Home Blog Page 362

“บุญเติม” เปิดตัว “บุญเติม รีวอร์ด” จัดแคมเปญคืนกำไร เอาใจลูกค้าตลอดปี 64

0

“บุญเติม” เปิดศักราชใหม่ ประกาศปรับกลยุทธ์การตลาด จัดแคมเปญตอบแทนลูกค้าคนสำคัญ ชู“บุญเติม รีวอร์ด” โปรแกรมสะสมแต้มรูปแบบใหม่ ยิ่งเติมมาก ยิ่งมีสิทธิ์มาก ลุ้นรับรางวัล 4 ต่อ รวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท  เอาใจลูกค้าตลอดปี สร้างตำแหน่งการตลาดที่แข็งแกร่ง มุ่งรักษาฐานลูกค้าเดิม เพิ่มความถี่การใช้บริการ พร้อมขยายฐานลูกค้าใหม่ กระตุ้นยอดใช้บริการผ่านตู้บุญเติม 1.3 แสนตู้ทั่วประเทศ ตั้งแต่ 1 มี.ค.-31 ธ.ค.2564

ณรงค์ศักดิ์ เลิศทรัพย์ทวี กรรมการผู้จัดการ FSMART

นายณรงค์ศักดิ์ เลิศทรัพย์ทวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (FSMART) เปิดเผยว่า ปี 2564   “บุญเติม” ได้ปรับกลยุทธ์การตลาด โดยเปิดตัวโปรแกรมสะสมแต้ม “บุญเติม รีวอร์ด” เพื่อคืนประสบการณ์การใช้บริการเป็น “แต้ม” ให้ลูกค้าเพื่อนำไปแลกของสมนาคุณและแลกลุ้นของรางวัลมากมาย โดย“บุญเติม รีวอร์ด”จะเป็นกลยุทธ์การตลาดที่สำคัญเพื่อกระตุ้นการใช้บริการของลูกค้า 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ 1. กลุ่มลูกค้าเดิมที่มีมากกว่า 20 ล้านคน เพื่อสร้างความผูกพันธ์และการมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของบริษัท เพื่อกระตุ้นให้เข้ามาใช้บริการตู้บุญเติมอย่างต่อเนื่อง  2. กลุ่มลูกค้าที่เคยใช้บริการตู้บุญเติมเพียง 1 บริการ ให้เพิ่มการใช้มากกว่า 2 บริการ จากจำนวนบริการที่มีในตู้บุญเติมถึง 86 บริการ  3. กลุ่มลูกค้าใหม่ที่ยังไม่เคยใช้จะกระตุ้นให้เกิดการทดลองใช้บริการ เพื่อขยายฐานลูกค้าตู้บุญเติมให้เพิ่มมากขึ้น

“บุญเติม รีวอร์ด เป็นกลยุทธ์ในการสร้างตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งให้กับบริษัทและเป็นการสร้างกิจกรรม ที่คืนกำไรตอบแทนลูกค้า ซึ่งเราให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าเดิมที่มีมากกว่า 20 ล้านคน ที่มีการใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ ขณะเดียวกันเราจะส่งมอบประสบการณ์การใช้บริการที่ครอบคลุมและจำเป็นในชีวิตประจำวันให้มากที่สุด  เพื่อให้ลูกค้าอยู่กับตู้บุญเติมยาวนานขึ้น”  นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับโปรแกรม “บุญเติม รีวอร์ด” นี้ จะมีรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ ทุกกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการตู้บุญเติม ทั้งลูกค้าวัยเด็ก วัยทำงานและกลุ่มผู้ใหญ่ โดยรูปแบบจะเป็นการสะสมแต้ม เพื่อแลกรับของสมนาคุณ หรือลุ้นรางวัลในรูปแบบต่าง ๆ  โดยทุกครั้งที่ลูกค้ามาใช้บริการที่ตู้บุญเติม  1 ครั้งจะได้รับ 1 แต้ม และสามารถนำแต้มมาร่วมรายการ “บุญเติม รีวอร์ด” ทุกแต้มมีค่า แลกกิน แลกใช้ได้ตลอดทั้งปี  ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 ธันวาคม 2564 รวมมูลค่ามากกว่า 3 ล้านบาท

ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถนำแต้มมาร่วมลุ้นรับรางวัล 4 ต่อ   ได้แก่

  • ต่อที่ 1 แลกฟรีทั้งปี โดยใช้ 5 แต้ม แลกฟรีของกินของใช้ ที่ร้าน  “พีที แม็กซ์ มาร์ท” ภายในปั๊มน้ำมันพีทีทั่วประเทศ หรือแลกรับค่าเติมเงินโทรศัพท์หรือรับเครดิตสำหรับใช้บริการที่ตู้บุญเติมในครั้งต่อไป มูลค่า 20 บาท
  • ต่อที่ 2 ลุ้นรับโทรศัพท์มือถือทุก 2 เดือน โดยใช้  9 แต้ม แลก 1 สิทธิ์ ลุ้นรางวัลโทรศัพท์มือถือ และค่าเติมเงินโทรศัพท์หรือเครดิตสำหรับใช้บริการที่ตู้บุญเติมมูลค่า 100 บาท โดยจะมีการจับรางวัลทุก 2 เดือน 
  • ต่อที่ 3 ลุ้นรวยล้านสิ้นปี ทุก 4 แต้ม ใช้แลกรับสิทธิ์จับรางวัลใหญ่ในช่วงปลายปี  ลุ้นรับรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า, โทรศัพท์มือถือ, สร้อยคอทองคำหนัก 1 สลึง ,ส่วนลดค่าเติมน้ำมันที่ปั๊มพีที ,เติมเงินโทรศัพท์ เป็นต้น
  • ต่อที่ 4 บุญเติมยังให้มากกว่า ถล่มแจกทองทุกเดือน เดือนละ 10 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 5,000 บาท  มูลค่ารวมกว่า 5 แสนบาท เมื่อใช้บริการฝาก-โอนเงิน ซื้อแพ็คเสริม และเติม E-Wallet ที่ตู้บุญเติม โดยให้กดรับสิทธิ์    ทุกครั้งหลังทำรายการสำเร็จ 

นอกจากนี้ ตลอดทั้งปี 2564 จะมีการจัดกิจกรรม ‘แต้มบุญเติม ตามใจคุณ’ ฟินทั้งกินทั้งดื่ม โดยลูกค้าสามารถนำแต้มมาแลกฟรีเครื่องดื่มหรืออาหารในร้านที่ร่วมรายการ โดยบุญเติมจะเดินสายไปจัดรายการเอาใจลูกค้าถึงพื้นที่   เริ่มออกเดินทางไปพบลูกค้า ร่วมกับตัวแทนของบริษัทในแต่ละจังหวัด ตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ เป็นต้นไป 

“เราเห็นความสำคัญของลูกค้า จึงได้เพิ่มสิทธิพิเศษให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลกลุ่มลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่ ให้ใช้บริการตู้บุญเติมไปนาน ๆ โดยมั่นใจว่าการคืนกำไรให้กับลูกค้าตลอดทั้งปีนี้ จะกระตุ้นยอดการใช้บริการตู้บุญเติมที่กระจายอยู่ทุกชุมชนทั่วประเทศกว่า 130,000 ตู้ ให้เพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน” นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว

ซีพี-เมจิ จับมือ กรมอุทยานฯ ลงนามเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติสามหลั่น จ.สระบุรี

0

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (Memorandum of Understanding) กับ บริษัท ซีพี – เมจิ จำกัด ในโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติสามหลั่น จังหวัดสระบุรี ตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่สีเขียวและลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) และสอดรับเป้าหมายเครือซีพีสู่การเป็นองค์กร Zero Carbon

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ในวันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2564) มีนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และ นางสาวสลิลรัตน์ พงษ์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด เป็นผู้ลงนามในบันทึกข้อตกลงฯ ความร่วมมือฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยในปี 2564 นี้ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด จะร่วมฟื้นฟูผืนป่าที่เสื่อมโทรมในพื้นที่บ้านบุใหญ่ หมู่ 10 ตำบลห้วยแห้ง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี จำนวน 50 ไร่ สร้างฝายผสมผสาน 10 แห่ง จัดทำแนวกันไฟและสนับสนุนอุปกรณ์ดับไฟป่า สร้างเครือข่ายชุมชน พร้อมทั้งสนับสนุนกองทุนสวัสดิการแก่เจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าของกรมฯ และพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำป่าสักและแม่น้ำนครนายก และลำน้ำที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนที่มีลำน้ำไหลผ่านในช่วงหน้าแล้ง

นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ในการดูแลรักษาผืนป่าของประเทศร่วมกัน เพื่ออำนวยประโยชน์ให้กับประชาชนและประเทศชาติอย่างยั่งยืน ขอขอบคุณ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมสู่ผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือในการปฏิบัติงาน รวมทั้งส่งเสริมสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่ เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับบุคลากร ที่ปฏิบัติงานป้องกันดูแลรักษาพื้นที่ป่าด้วยความทุ่มเทและเสียสละ

ด้านนางสาวสลิลรัตน์ พงษ์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี – เมจิ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ตระหนักดีถึงผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิตของประชากรโลก ทั้งปัญหาภัยแล้ง ปัญหาโลกร้อน และปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญในการคืนสมดุลสู่ธรรมชาติ และการอนุรักษ์ ฟื้นฟูและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถือเป็นต้นทุนสำคัญในทุกมิติ ความร่วมมือระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในวันนี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นมีส่วนร่วมลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และเป็นแนวทางที่ทุกบริษัทในเครือซีพียึดปฏิบัติ

“บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ควบคู่ไปกับการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และมีปณิธานในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลก ตามเป้าหมาย SDGs” นางสาวสลิลรัตน์ กล่าว

ซีพี-เมจิ ดำเนินธุรกิจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคมและร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์สู่ความยั่งยืน 3 เสาหลัก อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน ดินน้ำป่าคงอยู่ สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) และเดินตามเป้าหมายความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ (Zero Carbon) ในปี พ.ศ. 2573 หรือ ค.ศ. 2030

กรมชลประทาน ตั้งเป้าจ้างแรงงาน 9.4 หมื่นคน ปีนี้

0

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงความก้าวหน้าโครงการจ้างแรงงานชลประทาน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและโรคระบาดไวรัสโควิด 19ว่ากรมชลประทาน ได้ดำเนินการตามนโยบายการช่วยเหลือของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด้วยการดำเนินโครงการจ้างแรงงาน ในปีงบประมาณ 2564 เพื่อปฏิบัติงานซ่อมแซม บำรุงรักษา ขุดลอก ปรับปรุงงานชลประทาน โครงการส่งเสริมการดำเนินงานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ งานก่อสร้างแหล่งน้ำและระบบส่งน้ำเพื่อชุมชน แก้มลิง การจัดการคุณภาพน้ำ รวมทั้งโครงการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ทดแทนจากการว่างเว้นการทำการเกษตร โดยในปีนี้ มีแผนจ้างแรงงานวงเงินกว่า 5,662 ล้านบาท สามารถจ้างแรงงานได้ประมาณ 94,000 คน ระยะเวลาการจ้างอยู่ระหว่าง 3 – 8 เดือน วงเงินจ้างแรงงานอยู่ระหว่าง 22,000 – 60,000 บาท/คน ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนมกราคม 64) มีการจ้างแรงงานทั่วประเทศไปแล้ว 9,546 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของแผน จังหวัดที่มีผลการจ้างแรงงานมากที่สุด 3 ลำดับ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ 1,252 คน จังหวัดยโสธร 945 คน และจังหวัดร้อยเอ็ด 612 คน

ประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน

ทั้งนี้ ยังเหลือตำแหน่งว่างอีกหลายอัตรากระจายอยู่ตามโครงการชลประทานทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนให้พี่น้องเกษตรกร และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเป็นการสร้างรายได้เสริมหรือทดแทนจากการสูญเสียรายได้ด้านการเกษตร ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาให้แก่เกษตรกรและพี่น้องประชาชนได้พอสมควร เกษตรกรหรือประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถติดต่อสอบถามหรือสมัครได้ที่โครงการชลประทานใกล้บ้าน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางสายด่วนกรมชลประทาน หมายเลข 1460 ชลประทานบริการประชาชน

ซีพีเอฟ ปลื้ม ‘ฟาร์มวังสมบูรณ์’ ได้รับรองมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่แบบไม่ใช้กรง รายแรกของไทย

0

กรมปศุสัตว์ โดยสำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าด้านปศุสัตว์ (สพส.) กรมปศุสัตว์ พิจารณาให้ “ฟาร์มวังสมบูรณ์” ของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผ่านการรับรองมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่แบบไม่ใช้กรง (Cage Free) นับเป็นฟาร์มแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้มาตรฐานดังกล่าว ตอกย้ำความมุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานการผลิตสินค้าปศุสัตว์ไทยสู่สากล และสนับสนุนการบริโภคอย่างยั่งยืนให้กับผู้บริโภคไทย

ตามที่ กรมปศุสัตว์ ได้ประกาศใช้ฟาร์มไก่ไข่แบบไม่ใช่ใช้กรง (Cage Free) อย่างเป็นทางการเมื่อต้นปี 2564 นี้ พร้อมให้บริการตรวจรับรองแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการที่สนใจ ล่าสุด ปศุสัตว์จังหวัดสระบุรี มอบหมายกลุ่มพัฒนาคุณภาพสินค้าปศุสัตว์ ร่วมกับปศุสัตว์อำเภอมวกเหล็ก ส่วนรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์เขต 1 และ สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐาน สินค้าปศุสัตว์ เข้าตรวจประเมินฟาร์มไก่ไข่แบบไม่ใช่ใช้กรง (Cage Free) ฟาร์มวังสมบูรณ์ อำเภอมวกเหล็ก และรับรองฟาร์มวังสมบูรณ์ ดำเนินตามมาตรฐาน ซึ่งนับเป็นฟาร์มแห่งแรกของประเทศไทย และแห่งแรกของสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดสระบุรี

นายสัตวแพทย์ณัฐ สวาสดิ์รัตน์ สัตวแพทย์ชำนาญการ ผู้แทนจังหวัดสระบุรีและเป็นหัวหน้าทีมตรวจประเมินฟาร์มวังสมบูรณ์ กล่าวว่า จากผลการตรวจประเมิน ฟาร์มวังสมบูรณ์สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่แบบไม่ใช่ใช้กรง ของกรมปศุสัตว์ จึงนับเป็นฟาร์มไก่ไข่เคจฟรีแห่งแรกของประเทศไทยและจังหวัดสระบุรีที่ได้รับรองมาตรฐานนี้ ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นผู้บริโภค ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้และยกระดับมาตรฐานในการผลิตไข่ไก่จากฟาร์มที่มีสวัสดิภาพสัตว์สูงให้กับเกษตรกรไทยต่อไป

ด้านนายสมคิด สุวรรณลุกขี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ฟาร์มวังสมบูรณ์ เป็นฟาร์มต้นแบบที่ซีพีเอฟพัฒนาเพื่อผลิตไข่ไก่จากแม่ไก่ที่เลี้ยงแบบไม่ใช้กรง (เคจฟรี) ตั้งแต่ปี 2561 โดยประยุกต์ใช้มาตรฐานของสภาพยุโรปมาใช้ แม่ไก่ไข่ถูกเลี้ยงแบบธรรมชาติบนพื้นที่ 1 ตารางเมตรต่อแม่ไก่ไม่เกิน 9 ตัว อยู่ในโรงเรือนระบบปิดขนาดใหญ่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์และอัตโนมัติควบคุมการผลิต อุณหภูมิและการระบายอากาศอย่างเหมาะสมตลอดเวลา

โรงเรือนของฟาร์มวังสมบูรณ์มีการจัดสภาพแวดล้อมสอดคล้องตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ส่งเสริมให้แม่ไก่ไข่ได้แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ เช่น มีคอนสำหรับเกาะพักผ่อนไม่ต่ำกว่า 15 เซนติเมตร/ตัว มีวัสดุปูรองพื้นเพื่อใช้สำหรับคุ้ยเขี่ยและไซร้ขนทำความสะอาดตัวเอง แม่ไก่มีอิสระในการปฏิสัมพันธ์กันเอง ควบคู่กับการควบคุมและป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ติดตั้งระบบความปลอดภัยทางชีวภาพในฟาร์มตามแนวทาง Biosecurity Hi-tech Farming ส่งผลให้แม่ไก่ไข่อยู่อย่างสุขสบาย มีคุณภาพชีวิตที่ดี แข็งแรง และอารมณ์ดี ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยง เป็นที่ยอมรับของร้านอาหารที่มีชื่อเสียงอย่าง ร้านชาบูชาบู โมโม พาราไดซ์ ร้านเจ๊ไฝ สตรีทฟู้ดชื่อดัง เป็นต้น

“การที่ฟาร์มวังสมบูรณ์ได้รับรองมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่แบบไม่ใช่ใช้กรง (Cage Free) จากกรมปศุสัตว์ เป็นความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งของภาคการผลิตไข่ไก่ของไทยสู่ระดับสากล การช่วยสะท้อนถึงความมุ่งมั่น ซีพีเอฟในการขับเคลื่อนการพัฒนามาตรฐานการผลิตอาหารปลอดภัย และสวัสดิภาพสัตว์ เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรของไทย และสนับสนุนการบริโภคอย่างยั่งยืน” นายสมคิดกล่าว

ปัจจุบัน ฟาร์มวังสมบูรณ์ มี 12 โรงเรือน มีกำลังผลิตไข่ไก่ได้ 10 ล้านฟองต่อปี และพร้อมขยายเป็น 15 ล้านฟองในปีนี้ เพื่อร่วมส่งมอบอาหารคุณภาพ ปลอดภัย และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกฟอง ให้เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสวัสดิภาพสูง ตอบรับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน./

แฟลช ผนึก บิ๊กซี นำร่องเปิดจุด Drop Off 50 สาขาทั่วประเทศ

0

นางจรัสพักตร์ การปลื้มจิตต์ ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจแฟลช เปิดเผยว่า บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จับมือกับ บิ๊กซี นำร่องเปิดจุดบริการ Drop Off จำนวน 50 สาขาภายในศูนย์การค้าบิ๊กซี และ ตั้งเป้าขยายการให้บริการทั้งในศูนย์การค้าบิ๊กซี และมินิบิ๊กซี มากกว่า 1000 สาขาทั่วประเทศ​ ทั้งนี้ บริษัทเล็งเห็นว่าบิ๊กซี เป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ของคนไทย มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ มีศักยภาพและเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นจุด Drop Off อีกแห่งของแฟลช เอ็กซ์เพรส โดยการจับมือเป็นพันธมิตรกับบิ๊กซีครั้งนี้ ถือเป็นการร่วมงานกับคู่ค้าทางธุรกิจในสายรีเทลครั้งแรกของบริษัท แฟลขเอ็กซ์เพรส

ด้าน​ นางสาวสมหญิง ส่งเสริมสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจบริการ บริษัท บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บิ๊กซี คำนึงถึงลูกค้าคือคนสำคัญของเราเสมอ นอกเหนือจากการจับจ่ายใช้สอยซื้อของจำเป็นแล้ว ลูกค้ายังสามารถจัดการกับธุรกรรมต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน การร่วมมือกับแฟลช เอ็กซ์เพรส เพื่อเป็นอีกช่องทางที่ทำให้บิ๊กซีได้มีโอกาสดูแลลูกค้าให้ได้รับความสะดวกสบายในการส่งพัสดุ Flash ที่บิ๊กซี

ทั้งนี้ บิ๊กซี ตั้งเป้าเปิดจุด Drop Off ทั้งในศูนย์การค้าบิ๊กซี และมินิบิ๊กซี ครอบคลุมทั่วประเทศ จำนวนกว่า 1,000 สาขา ในไตรมาสที่ 4/ 2564

สำหรับการเปิดจุด Drop Off รับส่งพัสดุ Flash ที่บิ๊กซี ลูกค้าจะได้รับส่วนลดท้ายใบเสร็จมูลค่า 10 บาท สำหรับใช้เป็นส่วนลดในการส่งพัสดุ Flash ในครั้งถัดไป ที่จุดให้บริการบิ๊กซี โดยรสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์แฟลช เอ็กซ์เพรส www.flashexpress.co.th และทาง Facebook Fanpage: Flash Express หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่จุดบริการลูกค้าบิ๊กซีทุกสาขา Call Center 1756 และ www.bigc.co.th

ออมสิน ปล่อยสินเชื่อ “SMEs มีที่ มีเงิน” ช่วยผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว

0

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจท่องเที่ยวยังคงได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักหลังจากการท่องเที่ยวต้องหยุดชะงักเพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินเพิ่มเติม เพื่อเยียวยาและเพิ่มสภาพคล่องสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวและสาขาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยมอบหมายธนาคารออมสิน จัดทำ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ SMEs มีที่ มีเงิน สำหรับธุรกิจท่องเที่ยว วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท เริ่มเปิดรับลงทะเบียนขอกู้ทางเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 หรือจนกว่าวงเงินโครงการจะหมด

โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ SMEs มีที่ มีเงิน สำหรับธุรกิจท่องเที่ยว เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สามารถใช้ที่ดินเปล่า หรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เป็นหลักประกันการขอสินเชื่อจากธนาคาร เพื่อนำเงินกู้ไปใช้เสริมสภาพคล่องให้กิจการ หรือเพื่อไถ่ถอนที่ดินซึ่งทำสัญญาขายฝากกับเอกชนไว้ในช่วงวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2563 โดยธนาคารฯ ให้วงเงินสินเชื่อต่อราย ไม่เกิน 70% ของราคาประเมินที่ดินราชการ ระยะเวลากู้ 3 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษตามนโยบายรัฐบาล ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 0.10% ต่อปี ปีที่ 2 = 0.99% ต่อปี และปีที่ 3 = 5.99% ต่อปี กรณีบุคคลธรรมดาจำนวนเงินให้กู้ 1-10 ล้านบาท นิติบุคคลจำนวนเงินให้กู้ 1-50 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเงื่อนไขการขอสินเชื่อได้ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน ของธนาคารออมสิน เริ่มเปิดให้กู้ครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2563 มีแนวคิดเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และประชาชนที่ขาดสภาพคล่องในการทำธุรกิจ หรือมีความเสี่ยงสูญเสียที่ดินติดสัญญาขายฝากอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากที่ได้เตรียมวงเงินโครงการเริ่มแรก 5,000 ล้านบาท ต้องขยายเพิ่มเติมเป็น 10,000 ล้านบาท โดยมีผู้ลงทะเบียนขอกู้จนเต็มวงเงินในเวลาอันรวดเร็ว สำหรับวงเงินใหม่ 10,000 ล้านบาทนี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐบาล โดยธนาคารจะพิจารณาให้กู้จากคุณภาพของหลักประกัน และคิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ : หุ้นคืออะไร

0

คุยกับอาแมน คุณแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมาอธิบายให้เข้าใจกันง่ายๆ ว่า หุ้นคืออะไร

เพื่อทำความเข้าใจก่อนจะมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์

โลตัส จับมือ พม. ช่วยเหลือ SME ทั่วประเทศผ่านโครงการ “ถุงคืนชีพ สร้างอาชีพ”

0

นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ ประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัท โลตัส เปิดเผยว่า สถานการณ์โควิด-19 ได้ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร และ ผู้ประกอบการขนาดเล็ก หรือ SME ในปีนี้ บริษัทจึงจัดทำ โครงการ “ถุงคืนชีพ สร้างอาชีพ” ต่อยอดจากการครบรอบ 1 ปีที่งดแจกถุงพลาสติก โดยผนวกโครงการด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง “ถุงคืนชีพ” เข้ากับโครงการเพื่อสังคม และนำรายได้ที่ได้รับจากการจำหน่ายถุงคืนชีพมอบให้กับผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบ 77 รายทั่วประเทศ ด้วยการมอบเป็นอุปกรณ์ประกอบอาชีพสำหรับจำหน่ายอาหาร และเงินทุน รวมมูลค่าทุนละ 30,000 บาท หรือรวมทั้งหมด 2,310,000 บาท และร่วมมือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่มีการจัดอบรมหลักสูตรต่างๆให้กับผู้ประกอบการ เป็นการมอบทุนตั้งต้น และองค์ความรู้ที่สำคัญ เพื่อใช้สร้างอาชีพให้กับกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบให้มีรายได้ที่ยั่งยืน

ในปีที่ผ่านมาโลตัสได้นำรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายถุงคืนชีพ หรือถุงพลาสติกแบบใช้ซ้ำมอบเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลมะเร็ง 8 แห่งทั่วประเทศ รวมเป็นเงินกว่า 9.2 ล้านบาท 

ที่ผ่านมา โลตัสยังได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME และเกษตรกร ในช่วงโควิด-19 มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น โครงการ Food Paradise เปิดพื้นที่ภายในศูนย์การค้าฟรีเพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย, โครงการตลาดนัด SME ไทย ถูกใจมหาชน ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์คัดเลือกผู้ประกอบการ SME ผู้ประกอบการ OTOP Select รวมไปถึงผู้ประกอบการรายย่อยในชุมชนกว่า 300 ราย นำสินค้ามาวางจำหน่ายบริเวณด้านหน้าสาขาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย, โครงการตลาดสุขใจวัยเก๋า เปิดพื้นที่ให้ผู้สูงอายุนอกระบบ มาจำหน่ายสินค้าในห้าง โลตัส  และ โครงการศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักร สนับสนุนพื้นที่กว่า 300 ตารางเมตรและสาธารณูปโภคให้เป็นเวลา 3 ปีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เปิดให้บริการจัดฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพให้แก่ประชาชนที่สนใจ เป็นต้น

นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า พม. มีความมุ่งมั่นที่จะมอบของขวัญให้กับประชาชน โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเปราะบาง กล่าวคือ  เด็ก  ผู้ด้อยโอกาส  ผู้พิการ  ผู้สูงอายุ  สตรี  และแม่เลี้ยงเดี่ยว ผนวกกับปัญหาด้านเศรษฐกิจที่เกิดจากสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงฯจึงได้มีการเร่งมอบหมายให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ฝึกอาชีพให้กลุ่มเป้าหมายจำนวน 1,000 รายทั่วประเทศ และคัดคนที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่จะประกอบอาชีพจังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน มารับทุนสร้างอาชีพจากโลตัส จึงเป็นที่มาของความร่วมมือในวันนี้ โดยโลตัสจะสนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพพร้อมเงินทุนแก่ประชาชนที่ผ่านการคัดเลือกทั่วประเทศ เพื่อเติมศักยภาพในการประกอบอาชีพเราจะมีการจัดอบรมหลักสูตรต่าง ๆ อาทิ การเงิน การประกอบอาชีพด้านอาหาร ผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อสร้างองค์ความรู้ให้กับประชาชน ให้สามารถหารายได้ที่ยั่งยืนต่อไป”

กรมชลฯ สั่งเร่งกำจัดผักตบชวา 7 ล้านตัน ไม่ให้กระทบทางน้ำ

0

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่าได้เรียกประชุมสำนักงานชลประทานที่ 9-13 เพื่อวางแผนเร่งกำจัดวัชพืชและผักตบให้เป็นไปตามนโยบายของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.)รวมถึงข้อห่วงใยของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ภายหลังที่เดือนธันวาคมที่ผ่านมาพบปริมาณผักตบในคลองชลประทานมากถึง 7 ล้านตัน หลังหารือได้ให้ผู้เกี่ยวข้องไปจัดทำแผนการกำจัดวัชพืชในพื้นที่ให้ชัดเจน และให้เร่งดำเนินการตามแผนคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จก่อน มิ.ย. 2564

ประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน

“เมื่อเดือนธันวาคม 2563 สำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยาได้รายงานผลสำรวจเพิ่มเติมพบว่ามีปริมาณผักตบชวามากถึง 7 ล้านตัน ในพื้นที่ สชป.9-13 และเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐบาล จึงได้สั่งการให้มีการกำหนดผู้รับผิดชอบ ปริมาณที่ต้องจัดเก็บ และช่วงเวลาดำเนินการให้ชัดเจน พร้อมทั้งให้รายงานผลดำเนินการอย่างต่อเนื่อง“นายประพิศกล่าว

ด้านดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า เนื่องจากผักตบชวาเป็นพืชที่เจริญเติบโตง่ายในคลองหรือทางน้ำต่างๆแม้หน่วยงานอื่นจะมีส่วนร่วมดูแล แต่สุดท้ายจะไหลมารวมที่ทางน้ำของกรมชลประทาน และกระจุกตัวที่ประตูระบายน้ำ ซึ่งกรณีนี้ทางสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) GISTDA เป็นผู้สำรวจปริมาณผักตบชวาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดเก็บได้หมดก่อนฤดูฝนอธิบดีกรมชลประทานได้กำชับให้ สชป.9-13 ไปจัดทำผังโครงการและปริมาณสะสมและดำเนินการเก็บผักตบใน 2 ขั้นตอนคือ 1. การเก็บใหญ่ด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่ 2. การเก็บย่อยด้วยเครื่องจักรขนาดเล็ก และให้วางทุ่นยางดักผักตบ (Log Boom) ทั้งด้านหน้าและด้านหลังประตูระบายน้ำ ทั้งนี้ให้มีการวางแผนเก็บย่อยอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการสะสมของผักตบชวา และแต่ละจุดที่เป็นจุดเก็บให้ทำป้ายประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการแจ้งการสะสมของผักตบชวา โดยให้ระบุว่าเป็นจุดที่กรมชลประทานรับผิดชอบ พร้อมเบอร์โทรผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานเพื่อให้สามารถเข้าจัดเก็บได้ทันที ซึ่งจากผลสำรวจพบว่าจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีปริมาณสะสมของผักตบชวามากที่สุดจำนวน 1 ล้านตัน รองลงมาได้แก่จังหวัดสุพรรณบุรีจำนวน 7 แสนตัน จังหวัดนครปฐมจำนวน 5.1 แสนตัน และจังหวัดฉะเชิงเทราจำนวน 3.6 แสนตัน เป็นต้น

สำหรับทางน้ำในประเทศมีความยาวทั้งสิ้นประมาณ 522,456 กิโลเมตร อยู่ในความดูแลของกรมชลประทาน 49,676 กิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 9.51 ของทางน้ำทั้งหมด ประกอบด้วยคลองส่งน้ำ 27,450 กิโลเมตร คลองระบายน้ำ 11,190 กิโลเมตร แม่น้ำและคลองธรรมชาติ 11,036 กิโลเมตร

สำหรับศักยภาพเครื่องจักรกลของกรมชลประทาน มีเครื่องจักรสำหรับงานกำจัดวัชพืช จำนวน 190 คันประกอบด้วย รถขุดตีนตะขาบ แบบแขนยาว จำนวน 107 คัน เรือขุดแบบปูตัก จำนวน 31 คัน เรือกำจัดวัชพืช จำนวน 52 คัน สามารถกำจัดวัชพืชได้ประมาณวันละ 55,645 ตันต่อวัน

มูลนิธิเชฟแคร์ส ให้โอกาสเด็กสถานพินิจและเด็กด้อยโอกาส ผ่าน “สานฝันปั้นเชฟ” คืนคนดีสู่สังคม

0

มูลนิธิเชฟแคร์ส เดินหน้าตามเจตนารมณ์สร้างคนคุณภาพกลับสู่สังคม ผ่านโครงการสานฝันปั้นเชฟ ให้ “โอกาส” เด็กจากสถานพินิจและเด็กด้อยโอกาส สู่การเป็นเชฟมืออาชีพ โดยนางมาริษา เจียรวนนท์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ พร้อมด้วยนายณัฏฐพล ภวไพบูลย์ (เชฟนิค) และนายชุมพล แจ้งไพร (เชฟชุมพล) สมาชิกมูลนิธิเชฟแคร์ส ร่วมกันต้อนรับเยาวชนทั้ง 12 คนในวันเปิดเทอม ณ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

นางมาริษา เจียรวนนท์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเชฟแคร์ส กล่าวว่า Chef Cares ประสบความสำเร็จจากหัวใจจิตอาสาของเชฟระดับท้อปเชฟทั้ง 73 ท่าน จึงต้องการสานต่อการช่วยเหลือสังคมผ่านมูลนิธิเชฟแคร์ส โดยคงแนวคิดทางด้านอาหาร ในรูปแบบของการให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนที่มีความชื่นชอบการทำอาหารเป็นพิเศษ (passion) ให้ได้เข้ามาเรียนรู้จากเชฟระดับชั้นนำของเมืองไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และ Role Model สานฝันการเป็นเชฟในอนาคตให้เด็กๆ

มาริษา เจียรวนนท์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเชฟแคร์ส

“เป็นความตั้งใจที่จะให้โอกาสกับเด็กด้อยโอกาสกลุ่มนี้ได้มีอาชีพที่ดี โครงการนี้จะให้ทั้งความรู้ และการบ่มเพาะแนวความคิดด้านบวก ให้เขากลับตัวได้ และมีงานทำ น้องๆ จะได้รับแรงบันดาลใจจากท็อปเชฟที่เขาได้ใกล้ชิด และเขาจะเป็นคนคุณภาพกลับคืนสู่สังคมได้ในที่สุด” นางมาริษากล่าว

ด้านนายณัฏฐพล ภวไพบูลย์ หรือ เชฟนิค สมาชิกมูลนิธิเชฟแคร์ส และเจ้าของร้านอาหารวังหิ่งห้อย กล่าวว่า ในฐานะเจ้าของร้านอาหารที่จะเข้ามาสอนน้องๆด้วย สิ่งสำคัญที่ตั้งใจจะถ่ายทอด นอกเหนือจากเทคนิคพิเศษในการทำอาหารแล้ว คือการส่งเสริมให้พวกเขามีทัศนคติเป็นบวก (Positive thinking)

“ผมตั้งใจจะเปิดโอกาสให้เด็กๆได้พิสูจน์ตนเองอีกครั้ง เชื่อว่าภายหลังการบ่มเพาะผ่านโครงการสานฝันปั้นเชฟ น้องๆเหล่านี้ที่มีประสบการณ์อย่างหนักในชีวิต จะมีความคิดเชิงบวกต่อตนเองและสังคม” เชฟนิคกล่าว

นางสาวดวงพร อุกฤษณ์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาระบบงานยุติธรรมเด็กและเยาวชน กล่าวว่า “ยังไม่เคยเห็นโครงการทุนการศึกษาใดที่มีความสมบูรณ์แบบเท่ากับโครงการนี้ ที่จะให้ทั้งความรู้ และความเข้าใจต่อเยาวชน ที่ต้องการ “โอกาส” ในการกลับคืนสู่สังคม ขอขอบคุณมูลนิธิเชฟแคร์สเป็นอย่างมากที่หยิบยื่นโอกาสที่มีค่ายิ่งนี้ให้น้องๆ อย่างเต็มที่ หากน้องคนไหนมีความสามารถ มีความประพฤติดี ก็มีโอกาสที่จะร้องต่อศาลเพื่อให้ปล่อยตัวออกไปใช้ชีวิตในสังคมก่อนครบกำหนดโทษได้”

ทั้งนี้ โครงการสานฝันปั้นเชฟ เกิดขึ้นตามเจตนารมณ์ของมูลนิธิเชฟแคร์ส เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้วิธีการประกอบอาหารทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ตลอดจนได้ฝึกงานจริงกับเชฟมืออาชีพที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าของประเทศ ควบคู่การพัฒนาศักยภาพของตนเองภายใต้การดูแลของนักจิตวิทยา รวมถึงมีโอกาสได้ประกอบอาชีพเชฟตามความฝันของตน

หลักสูตรดังกล่าว มีระยะเวลาศึกษา 5 เดือน แบ่งเป็นการเรียนรู้ในภาคทฤษฎีกับปฏิบัติ เป็นเวลา 2 เดือน และฝึกประสบการณ์วิชาชีพยังร้านอาหารของเชฟระดับแถวหน้าของเมืองไทย (Top Chef ) อีก 3 เดือน

สำหรับเยาวชนที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการนี้เป็นน้องๆ จากสถานพินิจ 6 คนและเป็นเด็กด้อยโอกาสจากพื้นที่ห่างไกล เช่น ชาวเขา ที่ผ่านการคัดเลือกจากศูนย์วิจัยการจัดการความรู้การสื่อสารเพื่อการพัฒนา (CCDKM) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อีก 6 คน รวมเป็น 12 คน ทุกคนล้วนมีความชื่นชอบในการทำอาหาร และใฝ่ฝันอยากเป็นเชฟมืออาชีพ

โครงการ “สานฝันปั้นเชฟ” มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้โอกาสเยาวชนที่เคยหลงผิดได้กลับตัว มีอาชีพสุจริตและสามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างมีคุณภาพ โดยมูลนิธิเชฟแคร์สสนับสนุนทุนการศึกษา และใช้สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์เป็นสถานที่จัดการเรียนการสอนตลอดหลักสูตร และหากเยาวชนรายใดมีความสามารถและมีความประพฤติดีก็จะได้รับโอกาสในการจ้างงานต่อไป

อนึ่ง โครงการเชฟแคร์ส เริ่มต้นดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เพื่อส่งมอบความห่วงใยแทนคำขอบคุณให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในสถานการณ์โควิด-19 ผ่านเมนูอาหารกลางวัน ที่รังสรรค์โดยเชฟยอดฝีมือระดับแถวหน้าของเมืองไทยหมุนเวียนกันเสิร์ฟเมนูรสชาติดีมีคุณค่าทางโภชนาการ และได้ต่อยอดสู่การจัดตั้ง “มูลนิธิเชฟแคร์ส์” ซึ่งมีเจตนารมณ์ในการส่งเสริมศาสตร์แห่งอาหารไทยที่ปรุงด้วยความพิถีพิถัน ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับโลก และจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคมได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนที่รักการปรุงอาหารได้เรียนรู้และเติบโตเป็นเชฟระดับแนวหน้าเช่นเดียวกับเชฟแคร์ส์ต้นแบบ ด้วยความหลากหลาย ความสร้างสรรค์และงดงาม ที่สุดจะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะสนับสนุนวิถีอาหารไทยให้ทั่วโลกได้รู้จักในฐานะศูนย์รวมศาสตร์ของอาหารที่ดีที่สุดของเอเซีย