Home Blog Page 89

OR เปิดแผนปี 66 ลุยธุรกิจไลฟ์สไตล์ เล็งปรับโฉมใหม่สถานีบริการน้ำมันเป็น Flagship store

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR พร้อมด้วย นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ OR และ นางสาววิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน OR ร่วมแถลงผลการดำเนินงานปี 2565 และทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2566 มุ่งประสานธุรกิจพลังงานและไลฟ์สไตล์ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของ OR ผ่านการเสริมความเข้มแข็งของแต่ละธุรกิจให้สามารถตอบโจทย์วิถีชีวิตแห่งอนาคต รวมถึงผนึกกำลังทั้งภายในและภายนอกกลุ่ม ปตท. พร้อมเปิดประตูความร่วมมือสู่การเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
ดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โออาร์

นายดิษทัต เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 OR เตรียมงบลงทุนจำนวน 31,197 ล้านบาท มุ่งเน้นการขยายและสร้างความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle โดยจัดสรรงบประมาณจำนวน 14,193 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 45% ของงบลงทุน สำหรับขยายสาขาร้าน Café Amazon และร้าน Texas Chicken รวมไปถึงการแสวงหาพันธมิตรและการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ โดยนอกจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) แล้ว OR ยังให้ความสำคัญในกลุ่มธุรกิจด้าน Health & Wellness และ Tourism ด้าน กลุ่มธุรกิจ Mobility มุ่งรักษาความเป็นผู้นำใน Mobility Ecosystem ทั้งในแง่การขยายสาขา PTT Station และ EV Station PluZ รวมถึงการผลักดันให้เกิดความร่วมมือในธุรกิจ EV ของกลุ่ม ปตท. อย่างเป็นระบบ รวมไปถึงการลงทุนใน Green Energy เพื่อเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของแหล่งพลังงาน ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะต้องการพลังงานชนิดใดสำหรับการเดินทาง เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ โดยจัดสรรงบประมาณจำนวน 6,799 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 22% ของงบลงทุน

สำหรับ กลุ่มธุรกิจ Global ยังคงมุ่งขยายการลงทุนในการเปิด PTT Station และ Café Amazon ผ่านบริษัทในเครือในต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นที่ประเทศกัมพูชาเป็นสำคัญ พร้อมๆกับการหาโอกาสในการลงทุนด้านอื่น เช่น สาธารณูปโภค

ส่วนกลุ่มธุรกิจ OR Innovation มุ่งแสวงหาธุรกิจใหม่เพื่อต่อยอดธุรกิจในปัจจุบัน โดยจะเป็นการลงทุนที่มีคุณภาพ กำหนดหลักเกณฑ์ด้านสังคม สิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างนวัตกรรมในแบบฉบับของ OR เพื่อเป็นต้นแบบขององค์กรสมัยใหม่ นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในนวัตกรรมเพื่อพัฒนาโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจัดสรรงบประมาณจำนวน 5,251 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 17% ของงบลงทุน

นายสุชาติ กล่าวว่า OR จะปรับรูปแบบของสถานีบริการน้ำมันให้เป็น Flagship store เพิ่มสัดส่วนของธุรกิจค้าปลีกในสถานีฯ ให้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญด้านพลังงานสะอาด, คาร์บอนต่ำ ด้วย

นอกจากนี้ คาดว่าปีนี้ OR จะได้ประโยชน์มากขึ้นจากการเปิดประเทศให้เดินทางท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ซึ่งปัจจุบัน OR ถือครองสัดส่วนตลาดอยู่กว่า 40 % คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.6 พันล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวม 3.2 พันล้านบาท คาดว่า ไตรมาส 4 ปีนี้ ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานจะเทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด และจะเพิ่มมากขึ้นในปีหน้า

AIS จับมือ 7 พันธมิตร แลกคะแนนสะสม กับบริการ “โอนมาได้ แลกง่ายขึ้น”

AIS ตอกย้ำที่ 1 ตัวจริงด้านงานบริการและการดูแลลูกค้า เดินหน้าผนึกกำลัง 7 พันธมิตรชั้นนำหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น บางจาก, ซิตี้แบงก์, ธนาคารกสิกรไทย, เมืองไทยประกันชีวิต, บลูการ์ด, เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต และ OCEAN LIFE ไทยสมุทรประกันชีวิต อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า กับแคมเปญ โอนมาได้ แลกง่ายขึ้น ให้ลูกค้า AIS สามารถโอนคะแนนสะสมจากการใช้งานของพาร์ทเนอร์ชั้นนำทั้ง 7 แบรนด์ มาเป็น AIS Points เพื่อนำมาแลกรับสิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย ทั้ง ค่าโทร, ค่าเน็ต, แลก LINE Stickers แลกรับอาหารและเครื่องดื่ม หรือแม้แต่แลกรับส่วนลดสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ มากกว่า 500,000 ร้านค้าทั่วประเทศ บนแอป myAIS

นางภูมิใจ กฤติยานนท์ หัวหน้าแผนกงานบริหารคะแนน บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS ในการคิดค้นพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าแบบ 360 องศา ซึ่งเราเข้าใจดีว่า ลูกค้า AIS กว่า 45 ล้านราย มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายรวมถึงยังเป็นลูกค้าของพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของเราอีกมากมาย ทำให้ปีที่ผ่านมาเมื่อเรามองเห็น Journey ในการใช้สิทธิพิเศษของลูกค้าดังกล่าว เราจึงเป็นรายแรกที่เดินหน้าจับมือกับพาร์ทเนอร์เหล่านั้น เชื่อมต่อสิทธิพิเศษผ่านคะแนนสะสมของแต่ละพาร์ทเนอร์ ส่งผลให้ สามารถเติมเต็มช่องว่างจากคะแนนสะสมของลูกค้าที่เกิดขึ้นจากพาร์ทเนอร์แบบไม่มีข้อจำกัดได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมถึงยังเป็นการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ตามหลัก Inclusive Growth ที่เป็นการช่วยกันสนับสนุนและสร้างการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม พร้อมโอกาสในการขยายตัวอย่างเท่าเทียมด้วยเช่นกัน”

วันนี้ AIS ได้ยกระดับแนวคิดดังกล่าวไปอีกขั้นกับแนวคิด โอนมาได้ แลกง่ายขึ้น โดยสามารถนำคะแนนสะสมของพาร์ทเนอร์ มาทำ Points Transfer เป็น AIS Points เพื่อแลกรับสิทธิพิเศษต่างๆ ที่มากที่สุด และครบที่สุดทั้ง ตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่มีคะแนนบางจาก, คะแนนสะสมซิตี้ รีวอร์ด, คะแนน K Point ของธนาคารกสิกรไทย, คะแนนสะสม Smile Point ของเมืองไทยสไมล์คลับ, Blue Card, FWD MAX ของ เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต และ OCHI Coin ของ OCEAN LIFE ไทยสมุทรประกันชีวิต ซึ่งโดยรวมแล้วมีลูกค้าใช้บริการจากพาร์ทเนอร์รวมกว่า 20 ล้านราย ทำให้วันนี้เราเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายที่ลูกค้าสามารถแลกคะแนนสะสมได้มากที่สุดถึง 7 แบรนด์ชั้นนำ จาก 3 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ ธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน ประกันชีวิต และสถาบันทางการเงิน”

ทั้งนี้ลูกค้าสามารถโอนคะแนนจากพาร์ทเนอร์มาเป็น AIS Points ได้ดังนี้

  • โอนคะแนน บางจาก เริ่มต้น 400 คะแนน เป็น AIS Points 50 คะแนน
  • โอนคะแนน สะสมซิตี้ รีวอร์ด เริ่มต้น 500 คะแนน เป็น AIS Points 50 คะแนน
  • โอนคะแนน K Point ทุกๆ 500 คะแนน เป็น AIS Points 50 คะแนน
  • โอนคะแนน Smile Point ทุกๆ 30 คะแนน เป็น AIS Points 100 คะแนน
  • โอนคะแนน Blue Card ทุกๆ 400 คะแนน เป็น AIS Points 60 คะแนน
  • โอนคะแนน FWD MAX ทุกๆ 1,000 แต้ม เป็น AIS Points 100 คะแนน
  • โอนคะแนน OCHI Coin เริ่มต้น 500 เหรียญ เป็น AIS Points 50 คะแนน

โดยลูกค้าสามารถนำคะแนนที่โอนมาเป็น AIS Points มาแลกรับสิทธิพิเศษต่างๆ บนแอป myAIS ทั้งแลกค่าโทร ค่าเน็ต แลก LINE Stickers แลกรับอาหารเครื่องดื่มกับพันธมิตรร้านค้าที่ร่วมรายการ แลกของพรีเมี่ยมอุ่นใจ แลกลุ้นโชค และสามารถติดตามสิทธิพิเศษอื่นๆ มากมาย ได้ที่ https://privilege.ais.co.th/points/ หรือ LINE Official AIS Privileges

AIS Fibre ผนึก Huawei ส่งมอบนวัตกรรมเน็ตบ้าน ด้วยเทคโนโลยีเดินสายไฟเบอร์ออฟติกโปร่งใสครั้งแรกในไทย

AIS Fibre ผนึกความร่วมมือกับ Huawei พร้อมส่งมอบประสบการณ์การใช้งานเน็ตบ้านที่รองรับความเร็วแรงระดับกิกกะบิตทุกห้องในบ้านกับบริการ “1Gbps Every Room” ครั้งแรกในอุตสาหกรรมบอร์ดแบนอินเตอร์เน็ต ด้วยแนวคิด One Home - One Network - One Fiber ผ่านการนำเทคโนโลยีสายไฟเบอร์ออฟติกโปร่งใส (Transparent Fiber Optic) นวัตกรรมใหม่ล่าสุดของโลก จาก Huawei มาเชื่อมต่ออุปกรณ์กระจายสัญญาณ และสร้างโครงข่ายอินเทอร์เน็ตภายในบ้าน (Home Network Solution) ที่สามารถรองรับความเร็วระดับกิกกะบิตทุกห้องในบ้านบนโครงข่ายเดียวกัน และยังสามารถรองรับความเร็วในอนาคตได้สูงสุดถึง 10Gbps รวมทั้งยังสามารถเชื่อมต่อ WiFi ภายในบ้านได้แบบไร้รอยต่อ (Seamless Roaming) ทำให้ตอบโจทย์ทั้งในแง่ของ Functional ที่ลูกค้าสามารถใช้งานที่รองรับความเร็วที่ 1Gbps ทุกห้องในบ้านและในแง่ของ Emotional ด้วยจุดเด่นของสายไฟเบอร์โปรงใส ที่สายมีขนาดเล็ก สีใส โค้งงอได้ตามมุมบ้าน ทำให้บ้านมีความสวยงามไปพร้อมๆ กัน

นางสาวสุนีย์ โรจนโอฬารรัตน์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด ธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบรนด์ AIS เปิดเผยว่า AIS Fibre ยังคงเดินหน้ายกระดับประสบการณ์การใช้งานด้วยคุณภาพเน็ตบ้านและการให้บริการที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า ด้วยการทำงานอย่างหนักเพื่อศึกษาและทำความเข้าใจพฤติกรรมที่หลากหลายของผู้บริโภคยุคดิจิทัล ทำให้เราสามารถนำเสนอบริการที่โดดเด่นและแตกต่างให้กับตลาดและลูกค้าอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกับการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่าง Huawei เปิดนวัตกรรมใหม่บริการ 1Gbps Every Room ที่ออกแบบมาสำหรับผู้บริโภคครอบครัวใหญ่ บ้านหลังใหญ่ หลายห้อง หลายชั้น รองรับได้สูงสุดถึง 16 ห้อง ตอบโจทย์ Functional การใช้งานที่มีความหลากหลายภายในบ้าน อาทิ การดูหนังในห้องรับแขก การทำงาน ประชุม เล่นเกม เล่นโซเชียล หรือแม้แต่ไลฟ์สตรีมมิ่ง ในห้องส่วนตัว ซึ่งลูกค้าจะได้สัมผัสกับประสบการณ์เน็ตบ้านที่รองรับความเร็ว 1Gbps ทุกพื้นที่และทุกห้องในบ้าน

ขณะเดียวกันเรายังมองถึงการตอบโจทย์ลูกค้าในมิติของ Emotional Benefit ด้วยการนำเทคโนโลยีใยแก้วนำแสง โดยเลือกใช้สายไฟเบอร์ออฟติกโปร่งใส (Transparent Fiber Optic) ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากใช้พลังงานไฟฟ้าในปริมาณต่ำ มาเดินสายภายในบ้านตามจุดหรือห้องต่างๆ โดยสายนี้มีจุดเด่นคือ มีความใส เส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่าสายปกติถึง 5 เท่า สามารถโค้งงอไปตามมุมบ้านได้ ทำให้ไม่กระทบต่อความสวยงามภายในบ้านจากการเดินสายติดตั้ง ด้วยทีมช่างติดตั้งมืออาชีพที่มีความเชี่ยวเฉพาะ ซึ่งพร้อมสำรวจพื้นที่ ให้คำแนะนำแนวทาง วางแผนกำหนดจุดติดตั้ง การตรวจสอบประสิทธิภาพของสัญญานอินเตอร์เน็ต ตลอดจนถึงบริการหลังการขาย”

สำหรับสายไฟเบอร์ออฟติกโปร่งใส (Transparent Fiber Optic) ที่นำมาให้บริการในครั้งนี้เป็นนวัตกรรมสายไฟเบอร์ออฟติกล่าสุดของโลก ซึ่งเราได้ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ อย่าง Huawei ในการศึกษาตลาด พฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภค และร่วมกันทดลองทดสอบ ทำให้วันนี้เราพร้อมในการให้บริการลูกค้าที่ต้องการประสบการณ์การใช้งานระดับ 1 Gbps ทุกพื้นที่ภายในบ้าน แบบ One Home One Network และ One Fiber โดยการเดินสายจะช่วยเชื่อมโยงอุปกรณ์กระจายสัญญาณ และการสร้างโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วระดับกิกกะบิต และสามารถเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟภายในบ้านแบบ Seamless roaming ในโครงข่ายเดียวกัน

“ด้วยการทำงานของ AIS Fibre ภายใต้แนวคิด Digital Experience for Thais จึงทำให้บริการ 1Gbps Every Room จะเข้ามาพลิกโฉมวงการเน็ตบ้าน สามารถแก้ Paint Point ให้กับลูกค้าที่ใช้งานอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่มีหลายชั้น หลายห้องได้อย่างแท้จริง ทำให้ข้อจำกัดการกระจายสัญญาณ WiFi บางจุดในบ้านหมดไป รวมถึงยังสามารถตอบโจทย์ลูกค้าต้องการคุณภาพการใช้งานทั้งความเร็วความเสถียรในทุกห้องในบ้านได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” นางสาวสุนีย์ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับบริการ 1Gbps Every Room จะเปิดให้บริการลูกค้าในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมแพ็กราคาสุดคุ้มค่า แพ็คเกจเริ่มต้นสำหรับประสบการณ์การใช้งานที่รองรับความเร็วระดับ 1Gbps ทุกพื้นที่มากถึง 3 ห้องภายในบ้าน เพียง 1,399 บาทต่อเดือน และยังมีแพ็กเกจอื่นๆ ที่รองรับรองรับความเร็วระดับ 1Gbps มากสุดได้ถึง 8 ห้อง ดูข้อมูลเพิ่มเติม https://www.ais.th/fibre/1Gbps-FTTR/

รู้เก็บรู้ออม : ปรับพอร์ตรับมือเศรษฐกิจถดถอย

ปี 2566 หรือปีกระต่ายทอง หลายคนคาดหวังว่า เศรษฐกิจปากท้องจะดีขึ้นหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย และไทยเปิดประเทศต้อนรับการท่องเที่ยว แต่เศรษฐกิจหลายประเทศส่งสัญญาณถดถอย

การลงทุนปีนี้ นักลงทุนจึงต้องมีความรอบคอบและระมัดระวังมากขึ้น โดยล่าสุดเว็บ SETINVESTNOW ได้เผยแพร่บทความ “จัดพอร์ตลงทุนต้อนรับเศรษฐกิจถดถอย”

โดยมองว่าปี 2566 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค “ดอกเบี้ยสูง เศรษฐกิจผันผวนมากขึ้น” โดยการเติบโตของเศรษฐกิจจะมีความแตกต่างกัน (Divergence) ระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา โดยเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วจะเกิดภาวะถดถอยอย่างอ่อนๆจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งปีที่ผ่านมาได้ทำจุดสูงสุดไปแล้วและกำลังเริ่มปรับลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น ด้วยภาวะเงินเฟ้อที่ลดลงในแต่ละประเทศไม่เท่ากัน

โดยประเทศพัฒนาแล้วยังจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่สูงกว่าประเทศกำลังพัฒนา ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผลที่ตามมา คือ ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและผ่อนคลายนโยบายการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี

ดังนั้น ภาพรวมปีนี้น่าจะเป็นทั้งปีที่มี “ความหวัง” และ “ความจริง” โดยความหวังคือ “อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย” จะไม่ปรับขึ้นรุนแรง และ “การเปิดประเทศของจีน” จะช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ส่วนความจริงน่าจะเป็นผลของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมาตรการต่างๆในช่วง COVID–19 ที่อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว

สำหรับเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะเติบโตในครึ่งแรกของปีและจะชะลอตัวในครึ่งปีหลังเพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวทำให้ส่งออกได้ลดลง การลงทุนภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐก็อ่อนแรงลง แต่ปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้คือการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน

ส่วนสินทรัพย์ที่น่าลงทุนปีนี้ มองว่า การลงทุนตราสารหนี้จะดีขึ้น ซึ่งจากสถิติปี 2523-2563 พบว่าตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายผ่านจุดสูงสุด โดยพันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นกู้ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย คำแนะนำ คือ หากสนใจลงทุนหุ้นกู้ให้เน้นอันดับความน่าเชื่อถือระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) อายุ 3-5 ปี ส่วนพันธบัตรรัฐบาลก็สามารถลงทุนอายุยาวได้ เช่น 10 ปี

หุ้นไทยแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่ม Domestic Play ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีน ขณะที่ตลาดหุ้นจีนและเอเชียก็ได้แรงหนุนจากการเปิดประเทศและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนเช่นกัน ขณะที่นโยบายการเงินที่ตึงตัวน้อยกว่าสหรัฐอเมริกาและยุโรป ดังนั้น ให้เน้นลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีนและหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภค!!

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่อยากวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจแบบง่ายๆ เพื่อจับทิศทางการลงทุนและค้นหาหุ้นเด็ด สามารถเข้าไปเรียนรู้ผ่าน e-Learning หลักสูตร “Macro Analysis” ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ฟรี ลองไปเพิ่มพูนความรู้กันนะคะ!

คุณนายพารวย

ท่ี่มา คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง” หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS Business ผนึก สมาคมซีไอโอไทย ปั้นรายการ “Tech in Ten”

AIS Business จับมือกับ สมาคมซีไอโอไทย (TCIOA) ร่วมกันเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนแนวคิด สู่การเป็น Hub ด้านองค์ความรู้ อัพเดทข้อมูล เรื่องราวน่าสนใจ ในแวดวงเทคโนโลยี สำหรับองค์กร ภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ SME หรือแม้แต่ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ที่ต้องการนำเทคโนโลยีเข้าไปทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันผ่านรายการ “Tech in Ten” อัพเดท เทรนด์สำหรับดิจิทัลองค์กรยุคใหม่ใน 10 นาที รายการที่นำเอากูรูตัวจริงที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมาแชร์ประสบการณ์ผ่านแนวคิด Tech เจาะลึกเทคโนโลยีเพื่อองค์กรยุคใหม่ Trend อัพเดทความเคลื่อนไหวเทรนด์ใหม่ในโลกดิจิทัลเพื่อธุรกิจ Trick มุมมองประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง นับเป็นการตอกย้ำถึงเป้าหมายการทำงานของ AIS Business ในปีนี้ที่มุ่งสร้าง Digital Business Ecosystem อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะความพร้อมในการส่งต่อองค์ความรู้ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลให้กับกับองค์กรต่างๆ ที่จะสนับสนุนและสร้างความเติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน

นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า ความร่วมมือกับ สมาคมซีไอโอไทย (TCIOA) เพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยี และดิจิทัลในแง่มุมต่างๆ ผ่านการทำรายการ Tech in Ten ซึ่งถ่ายทอดโดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในเชิงการทำงานจริงจาก AIS มาผนวกกับองค์ความรู้ในเชิงวิชาการ นโยบายเทรนด์ที่จะทำให้เห็นภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้วยบุคลากรจากสมาคมซีไอโอไทย
โดยเราเชื่อว่าการทำงานร่วมกันครั้งนี้จะทำให้รายการ Tech in Ten กลายเป็น Hub ด้านดิจิทัลเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการ องค์กรธุรกิจ หรือแม้แต่ภาครัฐ ในการทำ Digital Transformation ขององค์กร

นายกำพล ศรธนะรัตน์ นายกสมาคม TCIOA กล่าวว่า ความร่วมมือนี้เป็นการตอกย้ำถึงการสนับสนุน ส่งเสริม ทุกภาคส่วนให้มีความเข้าใจในการนำดิจิทัลเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงาน หรือแม้แต่การเริ่มต้นทำ Digital Transformation โดยสมาคมฯพร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์และความรู้ด้านธุรกิจ การเป็นผู้นำ และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ผ่านรายการ Tech in Ten ที่จะทำให้หน่วยงาน องค์กรต่างๆ ทุกภาคส่วน ได้รับประโยชน์และมองเห็นโอกาสจากการนำเทคโนโลยีเข้าไปขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต

สำหรับรายการ Tech in Ten เป็นรายการในรูปแบบ Talk Show ตอนละ 10 นาที เน้นการคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด องค์ความรู้ ข้อมูล ในเรื่องเกี่ยวกับดิจิทัลเทคโนโลยีสำหรับผู้ประกอบการ องค์กร และภาคธุรกิจต่างๆ ภายใต้แนวคิด “Tech Trend Trick” โดย Tech เป็นการนำเสนอที่เจาะลึกเทคโนโลยีเพื่อองค์กรยุคใหม่ Trend อัพเดทความเคลื่อนไหวเทรนด์ใหม่ในโลกดิจิทัลเพื่อธุรกิจ และ Trick มุมมองประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง

โดย Tech in Ten EP.แรก มาในชื่อตอน “Digital Transformation ที่ไม่ใช่แค่ เปลี่ยน แต่เป็นการ แปลงร่างและสร้างความร่วมมือใหม่ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร” ซึ่งสามารถรับชมได้ทางโซเชียลมีเดียของ AIS Business https://youtu.be/AvfyKG464wg

ซีพีเอฟ ปั้น “ยุวนวัตกร” เติมทักษะ Coding น้องๆ รร.บ้านบุ (ประชารัฐพัฒนา) จ.นครราชสีมา

“การศึกษา คือ รากฐานของการพัฒนาประเทศ ถือว่ามีความสำคัญมาก และรากฐานของการพัฒนาประเทศจะเข้มแข็ง มั่นคงได้ ทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา” ดร.อนงค์ อมรรัตนเศรษฐ์ ผู้อำนวยการ โรงเรียนบ้านบุ (ประชารัฐพัฒนา) สะท้อนมุมมองต่อความสำคัญของความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับการพัฒนาการศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในการขับเคลื่อนการยกระดับการศึกษาของไทย ภายใต้ความมุ่งมั่นของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา “คอนเน็กซ์ อีดี” (CONNEXT ED)

โรงเรียนบ้านบุ (ประชารัฐพัฒนา) จังหวัดนครราชสีมา เป็นโรงเรียนขยายโอกาสที่เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 2 จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีจำนวนนักเรียน 547 คน โรงเรียนเข้าร่วมโครงการคอนเน็กซ์ อีดี โดยมี บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ สนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการ “ยุวนวัตกร” ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 มุ่งเน้นให้นักเรียนมีทักษะกระบวนการคิด การวางแผน ความคิดสร้างสรรค์ และสร้างทักษะให้นักเรียนในการเขียนโปรแกรมควบคุมบอร์ดสมองกล รวมไปถึงการนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาต่อ ใช้ในชีวิตประจำวัน และประกอบอาชีพ

ดร.อนงค์ ผู้อำนวยการ รร.บ้านบุ กล่าวว่า โครงการยุวนวัตกร เป็นโครงการที่ตอบโจทย์เด็กไทยยุคใหม่ ที่จะต้องมีทักษะ เข้าถึงเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบันนักเรียนมีความสนใจในเรื่องดังกล่าวแต่โรงเรียนยังขาดทรัพยากรและอุปกรณ์ ต้องขอขอบคุณซีพีเอฟและมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา เข้ามาสนับสนุนทำให้โรงเรียนมีการพัฒนาและมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่น่าพอใจ ทำให้นักเรียนมีทักษะด้านเทคโนโลยี ก้าวทันต่อโลกศตวรรษที่ 21 และในอนาคตคาดหวังว่านวัตกรน้อย มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนด้านเทคโนโลยี และชุมชนนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพได้

ด้านคุณครูธงชัย ขำเทศเจริญ คุณครูผู้รับผิดชอบโครงการยุวนวัตกร กล่าวว่า โครงการยุวนวัตกร ดำเนินการจัดการเรียนการสอนกับกลุ่มสนใจหรือกลุ่มยุวนวัตกร ในรายวิชาชุมนุมคอมพิวเตอร์ โดยมีการเรียนการสอนในชั่วโมง และการฝึกอบรม โดยการเรียนจะเป็นการใช้บอร์ดสมองกลในการควบคุมการเปิดปิดอุปกรณ์ เช่น การใช้แสงในการควบคุมการเปิดปิด การใช้อุณหภูมิในการเปิดปิดพัดลม การใช้ IOT ในการเปิดปิดหลอดไฟ และจัดการเรียนการสอนในรายวิชาการควบคุมบอร์ดสมองกล โดยใช้บอร์ดสมองกล KidBright ซึ่งจะเป็นการเรียนรู้การทำงานของอุปกรณ์เซ็นเซอร์ต่างๆ ทั้ง Input และ Output แล้วเขียนโปรแกรมควบคุมการทำงานของเซ็นเซอร์ต่างๆ เช่น การเขียนโปรแกรมควบคุมเซ็นเซอร์วัดระยะห่าง เมื่อนักเรียนได้เรียนรู้แล้วจะนำความรู้เหล่านี้ไปใช้ในรายวิชาโครงงานคอมพิวเตอร์ เช่น เซ็นเซอร์วัดระยะห่าง นำไปสร้างโครงงานเรื่องเครื่องกั้นรถอัตโนมัติ โครงงานเรื่องโรงจอดรถอัตโนมัติ หรือเซ็นเซอร์ตรวจจับวัตถุ นำไปสร้างโครงงานเรื่องถังขยะอัตโนมัติ โครงงานเรื่องอ่างล้างมืออัตโนมัติ เป็นต้น

” รู้สึกดีใจและขอขอบคุณซีพีเอฟที่ให้การสนับสนุนงบประมาณ เพื่อใช้สำหรับเป็นสื่อการเรียนการสอน ทำให้เด็กๆ ได้รับความรู้เพิ่มเติมจากสื่ออุปกรณ์ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณให้ทางโรงเรียน รวมทั้งการจัดกิจกรรมอบรมต่างๆ นอกจากนี้ เด็กๆ ยังสามารถนำไปใช้ในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น เช่น การทำโครงการในระดับชั้น ปวช. ปวส. นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน” คุณครูผู้รับผิดชอบโครงการยุวนวัตกร กล่าว

นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ สะท้อนถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากทักษะการ Coding สามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน

ด.ช.ไพศาล ดอนเกษม หรือ น้องหยาง อายุ 15 ปี กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.3)กล่าวว่า ได้เรียนรู้กระบวนการทำบอร์ดสมองกล KidBrightและนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง เช่น ระบบเปิดและปิดไฟอัตโนมัติที่เราติดตั้งที่โรงเรียน และผมได้นำไปใช้ที่บ้านด้วย นอกจากนี้ โครงการยุวนวัตกร ทำให้ผมได้รับความรู้เกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถใช้เป็นพื้นฐานการเรียนรู้ต่อไปในสายอาชีพ ดีใจที่โรงเรียนได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟและคอนเน็กซ์ อีดี ทำให้นักเรียนมีอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ดีขึ้น

ด้าน ด.ช.บุลฤทธิ์ หิลแก้ว หรือ น้องนิว อายุ 14 ปี กำลังศึกษาชั้น ม. 2 ที่มีโอกาสได้เรียนรู้ และฝึกเขียนบอร์ดสมองกลในโครงการยุวนวัตกร และมีได้ฝึกทดลองทำโครงงานเครื่องกั้นรถอัตโนมัติ หรือการใช้ IOT ในการเปิดปิดหลอดไฟ ซึ่งได้นำไปใช้ประโยชน์กับที่บ้านด้วย ขอขอบคุณซีพีเอฟและโครงการคอนเน็กซ์ อีดี ที่มอบโอกาสให้ โรงเรียนของเรา ทำให้เราได้คิดค้นสิ่งใหม่ๆ และได้ความรู้ทางอิเล็คทรอนิคส์ที่สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไปได้

ทั้งนี้่ ซีพีเอฟเป็น 1ใน 12 บริษัทเอกชนที่ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา ซึ่งปัจจุบัน มีโรงเรียนภายใต้การดูแล 298 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ ชัยภูมิ และสระบุรี โดยในปี 2566 เน้นส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิชาการ วิชาชีพและเทคโนโลยี เพิ่มคุณภาพการเรียนการสอน และส่งเสริมการนำทักษะใหม่ๆและเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับโลกในศตวรรษที่ 21 มาใช้ อาทิ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในรูปแบบโค้ด (Coding) การจัดการเรียนการสอนภายใต้โครงการ Proactive teacher for active learning และโครงการ STEM Education เพื่อยกระดับผลการประเมินคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนทั้ง 5 ด้าน คือ ด้านผู้เรียน ด้านการมีส่วนร่วม ด้านผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษา ด้านหลักสูตรและการสอน ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มุ่งสร้างเด็กดีและเด็กเก่ง ตามเป้าหมายของคอนเน็กซ์ อีดี

นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเนื้อสัตว์ แนะ “เนื้อแดง” ทานได้ไม่ต้องงด

นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเนื้อสัตว์ ยืนยัน "เนื้อแดง" รับประทานได้อย่างปลอดภัยในปริมาณที่เหมาะสม ระบุ ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอบ่งชี้ว่าเป็นสาเหตุก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ในมนุษย์

ผศ.ดร.รุจริน ลิ้มศุภวานิช หน่วยปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเนื้อสัตว์ ภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตสัตว์และประมง คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวว่า “เนื้อแดง” คือ เนื้อสัตว์ที่มีสีแดงตามธรรมชาติ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแกะ โดยเนื้อแดงมีปริมาณรงควัตถุที่เรียกว่า ไมโอโกลบิน (myoglobin) อยู่ในกล้ามเนื้อ คล้ายกับ ฮีโมโกลบินที่อยู่ในเลือด เมื่อจับออกซิเจนจะให้สีที่ออกสีแดง หากมีไมโอโกลบินมาก จะมีสีแดงเข้มมากขึ้น เช่น ในเนื้อวัวมีปริมาณไมโกลบินมากว่าในเนื้อหมู ทำให้เนื้อวัวมีสีแดงที่เข้มกว่า

จากข้อมูลขององค์กร IARC (International Agency for Research on Cancer) หน่วยงานภายใต้องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) หรือ WHO ที่ได้รวบรวมข้อมูลวิจัยทางระบาดวิทยา และจัดกลุ่มสิ่งที่ “มีความสัมพันธ์” ต่อการเกิดโรคมะเร็ง ซึ่ง “เนื้อแดง” ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ “มีโอกาส หรือ อาจจะ” ก่อให้เกิดมะเร็ง ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนเกิดความกังวลในการรับประทานเนื้อแดง

“ข้อมูลของ IARC ยังไม่เพียงพอที่จะบ่งบอกว่าเกิดกับมนุษย์ การศึกษาที่มีไม่ได้พบในผู้ป่วยมะเร็งโดยตรง พบความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ในสัตว์ทดลองเท่านั้น และงานวิจัยที่มีอยู่ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยในแถบสหรัฐอเมริกา ยุโรป หรือประเทศจีน แต่น้อยมากที่จะมีงานวิจัยจากเมืองไทย ทั้งนี้องค์การอนามัยโลก ไม่ได้ระบุว่าจำเป็นต้องงดรับประทานเนื้อแดงโดยสิ้นเชิง แต่ผู้บริโภคสามารถรับประทานได้ในปริมาณที่เหมาะสม” ผศ.ดร.รุจริน กล่าว

ในต่างประเทศมีงานวิจัยระบุว่าไม่ควรบริโภคเนื้อแดงเกิน 500 กรัมต่อสัปดาห์ จากข้อมูลสถิติ คนไทยรับประทานเนื้อสัตว์ ประเภท เนื้อหมู เนื้อไก่ เป็นส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 16-17 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งปริมาณดังกล่าวไม่ได้เกินไปกว่าที่งานวิจัยระบุ ขณะที่ในต่างประเทศการบริโภคเนื้อสัตว์อยู่ที่ 50 กิโลกรัมต่อคนต่อปี หรือ ในบางประเทศอาจถึง 100 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งอัตราการบริโภคเนื้อสัตว์ในต่างประเทศมีการบริโภคในปริมาณที่มากกว่าประเทศไทยอยู่มาก ด้วยลักษณะการบริโภคเนื้อสัตว์ของคนไทยไม่ได้รับประทานเนื้อสัตว์แบบสเต๊กที่เป็นเนื้อชิ้นใหญ่แบบในต่างประเทศ แต่เป็นการประกอบอาหารด้วยการนำเนื้อสัตว์มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปรุงด้วยวิธี ต้ม นึ่ง ย่าง ผัด แกง หรือ ทอด แม้ระยะหลังคนไทยมีความนิยมในการรับประทาน ปิ้ง ย่าง ชาบู และ สเต๊ก แต่ยังไม่เท่ากับในต่างประเทศ

ผศ.ดร.รุจริน กล่าวแนะนำว่า สำหรับวิธีการเลือกซื้อเนื้อสัตว์ให้ปลอดภัย ให้เลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ จากโรงแปรรูปหรือแหล่งผลิตที่มีมาตรฐาน มีตราสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค และลดความเสี่ยงด้านความไม่ปลอดภัย หากเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่ผลิตออกมาเป็นผลิตภัณฑ์แล้วให้สังเกตที่เครื่องหมาย อย. ในขณะเลือกซื้อเนื้อสัตว์ควรเตรียมกระติกที่บรรจุน้ำแข็ง หรือบรรจุภัณฑ์เก็บความเย็นสำหรับเก็บเนื้อสัตว์ขณะเดินทาง เพื่อลดความเสี่ยงของเชื้อจุลินทรีย์ที่จะทำให้เนื้อสัตว์เน่าเสียหรือก่อโรคได้ และให้รีบนำเนื้อสดเข้าตู้เย็นให้เร็วที่สุด หากยังไม่ได้ประกอบอาหารในทันที ควรบรรจุในภาชนะที่ปิดมิดชิดและนำเข้าช่องแช่แข็ง หากจะนำมาใช้ ให้ละลายน้ำแข็งในตู้เย็น แม้อาจใช้เวลาเป็นวันแต่เป็นวิธีที่ดีกว่าการนำออกมาละลายน้ำแข็งในอุณภูมิห้อง ดังนั้นจึงอาจต้องวางแผนล่วงหน้า และไม่ควรทิ้งไว้ที่อุณหภุมิห้องเป็นเวลานาน ควรเก็บเนื้อสัตว์ให้อยู่ในตู้เย็นเสมอ หากใช้ไม่หมดให้ใส่กลับในภาชนะปิดให้เรียบร้อยและนำเข้าช่องแข็งตามเดิม เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาให้นานขึ้น

ขณะเดียวกัน การรับประทานเนื้อสัตว์ต้องปรุงให้สุก ไม่รับประทานแบบสุกๆ ดิบๆ เพราะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค สำหรับการบริโภคควรรับประทานอาหารให้หลากหลาย ครบ 5 หมู่ ไม่รับประทานอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆ ในปริมาณที่มากจนเกินไป ทานร่วมกับผักและผลไม้ที่ให้กากใยสูง เพื่อให้เกิดความสมดุล และดีต่อสุขภาพ อีกทั้งการปรุงอาหารให้หลีกเลี่ยงการปิ้ง ย่าง ไม่รับประทานบ่อยจนเกินไป และปรุงอาหารด้วยเครื่องเทศ หรือสมุนไพรของไทย ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ ยิ่งจะทำให้ดีต่อสุขภาพดียิ่งขึ้น และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ ผศ.ดร.รุจริน กล่าวย้ำ

OR ขึ้นทำเนียบธุรกิจที่มีความยั่งยืน “The Sustainability Yearbook 2023” จาก S&P Global

OR ได้รับการคัดเลือกจาก S&P Global ให้อยู่ในทำเนียบธุรกิจที่มีความยั่งยืน “The Sustainability Yearbook 2023” กลุ่มธุรกิจ Retailing ภายหลังจาก OR เข้าร่วมประเมินความยั่งยืนในระดับสากลในปีแรกที่เข้าร่วม ตอกย้ำความเชื่อมั่นและการยอมรับจากนักลงทุน รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียในระดับสากล

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า การที่ OR ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในทำเนียบธุรกิจที่มีความยั่งยืน หรือ “The Sustainability Yearbook 2023” ในครั้งนี้ เป็นผลจากการเข้าร่วมประเมินความยั่งยืนระดับสากลโดย S&P Global โดยในปี 2565 มีบริษัทเข้าร่วมการประเมินมากกว่า 7,500 บริษัททั่วโลก แบ่งเป็น 61 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยบริษัทที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกให้ได้รับประกาศรายชื่อบน Sustainability Yearbook ต้องมีผลคะแนนสูงสุดเป็น 15% แรกจากทุกบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน โดย OR ได้เข้าร่วมการประเมินเป็นปีแรก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินงานด้านความยั่งยืนทั้ง 3 มิติ ของ OR ได้แก่ มิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม มิติเศรษฐกิจและการกำกับดูแลกิจการ สอดคล้องกับเกณฑ์การประเมินระดับสากลของ DJSI (Dow Jones Sustainability Indices)

ทั้งนี้ OR ดำเนินธุรกิจบนรากฐานของความยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ Empowering All Toward Inclusive Growth หรือเติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน ซึ่งสอดคล้องแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน OR’s SDG หรือแนวคิด SDG ในแบบฉบับของ OR ที่จะตอบโจทย์เป้าหมาย OR 2030 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องการสร้างโอกาสเพื่อคนตัวเล็ก (S:Small) ซึ่งมุ่งดำเนินธุรกิจควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชุมชน และการสร้างโอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ (D:Diversified) โดยเน้นการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ ด้วยการร่วมลงทุนในหลายธุรกิจเพื่อผนึกกำลังประสานจุดแข็งและเติบโตไปพร้อมกับ OR ผ่านช่องทางการตลาดที่แข็งแกร่งของ OR “Inclusive Growth Platform” ทั้ง Physical Platform และ Digital Platform ตลอดจนการสร้างโอกาสเพื่อสังคมสะอาด (G:Green) โดยให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมธุรกิจทุกประเภทให้เป็นธุรกิจสีเขียว เพื่อสนับสนุนให้เกิดสังคมคาร์บอนต่ำ โดยมีเป้าหมายสู่การเป็น Carbon Neutrality ในปี 2030 และ Net Zero ในปี 2050

วิศวะจุฬา-กสทช.-กทปส.-AIS โชว์ผลทดสอบ รถ 5G EV ไร้คนขับอัจฉริยะ หนุนไทยก้าวสู่ Smart City

หลังจากประเทศไทยเริ่มมีการให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ โดยเอไอเอส เป็นรายแรกในปี 2563 กสทช. ได้เดินหน้าต่อเนื่อง ส่งเสริม 5G ขับเคลื่อน สร้างประโยชน์และความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจดิจิทัล ในอุตสาหกรรมหลักให้ได้มากที่สุด โดยกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ได้ผลักดันให้นำ 5G ไปประยุกต์ใช้ จึงเกิดเป็นโครงการ “ทดลองการสื่อสารด้วยระบบ 5G สำหรับรถไร้คนขับ” โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับทุน และร่วมมือกับ Smart Mobility Research Center (Smart MOBI) และ AIS 5G ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 จนถึงปัจจุบัน ที่ได้ผลการทดลองทดสอบเบื้องต้นเป็นประโยชน์ตามเป้าหมายอย่างยิ่ง

นายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน รองเลขาธิการ กสทช. กล่าวในงาน Demoday ของโครงการนี้ว่า “5G คือ เทคโนโลยีที่จะมาขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ประเทศไทยเป็น 1 ในฐานการผลิต ดังนั้นหากเรามีการทดลอง ทดสอบการนำเอาแนวคิดของปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยในการขับขี่ ด้วยรูปแบบของระบบควบคุมยานยนต์อัตโนมัติ (Fully Automated) ผ่านเครือข่าย 5G ได้ ก็จะเท่ากับเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้มีความทันสมัย ขยายการเติบโต และสร้าง Smart City ให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม”

ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “เรายินดีอย่างยิ่งที่ได้ทำงานวิจัย ทดลอง ทดสอบ ในครั้งนี้ ด้วยเป้าหมายคือ ให้ทีมนักวิจัยพัฒนารถขับเคลื่อนอัตโนมัติขั้นที่ 3 กล่าวคือ ให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ด้วยตัวเอง ภายในสภาพแวดล้อมที่กำหนด และรองรับการสื่อสารระหว่างรถกับสรรพสิ่งผ่านโครงข่าย 5G รวมถึงพัฒนาและทดสอบ Use cases ต่างๆ ในระหว่างการทดลองให้บริการ ซึ่งผลการทดสอบเบื้องต้นเป็นไปอย่างราบรื่น”

ดร. ธีรศักดิ์ อนันตกุล หัวหน้าแผนกงานวางแผนและพัฒนาโครงข่ายวิทยุ เอไอเอส กล่าวว่า “ครั้งนี้ AIS ได้นำเทคโนโลยี 5G SA ด้วยคลื่น n41 หรือ 2600 MHz เพื่อตอบโจทย์ทั้งในเรื่องความหน่วงเวลาที่ต่ำมาก และเรื่องการดาวน์โหลด อัพโหลดข้อมูลในปริมาณมาก ๆ มาร่วมทดสอบ โดยกรณีนี้คือ การ Streaming Video จากกล้องซึ่งมีอยู่หลายตัวทั้งในและนอกตัวรถ และมีการรับส่งข้อมูลตลอดเวลาระหว่างรถและศูนย์ควบคุม นอกจากนี้ ระบบการสื่อสารระหว่างรถและโครงข่าย (Vehicle-to-Network: V2N Communications) รวมถึงข้อมูลการวิเคราะห์จากระบบปัญญาประดิษฐ์ ก็สามารถรับส่งผ่าน 5G ได้เป็นอย่างดี โดยมีการอัพเดทข้อมูลสำคัญต่างๆ ระหว่างศูนย์ควบคุมและผู้ควบคุมรถได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพตลอดเส้นทางที่รถเคลื่อนที่และจุดจอดตามสถานีต่างๆ”

บล.ทรีนีตี้ – นิด้า เซ็น MOU ร่วมมือถ่ายทอดความรู้ และ ประสบการณ์ตรงด้านลงทุน ยกระดับพัฒนาทักษะนักศึกษา

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด โดย นายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ พร้อมด้วย นางณิยะดา จ่างตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดย ศ.ดร.สรศาสตร์ สุขเจริญสิน คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ และรศ.ดร.ณดา จันทร์สม ผู้อำนวยการหลักสูตรวิศวกรรมการเงิน เพื่อแบ่งปันทรัพยากรและประสบการณ์ ภายใต้ขอบเขตและรูปแบบของกิจกรรมความร่วมมือที่จะร่วมกันส่งเสริมให้เกิดขึ้น เพื่อพัฒนานักศึกษา และบุคลากรของทั้งสองฝ่าย

หลักสูตรดังกล่าว เป็นความร่วมมือของคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ซึ่งเปิดให้มีการเรียนการสอนหลักสูตรปริญญาตรีควบปริญญาโท สาขาวิชาวิศวกรรมการเงิน และกำหนดให้นักศึกษาหลักสูตรวิศวกรรมการเงินจัดทำโครงงานวิศวกรรมการเงิน (Financial Engineering Project) โดยร่วมมือกับองค์กรภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นที่มาของการลงนาม MOU ในครั้งนี้

นายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับองค์กรภาคอุตสาหกรรมการเงิน เพื่อยกระดับในการพัฒนานักศึกษา และบุคลากรของทั้ง 2 องค์กร โดยมีเป้าหมายให้นักศึกษาได้เพิ่มทักษะชีวิต ความรู้ และการทำงานแบบมืออาชีพ

ด้าน ศ.ดร.สรศาสตร์ สุขเจริญสิน คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการ MOU ในครั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จะจัดทำโครงงานวิศวกรรมการเงินร่วมกับนักศึกษาหลักสูตรวิศวกรรมการเงิน (English Program) ชั้นปีที่ 4 โดยจะให้โจทย์ความต้องการของลูกค้านักลงทุน และของบริษัทในเชิงธุรกิจ และมอบหมายให้นักศึกษาได้พัฒนาโครงงานที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ของบริษัท ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง/ที่ปรึกษา ซึ่งจะทำให้นักศึกษาได้รับการเรียนรู้ ประสบการณ์ตรงในชีวิตจริง และได้แลกเปลี่ยนความรู้จากผู้เกี่ยวข้องโครงงานวิศวกรรมการเงินได้อย่างเต็มที่