Home Blog Page 97

บจ. mai รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 ยอดขายรวม 5.4 หมื่นล. กำไรสุทธิรวม 4.6 พันล.

0

บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 มียอดขายรวม 54,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% ต้นทุนขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 6.7% และ 6.4% ตามลำดับเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ บจ. มีความสามารถในการทำกำไรในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ดีขึ้น

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 211บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 220 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดยไตรมาส 1 ปี 2567 พบ บจ. รายงานกำไรสุทธิจำนวน 157 บริษัท คิดเป็น 73% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
ประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 ของ บจ. mai เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 54,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% มีต้นทุนขาย 39,077 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้น (GP) เพิ่มขึ้น 16.3% และมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 6.4% ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 5,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.2% และมีกำไรสุทธิ 4,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76.2% อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานสำหรับงวดไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ดังกล่าวเป็นผลจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนบางแห่งที่มีผลประกอบการที่โดดเด่น และการมีรายการกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงินและสินทรัพย์ดิจิทัล

 “บจ.ใน mai โดยภาพรวมมียอดขายเติบโตขึ้น มีความพยายามควบคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ทำให้ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 ของ บจ. mai มีผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยมีกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มบริการ ที่มียอดขาย กำไรจากการดำเนินงาน และกำไรสุทธิเติบโต” นายประพันธ์กล่าว

ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 346,672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากสิ้นปี มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.78 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 2566 ที่เท่ากับ 0.80 เท่า

ปัจจุบันมี บจ.ใน mai 221 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤษภาคม 2567) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 382.05 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 389,014 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1,860 ล้านบาทต่อวัน  

ซีพีเอฟ เดินหน้าช่วยคนตัวเล็กต่อเนื่อง เสริมทักษะคู่ค้าธุรกิจ ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตอาหารสู่มาตรฐานสากล

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าส่งเสริมและยกระดับขีดความสามารถคู่ค้าธุรกิจ อย่างต่อเนื่อง จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ Quality Day Together ติดอาวุธเพิ่มทักษะให้คู่ค้าธุรกิจ ที่เป็นผู้จัดหาวัตถุดิบอาหารให้บริษัทฯ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ให้มีแนวปฏิบัติที่ดีในการควบคุมคุณภาพและอาหารปลอดภัยขั้นสูง ตามมาตรฐานสากล และรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคทั่วโลก ช่วยสร้างโอกาสและ ขีดความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการ SMEs ไทยเติบโตสู่เวทีโลก

วิไลลักษณ์ คลอดเพ็ง ผู้บริหารสูงสุด สายงานประกันคุณภาพอาหารกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพคู่ค้าธุรกิจรายย่อยและกลุ่ม SMEs ซึ่งเป็นต้นทางการผลิตอาหารของซีพีเอฟมีขีดความสามารถสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างโอกาสและความสำเร็จอย่างยั่งยืน โดยในปีนี้ บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (BSI) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ Quality Day Together ให้ความรู้แก่คู่ค้าธุรกิจผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารในกลุ่มเครื่องปรุงและบรรจุภัณฑ์ ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจการประกันคุณภาพ หลักการวิเคราะห์ปัญหาในกระบวนการผลิต ตลอดจนสามารถกำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันปัญหาอย่างเป็นระบบตามหลักสากล เพื่อร่วมกันยกระดับการบริหารจัดการกระบวนการผลิตวัตถุดิบอาหารคุณภาพสูงและมีความปลอดภัยสอดคล้องมาตรฐานสากล

“การจัดกิจกรรมเพื่อมุ่งส่งเสริมให้ผู้บริหารและเจ้าของกิจการ SMEs ที่เป็นคู่ค้าธุรกิจ เห็นความสำคัญและพร้อมที่จะร่วมเดินเคียงคู่กับซีพีเอฟในการยกระดับมาตรฐานการผลิตและส่งมอบวัตถุดิบอาหารที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ทั้งมิติคุณภาพสินค้า และมิติความยั่งยืน ด้วยแนวคิด “สินค้าดี ย่อมมาจากวัตถุดิบที่ดี” เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นเลิศด้านอาหารแบะเติบโตไปด้วยกัน” นางวิไลลักษณ์กล่าว

ทั้งนี้ เพื่อยกย่องความสำเร็จของคู่ค้าธุรกิจ ซีพีเอฟได้มอบรางวัล Supplier Quality Engagement Awards 2023 เพื่อยกย่องคู่ค้า 3 ราย ได้แก่ บริษัท เอ็กซ์เซลแพ็คเกจจิ้ง จำกัด บริษัท เอ็ม พี ฟู้ด โปรดักชั่น จำกัด และ บริษัท ซีพี เฟรช จำกัด เป็นต้นแบบคู่ค้า SMEs ที่นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพวัตถุดิบจนสามารถส่งมอบสินค้าได้ตรงตามเกณฑ์มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้มอบรางวัลเพื่อแสดงความขอบคุณและสร้างแรงจูงใจให้กับคู่ค้า SMEs ที่ทุ่มเทและให้ความร่วมมือในการปรับปรุงพัฒนากระบวนการผลิตอย่างจริงจัง

ชัยทวี สมัญญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชัยเจริญ เฟรช จำกัด กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในวันนี้ เป็นประโยชน์กับคู่ค้ารายย่อยมี ในฐานะเป็นผู้ผลิตและจัดหาผักสดให้ซีพีเอฟที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความสด คุณภาพและความปลอดภัยจากสารตกค้างต่างๆ ช่วยให้ทีมงานของบริษัทนำความรู้ที่ได้ไปปรับปรุงการดำเนินงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานของซีพีเอฟ

ชัยทวี สมัญญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชัยเจริญ เฟรช จำกัด กล่าวว่า กิจกรรม Quality Together Day เป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ผลิตผักสดที่ต้องใส่ใจเรื่องคุณภาพ และความปลอดภัย ปลอดสาร ช่วยให้ผู้ประกอบการรายเล็กมีแนวปฏิบัติที่ดีในการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถส่งมอบสินค้าที่ตรงตามความต้องการของซีพีเอฟ

ไพศาล สมศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยิ่งไพศาลการเกษตร จำกัด กล่าวเสริมว่า ซีพีเอฟช่วยเหลือให้คู่ค้าที่เป็นเกษตรกรได้รับความรู้ด้านระบบมาตรฐานการผลิตระดับสากล และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในการผลิตและจัดหาสินค้าทางการเกษตรที่สด สะอาด ปลอดภัย ปลอดสาร ที่สำคัญช่วยลดปริมาณการสูญเสียจากสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ

ปฐวี มาไพศาลสิน ผู้จัดการฝ่ายประกันคุณภาพ บริษัท เอ็ม พี ฟู้ด โปรดักชั่น จำกัด กล่าวเพิ่มว่า ความรู้ที่ได้รับจากผู้เชี่ยวชาญช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารขนาดกลางมีหลักการในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างตรงจุด และสามารถปรับปรุงพัฒนาให้สินค้าตรงตามที่ลูกค้าต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุน และมีรายได้เพิ่มขึ้น

Quality Together Day จัดขึ้นภายใต้ โครงการ “PARTNER TO GROW…เติบโต เคียงข้าง อย่างยั่งยืน” ที่ดำเนินขึ้นต่อเนื่องปีที่ 2 เพื่อร่วมกันพัฒนาคู่ค้าธุรกิจ ครอบคลุมทั้งธุรกิจ SMEs ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ได้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันสูงขึ้น ดำเนินธุรกิจอย่างเป็นเลิศ มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบายด้านการจัดหาอย่างยั่งยืนของซีพีเอฟ หนุนธุรกิจเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน .

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก้าวสู่ปีที่ 50 ร่วมสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก้าวสู่ปีที่ 50 ของการดำเนินงาน กำหนดแนวคิด Make it “Work” for Every Future – ร่วมสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน มุ่งเน้นเดินหน้าสู่เป้าหมายอนาคต ในการยกระดับสู่ตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาค โดยขยายโอกาสระดมทุนสนับสนุนธุรกิจทุกขนาดจากทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่ บริษัทต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจในไทย SMEs Startups โดยเน้นสร้างศักยภาพในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ (New Economy) ต่อยอดจากจุดแข็งเดิมของประเทศ พร้อมพัฒนาตลาดทุนแบบดิจิทัลเข้ามาเสริมตลาดทุนดั้งเดิมที่มีความเข้มแข็งในปัจจุบัน นอกจากนี้ จะเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานและการกำกับดูแล และสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้วยเทคโนโลยี AI ขับเคลื่อนความยั่งยืนทุกมิติ นำไปสู่การขับเคลื่อนประเทศอย่างแข็งแกร่ง พร้อมสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อมและอนาคตของสังคมไทยอย่างยั่งยืน

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มเปิดให้มีการซื้อขายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2518 และก้าวสู่ปีที่ 50 ของการดำเนินงานในปีนี้ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งพัฒนาตลาดทุนไทยให้เป็นตลาดทุนแห่งอนาคตที่สนับสนุนผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่ม โดยกำหนดแนวคิดสำหรับการก้าวสู่ปีที่ 50 ว่า Make it “Work” for Every Future – ร่วมสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน ทั้งการสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่ตอบโจทย์เป้าหมายอนาคตของผู้ออมและผู้ลงทุน เป็นกลไกให้ภาคธุรกิจเข้าถึงโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว นำไปสู่การขับเคลื่อนประเทศอย่างแข็งแกร่ง พร้อมสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อม และอนาคตของสังคมไทยอย่างยั่งยืน

“มองไปในอนาคต ตลาดทุนจะยังพบความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องทั้งจากปัจจัยภายในและนอกประเทศ ความต้องการของภาคธุรกิจและผู้ลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป การแข่งขันที่เข้มข้น ตลอดจนเทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน โดยมองบทบาทที่จะเปลี่ยนไปและมุ่งสู่เป้าหมายอนาคต ใน 5 ด้าน 1) ยกระดับสู่ตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาค ทั้งในด้านการเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการเพิ่มเติมทางเลือกการลงทุนต่างประเทศผ่านกลไกตลาดทุนไทย 2) ขยายโอกาสการระดมทุน ให้บริษัททุกขนาดในภูมิภาค โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายทั้งบริษัทขนาดใหญ่ รวมถึงธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่ (Mega Family Business) บริษัทต่างชาติที่มีการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ (New Economy) และ SMEs Startups พร้อมส่งเสริมการพัฒนา Data Platform สำหรับบริษัทจดทะเบียน เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่มีคุณภาพ (Data Pools) นำมาต่อยอดเป็นข้อมูลเชิงวิเคราะห์ (Data Analytics) อาทิ Industry Highlights สำหรับเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตร 3) พัฒนาตลาดทุนแบบดิจิทัลเข้ามาเสริมตลาดทุนดั้งเดิมที่มีความเข้มแข็งในปัจจุบัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ระดมทุนและผู้ลงทุนยุคใหม่ 4) เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานและการกำกับดูแล และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุนที่แข็งแกร่ง โดยพิจารณาในการนำเทคโนโลยี AI และ Generative AI เข้ามาช่วยพัฒนางานในหลายด้านเพิ่มขึ้น เช่น ระบบกำกับดูแลการซื้อขายและบริษัทจดทะเบียน ระบบช่วยนักวิเคราะห์ในการจัดทำบทวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดเล็ก ระบบแปลเนื้อหาข้อมูลบริษัทจดทะเบียน หรือความรู้ด้านการลงทุนสำหรับผู้ลงทุนต่างชาติ รวมทั้งแนะนำบริการด้านต่าง ๆ ตามโจทย์พฤติกรรมผู้ลงทุน (Personalization) เป็นต้น และ 5) ขับเคลื่อนความยั่งยืน (Sustainability) ในทุกมิติ โดยมุ่งเน้นการเตรียม

บริษัทจดทะเบียน ผู้ลงทุน และบุคลากรตลาดทุน ให้พร้อมรองรับความท้าทายและโอกาสจากประเด็นความยั่งยืน และพัฒนาการของกฎเกณฑ์กำกับใหม่ ๆ อาทิ วิกฤตสภาพภูมิอากาศ (Climate Crisis) ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) และสิทธิมนุษยชน (Human Rights)” นายภากรกล่าว

ตลอด 5 ทศวรรษ ตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาธุรกิจและตลาดทุนต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยเป็นแพลตฟอร์มเพื่อการระดมทุนสำหรับธุรกิจทุกขนาดทั้งในภาวะปกติและวิกฤต ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนกว่า 850 บริษัท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมกว่า 17.4 ล้านล้านบาท จำนวนผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องล่าสุดที่กว่า 5.8 ล้านบัญชี และพัฒนาสินค้าบริการเพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุนทุกกลุ่ม รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงต่างประเทศในหลากหลายรูปแบบ อาทิ DR DRx ETF DW ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาด และสนับสนุนการทำงานของอุตสาหกรรมตลาดทุน ซึ่งรวมถึงการมีแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล ควบคู่การนำ ESG เป็นหลักในการดำเนินธุรกิจ และขับเคลื่อนตลาดทุนในมิติต่างๆ การให้ความรู้การเงินการลงทุน ดูแลสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมภาคสังคมให้เติบโตไปพร้อมกัน โดยปัจจุบัน บริษัทจดทะเบียนไทยเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนระดับสากล

ทั้งนี้ ระหว่างปี 2567-2568 ภายใต้วาระตลาดหลักทรัพย์ฯ ก้าวสู่ปีที่ 50 จะมีการจัดกิจกรรมถ่ายทอดพัฒนาการตลาดหลักทรัพย์ฯ อาทิ นิทรรศการ 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ห้องสมุดมารวย หนังสือ 50 ปี “5 Decades of SET” และจัดทำซีรีส์สื่อสารผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งส่งเสริม ESG ทั้งด้านการขับเคลื่อนภาคเอกชนสู่การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ด้านสังคมที่มีการดูแลกลุ่มเปราะบาง โดยสนับสนุนรถพยาบาลแก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เด็กและเยาวชนด้วย Financial Literacy และส่งเสริมสุขภาวะประชาชนผ่านกีฬาเทเบิลเทนนิส และด้านการส่งเสริม CG ภาคธุรกิจ การประกวดงานวิจัยด้าน ESG ที่จะมีขึ้นในปีนี้ รวมทั้งการจัดทำหนังสือเกี่ยวกับกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

เมืองไทยประกันชีวิต ยกทีมตัวแทนประกันเข้ารับรางวัล “ตัวแทนยอดเยี่ยมแห่งชาติ (National Agent Awards)” ครั้งที่ 24

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมแสดงความยินดีกับตัวแทนยอดเยี่ยม ในโอกาสคว้ารางวัล “ตัวแทนยอดเยี่ยมแห่งชาติ (National Agent Awards) ครั้งที่ 24 ประจำปี 2567” จัดขึ้นโดยสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน (THAIFA) ภายใต้ธีม “Gateway To Success” โดยมีตัวแทนประกันชีวิตของเมืองไทยประกันชีวิต ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้ จำนวน 33 รางวัล ซึ่งคุณวุฒิดังกล่าวถือเป็นความภาคภูมิใจ ในการสร้างผลงานที่มีมาตรฐาน พร้อมยกระดับให้ฝ่ายขายประสบความสำเร็จในอาชีพ ตามนโยบายหลักของบริษัทฯ ที่พร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป โดยมีนายศรายุธ ทินกร ณ อยุธยา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และคณะผู้บริหาร ร่วมแสดงความยินดี โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ ถ.อรุณอัมรินทร์ กรุงเทพฯ

ลงทุนเปลี่ยนชีวิต

0

“สุกฤต ศรีเอี่ยม“ หนึ่งในคนที่เคยมีชีวิตติดลบ เป็นหนี้จากการพนัน แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาพบชีวิตใหม่ คือการได้รู้จักการลงทุน และค้นพบว่าการลงทุนเป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่รวยก็ลงทุนได้ เพียงตั้งใจเรียนรู้

จุดเปลี่ยนในชีวิตของคุณสุกฤต มีอะไรให้เราได้เรียนรู้บ้าง ติดตามในคลิปนี้

ซีพีเอฟ – เขตหนองจอก กทม. เดินหน้าโครงการปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้น เพิ่มพื้นที่สีเขียวและความหลากหลายทางชีวภาพ

0

กรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานเขตหนองจอก ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ หนุนนโยบายปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้นของ กทม. สร้างพื้นที่สีเขียวเป็นกำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุง คิกออฟพัฒนาพื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของ กทม. สู่ “ศูนย์การเรียนรู้ ป่าฉลาดพลาดไม่ได้” เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งนันทนาการให้ประชาชนในพื้นที่

เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2567 นายไพโรจน์ จันทรอด ผู้อำนวยการเขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร เป็นประธานในกิจกรรม “KICK OFF ศูนย์การเรียนรู้ ป่าฉลาดพลาดไม่ได้” ร่วมกับ นายณฤกษ์ มางเขียว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จำกัด ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป ในกลุ่มของซีพีเอฟ พร้อมด้วย นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ คณะผู้บริหารกทม. และ ซีพีเอฟ ผู้อำนวยการโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 4 คณะครูและนักเรียน สมาชิกสภา กทม. เขตหนองจอก สส.กทม. ตลอดจนผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลลำผักชีและสุวินทวงศ์ ร่วมกันปลูกต้นไม้ บริเวณแปลงป่าสีสันพรรณไม้ดอก พื้นที่ข้างโรงเรียนบดินทรเดชาฯ 4 แขวงลำต้อยติ่ง สนับสนุนเป้าหมาย กทม. ปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้น และร่วมฉลอง “วันความหลากหลายทางชีวภาพ” 22 พฤษภาคมของทุกปี

นายไพโรจน์ จันทรอด ผู้อำนวยการเขตหนองจอก เปิดเผยว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด กทม. ร่วมกับภาคเอกชนและประชาชน ปลูกต้นไม้เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศเมืองที่ดี ทั้งในพื้นที่ความรับผิดชอบของ กทม. พื้นที่สาธารณะ สถานประกอบการ บ้านเรือนประชาชน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวเป็นกำแพงต้นไม้กรองฝุ่นทั่ว กทม. และยังเป็นการช่วยบรรเทาผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน ซึ่งพื้นที่ทำกิจกรรมในวันนี้ เป็นพื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่มีการใช้ประโยชน์ รวมทั้งหมด 16 ไร่ ซึ่ง กทม. และภาคเอกชน คือ ซีพีเอฟ มีแผนในการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งสำหรับประชาชนใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นต่อไป

“ขอขอบคุณซีพีเอฟ ที่ร่วมมือกับเขตหนองจอก กทม. มาปลูกป่าในวันนี้ เป็นการสร้างปอดให้กับคนกรุงเทพ และยังคืนประโยชน์กลับสู่สังคมด้วย” ผู้อำนวยการเขตหนองจอก กล่าว

ด้าน นายณฤกษ์ มางเขียว กล่าวว่า ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของการตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นทางของการสร้างความมั่นคงทางอาหาร มุ่งมั่นมีส่วนร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ สอดรับกับเป้าหมาย SDGs ข้อ 13 รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ ข้อ 15 ปกป้อง ฟื้นฟูและสนับสนุนการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน และหยุดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

นายกฤษณ์ ศรีเคลือบ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบดินทรเดชาฯ 4 กล่าวว่า ความร่วมมือในกิจกรรมปลูกต้นไม้ในวันนี้ จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับคน กทม. ช่วยลดโลกร้อน และบรรเทาปัญหาภาวะก๊าซเรือนกระจก อยากเชิญชวนให้ทุกคนร่วมกันปลูกต้นไม้เพื่อสร้างอากาศที่ดี เช่นเดียวกับ นางสาวลภาภัทร จ้ำเหล่ นักเรียนชั้นเดียวกัน เสริมว่ากิจกรรมนี้ยังช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวรอบๆโรงเรียนของเราและแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ ที่สำคัญพื้นที่ปลูกต้นไม้อยู่ใกล้โรงเรียน ทำให้พวกเรามีโอกาสที่จะมาช่วยดูแลให้ต้นไม้เจริญเติบโต

ในส่วนของ ซีพีเอฟ มีโครงการด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งเพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู ปลูกป่าใหม่ เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าต้นน้ำและป่าชายเลน รวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในสถานประกอบการ อาทิ โครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง จังหวัดลพบุรี โดยต้นทางของกล้าไม้ที่นำมาปลูกในเขตหนองจอก จำนวน 35 ชนิด รวมกว่า 600 ต้น มาจากพื้นที่โครงการฯ ดังกล่าว ด้วยการคัดเลือกชนิดพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมกับพื้นที่ลุ่มต่ำของ กทม. เป็นพันธุ์ไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจ ดูแลให้แกร่งโดยชุมชน เป็นการส่งเสริมชุมชนรักษาป่าและมีรายได้จากการเพาะพันธุ์กล้าไม้ นอกจากนี้ ยังเป็นการสานต่อกิจกรรมนำร่องเมื่อ ปี 2565 ซึ่งบริษัทฯได้นำกล้าไม้มาแจกให้แก่คนใน กทม. นำไปปลูกในพื้นที่อยู่อาศัย ปัจจุบัน กิจการในประเทศไทยและกิจการต่างประเทศ (ข้อมูลจาก 8 ประเทศ) ของซีพีเอฟ ดำเนินการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และปลูกป่าใหม่ไปแล้วกว่า 6.85 ล้านต้น บนพื้นที่ 19,932 ไร่ ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 4.8 หมื่นตันต่อปี

ซีพีเอฟ-คอนเน็กซ์ อีดี ร่วมมอบโอกาสให้น้องๆ “รร.บ้านพิชิตคเชนทร์” หนุนผลสัมฤทธิ์การเรียน

0

ความคาดหวังพัฒนา “ห้องเรียน” ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และคุณครูมีสื่อการสอนที่ใช้ในกิจกรรมสำหรับการเรียนรู้เชิงรุก เป็นเป้าหมายหลักที่ “โรงเรียนบ้านพิชิตคเชนทร์” อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา คิด “โครงการห้องเรียนคุณภาพเพื่อส่งเสริมกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)” โดยได้รับการสนับสนุนงบจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว ในปีการศึกษา 2566 ที่ผ่านมา จากการที่ รร. เป็น 1 ใน 302 โรงเรียน ในความดูแลของซีพีเอฟ ภายใต้โครงการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED

รร.บ้านพิชิตคเชนทร์ เป็นโรงเรียนขนาดกลาง จำนวนนักเรียน 340 คน ครูและบุคลากร 21 คน เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปัจจุบัน มีนายอำนาจ บรรจงรอด ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่โรงเรียนจะได้รับการสนับสนุบงบจากซีพีเอฟ โรงเรียนมีข้อจำกัด อาทิ คุณครูขาดความเข้าใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) งบประมาณในการจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ สื่อการเรียนรู้มีจำกัด นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้

ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนจึงได้นำงบที่ได้รับจากซีพีเอฟ ภายใต้โครงการคอนเน็กซ์ อีดี จัดซื้อสื่อและอุปกรณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน เช่น นักเรียนชั้น ป.1 จัดให้มีกิจกรรมเกมบัตรคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ทำให้นักเรียนได้รู้เกี่ยวกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษมากขึ้น ฝึกพูดและสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษจากบัตรคำ ชั้น ป.4- 6 Dictionary พจนานุกรมภาษาอังกฤษ – ไทย สามารถใช้พจนานุกรมในการค้นหาความหมายของคำศัพท์ได้ด้วยตนเอง ใช้พจนานุกรมในการตรวจสอบการออกเสียงให้ถูกต้อง ได้ฝึกทักษะการพูด การอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ จากการใช้พจนานุกรม สื่อโมเดลเรขาคณิตสามมิติ ทำให้นักเรียนรู้จักชนิดของรู ปทรงเรขาคณิตสามมิติ พร้อมทั้งรูปคลี่ของเรขาคณิตสามมิติ เป็นต้น

น.ส.กมลชนก สุกแสง คุณครู รร.บ้านพิชิตคเชนทร์ รับผิดชอบโครงการ Active Learning กล่าวว่า สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ ที่โรงเรียนนำมาใช้ ทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมีคุณภาพมากขึ้น ตรงกับความต้องการตามแผนการดำเนินงานในโครงการห้องเรียนคุณภาพที่ส่งเสริมกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) นักเรียนได้รับการส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยมีคุณครูเป็นผู้ชี้แนะ ส่งผลให้ผู้เรียนมีระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น

เปิดเทอมใหม่แล้ว น้องๆรร.บ้านพิชิตคเชนทร์ มาถึงโรงเรียนด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส หลายคนรีบตรงดิ่งมาที่ห้องเรียนของตัวเอง สนุกสนานกับการเรียนที่มีสื่อและอุปกรณ์ประกอบ

ด.ญ.วรัญญา ดึงกระโทก นร.ชั้นป. 4 เล่าว่า มีความสุขที่ได้มาโรงเรียน ที่ห้องเรียนคุณครูมีเกมสนุกๆ ให้เล่นในวิชาภาษาไทย ด้าน ด.ช. ณภัทร อินทร์กิ่ง นร.ชั้น ป. 5 บอกว่า ที่ห้องเรียนมีสื่อการสอนที่คุณครูเตรียมไว้ให้อย่างน่าสนใจ มีเกมที่เล่นแล้วได้รับความรู้และยังสนุกสนาน เช่น เกมบิงโกคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ขณะที่ พี่ๆ นร.ชั้นป. 6 ด.ญ.กนกรัตน์ ตองติดรัมย์ เล่าประสบการณ์ที่โรงเรียนได้รับการสนับสนุนในโครงการ Active Learning ทำให้พวกเรามีโอกาสได้เรียนรู้ในกิจกรรมต่างๆ จากสื่อและอุปกรณ์ที่เป็นประโยชน์ มีความสนุกสนานในการเรียน และมีความสุขที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ ในชั้นเรียน

วันนี้ …. รร.บ้านพิชิตคเชนทร์ บรรลุเป้าหมายพัฒนา”ห้องเรียน” ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ในรูปแบบของ Active Learning เป็นอีกหนึ่งโรงเรียนที่ได้รับโอกาสดีๆ จากการเข้าร่วมโครงการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED ที่มุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งของยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย สู่รากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน

เมืองไทยประกันชีวิต คว้าตำแหน่งสุดยอดแบรนด์ทรงอิทธิพลต่อผู้บริโภคแห่งปี “2023 Asia’s Top Influential Brands”

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL ตอกย้ำนโยบายการบริหารงานเพื่อการเป็นผู้นำธุรกิจการประกันชีวิตในระดับภูมิภาค ที่มีความแข็งแกร่งทั้งทางด้านการเงิน การบริการ และภาพลักษณ์ ภายใต้หลักธรรมาภิบาล และระบบการบริหารความเสี่ยงระดับมาตรฐานสากล  โดยเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง  เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการที่เหมาะสมในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน  และเติมเต็มชีวิตของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ตลอดช่วงชีวิต  ตลอดจนการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนพร้อมทั้งมุ่งมั่นที่จะส่งมอบความสุขแก่ลูกค้า พนักงานพันธมิตรทางธุรกิจ ผู้ถือหุ้น และสังคม  จากนโยบายดังกล่าวทำให้บริษัทฯ  ได้รับรางวัล “2023 Asia’s Top Influential Brands”  สุดยอดแบรนด์ทรงอิทธิพลต่อผู้บริโภค ต่อเนื่องปีที่ 3  ซึ่งจัดขึ้นโดย บริษัท อินฟลูเอ็นเชี่ยล แบรนด์ ประเทศสิงคโปร์ เป็นองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ในเอเชียมายาวนานกว่า 20 ปี   ร่วมกับ บริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จำกัด  เพื่อค้นหาสุดยอดแบรนด์ที่ครองใจผู้บริโภคในอุตสาหกรรมต่าง ๆ จำนวน 7 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ประกอบด้วย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน และไทย  ทั้งนี้  อินฟลูเอ็นเชี่ยล แบรนด์ และนิโอ ทาร์เก็ต ได้ทำการสำรวจความเห็นของผู้บริโภค กลุ่มมิลเลนเนียล (Millennial)  เพราะเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยมีสัดส่วนการใช้จ่ายสูงสุด ให้ระดับความเชื่อมั่นที่แม่นยำ และสามารถสะท้อนถึงมุมมองและความพึงพอใจต่อแบรนด์ได้ 

การมอบรางวัลเกียรติยศ “2023 Asia’s Top Influential Brands”  สุดยอดแบรนด์ทรงอิทธิพลต่อผู้บริโภค  แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน     การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการดำเนินงานเพื่อนำเสนอด้านผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม  การให้บริการที่มีประสิทธิภาพแก่ลูกค้าผู้เอาประกันภัย  ตลอดจนการมุ่งมั่นเพื่อเป็นบริษัทฯประกันชีวิตที่มีความมั่นคงแข็งแกร่ง และการให้บริการที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ตลอดจนการดำเนินงานเพื่อตอบแทนสังคมอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม  ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความยั่งยืนที่แท้จริง ในโอกาสนี้ นางสาวนิรัตน์  บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนบริษัทฯ ขึ้นรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้   โดยมี มร.จอร์จ  โรดิกัส กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟลูเอ็นเชี่ยล แบรนด์  ประเทศสิงคโปร์ และนางวรรณี ลีลาเวชบุตร ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จํากัด ประเทศไทย  ร่วมแสดงความยินดี  ณ โรงแรมชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ.

AIS ZEED จับมือ Shopee แจกโค้ดส่วนลดพิเศษไม่มีขั้นต่ำ ให้ช้อปไอเทมเด็ดกลับไปเรียน ต้อนรับเปิดเทอม

0

AIS ZEED 5G ตอกย้ำแบรนด์ที่ครองใจกลุ่มวัยทีน ล่าสุดจับมือกับยักษ์ใหญ่ด้านแพลตฟอร์ม E-Commerce ชั้นนำอย่าง Shopee เอาใจขาช้อปต้อนรับเทศกาล Back to School อัดแคมเปญ “แจกโหด ไม่มีขั้นต่ำ วัยทีนช้อปฉ่ำ” ให้ลูกค้า AIS ZEED 5G ทั้งเติมเงินและรายเดือนที่เปิดเบอร์ใหม่ พร้อมสร้างบัญชีใหม่บน Shopee รับทันทีโค้ดส่วนลดจาก Shopee 50% ลดสูงสุดถึง 300 บาท ให้ช้อปปิ้งสินค้า ชุดนักเรียน รองเท้า เครื่องเขียน และสินค้าสำหรับนักเรียนมากมาย ไม่มียอดขั้นต่ำในการสั่งซื้อ ช้อปได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2567

นางเบญจพร กำเพ็ชร หัวหน้าส่วนงานการตลาดกลุ่มลูกค้าพรีเพด AIS กล่าวว่า “เพื่อเป็นการตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มทีนของ AIS ZEED 5G ทำให้ที่ผ่านมาเรานำเสนอสินค้า บริการ และสิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ในทุกมิติ รวมถึงครั้งนี้เราทำงานร่วมกับ Shopee แพลตฟอร์ม
E-Commerce ชั้นนำของไทย เพื่อร่วมกันส่งมอบประสบการณ์การใช้งานดิจิทัลและการช้อปปิ้งผ่านสิทธิพิเศษแบบจัดเต็มในครั้งนี้ รวมถึงในช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นช่วง Back to School หรือการกลับมาเปิดเทอมของโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทำให้ความร่วมมือครั้งนี้จึงไม่ได้ตอบโจทย์เพียงแค่การใช้งานดิจิทัลของกลุ่มวัยทีนเท่านั้น แต่ยังเป็นการแบ่งเบาภาระให้ผู้ปกครอง และน้องๆ นักเรียน ได้รับส่วนลดจากการช้อปปิ้งสินค้าที่ต้องใช้ในช่วงเปิดเทอม อาทิ ชุดนักเรียน รองเท้า หรือแม้แต่เครื่องเขียน แบบเรียน ต่างๆ อีกด้วย”

ด้าน นายการัน อำบานี ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ช้อปปี้ มีความรู้สึกยินดีที่ได้เริ่มต้นความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่กับเอไอเอสอีกครั้งในโครงการ Back to School เพื่อให้สมกับความตั้งใจ ในฐานะอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 ครองใจนักช้อปชาวไทย เรามีจุดมุ่งหมายและความทุ่มเทอย่างลึกซึ้ง ในยุคที่การตอบสนองความต้องการเร่งด่วนในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันในโลกดิจิทัลในปัจจุบันที่เพิ่มมากขึ้น เราขอร่วมมอบโปรโมชั่นเพื่อการช้อปสนุกกว่า คุ้มค่า และครบครันบนช้อปปี้ และขอเชิญนักเรียน นักศึกษา และชุมชนทั่วประเทศมาร่วมกันสร้างประสบการณ์ที่ทุกคนมีโอกาสเติบโตและประสบความสำเร็จ ด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษของ AIS ZEED 5G บนแพลตฟอร์มของเรา”

โดยแคมเปญ แจกโหด ไม่มีขั้นต่ำ วัยทีนช้อปฉ่ำ เป็นการมอบความพิเศษให้กับลูกค้าที่เปิดเบอร์ใหม่กับแพ็กเกจ ZEED ทั้งเติมเงิน ZEED 5G Sim พร้อมสมัครแพ็กเกจเสริม ตั้งแต่ 200 บาทขึ้นไป รวมถึงลูกค้ารายเดือนและย้ายค่าย พร้อมสมัครแพ็กเกจ ZEED 5G ตั้งแต่ 299 บาทขึ้นไป รับโค้ดส่วนลด Shopee 50% แบบไม่มีขั้นต่ำ สูงสุด 300 บาท ลูกค้าตั้งแต่อายุ 12-24 ปี เพียงเปิดบัญชีใหม่บน Shopee รับความพิเศษได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2567 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ได้ที่ https://shopee.co.th/ais_official

AIS เตือนภัย 2 มุกใหม่มิจฉาชีพ อย่าหลงเชื่อกลโกง

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า AIS แจ้งเตือนภัยร้ายมิจฉาชีพ ใช้มุกกลลวงใน 2 รูปแบบ ที่กำลังระบาดในขณะนี้ ได้แก่

แก๊งคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นพนักงาน AIS สร้างเรื่องหลอกลวงผู้ใช้งาน โดยใช้เบอร์มือถือ 0XX-XXXXXXX โทรหาลูกค้าแจ้งว่า มีข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า อาทิ ชื่อ ที่อยู่ บัตรประชาชน ไปเปิดเบอร์และดำเนินการผิดกฎหมาย โดยมิจฉาชีพบางรายบอกชื่อ ที่อยู่ เลขบัตรประชาชนของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง จนอาจทำให้ลูกค้าหลงเชื่อ จากนั้นมิจฉาชีพจะหลอกว่า ต้องโอนสายไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลของลูกค้า เป็นต้น ซึ่งถือเป็นจุดที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อลูกค้าทั้งในแง่การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และ สูญเสียทรัพย์สิน AIS จึงขอย้ำเตือนลูกค้าอย่าหลงเชื่อการแอบอ้างในลักษณะนี้ พร้อมยืนยันว่า บริษัทฯ จะติดต่อลูกค้าผ่านเบอร์ 1175 เท่านั้น และไม่มีนโยบายขอข้อมูลส่วนบุคคลหรือแจ้งการกระทำความผิดในทุกช่องทางและทุกรูปแบบ

SMS ข้อความสแปม แนบลิงก์ปลอม ลวงให้กด โดยมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อผู้ส่ง (Sender Name) เป็นเบอร์มือถือ หรือ SMS หรือ AIS เป็นข้อความในลักษณะว่า “…คะแนนเอไอเอส พอยท์ของลูกค้ากำลังจะหมดอายุภายใน 3 วัน ให้รีบดำเนินการแลกคะแนน…” จากนั้นแนบลิงก์ให้กดไปยังเว็บไซต์ปลอม เพื่อหลอกขอข้อมูลสำคัญของลูกค้าอันอาจนำไปสู่ความเสี่ยงในการสูญเสียทรัพย์สิน หรือ ความเสียหายอื่นๆ ซึ่ง บริษัทฯ ขอยืนยันว่าการสื่อสารในส่วนของการตรวจสอบ หรือ แลกคะแนนของเอไอเอส พอยท์ สามารถทำได้บนช่องทางแอปพลิเคชัน myAIS เท่านั้น บริษัทฯ ไม่มีนโยบายส่ง SMS เพื่อให้ลูกค้ากรอกข้อมูลส่วนบุคคลหรือเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมแต่อย่างใด
ทั้งนี้หากพบความผิดปกติของเบอร์โทร หรือ SMS ข้อความ ที่ติดต่อเข้ามา สามารถแจ้งผ่านสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center ได้ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง โดย AIS จะตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป