Home Blog Page 86

แม็คกรุ๊ป – ม.เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ทำ MOU ร่วมมือทางวิชาการ

รายงานข่าว เปิดเผยว่า นายปิยะ โอฬารริกสุภัค ประธานเจ้าหน้าที่ด้านบัญชีและการเงิน บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ลงนามในพิธีบันทึกความร่วมมือทางวิชาการ กับ รองศาสตราจารย์ ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ร่วมสนับสนุนวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ ด้าย ป้ายหนัง กระดุม รีเวท ซิป เป็นต้น เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาการศึกษา หรือการเรียนการสอนเกี่ยวกับการออกแบบ ประดิษฐ์ การสร้างสรรค์ผลงานเกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย แก่ คณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาของ ม.เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ตลอดจนดำเนินกิจกรรมแบบบูรณาการ อาทิ การจัดสัมมนา การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ การวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยี การให้คำปรึกษาทางวิชาการ การสร้างนวัตกรรม เพื่อนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประโยชน์สูงสุด เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ห้องประชุมราชาวดี ชั้น 9 อาคารสำนักงานคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์

เกษตรกรร้อง “หมูเถื่อน” กดราคาหมูไทยยับ วอนรัฐป้องกันจริงจัง

นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ศิริปุณย์ ประธานชมรมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดฉะเชิงเทรา เปิดเผยถึง สถานการณ์ราคาหมูหน้าฟาร์มที่กำลังร่วงลงไม่เป็นท่าติดต่อกันมาหลายสัปดาห์ กระทั่งปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 84-88 บาท/กก. แต่ราคาขายจริงนั้นถูกกดราคาต่ำสุดไปถึงราว 70 กว่าบาท/กก.แล้ว ขณะที่ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 100.07 บาท/กก. ขาดทุนยับเยินจาก “กองทัพหมูเถื่อน” ที่ยังเกลื่อนเมือง คาดรายย่อยทยอยเลิกเลี้ยง ถามรัฐแค่ป้องกันไม่ให้เข้าไทยก็ไม่ต้องตามจับให้วุ่นวาย ล่าสุด กรมศุลฯ ประกาศเปิดตู้คอนเทนเนอร์ตกค้างกว่า 1,000 ตู้ในโครงการท่าเรือสีขาว เกษตรกรหมูยืนยันพร้อมร่วมตรวจสอบ

นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ศิริปุณย์

“ราคาขายหมูหน้าฟาร์มที่ตกต่ำอย่างหนักในขณะนี้ สะท้อนชัดเจนถึงปริมาณหมูเถื่อนที่ระบาดอยู่ในตลาด ทั้งๆที่มีการส่งสัญญาณถึงรัฐมาโดยตลอดว่าหมูเถื่อนยังคงเกลื่อนเมืองอยู่ แม้ปีที่แล้วจะจับหมูเถื่อนได้ราว 1 ล้านกิโลกรัม ก็เป็นเพียง 5% ของที่ระบาดอยู่ในตลาดเท่านั้น เราร้องขอเพียงช่วยป้องกันไม่ให้มันเข้ามา เจ้าหน้าที่ก็ไม่ต้องเดือดร้อนไปตามจับ ไม่ต้องกังวลกับสุขภาพผู้บริโภคชาวไทยว่าจะเสี่ยงกับหมูที่ไม่ผ่านการตรวจโรค และไม่ก่อให้เกิดการเบียดเบียนตลาด กดราคาหมูของเกษตรกรไทยจนเดือดร้อนถึงขั้นขาดทุนกันเช่นนี้ หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ คนเลี้ยงหมูของไทยต้องสูญพันธุ์แน่” นายสัตวแพทย์วรวุฒิกล่าว

ทั้งนี้ การป้องกันที่ดีที่สุดไม่ให้หมูเถื่อนเข้าสู่ประเทศไทย คือดักตั้งแต่ทางเข้า ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งล่าสุด มีการดำเนินโครงการ “ท่าเรือสีขาว” ซึ่งกรมศุลกากรรายงานว่า จะมีการเปิดตู้คอนเทนเนอร์ที่ตกค้างอยู่ในท่าเรือแหลมฉบังกว่า 1,000 ตู้ เพื่อตรวจสอบดูสิ่งของผิดกฏหมาย ซึ่งนับเป็นโครงการที่ช่วยป้องปรามไม่ให้หมูเถื่อนทะลักเข้าสู่ตลาดได้ โดยในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นเปิดตู้ตกค้างนั้น ขอให้กรมศุลกากรเร่งเปิด “ตู้ที่เก็บความเย็น” ซึ่งมักจะเป็นแหล่งเก็บซ่อนหมูเถื่อนได้นานนับปี และเชื่อว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะพบหมูเถื่อนอยู่ในจำนวนตู้ที่ตกค้างนี้แน่นอน โดยชมรมฯ พร้อมจะเข้าร่วมตรวจสอบด้วย

นายสัตวแพทย์วรวุฒิ กล่าวอีกว่า ในชีวิตจริงเกษตรกรไม่สามารถขายหมูหน้าฟาร์มได้ตามราคาที่สมาคมฯประกาศ เพราะเกิดการกดราคากันขึ้น เป็นการบังคับทางอ้อมให้เกษตรกรจำใจต้องขายขาดทุน เนื่องจากหากไม่ขายก็จำเป็นต้องเลี้ยงหมูต่อไป ในขณะที่ค่าวัตถุดิบอาหารสัตว์พุ่งสูงขึ้นมาก เท่ากับต้นทุนการเลี้ยงจะเพิ่มขึ้น ทำให้เกษตรกรจำเป็นต้องตัดใจขาย นับเป็นสถานการณ์ที่น่าเห็นใจที่สุด จึงต้องขอวอนเจ้าหน้าที่รัฐเร่งกวาดล้างจับกุม พร้อมๆกับป้องกันหมูเถื่อนล๊อตใหม่ อย่าให้เข้ามาทำลายตลาดหมูไทยมากไปกว่านี้

อนึ่ง สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ รายงานราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม ประจำวันพระที่ 19 ก.พ. 2566 เปรียบเทียบกับ ราคาวันพระก่อนหน้า (13 ก.พ. 2566) พบว่ามีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยระบุสาเหตุสำคัญว่า เกิดจากปัญหาหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ต้องประกาศปรับลดราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มลงในทุกภาค ดังนี้ ภาคตะวันออก ปรับราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มเหลือ 84-86 บาท/กก. ลดลง 6 บาท/ก.ก. ภาคอีสาน ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มเหลือ 86-88 บาท/กก. ลดลง 8-10 บาท/ก.ก. ภาคเหนือ ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มเหลือ 88 บาท/กก.ลดลง 6 บาท/ก.ก. และ ภาคใต้ ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มเหลือ 86 บาท/กก. ลดลง 4 บาท/กก.

เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัล Best Brand Performance on Social Media เวที Thailand Social Awards 2023

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับรางวัล Best Brand Performance on Social Media สาขา Insurance & Assurance (แบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สาขากลุ่มธุรกิจประกันภัย (ประกันวินาศภัย และประกันชีวิต) เป็นครั้งที่ 3 ในงานประกาศรางวัลโซเชียลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย Thailand Social Awards ครั้งที่ 11 โดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลมีเดียอันดับหนึ่งของประเทศไทย

การมอบรางวัลในครั้งนี้เป็นการมอบให้กับแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย จากเกณฑ์การวัดผลตามมาตรฐาน WISESIGHT METRIC พัฒนาโดยไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) ซึ่งพิจารณาโดยการจัดผลประสิทธิภาพการทำงานบนโซเซียลมีเดียของ แบรนด์ จากช่องทางแบรนด์ (Owner Media) และจากการพูดถึงของแบรนด์ผ่านช่องทางผู้อื่น (Earned Media) ผ่าน 4 Platform คือ Facebook Instagram Twitter และ YouTube โดยการตัดสินของผู้ทรงคุณวุฒิจากแวดวงต่าง ๆ

“CP Brand” คว้ารางวัล FINALIST สาขา Food & Snacks จากเวที Thailand Social Awards 2023

'CP Brand' จาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ สร้างผลงานยอดเยี่ยมบนโลกโซเชียลมีเดีย คว้ารางวัล FINALIST ของกลุ่มรางวัล BEST BRAND PERFORMANCE ON SOCIAL MEDIA กลุ่มธุรกิจอาหารและขนมขบเคี้ยว สาขา Food & Snacks ในงานประกาศรางวัลโซเชียลสุดยิ่งใหญ่แห่งปี Thailand Social Awards 2023 ครั้งที่ 11 จัดโดย บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียล เพื่อส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด ด้านการตลาด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า แบรนด์ CP มุ่งมั่นผลิตอาหารคุณภาพปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการให้ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนาเทรนด์อาหารใหม่ๆ ควบคู่กับการสื่อสารคอนเทนต์เหมาะสมผ่านช่องทางแพลตฟอร์มโซเชียลครบวงจร นับเป็นความท้าทายของทีมงานที่ต้องศึกษาและทำความเข้าใจด้านดิจิทัล เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคให้กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งไม่เพียงแค่การทำโฆษณาเท่านั้น ยังต้องสร้างสรรค์แคมเปญและกิจกรรมที่สร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคไปพร้อมๆ กับแบรนด์ CP ด้วย

“สำหรับปี 2565 แคมเปญที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมทางโซเชียล คือ ‘ไข่ต้มซีพี โปรตีนดี๊ดี’ สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้มาสนใจสารอาหารที่สำคัญ นั่นคือ โปรตีน ซึ่งแบรนด์ CP ได้ร่วมกับ บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล พรีเซนเตอร์ขวัญใจคนรุ่นใหม่ ผู้ที่ชื่นชอบการทำกิจกรรมหลากหลายและใส่ใจสุขภาพ เปิดตัวแคมเปญด้วยหนังโฆษณาและมิวสิควิดีโอ ที่มียอดชมมากกว่า 30 ล้านวิวในยูทูบ กลายเป็นประโยคฮิตติดหู ‘โปรตีนดี้ดี กินได้ทุกวัน…กินไข่ต้มซีพี’ พร้อมจัดกิจกรรม Egg O’Clock Story with Billkin ให้ผู้บริโภคและแฟนคลับร่วมสนุกผ่านแฮชแท็ก #StartTheDayWithCPEgg จนติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 และยังคัดเลือกผู้โชคดี 60 ท่าน มาเป็นแขกคนพิเศษของบิวกิ้น ในงาน Meet & Greet ซึ่งแคมเปญนี้สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 30% และยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนเกิดพฤติกรรมซื้อซ้ำ นอกจากนี้ 50% ของผู้เข้าร่วมกิจกรรมยังรับประทานอาหารเช้าต่อเนื่องจนเป็นกิจวัตรอีกด้วย” นางสาวอนรรฆวี กล่าว

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ ‘ครัวของโลก’ โดยให้ความสำคัญต่อการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ผลิตอาหารคุณภาพปลอดภัย ทุกคำที่บริโภคต้องมีคุณค่าทางโภชนาการในราคาเหมาะสม โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัย ได้แก่ นวัตกรรม (Innovation) สุขภาพ (Wellness) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Planet) ควบคู่กับการศึกษาความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อนำมาต่อยอดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงออกแบบการสื่อสารและสร้างสรรค์แคมเปญที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และเทรนด์ต่างๆ เพื่อยกระดับคุณภาพของอาหารและเปิดประสบการณ์รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพของคนไทย

AIS คว้า 2 รางวัล THAILAND SOCIAL AWARDS 2023 ยืนหนึ่ง 6 ปีซ้อน

AIS ยืนหนึ่งในฐานะแบรนด์ที่ทำผลงานบนช่องทางโซเชียลมีเดียได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการคว้าถึง 2 รางวัล จากเวที THAILAND SOCIAL AWARDS 2023 ประกอบไปด้วย รางวัล Winner of Best Brand Performance on Social Media สาขากลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม 6 ปีซ้อน และ รางวัล Best Brand Performance by Platform – Pantip ตอกย้ำความเชื่อและวิสัยทัศน์ของ AIS ที่มุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาโครงข่ายสื่อสาร 5G ผ่านบริการดิจิทัลที่ตอบโจทย์กับดิจิทัลไลฟ์สไตล์ รวมถึงยังเป็นแบรนด์ที่พร้อมช่วยเหลือดูแลลูกค้าในทุกช่องทาง โดยเฉพาะในช่องทางโซเชียลมีเดียที่วันนี้ AIS ไม่ได้มองเป็นเพียงแค่ช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า แต่เป็นพื้นที่ในการรับฟังเพื่อนำข้อมูลไปปรับปรุงพัฒนาคุณภาพบริการให้ดีมากยิ่งขึ้น
ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า การจัดอันดับผลการดำเนินงานของภาคธุรกิจในมิติการทำงานบนโซเชียลมีเดียดังกล่าว ทำให้ AIS มองเห็นถึงความสำคัญของช่องทางโซเชียลมีเดียในทุกๆ แพลตฟอร์ม ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ช่องทางสื่อสารเพื่อเชื่อมต่อกับลูกค้าเท่านั้น แต่โซเชียลมีเดียกลายเป็น Community ที่ทำให้ได้ยินเสียงของลูกค้า เห็นพฤติกรรม และเข้าใจไลฟ์สไตล์ที่มีความแตกต่าง เพื่อนำไปสู่การออกแบบสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์พร้อมอยู่เคียงข้าง และมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและคนไทย

สำหรับรางวัล THAILAND SOCIAL AWARDS 2023 จัดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 11 โดย ไวซ์ไซท์ นับเป็นเวทีระดับประเทศที่ได้จัดอันดับความสามารถในการใช้สื่อโซเชียลมีเดียขององค์กรธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ โดยคณะที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 18 ท่าน จากหลายแวดวง อาทิ สายวิชาการ การตลาด สื่อและโฆษณา เข้ามาร่วมพิจารณาผลการตัดสิน ซึ่งได้มีการใช้เกณฑ์การวัดผลความสำเร็จใน 3 ด้าน คือ

  • BRAND METRIC การวัดผลประสิทธิภาพการทำงานบนโซเชียลมีเดียของแบรนด์
  • CONTENT METRIC วัดผลประสิทธิภาพการทำงานบนโซเชียลมีเดียของเนื้อหา
  • CREATOR METRIC ใช้ในการวัดผลประสิทธิภาพการทำงานบนโซเชียลมีเดียของบุคคลที่มีผลงานหรือมีชื่อเสียง

โดย AIS เป็นผู้ให้บริการโครงข่ายรายเดียวในไทยที่ได้รับรางวัลจากเวทีนี้ต่อเนื่องมากที่สุด ทั้ง รางวัล Winner of Best Brand Performance on Social Media หรือแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สาขากลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม 6 ปีซ้อน และ รางวัล Best Brand Performance by Platform – Pantip หรือสุดยอดแบรนด์ที่เข้าไปตอบกระทู้ของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

“สาระ ล่ำซำ” คว้ารางวัล Best CEO in Insurance 2022 จาก The Global Economics ประเทศอังกฤษ

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับรางวัล “Best CEO in Insurance 2022 จากศาสตราจารย์ ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ จากงานประกาศรางวัล The Global Economics Awards 2022 โดยนิตยสาร The Global Economics ประเทศอังกฤษ

ทั้งนี้ เป็นรางวัลที่มอบให้แก่สุดยอดผู้นำองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ มีกลยุทธ์ทางธุรกิจ มีการบริหารงานที่เป็นเลิศและโดดเด่นที่สุด ซึ่งนายสาระ ล่ำซำ เป็นผู้นำองค์กรเพียงคนเดียวในธุรกิจประกันชีวิตที่ได้รับรางวัลดังกล่าว

OR เปิดแผนปี 66 ลุยธุรกิจไลฟ์สไตล์ เล็งปรับโฉมใหม่สถานีบริการน้ำมันเป็น Flagship store

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR พร้อมด้วย นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ OR และ นางสาววิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน OR ร่วมแถลงผลการดำเนินงานปี 2565 และทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2566 มุ่งประสานธุรกิจพลังงานและไลฟ์สไตล์ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของ OR ผ่านการเสริมความเข้มแข็งของแต่ละธุรกิจให้สามารถตอบโจทย์วิถีชีวิตแห่งอนาคต รวมถึงผนึกกำลังทั้งภายในและภายนอกกลุ่ม ปตท. พร้อมเปิดประตูความร่วมมือสู่การเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
ดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โออาร์

นายดิษทัต เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 OR เตรียมงบลงทุนจำนวน 31,197 ล้านบาท มุ่งเน้นการขยายและสร้างความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle โดยจัดสรรงบประมาณจำนวน 14,193 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 45% ของงบลงทุน สำหรับขยายสาขาร้าน Café Amazon และร้าน Texas Chicken รวมไปถึงการแสวงหาพันธมิตรและการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ โดยนอกจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) แล้ว OR ยังให้ความสำคัญในกลุ่มธุรกิจด้าน Health & Wellness และ Tourism ด้าน กลุ่มธุรกิจ Mobility มุ่งรักษาความเป็นผู้นำใน Mobility Ecosystem ทั้งในแง่การขยายสาขา PTT Station และ EV Station PluZ รวมถึงการผลักดันให้เกิดความร่วมมือในธุรกิจ EV ของกลุ่ม ปตท. อย่างเป็นระบบ รวมไปถึงการลงทุนใน Green Energy เพื่อเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของแหล่งพลังงาน ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะต้องการพลังงานชนิดใดสำหรับการเดินทาง เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ โดยจัดสรรงบประมาณจำนวน 6,799 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 22% ของงบลงทุน

สำหรับ กลุ่มธุรกิจ Global ยังคงมุ่งขยายการลงทุนในการเปิด PTT Station และ Café Amazon ผ่านบริษัทในเครือในต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นที่ประเทศกัมพูชาเป็นสำคัญ พร้อมๆกับการหาโอกาสในการลงทุนด้านอื่น เช่น สาธารณูปโภค

ส่วนกลุ่มธุรกิจ OR Innovation มุ่งแสวงหาธุรกิจใหม่เพื่อต่อยอดธุรกิจในปัจจุบัน โดยจะเป็นการลงทุนที่มีคุณภาพ กำหนดหลักเกณฑ์ด้านสังคม สิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างนวัตกรรมในแบบฉบับของ OR เพื่อเป็นต้นแบบขององค์กรสมัยใหม่ นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในนวัตกรรมเพื่อพัฒนาโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจัดสรรงบประมาณจำนวน 5,251 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 17% ของงบลงทุน

นายสุชาติ กล่าวว่า OR จะปรับรูปแบบของสถานีบริการน้ำมันให้เป็น Flagship store เพิ่มสัดส่วนของธุรกิจค้าปลีกในสถานีฯ ให้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญด้านพลังงานสะอาด, คาร์บอนต่ำ ด้วย

นอกจากนี้ คาดว่าปีนี้ OR จะได้ประโยชน์มากขึ้นจากการเปิดประเทศให้เดินทางท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ซึ่งปัจจุบัน OR ถือครองสัดส่วนตลาดอยู่กว่า 40 % คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.6 พันล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวม 3.2 พันล้านบาท คาดว่า ไตรมาส 4 ปีนี้ ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานจะเทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด และจะเพิ่มมากขึ้นในปีหน้า

AIS จับมือ 7 พันธมิตร แลกคะแนนสะสม กับบริการ “โอนมาได้ แลกง่ายขึ้น”

AIS ตอกย้ำที่ 1 ตัวจริงด้านงานบริการและการดูแลลูกค้า เดินหน้าผนึกกำลัง 7 พันธมิตรชั้นนำหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น บางจาก, ซิตี้แบงก์, ธนาคารกสิกรไทย, เมืองไทยประกันชีวิต, บลูการ์ด, เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต และ OCEAN LIFE ไทยสมุทรประกันชีวิต อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า กับแคมเปญ โอนมาได้ แลกง่ายขึ้น ให้ลูกค้า AIS สามารถโอนคะแนนสะสมจากการใช้งานของพาร์ทเนอร์ชั้นนำทั้ง 7 แบรนด์ มาเป็น AIS Points เพื่อนำมาแลกรับสิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย ทั้ง ค่าโทร, ค่าเน็ต, แลก LINE Stickers แลกรับอาหารและเครื่องดื่ม หรือแม้แต่แลกรับส่วนลดสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ มากกว่า 500,000 ร้านค้าทั่วประเทศ บนแอป myAIS

นางภูมิใจ กฤติยานนท์ หัวหน้าแผนกงานบริหารคะแนน บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS ในการคิดค้นพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าแบบ 360 องศา ซึ่งเราเข้าใจดีว่า ลูกค้า AIS กว่า 45 ล้านราย มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายรวมถึงยังเป็นลูกค้าของพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของเราอีกมากมาย ทำให้ปีที่ผ่านมาเมื่อเรามองเห็น Journey ในการใช้สิทธิพิเศษของลูกค้าดังกล่าว เราจึงเป็นรายแรกที่เดินหน้าจับมือกับพาร์ทเนอร์เหล่านั้น เชื่อมต่อสิทธิพิเศษผ่านคะแนนสะสมของแต่ละพาร์ทเนอร์ ส่งผลให้ สามารถเติมเต็มช่องว่างจากคะแนนสะสมของลูกค้าที่เกิดขึ้นจากพาร์ทเนอร์แบบไม่มีข้อจำกัดได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมถึงยังเป็นการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ตามหลัก Inclusive Growth ที่เป็นการช่วยกันสนับสนุนและสร้างการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม พร้อมโอกาสในการขยายตัวอย่างเท่าเทียมด้วยเช่นกัน”

วันนี้ AIS ได้ยกระดับแนวคิดดังกล่าวไปอีกขั้นกับแนวคิด โอนมาได้ แลกง่ายขึ้น โดยสามารถนำคะแนนสะสมของพาร์ทเนอร์ มาทำ Points Transfer เป็น AIS Points เพื่อแลกรับสิทธิพิเศษต่างๆ ที่มากที่สุด และครบที่สุดทั้ง ตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่มีคะแนนบางจาก, คะแนนสะสมซิตี้ รีวอร์ด, คะแนน K Point ของธนาคารกสิกรไทย, คะแนนสะสม Smile Point ของเมืองไทยสไมล์คลับ, Blue Card, FWD MAX ของ เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต และ OCHI Coin ของ OCEAN LIFE ไทยสมุทรประกันชีวิต ซึ่งโดยรวมแล้วมีลูกค้าใช้บริการจากพาร์ทเนอร์รวมกว่า 20 ล้านราย ทำให้วันนี้เราเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายที่ลูกค้าสามารถแลกคะแนนสะสมได้มากที่สุดถึง 7 แบรนด์ชั้นนำ จาก 3 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ ธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน ประกันชีวิต และสถาบันทางการเงิน”

ทั้งนี้ลูกค้าสามารถโอนคะแนนจากพาร์ทเนอร์มาเป็น AIS Points ได้ดังนี้

  • โอนคะแนน บางจาก เริ่มต้น 400 คะแนน เป็น AIS Points 50 คะแนน
  • โอนคะแนน สะสมซิตี้ รีวอร์ด เริ่มต้น 500 คะแนน เป็น AIS Points 50 คะแนน
  • โอนคะแนน K Point ทุกๆ 500 คะแนน เป็น AIS Points 50 คะแนน
  • โอนคะแนน Smile Point ทุกๆ 30 คะแนน เป็น AIS Points 100 คะแนน
  • โอนคะแนน Blue Card ทุกๆ 400 คะแนน เป็น AIS Points 60 คะแนน
  • โอนคะแนน FWD MAX ทุกๆ 1,000 แต้ม เป็น AIS Points 100 คะแนน
  • โอนคะแนน OCHI Coin เริ่มต้น 500 เหรียญ เป็น AIS Points 50 คะแนน

โดยลูกค้าสามารถนำคะแนนที่โอนมาเป็น AIS Points มาแลกรับสิทธิพิเศษต่างๆ บนแอป myAIS ทั้งแลกค่าโทร ค่าเน็ต แลก LINE Stickers แลกรับอาหารเครื่องดื่มกับพันธมิตรร้านค้าที่ร่วมรายการ แลกของพรีเมี่ยมอุ่นใจ แลกลุ้นโชค และสามารถติดตามสิทธิพิเศษอื่นๆ มากมาย ได้ที่ https://privilege.ais.co.th/points/ หรือ LINE Official AIS Privileges

AIS Fibre ผนึก Huawei ส่งมอบนวัตกรรมเน็ตบ้าน ด้วยเทคโนโลยีเดินสายไฟเบอร์ออฟติกโปร่งใสครั้งแรกในไทย

AIS Fibre ผนึกความร่วมมือกับ Huawei พร้อมส่งมอบประสบการณ์การใช้งานเน็ตบ้านที่รองรับความเร็วแรงระดับกิกกะบิตทุกห้องในบ้านกับบริการ “1Gbps Every Room” ครั้งแรกในอุตสาหกรรมบอร์ดแบนอินเตอร์เน็ต ด้วยแนวคิด One Home - One Network - One Fiber ผ่านการนำเทคโนโลยีสายไฟเบอร์ออฟติกโปร่งใส (Transparent Fiber Optic) นวัตกรรมใหม่ล่าสุดของโลก จาก Huawei มาเชื่อมต่ออุปกรณ์กระจายสัญญาณ และสร้างโครงข่ายอินเทอร์เน็ตภายในบ้าน (Home Network Solution) ที่สามารถรองรับความเร็วระดับกิกกะบิตทุกห้องในบ้านบนโครงข่ายเดียวกัน และยังสามารถรองรับความเร็วในอนาคตได้สูงสุดถึง 10Gbps รวมทั้งยังสามารถเชื่อมต่อ WiFi ภายในบ้านได้แบบไร้รอยต่อ (Seamless Roaming) ทำให้ตอบโจทย์ทั้งในแง่ของ Functional ที่ลูกค้าสามารถใช้งานที่รองรับความเร็วที่ 1Gbps ทุกห้องในบ้านและในแง่ของ Emotional ด้วยจุดเด่นของสายไฟเบอร์โปรงใส ที่สายมีขนาดเล็ก สีใส โค้งงอได้ตามมุมบ้าน ทำให้บ้านมีความสวยงามไปพร้อมๆ กัน

นางสาวสุนีย์ โรจนโอฬารรัตน์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด ธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบรนด์ AIS เปิดเผยว่า AIS Fibre ยังคงเดินหน้ายกระดับประสบการณ์การใช้งานด้วยคุณภาพเน็ตบ้านและการให้บริการที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า ด้วยการทำงานอย่างหนักเพื่อศึกษาและทำความเข้าใจพฤติกรรมที่หลากหลายของผู้บริโภคยุคดิจิทัล ทำให้เราสามารถนำเสนอบริการที่โดดเด่นและแตกต่างให้กับตลาดและลูกค้าอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกับการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่าง Huawei เปิดนวัตกรรมใหม่บริการ 1Gbps Every Room ที่ออกแบบมาสำหรับผู้บริโภคครอบครัวใหญ่ บ้านหลังใหญ่ หลายห้อง หลายชั้น รองรับได้สูงสุดถึง 16 ห้อง ตอบโจทย์ Functional การใช้งานที่มีความหลากหลายภายในบ้าน อาทิ การดูหนังในห้องรับแขก การทำงาน ประชุม เล่นเกม เล่นโซเชียล หรือแม้แต่ไลฟ์สตรีมมิ่ง ในห้องส่วนตัว ซึ่งลูกค้าจะได้สัมผัสกับประสบการณ์เน็ตบ้านที่รองรับความเร็ว 1Gbps ทุกพื้นที่และทุกห้องในบ้าน

ขณะเดียวกันเรายังมองถึงการตอบโจทย์ลูกค้าในมิติของ Emotional Benefit ด้วยการนำเทคโนโลยีใยแก้วนำแสง โดยเลือกใช้สายไฟเบอร์ออฟติกโปร่งใส (Transparent Fiber Optic) ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากใช้พลังงานไฟฟ้าในปริมาณต่ำ มาเดินสายภายในบ้านตามจุดหรือห้องต่างๆ โดยสายนี้มีจุดเด่นคือ มีความใส เส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่าสายปกติถึง 5 เท่า สามารถโค้งงอไปตามมุมบ้านได้ ทำให้ไม่กระทบต่อความสวยงามภายในบ้านจากการเดินสายติดตั้ง ด้วยทีมช่างติดตั้งมืออาชีพที่มีความเชี่ยวเฉพาะ ซึ่งพร้อมสำรวจพื้นที่ ให้คำแนะนำแนวทาง วางแผนกำหนดจุดติดตั้ง การตรวจสอบประสิทธิภาพของสัญญานอินเตอร์เน็ต ตลอดจนถึงบริการหลังการขาย”

สำหรับสายไฟเบอร์ออฟติกโปร่งใส (Transparent Fiber Optic) ที่นำมาให้บริการในครั้งนี้เป็นนวัตกรรมสายไฟเบอร์ออฟติกล่าสุดของโลก ซึ่งเราได้ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ อย่าง Huawei ในการศึกษาตลาด พฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภค และร่วมกันทดลองทดสอบ ทำให้วันนี้เราพร้อมในการให้บริการลูกค้าที่ต้องการประสบการณ์การใช้งานระดับ 1 Gbps ทุกพื้นที่ภายในบ้าน แบบ One Home One Network และ One Fiber โดยการเดินสายจะช่วยเชื่อมโยงอุปกรณ์กระจายสัญญาณ และการสร้างโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วระดับกิกกะบิต และสามารถเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟภายในบ้านแบบ Seamless roaming ในโครงข่ายเดียวกัน

“ด้วยการทำงานของ AIS Fibre ภายใต้แนวคิด Digital Experience for Thais จึงทำให้บริการ 1Gbps Every Room จะเข้ามาพลิกโฉมวงการเน็ตบ้าน สามารถแก้ Paint Point ให้กับลูกค้าที่ใช้งานอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่มีหลายชั้น หลายห้องได้อย่างแท้จริง ทำให้ข้อจำกัดการกระจายสัญญาณ WiFi บางจุดในบ้านหมดไป รวมถึงยังสามารถตอบโจทย์ลูกค้าต้องการคุณภาพการใช้งานทั้งความเร็วความเสถียรในทุกห้องในบ้านได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” นางสาวสุนีย์ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับบริการ 1Gbps Every Room จะเปิดให้บริการลูกค้าในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมแพ็กราคาสุดคุ้มค่า แพ็คเกจเริ่มต้นสำหรับประสบการณ์การใช้งานที่รองรับความเร็วระดับ 1Gbps ทุกพื้นที่มากถึง 3 ห้องภายในบ้าน เพียง 1,399 บาทต่อเดือน และยังมีแพ็กเกจอื่นๆ ที่รองรับรองรับความเร็วระดับ 1Gbps มากสุดได้ถึง 8 ห้อง ดูข้อมูลเพิ่มเติม https://www.ais.th/fibre/1Gbps-FTTR/

รู้เก็บรู้ออม : ปรับพอร์ตรับมือเศรษฐกิจถดถอย

ปี 2566 หรือปีกระต่ายทอง หลายคนคาดหวังว่า เศรษฐกิจปากท้องจะดีขึ้นหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย และไทยเปิดประเทศต้อนรับการท่องเที่ยว แต่เศรษฐกิจหลายประเทศส่งสัญญาณถดถอย

การลงทุนปีนี้ นักลงทุนจึงต้องมีความรอบคอบและระมัดระวังมากขึ้น โดยล่าสุดเว็บ SETINVESTNOW ได้เผยแพร่บทความ “จัดพอร์ตลงทุนต้อนรับเศรษฐกิจถดถอย”

โดยมองว่าปี 2566 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค “ดอกเบี้ยสูง เศรษฐกิจผันผวนมากขึ้น” โดยการเติบโตของเศรษฐกิจจะมีความแตกต่างกัน (Divergence) ระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา โดยเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วจะเกิดภาวะถดถอยอย่างอ่อนๆจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งปีที่ผ่านมาได้ทำจุดสูงสุดไปแล้วและกำลังเริ่มปรับลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น ด้วยภาวะเงินเฟ้อที่ลดลงในแต่ละประเทศไม่เท่ากัน

โดยประเทศพัฒนาแล้วยังจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่สูงกว่าประเทศกำลังพัฒนา ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผลที่ตามมา คือ ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและผ่อนคลายนโยบายการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี

ดังนั้น ภาพรวมปีนี้น่าจะเป็นทั้งปีที่มี “ความหวัง” และ “ความจริง” โดยความหวังคือ “อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย” จะไม่ปรับขึ้นรุนแรง และ “การเปิดประเทศของจีน” จะช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ส่วนความจริงน่าจะเป็นผลของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมาตรการต่างๆในช่วง COVID–19 ที่อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว

สำหรับเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะเติบโตในครึ่งแรกของปีและจะชะลอตัวในครึ่งปีหลังเพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวทำให้ส่งออกได้ลดลง การลงทุนภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐก็อ่อนแรงลง แต่ปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้คือการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน

ส่วนสินทรัพย์ที่น่าลงทุนปีนี้ มองว่า การลงทุนตราสารหนี้จะดีขึ้น ซึ่งจากสถิติปี 2523-2563 พบว่าตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายผ่านจุดสูงสุด โดยพันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นกู้ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย คำแนะนำ คือ หากสนใจลงทุนหุ้นกู้ให้เน้นอันดับความน่าเชื่อถือระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) อายุ 3-5 ปี ส่วนพันธบัตรรัฐบาลก็สามารถลงทุนอายุยาวได้ เช่น 10 ปี

หุ้นไทยแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่ม Domestic Play ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีน ขณะที่ตลาดหุ้นจีนและเอเชียก็ได้แรงหนุนจากการเปิดประเทศและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนเช่นกัน ขณะที่นโยบายการเงินที่ตึงตัวน้อยกว่าสหรัฐอเมริกาและยุโรป ดังนั้น ให้เน้นลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีนและหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภค!!

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่อยากวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจแบบง่ายๆ เพื่อจับทิศทางการลงทุนและค้นหาหุ้นเด็ด สามารถเข้าไปเรียนรู้ผ่าน e-Learning หลักสูตร “Macro Analysis” ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ฟรี ลองไปเพิ่มพูนความรู้กันนะคะ!

คุณนายพารวย

ท่ี่มา คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง” หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ