Home Blog Page 397

AIS จับมือสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ใช้ 5G ดึงดูดการลงทุน

0

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส เปิดเผยว่า บริษัทร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนา 5G โซลูชันในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมบางกะดี จังหวัดปทุมธานี รองรับการปรับตัวของโรงงานในสวนอุตสาหกรรมให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง สร้างข้อได้เปรียบทางการผลิตและการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรม พร้อมสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าอย่างแข็งแกร่งต่อไป โดยความร่วมมือในครั้งนี้ เอไอเอส ได้นำเอาขีดความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานที่จะเข้ามาสนับสนุนการบริหารงาน การผลิต และระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมบางกะดี ทั้ง FIX และ Mobile รวมถึงเทคโนโลยี 5G ให้รองรับโซลูชันการใช้งานอย่างครบวงจร ประกอบด้วย แพลตฟอร์มเชื่อมต่อและรวบรวมข้อมูล, ฟรอนต์เอนด์ และ แบคเอนด์สำหรับสนับสนุนผู้มีส่วนร่วมทุกคนที่ดำเนินธุรกิจในสวนอุตสาหกรรม

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร สวนอุตสาหกรรมบางกะดี กล่าวว่า  ตลอดระยะเวลากว่า 33 ปี ที่ผ่านมา สวนอุตสาหกรรมบางกะดี ได้พัฒนาทางด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน และการส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการประกาศเป็นสวนอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระดับที่ 5 จากกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นสวนอุตสาหกรรมน่าอยู่ควบคู่ชุมชน สำหรับความร่วมมือกับเอไอเอสในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมหลังเผชิญกับภาวะวิกฤตครั้งที่ผ่านมา ด้วยศักยภาพของโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลจากเอไอเอส ทั้งโครงข่ายไฟเบอร์ออพติคและเทคโนโลยี 5G จะมีส่วนช่วยให้กระบวนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุนการทำงานและเพิ่มขีดความสามารถของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนต่อยอดสู่การสร้างกระบวนการทำงานรูปแบบใหม่ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ สวนอุตสาหกรรมบางกะดี ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2530 ตั้งอยู่บริเวณถนนติวานนท์ ตำบลบางกะดี อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี บนพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ เป็นสวนอุตสาหกรรมของเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อรองรับนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนขยายฐานการผลิตในประเทศไทย สร้างงานให้คนไทย ปัจจุบัน มีโรงงานกว่า 40 ราย มีอัตราการจ้างงานแรงงานกว่า 20,000 คน

นครสวรรค์ เที่ยวชุมแสง แวะจุดเช็คอินใหม่ของเมืองสี่แคว

0

แรกทีเดียว ตอนแอดมินเห็นทริปพาเที่ยวนครสวรรค์ ก็ไม่ค่อยสนอกสนใจมากนักเท่าไร เพราะที่ผ่านมา นครสวรรค์เป็นเหมือนกับทางผ่าน เป็นจุดแวะพักสำหรับการเดินทางขับรถขึ้นสู่ภาคเหนือมาตลอด แต่เมื่ออ่านรายละเอียดสถานที่ต่างๆ ที่ทางคนจัด คือ SiamRise Travel (สยามร้าย ทราเวล) ร่วมกับททท.นครสวรรค์ ลิสต์รายการมาแล้ว ก็เห็นน่าสนใจ เพราะนอกเหนือจากตลาดชุมแสงแล้ว สถานที่อื่นๆ แอดมินไม่เคยได้ยินมาก่อน

ทริปนี้ เราใช้เวลาเที่ยวสั้นๆ สองวันหนึ่งคืน เดินทางกันแบบสบายๆ เที่ยวเจาะเฉพาะที่กันไปเลย เราออกเดินจากกรุงเทพฯ โดยเป้าหมายแรก คือ ตลาดชุมแสง ชื่อตลาดนี้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวกันมากเมื่อปีที่แล้ว จากละคร”กรงกรรม” ที่ออนแอร์ทางช่องสาม ซึ่งโด่งดังมาก จนจุดกระแสให้คอละครอยากมาตามรอยชมตลาดชุมแสงจริงๆ

ชุมแสงเป็นตลาดที่เคยเฟื่องฟูเป็นอย่างมากในอดีต ผ่านการสัญจรทางน้ำที่ติดกับแม่น้ำน่าน และการเดินทางโดยรถไฟ และซบเซาไปเป็นเวลานาน จนกลับมาเป็นที่รู็จักจากกระแสละครอย่างที่กล่าวไว้ แต่ปัจจุบัน เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ตลาดชุมแสงเงียบเหงาไปมากทีเดียว

เรามาถึงที่ชุมแสงเที่ยงกว่าได้ มื้อแรกของทริปนี้ คือ ร้านก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟมุมแดง รสชาติอร่อยมาก ผู้ร่วมทริปสั่งเบิ้ลกันเกือบทุกคนทีเดียว

อาคารบ้านเรือน ร้านค้าเก่าๆ เป็นเสน่ห์ของตลาดเก่าที่ชวนให้เราเดิน เดิน และเดินได้อย่างไม่รู้เบื่อ


ทางเข้าตลาดเก่า 100 ปี อีกหนึ่งในฉากของละคร โด่งดังมากจนต้องติดป้ายว่า ตรอกเรณู ซึ่งเป็นชื่อตัวละครเด่น ฉากส่วนใหญ่ในละครเรื่องนี้ จริงๆแล้วไม่ได้มาถ่ายทำกันที่ชุมแสงจริงๆ อาจจะเป็นเพราะระยะทางที่ค่อนข้างไกล แต่เค้ามีทีมงานมาสำรวจ ถ่ายรูปจุดต่างๆ ไว้แล้วไปเซ็ตฉากใหม่ ถ่ายทำได้เนียน เหมือนกับสถานที่จริง

เดินผ่านร้านชัยวันท์ ซึ่งเป็นร้านขายของขนาดใหญ่ เจ้าของต้อนรับสู่ พอทราบว่าเป็นนักท่องเที่ยวมาจากกรุงเทพฯ ก็เปิดร้านให้เข้ามาเดินสำรวจภายในร้าน

ชาวบ้านร้านค้าที่นี่ ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างมีไมตรีจิต และพูดคุยทักทายตลอดทางเลยทีเดียว แอดมินเดินผ่านโรงแรมเก่าแก่ของที่นี่ ทีแรกเข้าใจว่า เป็นโรงแรมร้าง แต่พอสอบถามดู ได้รับคำตอบว่า ทุกวันนี้ ยังเปิดกิจการอยู่ และมีแขกมาพักอยู่บ้าง แอดมินเอ่ยปากขออนุญาตคนดูแลขึ้นไปชมสถานที่ ก็ไม่ขัดข้อง

จากนั้น เราก็เดินต่อไปถึงชุมแสงแกลลอรี่ ชมการสาธิตเพนท์หน้าเอ็งกอ นอกจากนี้ ยังมีการแสดงงานศิลปะภาพวาด ภาพถ่ายจากศิลปินและเยาวชนให้ชมกันแล้ว ยังมีกิจกรรม DIY ที่ให้ผู้มาเยี่ยมชมสามารถลองทำกันได้คือ การเพ้นท์หน้ากากเอ็งกอ แบบมินิที่เป็นตัวติดตู้เย็น หรือพวงกุญแจ ให้เก็บงานฝีมือตัวเองกลับบ้านไปเป็นที่ระลึก

งานประจำปีแห่เจ้าพ่อเจ้าแม่ชุมแสง ที่ชุมชนจัดขึ้นทุกปี ในงานจะมีขบวน “เอ็งกอ” ตำนานนักสู้แห่งเขาเหลียงซาน 108 คน ที่มีอาชีพและฐานะทางสังคมต่างกัน โดยที่ทั้ง 108 คนจะเขียนหน้าต่างกันเป็นเอกลักษณ์ ของใครของมัน ปีนี้ จะมีขบวนแห่เจ้าพ่อเจ้าแม่ชุมแสงในวันที่ 5 ธันวาคม 2563 ใครสนใจ อยากไปชมของจริง ก็เดินทางมาดูได้เลย

เสร็จกิจกรรมแล้ว เราเดินชมบรรยากาศตลาดเก่ากันต่อ มาที่นี่ ห้ามพลาด ไอศครีมน้ำตาลสด รสชาติหอมอร่อย แตกต่างจากไอศรีมกะทิที่คุ้นเคย

สะพานหิรัญนฤมิตร อีกหนึ่งไฮไลต์ของชุมแสง เป็นสะพานแขวน ที่อยู่คู่ชุมชนมาเป้นเวลานาน สร้างขึ้นในปี 2552 เพื่อให้ผู้คนจากสองฟากฝั่งแม่น้ำน่านสัญจรข้ามไป-มา โดยห้ามรถยนต์ 4 ล้อวิ่งผ่าน อนุญาตเฉพาะจักรยาน มอเตอร์ไซค์ และเดินเท้าเท่านั้น

เมื่อเดินเก็บภาพตลาดเก่าชุมแสงจนหนำใจแล้ว ก็ถึงเวลาออกจากชุมแสง เข้ามายังนครสวรรค์ เพื่อไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์และเจ้าแม่ทับทิมองค์ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้เรายังสามารถมองเห็นวิวของอาคารพาสาน แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของนครสวรรค์อีกด้วย

จากท่าเรือหน้าศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์และเจ้าแม่ทับทิม เราขึ้นเรือชมความงามของปากน้ำ และทัศนียภาพตลอดริมน้ำสองฟากฝั่ง คนบังคับเรือเป็นคุณยายวัยเกือบ 80 ปี “ป้าเกี๊ยะ” ยังดูทะมัดทะแมง แข็งแรง และมีความสุขกับการทำงานนี้อย่างมากทีเดียว

คุณยายบังคับเรือล่องไปตามปากน้ำ แล้ววนกลับมาส่งพวกเราขึ้นท่าตรงฝั่งของ อาคารพาสาน อาคารสัญลักษณ์ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของปากน้ำโพ ที่มาของอาคารแห่งนี้ เกิดจากเทศบาลเมืองนครสวรรค์ ต้องการพัฒนาพื้นที่สาธารณะ เช่น การทำเส้นทางจักรยาน ปรับปรุงทางเท้า เพิ่มพื้นที่สวนสาธารณะและลานออกกำลังกาย ที่สำคัญคือปลุกให้ชุมทางในอดีตอย่างนครสวรรค์ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง มีการประกวดแบบอาคารที่มีทั้งผู้เชี่ยวชาญและคนในท้องถิ่นเห็นชอบต้องกัน จนได้รูปแบบอาคารที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ยิ่งตกเย็น มีคนมาเดินเที่ยว ถ่ายรูป ที่นี่เยอะขึ้นๆ แถมยังมีฉากหลังเป็นปากน้ำที่พระอาทิตย์กำลังตก จนแอดมินรู้สึกประทับใจ และอิจฉาคนนครสวรรค์ที่มีสถานที่พักผ่อนที่สวยงาม รับกับความสวยงามของฉากธรรมชาติ

เที่ยวกันจนเย็นย่ำใกล้ค่ำ ถึงเวลาของอาหารมื้อเย็น ผู้จัดทริปเลือกพาเราไปชิมอาหารอร่อยกันที่ ตลาดท่าเรือคลองคาง ติดริมน้ำปิง ที่นี่เคยเป็นท่าเรือเก่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ต่อมาได้พัฒนามาเป็น “ตลาดท่าเรือคลองคาง” ด้วยความร่วมมือกันระหว่างคนในชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อให้ชาวบ้านได้มีพื้นที่ประกอบอาชีพเสริม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดนครสวรรค์ มีร้านขายอาหารท้องถิ่นมากกว่า 100 ร้านค้า ที่สำคัญ อาหารมีเยอะแยะมากมาย ราคาไม่แพง มีวงดนตรีเล่นสดให้ฟังกันด้วย ตลาดเปิดทุกวันเสาร์อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 15.00-21.00 น. เสร็จจากที่นี่ ก็ถึงเวลาพักผ่อนนอนหลับหลังจากเที่ยวกันมาทั้งวัน

วันที่สอง เราเดินทางไปไหวัพระกันที่วัดนครสวรรค์ เป็นพระอารามหลวงตั้งอยู่ในตลาดปากน้ำโพ ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อศรีสวรรค์ ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัด เป็นที่เคารพสักการะของชาวเมือง ผู้ที่ผ่านจังหวัดนครสวรรค์มักจะแวะมานมัสการ หลวงพ่อศรีสวรรค์เพื่อความเป็นศิริมงคลของตน

แล้วเดินทางต่อไปเยี่ยมชมอุทยานเทวสถานพระพิฆเนศ ตั้งอยู่ที่ ตำบลกลางเเดด อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อเข้าไปถึง องค์พิฆเนศองค์ใหญ่ตั้งตระหง่านจนเห็นแต่ไกล และภายในยังมีเทวรูปเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆมากมาย

และปิดท้ายทริปนี้ด้วย น้ำตกเกาะญวน หรือโครงการพัฒนาเกาะญวนเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ของเทศบาลนครสวรรค์ ที่ได้รับแนวคิดมาจากคลองชองเกชอน ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ จากสถานีบำบัดน้ำเสีย ที่บำบัดน้ำทิ้งจากครัวเรือนก่อนปล่อยลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา สู่เรื่องการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม น้ำเสียที่ผ่านการบำบัดและปรับปรุงคุณภาพแล้ว มีคุณภาพดีขนาดที่สามารถนำมาเลี้ยงปลาได้ ทำให้คนกรุงเทพอย่างเรา อิจฉาคนนครสวรรค์ที่มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจพร้อมกับมีระบบบำบัดน้ำที่ดีเช่นที่นี่

ทริปนี้ ทำให้เรารู้ว่า นครสวรรค์ ยังมีที่เที่ยวอีกเยอะแยะมากมายซ่อนอยู่ ไม่ได้มีแค่ประเพณีแห่มังกร หรือเป็นแค่ทางผ่านไปจังหวัดภาคเหนืออีกต่อไป หากใครคิดจะเที่ยวที่ใช้เวลาเดินทางไม่นานมากนัก นครสวรรค์ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับที่เที่ยวที่ดีทีเดียวครับ.


ขอบคุณ ข้อมูล ททท.นครสวรรค์ , บริษัท สยามร้าย ทราเวล

กทม. เตรียมเปิดบริการรถไฟฟ้า 2 เส้นทาง ธ.ค.63 เป็นของขวัญปีใหม่

0

พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  เปิดเผยว่า กทม. พร้อมให้บริการรถไฟฟ้า 2 เส้นทาง ในเดือนธ.ค.63 นี้ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชนตามนโยบายรัฐบาล ประกอบด้วย

1.โครงการรถไฟฟ้าบีทีเอส ส่วนต่อขยายสายสีเขียว (เหนือ) หมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต ช่วงจากสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ – คูคต อีก 7 สถานี ได้แก่ สถานีพหลโยธิน 59 สถานีสายหยุด สถานีสะพานใหม่ สถานีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช สถานีพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ สถานีแยกคปอ. และสถานีคูคต หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ทยอยเปิดให้บริการช่วงจากสถานีห้าแยกลาดพร้าว – วัดพระศรีมหาธาตุไปแล้ว 9 สถานี เมื่อเดือน มิ.ย.63 ที่ผ่านมา โดยทั้งหมดนี้รัฐบาลเป็นผู้ลงทุนงานโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และตั้งใจที่จะก่อสร้างให้แล้วเสร็จ พร้อมเปิดเดินรถเพื่อบริการประชาชนให้ได้ภายในต้นเดือน ธ.ค.63 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน โดยส่วนที่ขยายถึงคูคตก็จะให้ประชาชนได้ใช้บริการฟรี 

ทั้งนี้ การเดินทางเชื่อมต่อ 3 จังหวัด คือ สมุทรปราการ กรุงเทพฯ และปทุมธานี จะสะดวก รวดเร็ว และง่ายขึ้น ลดความคับคั่งบนถนนสุขุมวิท กรุงเทพฯ ชั้นใน และถนนพหลโยธิน ซึ่งถือเป็นถนนสายหลักที่ผ่านสถานที่สำคัญมากมาย ทั้งย่านธุรกิจ สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่ราชการ สถานศึกษา และย่านที่พักอาศัยหนาแน่น และถือเป็นการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเต็มระบบตลอดสาย จากสถานีเคหะสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ถึงสถานีคูคต จังหวัดปทุมธานี รวมระยะทาง 68.25 กิโลเมตร จำนวน 59 สถานี เป็นการพัฒนาโครงการข่ายเดินรถไฟฟ้าที่เข้าถึงประชาชนได้มากที่สุด และจะช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนาพื้นที่ในเส้นทางที่รถไฟฟ้าผ่านอีกด้วย

2.โครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง ตามแนวถนนกรุงธนบุรี ถนนเจริญนคร และถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน จำนวน 3 สถานี โดยเอกชนเป็นผู้ลงทุนให้ จะเปิดบริการกลางเดือน ธ.ค.63 ขณะนี้กำลังทดลองเดินรถ 3 ขบวน เพื่อหาจุดบกพร่องและทำให้สมบูรณ์ โดยจะได้เชิญ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาเปิดให้บริการเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน

ไม่เพียงแต่การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะระบบรางเท่านั้น รัฐบาลยังมีนโยบายให้พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะเชื่อมกันเป็นโครงข่าย “ล้อ ราง เรือ” โดยการพัฒนาคูคลองสายต่าง ๆ ให้สามารถเดินเรือโดยสารได้ เพื่อให้การเดินทางขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบเชื่อมต่อถึงกัน และเข้าถึงพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด

เอไอเอส เปิดตัว PLAY NEWS ดิจิทัลแพลตฟอร์มคอนเทนต์ข่าวของคนไทย บน AIS PLAY

0

เอไอเอส เปิดตัวบริการ “PLAY NEWS” ปรากฏการณ์คอนเทนต์ข่าวในรูปแบบวีดิโอแพลตฟอร์มบน AIS PLAY ที่เปิดโอกาสให้เหล่าคนข่าวและคอนเทนต์ครีเอเตอร์ มีช่องทางเผยแพร่ผลงานวีดิโอคอนเทนต์ข่าวหลากหลายในสไตล์ของตัวเอง โดยเป็นการรวมตัวของคนข่าวระดับแถวหน้าของประเทศ เช่น สุทธิชัย หยุ่น, ฐปณีย์ เอียดศรีไชย, บัญชา ชุมชัยเวทย์, ชมพูนุช ภัทรขจี, ธงชัย ชลศิริพงษ์, พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต เป็นต้น พร้อมเหล่าบล็อกเกอร์จากแวดวงต่างๆ ร่วมสร้างคอนเทนต์ข่าวบน AIS PLAY ทุกช่องทาง

พร้อมเปิดมิติใหม่ของการรายงานข่าวด้วยเทคโนโลยี AIS 5G VR ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่เกิดจากการร่วมมือ (Co-creation) ระหว่างโอเปอเรเตอร์ผู้ให้บริการเครือข่าย กับ         คนข่าว (News Creator) นำเทคโนโลยี VR เข้ามาพัฒนาการรายงานข่าวรูปแบบใหม่ ถ่ายทอดผ่านมุมมอง 360 องศา เพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสประสบการณ์เสมือนลงพื้นที่จริงด้วยตัวเอง เริ่มต้นด้วย รายงานพิเศษ โดย ฐปณีย์ เอียดศรีไชย พาสำรวจสถานีกลางบางซื่อ เปิดให้รับชมแล้ววันนี้ ในเมนู PLAY NEWS บนแอปพลิเคชั่น AIS 5G PLAY VR

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า มุ่งหวังให้ “PLAY NEWS” เป็นต้นแบบโมเดลธุรกิจคอนเทนต์ ที่ยั่งยืนสำหรับผู้ที่มีใจรักในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ทุกคน (Professional Generated Content Creator) ที่จะต่อยอดและพัฒนาเป็นแหล่งสร้างรายได้ใหม่สำหรับมือผลิตคอนเทนต์ในอนาคต เพื่อสร้าง WIN-WIN ให้กับภาพรวมของอุตสาหกรรมสื่อและโซเชียลแพลตฟอร์มในประเทศไทย พร้อมกันนี้ ยังได้นำศักยภาพเครือข่าย 5G และนวัตกรรม VR (Virtual Reality) เข้ามาร่วมสร้าง Co-creation ยกระดับการผลิตข่าวและการรายงานข่าวมิติใหม่ ให้กับวงการสื่อสารของไทย เพื่อสะท้อนให้คนไทยได้เห็นถึงประโยชน์ของเทคโนโลยี 5G ด้วย

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส

PLAY NEWS PLAY ข่าว เพื่อชาวไทย รายงานทุกความเคลื่อนไหวของเมืองไทยและทั่วโลก ย่อให้ฟังแบบสั้น กระชับ เข้าใจง่าย เพียง 5 นาที รู้เรื่อง ทั้งหมดจะอัพเดทใหม่ เป็นประจำทุกวัน เช้า เที่ยง เย็น เพื่อคนไทยทุกคน ทุกเครือข่าย รับชมได้ฟรี ทุกที่ ทุกเวลาในรูปแบบวีดิโอออนดีมานด์ บน AIS PLAY ทุกช่องทาง ทั้งแอปพลิเคชัน AIS PLAY, กล่องทีวี AIS PLAYBOX, เว็บไซต์ aisplay.ais.co.th  กล่อง APPLE TV และ SAMSUNG SMART TV

ซีพีเอฟ ร่วมมือ กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ และอบก. อนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าบก-ป่าชายเลน 2.6 หมื่นไร่

0

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ลงนามบันทึกความร่วมมือ “การปกป้องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) สู่การฟื้นฟูป่า” กับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ดำเนินโครงการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ปลูกป่าบกและป่าชายเลน ระยะที่ 2 ครอบคลุมพื้นที่รวม 26,000 ไร่ มุ่งมั่นมีส่วนร่วมปกป้องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อความมั่นคงทางอาหารและสร้างสมดุลธรรมชาติอย่างยั่งยืน

โดยพิธีลงนาม มีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน ร่วมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ ข้าราชการระดับสูงของกระทรวง ผู้บริหาร อบก. โดยมี นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด เป็นสักขีพยานการลงนาม ร่วมกันระหว่าง นายอดิศร นุชดำรงค์ อธิบดีกรมป่าไม้ นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการ อบก. และนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูป่าในโครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง จังหวัดลพบุรี ระหว่างปี พ.ศ. 2564 – 2568 พื้นที่ 7,000 ไร่ และโครงการซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน พื้นที่อ่าวไทย ตัว ก. จังหวัดสมุทรสาคร ระหว่างปี พ. ศ. 2562 – 2566 พื้นที่ 14,000 ไร่ รวมทั้งเพิ่มพื้นที่เขียวในสถานประกอบการของซีพีเอฟ อีก 5,000 ไร่

นายวราวุธ กล่าวว่า การลงนามบันทึกความร่วมมือนี้ จะช่วยสนับสนุนแนวทางการพัฒนาประเทศไทยในระยะยาว ในการมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามมาตรการระหว่างประเทศที่มุ่งสู่การเติบโตด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและภาคประชาชนให้ตระหนักรู้ต่อผลกระทบของก๊าซเรือนกระจกและเป็นเครือข่ายในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง

วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เครือซีพี เป็นตัวอย่างของภาคเอกชนไทยที่เห็นความสำคัญและผลักดันนโยบายต่างๆ นำไปสู่การแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ยั่งยืน เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทำให้สังคมไทยและประชาชนเห็นความสำคัญของการฟื้นฟูธรรมชาติเพื่อคืนความสมดุลของสิ่งแวดล้อม ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ​ พร้อมเป็นแรงผลักดันทุกฝ่ายร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูผืนป่าที่เขาพระยาเดินธง จ.ลพบุรี และพื้นที่อ่าวไทย ตัว ก. จังหวัดสมุทรสาครทั้งสองผืนของซีพีเอฟว่า จะช่วยสร้างสมดุลธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าชายเลนซึ่งมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ เป็นที่ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง เป็นที่พักพิงของสัตว์ทะเล ซึ่งการฟื้นฟูป่าทั้งสองแห่ง สามารถขยายผลและเป็นตัวอย่างให้กับพื้นที่ป่าอื่นๆ ต่อไปในอนาคต

นายศุภชัย กล่าวว่า เครือซีพี ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในการสร้างความยั่งยืน และบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ภาคเอกชนมีหน้าที่ที่จะต้องมีความตระหนักรู้ และควรมีการวางเป้าหมาย กำหนดตัวชี้วัดในการก้าวสู่ยุคที่มีความรับผิดชอบต่อระบบของสิ่งแวดล้อม ระบบสังคม ระบบความยั่งยืนในภาพรวม เครือซีพีจึงตั้งเป้าหมายเป็นองค์กรปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ (Carbon Neutral) ภายใน พ.ศ. 2573

ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด

“เครือซีพีในฐานะที่เรามีความตระหนักในเรื่องของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงตั้งเป้าให้ปี 2573 การดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานของเครือฯ​ ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ และลดขยะของเสียเป็นศูนย์ ซึ่งวันนี้เป็นจุดเริ่มต้นจุดหนึ่งของความพยายามทั้งหมด”​

การผนึกกำลังและความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ทำให้มองเห็นทางออกในการแก้ปัญหาได้มากขึ้น โดยมีภาครัฐเป็นแกนนำเป็นตัวอย่างและเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับภาคเอกชน ซึ่งเครือซีพีพร้อมปฏิบัติตามแนวทางของภาครัฐในด้านความยั่งยืนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

สิงห์อาสา จับมือ ประปานครหลวง จัดอบรมหลักสูตร ช่างประปา ฟรี

0

สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ การประปานครหลวง จัดอบรมหลักสูตร “ช่างประปา” ฟรี ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ระหว่างวันที่ 7-9 ตุลาคม 2563 ที่การประปานครหลวง สำนักงานใหญ่ เพื่อให้ประชาชนมีทักษะความรู้ใช้เป็นช่องทางในการประกอบอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว

ช่างประปา นับเป็นอีกหนึ่งวิชาชีพที่สำคัญในชีวิตประจำวัน เนื่องจากทุกบ้าน ทุกสำนักงานจำเป็นต้องมีระบบประปาที่มีประสิทธิภาพเพื่อใช้งาน ช่างประปาจึงจำเป็นต้องมีทักษะความสามารถในการซ่อมแซมแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นและมีวิธีบำรุงรักษาระบบประปาที่ถูกต้องและปลอดภัย การจัดอบรมในหลักสูตรช่างประปาในครั้งนี้ จึงมีการเตรียมเนื้อหาและวิทยากรผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ความรู้แก่ผู้เข้ารับการอบรมอย่างเต็มที่ โดยตลอดระยะเวลาการอบรมทั้ง 3 วัน ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับความรู้เรื่องท่อน้ำและวัสดุอุปกรณ์งานประปา ฝึกปฏิบัติเดินระบบท่อประปาภายในห้องน้ำ ซ่อมท่อรั่วภายในบ้าน การเพิ่มจุดจ่ายน้ำ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับถังเก็บน้ำ ฝึกปฏิบัติล้างถังพักน้ำ โดยในวันสุดท้ายของการอบรม ผู้เข้ารับการอบรมทุกท่านจะได้รับโอกาสเยี่ยมชมสถานีสูบน้ำดิบสำแล ที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อชมกระบวนการผลิตน้ำประปาตั้งแต่ต้นน้ำ และเป็นการสร้างความตระหนักเรื่องคุณภาพของน้ำให้กับช่างประปาอีกด้วย

นับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่เกิดสถานการณ์การระบาดของโควิด-19  บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้มีนโยบายช่วยเหลือสังคม มอบเงินสนับสนุนการทำงานของบุคลากรการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลหลัก 26 แห่งทั่วประเทศ ทั้งยังสนับสนุนอาหารน้ำดื่มให้กับบุคคลากรการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่รับมือกับการแพร่ระบาดโควิด-19 รวมถึงประกาศนโยบายเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ โดยตลอดระยะเวลากว่า 6 เดือน ได้จัดอบรมโครงการทั้งหมด 11 โครงการ 28 ห้องเรียน ทั้งในรูปแบบของการจ้างงาน สร้างรายได้ เป็นอาสาสมัครดูแลท้องถิ่นตนเอง ได้แก่  โครงการสิงห์อาสาสู้ไฟป่า โครงการสิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง และโครงการสิงห์อาสาสู้ภัยน้ำท่วม รวมถึงรูปแบบการสร้างงาน สร้างอาชีพ ได้แก่ กลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านอาหาร กลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านงานช่าง และเตรียมจัดอบรมกลุ่มทักษะทางด้านการเกษตร รวมเป็นมูลค่าการช่วยเหลือกว่า 200 ล้านบาท

เอไอเอส จ่ายค่าคลื่นความถี่ 1800 MHz งวดที่ 2 นำส่งรายได้ให้รัฐ

0

พร้อมเร่งเดินหน้าขยายเครือข่ายการให้บริการ 5G เพื่อลูกค้าทั่วประเทศ

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์  อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ในฐานะผู้บริหาร บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (เอดับบลิวเอ็น) ผู้ชนะการประมูลคลื่นความถี่ 1800 MHz ย่าน (1740 – 1745 / 1835 -1840 MHz ) ในมูลค่ารวม 12,511 ล้านบาท ได้นำเงินไปชำระค่าประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz งวดที่ 2 เป็นเงินจำนวน 3,346,692,500.00 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว โดยมี พลเอกสุกิจ ขมะสุนทร ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นผู้รับมอบ เพื่อนำส่งเงินเป็นรายได้ของแผ่นดินต่อไป

นายสมชัย กล่าวว่า เอไอเอส ให้ความสำคัญกับการนำคลื่นความถี่ ซึ่งเป็นทรัพยากรของประเทศมาสร้างสรรค์ประโยชน์เพื่อประชาชน ดังนั้น นับตั้งแต่ได้รับคลื่นความถี่มา บริษัทได้เดินหน้านำไปพัฒนาเครือข่ายอย่างเต็มที่ ทำให้ปัจจุบัน เอไอเอสเป็นรายแรกที่เปิดให้บริการ 5G พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ โดยปีนี้ได้เตรียมงบลงทุนไว้ 35,000 ล้านบาท.

ซีพีเอฟ เดินหน้าส่งมองอาหารปลอดภัยถึงมือหมอ-พยาบาลที่รพ.แม่ระมาด จ.ตาก

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดย นายมานพ หนูเทศ ผู้แทนบริษัท ส่งมอบอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน ในโครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” ให้แก่ โรงพยาบาลแม่ระมาด อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่คณะแพทย์ พยาบาล บุคคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่คัดกรองกลุ่มเฝ้าระวัง ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นด่านหน้าในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ให้ได้รับอาหารที่ดี มีคุณค่าทางโภชนาการ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มที่ ช่วยเหลือสังคมและประเทศไทยให้รอดพ้นวิกฤติโควิด-19 ไปได้ โดยมี ผู้แทน นายแพทย์สุธา ภัทรกิจรุ่งเรือง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่ระมาด เป็นผู้รับมอบ

ก่อนหน้านี้ ซีพีเอฟ ได้ส่งมอบอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานให้แก่ โรงพยาบาลพบพระ และเตรียมส่งมอบอาหารปลอดภัยให้แก่โรงพยาบาลของรัฐในจังหวัดตาก อีก 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลท่าสองยาง โรงพยาบาลแม่สอด และ โรงพยาบาลอุ้มผาง รวมทั้งหมด 5 แห่ง โดยทีมงานเดลิเวอรี่ของซีพี เฟรชมาร์ท จะจัดส่งอาหารให้บุคลากรทางการแพทย์ถึงที่โรงพยาบาล

ซีพีเอฟ ในฐานะผู้ผลิตอาหารคุณภาพปลอดภัย ได้แบ่งเบาภาระของกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือคนไทยและประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 มาตั้งแต่ช่วงต้นปี ในครั้งนี้ บริษัทฯ ขอนำความเชี่ยวชาญด้านอาหาร มาช่วยแบ่งเบาภารกิจของทีมแพทย์ใน จังหวัดตากอีกครั้ง เพื่อเติมกำลังกายและเป็นกำลังใจให้แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องใกล้ชิดและมีความเสี่ยงอย่างมากในสถานการณ์นี้ เนื่องจากจังหวัดตากเป็นจังหวัดชายแดนที่มีแรงงานจากเมียนมาเข้าออกเป็นจำนวนมาก

เลื่อนเปิดรถไฟฟ้าสายสีทองเป็น ธ.ค. 63 คิดค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสาย

0

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ตรวจเยี่ยมโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรอง สายสีทอง ระยะที่ 1 (สถานีกรุงธนบุรี-สถานีสำนักงานเขตคลองสาน) โดยมี ผู้บริหารสำนักการจราจรและขนส่ง ผู้บริหารบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และผู้บริหาร บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมให้การต้อนรับ ณ สถานีกรุงธนบุรี เขตคลองสาน

พล.ต.อ.อัศวิน เปิดเผยว่า ขณะนี้การก่อสร้างและติดตั้งระบบในภาพรวมมีความก้าวหน้า 96 % แบ่งออกเป็นความก้าวหน้างานโยธา 98 % และความก้าวหน้างานระบบการเดินรถ 92 % ทั้งนี้จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้การจัดส่งขบวนรถและอุปกรณ์ต่างๆ ล่าช้า รวมทั้งมีการปรับปรุงแบบทางขึ้นลงสถานีให้ตรงตามความต้องการของชุมชน ทำให้ต้องเลื่อนกำหนดการเปิดให้บริการจากเดิมที่กำหนดไว้ในเดือน ต.ค.63 เป็นเดือน ธ.ค.

ทั้งนี้ หลังจากที่สถานการณ์โรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลายได้รับมอบขบวนรถในโครงการมาครบแล้ว ทั้ง 3 ขบวน และขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบการเดินรถในเส้นทาง ซึ่งผลการทดสอบเป็นไปตามแผน คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการประชาชนได้กลางเดือน ธ.ค.63 กำหนดอัตราค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสาย เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับชาวกรุงเทพฯ โดยเฉพาะประชาชนในย่านฝั่งธนฯ ที่จะมีทางเลือกในการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริเวณสถานีคลองสาน ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการหลายแห่ง อาทิ โรงพยาบาลตากสิน สำนักการศึกษา สำนักงานเขตคลองสาน และสน.ปากคลองสาน จะช่วยให้การเดินทางมาติดต่อราชการของประชาชนสะดวกมากขึ้น โดยรถไฟฟ้าสายสีทองยังเชื่อมต่อการเดินทางระบบ ล้อ ราง เรือ รองรับผู้โดยสารจากรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่สถานีกรุงธนบุรี และเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงในอนาคต รวมทั้งยังเชื่อมการเดินทางของประชาชนที่ใช้บริการเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้วย

นอกจากนี้การพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าดังกล่าวยังช่วยเพิ่มมูลค่าของที่ดินบริเวณแนวรถไฟฟ้า เสริมสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่ และจะเป็นจุดไฮไลท์อีกแห่งหนึ่งที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยว อันเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ได้ทางหนึ่งด้วย

กรุงเทพมหานคร ได้มอบหมายบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) วิสาหกิจของกรุงเทพมหานครเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งไม่ได้ใช้งบประมาณของภาครัฐ แต่ใช้รายได้ล่วงหน้าจากการให้สิทธิพื้นที่โฆษณาบนรถไฟฟ้ามาลงทุนก่อสร้างโครงการ เป็นรูปแบบการแสวงหาความร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนากรุงเทพฯ ไปด้วยกัน จึงทำให้โครงการเกิดขึ้นได้เร็ว ไม่ต้องรอกระบวนการวิธีงบประมาณจากทางภาครัฐ และทรัพย์สินในโครงการนี้ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของกรุงเทพมหานครทั้งหมด ขอยืนยันว่าโครงการนี้ เป็นความตั้งใจดีที่ กทม. มอบแก่ให้ประชาชน สำหรับปัญหาการใช้ผิวการจราจรในแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีทอง ปัจจุบันนี้การก่อสร้างงานโยธาของโครงการรถไฟฟ้านั้นเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ที่มีการก่อสร้างคือการดำเนินการของหน่วยงานสาธารณูปโภคซึ่งได้เร่งรัดการดำเนินการให้รวดเร็วที่สุด พร้อมกำชับให้สำนักงานเขตเร่งประสานเปิดพื้นที่การจราจรลดผลกระทบต่อผู้สัญจรในเส้นทางให้มากที่สุด

ทั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง มีระยะทางรวม 2.75 กิโลเมตร 4 สถานี วิ่งตามแนวถนนกรุงธนบุรี ถนนเจริญนครและถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน การดำเนินงานแบ่งออกเป็น 2 ระยะ โดยในปัจจุบันเป็นการดำเนินการระยะที่ 1 ระยะทาง 1.80 กิโลเมตร ประกอบด้วย สถานีกรุงธนบุรี (G1) สถานีเจริญนคร (G2) และสถานีคลองสาน (G3) ระบบรถไฟฟ้าเป็นระบบ Automated Guideway Transit (AGT) หรือระบบขนส่งมวลชนแบบนำทางอัตโนมัติ หรือรถไฟฟ้าระบบ Automated People Mover (APM) เป็นระบบล้อยาง โดยรถที่นำมาใช้เป็นรถไฟฟ้ารุ่น Bombardier Innovia APM 300 ความเร็วสูงสุดที่ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง จำนวน 3 ขบวน ขบวนละ 2 ตู้ ความจุผู้โดยสาร 138 คน/ตู้ ตู้รถไฟฟ้ามีความกว้าง 2.8 เมตร ความยาว 12.75 เมตร ความสูง 3.5 เมตร ประตูมีความกว้าง 1.9 เมตร ความสูงของพื้นรถ 1.1 เมตร คาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารเมื่อเปิดให้บริการ อยู่ที่ประมาณ 42,000 เที่ยว-คน/วัน

ยูฟาร์ม เปิดตัว ‘หมูชีวา’ นวัตกรรมเนื้อหมู ไขมันดี โอเมก้าสูง

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ หมูชีวา แบรนด์ยูฟาร์ม นวัตกรรมหมูชีวา เป็นหมูไขมันดี มีโอเมก้า 3 สูง ที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ พัฒนาอาหาร และวิธีการเลี้ยงตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ต่อยอดจากมาตรฐานปศุสัตว์โอเคของกรมปศุสัตว์ ตามแนวทางอาหารปลอดภัยของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้รับการรับรองจาก NSF และเพิ่งคว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมจากงาน THAIFEX – Anuga Asia 2020 โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดตัว พร้อมด้วยนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ให้การต้อนรับ และมี น.สพ.สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ ให้เกียรติร่วมงาน

ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า อาหารเพื่อสุขภาพยังคงเป็นที่นิยมและมีความต้องการบริโภคเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยูฟาร์มก็ประสบความสำเร็จอย่างมากกับผลิตภัณฑ์ไก่เบญจา จึงได้ทำการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์เพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง กระทั่งพบความสำเร็จอีกครั้งกับนวัตกรรม “เนื้อหมูชีวา” เนื้อหมูที่อุดมด้วยไขมันดี มีโอเมก้า 3 สูง ซึ่งสามารถตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ทั้งใส่ใจในสุขภาพและให้ความสำคัญกับหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare)

ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ

“เนื้อหมูชีวา เป็นนวัตกรรมเนื้อสัตว์ที่เราทำการพัฒนาหมู ตั้งแต่สายพันธุ์ อาหารที่เลี้ยง ตลอดจนวิธีการเลี้ยง เพื่อให้ได้มาซึ่งเนื้อหมูไขมันดี และมีโอเมก้า 3 สูง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยมีงานวิจัยรองรับ ตลอดจนได้รับการรับรองมาตรฐานการเลี้ยงจาก NSF ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำในด้านการรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ในระดับนานาชาติ และคว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมอาหารจากงานแสดงสินค้าอาหารระดับโลก THAIFEX–Anuga Asia 2020” นายประสิทธิ์กล่าว

ดร.ไพรัตน์ ศรีชนะ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานวิชาการอาหารสัตว์บก กล่าวว่า อาหารของหมูชีวามีความพิเศษและแตกต่างจากอาหารหมูทั่วไป เนื่องจากใช้ซูเปอร์ฟู้ดอย่างเมล็ด flaxseed น้ำมันปลา และสาหร่ายทะเลลึก มาเป็นวัตถุดิบในสูตรอาหาร เพื่อเป็นแหล่งของโอเมก้า3 ให้หมูชีวาสามารถสะสมสร้างเป็นไขมันดีเพื่อสุขภาพได้สำเร็จ

สำหรับด้านการเลี้ยงหมูชีวา จากพื้นฐานสำคัญของฟาร์มมาตรฐานปศุสัตว์โอเคของกรมปศุสัตว์ ซีพีเอฟได้ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุดภายในฟาร์มระบบปิดที่มีการป้องกันโรคอย่างเข้มงวดและเป็นโรงเรือนปรับอากาศด้วยการระเหยของน้ำ ส่งผลให้หมูชีวาอยู่สบาย แข็งแรง ไม่ป่วย นอกจากนี้ยังเลี้ยงหมูชีวาใน “คอกขังรวม (Group Pen)” ตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ให้แม่พันธุ์อุ้มท้องมีอิสระในการเคลื่อนไหวและมีปฏิสัมพันธ์กับสุกรตัวอื่นๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ที่สำคัญคือไม่มีการใช้สารเร่งการเจริญเติบโต ปราศจากสารเร่งเนื้อแดง และไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ 100% ตลอดการเลี้ยงดู จึงมั่นใจได้ว่าหมูชีวาปลอดภัยและเหมาะมากสำหรับทุกคนในครอบครัว

ด้าน นายเฉลิมชัย รมว.กระทรวงเกษตรกและสหกรณ์ เปิดเผยว่า นโยบาย 3S เป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรฯ ประกอบด้วยกรอบการทำงานเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหาร (Safety) ความมั่นคงทางอาหาร (Security) และความยั่งยืนภาคเกษตร (Sustainability) ที่จะสนับสนุนและมุ่งเป้าให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลก เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการผลิตอาหารที่ดีและปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค ขณะที่ซีพีเอฟถือเป็นภาคเอกชนที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบาย 3S โดยเป็นทั้งผู้ผลิตอาหารปลอดภัย ช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ประเทศ และต่อยอดนวัตกรรมไปถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหาร “หมูชีวา” ซึ่งป็นการเพิ่มทางเลือกที่ดีสำหรับอาหารเพื่อสุขภาพให้แก่ผู้บริโภคได้อย่างน่าชื่นชม

น.สพ.สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า กรมปศุสัตว์ได้วาง “มาตรฐานปศุสัตว์โอเค” ซึ่งเป็นการกำกับดูแลการผลิตอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ตั้งแต่ต้นทางคือ ฟาร์ม โรงชำแหละ และจุดจำหน่าย รวมทั้งตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายอาหารปลอดภัยให้ผู้บริโภคได้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ดี โดยซีพีเอฟเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานนี้ทั้ง 100% รวมทั้งมาตรฐานด้าน Animal welfare หรือ หลักสวัสดิภาพสัตว์ ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้เป็นอย่างดี “หมูชีวา” จึงเป็นต้นแบบของศักยภาพผู้ประกอบการไทยที่มีการวิจัยพัฒนาและต่อยอดนำไปสู่นวัตกรรมอาหารของไทยที่ไม่แพ้ชาติอื่นในโลก

ด้าน รศ.นพ. กัมมาล กุมาร ปาวา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า แนวคิด “การกินอาหารเป็นยา” หรือ “Food as Medicine” เป็นทางเลือกของการกินอาหารเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดี และจากผลจากการทดสอบในสัตว์ทดลองบ่งชี้ว่าเมื่อสัตว์ทดลองทานอาหารที่ปรุงจากผลิตภัณฑ์จากหมูชีวา (น้ำมันหมู) ปริมาณไขมันในกระแสเลือด ซึ่งประกอบด้วย โคเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์, และ LDL นั้น มีปริมาณต่ำกว่าสัตว์ทดลองกลุ่มที่ทานอาหารที่ปรุงจากน้ำมันมะพร้าวอย่างมีนัยยะสำคัญ

“ผลการทดลองดังกล่าวเป็นผลมาจากการสะสมของกรดไขมันโอเมก้า 3 ในผลิตภัณฑ์หมูชีวาที่มีสูงกว่าเนื้อหมูทั่วไป ซึ่งโอเมก้า3 นี้มีความสำคัญมากต่อสุขภาพของมนุษย์ เนื่องจากมีคุณสมบัติ ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ทั้งโคเลสเตอรอล (Cholesterol), ไขมันชนิดไม่ดี (LDL), และไตรกลีเซอรืไรด์ (Triglyceride) ซึ่งจะมีส่วนช่วยป้องกันความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ”

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์หมูชีวามุ่งเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นคนรักสุขภาพ พ่อแม่ยุคใหม่ที่ใส่ใจการเลือกอาหารให้ลูก ผู้ใหญ่วัยกลางคน และผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพ นอกจากนี้ ยังมีแผนทำการตลาดร่วมกับร้านอาหารชั้นนำ ร้านอาหารระดับพรีเมียม รวมถึงร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ เพื่อสร้างการรับรู้ กระตุ้นให้เกิดการทดลองบริโภคหมูชีวา ซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในคุณภาพเนื้อหมูพรีเมี่ยมเพื่อสุขภาพอย่างหมูชีวาได้ในที่สุด