Home Blog Page 84

AIS ผนึก Singtel และ Maxis  เปิดบริการ Open API ครั้งแรกของโลก รับมือภัยไซเบอร์

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า AIS ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกับ Singtel และ Maxis บริษัทโทรคมนาคมชั้นนำของอาเซียน โดยเป็นความร่วมมือด้าน API ของบริษัทโทรคมนาคมในระดับนานาชาติครั้งแรกของโลก เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ เสริมความแข็งแกร่งในการยืนยันตัวตนและป้องกันการฉ้อโกง ขยายขอบเขตการให้บริการบน AIS Open API เพิ่มความปลอดภัยให้แอพพลิเคชั่น ในการตรวจสอบและยืนยันผู้ใช้งานด้วย API ครอบคลุมไปสู่ระดับภูมิภาค

AIS Open API เป็นแพลตฟอร์มชุดบริการการเชื่อมต่อ (Application Programming Interface – APIs) ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก GSMA เปิดให้บริการสำหรับนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นจากองค์กรธุรกิจต่างๆ เพื่อเข้าถึงศักยภาพของเครือข่ายโทรคมนาคมในการสร้างสรรค์บริการที่มีนวัตกรรมและเสริมความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการ โดยบริการที่เปิดให้ใช้งานแล้วในปัจจุบัน คือ การยืนยันตัวตนผู้ใช้บริการดิจิทัลที่ลงทะเบียนกับผู้ให้บริการกับข้อมูลการลงทะเบียนกับบริษัทโทรคมนาคม และการตรวจสอบว่าผู้ที่กำลังทำธุรกรรมผ่านดิจิทัลแอพพลิเคชั่นนั้น ดำเนินการจากอุปกรณ์ที่เพิ่งมีการเปลี่ยนซิมการ์ดหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการตรวจสอบและป้องกันการทุจริต และหลอกลวงประชาชนจากการทำธุรกรรมออนไลน์ที่พบมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน ที่มีรายงานการโจมตีทางไซเบอร์ผ่านแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่ดำเนินการโดยบอทอัตโนมัติที่มุ่งเป้าไปที่การทำธุรกรรมการชำระเงินในอีคอมเมิร์ซ

AIS Open API สามารถประยุกต์ใช้ได้ในหลายอุตสาหกรรม อาทิ ธุรกิจธนาคารและบริการทางการเงิน อีคอมเมิร์ซ เกมออนไลน์ ให้สามารถเพิ่มการยืนยันตัวตน (Multi-factor Authentication) ให้การทำธุรกรรมบนแอพพลิเคชั่นปลอดภัยมากยิ่งขึ้นผ่าน Number Verification API หรือการป้องกันการฉ้อโกงจากการทำธุรกรรมที่ต้องสงสัยผ่านการตรวจสอบเงื่อนไขเมื่อมีการเปลี่ยนซิมได้ทันที ผ่าน SIM Swap API ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสี่ยงในการยึดบัญชี อีกทั้งผู้ให้บริการยังสามารถปรับเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในการตรวจสอบและป้องกันการทำธุรกรรมที่เป็นภัยทางไซเบอร์กับผู้ใช้งาน ลดผลกระทบต่อการใช้งานดิจิทัลของประชาชนได้  

นายภูผา เอกะวิภาต รักษาการหัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร เอไอเอส กล่าวว่า  ความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการสานต่อพันธกิจของเราในการปกป้องความปลอดภัยลูกค้าและผู้ใช้บริการดิจิทัล โดยการผสานความเชี่ยวชาญและทรัพยากรด้านโทรคมนาคมของเรากับ Singtel และ Maxis ด้วยการสร้างแพลตฟอร์มที่ทรงพลัง “AIS Open API” ที่จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยสำหรับธุรกิจและผู้บริโภคในประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ การผนึกกำลังในการยืนยันหมายเลขโทรศัพท์ด้วย API นับเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคธุรกิจและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลในการยืนยันตัวตนผู้ใช้งานดิจิทัลทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค ผ่านการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์แบบเรียลไทม์ โดยการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของบริษัทโทรคมนาคมเหล่านี้ร่วมกัน ทั้งนี้ AIS Open API จะสามารถนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาที่ครอบคลุมและปลอดภัยเพื่อป้องกันรูปแบบการฉ้อโกงที่หลากหลาย รวมถึงการเข้ายึดบัญชีและการโจมตีแบบฟิชชิง โดยการยืนยันหมายเลขของ AIS Open API  จะทำให้ธุรกิจสามารถลดความเสี่ยงของการฉ้อโกงเพิ่มความน่าเชื่อถือของลูกค้าได้เป็นอย่างมาก”

นายอึง เทียน ช็อง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สิงค์เทล สิงคโปร์  กล่าวว่า “การเติบโตของอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคนี้อาจมีช่องว่างให้เกิดการฉ้อโกงทางดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญต่อผู้บริโภคและธุรกิจ เรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับ AIS และ Maxis เพื่อรับมือกับกรณีนี้  เพื่อช่วยปกป้องลูกค้า ด้วยความร่วมมือนี้จะสามารถก่อให้เกิดประโยชน์จากข้อมูลของบริษัทโทรคมนาคม เราจะสามารถยืนยันตัวตน ปกป้อง และลดความสูญเสียทางการเงินได้อย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้ลูกค้าทั้งในสิงคโปร์ ไทย และมาเลเซียได้รับประสบการณ์ด้านดิจิทัลที่ปลอดภัย เราจะยังคงเป็นผู้นำในการต่อสู้กับการฉ้อโกงทางดิจิทัล และเราขอเชิญชวนให้ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายอื่นๆ เข้าร่วมเพื่อสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับทุกคน”

นายโก เซียว เอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แม็กซิส มาเลเซีย กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคมครบวงจรชั้นนำของมาเลเซีย เราพร้อมส่งมอบการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว เชื่อถือได้ และปลอดภัยเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ความร่วมมือนี้จะช่วยปกป้องลูกค้าจากภัยคุกคามทางออนไลน์เพื่อให้ลูกค้าสามารถก้าวข้ามสู่เปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ”

นายจูเลี่ยน กอร์แมน หัวหน้าฝ่ายเอเชียแปซิฟิก สมาคมจีเอสเอ็ม (GSM Association: GSMA)กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำที่ก้าวล้ำด้านนวัตกรรมทั้งสามรายในเอเชียได้ร่วมมือกันผ่านโครงการ GSMA Open Gateway เพื่อจัดการกับการฉ้อโกงทางออนไลน์และช่วยเพิ่มความไว้วางใจของผู้บริโภคในบริการดิจิทัลใหม่ ๆ ทั่วทั้งประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เนื่องด้วยการโจมตีจากการฉ้อโกงทางไซเบอร์สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้เสียหาย ทั้งด้านการเงินและสภาพจิตใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน อาชญากรไซเบอร์มักเลือกปฏิบัติการข้ามพรมแดนของประเทศ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมและผู้พัฒนาบริการดิจิทัล จะต้องผนึกกำลังกันเพื่อร่วมหามาตรการในการป้องกันการฉ้อโกง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก”

การลงนามความร่วมมือนี้ ถูกจัดขึ้นในงาน Digital Nation Summit ณ ประเทศสิงคโปร์ วันที่ 25 กรกฏาคม 2567 ที่ผ่านมา  ระหว่าง เอไอเอส, สิงค์เทล สิงคโปร์ และ แม็กซิส มาเลเซีย  เพื่อเปิดโอกาสให้นักพัฒนา สามารถเข้าถึงการให้บริการแก่ผู้ใช้งานมากกว่า 61.6 ล้านราย ครอบคลุมพื้นที่ประเทศไทย (เอไอเอส 45 ล้านราย) มาเลเซีย (แม็กซิส 12 ล้านราย) และสิงคโปร์ (สิงค์เทล 4.6 ล้านราย) ซึ่งจะต่อยอดการพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่ปลอดภัย ป้องกันภัยคุกคาม หรือการหลอกลวงด้านไซเบอร์ได้ในระดับภูมิภาค

สำหรับองค์กรธุรกิจที่สนใจบริการยืนยันตัวตนยุคใหม่ผ่าน AIS Open API สามารถติดต่อทีมงาน AIS Business ได้ทันที หรือสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://ais.th/business/enterprise/technology-and-solution/communication/ais-open-api

อาจารย์ม.ดังโชว์ไอเดียเมนูอร่อย มีประโยชน์ ชวน “กิน” กู้วิกฤตปลาหมอคางดำ สร้างโอกาสทำรายได้ให้ชุมชน

0

สิ่งที่คนไทยมีความถนัดและถือเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ การรังสรรค์อาหารจานอร่อยหลากหลายเมนู เพื่อสู้กับการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ในโลกออนไลน์โชว์ไอเดียจับวัตถุดิบธรรมดาแปรรูปเป็นของอร่อย ชวนกิน มีคุณค่าทางโภชนาการ ขายได้ เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส “กิน” ปราบปลาหมอคางดำ

อาจารย์จากสองมหาวิทยาลัยชื่อดัง ผศ.ดร.ภูธฤทธิ์ วิทยาพัฒนานุรักษ์ รักษาศิริ อาจารย์ประจำคณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี และผศ.ดร.นันทิภา พันธุ์สวัสดิ์ ภาควิชาผลิตภัณฑ์ประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำเสนออาหารจากปลาหมอคางดำที่ทำได้ตั้งแต่ของทานเล่น จนถึงอาหารจานหรู องค์ความรู้ และภูมิปัญญาชาวบ้านนำปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าสูงสุด สร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกร และคนในพื้นที่

ผศ.ดร.ภูธฤทธิ์ วิทยาพัฒนานุรักษ์ รักษาศิริ อาจารย์ประจำคณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี ออกมาให้ความรู้ว่า ปลาหมอคางดำมีคุณค่าทางโภชนาการไม่น้อยกว่าปลาชนิดอื่น มีโปรตีนและไขมันเทียบเท่ากับปลานิล รสชาติก็เหมือนปลาทั่วไป ไม่อันตราย เมนูปลาหมอคางดำทำได้มากมาย มหาวิทยาลัยร่วมกับชุมชนพัฒนาเมนูอาหารร่วม 20 รายการ ตั้งแต่ ลูกชิ้น กรรเชียง ปลาร้าเป็นตัว ปลาร้าผง น้ำซุป น้ำสต๊อก น้ำบูดู น้ำหมักปรุงรส ปลาแดดเดียว ปลาสามรส ปลาสวรรค์ เป็นต้น ช่วยให้ชาวบ้านจำหน่ายเป็นของฝากจากชุมชนได้

ผศ.ดร.นันทิภา พันธุ์สวัสดิ์ ภาควิชาผลิตภัณฑ์ประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำโครงการ รังสรรค์เมนูปลาหมอคางดำ ช่วย “กู้แหล่งน้ำ” นำปลาหมอคางดำมาทำเมนูอาหารง่ายๆ คนไทยชื่นชอบอย่าง “ขนมจีนน้ำยาปลาหมอคางดำ” อร่อยจนบอกไม่ได้ว่ามาจากปลาหมอคางดำ เป็นเมนูได้รับการตอบรับจากบุคลากร นิสิต และบุคคลทั่วไปเป็นอย่างดี และเสียงสะท้อนส่วนใหญ่บอกว่าก็ไม่ต่างจากน้ำยาปลาปกติ นอกจากนี้ คณาจารย์ในภาควิชายังคิดค้นเมนูอาหารอีกหลายเมนู ตั้งแต่อาหารไทยพื้นบ้าน ปลาร้าทรงเครื่อง ผงโรยข้าว น้ำพริกปลากรอบ อาหารชาววัง อย่างข้าวแช่ ไปจนเมนูญี่ปุ่น ข้าวปลาเทริยากิ ปลาหมอคางดำก็ทำได้

เมนูอร่อยจากปลาหมอคางดำ ดูจะเหมาะเป็นอย่างยิ่งกับไลฟ์สไตล์คนไทยที่ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไร ต้องได้กินอาหารอร่อย เป็นความสุขอีกแบบหนึ่ง แถมยังสามารถต่อยอดทำเป็นสินค้าสร้างรายได้ให้กับชุมชน และการกินเป็นการใช้ประโยชน์ปลาหมอคางดำที่ยั่งยืน ช่วยลดปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะทุกคนสามารถร่วมมือช่วยกันปรุง ช่วยกันกิน เช่นเดียวกับกรณีหอยเชอรี่ที่เคยระบาดอย่างหนักเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา รวมถึงการรุกรานของตั๊กแตนปาทังก้าที่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรอย่างหนัก ที่วันนี้ หอยเชอรี่ และตั๊กแตนปาทังก้ากลายเป็นหนึ่งในเมนู Soft Power ของไทย ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องมาลิ้มลอง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้คิกออฟ โครงการรังสรรค์เมนูเด็ดจากปลาที่รับซื้อจากเกษตรกรในพื้นที่บางขุนเทียน ได้แก่ ปลาหมอคางดำราดซอสเปรี้ยวหวาน ปลาหมอคางดำทอดเกลือ ห่อหมกปลาหมอคางดำ ฉู่ฉี่ปลาหมอคางดำ แกงส้มปลาหมอคางดำ พร้อมทั้งยังได้ชักชวน 2 เชฟมือทอง อย่าง เชพชุมพล- ชุมพล แจ้งไพร และเชฟชีส เมธัส ปาทาน ที่มาช่วยรังสรรค์เมนู Fine Dining อย่าง ปลาหมอคางดำราดพริกสมุนไพร และปลาหมอคางดำราดซอสมะขามอีกด้วย

ประชาชนแจ้งเบาะแสกรมประมง จับไม่หยุด“ล่าปลาหมอคางดำ” เดินหน้าฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงและจังหวัดสมุทรสงคราม จัดกิจกรรม “ลงแขก-ลงคลอง” ครั้งที่ 5/2567 จับปลาไม่หยุด ขับเคลื่อนนโยบายการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและคืนความหลากหลายทางชีวภาพสู่ธรรมชาติและชุมชน

นายบัณฑิต กุลละวณิชย์ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวว่า สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงครามขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อย่างเข้มแข็งและต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม ตลอดจนมีการกำหนดมาตรการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ทั้งการควบคุมและกำจัดปริมาณปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด และเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ท่านอธิบดีกรมประมง นายบัญชา สุขแก้ว ได้อนุญาตให้สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม ทำการประมงเพื่อประโยชน์ทางวิชาการในการกำจัดปลาหมอคางดำ โดยใช้เครื่องมืออวนทับตลิ่ง ขนาดตาอวน 0.6 มิลลิเมตรขึ้นไป มีความยาวของอวนไม่น้อยกว่า 40 เมตร มีความกว้างของอวนไม่น้อยกว่า 5 เมตร และการใช้สารเบื่อเมาประเภทกากชา (ซาโปนิน) ทำการประมงปลาหมอคางดำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติและบรรลุตามเป้าหมายในการลดปริมาณปลาชนิดนี้อย่างมีนัยสำคัญ

บัณฑิต กุลละวณิชย์ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม

สำหรับกิจกรรม “ลงแขก-ลงคลอง” ครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 หลังจากที่ได้มีการ Kick Off อย่างเป็นทางการไป เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 สถานที่ในการจัดกิจกรรมวันนี้ ณ บริเวณคลองย่อยคลองบางบ่อ (ข้างร้านเจ๊แก่น) หมู่ที่ 1 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ประชาชนแจ้งเบาะแสพบการ แพร่ระบาดของปลาหมอคางดำหนาแน่น จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันแจ้งเบาะแสการพบปลาหมอคางดำให้กับกรมประมง เพื่อจัดทีมไล่ล่าปลาหมอคางดำในครั้งถัดไป

นายบัณฑิต กล่าวว่า จากกิจกรรมลงแขก-ลงคลอง ครั้งที่ผ่านๆ มา พบว่ามีสัดส่วนชนิดสัตว์น้ำตามธรรมชาติชนิดอื่นๆ ติดขึ้นมากับการจับปลาเพิ่มมากขึ้น นับเป็นเรื่องที่ดีด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และยังกล่าวต่ออีกว่า นอกจากการลงแขก-ลงคลอง จับปลาหมอคางดำแล้ว ยังมีกิจกรรมมอบพันธุ์ปลากะพงขาว ตาม MOU ที่ทำร่วมกับกลุ่มเกษตรกรเครือข่ายที่มีความตระหนักถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ และร่วมลงมือดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ โดยนำร่องมอบพันธุ์ปลากะพงขาวให้กับกลุ่มกองทุนกากชา 3 กลุ่ม จำนวน 4,000 ตัว สำหรับเพาะเลี้ยงเพื่อกำจัดปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำของสมาชิกภายในกลุ่ม เป็นการลดต้นทุนค่าอาหาร เมื่อปลามีขนาดโตขึ้นและสามารถไล่ล่าได้ดีทำการส่งมอบปลาคืน 10% ให้กับสำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อนำมาปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติต่อไป ซึ่งปลากะพงขาวที่ใช้ในกิจกรรมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)

ในส่วนของจังหวัดสมุทรสงคราม คณะกรรมการประมงประจำจังหวัดให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกร มีมติเสนอให้นำเรียนท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม มีข้อสั่งการให้แต่ละท้องถิ่นร่วมมือกันจัดกิจกรรมลงแขก-ลงคลอง เพื่อรวมพลังกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติของจังหวัด ทั้งนี้สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม จะออกหนังสือประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือจากชาวบ้านและชุมชนงดเว้นการจับปลาผู้ล่าในบริเวณแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีการจัดกิจกรรมปล่อยปลาผู้ล่า เป็นระยะเวลา 90 วัน หลังจากที่มีการปล่อยปลาผู้ล่าลงสู่แหล่งน้ำ

สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำอย่างจริงจังและต่อเนื่องกับทุกภาคส่วนในการร่วมมือแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและคืนความหลากหลายทางชีวภาพสู่ธรรมชาติและชุมชน

ชื่อพันธุ์ปลา … ความจริงที่ต้องตรวจสอบ 11 บริษัทผู้ส่งออกปลาหมอคางดำ

0
บทความโดย วิภาวี บุตรสาร นักวิชาการด้านสัตว์น้ำ

เมื่อคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทาง แก้ไขปัญหา รวมถึงผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำเพื่อการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ ได้รับข้อมูลใหม่ว่า การส่งออกปลาหมอคางดำ บริษัทผู้ส่งออกทั้ง 11 บริษัท ประกอบด้วย หจก.ฉาง ซิน เอ็นเตอร์ไพร์, หจก. ซีฟู้ดส์ อิมปอร์ต-เอ็กซ์ปอร์ต, บจก.นิว วาไรตี้, บจก. พี.แอนด์.พี อควาเรี่ยม เวิลด์ เทรดดิ้ง, บจก.ไทย เฉียน หวู่, บจก. แอดวานซ์ อควาติก, บจก.เอเชีย อะควาติคส์, บจก.หมีขาว, หจก. วี. อควาเรียม, บจก.สยามออร์นา เมนทอล ฟิช, และ หจก.สมิตรา อแควเรี่ยม นั้นเกิดจากบริษัทชิปปิ้งทำเอกสารส่งออก เกิดความผิดพลาดในขั้นตอนการกรอกชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อสามัญ และชื่อไทยผิด จึงเข้าใจว่า เป็นปลาหมอคางดำ ทั้งที่จริงแล้วเป็นปลาชนิดอื่น

กลายเป็นคำถามตัวโตๆว่า แล้วภาครัฐปล่อยให้ใช้ชื่อที่กรอกผิดมาตลอดการส่งออกตั้งแต่ปี 2556-2559 ทุกบริษัท และทุกรอบการส่งออก โดยไม่มีใครทักท้วง หรือตรวจสอบ ทั้งในส่วนของบริษัทส่งออก ผู้ชื้อ และหน่วยงานควบคุมกำจัด ทั้งๆที่ปลาหมอคางดำ เป็นปลาต่างถิ่น ที่ไม่อนุญาตให้นำเข้า แต่ปล่อยให้มีการส่งออกได้อย่างไร และหากปลาหมอคางดำไม่ได้กลายเป็นปัญหาในวันนี้ ความผิดพลาดนี้ก็คงยังไม่ถูกค้นพบ

จากบทสัมภาษณ์ของ น.พ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ ที่ได้รับข้อมูลใหม่ว่า ผู้ส่งออกปลาสวยงามทั้ง 11 บริษัท ใส่ข้อมูลชื่อปลาในระบบผิดพลาด เพราะจ้างชิปปิ้งทำเอกสารส่งออกแล้วลงระบบผิด โดย ระบุชื่อไทย ว่า ปลาหมอเทศข้างลาย ชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon melanotheron ชื่อสามัญ Blackchin tilapia แต่ในระบบทางราชการ ชื่อวิทยาศาสตร์และชื่อสามัญข้างต้น เป็นของ ปลาหมอคางดำ แล้วสรุปว่า ใส่ชื่อไทยผิด แต่ปล่อยให้ผิดติดต่อกันมาตลอดเวลา 4 ปี แม้ภาครัฐบอกว่า ได้ตรวจสอบแล้วในปี 60 แต่คงเชื่อยาก และเชื่อว่าประธานอนุกรรมาธิการ ก็ยังไม่สิ้นสงสัยเป็นแน่

อ้างอิงข้อมูลเรื่องชื่อเรียกพันธุ์ปลา จาก อ.เจษฎ์ – ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่อธิบายว่า ปลาหมอคางดำ มีชื่อสามัญว่า blackchin tilapia มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sarotherodon melanotheron จัดอยู่ในวงศ์ปลาหมอสี (family Cichlidae) เช่นเดียวกับปลานิล และปลาหมอเทศ (แต่คนละสกุล genus กัน) ในการบัญญัติชื่อภาษาไทยจึงขึ้นต้นว่า “ปลาหมอ” (หรือช่วงหนึ่งเคยใช้คำว่า “ปลาหมอสี” ตามชื่อวงศ์ด้วยซ้ำ) แทนที่จะชื่อว่า ปลานิล และตอนที่บริษัทเอกชนรายจะขอนำเข้าพันธุ์ปลา blackchin tilapia จากประเทศกานา มาทำวิจัย โดยเขียนในเอกสารโครงการวิจัยว่า “ลูกปลานิลจากประเทศกานา” กรมประมงยังให้เปลี่ยนเป็น “ปลาหมอ” แทน

อย่างไรก็ตามช่วงเวลานั้น ไม่มีการบัญญัติชื่อ “ปลาหมอ(สี)คางดำ” ทำให้ในเอกสารโครงการที่ถูกแก้ จึงใช้คำว่า “ปลาหมอเทศข้างลาย (ชื่อสามัญ Blue tilapia ชื่อวิทยาศาสตร์ Oreochromis aureus)” ทั้งที่เป็นคนละสปีชีส์กันและมาปรากฏเป็นชื่อ “ปลาหมอ(สี)คางดำ” ชัดเจน ในประกาศห้ามนำเข้า-เพาะพันธุ์-ส่งออก ของกรมประมง ในปี พ.ศ 2561 พร้อมกับปลาหมอสีต้องห้ามอื่นๆ เช่น ปลาหมอบัตเตอร์ (Zebra tilapia ชื่อวิทยาศาสตร์: Heterotilapia buttikoferi) ปลาหมอมายัน (Mayan cichlid ชื่อวิทยาศาสตร์: Mayaheros urophthalmus)

ล่าสุด บริษัทผู้ส่งออกทั้ง 11 แห่ง ให้ข้อมูลในเบื้องต้นถึงใบขนส่งของกรมศุลกากรและพิกัดศุลกากร และส่งไปปลายทางที่เอามายืนยัน สุดท้ายไม่ได้เป็นปลาหมอคางดำ แต่เป็นปลาหมอสีมาลาวี และ ปลาหมอโทรเฟียส ข้อมูลการส่งออกที่ระบุว่า ปลาหมอคางดำ จึงลงบันทึกผิดในระบบเท่านั้น …ถือเป็นคำชี้แจงที่เชื่อได้ยาก เพราะหากเป็นเช่นนี้แสดงว่า ผู้ส่งออกทั้ง 11 บริษัท ใช้บริการชิปปิ้งเดียวกัน และอาจไม่ได้ตรวจเอกสารเลยว่า ปลาที่ระบุในเอกสาร ไม่ตรงกับปลาที่ขายจริงมาตลอด 4 ปี โดยไม่มีการทักท้วงเลย ในขณะที่ภาครัฐก็ไม่ได้มีการตรวจสอบเลยว่า ปลาที่ส่งออกไปเป็นปลาอะไร ตรงกับที่ระบุในเอกสารส่งออกหรือไม่ และความจริงทั้งหมดเป็นอย่างไร

ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ ภายหลังจากมีกฎหมายห้ามเพาะเลี้ยงมีผลบังคับใช้ในปี 2561 ตัวเลขส่งออกก็ไม่ปรากฎให้เห็น เกิดคำถามมาว่า ถ้าปลาที่ส่งออก ไม่ใช่ปลาหมอคางดำ มีเหตุผลใดถึงหยุดส่ง แต่ถ้าเป็นปลาหมอคางดำ พ่อแม่พันธุ์เหล่านั้นไปไหน หรือมีการทำลายอย่างถูกต้องหรือไม่ อย่างไร หากปล่อยลงคูคลองก็ไม่แคล้วกลายเป็นแหล่งแพร่พันธุ์ปลาชนิดนี้ เพราะแหล่งน้ำสำคัญของจังหวัดราชบุรี แหล่งเพาะเลี้ยงปลาสวยงามมากที่สุดของประเทศ ก็สามารถเชื่อมต่อมายังจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสงคราม ที่พบการแพร่ของปลาหมอคางดำได้

เมื่อต้นตอการระบาดกลายเป็นสิ่งที่สังคมต้องการคำตอบ จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบการส่งออกอย่างละเอียดว่า ปลาที่ปลายทางได้รับเป็นปลาชนิดใด เพราะถือเป็นอีกปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริง อย่างโปร่งใส ครบถ้วนในทุกมิติ มิเช่นนั้นคำถามนี้ก็จะยังคงอยู่ต่อไปแน่นอน…

เมืองไทยประกันชีวิต ชูแคมเปญประกันชีวิต “ShieldLife”ตอบโจทย์ใช้ชีวิตแบบ Worry Free

0
เมืองไทยประกันชีวิต ส่ง “ShieldLife” ตัวช่วยให้คุณเบาใจ ในวันที่คุณจากไป… ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่าง Worry Free ชวนปรับแนวคิดคนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ สู่การสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้กับคนข้างหลังผ่านประกันชีวิต พร้อมส่ง “A True Story” เปิดมุมมองเรื่องจริงที่หลากหลาย บอกเล่าความสุข ความประทับใจ และเหตุผลที่อยากส่งต่อความมั่นคงด้วยประกันชีวิตผ่าน ShieldLife

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าแคมเปญ “ShieldLife” ตัวช่วยให้คุณเบาใจ ในวันที่คุณจากไป… อย่างต่อเนื่องหลังกระแสตอบรับดี ล่าสุดชวนปรับแนวคิด “คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ” สู่การสร้างหลักประกันที่มั่นคงด้วยการวางแผนชีวิตเพื่อคนข้างหลัง ตอบโจทย์คนซื้อให้ได้ใช้ชีวิตอย่าง Worry Free และมีความสุขอย่างแท้จริง ด้วยการสร้างและส่งต่อมรดกให้ครอบครัว เพื่อเป็นตัวช่วยสภาพคล่องทางการเงิน หรือเป็นทุนการศึกษาให้ลูก หรือเป็นทุนเริ่มต้นทำธุรกิจ ให้ใช้ชีวิตต่อได้แบบที่ต้องการ หากมีหนี้สิน จะเป็นตัวช่วยผ่อนภาระหนี้สิน ไม่ว่าจะเป็น หนี้บ้าน หนี้รถ หนี้ธุรกิจ หรือหนี้อื่นๆ หากจากไปก็ไม่ทิ้งภาระไว้ให้คนข้างหลัง

ทั้งนี้ “ShieldLife” คือตัวช่วยในการวางแผนการสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้คนที่คุณรัก ที่คุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุและเจ็บป่วย ด้วยแบบประกันชีวิตที่คุณเลือกได้ ทั้งประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life) ประกันชีวิตแบบคุ้มครองภายในระยะเวลา (Term) หรือประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) พร้อมออกแบบตามสไลฟ์สไตล์ที่เป็นตัวคุณ ทั้งวงเงินความคุ้มครองที่เลือกได้ตามต้องการ เลือกจ่ายเบี้ยแบบชิลๆ จะแบบสั้นหรือแบบยาวก็ได้ ซื้อได้ถึงอายุ 90 ปี ระยะเวลาคุ้มครองยาวสุดถึงอายุ 99 ปี เบี้ยประกันภัยยังสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

“ตัวตนของประกันชีวิตจริงๆ แล้วคือเรื่องของการสร้างหลักประกันที่มั่นคงที่ช่วยส่งต่ออนาคตให้กับคนที่รักได้อย่างสบายใจ แต่ก็มีบางจังหวะที่คนอาจมองข้ามและมักมองว่าประกันชีวิตคือสิ่งที่คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ ซึ่งผมมองต่าง เพราะเราไม่รู้ว่าความแน่นอนของชีวิตจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยถ้ามีการวางแผนที่ดีก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเบาใจ ได้รู้ว่าคนข้างหลังจะเป็นอย่างไร ซึ่งเราสามารถออกแบบหลักประกันเหล่านี้ได้ และยังได้ใช้ชีวิตได้ทำในสิ่งที่ชอบที่เป็นของสุขของเราได้อย่างเต็มที่ ซึ่ง ShieldLife คือคำตอบสำหรับทุกคนที่อยากสร้างหลักประกันที่มั่นคงนั้น” นายสาระ กล่าว

นอกจากนี้เพื่อตอกย้ำกระแสความแรงของ ShieldLife เมืองไทยประกันชีวิตยังได้จัดทำ “A True Story : ShieldLife” เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์จริงจากหลากหลายกลุ่มคนในสังคมไม่ว่าจะเป็น นักธุรกิจ เจ้าของธุรกิจ พ่อแม่มือใหม่ พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว เสาหลักดูแลพ่อแม่ คู่รัก หรือคู่ชีวิต ที่พร้อมมาบอกเล่าความประทับใจ ความสุข ความสมหวัง และความรัก เหตุผลที่อยากส่งต่อความมั่นคงด้วยประกันชีวิตจาก เมืองไทยประกันชีวิต ให้กับคนที่รักและห่วงใย หรือซื้อประกันชีวิตเพื่ออนาคตมั่นใจ ที่พร้อมให้ครอบครัวเดินหน้าต่อไปได้ แม้ในวันที่เราจากไป ไม่ว่าจะเป็น

คุณศุภกิตติ์ อูปคำ-ตั้ม (Thomas Tom) Content Creator สอนภาษาอังกฤษที่ผสมการแหลงใต้ ที่ผ่านการสูญเสียจนทำให้ต้องเริ่มเตรียมความพร้อมในการใช้ชีวิต “จากเหตุการณ์ที่สูญเสียทั้งพ่อและพี่ชาย ทำให้ต้องใช้ชีวิตอย่างรอบคอบ ไม่ประมาท เตรียมความพร้อมอย่างดีเพื่อเป็นเสาหลักครอบครัว ดูแลแม่และน้องสาวให้ดีที่สุด ซึ่งตั้มเลือกฝากอนาคตของคนที่รักไว้กับ ShieldLife จากเมืองไทยประกันชีวิตที่ทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่เหมือนเป็นการทิ้งสิ่งดีๆ สิ่งสุดท้ายในชีวิตไว้ให้คนที่เรารัก หมดห่วงในวันที่เราจากไป”

คุณจิรรัฏฐ์ เกตุภู่ (มีน) และ คุณอนุรักษ์ บุญเพิ่มพูล (บอม) เพจ “คนจะไปก็ต้องไป” จากไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง สู่พาร์ทเนอร์ชีวิตที่ลงตัว “เราสองคนเหมือนเป็น Partner ร่วมทางกันมากกว่าคนรัก เลยคิดว่าอยากดูแล และอยากส่งมอบสิ่งดีๆ ให้กันทั้งในวันที่ยังอยู่และในวันที่จากไป ไม่อยากทิ้งภาระไว้ให้อีกคนต้องรับผิดชอบ เราสองคนเลือกฝากอนาคตไว้กับ ShieldLife ซึ่งเป็นประกันชีวิตที่ทำให้เราสองคนได้ชิลกับชีวิตได้เต็มที่ ที่ให้ความคุ้มครองอย่างเท่าเทียม สามารถระบุ Partner ของเราเป็นผู้รับประโยชน์ได้ ทำให้เรามั่นใจที่จะฝากอนาคตของคนที่เรารักไว้กับเมืองไทยประกันชีวิต”

คุณภัทรารวีย์ เกตุธีรโรจน์ (ไข่มุก) เจ้าของเพจ “เที่ยวแบบกรู” เที่ยวไปเลี้ยงลูกไป กับวิธีสอนลูกให้พร้อมใช้ชีวิตในโลกกว้าง คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่มีชีวิตเพื่อเป็นทุกอย่างของลูก “ลูกมีเราเป็นโลกทั้งใบ เราเลยอยากดูแลตัวเองให้ดีเพื่ออยู่กับเขาไปนานๆ เลยเริ่มเตรียมอนาคตไว้ให้ลูกเพื่อเป็นทุนซัปพอร์ตเขาในวันที่เราไม่อยู่ ไข่มุกเลือกสร้างความคุ้มครองเพื่อส่งต่อเป็นทุนให้ลูกได้สานฝันในสิ่งที่อยากทำในอนาคต ด้วย ShieldLife จากเมืองไทยประกันชีวิตที่ทำให้ไข่มุกได้ชิลกับชีวิตได้อย่างเต็มที่”

และ ดร.อริสรา กำธรเจริญ พิธีกรและผู้ประกาศข่าว ผู้หญิงที่ใช้ความพยายามทั้งหัวใจเพื่อการเป็นแม่ “ในบทบาทของการเป็น “แม่” ทำให้รู้ว่าอยากเลี้ยง “ลูก” ให้ดีที่สุดเท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำได้ ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็จะแบ่งเวลาเพื่อดูแล และทำกิจกรรมกับลูกเสมอ โดยที่ตั้งใจจะซัปพอร์ตอนาคตลูกให้ดีที่สุด หมวยเลือกฝากอนาคตของลูกเพื่อส่งต่อเป็นทุนให้เขาได้ใช้ชีวิตตามที่เขาต้องการ กับ ShieldLife ที่ทำให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่จากเมืองไทยประกันชีวิต”

โดยสามารถติดตามทุกเรื่องราวและประสบการณ์จริงอีกหลายหลายแนวคิดใน “A True Story : ShieldLife” ได้ที่ เว็บไซต์ www.muangthai.co.th, YouTube, Facebook, Instagram, X, LINE Official Account และ TikTok สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์แคมเปญ “ShieldLife” จากเมืองไทยประกันชีวิต สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th หรือ โทร.1766 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อตัวแทนจากเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ สาขา ธนาคารกสิกรไทย และ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์

ซีพีเอฟแจงยิบ เปิดไทม์ไลน์ปลาหมอคางดำ ย้ำทำตามคำแนะนำเจ้าหน้าที่กรมประมง

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้ยื่นหนังสือให้ข้อมูลคณะกรรมาธิการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม แจงละเอียดทุกขั้นตอนการนำเข้าลูกปลาหมอคางดำ 2,000 ตัวจากประเทศกานา ตั้งแต่ปลามาถึงไทยจนถึงทำลายฝังซากและส่งซากปลาให้กรมประมง ผ่านการตรวจสอบและตามคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่กรมฯ

นายเปรมศักดิ์ วนัชสุนทร ผู้บริหารสูงสุดด้านการวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญบริษัทเข้าร่วมการประชุมกับคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหารวมถึง ผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำเพื่อการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ในราชอาณาจักรไทย นั้น บริษัทได้ชี้แจงว่า ซีพีเอฟ ได้นำเข้าลูกปลาหมอคางดำ ในชื่อสามัญ Blackchin tilapia และชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon melanotheron ขนาด 1 กรัม จำนวน 2,000 ตัว จากประเทศกานา เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2553 ใช้เวลาเดินทาง 35 ชั่วโมง เมื่อมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิได้เปิดกล่องโฟมบรรจุลูกปลาพร้อมกับเจ้าหน้าที่กรมประมง ที่ประจำ ณ ด่านกักกัน พบว่ามีลูกปลาตายจำนวนมาก และเมื่อรับลูกปลามาถึงฟาร์มได้ตรวจคัดแยกพบว่ามีลูกปลามีชีวิตเหลืออยู่เพียง 600 ตัว ในสภาพที่ไม่แข็งแรง จึงได้นำลูกปลาที่ยังมีชีวิตลงในบ่อเลี้ยงซีเมนต์ เนื่องจากปลามีสุขภาพไม่แข็งแรง ลูกปลาทยอยตายต่อเนื่องทุกวัน (ตารางแนบ)

เนื่องจากสภาพลูกปลาที่เหลือไม่แข็งแรงและจำนวนไม่เพียงพอต่อการวิจัย จึงโทรปรึกษาเจ้าหน้าที่กรมประมง (นักวิชาการประมง 4 ตำแหน่งในขณะนั้น) กลุ่มความหลากหลายทางชีวภาพสัตว์น้ำจืด ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบที่มีชื่อระบุอยู่ในหนังสืออนุมัตินำเข้า โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่าให้เก็บตัวอย่างใส่ ขวดโหลแช่ฟอร์มาลีนและให้นำมาส่งที่กรมประมง ดังนั้น ในสัปดาห์ที่ 2 ของการรับปลาเข้ามา จึงเก็บตัวอย่างจำนวน 50 ตัว ดองฟอร์มาลีนเข้มข้นเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน

วันที่ 6 มกราคม 2554 (สัปดาห์ที่ 3) เนื่องจากมีปลาทยอยตายเหลือเพียง 50 ตัว บริษัทจึงตัดสินใจไม่เริ่มดำเนินโครงการและยุติการวิจัยทั้งหมด และได้ทำลายลูกปลาทั้งหมดโดยใช้คลอรีนใส่ลงน้ำในบ่อเลี้ยงซีเมนต์ เพื่อฆ่าเชื้อและทำลายลูกปลาที่เหลือ หลังจากนั้น เก็บลูกปลาทั้งหมดแช่ฟอร์มาลีนเข้มข้น 24 ชั่วโมง แล้วนำมาฝังกลบพร้อมโรยปูนขาวในวันที่ 7 มกราคม 2554 รวมระยะเวลาที่ลูกปลาชุดนี้มีชีวิตอยู่ในประเทศไทยเพียง 16 วันเท่านั้น และบริษัทได้แจ้งต่อกรมประมงถึงการตายของลูกปลา รวมถึงได้ทำลายซากลูกปลาตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่กรมประมงท่านดังกล่าว และส่งตัวอย่างลูกปลาดองทั้งตัวในฟอร์มาลีนทั้งหมด 50 ตัว จำนวน 2 ขวด ๆ ละ 25 ตัว ให้กับคุณศิริวรรณที่กรมประมง โดยในวันที่ 6 มกราคม 2554 ได้เดินทางมาที่กรมประมง และได้โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ท่านเดิม เรื่องการส่งมอบตัวอย่างลูกปลาดองทั้ง 2 ขวด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อีกท่านหนึ่งลงมารับตัวอย่างแทน ที่ชั้น 1 อาคารจุฬาภรณ์ กรมประมง โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ขอให้ตัวแทนบริษัทกรอกแบบฟอร์มใดๆ ทำให้เข้าใจว่าการส่งมอบสมบูรณ์แล้ว

ถัดมาอีก 7 ปี ในปี 2560 มีข้อมูลจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนว่า มีการพบปลาหมอคางดำระบาดในพื้นที่สมุทรสงคราม กรมประมงจึงได้เข้าตรวจเยี่ยมฟาร์มยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ในวันที่ 1 สิงหาคม 2560 ซึ่งเจ้าหน้าที่จากกรมประมงตรวจสอบไม่พบปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยง จึงได้ขอสุ่มในบ่อพักน้ำที่เชื่อมต่อกับแหล่งน้ำธรรมชาติแทน ซึ่งบ่อพักน้ำ R2 ของฟาร์มไม่ได้เป็นส่วนของบ่อเลี้ยง แต่เป็นส่วนที่เชื่อมกับแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อรอการกรองและฆ่าเชื้อทำความสะอาดก่อนนำน้ำเข้ามาใช้ในฟาร์ม

บ่อพักน้ำเป็นส่วนที่เชื่อมกับแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ปลาที่อยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติย่อมมีอยู่ในบ่อพักน้ำ เนื่องจากเป็นแหล่งน้ำเดียวกัน และยังไม่เข้าสู่ระบบการเลี้ยง ดังนั้น การสุ่มในบ่อพักน้ำจึงไม่แปลกที่ปลาจะเป็นชนิดเดียวกันกับปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติ การนำมาเปรียบเทียบว่าเป็นปลาชนิดเดียวกันหรือไม่ จึงเป็นการตั้งสมมติฐานที่ทราบคำตอบตั้งแต่ต้นว่าเป็นปลาชนิดเดียวกัน เพราะมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติเดียวกัน

นายเปรมศักดิ์ กล่าวย้ำว่า บริษัทไม่มีการวิจัยหรือเลี้ยงปลาหมอคางดำอีกเลย นับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2554 ถึงแม้ว่าบริษัทมั่นใจว่าไม่ได้เป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาด แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน จึงได้นำศักยภาพองค์กรขับเคลื่อน 5 โครงการสำคัญ ประกอบด้วย

  1. ร่วมกับกรมประมงรับซื้อปลาหมอคางดำจากทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีการระบาด จำนวน 2,000,000 กิโลกรัม ในราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม
  2. สนับสนุนปล่อยปลาผู้ล่าลงสู่แหล่งน้ำ 200,000 ตัวตามแนวทางของกรมประมง
  3. สนับสนุนกิจกรรมจับปลา โดยสนับสนุนอุปกรณ์จับปลาและกำลังคนในทุกพื้นที่ที่ประสบปัญหา
  4. ร่วมกับสถาบันการศึกษา 3 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากปลาหมอคางดำ
  5. ร่วมทำวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ในการหาแนวทางควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว.

AIS คว้ารางวัล Prime Minister Award  หมวด National Startup 2024  ยืนหนึ่งวงการสตาร์ทอัพไทย

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้วยเป้าหมายการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ Startup ของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ที่มีแนวทางการทำงานอย่างชัดเจนโดยมุ่งสนับสนุนและทำงานร่วมกันกับผู้ประกอบการ Startup อย่างรอบด้านด้วยแนวคิด Partnership for Inclusive Growth เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน ล่าสุด AIS The StartUp คว้ารางวัล Prime Minister Award ในหมวด National Startup 2024 สาขา Best Brotherhood of the Year โดยรางวัลดังกล่าวจัดขึ้นโดยรัฐบาลไทย เพื่อมอบให้กับองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนที่มีผลงานโดดเด่นในการผลักดันนวัตกรรม (innovation) และผู้ประกอบการทางเทคโนโลยี (Tech Entrepreneurs) ในประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้ Ecosystem ของวงการ Startup ไทยสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน และแข่งขันในระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา AIS เป็นผู้ให้บริการดิจิทัลที่สร้างโอกาสในการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ Startup ภายใต้ในแนวคิด Partnership for Inclusive Growth ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเรามุ่งมั่นใช้ศักยภาพทั้งจากภายใน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม องค์ความรู้ ทั้งของ AIS และในกลุ่มบริษัท รวมถึงการเชื่อมต่อกับพาร์ทเนอร์และกลุ่มนักลงทุนไปจนถึงโอกาสในการทำการตลาด  เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ Startup ได้อย่างยั่งยืน

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่วันนี้เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้รับอีกหนึ่งรางวัลอันทรงเกียรติ Prime Minister Award ในหมวด National Startup 2024 สาขา Best Brotherhood of the Year สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจและวิสัยทัศน์การทำงานที่มุ่งผลักดันและสนับสนุนสร้างเวทีให้กับผู้ประกอบการ Startup รวมถึงการส่งต่อไอเดียสู่โลกธุรกิจจริงผ่านการสร้างนวัตกรรมรูปแบบบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคและลูกค้าในปัจจุบัน”

“ขอขอบคุณกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA ที่เล็งเห็นถึงความความตั้งใจของ AIS The StartUp  โดยเรายืนยันว่า จะยังคงทำงานตามเจตนารมณ์ข้างต้นเพื่อเคียงข้างผู้ประกอบการทุกกลุ่ม เพราะนอกจากจะส่งเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจประเทศแล้ว ยังจะนำไปสู่การสนับสนุน การสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อเป็นมูลค่าเพิ่มทางการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย” นายสมชัย กล่าวทิ้งท้าย

ซีพีเอฟ คว้ารางวัล “อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ปี 2567” ตอกย้ำมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยอาหารระดับสากล

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้รับรางวัล “อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ปี 2567” ประเภทสถานประกอบการดีเด่นด้านอาหาร จากกระทรวงสาธารณสุข สะท้อนการเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก โดยได้รับเกียรติจากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีมอบโล่รางวัลแก่ ตัวแทนจากธุรกิจไก่เนื้อ สระบุรี โคราช มีนบุรี 1 มีนบุรี 2 และธุรกิจห้าดาว ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ด้วยวิสัยทัศน์การเป็นครัวของโลก สร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ซีพีเอฟมุ่งมั่นพัฒนาผลิตสินค้าตามข้อกำหนด กฎหมาย ตอบรับความต้องการของลูกค้า โดยมีระบบบริหารคุณภาพในการผลิตอาหารมีคุณภาพสูง ปลอดภัย และมีความยั่งยืนได้มาตรฐานระดับสากล ด้วยการนำระบบประกันคุณภาพสินค้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน เริ่มจากการยกระดับคุณภาพวัตถุดิบ การพัฒนาศักยภาพคู่ค้าธุรกิจกลุ่มเอสเอ็มอี ผ่านโครงการ SME Supplier Development จัดอบรมถ่ายทอดความรู้และให้คำปรึกษาแก่คู่ค้า SMEs ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตวัตถุดิบและเครื่องปรุง ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรของซีพีเอฟเป็น QA Expertise มีความเชี่ยวชาญด้านวัตถุดิบ นอกจากนี้ มีการจัดทำโครงการป้องกันเชิงรุก และโครงการบำรุงรักษาเชิงคุณภาพ Quality Maintenance รวมไปถึงการสร้างความตระหนักด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหารให้กับพนักงานในองค์กร

ด้านความปลอดภัยของสินค้า ซีพีเอฟจัดทำโครงการพัฒนาชุดตรวจสอบสินค้าร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ เน้นการตรวจวิเคราะห์ที่แม่นยำและรวดเร็ว เพื่อลดแรงงานคน ของเสีย และน้ำเสีย ทำให้สามารถส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและรักษาคุณภาพของสินค้าได้อย่างสม่ำเสมอ

“อย. ควอลิตี้ อวอร์ด” เป็นรางวัลที่มอบให้ผู้ประกอบการที่มีการดำเนินกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและสังคม มีการรักษาคุณภาพมาตรฐานการผลิตอย่างต่อเนื่อง จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 เพื่อสนับสนุนให้กับบริษัทหรือสถานประกอบการยึดมั่นคุณภาพมาตรฐานในการประกอบธุรกิจ ผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพมาตรฐานตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ด้วยความใส่ใจ เพื่อให้คนไทยได้บริโภคอาหารคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมบริจาคโลหิตในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 23

0

เมืองไทยประกันชีวิตร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย ร่วมกิจกรรมการบริจาคโลหิตเนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 23 ประจำปี 2567 เพื่อรวมพลังผู้บริหาร พนักงาน ฝ่ายขายและประชาชนที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียงบริษัทฯ ร่วมบริจาคโลหิตเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการโลหิต พร้อมตอกย้ำองค์กรที่ร่วมสร้างสรรค์คุณภาพของสังคมในทุกมิติ

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทฯ ได้ร่วมกับ 4 องค์กรหลัก ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน และกองทุนประกันชีวิตจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ โดยมีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการรักษาพยาบาลและช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการเลือดในการรักษา กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากพนักงานและประชาชนทั่วไป ที่มาร่วมบริจาคโลหิตอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นกิจกรรมเนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติครั้งที่ 23 ประจำปี 2567

สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

สำหรับการจัดกิจกรรมนี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นการสร้างสังคมที่มีความรับผิดชอบและการช่วยเหลือต่อเพื่อนมนุษย์ ซึ่งการบริจาคแต่ละครั้งสามารถช่วยชีวิตและสร้างโอกาสให้กับผู้ป่วยได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้อย่างเต็มที่ บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุขของทุกคนที่มาร่วมกิจกรรม ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในทุกด้าน

ทั้งนี้การบริจาคโลหิตนอกจากจะเป็นการได้ช่วยต่อชีวิตให้กับผู้ป่วยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุเพื่อใช้ในการผ่าตัด และผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาด้วยการรับโลหิตอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังเกิดประโยชน์แก่ตนเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายของเราจะได้สร้างเม็ดเลือดใหม่ ซึ่งมีความแข็งแรงและทำให้ได้ประสิทธิภาพกว่าเดิม ทำให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนได้เต็มที่ ระบบการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น เม็ดเลือดขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และเกล็ดเลือดทำงานซ่อมแซมส่วนต่างๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงภาวะหลอดเลือดแดงตีบ นอกจากนี้ยังเป็นการได้ตรวจภาวะโลหิตของเราในทุกครั้งที่บริจาคโลหิตอีกด้วย

ในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจากรองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และคุณมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ร่วมในพิธีเปิดงานบริจาคโลหิต เนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 23 ประจำปี 2567 โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตและมีผู้บริหาร พนักงาน ฝ่ายขายและประชาชนทั่วไป เป็นจำนวนรวมกว่า 250 ท่าน รวมเป็นประมาณโลหิต กว่า 100,000 ซีซี. ซึ่งบริษัทฯ ยังคงจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตอีกในปลายปี โดยจัดบริจาคในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดได้แก่ จ.เชียงใหม่ จ.ขอนแก่น และอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

“เมืองไทยประกันชีวิต ได้จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ โดยมีพนักงานและประชาชนทั่วไปเข้าร่วมอย่างคับคั่ง การบริจาคโลหิตช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและรักษาผู้ป่วยที่ต้องการเลือด ในขณะเดียวกันผู้บริจาคยังได้รับประโยชน์จากการตรวจสุขภาพเบื้องต้นและความรู้สึกดีจากการทำบุญครั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมความรับผิดชอบต่อเพื่อนมนุษย์ตอกย้ำนโยบายการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) โดยเฉพาะในมิติด้านสังคมที่ บริษัทฯ มุ่งมั่นส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนไทย” นายสาระกล่าวสรุป

ซีพีเอฟ จับมือ 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำ ดัน 5 โครงการเชิงรุกเร่งกำจัดปลาหมอคางดำ

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ประกาศความร่วมมือกับคณาจารย์จาก 3 สถาบันการศึกษาชั้นนำ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และมหาวิทยาลัยขอนแก่น รวมทั้งโรงงานผลิตปลาป่น เพื่อบูรณาการแก้ไขสถานการณ์ของปลาหมอคางดำ

นายประสิทธิ์ เปิดเผยว่า บริษัทตระหนักดีว่า ขณะนี้การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเป็นความเดือดร้อนของประชาชนในหลายพื้นที่ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตอนนี้ คือ การร่วมมือและสนับสนุนการจัดการปัญหาเพื่อบรรเทาผลกระทบอย่างเร่งด่วน ในฐานะภาคเอกชน บริษัทสนับสนุนแผนปฏิบัติการ 5 โครงการ ร่วมแก้ไขปัญหานี้ของภาครัฐตามศักยภาพของบริษัท ต้องขอบคุณ ฯพณฯ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้ามาตรการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน ประกอบกับ นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมงที่เข้มแข็งลงมือปฏิบัติการเชิงรุกอย่างเต็มรูปแบบเพื่อลดจำนวนปลาหมอคางดำไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน

“บริษัทพร้อมนำศักยภาพขององค์กรเข้ามาช่วยสนับสนุนการแก้ไขอย่างบูรณาการกับทุกภาคส่วน และลงมือปฏิบัติการเชิงรุกในหลายมิติตามแนวทางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยมีแผนปฏิบัติการเชิงรุก 5 โครงการ” ดังนี้

โครงการที่ 1 : ทำงานร่วมกับกรมประมงสนับสนุนการรับซื้อปลาหมอคางดำจากทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีการระบาด ราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 2,000,000 กิโลกรัม นำมาผลิตเป็นปลาป่นเพื่อเร่งกำจัดปลาหมอคางดำออกจากระบบให้มากและเร็วที่สุด โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมมือกับโรงงานปลาป่นศิริแสงอารำพี จังหวัดสมุทรสาคร รับซื้อปลาหมอคางดำในพื้นที่ไปแล้ว 600,000 กิโลกรัม และยังมีแผนรับซื้ออย่างต่อเนื่อง พร้อมประสานจุดรับซื้อเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณกรมประมงที่มีมาตรการที่รัดกุม ออกประกาศห้ามการเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเพาะเลี้ยงเพื่อการค้า

โครงการที่ 2 : ร่วมสนับสนุนภาครัฐและชุมชน ปล่อยปลาผู้ล่าลงสู่แหล่งน้ำ จำนวน 200,000 ตัว โดยที่ผ่านมา บริษัทมีการส่งมอบปลากะพงขาว จำนวน 45,000 ตัว ให้กับประมงจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และจันทบุรี ทั้งนี้ ขั้นตอนในการปล่อยปลาผู้ล่านั้น เป็นไปตามแนวทางของกรมประมง

โครงการที่ 3 : ร่วมสนับสนุนภาครัฐ ชุมชนและภาคประชาสังคม จัดกิจกรรมจับปลา สนับสนุนอุปกรณ์จับปลาและกำลังคน ในทุกพื้นที่ที่ประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ที่ผ่านมาบริษัทได้ร่วมกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง ทีมแม่กลองปราบหมอคางดำ” ที่จัดขึ้นในจังหวัดสมุทรสงครามแล้ว 4 ครั้ง เป็นต้น และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีการระบาด

โครงการที่ 4 : การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากปลาหมอคางดำ โดยมีสถาบันการศึกษาแสดงความสนใจเพื่อร่วมดำเนินการดังกล่าว ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ศึกษาวิจัยและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร

ที่ผ่านมา บริษัทได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาเมนูอาหารจากปลาหมอคางดำ อาทิ ปลาร้าทรงเครื่อง ผงโรยข้าวญี่ปุ่น และ น้ำพริกปลากรอบ

โครงการที่ 5 : ร่วมทำวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญในการหาแนวทางควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แสดงเจตจำนงร่วมมือกับบริษัทในการบูรณาการเพื่อพัฒนาแนวทางที่จะบรรเทาปัญหาในระยะยาวต่อไป และยินดีที่จะร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม

นายปรีชา ศิริแสงอารำพี เจ้าของโรงงานปลาป่นศิริแสงอารำพี จ.สมุทรสาคร กล่าวว่า ปลาหมอคางดำเป็นปลาที่มีโปรตีนที่สามารถนำมาผลิตเป็นปลาป่นคุณภาพ โรงงานยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาปัญหานี้ โดยได้ประสานงานกับซีพีเอฟที่ร่วมปฏิบัติการกับกรมประมง และได้รับซื้อแล้วตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาเป็นจำนวน 600,000 กิโลกรัม โดยยังคงเปิดรับซื้ออย่างต่อเนื่อง

“ตั้งแต่กระทรวงเกษตรฯ เริ่มการจับปลาหมอคางดำใน จ.สมุทรสาคร ชาวประมงที่เริ่มออกปลาตั้งแต่วันแรก บอกกับท่านรัฐมนตรีเองว่า วันนี้ปลาหายไป 80% แล้ว แต่เรายังต้องทำต่อเนื่อง ซึ่งรัฐก็มีมาตรการในการกำกับไม่ให้เกิดการลักลอบเลี้ยงและนำมาจำหน่าย การกำจัดด้วยวิธีการนี้จึงมาถูกทางและช่วยลดปริมาณปลาได้มาก การที่ทุกภาคส่วนมาช่วยกันเช่นนี้ถือว่าดีมาก” นายปรีชากล่าว

ด้านนักวิชาการจากสถาบันการศึกษา ผศ.ดร.สิทธิชัย ฮะทะโชติ ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายวิจัย นวัตกรรม และพันธกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีความเชี่ยวชาญโดยตรงกับการวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการควบคุมปลา รวมถึงการพัฒนาแปรรูป เพื่อเร่งนำปลาออกจากแหล่งน้ำได้อย่างรวดเร็วและการปล่อยปลากะพงในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งฃ มหาวิทยาลัยได้มีการทำการวิจัยปลาชนิดนี้มาหลายปี และคิดว่างานวิจัยจะช่วยเติมเต็มภารกิจของกรมประมงได้ ปลามีโปรตีนที่ดี สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารเพื่อการบริโภคได้ โดยมหาวิทยาลัยจะนำปลาหมอคางดำมาทำปลาร้า โดยใช้จุลินทรีย์ที่ช่วยย่นระยะเวลาการหมักปลาร้าให้สั้นลง ทั้งยังสามารถทำปลาป่นใช้ผลิตอาหารสัตว์ได้ รวมถึงการวิจัยและพัฒนาหาแนวทางอื่นๆ ในการจัดการควบคุมปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับความกังวลว่าจะมีการเพาะเลี้ยงปลาเพื่อนำมาขายในโครงการรับซื้อนั้น ข้อเท็จจริง ระยะการเลี้ยงปลาหมอคางดำใช้เวลาเลี้ยงนานเป็นปี แต่มีเนื้อน้อย ต้นทุนการผลิตสูงกว่าราคาที่รัฐบาลรับซื้อ ที่สำคัญการนำมาเป็นปลาป่นสำหรับอาหารสัตว์ยังช่วยลดต้นทุนการนำเข้าปลาป่นจากต่างประเทศ
ผศ.ดร นันทิภา พันธุ์สวัสดิ์ ภาควิชาผลิตภัณฑ์ประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ควรสร้างการรับรู้การบริโภคปลาชนิดนี้ให้มากขึ้น ภาควิชาได้ศึกษานำปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์ทั้งในระดับครัวเรือน อุตสาหกรรม และร้านอาหาร และปรุงเป็นอาหารหลากหลายเมนู
อาทิ ขนมจีนน้ำยา ในช่วงนี้ผู้คนสนใจชิมปลาหมอคางดำ จึงควรมีการเชื่อมโยงสู่การแปรรูปตัดแต่งเนื้อปลาและทำ “เนื้อปลาแช่แข็ง” เพื่อให้สามารถขนส่งแก่ผู้บริโภคได้กว้างขวางมากขึ้น หากมีคนที่พร้อมแปรรูปหรือตัดแต่งปลาจะช่วยปลาชนิดนี้เข้าถึงผู้บริโภคในภูมิภาคอื่นๆได้ง่ายขึ้น และการทำเป็นอาหารแปรรูปยังช่วยป้องกันการแพร่กระจายของปลาเข้าสู่พื้นที่อื่นๆ อีกด้วย

ด้าน ผศ.ดร.วัลย์ลดา กลางนุรักษ์ ผู้ช่วยคณบดี คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นนิมิตหมายอันดีที่ทุกภาคส่วนมาร่วมมือกัน และ คณาจารย์ สจล.มีความยินดีที่จะร่วมมือกำหนดแนวทางเพื่อจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดอย่างยั่งยืน โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยร่วมกับวิธีควบคุมทางชีวภาพ เช่น เทคโนโลยี Environmental DNA ซึ่งเป็นการสำรวจร่องรอย DNA ในธรรมชาติ สำรวจการระบาดได้ตั้งแต่ช่วงต้น ก็สามารถนำปลาผู้ล่าเข้ามาได้ทันการณ์ นอกจากนี้ ยังรวมถึงการนำปลานักล่าท้องถิ่นกลับสู่ระบบนิเวศ ซึ่งเป็นการมุ่งเป้าไปที่การรักษาสมดุลทางธรรมชาติ และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำของไทย ทั้งนี้ ปลาหมอคางดำ ไม่ใช่เอเลี่ยนตัวแรกที่เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งภาคประชาชนสำคัญมากในการตระหนักรู้และช่วยกันแก้ปัญหาตลอดจนรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ

ผศ.ดร.สรณัฎฐ์ ศิริสวย ภาควิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า ในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ กรมประมงมีการศึกษาเชิงลึกอยู่แล้ว และมีการเตรียมแผนอย่างดี เพื่อนำปลาขนาดใหญ่ออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติให้เร็วที่สุด เหลือแต่ปลาหมอคางดำขนาดเล็ก ทั้งการผ่อนปรนใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ เตรียมพร้อมในการปล่อยปลาผู้ล่า วิธีการดังกล่าวช่วยกำจัดวงจรชีวิตของปลาไปเรื่อยๆ ขณะที่ กรมประมงอยู่ระหว่างทำการวิจัยปลา 4N เพื่อผสมกับปลาปกติ 2N ให้ได้ปลา 3N ซึ่งเป็นหมัน ส่วนกรณีที่เกษตรกรเข้าใจว่าไข่ปลาสามารถอยู่ได้ถึง 2 เดือนในช่วงที่ตากบ่อนั้น แทบเป็นไม่ได้เลย ขอให้ประชาชนทุกคนตระหนักแต่อย่าตระหนก หากพบเจอปลาหมอคางดำที่ไหนให้แจ้งกับกรมประมงทันที .