Home Blog Page 384

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : ปลูกไม้ให้ได้ป่า

0

“คุณนายพารวย” สัปดาห์นี้พาผู้อ่านพักจากการออมเงินออมความมั่งคั่งให้กับตัวเองชั่วคราวมาช่วยกัน “ปลูกเพาะออมต้นไม้” สร้างความสมบูรณ์ให้กับผืนป่า ซึ่งเป็นโครงการของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ได้ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนทำโครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง Plant & Protect”

ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มความร่วมมือ “ปลูกไม้ให้ได้ป่า” ด้วยกลไกธรรมาภิบาลการเปิดเผยข้อมูล ติดตาม-เรียนรู้-ดูแล โดยจะเป็นการระดมทุนจากทั้งบุคคลทั่วไป และภาคธุรกิจที่มีนโยบายส่งเสริมสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งคณะกรรมการป่าชุมชนและชาวบ้านในพื้นที่จะเป็นผู้ “ปลูก” ต้นไม้ และร่วมกันดูแลต้นไม้ที่ปลูกให้เติบโต ภายใต้แนวคิด “ป้อง” คือ ผู้ระดมทุนปลูก จะได้ร่วมติดตามการเติบโตของต้นไม้ เรียนรู้ และร่วมดูแลเอาใจใส่ต้นไม้ที่ปลูกให้เติบโต ร่วมกับชาวบ้านผู้รักษาป่าได้ ผ่านแอปพลิเคชัน “Care the Wild”

โดยกรมป่าไม้เป็นผู้นำเสนอพื้นที่ป่าชุมชน เพื่อเข้าร่วมโครงการเบื้องต้น 717 ไร่ อยู่ในพื้นที่ 7 จังหวัดประกอบด้วยป่าชุมชนบ้านเขาหัวคน จ.ราชบุรี, ป่าชุมชนบ้านพุตูม จ.เพชรบุรี, ป่าชุมชนบ้านใหม่ จ.เชียงราย, ป่าชุมชนบ้านนาหวาย จ.น่าน, ป่าชุมชนบ้านหนองปิง จ.กาญจนบุรี, ป่าชุมชนบ้านโคกพลวง จ.นครราชสีมา และป่าชุมชนบ้านหนองทิศสอน จ.มหาสารคาม

ซึ่งแต่ละป่าชุมชนจะมีเอกลักษณ์จุดเด่นด้านระบบนิเวศและการพัฒนาชุมชนที่แตกต่างกัน บริษัท หรือองค์กรธุรกิจสามารถเลือกพื้นที่ในการปลูกต้นไม้ได้ แต่ชุมชนจะเป็นผู้เลือกประเภทหรือชนิดของต้นไม้ที่เหมาะสมกับระบบนิเวศในแต่ละผืนป่าด้วยตัวเอง

ขณะที่คณะกรรมการป่าชุมชนและชาวบ้านในพื้นที่ที่รับผิดชอบในการปลูกและดูแลต้นไม้ จะได้รับเงินสนับสนุนจากโครงการ เพื่อปลูกและดูแลฟูมฟักต้นไม้แต่ละต้นให้เติบโตสมบูรณ์ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 6 ปี เพื่อให้มั่นใจว่าต้นไม้เหล่านี้จะเติบโตแข็งแรงจนกลายเป็นผืนป่าอย่างแท้จริง โดยชุมชนเองจะได้ประโยชน์จากป่าด้วย ทั้งเป็นแหล่งอาหาร ตลอดจนพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศได้ในอนาคต ขณะที่ผู้ระดมทุนจะสามารถติดตามการเติบโตของไม้ที่ปลูกได้ตลอดโครงการ

โดยโครงการ Care the Wild นี้มีเป้าหมายที่จะปลูกป่าจำนวน 500 ไร่ หรือ 100,000 ต้นภายในเวลา 1 ปีแรกหลังเปิดโครงการ ซึ่งจะสร้างผลลัพธ์ในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 900,000 กิโลคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยลดโลกร้อนแล้ว ยังถือว่าเป็นการร่วมทำงานพัฒนาชุมชนได้อย่างยั่งยืนด้วย

โครงการนี้มีสัญลักษณ์เป็นช้างรักษ์ป่าชื่อ “พี่ปลูกป้อง” และขณะนี้มีองค์กรพันธมิตรเข้าร่วมแล้ว เช่น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บมจ.โปรเจกต์ แพลนนิ่ง เซอร์วิส สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) และบริษัท สำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด (TCH) และเปิดให้ประชาชนทั่วไปร่วมปลูกป่าผ่านแอปพลิเคชัน “Care the Wild” โดยเข้าไปดาวน์โหลดได้ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android เพื่อติดตามข้อมูลและกิจกรรมได้แล้ว

วันนี้เรามาร่วมกันปลูกป่าเพาะต้นกล้าให้เติบโตไปพร้อมๆกับเงินออมเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเราและสร้างความสมบูรณ์ของป่าชุมชนกันดีมั้ย!!


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดยคุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS ผนึก Wisesight ประกาศผลรางวัล Thailand Zocial AIS Gaming Awards

0

นายอลิสแตร์ เดวิด จอห์นสตั้น กรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจพัฒนาธุรกิจใหม่ เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส ร่วมกับบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด  จัดงานมอบรางวัล Thailand Zocial AIS Gaming Awards  เพื่อร่วมเชิดชูและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ทำผลงานบนโซเชียลมีเดียในด้านเกมและอีสปอร์ตได้อย่างยอดเยี่ยม ภายใต้ความมุ่งหวังที่จะยกระดับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องใน Ecosystem ให้ก้าวไปอีกขั้น สร้างมาตรฐานใหม่ให้คนในวงการเกมและอีสปอร์ตได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับสากล เพื่อส่งเสริมให้อุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตไทยเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมผลักดันไทยสู่อีกขั้นของการเป็นฮับอีสปอร์ตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมกับเอไอเอสในการเข้ามามีบทบาทยกระดับอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ต โดยได้พัฒนา GAMING METRIC สำหรับวัดประสิทธิภาพบนโซเชียลมีเดียในอีสปอร์ต อีโคซิสเต็ม

ทั้งนี้ เกณฑ์การตัดสินรางวัลในงาน Thailand Zocial AIS Gaming Awards  ประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ BRAND และ INFLUENCER METRIC สำหรับวัดประสิทธิภาพบนโซเชียลมีเดียในด้านเกมและอีสปอร์ต โดยเก็บข้อมูลจากโซเชียลมีเดียทั้งหมด 5 ช่องทาง ได้แก่ Facebook, Instagram, Twitter, YouTube และ Twitch ซึ่งใช้เกณฑ์การวัดผลทั้งหมดจาก 7 ปัจจัยด้วยกันคือ วัดปริมาณกลุ่มเป้าหมาย และผู้ติดตาม (Fans Base), วัดความสามารถในการโน้มน้าว (Intention), วัดระดับการแนะนำเนื้อหาให้กับเพื่อนหรือคนรู้จัก (Recommendation), วัดประสิทธิภาพ หรือความสนใจต่อเนื้อหา (Interaction), วัดระดับความสนใจของผู้ติดตามที่มีต่อเนื้อหา (View), วัดระดับการ กระจายเนื้อหาผ่านปริมาณการแชร์บนโซเชียลมีเดีย (Share), วัดปริมาณการพูดถึงผลงานของเกมครีเอเตอร์ เกมแคสเตอร์ นักกีฬาอีสปอร์ตและเกมต่างๆ จากโซเชียลมีเดีย และ (Social Voice) นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญในวงการอีสปอร์ต และโซเชียลมีเดียทั้ง 5 ท่านร่วมเป็นคณะที่ปรึกษาพิจารณาผลรางวัลในครั้งนี้ ได้แก่ 1.) คุณสโรจ เลาหศิริ จาก Rabbits Digital Group 2.) คุณสักกพล สวาคฆพรรณ จาก NEX Studio 3.) คุณกฤษฎา สุโขวัฒนกิจ จาก Compgamer.com 4.) คุณอนุชิต เอี่ยมศรีอุไร จาก Thisisgame Thailand และ 5.) คุณอภิศิลป์ ตรุงกานนท์ Pantip.com

สรุปผลรางวัลชนะเลิศที่มอบให้กับผู้ที่ทำงานได้ดีบนโซเชียลมีเดีย จำนวนทั้งสิ้น 33 รางวัลให้กับเหล่า Game publisher, Game Creator, e-Sport Player, e-Sport club, game caster รวมถึง devices และ gadget โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มรางวัล ได้แก่

กลุ่มที่ 1 : The Most Popular Game Publisher จำนวน 13 รางวัล

1.      The Most Popular Multiplayer Online Battle Arena Game 2020 ได้แก่ ROV : ARENA OF VALOR 

2.      The Most Popular First Person Shooting Game 2020 ได้แก่ VALORANT

3.      The Most Popular Role Playing Game 2020 ได้แก่ FINAL FANTASY VII REMAKE

4.      The Most Popular Battle Royal Game 2020 ได้แก่ FREE FIRE

5.      The Most Popular Action Game 2020 ได้แก่ DEAD BY DAYLIGHT

6.      The Most Popular Strategy Game 2020 ได้แก่ SEVEN KNIGHTS

7.      The Most Popular Card Game 2020 ได้แก่ MARVEL DUEL

8.      The Most Popular Sports Game 2020 ได้แก่ FIFA ONLINE 4

9.      The Most Popular Online Role Playing Game 2020 ได้แก่ RAGNAROK ONLINE

10.   The Most Popular Simulation Game 2020 ได้แก่ ANIMAL CROSSING

11.   The Most Popular Fighting Game 2020 ได้แก่ STREET FIGHTER

12.   The Most Popular Game of the Year ได้แก่ FREE FIRE

13.    The Most Popular Thai Game ได้แก่ TIMELIE

กลุ่มที่ 2 : The most popular game creator จำนวน 2 รางวัล

1.      The Most Popular Game Creator 2020 ได้แก่ HEARTROCKER

2.      The Most Popular Game Celebrity 2020 ได้แก่ GOLF PICHAYA

กลุ่มที่ 3 : The most popular game creator by platform จำนวน 2 รางวัล

1.      The Most Popular Game Streamer on Twitch 2020 ได้แก่ REBIRTHZTV

2.      The Most Popular Game Streamer on Facebook Gaming 2020 ได้แก่ BASGAMER

กลุ่มที่ 4 : The most popular e-Sport player and e-Sport club จำนวน 8 รางวัล

1.      The Most Popular Multiplayer Online Battle Arena Game Player 2020 ได้แก่ WANOIZ (NORABED KARNCHANALONGKORN)

2.      The Most Popular First Person Shooting Game Player 2020

ได้แก่ CIGARETTES (PATIPHAN POSRI)

3.      The Most Popular Battle Royal Game Player 2020 ได้แก่ EZQELUSIA (WASU SURAPAKORNNITI)

4.      The Most Popular Fighting Game Player 2020 ได้แก่ BOOK (NOPPARUT HEMPAMORN)

5.      The Most Popular Strategy Game Player 2020 ได้แก่ STRIKE (PICHAYUT PRASERTWIT)

6.      The Most Popular Card Game Player 2020 ได้แก่ DISDAI (WERIT POPAN)

7.      The most popular Sport Game Player 2020 ได้แก่ TDKEANE (TEEDECH SONGSAISAKUL)

8.      The Most Popular e-Sports Club 2020 ได้แก่ EVOS TH

กลุ่มที่ 5 : The Most Popular Game Caster จำนวน 1 รางวัล

1.      The Most Popular Game Caster 2020 ได้แก่ KIROSZ (WEERASAK BOONCHU)

กลุ่มที่ 6 : The Most Popular Game Devices & Gadget จำนวน 5 รางวัล

1.      The Most Popular Gaming Phones 2020 ได้แก่ IPHONE 11

2.      The Most Popular Gaming PC & Notebook 2020 ได้แก่ ACER NITRO

3.      The Most Popular Gaming Mouse 2020 ได้แก่ LOGITECH

4.      The Most Popular Gaming Keyboard 2020 ได้แก่ RAZER

5.      The Most Popular Gaming Earphone 2020 ได้แก่ RAZER

กลุ่มที่ 7 : Special Awards จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ สมาคมกีฬาอีสปอร์ตแห่งประเทศไทย นักกีฬาทีมชาติชุดซีเกมส์

ทิพยประกันภัย ผนึก เคาน์เตอร์เซอร์วิส เปิดตัว “ทิพย คู่หูเที่ยวปันสุข พลัส” ประกันอุบัติเหตุและโควิด-19

0

เริ่มต้นแค่ 87 บาท คุ้มครอง 2 ท่าน ครอบคลุมทั้งประกันอุบัติเหตุและโควิด-19

ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และ คุณวีรเดช อัครผลพานิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด เปิดตัว “ประกันภัยทิพย คู่หูเที่ยวปันสุข พลัส” ตอบรับโครงการท่องเที่ยวภายในประเทศของรัฐบาล ด้วยเบี้ยประกันภัยราคาพิเศษ ครอบคลุมทั้งประกันอุบัติเหตุและโควิด-19 ให้ประชาชน นักท่องเที่ยว ได้เดินทางอย่างอุ่นใจในช่วงเทศกาลท่องเที่ยว วันหยุดยาวและเทศกาลปีใหม่ โดยสามารถหาซื้อได้ที่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขา ใกล้บ้านคุณ ตลอด 24 ชั่วโมง เพียงใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียวเท่านั้น

ดร.สมพร เปิดเผยว่า บมจ.ทิพยประกันภัย ได้ออกแบบแผนประกันเดินทาง “ทิพย คู่หูเที่ยวปันสุข พลัส” ซึ่งพิเศษกว่าแผนประกันเดินทางอื่นทั่วไป เพราะมีความคุ้มครองที่หลากหลายและครอบคลุมเหมาะกับนักท่องเที่ยวและนักเดินทาง ราคาเริ่มต้นเพียง 87 บาท แต่ความคุ้มครองแพ็คคู่ หรือ 2 ท่าน สูงสุดท่านละ 300,000 บาท คุ้มครองทันทีครอบคลุมทั้งการประกันอุบัติเหตุ , โควิด-19 การเคลื่อนย้ายฉุกเฉิน ฯลฯ โดยไม่ต้องสำรองเงินจ่าย (ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์) เพิ่มความอุ่นใจให้กับนักท่องเที่ยวรวมถึงนักเดินทางตลอดทริป และเพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงปลายปีที่นักท่องเที่ยวและนักเดินทางเริ่มมีแผนการท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก ให้สามารถเดินทางกันได้อย่างอุ่นใจ ทั้งนี้ เนื่องจากการเดินทางท่องเที่ยวในตอนนี้ยังต้องดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษในเรื่องของสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อยู่ และยังเป็นการตอบสนองภาครัฐที่ได้พยายามส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศตามโครงการ เที่ยวสุขใจ เพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศ

ด้านคุณวีรเดช กล่าวว่า บมจ.ทิพยประกันภัย และบ.เคาน์เตอร์เซอร์วิส เห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงประกันภัย โดยเฉพาะช่วงเทศกาลการเดินทางปลายปีเช่นนี้ จึงได้ร่วมกันออกแบบแผนประกันที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่า ในราคาที่ จับต้องได้ โดยสามารถหาซื้อได้ที่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส ในร้าน 7-11 ทุกสาขา เพียงใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว นอกจากนี้ ยังมีแผนประกันจากทิพยประกันภัย ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ ทั้งประกันสุขภาพ ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ พ.ร.บ. ต่อทะเบียน และอื่นๆอีกมากมาย ผ่านช่องทางหน้าเคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้าน 7-Eleven ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง หรือสามารถซื้อออนไลน์ที่ http://csinsurance.counterservice.co.th

เอไอเอส คว้า 4 รางวัล Thailand Corporate Excellence Awards 2020

0

ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรแบบองค์รวม สะท้อนความเป็นเลิศรอบด้าน

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล เอไอเอส และคณะผู้บริหารรับถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 2 รางวัล และถ้วยรางวัล Distinguished Awards หรือรางวัลดีเด่น จำนวน 2 รางวัล จากเวที Thailand Corporate Excellence Awards 2020 ซึ่งจัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ร่วมกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  แสดงถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของเอไอเอสในการพัฒนาองค์กรและธุรกิจในทุกๆ ด้านแบบองค์รวม และสะท้อนความเป็นเลิศอย่างรอบด้าน ทั้งด้านการพัฒนาการบริหารจัดการขององค์กร  ด้านการตลาด  ด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล และด้านนวัตกรรมและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยไปพร้อมกัน ทั้งยังมีความเหมาะสมที่จะเป็นต้นแบบให้กับองค์กรอื่นๆ ได้ศึกษาเรียนรู้และนำแนวทางมาพัฒนาบริหารจัดการองค์กรของตัวเองต่อไป

โดยรางวัลที่เอไอเอสได้รับ ประกอบด้วย

          1. รางวัลถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในสาขาความเป็นเลิศด้านการพัฒนาการบริหารจัดการขององค์กร (Corporate Improvement Excellence) ซึ่งพิจารณาจากการประมวลผลองค์กรที่มีพัฒนาการในการบริหารจัดการองค์รวมในทุกๆ ด้าน สะท้อนถึงการดำเนินการธุรกิจอย่างมีวิสัยทัศน์ และมีหลักการบริหารจัดการองค์กร ผ่านกลยุทธ์ 6P Strategies ประกอบด้วย 1. Practice Proper Standards, 2. Place the Right People in Right Position, 3. Prepare our People for success, 4. Partners for business, 5. Professional HCM และ 6. Performance-Driven Productivity โดยเอไอเอสเป็นองค์กรเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับรางวัลนี้

            2. รางวัลถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สาขาความเป็นเลิศด้านการตลาด (Marketing Excellence) ซึ่งพิจารณาจากการที่องค์กรสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการให้บริการให้กับลูกค้า ผ่านสินค้า บริการ โปรโมชั่น ตลอดจนการดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับเปลี่ยนสอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อสร้างความประทับใจและความไว้วางใจเมื่อเข้ามาเป็นลูกค้า ตอกย้ำ “Brand Value” ที่มาจากการสั่งสมชื่อเสียง ตลอดจนการทำให้ผู้บริโภคให้ความไว้วางใจ และเชื่อมั่น จนเกิดเป็น Loyalty และ Brand Love ของเอไอเอส

          3. ถ้วยรางวัล Distinguished Awards สาขาความเป็นเลิศด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล (Human Resource Management Excellence) สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจตลอดระยะเวลา 30 ปี ที่เอไอเอสให้ความสำคัญกับการพัฒนา “คน” ตั้งแต่ยุคแรกของการให้บริการ โดยมุ่งมั่นส่งเสริมและปลูกฝังให้พนักงานมีวัฒนธรรม “FIT FUN FAIR” นั่นคือการมีสุขภาพที่ดี พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ ทำงานด้วยความสุข คิดบวก และมีความเท่าเทียม เพื่อให้พนักงานทุกคนเห็นภาพเป้าหมายเดียวกันคือมุ่งไปสู่การเป็น Digital Life Service Provider ทั้งยังส่งเสริมให้พนักงานรู้จักพัฒนาตัวเองให้มี New Ability เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุคใหม่ และสามารถดึงศักยภาพของพนักงานมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรยู่เสมอ

          4. ถ้วยรางวัล Distinguished Awards สาขาความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ (Innovation Excellence) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของเอไอเอสในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเข้ามายกระดับการบริหารจัดการองค์กร พร้อมกระตุ้นให้แสดงศักยภาพในการคิดค้นนวัตกรรรมใหม่ๆ เข้ามายกระดับวงการอุตสาหกรรมต่างๆ ในทุกๆ มิติ ทั้งวงการการศึกษา การแพทย์ ตลอดจนวงการธุรกิจในทุกๆ ภาคส่วน ผ่านการจัดตั้งทีม Novel Engine Execution Team (NEXT) ที่เป็นเสมือนศูนย์รวม “นวัตกร”

ทั้งนี้ ผลการตัดสินรางวัลมาจากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรภาคธุรกิจในประเทศไทย (Thailand Corporate Excellence Survey) ที่ร่วมกันคัดเลือกองค์กรจากผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา

ซีพี เฟรชมาร์ท ปรับโฉมใหม่ สาขาศรีโสธร จ.ฉะเชิงเทรา พร้อมบริการส่งถึงบ้าน

0


นายพูลทรัพย์ สมบูรณ์ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานในพิธีฉลองเปิดร้านซีพี เฟรชมาร์ท  สาขาศรีโสธร จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งปรับเปลี่ยนรูปแบบโฉมใหม่มีความทันสมัย รับวิถีปกติใหม่หรือ New normal ด้วยแนวคิด “รวมพลความสด คุณภาพดี ราคาเป็นกันเอง” พร้อมให้บริการส่งถึงบ้าน ช่วยเพิ่มระยะห่างทางสังคมและลดโอกาสการแพร่เชื้อให้กับผู้บริโภคชาวฉะเชิงเทรา

นายศักดิ์สิทธิ์ ฉันททิพย์ญาณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟเทรดดิ้ง จำกัด  กล่าวว่า ร้านซีพี เฟรชมาร์ท สาขาศรีโสธร เป็นสาขาที่ 4 ของ จ.ฉะเชิงเทรา ก่อนหน้านี้ ร้านซีพี เฟรชมาร์ทจะเน้นขายผลิตภัณฑ์แช่แข็งและเครื่องปรุง ตอนนี้ทางร้านจะเน้นของสด ไม่ว่าจะเป็นหมู ไก่ ไข่ไก่ และเป็ด รวมถึงผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ เช่น กุ้ง ปลาดอร์รี่ ทุกอย่างจะถูกจัดส่งจากฟาร์มและแหล่งผลิตตรงมาที่ร้าน เพื่อนำเสนอสินค้าสดใหม่ มีคุณภาพ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ให้กับผู้บริโภคและผู้ประกอบการร้านอาหารทุกวัน

และเน้นการชำระแบบไร้เงินสด ด้วยการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่น True Money Wallet ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางจับจ่ายให้กับผู้บริโภคมากขึ้น โดยในปีหน้าจะขยายให้ครอบคลุมทุกอำเภอของ จ.ฉะเชิงเทรา

ร้านซีพี เฟรชมาร์ท โฉมใหม่ มินิซูเปอร์มาร์เก็ตที่รวมอาหารสด สะอาด ปลอดภัย คุณภาพดี ทั้งหมูสด ไก่สด ไข่ไก่ เนื้อโคขุนและกุ้งสดพรีเมียม ที่ส่งตรงจากฟาร์มทุกวัน และด้วยวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จึงเพิ่มสถานีชาบู-หมูกระทะ เป็นอีกหนึ่งสถานีที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่มีทั้งเนื้อหมูปรุงรส เนื้อไก่ปรุงรส ลูกชิ้นหลากหลายประเภทอย่างครบครัน โดยสินค้าจะเก็บรักษาคุณภาพด้วยตู้แช่เย็น ที่ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีใหม่เป็นระบบ Double Cooling มีการกระจายความเย็นได้ทั้งด้านบนและด้านล่างควบคู่กัน ทำให้สามารถคงความสดใหม่ของสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญยังเป็นระบบ Eco friendly ใช้พลังงานน้อยลง พร้อมกันนี้ ยังมีผักและผลไม้สดนานาชนิดเพิ่มขึ้น ขณะที่อาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมทาน และอาหารแห้ง รวมถึงเครื่องปรุงต่างๆ ก็ยังคงมีวางจำหน่ายเช่นเดิม

สำหรับสาขาฉะเชิงเทรา-ศรีโสธร จัดโปรโมชั่นพิเศษมากมาย อาทิ ไข่ไก่เบอร์ 3 แพ็กขนาด 30 ฟอง เนื้ออกไก่  เนื้อสะโพกหมู เกี๊ยวกุ้งสับ และปลาแพนกาเซียสดอร์รี่แล่ ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2563 เท่านั้น โดยให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-20.00 น. และยังให้บริการผ่าน E-Commerce ที่ลูกค้าสามารถสั่งซื้ออาหารได้ถึง 3 ช่องทาง ได้แก่ แอปพลิเคชัน CPFreshMart , สายด่วนฮอตไลน์ โทร.1788 และเว็บไซต์ www.cpfreshmartshop.com โดยร้านจะจัดส่งอาหารในรัศมี 5 กม. ให้ถึงมือผู้รับภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งเป็นการตอบโจทย์วิถีปกติใหม่ได้อย่างลงตัว

สิงห์อาสา จับมือคณะหมอ 5 มหาวิทยาลัย เปิดโครงการ “33 ปี หน่วยแพทย์เคลื่อนที่” ตรวจสุขภาพชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล

0

ผู้สืือข่าว รายงานว่า สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับเครือข่ายสิงห์อาสาคณะแพทยศาสตร์ ใน 5 มหาวิทยาลัย ออกดูแลสุขภาพพี่น้องประชาชนในพื้นที่ห่างไกลที่ได้รับผลกระทบจากภัยหนาว ได้แก่ สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ดูแลพื้นที่จ.เชียงราย , คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดูแลพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จ.แม่ฮ่องสอน จ.ลำปาง จ.ลำพูน, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ดูแลพื้นที่ จ.พะเยา จ.น่าน จ.แพร่, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดูแลพื้นที่ จ.ขอนแก่น จ.มหาสารคาม และสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ดูแลพื้นที่ จ.นครราชสีมา จ.ชัยภูมิ ภายใต้โครงการ “33 ปี หน่วยแพทย์เคลื่อนที่” สานต่อภารกิจหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ที่มีปณิธานในการเดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจต่อเนื่องมานานตั้งแต่ปี 2530 โดยโครงการนี้ได้เริ่มต้นที่จังหวัดเชียงรายเมื่อ 33 ปีที่แล้ว

เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 63 ได้เริ่มโครงการ “33 ปี หน่วยแพทย์เคลื่อนที่” ในปีนี้ ที่จังหวัดเชียงราย โดยร่วมกับ สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ออกตรวจสุขภาพประชาชน ที่โรงเรียนบ้านใหม่สุขสันต์ ต.ตาดควัน อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย มีชาวบ้านจาก 2 หมู่บ้าน คือ หมู่ 4 หมู่บ้านใหม่สุขสันต์ และหมู่ 9 หมู่บ้านรักษ์พนา เป็นหมู่บ้านพื้นที่ราบสลับภูเขาสูง ทำให้ในช่วงฤดูหนาวมีอากาศหนาวเย็น มีชาวบ้าน กว่า 1,600 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงวัยและกลุ่มเด็ก รวมทั้งมีผู้พิการ เข้ารับการตรวจสุขภาพกับทีมแพทย์และรับมอบเสื้อกันหนาว

โดยมีคุณรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์ ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหาร บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด นายแพทย์สมปรารถน์ หมั่นจิต อาจารย์ประจำสำนักวิชาแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และรองศาสตราจารย์นายแพทย์ณัฐพงศ์ โฆษชุณหนันท์ รองคณบดี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมเปิดงาน พร้อมทั้งบุคลากรโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ร่วมออกหน่วยแพทย์อาสาในครั้งนี้กว่า 20 ท่าน

ทั้งนี้ มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2518 ด้วยเจตนารมย์เพื่อช่วยเหลือดูแลสังคม ในด้านต่างๆ อีกทั้งยังได้จัดตั้งกลุ่ม “สิงห์อาสา” เพื่อทำภารกิจในการช่วยเหลือสังคม บรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโครงการสำคัญที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง อาทิการมอบทุนการศึกษา ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 38 โดยให้ทุนการศึกษาแก่นิสิต-นักศึกษา ใน 22 มหาวิทยาลัยแล้ว รวมถึงการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดูแลและให้ความรู้เรื่องสุขภาพกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ห่างไกลก็เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่ทำต่อเนื่องมาเป็นเวลาถึง 33 ปี ติดต่อกัน

ซีพีเอฟ ได้ใจคู่ค้า เครดิตเทอม 30 วันช่วยฟื้นสภาพคล่อง ธุรกิจเดินหน้าต่อ

0

รายงานข่าว จากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า โครงการเครดิตเทอม 30 วัน (Faster Payment) ได้รับการตอบรับที่ดีจากคู่ค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ว่าได้รับประโยชน์เต็มจากการมีส่วนทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น เสริมสภาพคล่องคู่ค้าตลอดห่วงโซ่การผลิต 6 พันราย สามารถเดินหน้าธุรกิจโดยไม่หยุดชะงัก ฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 ได้แข็งแกร่ง

โครงการเครดิตเทอม 30 วัน หรือ Faster Payment ของ ซีพีเอฟ มีเป้าหมายอัดฉีดสภาพคล่องให้คู่ค้าที่เป็น SMEs มีเงินหมุนเวียนในการบริหารจัดการธุรกิจช่วยรักษาลูกจ้าง และผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานให้อยู่รอด เพิ่มความมั่นใจในการขยายการลงทุน เพื่อพยุงธุรกิจ SMEs ซึ่งเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่จะช่วยให้กับเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว

นายสุวัฒน์ บุษบาวศินกุล กรรมการผู้จัดการ หจก.แอ๊ดวานซ์ คอมเมอร์ซ ผู้ให้บริการซ่อมแซมมอเตอร์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณซีพีเอฟ ที่ปรับลดเครดิตเทอมภายใน 30 วัน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากกับผู้ประกอบการรายย่อย ช่วยให้มีเงินหมุนเวียนเข้ามาลงทุนและใช้จ่ายได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยรักษาธุรกิจและลูกจ้างให้อยู่ทำงานได้

ด้านนายพีรณัฐ หุ่นธานี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามพาที จำกัด กล่าวว่า สยามพาทีเป็นคู่ค้าของซีพีเอฟให้บริการปั๊มและวาล์วอุตสาหกรรม ในจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อ SMEs ยอดสั่งซื้อน้อยลงมาก การได้รับเครดิตเทอมภายใน 30 วันช่วยให้ผู้ประกอบการมีเงินหมุนเวียนในระบบเร็วขึ้น สามารถขยายงานหรือมีเงินลงทุนสำหรับรับคำสั่งซื้อใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องกู้ยืม ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ และยังนำเงินไปใช้ปรับปรุงสภาพการทำงานของลูกจ้างให้ดีขึ้นอีกด้วย

นายเกษม วิบูลย์รัตนศรี ผู้จัดการ ห้างหุ่นส่วนจำกัด สุภัคแอร์ เซลส์ แอนด์เซอร์วิส จัดจำหน่ายสินค้าเครื่องปรับอากาศและงานซ่อมบำรุงแอร์ จ.สระบุรี กล่าวว่า โครงการเครดิตเทอม 30 วันของซีพีเอฟ ช่วยสนับสนุนทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ SMEs ขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ cashflow ของบริษัทดีขึ้นกว่าเดิม เอื้อให้บริษัทสามารถปรับเปลี่ยน การจัดการด้านการบริหารเงินทุนภายในร้านได้และวางแผนการสั่งสินค้าได้คล่องตัวขึ้น และมีความมั่นใจที่จะวางแผนในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้

นายนันตพร ศิรินุพงศ์ เจ้าของกิจการ หจก.นิธิกร เอ็นจิเนียริ่ง ผู้ผลิตเครื่องจักรและงานกลึงครบวงจร จ.สระบุรี กล่าวว่า ในช่วงการระบาดโควิด 19 มีผลกระทบกับงานลดลงไปบางส่วน ซึ่งจากโครงการเครดิตเทอม 30 วัน ทางหจก.ฯขอขอบคุณผู้บริหารของซีพีที่เล็งเห็นความสำคัญของซัพพลายเออร์ ที่ได้รับผลกระทบ พอมีโครงการนี้มา ทำให้ โปรเจคต่างๆ ดำเนินคล่องตัวมากขึ้น ถือว่าเป็นโครงการที่ดี ซัพพลายเออร์บางแห่งระบบการเงินอาจจะชะงัก ซึ่งก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือและเยียวยาผู้รับเหมาซัพพลายเออร์ ทำให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น เพราะเครดิตเทอมลดลง ระยะเวลาสั้นลง ทำให้การทำงานได้เงินเร็วขึ้น

นายสุรนาท ตั้งจิตรชอบ เจ้าของ หจก.ตั้งจิตรเทรดดิ้ง กล่าวว่า ตนเป็นซัพพลายเออร์บริการ สินค้าฮาร์ดแวร์ให้กับซีพีเอฟมาหลายปี ขอขอบคุณมากที่ซีพีเอฟเข้าใจและลงมาช่วยแก้ปัญหา SMEs เพราะ กิจการของตัวเองได้รับผลกระทบจากจากสถานการณ์โควิด-19 มากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยอดสั่งซื้อลดลง แต่ค่าใช้จ่ายคงเดิม เมื่อได้เครดิตเทอมเร็วขึ้น ช่วยให้เงินสดมาหมุนคล่องตัวมากขึ้น ไม่ต้องหาเงินทุนจากแหล่งอื่นที่ต้องรับภาระดอกเบี้ยสูง

“เครดิตเทอม 30 วัน ถือเป็นการช่วยปลดล็อคสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการรายย่อย สามารถรักษากิจการและลูกจ้าง รวมทั้ง ผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานให้อยู่รอด และเป็นการเปิดโอกาสให้ SMEs พัฒนาปรับปรุงกิจการให้เติบโตและผ่านพ้นวิกฤติได้อย่างแข็งแกร่ง”

ทั้งนี้ การดำเนินโครงการ Faster Payment ของซีพีเอฟ เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายบริษัทฯ ในการช่วยเหลือคู่ค้า SMEs และคู่ค้ารายบุคคลทั้ง 6 พันรายได้ 100% เพราะบริษัทฯเชื่อว่าซัพพลายเออร์อยู่รอด ระบบการค้าดี ธุรกิจสามารถเติบโตต่อเนื่อง จะมีส่วนช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยให้สามารถก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ได้

นอกจากโครงการ Faster Payment แล้ว ซีพีเอฟ ยังเข้าร่วมโครงการ “พาณิชย์ ลดราคา ! ช่วยประชาชน” ของกระทรวงพาณิชย์ นำสินค้าในร้านซีพี เฟรชมาร์ทมาจำหน่ายในราคาพิเศษ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศโตต่อเนื่อง

เอไอเอส จับมือธรรมศาสตร์ เปิดศูนย์ปฏิบัติการความยั่งยืนแห่งแรกในเอเชีย

0

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า บริษัท ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดตัวศูนย์ปฏิบัติการความยั่งยืนแห่งแรกในเอเชีย “SDG Lab by Thammasat & AIS” ที่อุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ภายใต้แนวคิดเชิงบูรณาการนำเทคโนโลยีดิจิทัล 5G และ IoT มาเป็นฐานรากเพื่อสร้างความยั่งยืน ผลักดันให้เป็นพื้นที่แห่งการทดลองและการลงมือปฏิบัติของนักคิด นักประดิษฐ์ เพื่อรองรับการพัฒนานวัตกรรมและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในมิติต่างๆ อันนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยและขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสมาร์ทซิตี้

ทั้งนี้ แนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน Sustainable Development Goals (SDGs) เป็นเป้าหมายที่ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยให้ความสำคัญมากขึ้นและถูกใช้เป็นฐานการกำหนดนโยบายของประเทศและองค์กร โดยมีเป้าหมายสูงสุดของแนวคิดอยู่ที่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรโลก โดยยังสามารถรักษาระดับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของมนุษย์ไม่ให้เกินศักยภาพการผลิตของธรรมชาติ และมุ่งเน้นความสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ เอไอเอส จึงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจที่ตั้งอยู่บนแนวคิดความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและการนำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเข้าไปสนับสนุนเพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นแก่ทุกฝ่าย โดยได้กำหนดกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) การประสานสังคมให้เป็นหนึ่งเดียว 2) ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า 3) สร้างหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ยั่งยืน 4) ส่งเสริมบุคลากรให้เติบโตในทุกย่างก้าว 5) สรรค์สร้างนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้ ที่ผ่านมา เอไอเอสได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนในทั้งระดับสากลและระดับประเทศ โดยได้รับการประกาศให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ในกลุ่มดัชนีโลก (World Index) และดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) ในกลุ่มอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคม 2 ปีซ้อน คือ ปี 2019 และ 2020 และได้รับคัดเลือกให้ผ่านดัชนีความยั่งยืน FTSE4Good Index Series ต่อเนื่อง 6 ปี และในระดับประเทศได้รับประกาศจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยติดรายชื่อ หุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2563 ซึ่งถือเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน 

จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในการพัฒนาศูนย์ SDG Lab by Thammasat & AIS ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอสในการนำเทคโนโลยีและบริการดิจิทัลที่ดีและทันสมัยที่สุด โดยเฉพาะ 5G มาให้คนไทยได้สัมผัสประสบการณ์ที่เหนือระดับไปอีกขั้นของ 5G ตลอดจนเห็นถึงประโยชน์ของการนำเทคโนโลยี 5G ไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเป็นทรัพยากรสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศไทยในระยะยาว โดยมีขอบข่ายการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดประโยชน์กับสังคมและประเทศชาติอย่างสร้างสรรค์ ประกอบด้วย

1) Climate& Environment พัฒนาความยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยี 5G ในการพัฒนาเพื่อสังคม

2) City พัฒนาระบบ การขนส่ง และระบบการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ให้สอดรับกับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน

3) Living พัฒนาความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนให้กับคนในสังคม ผ่านการบริหารจัดการพลังงาน, ทรัพยากรธรรมชาติ และขยะรวมทั้งขยะอิเล็กทรอนิกส์

4) Farming พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืนที่จะตอบรับเรื่องความมั่นคงทางอาหาร

5) People ส่งเสริมการมีส่วนร่วมองประชาชนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เป้าหมายของ SDG Lab by Thammasat & AIS คือ การเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ และลงมือปฏิบัติจริง ที่เปิดโอกาสและเชื่อมโยงนวัตกร นักพัฒนา และนักประดิษฐ์จากทั่วโลกที่มีจุดมุ่งหมายในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม หรือต้องการสร้างนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนได้เข้ามาร่วมสร้างนวัตกรรมต้นแบบที่ตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาได้จริง โดยสามารถใช้งาน Network Infrastructure โครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ทั้ง 5G, IoT, Fibre และ AIS Super WiFi รวมถึงเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัยต่างๆ ภายในศูนย์ฯ เพื่อสร้างนวัตกรรมต้นแบบได้ด้วยตนเอง พร้อมทดลอง ทดสอบบนเครือข่ายและสภาพแวดล้อมจริงได้เลย

นอกจากนี้ เอไอเอส ยังติดตั้งอุปกรณ์ IoT ควบคุมดูแลการเพาะปลูกแบบอัตโนมัติ และติดตั้งสถานีวัดสภาพอากาศและวัดปริมาณฝุ่น PM2.5 ไว้บนแปลงเกษตร Rooftop อาคารอุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี ที่สามารถควบคุมการทำงานผ่านระบบฟาร์มอัจฉริยะ Smart Farm เพื่อบริหารจัดการน้ำในภาคการเกษตรให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งในอนาคตก็จะนำ AIS 5G มาใช้ในการพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มากยิ่งขึ้น อาทิ การบริหารจัดการการจราจร ผ่านเทคโนโลยี Smart Parking และ Autonomous Car (รถยนต์ไร้คนขับ) เพื่อเดินหน้ายกระดับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สู่ Smart University อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าความร่วมมือกันในครั้งนี้จะช่วยให้เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ก่อให้เกิดการสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน พร้อมรับมือกับวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

รศ.เกศินี วิทูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การสานต่อความร่วมมือกับเอไอเอส ในการนำเทคโนโลยีดิจทัล 5G, IoT และดิจิทัลโซลูชันอีกมากมายเข้ามาใช้ภายในศูนย์ SDG Lab by Thammasat & AIS และครอบคลุมบริเวณอุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี ทั้ง 100 ไร่ นี้ จะทำให้การบริหารจัดการภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้นวัตกรรมต่างๆ ที่ได้คิดและพัฒนาสามารถเกิดขึ้นได้จริง และเป็นต้นแบบของนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนให้กับประเทศ ที่จะก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของนักศึกษา นวัตกรรุ่นใหม่ และเหล่าสตาร์ทอัพที่จะเข้ามาร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ที่จะส่งผลประโยชน์ต่อประเทศชาติและทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของมหาวิทยาลัยในการสร้างเมืองอัจฉริยะให้เกิดขึ้นจริง

โออาร์ จับรางวัล “เที่ยว เลี้ยว ลุ้น” ครั้งที่ 2 แจกรถยนต์ BMW X1 และรางวัลอื่นๆ รวมกว่า 8 ล้านบาท แก่สมาชิกบลูการ์ด

0

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) จับรางวัลจากแคมเปญ “เที่ยว เลี้ยว ลุ้น” ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวหลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 เริ่มผ่อนคลาย 

โดยมอบรางวัลให้สมาชิก Blue Card รวม 963 รางวัล ได้แก่ รถยนต์ BMW X1 จำนวน 3 รางวัล มูลค่ากว่า 5.9 ล้านบาท โทรศัพท์มือถือ iPhone 11 จำนวน 60 รางวัล และของรางวัลอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก Blue Card ที่ซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ร้านค้าในเครือของ โออาร์ ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม 2563 – 31 ตุลาคม 2563 ไม่ว่าจะเป็นการเติมน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมัน PTT Station, การซื้อผลิตภัณฑ์หล่อลื่น PTT Lubricants ที่สถานีบริการน้ำมัน PTT Station หรือร้านสะดวกซื้อ Jiffy การซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto การซื้อผลิตภัณฑ์ที่ร้าน Café Amazon ร้านสะดวกซื้อ Jiffy ร้าน Texas Chicken ร้านฮั่วเซงฮงติ่มซำ และร้าน Pearly Tea โดยมีจำนวนสิทธิ์ร่วมลุ้นทั้งสิ้นถึง 22,968,415 สิทธิ์ และจะประกาศผลการจับรางวัลครั้งที่ 2 ในวันที่ 15 ธันวาคม 2563 ทางเว็บไซต์ www.pttbluecard.com และ Blue Card Mobile Application โดยจะมีการมอบรางวัลทั้งหมดให้แก่ผู้โชคดีในวันที่ 24 ธันวาคม 2563 นี้

ทั้งนี้ โออาร์ ขอบคุณสมาชิก Blue Card กว่า 6 ล้านราย ที่สนับสนุนผลิตภัณฑ์ในเครือของโออาร์เป็นอย่างดีมาโดยตลอด และจะยังคงนำเสนอสิทธิพิเศษและกิจกรรมดี ๆ สำหรับสมาชิก Blue Card อย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง จะยังคงพัฒนาระบบและการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้สามารถนำเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ตรงความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้อย่างดีที่สุด โดยผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสมัครสมาชิก Blue Card ได้ที่ www.pttbluecard.com และ Blue Card Mobile Application หรือ โทร. 1365 Contact Center 

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : ข้อควรรู้ก่อนลงทุนแบบ DCA (2)

0

ก่อนอื่นมาทบทวนกันอีกครั้งว่า การลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Averaging) คือลงทุนในหลักทรัพย์แบบสม่ำเสมอด้วย “จำนวนเงินที่เท่ากัน” โดยกำหนด “ความถี่” และ “ระยะเวลา” ที่ลงทุน เช่น กำหนดว่าจะลงทุนในหุ้น “ก” ทุกวันที่ 1 ของเดือน ด้วยเงิน 10,000 บาททุกเดือนต่อเนื่อง 5 ปี จะทำให้เราซื้อหุ้น “ก” ได้ใน “ราคาต้นทุนแบบถัวเฉลี่ย” ซึ่งจะทำให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวมากกว่า

ครั้งที่แล้ว เราพูดถึงข้อแรกที่แนะนำให้ลงทุน DCA แบบอัตโนมัติกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) มากกว่าการลงทุนด้วยตัวเอง เพราะระบบจะตัดเงินในบัญชีไปลงทุนโดยอัตโนมัติ โดยไม่สนใจว่าราคาหุ้นตอนนั้นจะขึ้นหรือลง ทำให้เรา “ตัดอารมณ์ส่วนตัว” ออกไปได้

ข้อ 2.ระหว่าง DCA แบบกำหนดจำนวนเงินกับแบบกำหนดจำนวนหุ้นที่จะซื้อ พบว่า DCA แบบกำหนดจำนวนเงินได้รับความนิยมมากกว่า เพราะจากสถิติพบว่ามีความผันผวนของอัตราผลตอบแทนต่ำกว่า!! เนื่องจากช่วงที่ราคาหุ้นขึ้นจำนวนหุ้นที่ได้รับก็จะน้อยลง แต่ช่วงที่ราคาหุ้นลงก็จะได้หุ้นจำนวนมากขึ้น ทำให้ระยะยาวต้นทุนเฉลี่ยแบบกำหนดเงินจะต่ำกว่าและผันผวนน้อยกว่า DCA แบบกำหนดจำนวนหุ้นที่จะซื้อในจำนวนเท่ากัน ไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลงก็ตาม

3.เลือกลงทุน DCA แบบไหนดี รายปี รายเดือน หรือรายวัน ซึ่ง งานวิจัยของ Financial Planning Association พบว่าการลงทุนด้วยความถี่ที่ต่างกัน ไม่มีความแตกต่างกันชัดเจนในแง่อัตราผลตอบแทน แต่หากพิจารณาความเสี่ยง หรือความผันผวนของผลตอบแทนกลับพบว่ายิ่งความถี่ในการลงทุนมากเท่าไร ความเสี่ยงของผลตอบแทนก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น จึงแนะนำให้ลงทุนตามรอบรายได้ เช่น ได้เงินเดือนก็ลงทุนเป็นรายเดือน แต่หากรายได้ไม่แน่นอนอาจสะสมเงินก่อนและลงทุนปีละ 1-2 ครั้ง

4.วันที่เลือกตัดเงินในบัญชีมาลงทุนต้นเดือน-กลางหรือปลายเดือนดี?? งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าวันที่ลงทุนแบบ DCA ในแต่ละเดือนนั้น ไม่ได้มีผลต่ออัตราผลตอบแทนอย่างชัดเจน แต่วันที่ควรเลือกลงทุนมากที่สุดคือวันที่เราสะดวกที่สุดมากกว่า เช่น ลงทุนวันเดียวกับวันที่ได้รับเงินเดือน เพื่อจะได้ไม่นำเงินไปใช้จ่ายด้านอื่นๆจนอาจทำให้ไม่มีเงินเหลือสำหรับลงทุนตามที่ตั้งใจ

5.ลงทุนแบบ DCA เดือนละเท่าไหร่ดี?? ตอบได้ทันทีว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการลงทุนคือจำนวนเงินที่ลงทุน ระยะเวลาและอัตราผลตอบแทน ยิ่งลงทุนมากเท่าไร โอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายก็จะเร็วขึ้น เช่น หากลงทุนด้วยเงิน 1,000 บาท 2,000 บาท และ 5,000 บาทต่อเดือน โดยได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี ต่อเนื่อง 20 ปี การลงทุนเดือนละ 1,000 บาท ณ ปีที่ 20 จะมีเงิน 759,000 บาท ลงทุน 2,000 บาท จะมีเงิน 1,518,000 บาท ลงทุน 5,000 บาท จะมีเงิน 3,796,000 บาท

ลงทุนมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่เป้าหมายและความสามารถในการลงทุนของแต่ละคน ทางที่ดีค่อยๆเพิ่มเงินลงทุนตามรายได้ที่ได้รับมากขึ้นในแต่ละปี มีวินัยลงทุนต่อเนื่องและเลือกช่องทางลงทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี ก็จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอน!!

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดยคุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ นสพ.ไทยรัฐ