Home Blog Page 87

“บัตรเดบิต ออมสิน อุ่นใจ”  คุ้มครองชีวิต

0

บัตรเดบิต เป็นเครื่องมือชำระค่าสินค้าและบริการที่เป็นที่นิยมประเภทหนึ่ง เพราะมีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยกว่าการพกเงินสด นอกจากนี้ การใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต ยังช่วยให้ง่ายต่อการตรวจสอบธุรกรรมการเงิน ไม่ว่าจะเป็นยอดเงิน หรือประวัติการใช้จ่าย ซึ่งหากใช้บัตรเดบิตอย่างถูกต้อง ควบคู่กับการมีวินัยการเงินด้วยแล้ว ยังจะช่วยในเรื่องของการบริหารจัดการเงิน  สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายเป็นไปตามแผนการเงิน นอกจากนี้ ผู้ให้บริการบัตรเดบิตยังมีข้อเสนอด้านโปรโมชัน หรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น ส่วนลดค่าสินค้าบริการหรือคะแนนสะสม   ดังนั้น ผู้ใช้บริการจึงควรศึกษาเพื่อเปรียบเทียบข้อเสนอและเงื่อนไขของผู้ให้บริการแต่ละราย เพื่อเลือกบัตรเดบิตที่เหมาะกับความต้องการของตัวเองมากที่สุด

ธนาคารออมสิน  ออกบัตรเดบิตใหม่ล่าสุด   “บัตรเดบิต ออมสิน อุ่นใจ”  บัตรเดบิตใบแรกและใบเดียวที่ให้ความคุ้มครองชีวิต เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบัตรเดบิตที่สามารถใช้ทั้งชำระค่าสินค้าและบริการ ถอนเงินสด และโอนเงิน และที่สำคัญ คือ การได้รับสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองจากการเสียชีวิตทุกกรณีและความคุ้มครองอุบัติเหตุ และค่ารักษาพยาบาล เนื่องจากอุบัติเหตุ

 “บัตรเดบิต ออมสิน อุ่นใจ” มีจุดเด่นที่บัตรเดบิตอื่นๆ ไม่มี คือ ความคุ้มครองชีวิตที่ให้สูงสุดถึง 600,000 บาท  และ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ 30,000 บาท/อุบัติเหตุแต่ละครั้ง โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ระยะเวลาคุ้มครองต่อเนื่องจนถึงอายุ 80 ปี  ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าธรรมเนียมที่คำนวณแล้วเท่ากับจ่ายเพียงวันละ 4.38 บาทแล้ว ถือว่า คุ้มค่ากับความคุ้มครอง และผลประโยชน์ที่ได้รับจากบัตรเดบิตใบนี้

ผู้สนใจอยากเป็นเจ้าของบัตรเดบิต ออมสิน อุ่นใจ เพียงเตรียมบัตรประชาชน กับสมุดบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียก ไปติดต่อที่ธนาคารออมสินทุกสาขาได้เลยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  หรือสามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่https://shorturl.asia/1wHFo

หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center  1115 หรือ ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th และ Facebook : GSB Society

*เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารและบริษัทฯ กำหนด

⚠️ รับประกันภัยโดย บมจ.ทิพยประกันชีวิต

⚠️ ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

ตลท. ขึ้นเครื่องหมาย H หุ้น EA พร้อมถอดจาก SET ESG Ratings

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษนายสมโภชน์ อาหุนัย และนายอมร ทรัพย์ทวีกุล กรรมการ และผู้บริหาร บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ (EA) รวมทั้งนายพรเลิศ เตชะรัตโนภาส ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีร่วมกระทำการทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้แก่ตนเองและ/หรือผู้อื่น และได้ส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยคณะทำงานเพื่อการลงทุนอย่างยั่งยืน ได้มีมติถอด EA ออกจากรายชื่อหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings เนื่องจากบริษัทฯ ขาดคุณสมบัติตามเกณฑ์ SET ESG Ratings ที่กำหนดไว้ว่า “ต้องไม่เป็นบริษัทที่ถูกกล่าวโทษหรือได้รับการตัดสินความผิดจากทางการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือมีกรรมการหรือผู้บริหารถูกกล่าวโทษหรือได้รับการตัดสินความผิดจากทางการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องการกำกับดูแลกิจการ การสร้างผลกระทบด้านสังคมหรือสิ่งแวดล้อม” โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2567

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งหยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ของ EA ชั่วคราวในช่วงเช้าของวันที่15 กรกฎาคม 2567 โดยขึ้นเครื่องหมาย “H” จนกว่า EA จะชี้แจงข้อมูลได้ครบถ้วนเกี่ยวกับผลกระทบฐานะการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากภาระหนี้สินโดยเฉพาะเงินกู้และหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระภายในปี 2567 และแนวทางที่ชัดเจนในการชำระหนี้ดังกล่าว รวมทั้งผลกระทบต่อการบริหารจัดการกิจการของบริษัทจากกรณีผู้บริหารคือ นายสมโภชน์ อาหุนัย (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร) และนายอมร ทรัพย์ทวีกุล (CFO) พ้นจากตำแหน่ง ทั้งนี้ เพราะเป็นข้อมูลที่มีนัยสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อฐานะการเงิน การบริหารกิจการ รวมทั้งการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ของ EA

รู้เก็บรู้ออม : 3 ธีมเด็ดหุ้นนอก!!

0

การลงทุนหุ้นต่างประเทศ อาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับนักลงทุน แต่ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเหมือนเมื่อก่อน เพราะการสนับสนุนและผลักดันเครื่องไม้เครื่องมือการลงทุนที่เอื้อต่อการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ ทำให้เดี๋ยวนี้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยสามารถเด็ดปีกนางฟ้า คว้าหุ้นตัวท็อปของโลกมาเก็บสะสมในพอร์ตน้อยๆของตัวเองได้

ตราสารแสดงสิทธิหลักทรัพย์ต่างประเทศทั้ง DR และ DRx ได้ช่วยเปิดประตูให้นักลงทุนไทยโกอินเตอร์ แบบไม่ต้องไปเริ่มต้นเป็นนักลงทุนฝึกหัดในตลาดหุ้นต่างแดน โดยสามารถใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีอยู่ ทำรายการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ บนตลาดหุ้นไทยด้วยเงินสกุลบาท ไม่แตกต่างกับการเทรดหุ้นไทย ต้องยอมรับว่าการกระจายการลงทุนไปในต่างประเทศ นับวันจะยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นการกระจายความเสี่ยง และเพิ่มความหลากหลายในการลงทุนมากยิ่งขึ้น

และที่น่าสนใจคือปัจจุบัน DR และ DRx ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ล้วนเป็นบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลก จะหุ้นจีน หรือ หุ้นสหรัฐฯ ตัวเด็ดตัวจี๊ด ถูกคัดมาให้นักลงทุนได้ตัดสินใจเลือกลงทุนตามปรารถนา สำหรับนักลงทุนที่อยากเทรดหุ้นต่างประเทศ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี ตลาดหลักทรัพย์ฯได้รวบรวม 3 ธีมลงทุน ปั้นพอร์ตหุ้นนอก อนาคตไกล มาไว้ให้แล้ว

ธีมลงทุนแรกคือลงทุนกับกลุ่ม Tech Innovators (ผู้พัฒนานวัตกรรมเปลี่ยนโลก) มุ่งเน้นหุ้นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน เช่น ASML01 อ้างอิงหุ้น ASML Holding N.V. ผู้ผลิตเครื่องผลิตชิปให้กับโรงงานผลิตชิปทั่วโลก, NVDA80X อ้างอิงหุ้น NVIDIA Corporation ผู้นำการผลิตการ์ดจอ, GOOG80X อ้างอิงหุ้น Alphabet Inc. เจ้าของ Search Engine อันดับ 1 ของโลกอย่าง Google กับแพลตฟอร์มวิดีโอ Youtube, TENCENT80 อ้างอิงหุ้น Tencent ผู้พัฒนาเกมและเจ้าของแพลตฟอร์มออนไลน์ยักษ์ใหญ่ในจีน และ MSFT80X อ้างอิงหุ้น Microsoft ผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่

ถัดมาคือ ธีมลงทุนกลุ่ม Industry Leaders (ผู้นำอุตสาหกรรมแห่งยุค) มุ่งเน้นไปที่หุ้นบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น PINGAN80 อ้างอิงหุ้น Ping An Insurance (Group) บริษัทประกันรายใหญ่เบอร์หนึ่งของจีน, NFLX80X อ้างอิงหุ้น Netflix ผู้ให้บริการสตรีมมิงหนังรายใหญ่ของโลก, BYDCOM80 อ้างอิงหุ้น BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่, SIA19 อ้างอิงหุ้น SINGAPORE AIRLINES สายการบินอันดับหนึ่งของโลก, LVMH01 อ้างอิงหุ้น LVMH เจ้าใหญ่ตลาดสินค้าแบรนด์หรูอย่าง Louis Vuitton, Christian Dior

และ ธีมสุดท้าย ลงทุนในกลุ่ม Diversified Growth (กระจายลงทุน กลุ่มดัชนีชั้นนำระดับโลก) เช่น JAPAN13 อ้างอิงกองทุน ETF “China AMC MSCI Japan Hedged to USD ETF” ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น, FUEVFVND01 อ้างอิงกองทุน ETF “DCVFMVN DIAMOND ETF” ลงทุนในหุ้นเวียดนาม, HKCE01 อ้างอิงกองทุน ETF “Hang Seng China Enterprises Index ETF” ลงทุนในหุ้นจีน, HK13 อ้างอิงกองทุน ETF ที่ลงทุนหุ้นจีนในตลาดหุ้นฮ่องกง อ้างอิงดัชนี Hang Seng และ NDX01 อ้างอิงกองทุน ETF ที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีระดับโลก อ้างอิงดัชนี NASDAQ100 เป็นต้น

ศึกษารายละเอียดการลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่าน DR และ Drx ได้ที่ www.setinvestnow.com  เพื่อเลือกซื้อหุ้นอนาคตไกลสะสมเข้าพอร์ต เพิ่มโอกาสและศักยภาพการลงทุนให้กับตัวเอง!

คุณนายพารวย

CPF ได้รับการต่ออายุเป็นสมาชิก CAC ตอกย้ำความมุ่งมั่นองค์กรโปร่งใสและยั่งยืน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ได้รับการรับรองต่ออายุเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสตามแนวทาง ESG รวมทั้งเดินหน้าขยายเครือข่ายการกำกับดูแลกิจการที่ดี สนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน

นางสาววิภาวรรณ ประมูลความดี รองกรรมการผู้จัดการบริหาร สำนักตรวจสอบภายในและสำนักบริหารความเสี่ยงองค์กรของซีพีเอฟ เป็นตัวแทนรับมอบใบประกาศนียบัตรรับรองการเป็นสมาชิก CAC จาก นายอนุวัฒน์ จงยินดี กรรมการรับรองแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทยในงาน “CAC Certification Ceremony 2024: Business Beyond CAC – Spotlight on Supply Chain” ซึ่งจัดขึ้นประกาศเกียรติคุณบริษัทที่ผ่านการรับรอง CAC

ซีพีเอฟ ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานของการกำกับดูแลกิจการที่ดีตามแนวทาง ESG ปฏิบัติตามนโยบายต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชันอย่างเคร่งครัด มุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรและค่านิยมในการดำเนินงานที่ซื่อสัตย์ สุจริต ตรวจสอบได้ และปราศจากทุจริตและคอร์รัปชัน บริษัทได้จัดทำแนวปฏิบัติด้านการต่อต้านคอร์รัปชันที่ครอบคลุม พร้อมทั้งสื่อสารสร้างความตระหนักและให้ความรู้แก่ผู้บริหารและพนักงานทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ เปิดช่องทางรับเรื่องร้องเรียนและแจ้งเบาะแสที่เป็นอิสระ ตลอดจนมีการสอบทานการปฏิบัติตามนโยบายเป็นประจำให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ กฎระเบียบข้อบังคับทั้งระดับประเทศและสากล

“การเป็นสมาชิก CAC สอดคล้องกับปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืนของเครือซีพี ที่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศ ประชาชน และบริษัท โดยเชื่อว่าการดำเนินธุรกิจที่โปร่งใสจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจ สังคม และองค์กร” นางสาววิภาวรรณกล่าว

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังร่วมโครงการ CAC Change Agent สนับสนุนคู่ค้าธุรกิจกลุ่ม SMEs ในการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานที่โปร่งใส โดยส่งเสริมให้ความรู้และความช่วยเหลือในการพัฒนาเครื่องมือและมาตรการควบคุมความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองในโครงการรับรอง SME CAC Certification เพื่อสร้างแต้มต่อในการดำเนินธุรกิจแก่ผู้ประกอบการรายย่อยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้ในปี 2566 ที่ผ่านมา ซีพีเอฟได้รับรางวัล CAC Change Agent 3 ปีติดต่อกัน

เอไอเอส จับมือ นิคมอุตฯ เอเชีย คลีน ชลบุรี นำศักยภาพโครงข่ายอัจฉริยะ ก้าวสู่ Smart Industrial 4.0

0

เอไอเอส เดินหน้าขยายโครงข่ายอัจฉริยะ 5G และโครงข่ายใยแก้วนำแสง ให้มีความครอบคลุมสูงสุด พร้อมเชื่อมต่อการทำงานกับภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการในภาคการผลิต เพื่อพร้อมรับมือต่อการเติบโตในอนาคต ล่าสุดได้จับมือกับนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรี นำศักยภาพของโครงข่าย 5G และ โครงข่ายใยแก้วนำแสงดังกล่าว เสริมศักยภาพการบริหารจัดการด้าน Network Infrastructure รวมถึงยกระดับนิคมอุตสาหกรรม สู่การเป็น Smart Industrial 4.0 ที่สมบูรณ์แบบ อันจะเป็นการต่อยอดการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม และภาคการผลิตของภาคตะวันออกต่อไป

นายสมภพ กิตติวิรุฬห์วัฒน รักษาการหัวหน้างานปฏิบัติการภูมิภาค-ภาคตะวันออกบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “เป้าหมายของเราคือนำศักยภาพของโครงข่ายอัจฉริยะสนับสนุนและส่งเสริมประสิทธิภาพให้แก่ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงภาคการผลิต ผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐ และ ภาคเอกชน อย่าง นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อวาง Digital Infrastructure รวมถึงการพัฒนาโซลูชันด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในการที่จะเข้าไปผลักดัน ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้มีขีดความสามารถ และศักยภาพที่พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบ อีกทั้งเรายังเชื่อว่าการมีองค์ประกอบด้านเทคโนโลยีในทุกกระบวนการทำงานภายใต้ Digital Ecosystem จะสามารถช่วยสร้างความแตกต่าง รวมทั้งสร้างแรงดึงดูดจากนักลงทุนต่างๆ ให้เข้ามาร่วมกันสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน”

สำหรับความร่วมมือกับนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรีในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญต่อการทำงานกับภาคธุรกิจในภาคตะวันออกที่นับว่าเป็นอีกพื้นที่ศักยภาพด้านการผลิต โดยเราได้วาง Digital Infrastructure จากโครงข่ายอัจฉริยะ AIS 5G และ โครงข่ายใยแก้วนำแสง เพื่อให้พร้อมรองรับและเสริมศักยภาพการบริหารจัดการ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการภายในนิคมฯ สามารถใช้ศักยภาพจากโครงข่ายสัญญาณได้เต็มประสิทธิภาพ รวมทั้งบริการ Smart Solution ต่างๆ อาทิ 5G Private Network, 5G Smart factory ระบบบริหารจัดการโรงงานอัจฉริยะ อื่นๆ ที่เรามีความพร้อมในการพัฒนาเพื่อร่วมกันยกระดับภาคอุตสาหกรรมของจังหวัดชลบุรีให้มีขีดความสามารถและพร้อมแข่งขันในอนาคตต่อไป”

ด้าน คุณมงคล พฤกษ์วัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท เอเชีย คลีน อินดัสเตรียล เอสเตท จำกัด กล่าวว่า “การร่วมมือกับเอไอเอสครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการยกระดับนิคมอุตสาหกรรม สู่การเป็น Smart Eco Industrial Estate หรือนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next – Generation Automotive) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) และ
กลุ่มอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) และ อุตสาหกรรมดิจิตอล (Digital)

นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรี เป็นนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้การกำกับดูแลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีพื้นที่ประมาณ 1,294 ไร่ ประกอบด้วย พื้นที่อุตสาหกรรม 75% พื้นที่ระบบสาธารณูปโภค 15% พื้นที่สีเขียว 10% โดย ทำเลที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรี ตั้งอยู่บนพื้นที่ใกล้ทางหลวงหมายเลข 331 มุ่งหน้าสู่ท่าเทียบเรือน้ำลึกแหลมฉบัง อีกทั้งยังมีแนวเส้นถนนมอเตอร์เวย์ M61 ซึ่งเริ่มต้นจากท่าเทียบเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ตัดผ่านหน้าโครงการ ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกรวดเร็วและประสิทธิภาพในการส่งออกสินค้าเพื่อส่งต่อไปยังตลาดต่างประเทศ พื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรี เป็นที่ราบเชิงเขา ไม่เสี่ยงต่อน้ำท่วม เมื่อรวมกับการจัดการเป็นนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะเชิงนิเวศด้วยระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัย มีพื้นที่สีเขียวที่สมดุล พื้นที่สำรองน้ำขนาดใหญ่ พร้อมด้วยวิสัยทัศน์ที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีพัฒนาให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมอัจฉริยะเชิงนิเวศเติบโตและอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืนซึ่งนิคมฯ มุ่งเน้นในการให้การประกอบกิจการที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการขับเคลื่อน และเป็นกลไกที่สำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะเดียวกันก็มีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาพื้นที่ชุมชน สร้างความเป็นมิตรต่อชุมชน สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชุมชน พร้อมกับการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันและแก้ไข และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม

นอกเหนือจากการร่วมมือกับ AIS ในเรื่องโครงข่ายอัจฉริยะ 5G (Telecommunication 5G) และโครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fibre Optics Network) นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรี ยังมีการเตรียมความพร้อมด้านไฟฟ้าพลังงานทดแทนสำหรับ RE 100 อีกทั้งยังจัดให้มีแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าสำคัญ ด้วยสถานีไฟฟ้า 115 kV (Substation 115 kV) ที่ติดตั้งภายในนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงจัดให้มีกำลังไฟฟ้าสนับสนุนจากสถานีไฟฟ้าในพื้นที่อีก 2 แห่ง ความพร้อมดังกล่าว จะยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรี ให้เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความก้าวหน้า สร้างโอกาสและเชื่อมโยงธุรกิจท้องถิ่นไปสู่การแข่งขันในสากลในยุคที่ความเร็วและความเชื่อมต่อที่เสถียรเป็นสิ่งจำเป็นพร้อมที่จะนำพาชุมชนไปสู่อนาคตดิจิทัลที่ยั่งยืน

นายสมภพ กล่าวในช่วงท้ายว่า “AIS ในฐานะองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-CO ยังคงเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้ให้บริการดิจิทัลเทคโนโลยีที่สามารถส่งมอบประสบการณ์รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการทำงานของพาร์ทเนอร์ เพราะเราเชื่อว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีที่แข็งแรงจะมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและการผลิต ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพภาคการผลิตนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก รวมถึงผู้ประกอบการภายในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรี ให้พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง เปิดรับโอกาส ความท้าทายและการแข่งขัน”

‘อนุวัฒน์ ศรีโฉม’ เก็บเกี่ยวประสบการณ์สัตวบาล 10 ปีผันมาเลี้ยงหมู “คอนแทรคฟาร์มมิ่ง” กับซีพีเอฟ

0

การได้เข้าไปเยี่ยมชมฟาร์มเลี้ยงหมูของเกษตรกรคอนแทรคฟาร์มมิ่งกับซีพีเอฟ เมื่อตอนที่เรียนชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาสัตวศาสตร์ ภาควิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กลายเป็นการจุดประกายสำคัญที่ทำให้ อนุวัฒน์ ศรีโฉม ตั้งความหวังว่าสักวันหนึ่งจะต้องได้เป็นเจ้าของกิจการฟาร์มเลี้ยงหมูและประสบความสำเร็จแบบนั้นให้ได้

หลังเรียนจบ อนุวัฒน์ เริ่มต้นอาชีพสัตวบาลฟาร์มเลี้ยงสุกร กับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด หรือซีพีเอฟ เมื่อปี 2557 รับผิดชอบดูแลฟาร์มปิดของบริษัท เริ่มจากการเลี้ยงหมูขุน และย้ายไปดูหน่วยผสม-คลอด จากนั้นมีโอกาสได้ไปดูแลเกษตรกรที่โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จ.ฉะเชิงเทรา ทำให้ได้เรียนรู้ระบบการบริหารจัดการในรูปแบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง โดยรับผิดชอบแลเกษตรกรที่นี่ 4 ปี จึงขอย้ายไปดูแลฟาร์มหมูของบริษัทที่ขอนแก่นและหนองคาย เพื่อให้สามารถดูแลภรรยาที่ตั้งท้องได้ใกล้ชิดขึ้น ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีแนวคิดที่จะสานฝันทำฟาร์มเลี้ยงหมูของตนเอง

การได้เป็นสัตวบาลกับซีพีเอฟ เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากว่า 10 ปี มีโอกาสรับผิดชอบในทุกหน่วย ทั้งหน่วยผสม-คลอด หมูขุน หมูสาว พ่อพันธุ์ จนถึงฝ่ายขาย ในปี 2566 เขาจึงตัดสินใจลาออกเพื่อเริ่มต้นอาชีพใหม่กับการเป็นเกษตรกรคอนแทรคฟาร์มมิ่ง (Contract Farming) ทำฟาร์มเลี้ยงหมูขุนกับซีพีเอฟ ในโครงการส่งเสริมสุกรขุนอุดรธานี ก่อสร้าง หจก. พรรณนิภาฟาร์ม ที่ตำบลสุมเส้า อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี บนพื้นที่ 10 ไร่ เลี้ยงหมูขุน 2 โรงเรือน ความจุโรงเรือนละ 800 ตัว การเลี้ยงหมูอยู่ภายใต้มาตรฐานฟาร์มของกรมปศุสัตว์ โดยนำประสบการณ์ทั้งหมดมาปรับใช้ทั้งหมด เน้นการปรับสภาพแวดล้อมในโรงเรือนให้ดี อากาศดี คูลลิ่งแพด (Cooling Pad) ทำงานเต็มประสิทธิภาพ ต้องไม่มีลมร้อนเข้า เล้าปิดมิดชิดไม่มีรอยรั่ว น้ำต้องสะอาด อาหารไม่เป็นฝุ่น

“เริ่มเลี้ยงหมูรุ่นแรกเข้าเลี้ยงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ก็ถึงกำหนดจับหมูออก การเลี้ยงหมูมีประสิทธิภาพดีตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะจุดเริ่มต้นที่ดี ตั้งแต่การรับหมูจากฟาร์มต้นทางที่มีสุขภาพดี เมื่อเรารับไม้ต่อมาเลี้ยงก็ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกหมูในช่วงแรก มีการตรวจสุขภาพเป็นประจำ หากพบหมูป่วยจะแยกออกไปรักษาที่คอกป่วยทันที เน้นการให้อาหารน้อยแต่บ่อยครั้ง มีการกระตุ้นการกินอาหารด้วยการผสมน้ำ ทำให้หมูกินอาหารได้ดี อัตราการเจริญเติบโตดี ไม่ป่วย ทำน้ำหนักได้ดี อัตราเสียหายปัจจุบันไม่ถึง 1%” อนุวัฒน์ เล่า

ที่สำคัญ หจก. พรรณนิภาฟาร์ม ยังใช้การจัดการฟาร์มสมัยใหม่ในรูปแบบสมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm) การควบ Cooling PAD และระบบน้ำ มีระบบให้อาหารอัตโนมัติ Auto Feed การควบคุมพัดลมเชื่อมต่อกับระบบ Biogas และติดตั้ง CCTV ทำให้สามารถดูแลหมูได้โดยที่ไม่ต้องเข้าไปในโรงเรือน ทำให้เห็นความเป็นอยู่ หรือความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกัน ยังช่วยป้องกันโรคได้อย่างดี เพราะสามารถตรวจสอบบุคคลที่ต้องอาบน้ำสระผมก่อนเข้าฟาร์ม และยังวางแผนใช้โซล่าเซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ภายในฟาร์มในระยะอันใกล้นี้

“ฟาร์มของเราดำเนินการตามมาตรฐาน “กรีนฟาร์ม” ของบริษัท ด้วยโมเดลธุรกิจสีเขียว ฟาร์มเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีการปลูกต้นไม้ให้ความร่มรื่น ใช้ระบบ Biogas 100% และกำลังจะติดตั้งระบบกรองกลิ่นท้ายโรงเรือนทำเพื่อป้องกันกลิ่นเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังทำ “โครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” ส่งน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้ว ให้แก่เกษตรกร 2-3 ราย ในพื้นที่ใกล้เคียง ที่มาขอรับน้ำไปใช้ในสวนปาล์มและไร่อ้อย และจะแจกการมูลที่ได้จากระบบ Biogas ที่ตากแห้งแล้ว ให้กับเกษตรกร ช่วยลดค่าใช้จ่ายค่าปุ๋ยได้อีกด้วย” อนุวัฒน์ กล่าว

วันนี้ อนุวัฒน์ ได้ทำตามฝันมีธุรกิจส่วนตัวและได้อยู่กับครอบครัวอย่างที่ตั้งใจ โดยได้วางรากฐานไว้ให้กับลูก พาเขาเข้าไปสัมผัสกับอาชีพของพ่อแม่ ได้ลงมือดูแลหมูด้วยตัวเอง และเขาเชื่อว่านี่จะเป็นมรดกอาชีพในอนาคตของลูกๆ ได้อย่างแน่นอน.

นวัตกรรมเนื้อสัตว์ หมู-ไก่ มีโอเมก้า-3 ดีต่อสุขภาพ

0

โอเมก้า-3 กรดไขมันดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย ปัจจุบันมีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเป็นส่วนผสมในอาหารสำหรับเลี้ยงหมู-ไก่ ส่งเสริมให้ผู้บริโภคเข้าถึงสารอาหารที่มีคุณค่าอย่างโอเมก้า-3 ได้ง่ายขึ้น

รศ.ดร.พัชราณี ภวัตกุล หัวหน้าภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โอเมก้า-3 เป็นกรดไขมันดี ที่มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพ ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โดยกลไกของโอเมก้า-3 จะช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ลดการอักเสบ และทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น เลือดไม่อุดตันเป็นลิ่มเลือด ทำให้ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

รศ.ดร.พัชราณี ภวัตกุล

ไขมันในอาหาร มีทั้งไขมันชนิดดีและไม่ดี โดยชนิดที่ไม่ดี อาทิ ไขมันอิ่มตัว (Saturated fat) ไขมันทรานส์ (Trans fat) หากรับประทานมากเกินไปก็จะทำให้คอเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL) สูงขึ้น และคอเลสเตอรอลตัวที่ดี (HDL) ลดลง ขณะที่การรับประทานอาหารที่เป็นไขมันชนิดดี เช่น ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดียว จะช่วยลดไขมันตัวร้ายและไตรกลีเซอร์ไรด์ลง โอเมก้า-3 อาจเพิ่มไขมันตัวที่ดี ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพ

“โอเมก้า-3 มาจากอาหารธรรมชาติที่เรารับประทานเข้าไป โดยแหล่งของโอเมก้า-3 พบได้ในปลา ปลาทะเล หรือปลาที่มีไขมันที่ค่อนข้างมาก ส่วนในปลาไทยก็มี เช่น ปลาทู ปลาทับทิม นอกจากนี้ ยังมีในถั่วเปลือกแข็ง อาทิ ถั่ววอลนัท พิสตาชิโอ เป็นต้น” รศ.ดร.พัชราณี กล่าว

ปัจจุบัน มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารใหม่ๆ ที่สามารถเติมโอเมก้า-3 ลงไปในอาหารได้ โดยในต่างประเทศผลิตภัณฑ์อาหารที่นิยมเติมโอเมก้า-3 ลงไปเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ อาทิ ไข่ นม ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมี “เนื้อสัตว์” ที่เพิ่มโอเมก้า-3 โดยการเลี้ยงด้วยนวัตกรรมสูตรอาหารสัตว์ที่ทำให้เนื้อสัตว์มีโอเมก้า-3 สูง เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้บริโภคที่ทำให้สามารถเข้าถึงโอเมก้า-3 ได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น

จากรายงานด้านสุขภาพของสหรัฐอเมริกา พบว่า ปริมาณโอเมก้า-3 ในการรับประทานที่เหมาะสม ในวัยผู้ใหญ่เพศหญิงปริมาณแนะนำอยู่ที่ 1.1 กรัมต่อวัน ในผู้ชาย 1.6 กรัมต่อวัน โดยอาหารที่เป็นแหล่งโอเมก้า-3 มีหลากหลาย และแต่ละชนิด ปริมาณของกรดไขมันแตกต่างกัน อาหารง่ายๆ ที่แนะนำให้บริโภค คือ เนื้อปลา ปลาทะเล อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละปริมาณ 2-4 ช้อนกินข้าว หรือ น้ำมันปลา น้ำมันคาโนล่า หรือ พวกถั่วเปลือกแข็ง อาจบริโภคให้บ่อยมากขึ้น 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็จะทำให้ร่างกายได้รับปริมาณโอเมก้า-3 ที่เหมาะสม

รศ.ดร.พัชราณี ภวัตกุล ย้ำว่า อาหารสามารถป้องกันโรคได้ ขณะเดียวกันก็สามารถทำให้เราเกิดโรคได้เช่นกัน หากกินไขมันสูงไป น้ำตาลมากเกินไป หรือ เค็มเกินไป ดังนั้นจึงควรบริโภคให้ได้สารอาหารครบถ้วนทุกหมู่ และการเลือกอาหารที่เหมาะสม เช่น ข้าวไม่ขัดสี เลือกที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ที่มีประโยชน์ในการสร้างพลังงานในร่างกาย ช่วยในการรักษาสุขภาพและควบคุมน้ำหนัก ธัญพืชที่ไม่ขัดสี เนื้อสัตว์ชนิดที่ไขมันต่ำ เพิ่มการบริโภคผักผลไม้ ถั่วต่างๆ ให้มากขึ้น รวมถึง ไขมัน หากเลือกไขมันที่ดี ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพ หากกินอาหารทุกอย่างอย่างสมดุลในปริมาณที่เหมาะสม ถูกต้องตามสัดส่วน ตามปริมาณที่แนะนำจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโรค ชีวิตเราก็จะมีคุณภาพที่ดี และมีชีวิตยืนยาว./

อีกด้านของ “ปลาหมอสีคางดำ” ลักลอบนำเข้าเพื่อส่งออก

0

ปลาหมอสีคางดำ (Blackchin Tilapia) ปลาเอเลี่ยนสปีชีส์ (Alien Species) ชนิดพันธุ์ปลาต่างถิ่นรุกราน (Invasive alien species) ปรับตัวได้ดีทั้ง 3 น้ำ คือ น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม และเป็นปลาที่มีความแข็งแรง มีความอึดอยู่ในสภาพน้ำที่ไม่สะอาดได้ ซึ่งขณะนี้ระบาดในจังหวัดที่ติดชายฝั่งทะเล 14 จังหวัด ทำให้ตื่นตัวไล่ล่าปราบปลาตัวร้ายตัวให้หมดสิ้น ตามแนวทางการแก้ปัญหาเร่งด่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด้วยวิธีการจับและเพิ่มการบริโภค 

ข้อมูลเว็บไซด์ของกรมประมง รายงานว่า ไทยมีการส่งออกปลาหมอสีคางดำ เป็นปลาสวยงามต่อเนื่องช่วงปี 2556-2559 จำนวนมากว่า 320,000 ตัว มูลค่าส่งออกรวม 1,510,050 บาท และส่งออกไป 15 ประเทศ เช่น  แคนาดา ซิมบับเว ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย รัสเซีย มาเลเซีย อาเซอร์ไบจาน เลบานอน ปากีสถาน อียิปต์ สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ อิสราเอล อิหร่าน โปแลนด์ และตุรกี โดยมีปริมาณการส่งออกรวมเฉลี่ยในแต่ละปีตั้งแต่ 10,000-100,000 ตัว ทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตว่า กรมประมงมีการอนุญาตให้นำปลาหมอสีคางดำเข้าในราชอาณาจักรเพียงรายเดียว เพื่อการวิจัยแลปรับปรุงพันธุ์ตามเงื่อนไขของกฎหมาย แล้วพ่อแม่พันธุ์ที่ใช้เพาะเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เพื่อการส่งออกมาจากที่ไหนและใครเป็นผู้นำเข้า

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ยอมรับว่ามีสัตว์เอเลี่ยนส์สปีชีส์หลายชนิดระบาดในประเทศไทย ขณะที่ปลาหมอสีคางดำอาจมีที่มาได้ 2 สมมุติฐาน คือ 1. การลักลอบนำเข้ามาในประเทศ เพราะเรามีการจับปลาลักลอบนำเข้าซึ่งปลาปิรันย่า ได้ที่ดอนเมือง 2. การขออนุญาตนำเข้าปี 2553  เพื่อทดลองวิจัยปรับปรุงพันธุ์ปลานิล ซึ่งอาจมีการหลุดรอดได้ 

กรมประมง มีการรายงานว่า ในปี 2553 บริษัทเอกชนรายหนึ่งมีการนำเข้าจำนวน 2,000 ตัว ซึ่งพบว่ามีปลามีสุขภาพไม่แข็งแรงและมีการตายจำนวนมากในระหว่างทาง ทำให้เหลือปลาที่ยังมีชีวิตแต่อยู่ในสภาพอ่อนแอเพียง 600 ตัว ซึ่งได้รับการตรวจสอบ ณ ด่านกักกันโดยกรมประมง ทั้งนี้เนื่องจากปลามีสุขภาพไม่แข็งแรง จึงมีการตายต่อเนื่อง จนเหลือเพียง 50 ตัว บริษัทจึงตัดสินใจหยุดการวิจัยในเรื่องนี้ โดยมีการทำลายซากตามมาตรฐานและแจ้งต่อกรมประมง พร้อมส่งตัวอย่างซากปลาซึ่งดองในฟอร์มาลีนทั้งหมด 50 ตัวไปยังกรมประมง  

หลังจากนั้น กรมประมงได้มีการแก้ไขประกาศกระทรวงฯ ห้ามนำเข้าปลาหมอสีคางดำ ในปี 2561 ซึ่งช่วงก่อนหน้าประกาศฉบับนี้เป็นช่วงที่มีการนำเข้าปลาหมอสีคางดำมาเพาะพันธุ์เพื่อการส่งออกอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า ปลาหมอสีคางดำ หรือ ปลาหมอคางดำ ยังมีการลักลอบนำเข้ามาในประเทศไทยหรือไม่ เพราะมีเพียงรายเดียวที่นำเข้าและทำลายถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น กรมประมง จึงต้องเป็นผู้พิสูจน์ความถูกต้อง

จนถึงขณะนี้ ภาครัฐยังมีการให้ข้อมูลกับประชาชนน้อยมาก ในเรื่องของปลาชนิดสามารถบริโภคได้ แต่เมื่อมีนามสกุลเป็น “เอเลี่ยนสปีชีส์” ทำให้คนกลัว หากเราบอกว่าปลาชนิดนี้เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ปลานิล ทำเมนูต่างๆ ได้เหมือนเนื้อปลาทั่วไป มีโปรตีนและมีคุณค่าทางโภชนาการ ส่งเสริมให้มีการจับและบริโภคเพิ่มขึ้น และอาจกลายเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมได้ ผลที่ตามมา คือปลาจะลดลงตามลำดับ

การแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าและการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำ ต้องทำแบบบูรณาการทุกภาคส่วนต้องผนึกกำลังกันปฏิบัติตามแนวทางของกระทรวงเกษตรฯ คือ  ควบคุมและกำจัดปลาหมอสีคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด ปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง กำจัดออกจากระบบนิเวศไปใช้ประโยชน์ สำรวจและเฝ้าระวังการแพร่กระจายประชากรปลาหมอสีคางดำในพื้นที่เขตกันชน สร้างความรู้ และการมีส่วนร่วมในการกำจัดปลาหมอสีคางดำ หาแนวทางป้องกันพร้อมทั้งส่งเสริมและกระตุ้นให้จับปลาหมอสีคางดำให้นำมาใช้ประโยชน์เพื่อสร้างรายได้ รวมถึงการติดตาม ประเมินผล และบริหารโครงการ เพื่อลดปริมาณปลาหมอสีคางดำให้ได้มากที่สุด.

CPF ชูนวัตกรรมเกษตรสีเขียว พัฒนาฟาร์มไก่อัจฉริยะ รักษ์โลกยั่งยืน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ นำนวัตกรรมและเทคโนโลยี พัฒนาฟาร์มเลี้ยงไก่อัจฉริยะ (Smart Farm) เพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงตอกย้ำความปลอดภัยทางชีวภาพ(Biosecurity) ยกระดับรูปแบบโรงเรือน ใช้วัสดุก่อสร้างรักษ์โลก บริหารจัดการการใช้พลังงานและการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เปลี่ยนพื้นที่ว่างในฟาร์มและโรงงานเป็นพื้นที่สีเขียว

นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจสัตว์บก ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟเป็นบริษัทผลิตอาหารชั้นนำที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีโภชนาการให้แก่ผู้บริโภค สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ โดยให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ตลอดกระบวนการผลิต ทั้งระบบอัตโนมัติ AI IoT เป็นต้น ควบคู่กับการคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์คุุ้มค่าสูงสุด มีส่วนร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและเพิ่มพื้นที่สีเขียว อาทิ ธุรกิจไก่เนื้อซึ่งเป็นธุรกิจหลักของซีพีเอฟที่มีการนำนวัตกรรมมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงไก่ โดยบริษัทฯ ได้ส่งเสริมให้ฟาร์มบ้านธาตุ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เป็นต้นแบบของฟาร์มไก่ที่มุ่งเน้นการดำเนินงานตามหลักปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) และเป็นฟาร์มที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Farm) มีการใช้พื้นที่ว่างในฟาร์มและโรงงานให้เป็นพื้นที่สีเขียว เกิดประโยชน์ต่อโรงงานและชุมชนรอบข้าง

ครั้งนี้ ซีพีเอฟได้ริเริ่มโครงการ”ป่าในฟาร์ม” เพื่อสานต่อความมุ่งมั่นมีส่วนร่วมสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี รวมถึงสร้างพื้นที่สีเขียวในฟาร์มและโรงงานที่มีศักยภาพในการปลูกต้นไม้ ผ่าน 4 กิจกรรมหลัก คือ อนุรักษ์ฟื้นฟูป่า สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการไม้ใหญ่ในฟาร์ม และการจัดการคาร์บอนเครดิต ซึ่งจะมีการขยายผลไปยังฟาร์มและโรงงานอื่นๆ ของซีพีเอฟต่อไป

ด้านนายพีรพงศ์ กรินชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิศวกรรมกลาง กล่าวว่า ซีพีเอฟมุ่งมั่นพัฒนารูปแบบฟาร์มสมัยใหม่ โดยนำความรู้ด้านวิศวกรรมและระบบฟาร์มอัจฉริยะมาใช้ โดยคำนึงถึงการออกแบบฟาร์มให้มีพื้นที่เลี้ยงเหมาะสม ใช้พื้นที่เต็มประสิทธิภาพ มีระยะป้องกันโรคที่เหมาะสมตามมาตรฐานระดับโลก ยกระดับรูปแบบโรงเรือนใหม่ให้มีการกระจายลมที่เหมาะสม อุณหภูมิสม่ำเสมอ ออกแบบแสงสว่างให้กระจายทั่วทุกพื้นที่ สามารถรองรับการใช้ระบบอัตโนมัติต่างๆ ทั้ง AI IoT ช่วยเก็บข้อมูลการเลี้ยงไก่ มีการบริหารจัดการการใช้พลังงาน อาทิ นำมูลไก่มาผลิตไฟฟ้า เป็นต้น

“ฟาร์มรูปแบบใหม่มีการออกแบบให้ใช้วัสดุก่อสร้างรักษ์โลก อาทิ ใช้คอนกรีตรักษ์โลก 100% ในการก่อสร้าง ใช้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูป เพื่อให้เหลือเศษวัสดุเหลือทิ้งที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด จัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานและการนำมูลไก่มาผลิตไฟฟ้า มีการจัดการน้ำเสียอย่างเป็นระบบ มีเป้าหมายไปสู่ฟาร์ม Zero Discharge ยกระดับฟาร์มไก่กระทง เป็นฟาร์มต้นแบบที่จะตอบโจทย์ธุรกิจ พร้อมไปกับการอยู่ร่วมกับชุมชนและโลกอย่างยั่งยืน” นายพีรพงศ์ กล่าว

สำหรับกิจกรรม “โครงการป่าในฟาร์ม” ครั้งนี้ คณะผู้บริหารและพนักงานจากสายธุรกิจต่างๆของซีพีเอฟมากกว่า 300 คน พร้อมด้วย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าตูม รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าคล้อ ปศุสัตว์อำเภอแก่งคอย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 บ้านธาตุ ร่วมกันปลูกต้นไม้ จำนวน 4,500 ต้น บนพื้นที่ 30 ไร่ บริเวณฟาร์มบ้านธาตุ ซึ่งเป็นต้นแบบของการใช้พื้นที่ว่างเปล่าให้เป็นพื้นที่สีเขียว ดั่งป่าเลียนแบบธรรมชาติ

เมืองไทยประกันชีวิต จัดงาน “เมืองไทยมอบทุนน้องน้อย ครั้งที่ 35” พร้อมเปิดโลกเรียนรู้ นำชมการแสดงโขน ชุด “หนุมาน” 

0

เมืองไทยประกันชีวิต  ตอกย้ำนโยบายการดำเนินธุรกิจควบคู่การดำเนินกิจกรรม เพื่อตอบแทนกลับคืนสู่สังคม  จัดงาน “เมืองไทยมอบทุนน้องน้อย ครั้งที่ 35” ให้แก่นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์    ของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ตลอดจนบุตรหลานเจ้าหน้าที่เขต ในพื้นที่เขตห้วยขวาง    เขตดินแดง และเขตปทุมวัน เพื่อสานต่อโอกาสทางการศึกษาแก่เด็กนักเรียนที่มีความสามารถและประสิทธิภาพในการเรียน พร้อมนำชมการแสดงโขน ชุด “หนุมาน” เปิดประสบการณ์ใหม่แห่งการเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม ณ โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง 

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาในการสร้างอนาคตที่ดีให้กับเด็กนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กที่มีความสามารถแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ที่จำเป็นในการศึกษา เมืองไทยประกันชีวิต จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและเสริมสร้างสังคมที่มีความเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษา เพื่อการเติบโตและการพัฒนาของเยาวชนไทย พร้อมตอกย้ำนโยบายการดำเนินธุรกิจควบคู่การดำเนินกิจกรรมเพื่อคืนกำไรสู่สังคม  ด้วยการจัดโครงการมอบทุนการศึกษา “เมืองไทยมอบทุนน้องน้อย ครั้งที่ 35” เพื่อมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร  ตลอดจนบุตรหลานเจ้าหน้าที่เขต ในพื้นที่           เขตห้วยขวาง  เขตดินแดง และเขตปทุมวัน  รวมจำนวน 195 ทุน  โดยได้รับเกียรติจาก พลอากาศตรีสุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง และกรรมการโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง นางสาวศุภร  คุ้มวงศ์  รองผู้อำนวยการสำนักการศึกษา นายประเทืองวิทย์ ดีใจ ผู้อำนวยการเขตดินแดง           นายไพฑูรย์ งามมุข ผู้อำนวยการเขตห้วยขวาง นางสาวสกุนตลา สงวนงาม หัวหน้าฝ่ายการศึกษาเขตปทุมวัน และนางอริศรา รัตนพงษ์สถิตย์ ผู้อำนวยการกองเสริมสร้างสมรรถนะนักเรียน สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ร่วมในพิธี  งานจัดขึ้น  ณ โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดกิจกรรมแห่งความสุขและรอยยิ้ม เพื่อส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาศักยภาพของเยาวชน  ด้วยการนำนักเรียนที่เข้ารับทุน เข้าร่วมกิจกรรมรับชมการแสดงโขน ชุด “หนุมาน”  ที่โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง โรงมหรสพแห่งแรกในเอเชียที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ พร้อมเปิดประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยที่มีความสง่างาม อีกทั้งยังทำให้เกิดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดงไทย โดยนำเหตุการณ์สำคัญในเรื่องรามเกียรติ์ ถ่ายทอดผ่านตัวละครหลักคือ “หนุมาน” นำเสนอในรูปแบบที่กระชับ สนุกสนาน แต่ยังคงแบบแผนและความสวยงามของ “โขน” ผสมผสานกับเทคนิคเวทีสมัยใหม่อย่างลงตัว อีกทั้งยังได้ความรู้เรื่องศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ที่สอดแทรกอยู่ในการแสดง โดยในช่วงท้ายของกิจกรรม น้องๆ ผู้เข้ารับทุนยังได้รับชุดอาหารและเครื่องดื่มเติมเต็มความสุข ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท แมคไทย จำกัด กลับไปทานอย่างเต็มอิ่มอีกด้วย  

เมืองไทยประกันชีวิต มีความมุ่งมั่นในการเดินหน้าแนวนโยบายด้วยการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติสิ่งแวดล้อม (Environment)  มิติสังคม (Social) และมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (Governance and Economy) หรือ ESG เพื่อสร้างความสุขและรอยยิ้มแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ซึ่งการจัดพิธีมอบทุนน้องน้อยอย่างต่อเนื่องนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งในการสานต่อโอกาสด้านการศึกษาให้กับน้องๆ ได้เติบโตอย่างมีคุณภาพ และยังได้เปิดประสบการณ์นอกห้องเรียนจากกิจกรรมชมโขนชุดหนุมานที่จะทำให้ทุกคนได้สนุกเพลิดเพลินและได้รับความรู้ไปในเวลาเดียวกัน” นายสาระกล่าวสรุป