Home Blog Page 86

เปิดข้อมูลใหม่ ส่งออกปลาหมอคางดำเป็นปลาสวยงาม 17 ประเทศ 2.3 แสนตัว

0

ในที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) วันที่ 18 กรกฏาคม 2567 ซึ่งได้มีการพิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหา ผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำ นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ได้เปิดข้อมูลสำคัญจากข้อสงสัยเรื่อง “ปลาหมอคางดำส่งออกเป็นปลาสวยงาม” ว่า จากการตรวจสอบพบว่า มีการส่งออกปลาหมอคางดำเมื่อปี 2556-2559 ไป 17 ประเทศ มีผู้ส่งออก 11 ราย มีปลาที่ส่งออกทั้งสิ้น 230,000 ตัว

กลายเป็นคำตอบของข้อสงสัยเกี่ยวกับต้นตอของการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ นำมาซึ่งคำถามต่อมาว่า แล้วพ่อแม่พันธุ์ปลาที่นำมาเพาะพันธุ์เพื่อการส่งออกที่ว่านี้มาจากไหน ทั้งที่ไม่มีการขออนุญาตนำเข้า เพราะกรมประมงบอกว่ามีเพียงบริษัทเอกชนรายเดียวที่มีการขออนุญาตนำเข้าถูกต้องตามกฎหมาย

เกิดคำถามตามมาว่า ขั้นตอนการตรวจสอบและควบคุมการนำเข้า-ส่งออกสัตว์น้ำของภาครัฐ มีความเข้มแข็งและเข้มงวดมากพอหรือไม่ เพราะมีตัวเลขส่งออก แต่ไม่มีตัวเลขนำเข้า ราวกับว่าพ่อแม่พันธุ์ปลาหมอคางดำ ที่เพาะเลี้ยงเพื่อส่งออกเป็นปลาสวยงาม อยู่ๆก็เข้ามาอยู่ในประเทศไทย ถึงแม้กรมประมงจะชี้แจงว่าพันธุ์ปลาอาจมาจากธรรมชาติ ผู้เลี้ยงปลาเพื่อส่งออกเป็นปลาสวยงามนั้น เขารู้กันดีว่า ปลาสวยงามเป็นความต้องการลักษณะเฉพาะ เช่น สีสัน เส้นสายบนตัวปลา รวมถึงความแข็งแรง ต้องเลี้ยงให้ตรงตามความนิยมของตลาดซึ่งจะมีผลต่อราคา

วันนี้ “ปลาหมอสีคางดำ” ระบาดไปใน 16 จังหวัด หากจะถกเถียงและควานหาต้นตอและถกเถียงกันหาตัวคนผิดก็อาจสายไป ทั้งที่ภาครัฐควรจะรีบหาวิธีการให้ตรงกับโจทย์ที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เร่งแก้ปัญหาการแพร่ระบาดให้เร็วที่สุด ด้วยการหาวิธีจับปลาอย่างมีประสิทธิภาพ และวิธีการจูงใจให้มาลงแขกจับปลากัน จับมาได้แล้วต้องรณรงค์ให้มีการบริโภคเพิ่มมากขึ้น ให้ความรู้ว่าปลาชนิดนี้กินได้เหมือนปลาปกติ เพราะที่ผ่านมาเรียกขานกันว่า เอเลี่ยนสปีชี่ส์ ปลาปีศาจ หรือ ปลาวายร้าย ต่างๆ นานา สร้างภาพน่ากลัวจนไม่กล้ากิน ทั้งที่มีโปรตีนและคุณค่าทางอาหาร ปรุงง่ายได้หลายเมนู หรือ จะส่งเสริมทำผลิตภัณฑ์อาหารก็ทำได้ไม่ยาก

อธิบดีกรมประมง ก็ยอมรับก่อนหน้านี้ว่า ในประเทศไทย มีปัญหาการระบาดของสัตว์เอเลี่ยนสปีชีส์ (Alien Species) หลายชนิด ซึ่งปลาหมอสีคางดำ อาจมีที่มาจาก 2 ทาง คือ การลักลอบนำเข้ามาในประเทศ และการขออนุญาตนำเข้าเมื่อปี 2553 เพื่อทดลองวิจัยแล้วอาจหลุดรอดสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ถือเป็นประเด็นที่สังคมกำลังตั้งคำถาม เพราะเป็นข้อมูลที่ถูกบันทึกอย่างเป็นทางการเพียงครั้งเดียว ซึ่งบริษัทเอกชนยืนยันว่า ปลาที่นำเข้ามาตายระหว่างขนส่งเหลือเพียงปลาที่อ่อนแอและทยอยตาย จึงตัดสินใจยุติการวิจัยและทำลายซากปลาตามมาตรฐาน พร้อมแจ้งกรมประมง และส่งตัวอย่างปลาดองฟอร์มาลีนทั้งหมดให้กรมประมงในปี 2554 แล้วนั้น กรมประมงชี้แจงว่า ไม่ได้รับตัวอย่างดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องนี้ต้องอาศัยเอกสาร พยาน และหลักฐานในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อไป

แต่ข้อมูลอีกด้านที่ทุกฝ่ายควรทราบ คือ ปลาหมอสีคางดำ (Blackchin Tilapia) หรือ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Sarotherodon melanotheron เป็นปลาต่างถิ่นที่ถูกนำไปเลี้ยงเป็นปลาสวยงามในกว่า 10 ประเทศ เช่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นต้น ยกตัวอย่าง ฟิลิปปินส์ ที่มีรายงานการพบปลาหมอสีคางดำในระบบนิเวศและฟาร์มปลาในเมืองบาตาอัน (Bataan) ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการเรียกขานปลาชนิดนี้กันว่า Gloria, Cichilds, Tilapia Arroyo อีกกรณีที่ กองทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลสหรัฐอเมริกา พบว่าเคยมีการนำเข้าปลาหมอสีคางดำมาทดลองเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ปลาหลุดออกไปในแหล่งน้ำธรรมชาติและมีการแพร่ระบาดจำนวนมาก ทำให้มีการประกาศห้ามนำเข้าจนถึงปัจจุบัน

และเมื่อกลับมาดูข้อมูลจากเว็บไซต์กรมประมง พบมีการรายงานว่า ไทยมีการส่งออกปลาหมอสีคางดำ เป็นปลาสวยงาม ต่อเนื่องถึง 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2556 ถึงปี 2559 จำนวนมากกว่า 320,000 ตัว มูลค่าส่งออกรวม 1,510,050 บาท ก็กลายเป็นคำถามว่า การส่งออกปลาหมอสีคางดำมีชีวิต ไปยัง 15 ประเทศนั้น มีที่มาจากไหน และใครเป็นผู้นำเข้าพ่อแม่พันธุ์มาเพาะเลี้ยง ที่สำคัญคือมีการขออนุญาตอย่างถูกต้องหรือไม่ รวมถึงกรมประมงได้มีการตรวจติดตามการเพาะเลี้ยงหรือไม่ แล้วทำไมกรมประมงไม่ตั้งคำถามเลยหรือว่า ในเมื่อไม่มีการขอนำเข้ามา แล้วปลาหมอสีคางดำ ที่เป็นปลาต่างถิ่นห้ามเพาะเลี้ยงในประเทศ จะมีการส่งออกได้อย่างไร ยิ่งหลังจากปี 2559 ที่พบว่าไม่มีตัวเลขส่งออกปลาหมอสีคางดำ แล้วพ่อแม่พันธุ์ และลูกหลานปลาที่ไม่ได้ส่งออกจัดการอย่างไร ในเวลานั้นไทยมีกฎระเบียบในการป้องกันผลกระทบจากการแพร่ระบาดของปลาชนิดนี้มีความเข้มงวดและเข้มแข็งเพียงใด ถือเป็นอีกสิ่งที่ต้องพิสูจน์

ต่อมา ในปี 2561 จึงได้มีประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องกำหนดชนิดสัตว์น้ำที่ห้ามนำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือเพาะเลี้ยง กำหนดห้ามนำเข้าปลา 3 ชนิด คือ 1. ปลาหมอสีคางดำ 2. ปลาหมอมายัน (Cichlasoma urophthalmus) และ 3. ปลาหมอบัตเตอร์ (Heterrotilapia buttikoferi) หากจำเป็นที่จะนำเข้าต้องได้รับอนุญาตจากกรมประมงเท่านั้น

อาจมีข้อสงสัยว่า ปลาหมอสีคางดำ ถือเป็นปลาสวยงามด้วยหรือ? ซึ่งประเด็นนี้ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Jessada Denduangboripant ระบุว่า…”ปลาหมอคางดำ” ที่สีสวยๆ ก็มีนะครับ อย่าคิดแต่ว่าจะต้องดูสีตุ่นๆ คล้ายปลานิลเท่านั้น .. เจอแบบนี้ ก็ต้องกำจัดเหมือนกันครับ! ภาพนี้จากสมาชิกกลุ่ม Siamensis.org ถ่ายที่แหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี คาดกันว่าเป็นปลาตัวผู้ ช่วงฤดูผสมพันธุ์ เลยมีสีสันสวยงาม ดึงดูดตัวเมีย ในประเทศอื่นๆ ที่มีปลาหมอคางดำระบาด เช่น ในอเมริกา (รัฐฟลอริด้า รัฐฮาวาย) และในฟิลิปปินส์ ก็คาดกันว่า มาจากคนที่ค้าปลาแปลกๆ สวยงาม แอบเอาเข้าประเทศมากันครับ เลยระบาด (ส่วนของไทย ยังเป็นคำถามกันอยู่ครับ)
< ที่มาจากโพสต์ ทำไมปลาหมอสีคางดำตัวนี้ถึงสีสวยคะ เห็นจากโพสต์ของคนทั่วไปหรือภาพจากข่าวจะเห็นเป็นโทนสีดำๆเหมือนปลานิล แต่ตัวนี้มองด้วยตาเปล่าก็เห็นเป็นสีแบบนี้เลย ถ่ายวันที่ 24มิถุนายน 2567 ที่แหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี https://www.facebook.com/groups/122260101128398/permalink/8146077188746609/?app=fbl >

มาถึงตรงนี้กล่าวได้ว่า “ปลาหมอสีคางดำ” ที่ระบาดในประเทศไทย อาจมีที่มาจากการลักลอบนำเข้าจากผู้ผลิตหลายราย แต่กลับไม่มีรายงาน ซึ่งการพิสูจน์ข้อเท็จจริง จึงควรดำเนินการอย่างรอบด้าน แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ การกำจัด ปลาหมอสีคางดำ ที่แพร่ระบาด ด้วยมาตรการต่างๆ อย่างเร่งด่วน โดยภาครัฐควรดำเนินการอย่างเป็นระบบ เริ่มจากระดมสมองผู้เชี่ยวชาญวางแนวทางที่สอดคล้องกัน ที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อลดปริมาณปลาและผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับศึกษาจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการจัดการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำมาแล้ว และต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการฟื้นฟูระบบนิเวศให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง

พร้อมกันนั้นก็ต้องวางมาตรการป้องกันที่เข้มงวดในอนาคต ซึ่งหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ก็คงไม่มีผู้ประกอบการกล้าขออนุญาตนำเข้าสัตว์น้ำอย่างถูกต้องอีก เพราะว่าพอเกิดปัญหาสัตว์น้ำต่างถิ่นระบาดก็ตกเป็นจำเลยสังคม โดยไม่มีใครสนใจประเด็นผู้ลักลอบนำเข้า หรือความบกพร่องในการดำเนินงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบ วันนี้ทุกฝ่ายต้องถอดบทเรียนจากปัญหานี้ เพื่อพัฒนาระบบการควบคุมสัตว์ต่างถิ่นอย่างเป็นระบบ โดยไม่กระทบต่อระบบนิเวศน์ และต้องไม่เป็นการตัดโอกาสการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทยในอนาคตด้วย.

ก.แรงงาน ยกระดับคุณภาพแรงงานฟาร์มสุกร นำร่อง CPF ใช้แนวปฏิบัติสากล (GLP) เพิ่มศักยภาพสินค้าเกษตรไทย

0

กระทรวงแรงงาน โดย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หรือ กสร. และบริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ “ขับเคลื่อนแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี” (GLP) สำหรับฟาร์มสุกรในประเทศไทย ตั้งเป้าฟาร์มสุกรซีพีเอฟทั้งหมด 106 แห่งทั่วประเทศสามารถผ่านการรับรองครบ 100% ได้ภายใน 1 ปี พร้อมขยายผลสู่เกษตรกรในโครงการส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรายย่อย 4,000 ราย เพิ่มขีดความสามารถสินค้าเกษตรสู่ระดับสากลและยั่งยืน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนาม MOU ที่จัดขึ้น ณ กระทรวงแรงงาน กล่าวชื่นชมซีพีเอฟที่แสดงความมุ่งมั่นในการส่งเสริม สนับสนุนให้สถานประกอบกิจการ ตลอดจนห่วงโซ่อุปทาน นำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดีสำหรับฟาร์มสุกรในประเทศไทยไปใช้บริหารจัดการแรงงานสอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานสากล ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่สถานประกอบกิจการอื่นต่อไป

นางโสภา เกียรตินิรชา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ปี 2566 กรมได้ร่วมมือกับองค์กรนายจ้าง องค์กรลูกจ้าง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดีสำหรับฟาร์มสุกรในประเทศไทยขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจฟาร์มสุกร นำ GLP (Good Labour Practices) ไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงสภาพการจ้างและสภาพการทำงานของฟาร์มสุกรให้สอดคล้องตามกฎหมายอย่างมีจริยธรรม โดยการลงนามบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการขับเคลื่อน เพื่อให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และกรมพร้อมสนับสนุนความรู้ทางวิชาการและเทคนิคต่าง ๆ แก่ผู้ประกอบการที่สนใจนำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดีในฟาร์มสุกรไปใช้ในสถานประกอบกิจการ
ด้านนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เสริมว่า ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแรงงานในฟาร์มและโรงงานในทุกกลุ่มธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมายและมาตรฐานแรงงานสากลอย่างเคร่งครัดต่อเนื่อง ดูแลและปฏิบัติต่อพนักงานอย่างเป็นธรรม บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชนและหลักสากล ตลอดจนสนับสนุนคู่ค้าและเกษตรกรในห่วงโซ่อุปทานให้มีหลักปฏิบัติที่ดีต่อแรงงาน ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน เพิ่มขีดการแข่งขันให้สินค้าเกษตรไทยสามารถตอบรับความคาดหวังของผู้บริโภคและสังคม พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน สอดคล้องกับหลักปรัชญาการดำเนินธุรกิจ “3 ประโยชน์” สู่ความยั่งยืน ของเครือซีพีที่ซีพีเอฟทุกคนยึดมั่น ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศ ประชาชน และบริษัท

ทั้งนี้ ซีพีเอฟ ได้จัดการอบรมให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องนำหลัก GLP ไปใช้บริหารจัดการแรงงานในฟาร์มสุกรทั้ง 106 แห่งได้อย่างถูกต้อง และประยุกต์ใช้ให้เกิดความยั่งยืน จนสามารถผ่านการรับรองและได้รับตราสัญลักษณ์ GLP จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รวมทั้งส่งเสริมและถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรในโครงการ Contract Farming ประมาณ 4,000 รายทั่วประเทศได้นำหลัก GLP ไปใช้บริหารจัดการแรงงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายและหลักสากล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคผลิตภัณฑ์อาหารของซีพีเอฟมาจากห่วงโซ่การผลิตที่รับผิดชอบต่อสังคมและโลก.

ตลท. ประกาศยกระดับ เพิ่มความเข้มประเมินความยั่งยืน SET ESG Ratings

0
SET ESG Ratings

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เดินหน้ายกระดับเพิ่มความเข้มข้นในการประเมินความยั่งยืน SET ESG Ratings โดยได้ศึกษาและหารือแนวทางร่วมกับผู้ประเมินชั้นนำของโลกมาตั้งแต่ปี 2565 และจะปรับกระบวนการประเมินซึ่งเน้นการนำข้อมูลที่เปิดเผยสู่สาธารณะ (public disclosure) มาพิจารณา เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียมีความเชื่อมั่นมากขึ้น โดยจะมีการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกระบวนการประเมินความยั่งยืนให้แก่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในช่วงปลายเดือน ก.ค. 2567

ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนให้ภาคธุรกิจดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เพื่อสร้างความเข้มแข็งและการเติบโตที่ยั่งยืน โดยจัดทำข้อมูล SET ESG Ratings ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ลงทุนนำไปประกอบในการตัดสินใจลงทุน ซึ่งปัจจุบันรายชื่อหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะคัดเลือกจาก บจ. ที่สมัครใจเข้าร่วมตอบแบบประเมินความยั่งยืน และต้องผ่านเกณฑ์2 ด้านได้แก่ 1) เกณฑ์คะแนนจากการตอบแบบประเมินตั้งแต่ 50% ของคะแนนเต็มในแต่ละมิติ (มิติเศรษฐกิจและบรรษัทภิบาล สิ่งแวดล้อม และสังคม)  2) เกณฑ์ด้านคุณสมบัติ ประกอบด้วยหลายเกณฑ์ อาทิ  ต้องเป็นบริษัทที่มีผลการประเมินคุณภาพรายงานด้านบรรษัทภิบาล (CGR) ซึ่งประเมินโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ตั้งแต่ 3 ดาวขึ้นไป ไม่เป็นบริษัทหรือมีกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทที่ถูกกล่าวโทษหรือได้รับการตัดสินความผิดเรื่อง ESG จากทางการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

การปรับวิธีการประเมินร่วมกับผู้ประเมินชั้นนำของโลกจะช่วยยกระดับมาตรฐานการประเมินความยั่งยืนของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ  สร้างความน่าเชื่อถือ และเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้ข้อมูลมากขึ้น

AIS eSports x Dutch Mill เปิดเวที “AIS 5G eSports S Series Thailand Championship 2024” ศึกตีป้อมระดับมัธยมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 4

0

AIS ประกาศเดินหน้าผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตในประเทศไทย ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ทั้งภาครัฐและเอกชนสนับสนุนและสร้างพื้นที่ให้เกมเมอร์และนักกีฬาอีสปอร์ตได้ฝึกฝนและแสดงความสามารถอย่างเต็มที่ เตรียมเปิดศึกการแข่งขันอีสปอร์ตระดับมัธยมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ผ่านเวที AIS 5G eSports S Series Thailand Championship 2024 by Dutch Mill ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยมีนมเปรี้ยวดัชมิลล์เป็นผู้สนับสนุนหลัก พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์ทาโร่ปลาเส้นแซ่บ อร่อยแซ่บเข้าเส้นและการ์นิเย่ แอคโน่ไฟท์ โฟม ที่สุดในรุ่นโฟมสิว ในปีนี้ AIS ได้ขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานราชการระดับจังหวัดกว่า 19 จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงสถาบันการศึกษา เพื่อสร้างโอกาสให้น้องๆ นักเรียนระดับมัธยมที่มีความสนใจเข้าร่วมการแข่งขันได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองสู่การเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตมืออาชีพ ในปีนี้ยังคงใช้ ROV เกม MOBA มาใช้ในการแข่งขัน โดยสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันในรอบ OPEN ได้แล้ววันนี้ จนถึงวันที่ 13 สิงหาคม 2567 เพื่อเข้าสู่การแข่งขันรอบคัดเลือกหาตัวแทนเข้าชิงในระดับประเทศ ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า  200,000 บาท

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการพันธมิตรธุรกิจด้านบันเทิงและคอนเทนต์ AIS อธิบายว่า “อุตสาหกรรมอีสปอร์ตทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยจำนวนผู้ชมและผู้เล่นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การแข่งขันที่มีเงินรางวัลสูง และการสนับสนุนจากแบรนด์ชั้นนำต่างๆ ทำให้ตลาดนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี พบว่ามูลค่าตลาดเกมทั่วโลกคาดว่ามีมูลค่าสูงกว่า 1.1 พันล้านเหรียญในปี 2024 และมีผู้ชมอีสปอร์ตทั่วโลกมากกว่า 450 ล้านคน ด้วยแนวโน้มการเติบโตที่สูงขึ้นนี้ AIS เล็งเห็นความสำคัญในการสนับสนุนเยาวชนไทยให้ก้าวเข้าสู่วงการอีสปอร์ต โดยการจัดเวทีการแข่งขันระดับมัธยมเพื่อเป็นการฝึกฝนและพัฒนาทักษะของเยาวชนไทย สู่การเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตมืออาชีพในอนาคต

ซึ่งการแข่งขัน AIS 5G eSports S Series Thailand Championship ในปีที่ผ่านมามีนักเรียนระดับมัธยมเข้าร่วมการแข่งขันกว่า 1,018 ทีม จาก 306 โรงเรียนทั่วประเทศ ครั้งนี้เป็นการจัดการแข่งขันอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยเรายังคงร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างนมเปรี้ยวดัชมิลล์ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก และได้ร่วมมือกับหน่วยงานราชการระดับจังหวัดกว่า 19 จังหวัด เพื่อเป็นการขยายโอกาสไปยังน้องๆ นักเรียนทั่วประเทศได้ร่วมกิจกรรมอีกด้วย”

ด้าน นายธีรชัย เหล่ากอสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจต่างประเทศบริษัท ดัชมิลล์ จำกัด กล่าวว่า “กลุ่มบริษัท ดัชมิลล์ ในฐานะองค์กรผู้นำด้านผลิตภัณฑ์นมอันดับ 1 ในประเทศไทย ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการสนับสนุนและส่งเสริมเยาวชนให้มีสุขภาพที่แข็งแรงเพื่อทำตามความฝันผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ ซึ่งครั้งนี้บริษัทฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนในการเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนความฝันของเด็กไทยที่มีใจรักการเล่นเกม และมุ่งอยากเป็นนักกีฬาอีสปอร์ต โดยเป็นอีกครั้งที่เราได้ร่วมมือกับทาง AIS eSports ในการร่วมกันจัดการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ตระดับมัธยม เพื่อส่งเสริมวงการอีสปอร์ตไทยให้ก้าวทันสู่เวทีระดับนานาชาติ”

สำหรับโรงเรียนที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมแข่งขันที่เว็บไซต์ https://gameon.ais.co.th/esport/tournament  หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Facebook AIS eSports Tournament

“แม็คกรุ๊ป” รับประกาศนียบัตรต่ออายุสมาชิก CAC ต่อเนื่อง ครั้งที่ 2

0

บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดย นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” รับประกาศนียบัตรรับรองการต่ออายุสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (Thai Private Sector Collective Action Against Corruption: CAC) ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 จาก นายอนุวัฒน์ จงยินดี กรรมการพิจารณาการรับรอง ในงานCAC Certification Ceremony 2024 “Business Beyond CAC: Spotlight on Supply Chain” ห่วงโซ่ธุรกิจโปร่งใส ภาคธุรกิจไทยยั่งยืน ซึ่งจัดขึ้นเพื่อประกาศเกียรติคุณให้กับบริษัทฯ ที่ผ่านการรับรองในไตรมาสที่ 3 และ 4 ประจำปี 2566 ณ ห้อง Fuji Grand Ballroom โรงแรม Hotel Nikko Bangkok เมื่อวันที่ 12 กรกฏาคม 2567 ที่ผ่านมา

แม็คกรุ๊ปฯ ได้ประกาศเจตนารมณ์เข้าร่วม CAC ในเดือนกุมภาพันธ์ 2557 โดยได้รับการรับรองสมาชิกแนวร่วม CAC ครั้งแรกในเดือนสิงหาคม 2560 ได้รับการต่ออายุครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 (การรับรองมีอายุ 3 ปี) และได้รับการรับรองต่ออายุสมาชิกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2567 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของแม็คกรุ๊ปฯ ในการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืนในทุกมิติ รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ควบคู่กับการยึดถือหลักธรรมาภิบาล ซื่อสัตย์ โปร่งใส และต่อต้านการทุจริตในทุกรูปแบบ พร้อมให้ความสำคัญในการดูแลสิ่งแวดล้อมตามแนวทาง ESG และร่วมพัฒนาสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

ซีพีเอฟ จับมือ เขตหนองจอก เพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างกำแพงกรองฝุ่นในกทม.

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ สานต่อความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับ กรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยสำนักงานเขตหนองจอก สนับสนุนโครงการปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้น สร้างพื้นที่สีเขียวเป็นกำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุง ตามนโยบายผู้ว่าฯ กทม. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ร่วมลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 บรรเทาผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน และพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ อาทิ เป็นศูนย์การเรียนรู้ป่าฉลาด พลาดไม่ได้ เป็นแหล่งสันทนาการเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น

ซีพีเอฟ คิกออฟกิจกรรมปลูกต้นไม้ โครงการศูนย์การเรียนรู้ป่าฉลาด พลาดไม่ได้ ไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ปลูกต้นไม้ไปแล้ว 600 ต้น และเมื่อเร็วๆนี้ ได้ร่วมกันปลูกต้นไม้เพิ่มเติมให้ได้รวม 1,250 ต้น บนพื้นที่ 16 ไร่ บริเวณข้างโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 4 พลิกพื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของกทม. ให้เป็นพื้นที่สีเขียว

ความร่วมมือดังกล่าว นอกจากมุ่งสร้างสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศเมืองที่ดีแล้ว ยังเป็นกำแพงต้นไม้กรองฝุ่น ช่วยบรรเทาผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน รวมไปถึงการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ โดยพื้นที่ปลูกต้นไม้ทั้ง 16 ไร่ แบ่งการปลูกออกเป็น 4 โซน ได้แก่ โซนป่าดั้งเดิม ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าดั้งเดิมของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โซนป่าไม้ผล คนกินได้ ปลูกป่าผสมผสานที่ให้ผลรับประทานได้ โซนป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ปลูกพืชเกษตรร่วมกับพรรณไม้ป่า สร้างสมดุลของระบบนิเวศ และโซนป่าสีสัน พรรณดอกไม้ โดยมีพันธุ์ไม้ อาทิ ต้นยางนา ตะเคียนทอง กระถินเทพา นนทรีป่า พะยูง ประดู่ป่า พฤกษ์ ถ่อน ขี้เหล็ก เป็นต้น

สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ นายไพโรจน์ จันทรอด ผู้อำนวยการเขตหนองจอก นายณฤกษ์ มางเขียว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จำกัด กิจการอาหารสำเร็จรูป ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของซีพีเอฟ นำพนักงานของซีพีเอฟ เจ้าหน้าที่เขตหนองจอก คณะครูและนักเรียนโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 4 รวมประมาณ 150 คน ร่วมกันปลูกต้นไม้ .

ฟังข้อมูลอีกด้าน ไทยส่งออกปลาหมอคางดำกว่า 3 แสนตัว จี้รัฐเปิดชื่อผู้ส่งออก

0

บทความโดย โดย อุทก สาครกุล

กระแสปลาหมอคางดำในขณะนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นการกระตุ้นและเชิญชวนชาวบ้านในพื้นที่ที่พบปลาชนิดนี้ให้ได้ช่วยกันจับขึ้นมาใช้ประโยชน์ ได้เห็นความร่วมมือร่วมใจของหลายฝ่ายในการตามล่าปลาชนิดนี้แล้วก็เชื่อว่าอีกไม่นานประเทศไทยต้องสามารถควบคุมประชากรปลาหมอคางดำได้แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ เข้ามาทำให้ปลาเป็นหมัน ซึ่งน่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมในอีกไม่กี่ปี เมื่อประกอบกับมาตรการหลากหลายข้อที่กรมประมงและทุกภาคส่วนร่วมกันดำเนินการ ก็น่าจะบรรลุเป้าประสงค์ได้เร็วยิ่งขึ้น

ปัญหาการระบาดของปลาหมอคางดำ มีการเปิดเผยถึงผู้ขออนุญาตนำเข้าปลาชนิดนี้อย่างถูกต้องเพียงรายเดียว จนทำให้หลายฝ่ายมองว่าอาจเป็นสาเหตุของการระบาดดังกล่าว ทั้งๆที่ข้อเท็จจริง คือการนำเข้าสัตว์ต่างถิ่นมายังราชอาณาจักรนั้น เป็นไปได้ 2 วิธี นั่นคือ 1.) ขออนุญาตนำเข้า และ 2.) การลักลอบนำเข้า

ขณะที่เอกชนผู้ขออนุญาตถูกต้อง ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงตามหนังสือที่ยื่นต่อคณกรรมาธิการฯ ถึงวิธีการนำเข้าและการทำลายทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว น่าเสียดายที่ไม่มีใครพูดถึงข้อมูลอีกด้านที่เกี่ยวข้องกับปลาหมอคางดำ

ในเว็บไซด์ของกรมประมง มีข้อมูลของ กองควบคุมการค้าสัตว์น้ำและปัจจัยการผลิต กล่าวถึง การส่งออกปลาหมอสีคางดำเป็นปลาสวยงามไปต่างประเทศถึง 15 ประเทศ ในช่วงปี 2556-2559 รวมจำนวน 323,820 ตัว คิดเป็นมูลค่า 1,510,050 บาท โดยประเทศปลายทางที่สั่งซื้อปลาหมอสีคางดำจากไทย ได้แก่ อาเซอร์ไบจาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิสราเอล อิหร่าน เลบานอน ตุรกี อียิปต์ ซิมบับเว รัสเซีย โปแลนด์ ออสเตรเลีย แคนาดา ปากีสถาน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย
(https://www4.fisheries.go.th/local/pic_activities/201802221729471_pic.pdf)

ข้อมูลนี้สะท้อนว่าประเทศไทยมีการนำเข้าพ่อ-แม่พันธุ์ปลาหมอสีคางดำ เข้ามาเพาะเลี้ยงในกลุ่มปลาสวยงาม และสร้างรายได้ด้วยการส่งออกเรื่อยมา ก่อนที่ กรมประมงจะมีประกาศห้ามนำเข้า ส่งออก หรือเพาะเลี้ยง ในปี พศ.2561 โดยบริษัทเหล่านี้ ไม่ปรากฎรายชื่อ “ผู้ขออนุญาตนำเข้า” ให้สืบค้นเลยแม้แต่รายเดียว จึงเป็นไปได้ว่าน่าจะนำเข้ามาโดย ไม่มีการขออนุญาตใดๆ ตรงนี้หากภาครัฐไม่ว่าจะเป็น กรมประมง หรือ กรมศุลกากร จะเปิดเผยชื่อผู้ส่งออกปลากว่า 3 แสนตัวนี้ ก็จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ประเทศไทยมีการนำเข้าสัตว์ต่างถิ่นกันมากมาย และส่วนใหญ่ไม่ขออนุญาตอย่างเป็นทางการ ขณะที่ช่วงปี 2549 ซึ่งมีการขออนุญาตนำเข้านั้นยังไม่เคยปรากฎรายงานในโลกนี้ว่า ปลาหมอสีคางดำเป็นปลาต่างถิ่นกลุ่มรุกราน ( Invasive alien species ) ดังนั้น การที่กรมประมงอนุญาตให้นำเข้ามาค้นคว้าวิจัยในช่วงนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด เนื่องจากเพิ่งมารู้ภายหลังว่าเป็นสายพันธุ์รุกราน เมื่อพบการระบาดจากฟาร์มปลาสวยงามในสหรัฐ

ในส่วนของการทำลายสัตว์ต่างถิ่น เชื่อว่านักวิจัยทุกคนมีความรู้ความเข้าใจและระมัดระวังเรื่องเชื้อโรคที่อาจติดมากับสัตว์ต่างถิ่นเสมอ เมื่อพบสัตว์ป่วย ไม่แข็งแรงและทยอยตายลง วิถีในการทำลายสัตว์เหล่านี้อย่างถูกต้องตามหลักวิชา ก็เป็นพื้นฐานความรู้ที่นักวิจัยทุกคนถือปฏิบัติ นับเป็นข้อดีที่กรมประมงกำหนดเป็นเงื่อนไขแก่ผู้ได้รับอนุญาต ส่วนผู้ที่ไม่ได้ขออนุญาต ย่อมไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดใดๆ ของรัฐ

การติดตามข้อมูลผู้ส่งออกปลา จึงอาจทำให้ค้นพบข้อเท็จจริงบางอย่าง และก่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย รวมถึงจะช่วยหยุดการโฟกัสผิดจุด แล้วมุ่งเดินหน้าแก้ปัญหาให้ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมกลับมาดังเดิมโดยเร็วที่สุด ซึ่งดีกว่าการพยายามหาคนผิดที่คาดว่าอาจไม่มีทางหาเจอ

เมืองไทยประกันชีวิต จัดเมืองไทยไตรกีฬา @ห้วยไม้เต็ง ราชบุรี สนามที่ 2 ของปี 2567

0

เมืองไทยประกันชีวิต ตอกย้ำนโยบายการสนับสนุนประชาชนให้มีสุขภาพแข็งแรง โดยนำทีมผู้บริหาร พนักงาน และประชาชน ร่วมแข่งขันในงานเมืองไทยไตรกีฬาสนามราชบุรี ซึ่งเป็นสนามที่ 2 ของปี 2567 การแข่งขันครั้งนี้ได้รับความประทับใจจากผู้เข้าร่วมเป็นอย่างมาก ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและความสวยงามของทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต เปิดเผยว่า “บริษัทฯ มุ่งมั่นการดำเนินงานด้านความคุ้มครองให้กับประชาชนอย่างมั่นคงและยั่งยืน ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นในเรื่องของการให้ความประกันชีวิตและสุขภาพ แต่ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านกิจกรรมทางกายและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำนโยบายการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ทั้งนี้ในมิติด้านสังคมที่ บริษัทฯ มุ่งมั่นส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนไทย โดยสานต่อการจัดงาน เมืองไทย ไตรกีฬา สนามที่ 2 ณ อ่างเก็บน้ำห้วยไม้เต็ง จ.ราชบุรี

สำหรับการแข่งขันเมืองไทยไตรกีฬาสนามราชบุรีเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เน้นการเสริมสร้างสุขภาพและความสามัคคีในหมู่ผู้เข้าร่วม โดยมีทั้งการว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และวิ่ง ซึ่งเป็นกีฬาที่ช่วยพัฒนาความแข็งแรงของร่างกายและจิตใจ ซึ่งบรรยากาศที่ราชบุรีครั้งนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนานและความประทับใจจากทั้งผู้เข้าร่วมแข่งขันและผู้ชม ที่ได้สัมผัสถึงความสวยงามของธรรมชาติและความอบอุ่นในชุมชน

ทั้งนี้ มีนักกีฬาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้ความสนใจเข้าร่วมการแข่งขัน “เมืองไทยไตรกีฬา @ห้วยไม้เต็ง ราชบุรี” จำนวนทั้งสิ้น 458 คน จากหลายประเทศ ทั่วโลก อาทิ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี สเปน ญี่ปุ่น ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยสีสัน ความสนุกสนาน และรอยยิ้มจากผู้เข้าร่วมงานที่ได้สัมผัสกับบรรยากาศบนเส้นทางหลักของการวิ่งที่เต็มไปด้วยธรรมชาติสวยงาม และรับอากาศที่บริสุทธิ์ โดยประเภทการแข่งขันมีทั้งหมด 4 ประเภท สำหรับผู้ใหญ่ 3 ประเภท ซึ่งแบ่งตามประเภทกลุ่มน้ำหนักและประเภทกลุ่มอายุ และสำหรับเยาวชนแข่งตามกลุ่มอายุ 1 ประเภท ดังนี้
1.ประเภท Standard ว่ายน้ำระยะ 1,500 เมตร/ปั่นจักรยานระยะ 40 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 10 กิโลเมตร
2.ประเภท Sprint ว่ายน้ำระยะ 750 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 20 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 5 กิโลเมตร

3.ประเภท Duathlon (ทวิกีฬา) วิ่งระยะ 5 กิโลเมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 20 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 5 กิโลเมตร
4.สำหรับเยาวชน ไตรกีฬาเยาวชน (Kids Triathlon)
อายุ 6 – 8 ปี ว่ายน้ำระยะ 50 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 2 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 1 กิโลเมตร
อายุ 9 – 10 ปี ว่ายน้ำระยะ 150 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 4 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 2 กิโลเมตร
อายุ 11 – 12 ปี ว่ายน้ำระยะ 150 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 6 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 3 กิโลเมตร

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเพิ่มความอุ่นใจให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขัน โดยมอบสิทธิพิเศษด้วย ประกันอุบัติเหตุกลุ่มระยะสั้น พลัส “ฟรี” ทุนประกัน 100,000 บาท/คน ค่าชดเชยการรักษาพยาบาลสูงสุดต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้งสูงสุด 10,000 บาท (เงื่อนไขการได้รับสิทธิ์เป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิตกำหนด)

ฃ“การจัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเมืองไทยประกันชีวิตในการสนับสนุนให้ประชาชนมีสุขภาพที่แข็งแรงและคุณภาพชีวิตที่ดี บรรยากาศที่อบอุ่นและทัศนียภาพที่สวยงามของราชบุรีได้สร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่เข้าร่วมงาน ทั้งผู้บริหาร พนักงาน และประชาชนทั่วไป พร้อมร่วมมือกันสร้างสรรค์กิจกรรมดีต่อไปในอนาคต แล้วพบกันที่ เมืองไทยไตรกีฬา@หาดแหลมเสด็จ จันทบุรี” นายสาระกล่าวสรุป.

U FARM เปิดประสบการณ์ ‘หมูชีวา-ไก่เบญจา FUN DIVE!’ ไม่ใช่ปลา แต่มีโอเมก้า 3

0

แบรนด์ U FARM (ยู ฟาร์ม) ในกลุ่มบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ชวนเปิดประสบการณ์ด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัยอย่าง AI สร้างมาสคอต หมูชีวา ไก่เบญจา ไข่ไก่เบญจา ไม่ใช่ปลาแต่มีโอเมก้า 3 พร้อมกับกิจกรรม “หมูชีวา-ไก่เบญจา FUN DIVE! ไม่ใช่ปลาแต่มีโอเมก้า 3” นำผลิตภัณฑ์พรีเมียม ได้แก่ หมูชีวา ไก่เบญจา และไข่ไก่เบญจา มาจัดแสดงในอควาเรียม ของ Sea Life Bangkok Ocean World สยามพารากอน แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของทุกกลุ่มวัย ตอกย้ำจุดเด่น ‘โอเมก้า 3’ ที่สามารถรับประทานได้จากผลิตภัณฑ์ U FARM เพิ่มทางเลือกสำหรับสุขภาพ

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า กิจกรรมที่จัดขึ้นครั้งนี้ เป็นการต่อยอดจากการทำโฆษณารูปแบบใหม่ของ U FARM ในการใช้ AI-Powered Marketing ผสมเข้ากับความสร้างสรรค์ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 อย่าง ได้แก่ หมูชีวา ไก่เบญจา และไข่เบญจา ด้วยรูปแบบ 3D Animation เสมือนเป็นปลาทะเลแหวกว่ายอยู่บนจอกลางแยกอโศก รวมถึงป้ายโฆษณาต่างๆ เพื่อตอกย้ำจุดเด่นของโอเมก้า 3 ตอนนี้มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ U FARM ด้วยการสื่อสารที่เข้าใจง่าย ตรงประเด็น ดึงดูดความสนใจจากผู้ที่พบเห็น ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคที่พูดถึงในช่องทางโซเชียลต่างๆ ทั้ง Facebook, X รวมถึง TIKTOK

น.สพ.ดร.มนูศักดิ์ วงศ์พัชรชัย หัวหน้าทีมวิจัยด้านไบโอเทค สำนักวิชาการอาหารสัตว์ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์แบรนด์ U FARM เป็นนวัตกรรมอาหารที่ซีพีเอฟภาคภูมิใจ โดยคัดเลือกหมู ไก่ และไข่ สายพันธุ์ที่ดีที่สุด เลี้ยงด้วยสูตรอาหารซูเปอร์ฟู้ด อาทิ เมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed) น้ำมันปลาและสาหร่ายทะเล เป็นต้น ที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 จากธรรมชาติ จึงไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะ 100% ตลอดการเลี้ยงดู ได้การรับรองมาตรฐานความปลอดภัยในการเลี้ยงจาก NSF จากประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถรับประทานได้ทุกวัน การันตีด้วยรางวัลมากมายจากนานาชาติ ทั้งนี้ U FARM ยังเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์รายแรกและรายเดียวที่ได้รับการรับรองตรา ‘อาหารรักษ์หัวใจ’ จากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์

ด้าน แพทย์หญิงพลอย ศุภนันตฤกษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Wellness และเจ้าของ ‘เพจหมอพลอย ลูกอัจฉริยะสร้างได้’ มาร่วมให้ความรู้เรื่อง โอเมก้า 3 ว่า ยินดีอย่างมากที่เห็นคนทุกกลุ่มวัยให้ความสำคัญต่อเรื่องอาหาร เพราะโอเมก้า 3 สำคัญต่อทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็ก จนถึงผู้สูงวัย เพราะช่วยการทำงานของสมอง หัวใจและหลอดเลือด รวมถึงช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงขึ้นโดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่เข้มงวดกับโภชนาการของลูก การเลือกสารอาหารที่เหมาะสม อย่าง โอเมก้า 3 จะช่วยส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกันอย่างดี นอกจากนี้ยังสร้างสุขภาพที่ดีให้คุณแม่ตั้งครรภ์และลูกน้อย ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ เชื่อว่า การเพิ่มสารอาหารที่ดีในเนื้อหมู ไก่ และไข่ ซึ่งเป็นวัตถุดิบพื้นฐานจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคคนไทยอย่างมาก

ขณะเดียวกัน บีม กวี – ออย อฏิพรณ์ ตันจรารักษ์ กล่าวว่า ความรู้สึกยินดีที่ได้มาร่วมงานแคมเปญนี้ ช่วยเปิดมุมมองเรื่องสารอาหารอย่าง โอเมก้า 3 จากที่เคยเข้าใจว่ามีอยู่ในปลาและสัตว์ทะเล แต่ตอนนี้การรับประทานหมู ไก่ และไข่ไก่ ก็ได้รับโอเมก้า 3 เช่นกัน ซึ่งดีกับทุกช่วงวัยโดยเฉพาะเด็กๆ ที่ต้องใส่ใจในเรื่องโภชนาการเป็นพิเศษ การมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายขึ้นเช่นกัน

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อส่งมอบวัตถุดิบ ตลอดจนอาหารคุณภาพปลอดภัยได้มาตรฐานสากลให้แก่ผู้บริโภคทุกกลุ่ม สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่ พร้อมทั้งสร้างสรรค์แคมเปญที่ตอบโจทย์เทรนด์ต่างๆ เพื่อเข้าถึงและเข้าใจผู้บริโภคทุกเจนเนอเรชัน .

ถอดบทเรียนความสำเร็จ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ฯ CPF ผนึกกำลัง สพฐ. ตชด. ยกระดับพัฒนาหลักสูตรเสริมการเรียนการสอนอย่างยั่งยืน

0

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ถอดบทเรียน การวิจัยและพัฒนาหลักสูตร โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เพื่อยกระดับการดำเนินโครงการฯ สู่การจัดทำหลักสูตรแกนกลาง ที่โรงเรียนสามารถนำไปปรับใช้ตามบริบทในแต่ละพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม

งานสัมมนาเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม นำโดย นายกฤตยรัฐ ปารมี ผู้ช่วยเลขาธิการ มูลนิธิฯ พร้อมด้วย ดร.สำรวย ภักดี รองผู้อำนวยการ สพม.สุราษฎร์ธานี ชุมพร ปฏิบัติหน้าที่รองผู้อำนวยการ สำนักงานกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวัน พ.ต.อ.หญิง ณัชชา เขมะสิงคิ ผกก.ฝอ.7 บก.อก.บช.ตชด. นายวราราชย์ เรืองศรี ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ซีพีเอฟ คณะวิทยากรจากสถาบันรามจิตติ และคณะครูอาจารย์จาก 11 โรงเรียนต้นแบบโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ร่วมถอดบทเรียนและพัฒนาหลักสูตร ณ โรงแรม เอเชีย แอร์พอร์ท กรุงเทพมหานคร

นายกฤตยรัฐ ปารมี ผู้ช่วยเลขาธิการ มูลนิธิฯ เปิดเผยว่า มูลนิธิฯ และซีพีเอฟ ดำเนิน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ก้าวเข้าสู่ปีที่ 36 ปัจจุบันมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ 959 โรงเรียน เพื่อส่งมอบคุณค่าทางโภชนาการอาหาร สร้างแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพ แก่เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานทำให้นักเรียนและประชาชน เข้าถึงความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการกว่า 213,000 คน ผลิตไข่ไก่เพื่อบริโภคมากกว่า 26.2 ล้านฟอง ขณะเดียวกัน มูลนิธิฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญและคุณค่าที่เกิดจากการดำเนินโครงการฯ จึงมุ่งยกระดับผลลัพธ์การจัดการองค์ความรู้จากโครงการฯ โดยผนึกกำลังกับโรงเรียนภายใต้สังกัด สพฐ. และ บก.ตชด. เพื่อถอดบทเรียน การวิจัยและพัฒนาหลักสูตร โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนในครั้งนี้ เพื่อเป็นหลักสูตรแกนกลางต้นแบบ โดยทุกโรงเรียนสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้ได้ตามบริบทและความเหมาะสม

ด้าน นายวราราชย์ เรืองศรี ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ซีพีเอฟ กล่าวว่า ด้วยภารกิจของมูลนิธิฯ ที่มุ่งสืบสานงานพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชน เกษตรกร และผู้สูงวัยในชนบทห่างไกล ตามรอยใต้เบื้องพระยุคลบาทอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ซีพีเอฟ ได้ร่วมกับมูลนิธิฯ ส่งมอบโครงการฯ และส่งบุคลากรเข้าไปติดตาม ดูแล ให้คำแนะนำด้านการเลี้ยงไก่ไข่และการจัดการผลผลิต แก่ครูและนักเรียนในโครงการฯ บริษัทพร้อมให้การสนับสนุนโครงการฯนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักเรียนที่เป็นอนาคตของชาติได้บริโภคไข่ไก่คุณภาพดีจากฝีมือการดูแลของพวกเขาเองต่อไป และหวังว่าโรงเรียนทุกแห่งจะสามารถบริหารจัดการโครงการฯ สู่ ความสำเร็จอย่างยั่งยืน และเป็นแบบอย่างให้แก่โรงเรียนอื่นๆ ต่อไป

การจัดงานสัมมนาฯ ครั้งนี้ มูลนิธิฯ ได้คัดเลือกโรงเรียนต้นแบบ 11 แห่งจากทั่วประเทศ ที่มีผลการเลี้ยงดี และมีหลักสูตรเลี้ยงไก่ไข่ในโรงเรียนใช้ในรายวิชา เพื่อมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ ทักษะการเลี้ยง ตลอดจนการบริหารจัดการโครงการฯ ร่วมกัน ทำให้เกิดกระบวนการถอดบทเรียน โดยมีวิทยากรจากสถาบันรามจิตติ ร่วมออกแบบและพัฒนาหลักสูตร ผ่านกิจกรรมการค้นหา วิเคราะห์แนวคิดการเลี้ยงไก่ไข่ และการส่งเสริมให้นักเรียนเกิดสมรรถนะจากกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงไก่ไข่ ทั้งด้านบริหารจัดการ ด้านการเงิน ด้านอาชีพ สู่การพัฒนาเป็นธุรกิจ และพัฒนาให้เป็นหลักสูตรแกนกลางร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการต่อไป

ทางด้าน ดร.สำรวย ภักดี รองผู้อำนวยการ สพม.สุราษฎร์ธานี ชุมพร กล่าวว่า สพฐ. ขับเคลื่อนนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา นักเรียนและผู้ปกครอง สร้างโรงเรียนที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ สอดคล้องกับการดำเนินงานโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ของมูลนิธิฯ ที่พัฒนาทักษะทั้งด้านโภชนาการ การเป็นผู้ประกอบการ และการบริหารกองทุน และสพฐ. ยินดีเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนทั้งด้านวิชาการและบุคลากร ร่วมนำองค์ความรู้ที่ได้จากการดำเนินโครงการฯ ร่วมกัน มาพัฒนาและยกระดับการดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ สู่การจัดทำหลักสูตรแกนกลางสำหรับทุกโรงเรียน ถือเป็นการสร้างสรรค์คุณค่าให้เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนได้เป็นอย่างดี โดยแนวทางหลักสูตรที่ได้จากการสัมมาเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ จะนำไปประยุกต์ใช้กับทุกโรงเรียนต่อไป

การจัดงานสัมมนาฯ ครั้งนี้ มูลนิธิฯ ได้คัดเลือกโรงเรียนต้นแบบ 11 แห่งจากทั่วประเทศ ที่มีผลการเลี้ยงดี และมีหลักสูตรเลี้ยงไก่ไข่ในโรงเรียนใช้ในรายวิชา เพื่อมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ ทักษะการเลี้ยง ตลอดจนการบริหารจัดการโครงการฯ ร่วมกัน ทำให้เกิดกระบวนการถอดบทเรียน โดยมีวิทยากรจากสถาบันรามจิตติ ร่วมออกแบบและพัฒนาหลักสูตร ผ่านกิจกรรมการค้นหา วิเคราะห์แนวคิดการเลี้ยงไก่ไข่ และการส่งเสริมให้นักเรียนเกิดสมรรถนะจากกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงไก่ไข่ ทั้งด้านบริหารจัดการ ด้านการเงิน ด้านอาชีพ สู่การพัฒนาเป็นธุรกิจ และพัฒนาให้เป็นหลักสูตรแกนกลางร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการต่อไป

“โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” เป็นความร่วมมือของ เครือซีพี โดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และซีพีเอฟ ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2532 โดยน้อมนำแนวพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตาม “โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน” มาดำเนินการสานต่อ เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนในโรงเรียนถิ่นทุรกันดารและพื้นที่ห่างไกล ได้บริโภคไข่ไก่อย่างต่อเนื่อง เสริมสร้างโภชนาการที่ดี เติบโตสมวัยทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา นักเรียนและชุมชนได้เรียนรู้ทักษะการเลี้ยงไก่ไข่ การบริหารจัดการธุรกิจเกษตรในฟาร์มขนาดเล็ก และประยุกต์กิจกรรมสู่การเรียนการสอน สามารถบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่จำหน่ายแก่ชุมชน ทำให้ได้บริโภคไข่ไก่สดในราคาที่เหมาะสม สร้างรายได้หมุนเวียน ต่อยอดขยายผล เกิดเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน.