดกล่าว

นายชาญณรงค์ โยธาพันธุ์ ผอ. โรงเรียนบ้านโคกไพล กล่าวว่า โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ทำให้นักเรียนมีแหล่งอาหารโปรตีนไว้รับประทานในโครงการอาหารกลางวันนักเรียน เด็กๆได้ฝึกความรับผิดชอบ รู้จักทำงานร่วมกัน มองประโยชน์ของส่วนรวม รวมทั้งมีแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงไก่ไข่ในโรงเรียนที่เป็นระบบและถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยมีผู้ชำนาญการด้านการเลี้ยงไก่ไข่ของซีพีเอฟให้คำแนะนำ เป็นการยกระดับความรู้ใหม่ๆจากประสบการณ์ที่เจ้าหน้าที่ซีพีเอฟถ่ายทอดให้แก่คุณครูและนักเรียน ซึ่งโรงเรียนสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และยังถ่ายทอดให้แก่โรงเรียนใกล้เคียงได้อีกด้วย นอกจากนี้ โครงการดังกล่าว ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้ทักษะการจัดการด้านธุรกิจ อาทิ รู้จักคำนวณต้นทุนไก่ อาหารไก่ หรือผลผลิตไข่ไก่ที่ส่งเข้าสหกรณ์เพื่อขายต่อไปยังโครงการอาหารกลางวันนักเรียน ทำให้เด็กนักเรียนรู้จักคำนวณเรื่องต้นทุน กำไร เป็นการวางแผนธุรกิจที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อไปได้

สิงห์อาสา เดินหน้าเปิดอบรมช่างไฟฟ้าบ้าน สร้างอาชีพฝ่าวิกฤต

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า วันที่ 14 ส.ค. 63 สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และสถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 1 จ.ปทุมธานี เปิดอบรมโครงการ “สิงห์อาสาอบรมสร้างอาชีพ” กลุ่มทักษะทางด้านงานช่าง ในหลักสูตร Home service and office skills ต่อเนื่อง เน้นหลักสูตรเรียนรู้ง่าย นำไปประกอบอาชีพได้ทันทีผ่านวิชาชีพด้านงานช่าง เริ่มหลักสูตรแรก ช่างไฟฟ้าบ้าน เป็นการอบรมหลักสูตรระยะสั้น 12 ชั่วโมง ระหว่างวันที่ 14-15 ส.ค.63 ที่อาคารอเนกประสงค์ วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี มีผู้เข้าอบรมคลาสแรกเต็ม 40 ที่นั่ง โดยคุณธำรงค์ จุ้ยอินทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปทุมธานีบริวเวอรี่ จำกัด ,คุณนนทพงศ์ ยอดทอง ผู้อำนวยการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 1 และดร.ศันสนีย์  สายะสนธิ ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาปทุมธานี ร่วมเปิดโครงการ

หลักสูตรช่างไฟฟ้าบ้าน เป็นการอบรมด้านอาชีพช่างไฟฟ้าและโอกาสทางการตลาด แบ่งเป็นการเรียนรู้ทฤษฎี มาตรฐานการติดตั้ง และความปลอดภัยทางด้านไฟฟ้า เรียนรู้วัสดุอุปกรณ์งานไฟฟ้า และการเลือกใช้งานให้เหมาะสม และการฝึกปฏิบัติการตั้งอุปกรณ์ทางไฟฟ้า และการเดินระบบไฟฟ้าภายในบ้าน การตรวจเช็คปลั๊ก สวิตช์ หลอดไฟ และการทดสอบเบรกเกอร์ชนิดต่าง ๆ จากทีมผู้เชี่ยวชาญสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 1

ทั้งนี้ โครงการ “สิงห์อาสาอบรมสร้างอาชีพ” กลุ่มทักษะทางด้านงานช่าง ในหลักสูตร Home service and office skills ประกอบด้วย 6 หลักสูตร ได้แก่ 1. ช่างไฟฟ้าบ้าน 2.ช่างแอร์ 3.ช่างประปา 4.กราฟิกดีไซน์เบื้องต้น อบรมการใช้โปรแกรม Adobe Photoshop และ Adobe Illustrator เบื้องต้น 5.ช่างคอมฯ 6.อี-คอมเมิร์ซ ทำธุรกิจออนไลน์ โดยได้รับความร่วมมือจาก 6 สถาบันการศึกษา ได้แก่ สถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 1 จ.ปทุมธานี , วิทยาลัยสารพัดช่างธนบุรี กรุงเทพฯ, วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี, มหาวิทยาเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จ.ปทุมธานี, มหาวิทยาเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จ.ขอนแก่น และมหาวิทยาเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.เชียงใหม่ และการประปานครหลวง (สำนักงานใหญ่)

สำหรับหลักสูตรต่อไปจะจัดขึ้นในวันที่ 29 ส.ค. 63 คือ ช่างแอร์ อบรมการดูแลและซ่อมบำรุงเครื่องปรับอากาศ ที่วิทยาลัยสารพัดช่างธนบุรี ผู้สนใจสามารถสมัครเข้ารับการอบรม ได้ที่เฟสบุ๊ค singha r-sa สิงห์อาสา

หลักสูตร Home service and office skills นับเป็นหลักสูตรที่ 7 ในโครงการสิงห์อาสาสร้างงาน สร้างอาชีพ ตามที่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้ประกาศนโยบายเร่งด่วนในการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ โดยได้เริ่มโครงการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในโครงการจ้างงาน สร้างรายได้ ผ่านการร่วมเป็นอาสาสมัครดูแลท้องถิ่นตนเอง ทั้งไฟป่า, ภัยแล้ง, และน้ำท่วม รวม 37 จังหวัด ทั่วประเทศ ต่อด้วยโครงการสิงห์อาสาอบรมสร้างอาชีพ ที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ระบาด บริษัทฯ ดำเนินการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ ในรูปแบบของการจ้างงานและสร้างอาชีพ เป็นมูลค่าการช่วยเหลือรวมกว่า 200 ล้านบาท รวมทั้งการบริจาคเงินสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ให้แก่ 26 โรงพยาบาลหลักทั่วประเทศ และสนับสนุนอาหารและน้ำดื่มให้กับบุคลากรหลักๆ หลายแห่งทั่วประเทศ ทั้งนี้ ในอนาคตอันใกล้ บริษัทฯ ยังเตรียมหลักสูตรกลุ่มทักษะด้านวิสาหกิจชุมชนเพื่อช่วยอบรมสร้างอาชีพให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป

OR ชวนคนไทย “เที่ยว เลี้ยว ลุ้น” จัดเต็มรางวัลกว่า 9 ล้านบาท

0

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ และ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมเชิญชวนคนไทยเที่ยวเมืองไทยกับแคมเปญ “เที่ยว เลี้ยว ลุ้น” มอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก Blue Card รับสิทธิลุ้นรับรางวัลใหญ่ รถยนต์ BMW X1 sDrive 18i (Iconic) 3 รางวัล ทองคำมูลค่ารวม 300,000 บาท และของรางวัลอื่น ๆ รวมกว่า 1,500 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 9 ล้านบาท เมื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ร้านค้าในเครือของโออาร์ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม 2563 – 31 ตุลาคม 2563

สิทธิลุ้นรางวัล สมาชิก Blue Card เมื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการและสะสมคะแนน Blue Card ที่ร้านค้าในเครือโออาร์ ตามเงื่อนไขที่กำหนด ได้แก่ การเติมน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมัน PTT Station, ซื้อผลิตภัณฑ์หล่อลื่น PTT Lubricants ที่สถานีบริการน้ำมัน PTT Station หรือร้านสะดวกซื้อ Jiffy, ซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto, ซื้อผลิตภัณฑ์ที่ร้าน Café Amazon ร้านสะดวกซื้อ Jiffy ร้าน Texas Chicken ร้านฮั่วเซงฮงติ่มซำ และร้าน Pearly Tea

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสมัครเป็นสมาชิก Blue Card ได้ที่ www.pttbluecard.com และ Blue Card Mobile Application หรือ โทร. 1365 Contact Center 

โออาร์ ผนึกหอการค้าฯ ขยายสิทธิพิเศษบัตร Blue Card สำหรับสมาชิก หวังกระตุ้นการใช้จ่าย ช่วยเศรษฐกิจไทยหมุนเวียน

0

นางสาวจิราพร  ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เปิดเผยว่า โออาร์ ในฐานะบริษัท Flagship ของกลุ่ม ปตท. ด้านการค้าน้ำมันและการค้าปลีก และเป็นสมาชิกของหอการค้าไทย ยินดีมอบสิทธิพิเศษ คะแนนสะสมบัตร Blue Card 2 เท่า ให้แก่สมาชิกของหอการค้าไทยและเครือข่ายทั่วประเทศ เมื่อเติมน้ำมันชนิดใดก็ได้ครบ 500 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ หรือซื้อสินค้าที่ ร้านคาเฟ่อเมซอนครบ 20 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2563 – 31 สิงหาคม 2564 เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้กลับสู่ภาวะปกติ และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจของประเทศให้ขับเคลื่อนต่อไป

นายสวาท  ธีระรัตนนุกูลชัย รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หอการค้าไทย กล่าวว่า ความร่วมมือในโครงการสิทธิพิเศษบัตร Blue Card กับโออาร์ จะช่วยเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิกหอการค้าฯ มากยิ่งขึ้น และจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของภาคเอกชน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ทำให้เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ และคาดหวังให้เกิดการต่อยอดขยายผลไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ต่อไป ทั้งนี้ ปัจจุบันหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศมีสมาชิกรวมกันกว่า 40,000 ราย จากสมาชิกทั้งหมดในเครือข่ายหอการค้าไทยเกือบ 1 แสนราย ที่ผ่านมา ได้มีการเชื่อมโยงเครือข่ายต่าง ๆ เข้าด้วยกันผ่าน Mobile Application “TCC Connect” ซึ่งสมาชิกสามารถรับทราบข้อมูลข่าวสารและกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งใช้แสดงตนการเป็นสมาชิก เพื่อนำไปรับสิทธิประโยชน์ส่วนลด หรือสิทธิพิเศษจากการซื้อสินค้า และการใช้บริการ เช่น ของฝาก ของที่ระลึก ร้านอาหาร และโรงแรมที่พัก ฯลฯ จากผู้ประกอบการในเครือข่ายทุกจังหวัดทั่วประเทศ กว่า 7,000 ร้านค้า และคาดว่าจะมีจำนวนร้านค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ สำหรับ บัตร Blue Card เป็นบัตรสะสมคะแนนสำหรับสมาชิกเมื่อซื้อผลิตภัณฑ์หรือใช้บริการของ PTT Station ร้านคาเฟ่อเมซอน และร้านค้าในเครือของ โออาร์ ที่เข้าร่วมโครงการ โดยสมาชิกสามารถนำคะแนนสะสมมาแลกเพื่อใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าและบริการครั้งถัดไป อีกทั้งยังสามารถรับส่วนลดและสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่มอบให้เฉพาะสมาชิกเป็นรายบุคคล ตามความต้องการและความสนใจ โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและพฤติกรรมของผู้บริโภค ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อมอบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคแต่ละรายได้อย่างตรงใจ โดยปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกกว่า 6 ล้านราย

ซีพีเอฟโชว์แกร่ง ผลประกอบการครึ่งปีแรก กำไร 1.2 หมื่นล้าน จ่ายปันผล 0.40 บ.ต่อหุ้น คาดปีนี้กำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์

0

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยถึงผลดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกของปี ว่า ซีพีเอฟมีตัวเลขกำไร 12,139 ล้านบาท เติบโต 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากภาวะการขาดแคลนสุกรที่สืบเนื่องมาจากการระบาดของโรค ASFในเอเชีย และผลการดำเนินงานของธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ

ทั้งนี้ รายงานรายได้จากการขาย ครึ่งปีแรกของปี 2563 เท่ากับ 281,940 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9% แบ่งเป็นกิจการในต่างประเทศ 69% และในประเทศกับส่งออก 31% ทั้งนี้ รายได้ของกิจการในต่างประเทศ เติบโต 12% และกิจการประเทศไทยเติบโต 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ผลประกอบการของซีพีเอฟที่ดีขึ้น มาจากการเติบโตของกิจการในต่างประเทศที่ซีพีเอฟได้เข้าไปลงทุนในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา โดยในช่วงปีนี้มีปัจจัยสำคัญมาจากการขาดแคลนสุกรในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม เนื่องจากการระบาดของโรค ASF โดยมองว่าภาวะขาดตลาดดังกล่าวอาจจะยังคงต่อเนื่องจากการที่ยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันโรค และการลงทุนในการเลี้ยงสุกรมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นจากการต้องมีระบบการป้องกันทางชีวภาพและการบริหารจัดการป้องกันโรคที่เข้มงวดขึ้น

สำหรับผลกระทบจากโรคระบาด COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและกำลังซื้อที่ลดลง ธุรกิจของบริษัทได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มากนัก เนื่องจากสินค้าของซีพีเอฟเป็นสินค้าจำเป็นในการดำรงชีพ และบริษัทได้มีการขับเคลื่อนกลุยุทธ์ด้านการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำงานมากขึ้น พร้อมไปกับปรับรูปแบบการทำงานและการขายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

นอกจากนี้ ธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างมากจากประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่ดีขึ้น ทำให้ความสามารถในการทำกำไรปรับตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ส่วนผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง ซีพีเอฟน่าจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่อง ปีนี้น่าจะเป็นปีที่มีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากปัจจัยหลัก คือ ภาวะขาดแคลนสุกรในภูมิภาคที่ส่งผลให้ราคาตลาดอยู่ในระดับที่สูงกว่าปีก่อน และความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยน่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้ง การเติบโตของธุรกิจจากการเพิ่มมูลค่าและการลงทุน นอกจากนั้น ยังคาดว่าแนวโน้มการบริโภคน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา

ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ได้มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนปีนี้ ในอัตราหุ้นละ 40 สตางค์ โดยจะทำกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 (ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28 สิงหาคม) และจะทำการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 11 กันยายนนี้

บลูการ์ด จับมือ สิงห์ รีวอร์ด เปิดแคมเปญ ‘โอนคะแนนสะสม สิงห์ รีวอร์ด กับคะแนนสะสม บลูการ์ด’

0

นายนิสิต พงษ์วุฒิประพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร นวัตกรรมและความยั่งยืน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ พร้อมด้วย นายธิติพร ธรรมาภิมุขกุล หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มการตลาดแบรนด์ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ร่วมกันเปิดแคมเปญ “โอนคะแนนสะสม สิงห์ รีวอร์ด กับ คะแนนสะสม บลูการ์ด” 

แคมเปญร่วมดังกล่าว เพื่อเป็นการเพิ่มความหลากหลายในการรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ของสมาชิก บลูการ์ด (Blue Card) และสมาชิก สิงห์ รีวอร์ด (Singha Rewards) โดยสมาชิกสามารถนำคะแนนสะสม บลูการ์ด แลกเป็นคะแนนสะสม สิงห์ รีวอร์ด ได้ ผ่านทาง www.pttbluecard.com หรือ Blue Card Mobile Application 

และสามารถนำคะแนนสะสม สิงห์ รีวอร์ด แลกเป็นคะแนนสะสม บลูการ์ด ผ่านทาง Line Official Account Singha Rewards ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2563 – 31 กรกฎาคม 2564  ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.pttbluecard.com  และ Blue Card Mobile Application หรือ สอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 1365 Contact Center