Home Blog Page 88

“สาระ ล่ำซำ” คว้ารางวัลสุดยอดซีอีโอ ขวัญใจสื่อมวลชน จากงานประกาศรางวัล CEO Econmass Awards 2022

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับรางวัลเกียรติยศ “สุดยอดซีอีโอ ประเภทขวัญใจสื่อมวลชน ประจำปี 2565” (CEO Econmass Awards 2022 : Popular Vote) จากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในงานประกาศรางวัล CEO Econmass Awards 2022 จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รางวัลดังกล่าวได้รับจากการคัดเลือกและการโหวตของสื่อมวลชนที่เป็นสมาชิกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจจำนวน 456 ราย โดยงานจัดขึ้น ณ โรงละครอักษรา คิง พาวเวอร์

ซีพีเอฟ ฟิลิปปินส์ หนุนสร้างความมั่นคงทางอาหาร ช่วยเกษตรกรรายย่อย​เพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงสัตว์ปลอดภัย

บริษัท ซีพีเอฟ ฟิลิปปินส์ คอร์ปอเรชั่น สานต่อความร่วมมือกับ กระทรวงเกษตรแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งฟิลิปปินส์ (Development Bank of the Philippines : DBP) ในการดำเนินโครงการสนับสนุนเงินทุน และความรู้ด้านการจัดการฟาร์มที่ดี รวมถึงการป้องกันโรคให้กับเกษตรกรขนาดกลาง และรายย่อยของฟิลิปปินส์ได้เพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงสัตว์ ในการยกระดับภาคปศุสัตว์ และการเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศ
อุดมศักดิ์ อักษรภักดี กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ ฟิลิปปินส์

นายอุดมศักดิ์ อักษรภักดี กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ ฟิลิปปินส์ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับภาครัฐในการฟื้นฟูห่วงโซ่การผลิตสุกรในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากโรคระบาด ภายใต้โครงการโครงการ “การให้เครดิตเพื่อฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมสุกร” หรือ โครงการ สุกร R3 (Swine Rehabilitation, Repopulation and Recovery Credit” or Swine R3 program) ซึ่งเริ่มดำเนินการในปี 2564 เพื่อให้สินเชื่อสนับสนุนเกษตรกรขนาดกลางและรายย่อยในการยกระดับระบบความปลอดภัยทางชีวภาพในฟาร์มสุกร ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการต่อยอดความสำเร็จของโครงการดังกล่าวสู่ภาคการปศุสัตว์ และการเลี้ยงสัตว์น้ำอื่นๆ ทั่วประเทศ

ในปีนี้ หน่วยงานทั้งสามฝ่ายระหว่างกระทรวงเกษตร สถาบันการเงิน และซีพีเอฟอยู่ระหว่างการร่างแผนงาน กำหนดกฎระเบียบ ขอบเขตการดำนินงาน และยุทธศาสตร์สำคัญร่วมกัน นายอุดมศักดิ์ ยังได้อธิบายว่า ซีพีเอฟ ฟิลิปปินส์จะนำองค์ความรู้ นวัตกรรม และความสำเร็จจากโมเดลธุรกิจการเลี้ยงสัตว์บก และสัตว์น้ำ รวมถึง นำรูปแบบโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกรรายย่อย ในประเทศไทยมาประยุกต์ใช้กับการสนับสนุนเกษตรกรชาวฟิลิปปินส์ ในการพัฒนาฟาร์มให้ทันสมัย มีระบบความปลอดภัยทางชีวภาพช่วยป้องกันการเกิดโรระบาด นำไปสู่การผลิตอาหารปลอดภัย และความมั่นคงทางอาหารให้กับผู้บริโภคภายในประเทศ

“โครงการนี้ช่วยให้เกษตกรรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ด้วยการอุดหนุนเงินสินการเกษตร รวมถึงสนับสนุนช่องทางตลาด และให้ความช่วยเหลือ ชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญ ช่วยให้เกษตรกรฟิลิปปินส์สามารถผลิตอาหารที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย นำไปสู่การเติบโตของภาคปศุสัตว์อย่างยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ และยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารอีกด้วย” นายอุดมศักดิ์ กล่าว

โครงการสอดคล้องกับหลัก “3 ประโยชน์” สู่ความยั่งยืน ซึ่งเป็นปรัชญาที่บริษัทยึดมั่นและนำไปปรับใช้กับทุกประเทศที่ซีพีเอฟเข้าไปดำเนินธุรกิจ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศ ประโยชน์ของประชาชน ก่อนประโยชน์ขององค์กรและพนักงาน

เซเว่นฯ​ ประกาศ 20 ชื่อคว้ารางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2022”

“เซเว่น อีเลฟเว่น” ผนึก สสว.และ กสอ.ประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2022”อย่างเป็นทางการ เผยมีเอสเอ็มอีไทยศักยภาพได้รับรางวัลทั้งสิ้น 20 ราย จาก 8 ประเภทรางวัล หวังสร้างพลังขับเคลื่อนให้ธุรกิจเอสเอ็มอีไทยสู่สากล เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เปิดตัว 2 ประเภทรางวัลใหม่ “SME The Legend” และ “SME Young Entrepreneur” เชิดชูเอสเอ็มอีทั้งกลุ่มกิจการเป็นที่รู้จักกว่า 30 ปี และเอสเอ็มอีผู้ประกอบการอายุน้อย ที่มุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและรักษาคุณภาพมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง หลากแบรนด์ดัง ปังสยาม-ถ้วยทอง-ตะขาบ 5 ตัว ร่วมติดโผ

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่นอีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า เซเว่น อีเลฟเว่น พร้อมด้วย 2 หน่วยงานพันธมิตร สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.)ได้ร่วมกันพิจารณาเอสเอ็มอีมากกว่า 1,000 รายอย่างเข้มข้น ผ่านผลงาน 3 ปีล่าสุด เพื่อค้นหาผู้ได้รับรางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2022” รางวัลที่มุ่งเชิดชูผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทุกกลุ่มสินค้า ในการเดินหน้าพัฒนาธุรกิจและยกระดับคุณภาพสินค้าของตนเองสู่มาตรฐานสากลสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ล่าสุด บริษัทได้สรุปรายชื่อผู้ได้รับรางวัลประจำปีนี้แล้วทั้งสิ้นจำนวน 20 รางวัล จากรางวัลทั้งหมด 8 ประเภท

“ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียุคปัจจุบันมีความหลากหลายมากขึ้น ปีนี้เราจึงเพิ่มประเภทรางวัลใหม่ขึ้นมาอีก 2 ประเภท ได้แก่ SME The Legend และ SME Young Entrepreneur รางวัลแรกจะมอบให้กับแบรนด์ดังระดับตำนานที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ที่ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าและรักษาคุณภาพมาตรฐาน ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีและต่อเนื่อง ส่วนรางวัลใหม่รางวัลที่สอง จะเน้นมอบให้แก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีอายุน้อยกว่า 45 ปี หรือเป็น     เจเนอเรชั่นแรก ที่มีความโดดเด่นในการทำตลาดและพัฒนาคุณภาพสินค้าอย่างต่อเนื่อง เมื่อรวมกับประเภทรางวัลเดิม จะช่วยให้เราเชิดชูและส่งเสริมเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

สำหรับรายชื่อเอสเอ็มอีที่ได้รับรางวัลทั้ง 8 ประเภท รวมจำนวน 20 รางวัล ประกอบด้วย

  • 1. SME ยั่งยืน ได้แก่
    • ผลิตภัณฑ์เยลลี่ “จอลลี่แบร์” จาก ห้างหุ้นส่วนจำกัด อยู่แสงฟ้าโปรดัคส์
    • ผลิตภัณฑ์ขนมและของเล่น “โอเดนย่าและสแนคทาวน์” จาก บริษัท เอสพีอาร์ ฟู๊ด อินดัสทรี จำกัด
    • ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องเขียน “KIAN-DA” จาก บริษัท บีซีแอล 2002 จำกัด
  • 2. SME The Legend ได้แก่
    • ผลิตภัณฑ์เค้กโบราณ “ปังสยาม” จาก บริษัท สยามรุ่งเรืองฟู้ด แอนด์ เบเกอรี่ จำกัด
    • ผลิตภัณฑ์ยาหม่อง ยาหม่องน้ำ ยาแก้แพ้ “ตราถ้วยทอง” จาก บริษัท ถ้วยทองโอสถ จำกัด
    • ผลิตภัณฑ์ยาอมแก้ไอ “ตราตะขาบ 5 ตัว” จาก บริษัท ห้าตะขาบ (ซิมเทียนฮ้อ) จำกัด
  • 3. SME ดาวรุ่ง ได้แก่
    • ผลิตภัณฑ์ขนมไดฟูกุ “โทกาจิ” จาก บริษัท ซันฟลาว โทกาจิ ฟู๊ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
    • ผลิตภัณฑ์เบเกอร์รี่ สไตล์โฮมเมด จาก บริษัท โบว์เบเกอรี่เฮ้าส์ จำกัด
    • ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง “SOQU และ LALIO” จาก บริษัท มิส เครยอน จำกัด
  • 4. SME Young Entrepreneur ได้แก่
    • ผลิตภัณฑ์เยลลี่บุกสไตล์ญี่ปุ่น “ซันซุ” จาก บริษัท ซันซุโซลูชั่น จำกัด
    • ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง “Sistar” จาก บริษัท เบสท์ แอนด์ บิลเลี่ยน บิวตี้ จำกัด
    • ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง “อีฟอะโรส และ แม่จ๋า” จาก บริษัท ยูดี-ดีไซน์เฮลท์แอนด์บิวตี้ จำกัด
  • 5. SME สินค้าเกษตร ได้แก่
    • ผลิตภัณฑ์ผักสด จาก บริษัท สุวรรณ เอิร์ธ จำกัด
    • ผลิตภัณฑ์ผลไม้ตัดแต่งพร้อมทาน ชุดพร้อมปรุง กิมจิ จาก บริษัท ทริปเปิ้ล เฟรช จำกัด
    • ผลิตภัณฑ์มะขามแปรรูป แบรนด์ จี๊ดจ๊าดจาก บริษัท 3เอ็ม ฟูด โปรดัก จำกัด
  • 6. SME ผู้ประกอบการชุมชน ได้แก่
    • ผลิตภัณฑ์ กิ๊ฟ ยางรัดผม ที่คาดผม จาก บริษัท ออลคิงส์วัน จำกัด
  • 7. SME ความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่
    • ผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรส์ “all season” จาก บริษัท เซาท์เทิร์นแดรี่ จำกัด
    • ผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์หัวหอมออร์แกนิค จาก บริษัท วันเวนเชอร์ จำกัด
    • ผลิตภัณฑ์น้ำแข็งลักชัวรี่ไอซ์ 1.5 กก. จาก บริษัท โรงน้ำแข็งไพฑูรย์(1999) จำกัด
  • 8. SME ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ได้แก่
    • ผลิตภัณฑ์ยาหอมเทพจิตร “ตราห้าม้า” จาก บริษัท ห้าม้าโอสถ จำกัด

นายยุทธศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า รากฐานเศรษฐกิจของประเทศจะแข็งแกร่งได้นั้น ต้องอาศัยธุรกิจเอสเอ็มอีในการช่วยขับเคลื่อนเป็นสำคัญ เซเว่น อีเลฟเว่น ในฐานะหนึ่งในผู้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีผ่านกลยุทธ์ 3 ให้ 1.ให้ช่องทางขาย 2.ให้ความรู้ และ 3.ให้การเชื่อมโยงเครือข่าย มาตลอด จึงอยากขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมเชิดชูเกียรติเอสเอ็มอีที่สามารถยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า เชื่อมั่นว่ารางวัลเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์และต่อยอดโอกาสให้แก่ผู้ที่ได้รับรางวัลทุกประเภท และเป็นต้นแบบให้แก่เอสเอ็มอีรายอื่นๆ ตลอดจนคนรุ่นใหม่ในการพัฒนาสินค้าและธุรกิจของตนเองในอนาคต โดยจะจัดพิธีมอบรางวัลอย่างเป็นทางการเร็วๆนี้

ตลท.​ จัดสัมมนา SET Sustainability Forum ครั้งแรกของปี​ 66 เปิดเทรนด์​ บจ.ไทยรับมือการเปลี่ยนแปลงด้าน ESG

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดสัมมนา “SET Sustainability Forum” ประจำปี 2566 ในวันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ นี้ โดยผู้เชี่ยวชาญจากภาคส่วนต่างๆ เจาะประเด็นแนวโน้มด้านความยั่งยืน (ESG Trends) ที่สำคัญ และส่งผลกระทบต่อการกำหนดทิศทางธุรกิจ การบริหารความเสี่ยง และการลงทุน

งานสัมมนา “SET Sustainability Forum” จัดขึ้น โดยมีนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษ “Sustainability Transformation – the Real Test for Leadership” พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญด้าน ESG ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและชี้ถึง ESG Trends ที่สำคัญ ดังนี้

  • การปรับตัวของภาครัฐในมิติสิ่งแวดล้อม สืบเนื่องจากประชุม COP26/COP27 ที่ส่งผลต่อภาคธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะด้านกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสของธุรกิจ
  • ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างมาก
  • ความสำคัญของข้อมูล ESG ต่อผู้ลงทุน ซึ่งเป็นปัจจัยกำหนดกลยุทธ์การลงทุนของผู้ลงทุนทั่วโลก 
  • ความเสี่ยงด้าน ESG ที่ผู้นำทุกภาคส่วนควรรู้และให้ความสำคัญ ซึ่งครอบคลุมถึงการปรับตัวของธุรกิจ บทบาทของคณะกรรมการ การนำเครื่องมือมาใช้ประเมินความเสี่ยง รวมถึงมุมมองจากผู้ลงทุนสถาบัน

นายประสาร เปิดเผยว่า ปี 2566 เป็นปีที่ภาคธุรกิจไทยต้องการภาวะผู้นำมากที่สุด เนื่องจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมรุนแรงซับซ้อนยิ่งขึ้น ส่งผลกระทบต่อเนื่องและใกล้ตัวเข้ามาทุกที อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีศักยภาพและข้อได้เปรียบ หากไม่เร่งปรับตัวจะเสียโอกาสและขีดความสามารถในการแข่งขันในที่สุด ที่สำคัญ ปัจจัยความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนให้ทันเวลา คือ ผู้นำองค์กรต้องเป็นผู้นำที่มององค์รวม คือ ทั้ง E, S และ G ผู้นำที่พร้อมลงมือทำสามารถนำพาองค์กรเรียนรู้เท่าทันโลก และสามารถทำงานกับทุกฝ่าย เพื่อสานพลังพลิกสถานการณ์หรือสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรม 

“นี่คือ บททดสอบของผู้นำที่แท้จริง ณ ทางแยกที่เราต่างเผชิญร่วมกันอยู่ในวันนี้ ทางหนึ่งคือ Business as Usual หรือคิดว่า อีกตั้งหลายบริษัทก็ยังไม่ได้เริ่ม เราก็ยังไม่ต้องทำหรอก… หรือเราจะเป็นผู้นำที่เล็งเห็นว่า จริงๆ แล้ว บริษัทเราลดการใช้ทรัพยากรและพลังงานลงได้อีกมาก… บริษัทเราช่วยสังคมพัฒนาคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพได้ผ่านสวัสดิการพนักงานที่ดูแลไปจนถึงลูกเขาในช่วงอายุต่างๆ” 

ในส่วนของตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนเห็นถึงความสำคัญและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียอย่างต่อเนื่อง โดยการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ อัปเดตทิศทาง ESG Trends และสร้างเครือข่ายบุคลากรที่ทำงานด้านความยั่งยืนในตลาดทุนและที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืน รวมทั้งสร้างเครื่องมือด้าน ESG เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจ ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถรับฟังสัมมนาย้อนหลังผ่านช่องทางออนไลน์ Facebook & YouTube : SET Thailand

AIS Insurance Service จับมือพรูเด็นเชียล ส่ง “พรูเฮลธี้ พลัส” เพิ่มความคุ้มครอง ตอบโจทย์ประกันสุขภาพจนถึงอายุ 80 ปี

AIS Insurance Service จับมือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย อัปเกรดแผนประกัน “พรูเฮลธี้ พลัส” เพิ่มความคุ้มครองและความคุ้มค่าที่มากขึ้น ตอบโจทย์ทั้งประกันชีวิตและสุขภาพ ครบจบในแพ็กเกจเดียว ให้ความคุ้มครองยาวนานถึงอายุ 80 ปื เบี้ยประกันภัยคงที่ตลอดสัญญา มอบความคุ้มค่าได้เงินคืนครบแม้มีการเคลมสินไหม

นางรพีพรรณ แนวบุญเนียร หัวหน้าส่วนงานบริหารบริการประกันภัยและสินเชื่อดิจิทัล AIS กล่าวว่า “ความตั้งใจของ AIS Insurance Service คือ การร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมประกันภัย โดยมีเราเป็นช่องทางให้ลูกค้าสามารถเลือกบริการด้านประกันภัยได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และหลากหลายตรงตามความต้องการ ผ่าน myAIS แบบ One Stop Service จึงนับว่าเป็นอีกก้าวสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่ตอบโจทย์ให้กับลูกค้า ดังเช่นความร่วมมือกับ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย กับบริการ “พรูเฮลธี้ พลัส” ประกันชีวิตและสุขภาพ ที่เราเชื่อมั่นว่าจะตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ วัยทำงานที่ใส่ใจสุขภาพ”

นายอิฎฐ์ อภิรักษ์ติวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานกลยุทธ์และการพัฒนาธุรกิจ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เปิดเผยว่า “พรูเด็นเชียล ประเทศไทย มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและประกันสุขภาพที่มีความหลากหลาย ด้วยความเข้าใจผู้บริโภคที่มีความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย พร้อมทั้งพัฒนาช่องทางการขายที่สะดวกและเข้าถึงผู้บริโภค ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพาคนไทยไปถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดในชีวิต เราจึงได้จับมือกับ AIS พันธมิตรผู้นำนวัตกรรมดิจิทัลที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เราได้พร้อมนำเสนอแผนประกันที่ตอบโจทย์ทั้งแผนประกันชีวิตและประกันสุขภาพครบจบในแพ็คเกจเดียว อย่าง “พรูเฮลธี้ พลัส” เพื่อส่งมอบการดูแลสุขภาพแก่ลูกค้าให้เป็นเรื่องที่สามารถเข้าถึงได้ ครอบคลุมทุกความต้องในทุกช่วงวัยของชีวิต

เราร่วมกับ AIS Insurance Service  เพื่อขยายช่องทางการตลาดสู่ผู้บริโภคให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม และทุกช่วงอายุ โดยกลุ่มเป้าหมายของแผนประกัน “พรูเฮลธี้ พลัส” เป็นกลุ่มวัยทำงานที่มองหาประกันชีวิตที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการความสะดวก ไม่ซับซ้อน ได้รับความคุ้มครองครบทั้งประกันชีวิตและประกันสุขภาพในแพ็กเกจเดียว พร้อมทั้งยังรับเงินคืนระหว่างสัญญาโดยพรูเฮลธี้ พลัส ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจ โดดเด่น ด้วยความคุ้มครองที่เหมือนได้ประกันสุขภาพพ่วงในสัญญาโดยไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันเพิ่ม และยังโดดเด่นที่ความคุ้มค่า เนื่องจากได้รับเงินคืนครบแม้มีการเคลมสินไหม  

อีกทั้ง“พรูเฮลธี้ พลัส” ยังถือเป็นประกันชีวิตและสุขภาพ ที่มีความโดดเด่นในตลาด เมื่อเทียบกับประกันสุขภาพแบบอื่นๆ เพราะหากซื้อตอนอายุยังน้อยจะยิ่งเพิ่มความคุ้มค่า เนื่องจากไม่มีการปรับเบี้ยประกันภัยเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ถือว่าเป็นประกันชีวิตและสุขภาพที่เบี้ยประกันภัยยังคงที่ตลอดสัญญา ซึ่งตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่าในขณะนี้” นายอิฏฐ์กล่าว

จุดเด่นของประกันชีวิตและประกันสุขภาพ “พรูเฮลธี้ พลัส” คุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณีสูงสุด 1,000,000 บาท คุ้มครองค่าชดเชยกรณีเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 1,000,000 บาท (ตามแผนที่เลือก) และให้ความคุ้มครองยาวนานจนถึงอายุ 80 ปีทั้งสัญญาประกันชีวิตหลัก และสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ โดยอัตราเบี้ยประกันภัยคงที่ตลอดอายุสัญญา ไม่ปรับเพิ่มขึ้นตามอายุ กรณีมีการเคลมค่าชดเชยในกรณีเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลครบตามสัญญา ลูกค้ายังได้รับความคุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณีจนถึงอายุ 80 ปี

นอกจากนี้ ลูกค้ายังได้รับเงินคืนตามสัญญา 2 ช่วง คือรับเงินคืน 20% ของทุนประกันภัย เมื่ออายุครบ 60 ปี และรับเงินคืน 80% ของทุนประกันภัย เมื่ออายุครบ 80 ปี พร้อมทั้งสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ทั้งเบี้ยประกันชีวิต และเบี้ยประกันสุขภาพ ตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า สามารถเลือกชำระเบี้ยประกันภัยได้แบบรายปีหรือรายเดือนอีกด้วย

และ พิเศษสุดสำหรับลูกค้าที่ซื้อแผนประกัน “พรูเฮลธี้ พลัส” รับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ ต่อที่ 1 รับบัตรกำนัลสตาร์บัคส์ (Starbucks e-Voucher) มูลค่า 500 บาท ต่อที่ 2 รับเพิ่ม AIS Points 500 คะแนนสำหรับลูกค้า AIS และ 600 คะแนนสำหรับลูกค้า Serenade ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ.– 15 เม.ย. 2566 (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด) ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดตามได้ที่ แอปพลิเคชัน myAIS และเว็บไซต์ : หมดกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเมื่ออายุมากขึ้น (add-digital.co.th)

ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร ซีพีเอฟ เปิดบ้านต้อนรับ คณะแพทย์และนักโภชนาการ รพ.ราชวิถี มุ่งวิจัย-พัฒนาอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยเฉพาะโรค รองรับสังคมผู้สูงอายุ

นายแพทย์ไพโรจน์ เครือกาญจนา รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ พร้อมด้วย นางสาวลาวัณย์ แจ่มประเสริฐ หัวหน้ากลุ่มงานโภชนศาสตร์ และนักโภชนาการ โรงพยาบาลราชวิถี เยี่ยมชม ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร ซีพีเอฟ หรือ CPF RD CENTER อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดยมี นางนลินี โรบินสัน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร พร้อมด้วย นางศุภรา ศรีบูรณ์ ผู้อำนวยการธุรกิจการค้าในประเทศ ช่องทาง Food Service และคณะผู้บริหาร ร่วมให้การต้อนรับ

นพ.ไพโรจน์ เครือกาญจนา กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ ซึ่งโรงพยาบาลฯ มีผู้สูงอายุมาใช้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต โรคมะเร็ง ที่ไม่สามารถรับประทานได้เหมือนคนทั่วไป ด้วยข้อจำกัดด้านรสชาติไม่หวาน ไม่เค็ม และไม่มีสารบางประเภทที่มีความเสี่ยงต่อโรค ทำให้โรงพยาบาลมีความยากลำบากในการผลิตอาหารมากขึ้น การเข้ามาเยี่ยมชมศูนย์วิจัยฯ ซีพีเอฟ ที่ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารแห่งอนาคตเพื่อสุขภาพ จะสามารถร่วมกันต่อยอดอาหารเพื่อผู้ป่วยเฉพาะโรคและผู้สูงอายุได้

ด้าน นางนลินี โรบินสัน กล่าวว่า ศูนย์วิจัยฯ ซีพีเอฟ มีนักวิชาการ นักวิจัย และนักโภชนาการ ที่ดูแลอาหารทางการแพทย์ อาหารสำหรับผู้ป่วย อาหารเพื่อผู้สูงอายุ โดยพัฒนาออกมาเป็นผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเน้นอาหารคุณภาพปลอดภัย มีสารอาหารและคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ที่สำคัญต้องมีรสชาติที่ดี อร่อย รับประทานง่าย ขอบคุณโรงพยาบาลราชวิถีที่ให้ความสนใจ บริษัทฯ จะวิจัยและพัฒนาอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานในแต่ละระดับ นำไปสู่ต้นแบบงานวิจัยและผลิตอาหารเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงได้ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ตลอดจนขยายผลไปสู่การทำธุรกิจร่วมกันในอนาคต

ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารซีพีเอฟ หรือ CPF RD CENTER มุ่งส่งเสริมให้คนไทยและทั่วโลกเข้าถึงอาหารคุณภาพปลอดภัยที่มีคุณประโยชน์เพิ่มขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดีตอบโจทย์ทุกกลุ่ม โดยมีทีมนักวิจัยและเชฟที่มีความเชี่ยวชาญ ร่วมศึกษา วิจัย และพัฒนานวัตกรรมอาหารเชิงลึกถึงระดับโมเลกุลในห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย รวมทั้งการทดสอบผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานสากล ตลอดจนการออกแบบบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีโรงงานต้นแบบ (Pilot Plant) ที่สามารถผลิตอาหารจากงานวิจัยพร้อมจำหน่ายทดลองตลาดได้ทันที ผ่านการควบคุมคุณภาพและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอน เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ภายใต้วิสัยทัศน์ “ครัวของโลกที่ยั่งยืน”

OR ปลื้ม! TRIS​ ​จัดเครดิตองค์กรระดับ​ AA+ ​ ตอกย้ำเบอร์หนึ่งของธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน

OR ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กร (Company Rating) เป็นครั้งแรกที่ระดับ “AA+” จากทริสเรทติ้ง (TRIS) โดยมีแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือคงที่ (Stable) ตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันประเทศไทยที่มีจุดแข็ง มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ​ OR เปิดเผยว่า​ TRIS สถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำของประเทศไทย ได้ประกาศผลการจัดอันดับเครดิตองค์กรของ OR เป็นครั้งแรกในปี 2566 ที่ระดับ AA+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำของ OR ในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและการจำหน่ายเชิงพาณิชย์ของผ​ลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในประเทศไทย และการมีส่วนสำคัญอย่างมากเชิงกลยุทธ์ของกลุ่ม ปตท. โดยเป็นทั้งผู้กระจายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมหลักของกลุ่ม ปตท. และลูกค้าหลักของโรงกลั่นในกลุ่ม ปตท. รวมทั้งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานแห่งอนาคต และการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนไทย ตลอดจนมีนโยบายทางการเงินที่มีความรอบคอบและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ในมุมมองของ TRIS นั้น OR เป็นองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือ ทั้งในการเป็นผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและความสามารถในการจัดหาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม รวมทั้งเครือข่ายสถานีบริการและช่องทางกระจายสินค้า รวมไปถึงจุดแข็งของแบรนด์ PTT Station และโมเดลการขยายสาขาในรูปแบบลงทุนและดำเนินการโดยผู้แทนจำหน่าย (DODO) ส่งผลให้ OR สามารถขยาย PTT Station ได้อย่างรวดเร็วและใช้เงินลงทุนจำนวนไม่มาก

นอกจากนี้ OR ยังมีผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่หลากหลาย และ​มี Café Amazon และ ร้าน 7-11 ซึ่งมีความต้องการสูงและช่วยดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช้บริการ PTT Station ส่งผลให้มียอดขายต่อสาขามากยิ่งขึ้น รวมถึงการตั้งเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่จะปรับเปลี่ยนสถานีบริการ PTT Station ให้กลายเป็นพื้นที่ศูนย์กลางของชุมชน (Living Community) โดยการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และบริการขั้นพื้นฐาน การเพิ่มพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้ OR มีรายได้ที่มั่นคง มีกำไรที่เพิ่มสูงขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของธุรกิจ​ (Disruption Risk) ได้ในระยะยาว อีกทั้งยังมีความพยายามในการกระจายการลงทุนไปในธุรกิจ Lifestyle ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ OR ที่จะเพิ่มแหล่งรายได้ให้มีความหลากหลาย และเพิ่มความหยืดหยุ่นให้แก่ธุรกิจโดยรวมมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ OR ยังมีความแข็งแกร่งทางการเงินจากการเสนอขายหุ้นครั้งแรกของบริษัทต่อประชาชนทั่วไป (IPO Proceed) และมีหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด (Cash Generation) ซึ่งการจัดอันดับเครดิตองค์กรของ OR ที่ระดับ AA+ ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อการดำเนินธุรกิจ กระแสเงินสดและสภาพคล่องทางการเงินที่แข็งแกร่งของ OR  ในสถานการณ์ของเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของราคาน้ำมัน และการเปลี่ยนผ่านของพลังงานน้ำมันไปสู่พลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะส่งผลให้ OR มีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินกู้ผ่านการออกหุ้นกู้ เพื่อเพิ่มความสามารถในการบริหารต้นทุนและเงื่อนไขทางการเงินให้สอดคล้องกับการดำเนินงานและการลงทุนอีกด้วย

นายดิษทัต กล่าวว่า​ OR ยังคงพร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยการแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งในและต่างประเทศ พร้อมให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมธุรกิจทุกประเภทของ OR ให้เป็นธุรกิจสีเขียว เพื่อสนับสนุนให้เกิดสังคมคาร์บอนต่ำ รวมทั้งมีการบริหารจัดการฐานะทางการเงินให้มีความแข็งแกร่งและพร้อมรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียอย่างยั่งยืน

CPALL พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ออกใหม่ 3 รุ่นให้ประชาชน 20 – 22 ก.พ. 2566

“ซีพี ออลล์” ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เซเว่น เดลิเวอรี่ และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ประกาศอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ 3 รุ่น ที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป (ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน) ระหว่างวันที่ 20-22 กุมภาพันธ์ 2566 โดยรุ่นอายุ 4 ปี ให้ดอกเบี้ย 2.95% ต่อปี รุ่นอายุ 7 ปี 3.55% ต่อปี และรุ่นอายุ 12 ปี ให้ดอกเบี้ย 4.20% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน เสนอขายผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย และบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร รวมถึงขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet ชูจุดเด่นหุ้นกู้และบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” จากทริสเรทติ้ง ตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกที่พร้อมจะเติบโตภายใต้หลักความยั่งยืน พร้อมรับอานิสงส์ท่องเที่ยวฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด มั่นใจได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนด้วยดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ Chief Financial Officer บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ซีพี ออลล์” ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ชุดใหม่ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 3 รุ่น ประกอบด้วย รุ่นอายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.95% ต่อปี รุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี และรุ่นอายุ 12 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.20% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน โดยหุ้นกู้รุ่นอายุ 12 ปี บริษัทฯ สามารถไถ่ถอนหุ้นกู้ทั้งหมดหรือบางส่วนได้เมื่อหุ้นกู้ครบปีที่ 7 ทั้งนี้ หุ้นกู้ทั้ง 3 รุ่น จะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน ในระหว่างวันที่ 20-22 กุมภาพันธ์ 2566 ผ่านสถาบันการเงิน 7 แห่งที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) รวมถึงมีการขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet เพื่อเพิ่มความสะดวกและตอบโจทย์นักลงทุนยุคดิจิทัล อีกด้วย

“ซีพี ออลล์ เชื่อว่า หุ้นกู้ของบริษัทฯ จะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะนอกจากจะเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทฯ ที่เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกแล้ว บริษัทฯ และหุ้นกู้ยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2566 ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) ซึ่งสะท้อนถึงพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็นการเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อในประเทศไทย การขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน คือประเทศกัมพูชา และ สปป.ลาว นอกจากนี้ ผลตอบแทนของหุ้นกู้ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี รวมถึงลักษณะของธุรกิจค้าปลีกที่สร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง มีเครือข่ายสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ ได้รับผลตอบรับสูงจากลูกค้า โดยปัจจุบันมีลูกค้าสมาชิก “All Member” อยู่มากกว่า 14 ล้านคน” นายเกรียงชัยกล่าว

ขณะเดียวกัน ‘ซีพี ออลล์’ จะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2565 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมากกว่า 10 ล้านคน มากกว่าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าไว้เดิม และคาดการณ์ว่าในปี 2566 จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็น 25 ล้านคน หลังจากจีนตัดสินใจเปิดประเทศเร็วกว่าที่คาด ทำให้มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 จากเดิมที่คาดว่าจะเข้ามาในช่วงกลางปี ซึ่งการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวที่กลับมาอย่างคึกคักคาดว่าจะส่งผลดีต่อ ‘ซีพี ออลล์’ โดยตรง

ทั้งนี้ “ซีพี ออลล์” เป็นผู้ประกอบธุรกิจหลักในการบริหารร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ “เซเว่น อีเลฟเว่น” ที่ให้บริการความสะดวกกับชุมชน โดยในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 บริษัทฯ มีสาขา “เซเว่น อีเลฟเว่น” เปิดให้บริการมากกว่า 13,000 สาขา และภายในปีนี้ บริษัทฯ มีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 700 สาขา โดยเน้นในรูปแบบร้านเดี่ยว (Standalone) ที่มีพื้นที่จอดรถหน้าร้าน ส่วนการขยายสาขาในต่างประเทศ คาดว่าในปี 2566 จะเริ่มเห็นสาขาของ “เซเว่น อีเลฟเว่น” ใน สปป.ลาว ขณะที่ในประเทศกัมพูชามีการเปิดสาขาไปแล้วกว่า 40 สาขา และยังจะขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในปี 2566 ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจแบบ O2O ที่ผสมผสานช่องทาง Omni-Channel ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงบริการเดลิเวอรี่ของ ‘เซเว่น อีเลฟเว่น’ (7Delivery) ที่จัดส่งสินค้าถึงบ้าน ผ่านทางแอปพลิเคชั่น เพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคอีกด้วย

บริษัทฯ ยังเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืนระดับโลก โดยได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI ในกลุ่มอุตสาหกรรม Food & Staples Retailing กลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 (2017-2022) และกลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 (2018-2022) โดย “ซีพี ออลล์” เป็นองค์กรเดียวในประเทศไทยในกลุ่มดัชนี DJSI World ของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้อีกด้วย

สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ บมจ.ซีพี ออลล์ ซึ่งกำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงินทั้ง 7 แห่ง

  • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bualuang mBanking ได้อีก 1 ช่องทาง)
  • ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน KMA ได้อีก 1 ช่องทาง)
  • ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร.02-111-1111 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT ได้อีก 1 ช่องทาง)
  • ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-888-8888 ต่อ 819 (โดยบุคคลธรรมดาจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน www.kasikornbank.com/kmyinvest ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา)
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-777-6784 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY ได้อีก 1 ช่องทาง)
  • ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Mobile Application – CIMB Thai Digital Banking ได้อีก 1 ช่องทาง)
  • บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)** โทร. 02-165-5555

ทั้งนี้ ผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านทางระบบจองซื้อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ที่อยู่ในแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ พร้อมภาพตัวอย่างประกอบโดยสังเขปได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำเรื่องขั้นตอน และวิธีการสมัครจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

โออาร์ – มิตซูบิชิ – ไปรษณีย์ไทย จับมือลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอร์รี่

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR สานต่อความร่วมมือกับ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในโครงการใช้รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอร์รี่ในการขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ ดำเนินงานในเฟสที่ 2 เพื่อการศึกษา และทดสอบการขนส่งสินค้า และพัสดุในเส้นทางที่ลาดชันในจังหวัดภูเก็ต และชลบุรี มุ่งใช้รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ในการนำจ่ายไปรษณียภัณฑ์เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก้าวสู่สังคมคาร์บอนเป็นกลาง

คุณทรงพล เทพนำโสมนัสส์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจเอนเนอร์ยี่โซลูชัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า “หนึ่งในเป้าหมายของเราภายในปี 2030 คือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน ความร่วมมือกับมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และ ไปรษณีย์ไทย จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายดังกล่าว และสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจพลังงานแบบผสมผสานเพื่อการเคลื่อนที่อย่างไร้รอยต่อ นอกจากนี้ โออาร์ ได้วางแผนการขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้าอีวี สเตชั่น พลัซ (EV Station PluZ) ให้มากขึ้น รวมเป็น 800 แห่ง ภายในปี 2566 ทั้งภายในและภายนอก พีทีที สเตชั่น พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในการขยาย EV Station PluZ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป้าหมาย 7,000 หัวชาร์จในปี 2573 และเพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

มร. เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ผมขอขอบคุณพันธมิตรชั้นนำที่ให้ความร่วมมือกับเราเป็นอย่างดีมาตลอด ทั้งไปรษณีย์ไทย และ โออาร์ การผนึกกำลังทำงานร่วมกัน ช่วยให้เราเดินหน้าเข้าใกล้เป้าหมายด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สู่สังคมคาร์บอนเป็นกลาง สอดคล้องกับวาระการส่งเสริมยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จะเดินหน้าแสวงหาโอกาสและร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ ๆ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อช่วยขับเคลื่อนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและส่งเสริมระบบเดินทางขนส่งในประเทศไทย การนำ มิตซูบิชิ มินิแค็บ มีฟ มาทดลองใช้ในการนำจ่ายไปรษณียภัณฑ์ จะเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในชีวิตจริง ทั้งเพื่อธุรกิจ และเพื่อการเดินทางไป-กลับที่ทำงานด้วยเส้นทางประจำทุก ๆ วัน” มร. โคอิโตะ กล่าวเพิ่มเติม

ในการดำเนินโครงการศึกษาระยะที่ 2 นี้ ไปรษณีย์ไทย จะทดลองใช้รถยนต์ไฟฟ้า มิตซูบิชิ มินิแค็บ มีฟ นำจ่ายไปรษณียภัณฑ์บนเส้นทางที่ลาดชันในจังหวัดภูเก็ตและชลบุรี รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เงียบสงบ ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยศักยภาพการบรรทุกสินค้าได้สูงสุด 350 กิโลกรม พร้อมผู้โดยสาร 2 คน

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า เปิดเผยว่า ในปี 2566 แผนงานด้านการนำจ่ายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่ไปรษณีย์ไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเติบโตของภาคธุรกิจที่ต้องพึ่งพาการขนส่ง และไปรษณีย์ไทยต้องมีการนำจ่ายทุกเส้นทาง ในประเทศไทย จึงจำเป็นต้องใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดมลพิษ ตลอดจนช่วยควบคุมต้นทุนและรายจ่าย ในด้านพลังงานน้ำมันซึ่งนับว่ามีความผันผวนในทุก ๆ ปี โดยแผนงานด้านดังกล่าวไปรษณีย์ไทยได้เริ่มดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 3 ปี โดยเฉพาะในปี 2565 ที่ได้ทดลองและเริ่มใช้ทั้งรถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้า รถขนส่งพลังงานไฟฟ้า เช่น รถบรรทุกขนาดใหญ่ รถตู้ นำจ่ายจริงในเส้นทางต่างๆ

“ไปรษณีย์ไทยได้เริ่มเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าในการนำจ่ายพัสดุ – ไปรษณียภัณฑ์เพื่อลดต้นทุนระยะยาว และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจากการนำจ่ายของไปรษณีย์ไทยมีระยะทางที่ชัดเจนและต้องให้บริการในทุก ๆ วัน โดยนอกจากกลยุทธ์ ‘กรีนโลจิสติกส์’ แล้ว ยังมีการร่วมกับองค์กรที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า อย่างมิตซูบิชิในการนำ “มิตซูบิชิ มินิแค็บ มีฟ” ยานยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ในงานขนส่งบนเส้นทางที่วิ่งเป็นประจำ ซึ่งพบว่าประหยัดค่าเชื้อเพลิง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมายในการลดคาร์บอนขององค์กร โดยในระยะเริ่มต้นปี 2566 นี้จะทดลองนำจ่ายในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองสมาร์ทซิตี้และมีการเติบโตในด้านธุรกิจขนส่ง ก่อนจะขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป” ดร.ดนันท์ กล่าวเสริม

มร.อาคิระ โกโตะ รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ สำนักนโยบายด้านบริการไปรษณีย์ กระทรวงมหาดไทยและการสื่อสารของญี่ปุ่น กล่าวว่า “เราสนับสนุนโครงการนี้เพื่อแบ่งปันองค์ความรู้และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในการใช้งานจริง ปัจจุบัน ทุกองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนการก้าวสู่สังคมคาร์บอนเป็นกลาง อีกทั้งที่ญี่ปุ่นก็มีการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า มิตซูบิชิ มินิแค็บ มีฟ เพื่อการขนส่งพัสดุทั่วประเทศอยู่ก่อนแล้ว การนำรถยนต์ไฟฟ้า มิตซูบิชิ มีฟ มาปรับใช้กับกิจการขนส่งที่คล้ายคลึงกันในไทยจึงนับว่าเหมาะสมและเป็นไปได้จริง”

ในประเทศญี่ปุ่น มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ได้จัดส่งรถยนต์ไฟฟ้ามิตซูบิชิ มินิแค็บ มีฟ รวมทั้งสิ้น 10,000 คัน ให้กับบริษัทขนส่งต่าง ๆ รวมถึงบริษัทค้าปลีกและหน่วยงานรัฐหลายแห่งทั่วประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้ได้รวมถึงการจัดส่งมิตซูบิชิ มีฟ 1,800 คัน ไปยังการไปรษณีย์ของญี่ปุ่นเพื่อใช้ในกิจการไปรษณีย์

ภายใต้บันทึกข้อตกลงที่ลงนามในปีที่แล้ว มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จัดส่งรถยนต์ มิตซูบิชิ มินิแค็บ มีฟ จำนวน 2 คัน เพื่อการศึกษาและทำความเข้าใจถึงการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการพาณิชย์ รวมถึงการเก็บข้อมูลการใช้งานเครื่องชาร์จไฟฟ้า พฤติกรรมการใช้งานในกลุ่มรถขนส่งพัสดุของไปรษณีย์ไทย และความเป็นไปได้ที่จะขยายการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย อันเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ความรับผิดชอบต่อสังคมที่มุ่ง “สรรค์สร้าง เคียงข้างสังคมไทย” และหลักสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ การศึกษา สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ มุ่งส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวมของประเทศไทย

แม็คกรุ๊ป อวดกำไรไตรมาส 2 พุ่ง 246 ล้านบาท ฐานะการเงินสุดแกร่ง

“แม็คกรุ๊ป” กำไรสร้างสถิติสูงสุดโตต่อเนื่อง ไตรมาส 2 ปีบัญชี 2566 ทำได้ 246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 และเพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบงวดเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังสูง 65.2% อัตรากำไรสุทธิ 22% รับอานิสงส์เศรษฐกิจประเทศฟื้นหลังเปิดประเทศ ท่องเที่ยวคึกคัก ดันยอดช้อปพุ่งกระจาย รายได้ครึ่งปีทะยานแตะ 1,876 ล้านบาท ด้านฐานะการเงินแข็งแกร่ง เงินสดในมือทะลุ 2,110 ล้านบาท บอร์ดอนุมัติปันผลงวดกลางปี 0.45 บาทต่อหุ้น

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปีบัญชี 2566 (1 ตุลาคม- 31ธันวาคม 2565) ว่า กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ 246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ที่มีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 231 ล้านบาท โดยบริษัทยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ให้อยู่ในระดับที่สูงกว่า 65.2% จากไตรมาส 1 อยู่ที่ 64.6% ส่วนอัตรากำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 22% จาก 15% เมื่อไตรมาสแรกของปี

กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน 2 ไตรมาส หนุนให้ งวด 6 เดือนแรกงวดปีบัญชี 2566 (1 กรกฎาคม-31ธันวาคม 2565) มีกำไรสุทธิ 362 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.3% เมื่อเทียบงวดเดียวกันมีกำไรสุทธิ 254 ล้านบาท

สำหรับไตรมาส 2 ของปีบัญชี 2566 บริษัทมีรายได้การขายสินค้ารวม 1,117 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.2% จากไตรมาสแรกที่มีรายได้ 759 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 12.2% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 995 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือน มีรายได้ 1,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.9% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,433 ล้านบาท ซึ่งได้ปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังเปิดเมือง หนุนให้การท่องเที่ยวในประเทศให้กลับมาคึกคัก การปรับตัวลดลงของราคาขายปลีกน้ำมัน ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นและมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่พุ่งขึ้นแตะระดับ 50.4 ในเดือนธันวาคมจากระดับ 46.4 ในเดือนกันยายน 2565

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า กำลังซื้อกลับเข้ามาชัดเจนเพิ่มขึ้นจากช่องทางออฟไลน์ อันได้แก่ ช่องทางร้านค้าปลีกของตนเอง (Free-standing Shop) 66%, ห้างสรรพสินค้า (Department Store) 23% , ร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) 8% และช่องทางอื่นๆ คิดเป็น 4%

ทั้งนี้ รายได้จากช่องทางค้าปลีกของตนเองเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยไตรมาส 2 มีรายได้ 738 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% หรือ 129 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือน มีรายได้ 1,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% หรือ 364 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากกลยุทธ์ในการขยายสาขา Mc Outlet เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าสิ้นเดือนมีนาคมนี้จะเปิดได้ครบ 100 สาขา เกินเป้าหมายที่วางไว้ว่าปีบัญชี 2566 ที่จะเปิดให้ได้ 80 สาขาและเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีบัญชี 2565 ที่มีทั้งสิ้น 72 สาขา และยังคงเดินหน้าเปิดสาขา Mc Outlet เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์หลักที่มุ่งเน้นคุมเข้มต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย รวมถึงกลยุทธ์ Product Mix การส่งเสริมการขายและการบริหารช่องทางการขายสินค้าที่ทำมาต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลดำเนินรวมของบริษัทเติบโตและกลับไปดีกว่าช่วงก่อนโควิด-19 หนุนให้ผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ขึ้นไปอยู่ที่ 15.8% จาก 13.4% ภาพรวมการทำธุรกิจก็ยังมีความเสี่ยงจากความตึงเครียดรัสเซีย ยูเครน การปรับขึ้นของราคาน้ำมัน และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่มีผลต่อต้นทุนทางการเงิน ซึ่งแม็คกรุ๊ปไม่มีหนี้เงินกู้กับสถาบันการเงิน และมีเงินสดในมือเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 มีเงินสดอยู่ที่ 2,110 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115 ล้านบาท จากสิ้นปีบัญชี 2565”

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า ผลดำเนินงานและฐานะการเงินที่แข็งแกร่งต่อเนื่องส่งผลให้คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นสำหรับผลดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปีบัญชี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.45 บาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเกือบ 100% สูงกว่านโยบายที่จะจ่ายไม่น้อยกว่า 40%