Home Blog Page 83

AIS ปลื้ม “อุ่นใจ​CYBER” คว้ารางวัล WSIS Prize 2023

AIS พาโครงการ “อุ่นใจ CYBER” เป็นตัวแทนประเทศในฐานะองค์กรไทยหนึ่งเดียว คว้ารางวัลด้านความยั่งยืนระดับโลก พร้อมติดอันดับ 1 ใน 5 จาก 1,800 โครงการทั่วโลก ในเวที WSIS Prize 2023 กับรางวัล Champion of WSIS Prize 2023 ในสาขาโครงการที่นำเทคโนโลยีมาช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการใช้งานอินเทอร์เน็ต (Building confidence and security in use of ICTs) ที่จัดขึ้นโดย สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) และองค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) นับเป็นอีกหนึ่งรางวัลที่สะท้อนให้เห็นถึงการทำงานเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาภัยไซเบอร์อย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมา AIS มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการนำศักยภาพโครงข่ายดิจิทัลมาพัฒนาเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและสร้างทักษะดิจิทัลให้คนไทยรู้เท่าทัน พร้อมอยู่กับโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผ่านโครงการ AIS “อุ่นใจ CYBER”

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “พวกเราชาว AIS ต้องขอขอบคุณ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ และองค์การสหประชาชาติ หรือ UN ที่มองเห็นถึงความตั้งใจของ AIS และได้ยกให้ โครงการอุ่นใจ CYBER เป็นหนึ่งใน 5 จาก 1,800 โครงการด้านความยั่งยืนจากทั่วโลก และได้รับรางวัลระดับ Champion of WSIS Prize 2023 ในสาขา Building confidence and security in use of ICTs หรือ โครงการที่นำเทคโนโลยีมาช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยต่อการใช้งานอินเทอร์เน็ต

โดยเราเริ่มต้นโครงการ AIS อุ่นใจ CYBER มาตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่การใช้งานอินเตอร์เน็ตและสื่อออนไลน์กำลังมีอัตราการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น เริ่มมีปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นจากการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเราเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายรายแรกๆ ที่ลุกขึ้นมาเป็นแกนกลางของสังคมในการสร้างเครือข่าย ผ่านการใช้พลังของพาร์ทเนอร์เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ปัญหาภัยไซเบอร์อย่างยั่งยืน และส่งเสริมสังคมการใช้งานดิจิทัลเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์ ปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อคนไทย”

นางสุพัตรา ศรีไมตรีพิทักษ์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ณ นครเจนีวา ได้กล่าวแสดงความยินดีกับ AIS ที่ได้รับรางวัล Champion of WSIS Prize 2023 จากโครงการ อุ่นใจ CYBER ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยว่า “โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่สอดคล้องกับนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ของประเทศที่ต้องการยกระดับความรู้ด้านดิจิทัลแก่คนไทย ช่วยปกป้องคนไทยจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ พร้อมส่งเสริมสังคมออนไลน์ที่ปลอดภัย และสร้างภูมิคุ้มกันภัยทางด้านดิจิทัล รวมทั้งยังตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ เป้าหมายที่ 4 การสร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต”

นางสายชล กล่าวเสริมว่า “โครงการ AIS อุ่นใจ CYBER ถูกคิดและดำเนินการขึ้นจากกรอบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ UN กำหนดออกมาเป็น Sustainable Development Goals หรือ SDGs ตามหัวข้อที่ 4 สร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Quality Education) โดยมีความสอดคล้องไปกับแผนกลยุทธ์ด้านการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ในเรื่องของการสนับสนุนให้เกิดการใช้งานดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบและเสริมสร้างความเป็นพลเมืองดิจิทัลให้กับคนไทย ซึ่งวันนี้โครงการอุ่นใจ CYBER ได้ถูกขยายผลออกไปในรูปแบบต่างๆ จนกลายเป็นศูนย์กลางในการสร้างความปลอดภัยด้านการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างการจัดทำหลักสูตรการเรียนรู้ออนไลน์เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ครั้งแรกของไทย ที่ได้รับรองจากกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นไปตามมาตรฐานของหลักสูตรการศึกษาไทย ซึ่งที่เป็นการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ก็ได้ถูกยกระดับให้เนื้อหาขยายผลไปยังนักเรียนที่ศึกษาอยู่ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. ทั้ง 29,000 โรงเรียนทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

“หลังจากที่ก่อนหน้านี้โครงการของ AIS ไม่ว่าจะเป็น อสม. ออนไลน์, คนเก่งหัวใจแกร่ง และโครงการเทคโนโลยีเพื่อผู้พิการ “Work Wizard” ก็ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืนจนสามารถคว้ารางวัลจาก WSIS Prize มาได้ และการได้รับรางวัล WSIS Prize 2023 ในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของพวกเราชาว AIS ด้วยการเป็นองค์กรไทยหนึ่งเดียวที่สามารถคว้ารางวัลระดับ Champion ได้สำเร็จ โดยเราขอยืนยันตามเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางบวกให้กับเกิดขึ้นสังคมดิจิทัลของไทยอย่างยั่งยืน” นางสายชล กล่าวทิ้งท้าย

ซีพี ออลล์ จับมือ ดีพร้อม ติดดาวสินค้าเกษตรอุตฯ ปี 2 หนุนผู้ประกอบการโตบนโมเดิร์นเทรด

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ผนึกกำลัง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดโครงการ DIPROM Move to Modern Trade 2 ร่วมพัฒนา
ภาคการเกษตรไทยให้เป็นเกษตรอุตสาหกรรมทั้งในรูปแบบสินค้าและบริการ เพื่อสร้างมูลค่าได้มากขึ้นผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด โดยคาดว่าจะส่งเสริมผู้ประกอบการเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด 20 ธุรกิจ

นายใบน้อย สุวรรณชาตรี อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) เปิดเผยว่า จากการคาดการณ์ภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปีนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงมีนโยบายสำคัญที่จะขยายโอกาสด้านการตลาดให้กับธุรกิจเกษตรไม่ว่าจะเป็นการได้รับองค์ความรู้สมัยใหม่ การมีช่องทางจำหน่ายที่เข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขึ้น อีกทั้ง ดร. ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ยังมีแนวทางที่จะบูรณาการเกษตรอุตสาหกรรมให้โตได้พร้อมกัน ทั้งชุมชน โรงงาน ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ ผ่านรูปแบบความร่วมมือ และการดำเนินงานร่วมกันให้มากขึ้น และล่าสุดนี้ ดีพร้อม (DIPROM) จึงจัดกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการเกษตรอุตสาหกรรมขยายสู่ช่องทางการค้าสมัยใหม่ หรือ DIPROM Move to Modern Trade 2 อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งมุ่งสู่ความสำเร็จในมิติที่ 1 คือการปรับเปลี่ยนไปสู่อุตสาหกรรมศักยภาพ ธุรกิจการผลิตรูปแบบใหม่ โดยให้ความสำคัญมากกับการพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นรากฐานความแข็งแกร่งของประเทศและมีศักยภาพที่จะไปต่อได้ในอนาคต อาทิ เกษตรอุตสาหกรรมจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภาคอุตสาหกรรมไทย ส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมสู่เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ และการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจที่เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจในอนาคต

สำหรับ “DIPROM Move to Modern Trade 2 จัดขึ้นเพื่อสร้างโอกาสที่จะขยายช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรให้เข้าสู่ตลาด Modern Trade ได้มากขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากเครือข่าย บริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะทำให้เกิดการยกระดับห่วงโซ่อุตสาหกรรม มุ่งเน้นในการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และ “ดีพร้อม” จะคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ มีความพร้อม มีสินค้าที่มีความน่าสนใจตรงความต้องการของตลาด และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกผลิตภัณฑ์/สินค้าที่จะนำไปวางจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น โดยผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้จะได้รับองค์ความรู้ความต้องการ (requirement) ผลิตภัณฑ์/สินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาดเกิดการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาจากการเข้าร่วมกิจกรรมของดีพร้อม ได้มีโอกาสในการเข้าสู่ตลาด Modern Trade และถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ดีพร้อมได้เพิ่มโอกาสทางการตลาด สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการได้วางจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั้งออนไลน์ ได้แก่ ออลล์ ออนไลน์ (All Online) เซเว่น เดลิเวอรี่ (7 Delivery) และออฟไลน์ในร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ที่มีอยู่กว่า 10,000 สาขาทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะส่งเสริมผู้ประกอบการเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด 20 ธุรกิจ” นายใบน้อย กล่าว

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า DIPROM Move to Modern Trade 2 เป็นความร่วมมืออย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดี ๆ ของศูนย์ 7 สนับสนุน SME (7 SME Support Center) ภายใต้การดำเนินงานของซีพี ออลล์ในการสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยเพราะผู้ประกอบการคือ ฐานรากเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศและยังเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต ดังนั้น ในปีนี้บริษัทจึงได้เสริมทัพกลยุทธ์สนับสนุนผู้ประกอบการผ่าน “SME โตไกลไปด้วยกัน” เพื่อให้ผู้ประกอบการเติบโตอย่างก้าวกระโดด บนฐานรากที่มั่นคงและแข็งแรงสอดคล้องกับความตั้งใจของบริษัท ภายใต้กลยุทธ์ 3 ให้ คือ

  1. ให้ช่องทางขาย เพิ่มช่องทางให้ผู้ประกอบการ SMEs นำเสนอสินค้าเพื่อจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และผ่านช่องทางออนไลน์
  2. ให้ความรู้ ในการพัฒนาสินค้า พร้อมจัดอบรมสัมมนาแก่ผู้ประกอบการ SMEs อย่างต่อเนื่อง และ
  3. ให้การเชื่อมโยงเครือข่ายแก่ SMEs ทั้งภายในบริษัท และองค์กรความร่วมมือจากภายนอก

“ต้องยอมรับว่าผู้ประกอบการไทยในปัจจุบันมีความรู้ ความสามารถในการขยายตลาดสู่ Modern Trade เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งที่ยังต้องการการสนับสนุนอย่างจริงจัง ศูนย์ 7 สนับสนุน SME ในฐานะพันธมิตรสำคัญของผู้ประกอบการ โดยมีบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านที่พร้อมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ จึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนกิจกรรมดังกล่าว เพื่อให้ผู้ประกอบการเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างภาคภูมิในอนาคต” นายยุทธศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ “DIPROM Move to Modern Trade 2” ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมภายใต้ความร่วมมือสำคัญระหว่างภาครัฐและเอกชนที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจเอสเอ็มอีให้เติบโตและสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ โดยทาง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดทีมอาจารย์จากสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่จะมาให้ความรู้ในหลักสูตรครั้งนี้ สำหรับการอบรมหลักสูตรพัฒนาทักษะผู้ประกอบการ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม – 5 พฤษภาคม 2566 ผ่านช่องทาง Online นอกจากองค์ความรู้ที่จะได้รับแล้ว ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษเพิ่มเติม อาทิ การได้รับคำปรึกษาแบบเฉพาะกับธุรกิจของตนในเรื่องการสร้างแบรนด์และพัฒนาแพ็คเกจจิ้ง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และสร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรมแบบเฉพาะธุรกิจ ช่วยส่งเสริมให้เอสเอ็มอีและผู้ประกอบการธุรกิจอื่น ๆ พัฒนาศักยภาพ พร้อมกับเปิดประตูไปสู่โอกาสใหม่ ๆ ในอนาคต

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2430 6877-78 ต่อ 1806-1807 หรือ ติดตามข้อมูลข่าวสาร ความเคลื่อนไหวต่างๆ ได้ที่ www.diprom.go.th และ www.facebook.com/dipromindustry

“MC” พบนักลงทุน ประกาศเดินหน้าขยายสาขา Mc Outlet เชื่อมั่นไตรมาส 3/66 นิวไฮรอบ 5 ปีต่อเนื่อง

บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC นำโดย นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นายปิยะ โอฬารริกสุภัค ประธานเจ้าหน้าที่ด้านบัญชีและการเงิน ร่วมนำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปีบัญชี 2566 (1 ต.ค.- 31 ธ.ค.2565) ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านช่องทางออนไลน์ ว่า บริษัท มีกำไรสุทธิ 246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 6.7% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 231 ล้านบาท โดยทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องและกลับมาดีกว่าช่วงก่อนโควิด-19 จากปัจจัยทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ดีขึ้น

ส่วนแนวโน้มผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 (1 ม.ค.- 31 มี.ค.2566) เชื่อว่าจะเติบโตและทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยมีแผนขยายสาขา Mc Outlet ในสถานีบริการพีทีที สเตชั่น ต่อเนื่อง จากจำนวน 100 สาขาซึ่งเปิดได้ตามเป้าหมายภายในมีนาคมนี้ ควบคู่กับการขยายบริการและช่องทางขายผ่านแพลตฟอร์มทั้งออฟไลน์และออนไลน์ รวมทั้งแผนการขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศกลุ่มเพื่อนบ้าน พร้อมเดินหน้าแคมเปญ “MY MC MY WAY ชีวิต…เต็มแม็ค” ชูแนวคิด “Body Positivity” เข้าใจความแตกต่างของรูปร่าง มุ่งมัดใจกลุ่มลูกค้าเดิม และขยายฐานลูกค้าใหม่ รวมถึงเพิ่มการลงทุนใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยแพร่รายงาน บจ. หุ้นยั่งยืน THSI 2022 สร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อทุกภาคส่วน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยแพร่รายงาน “ESG Impact Assessment Report: THSI 2022” สรุปผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI  ที่สร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อผู้มีส่วนได้เสียทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อเป็นกรณีศึกษาและจุดประกายให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญในการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนอย่างยั่งยืน

ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำรายงาน “ESG Impact Assessment Report : THSI 2022” เพื่อรวบรวมข้อมูลการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนในรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI (Thailand Sustainability Investment) ประจำปี 2565 ที่สร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อผู้มีส่วนได้เสียรอบด้านอย่างเป็นรูปธรรม และมีความมุ่งมั่นจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG) พร้อมทั้งนำเสนอตัวอย่างการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน  ซึ่งปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนาระบบ ESG Data Platform เพื่อเป็นศูนย์กลางรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล ESG ที่บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูล ESG ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการนำไปศึกษาและปรับใช้เพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจ รวมถึงเป็นข้อมูลสำหรับผู้ลงทุนเพื่อใช้ประกอบการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน นำไปสู่การพัฒนาธุรกิจและการลงทุนที่ยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการพัฒนาตลาดทุนเพื่อทุกภาคส่วน “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” นายศรพลกล่าว

“ESG Impact Assessment Report : THSI 2022” แสดงให้เห็นว่าบริษัทจดทะเบียนสามารถนำประเด็น ESG ไปสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินธุรกิจ ในรอบปีที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียนมีการบริหารจัดการพลังงาน การใช้ไฟฟ้า/พลังงาน การใช้น้ำ การจัดการของเสียและก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาพนักงาน คู่ค้า ชุมชนและสังคม การบริหารจัดการความเสี่ยง ตลอดจนพัฒนาโครงสร้างการกำกับดูแลกิจการที่ดีเพื่อการดำเนินงานอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ จนสามารถวัดผลเป็นรูปธรรมทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ อาทิ

· ด้านสิ่งแวดล้อม ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรทำให้ลดการสูญเสียไฟฟ้า/พลังงาน มีการใช้น้ำตามหลัก 3R (Reduce, Reuse, Recycle) จัดการของเสียโดยนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาปรับใช้ รวมทั้งสนับสนุนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ทำให้เกิดผลกระทบเชิงบวก เช่น ใช้ไฟฟ้าน้อยลง 10,650 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ใช้พลังงานหมุนเวียน 248,190 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ปริมาณน้ำที่ลดและนำกลับมาใช้ใหม่ 227 ล้านลูกบาศก์เมตร และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 15 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่บริษัทประหยัดได้จากโครงการด้านสิ่งแวดล้อม 654 ล้านบาท เป็นต้น

· ด้านสังคม ให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนตามแนวทางสากล ดูแลไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการทำกระบวนการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) เพื่อประเมินผลกระทบและป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ดูแลพนักงาน/แรงงานด้วยการพัฒนาศักยภาพทั้ง Functional skill, Management skill และ Leadership skill ให้มีความสามารถและประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึงจัดให้มีสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานที่ปลอดภัย ควบคู่พัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนและสังคมจากโครงการส่งเสริมด้านการเกษตร พัฒนาอาชีพแก่ชุมชน ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาส ส่งเสริมด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตแก่คนในสังคม  

· ด้านบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ ร่วมสร้างวัฒนธรรมความโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยมีโครงสร้างองค์กรที่มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งส่วนใหญ่มีประธานกรรมการเป็นคนละบุคคลกับผู้นำบริษัท และมีกรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหารมากกว่าร้อยละ 66 อีกทั้ง 125 บริษัทจดทะเบียน เข้าร่วมเครือข่ายต่อต้านทุจริตและคอร์รัปชันในโครงการ Collective Action Coalition รวมทั้งให้ความสำคัญการบริหารจัดการความเสี่ยง ESG ความเสี่ยงจาก climate change ความเสี่ยงจากคู่ค้า และ emerging risk เพื่อให้ธุรกิจพร้อมปรับตัวและรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลต่อธุรกิจ อีกทั้งยังช่วยให้คู่ค้ามีการพัฒนาการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วย

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ : แยกแยะ พูดเล่น vs บูลลี่ ต่างกันอย่างไร

พระราชวัชรบัณฑิต (ประนอม ธมฺมาลงฺกาโร) เจ้าอาวาสวัดจากแดง
กูรูกู้ใจ บอกว่า พูดเล่นเพื่อสนุกสนาน แต่ถ้าคำพูดนั้นทำร้ายจิตใจผู้อื่น ถือว่าบูลลี่แล้ว เป็นวจีทุจริต

“สาระ ล่ำซำ” รับรางวัลเกียรติยศ สุดยอดผู้นำองค์กร “TOP CEO 2022” 2 ปีซ้อน

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับรางวัลเกียรติยศ “TOP CEO 2022” สุดยอดผู้นำองค์กร ประจำปี 2565 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานในพิธีมอบรางวัล 2022 Asia CEO Summit & Awards Ceremony Thailand งานมอบรางวัลสุดยอดผู้บริหารและแบรนด์ชั้นนำในเอเชีย ซึ่งจัดขึ้นโดยบริษัท อินฟลูเอ็นเชี่ยล แบรนด์ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำระดับโลกเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและสำรวจข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคในเอเชียมากว่า 20 ปี และบริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จํากัด ประเทศไทย ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ด้านการสื่อสารองค์กรในประเทศไทย ซึ่งร่วมกันคัดเลือกผู้นำองค์กรและผู้นำธุรกิจที่โดดเด่น ที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาเพื่อรับรางวัลในครั้งนี้

การมอบรางวัลเกียรติยศ “TOP CEO 2022” สุดยอดผู้นำองค์กร ในครั้งนี้ เป็นการมอบให้แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจประกันชีวิตที่มีคุณสมบัติโดดเด่นในด้านบริหารงาน การพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง มีวิสัยทัศน์กว้างขวาง รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพบุคคลากร เพื่อสร้างความแข็งแกร่งแก่ธุรกิจให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมี มีสเตอร์ จอร์จ รดิกัส กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟลูเอ็นเชี่ยล แบรนด์ ประเทศสิงคโปร์ และนางวรรณี ลีลาเวชบุตร ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จํากัด ประเทศไทย และผู้บริหารบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมแสดงความยินดี ณ โรงแรมชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ

ซีพี – ซีพีเอฟ จัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบตรวจสอบย้อนกลับ จากแหล่งปลูกที่ไม่รุกป่า และไม่เผา 100%

กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (Feed Ingredients Trading Business Group : FIT) เครือเจริญโภคภัณฑ์ และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ นำ​เทคโนโลยี​ระบบตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งเพาะปลูก​ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (corn traceability) สอดคล้องกับมาตรฐานสากลมาใช้ สร้างหลักประกัน​การจัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปราศจากการบุกรุกป่าและไม่เผา ซึ่งดำเนินการอย่างเป็นระบบและประสบความสำเร็จอย่างดีในประเทศไทย และยังได้ส่งเสริมประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีการเพาะปลูกข้าวโพดจำนวนมาก นำระบบดังกล่าวไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ​ เช่น เมียนมา สปป.ลาว และเวียดนาม

นายไพศาล เครือวงศ์วานิช ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ในฐานะเป็นผู้จัดหาสินค้าเกษตรที่เป็นวัตถุดิบหลักทางการเกษตรของเครือซีพี กล่าวว่า ซีพีและซีพีเอฟให้ความสำคัญกับการสร้างห่วงโซ่การผลิตอาหารที่ยั่งยืน และสนับสนุนการแก้ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน โดยมุ่งมั่นจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งปลูกที่ปราศจากการบุกรุกพื้นที่ป่าอย่างต่อเนื่อง ตามแนวทาง “ไม่เขา ไม่เผา เราซื้อ” ตลอดจนได้พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์(Corn Traceability) ซึ่งนำมาใช้ในกิจการประเทศไทยตั้งแต่ปี 2560 และสามารถตรวจสอบถึงแหล่งปลูกที่มีเอกสารสิทธิ์ได้ 100%

กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ร่วมกับ ซีพี เมียนมา ซึ่ง​เป็น​บริษัทในเครือซีพี ได้นำระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไปใช้ในการรับซื้อผลผลิตข้าวโพดในเขตประเทศเมียนมาตั้งแต่ ปี 2563 เป็นต้นมา ปัจจุบัน ข้าวโพดที่บริษัทจัดหาในเมียนมาทั้งหมด ได้รับการตรวจสอบย้อนกลับว่าได้มาจากพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง โดยเกษตรกรร่วมลงทะเบียนเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้อง พร้อมพิกัดดาวเทียมจีพีเอสของพื้นที่มาใช้เพื่อยืนยัน​ว่าเป็นข้าวโพดที่มาแหล่งที่มาไม่บุกรุกพื้นที่ป่าได้ 100%

“ความมุ่งมั่นในการจัดหาวัตถุดิบหลักทางการเกษตรด้วยความรับผิดชอบ ตามนโยบายการจัดหายั่งยืนของซีพีเอฟ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคตลอดห่วงโซ่อุปทานอาหาร และยังเป็นการสนับสนุนเกษตรกรเพาะปลูกบนพื้นที่ปลูกถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งส่งเสริมคู่ค้าธุรกิจ มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และดูแลผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ และร่วมจัดการปัญหาหมอกควันอย่างยั่งยืน” นายไพศาลกล่าว

สำหรับการจัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับโรงงานอาหารสัตว์ในประเทศไทย เกษตรกรสามารถลงทะเบียนและยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชั่น ฟ ฟาร์ม (For Farm) พร้อมยังยกระดับความเชื่อมั่นในระบบตรวจสอบย้อนกลับ โดยนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Traceability) ที่เพิ่มความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในกิจการประเทศไทยที่เชื่อมโยงตั้งแต่แปลงเพาะปลูกถึงโรงงานอาหารสัตว์ เป็นหลักการที่บริษัทปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ตลอดจนสอดคลัองกับนโยบายการค้าโลกในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังพัฒนาศักยภาพเกษตรกรผู้ปลูก เพื่อสร้างห่วงโซ่การผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมถึงแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ยั่งยืน โดยริเริ่มจัดทำโครงการ “เกษตรกรพึ่งตน ข้าวโพดยั่งยืน” ตั้งแต่ปี 2559 เพื่อแบ่งปันองค์ความรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกษตรกรที่เพาะปลูกในพื้นที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องในประเทศไทย เพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีแนวปฏิบัติในการเพาะปลูกที่ปลอดการเผา และตั้งจุดรับซื้อพิเศษที่ใกล้กับพื้นที่ปลูกของเกษตรกร เพื่อลดจำนวนเที่ยวรถขนส่งข้าวโพดไปโรงงาน และฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นจากการขนส่งผลผลิต พร้อมทั้งลงพื้นที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับเกษตรกร

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้นำระบบถ่ายภาพทางดาวเทียมช่วยวิเคราะห์จุดที่ยังมีการเผาหลังเก็บเกี่ยวเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ลงไปแนะนำเกษตรกรลด ละ เลิกการเผาตอซัง เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองจากการเพาะปลูกที่ยั่งยืน พร้อมยังอำนวยความสะดวกให้เกษตรกรเข้าถึงความรู้ได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ และแอปพลิเคชั่น ฟ.ฟาร์ม สอดคล้องตามที่บริษัทฯ ได้ประกาศนโยบายการจัดหาอย่างยั่งยืน และความมุ่งมั่นต่อต้านการตัดไม้ทำลาย และปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อสร้างห่วงโซ่ผลิตอาหารที่ยั่งยืน และยกระดับความเชื่อมั่นของคู่ค้าและผู้บริโภคทั่วโลก

เมืองไทยประกันชีวิต จัดแข่งสนามแรก “เมืองไทยไตรกีฬา @สามร้อยยอด 2023” ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงดำเนินโยบายในการส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม พร้อมสนับสนุนการสร้างสุขภาพดีแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายและประชาชนทุกคน ล่าสุดจัดงาน “เมืองไทยไตรกีฬา @สามร้อยยอด 2023” (MUANGTHAI TRIATHLON @SAM ROI YOD 2023) ณ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 4 ประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 11-12 มีนาคม 2566 ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้คนไทยและชาวต่างชาติออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่ดี รวมถึงเป็นการสร้างและพัฒนาภาคีเครือข่ายการออกกำลังกายด้วยการเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพ และเป็นการยกระดับการจัดการแข่งขันวิ่งประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นอกจากนี้ ยังเป็นกิจกรรมที่กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวตามนโยบายของรัฐบาลหลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวโดยใช้กิจกรรมไตรกีฬาเป็นสื่อกลาง

ทั้งนี้ มีนักกีฬาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้ความสนใจเข้าร่วมการแข่งขัน “เมืองไทยไตรกีฬา @สามร้อยยอด 2023” จำนวนทั้งสิ้น 767 คน ซึ่งความโดดเด่นและพิเศษของการจัดการแข่งขันในครั้งนี้คือ มีผู้แข่งขันประเภทเยาวชน (Tri Kids) เข้าร่วมแข่งขันด้วย ซึ่งถือว่าเป็นสนามเดียวและสนามแรกของประเทศไทย โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้เข้าแข่งขันผู้ใหญ่อายุ 15 ปี ขึ้นไป และเยาวชนช่วงอายุ 6-15 ปี จากหลายประเทศ ทั่วโลก อาทิ ฝรั่งเศส อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี อินเดีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย เป็นต้น โดยประเภท การแข่งขันมีทั้งหมด 5 ประเภท สำหรับผู้ใหญ่ 4 ประเภท และสำหรับเยาวชน 1 ประเภท แยกตามประเภทอายุ และระยะทาง ดังนี้

  1. ประเภท Standard ว่ายน้ำระยะ 1,500 เมตร/ปั่นจักรยานระยะ 40 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 10 กิโลเมตร
  2. ประเภท Sprint ว่ายน้ำระยะ 750 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 20 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 5 กิโลเมตร
  3. ประเภท Duathlon (ทวิกีฬา) วิ่งระยะ 5 กิโลเมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 20 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 5 กิโลเมตร
  4. ประเภท Team Relay ว่ายน้ำระยะ 750 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 20 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 5 กิโลเมตร
  5. สำหรับเยาวชน ไตรกีฬาเยาวชน (Tri Kids)
    • 6-8 ปี ว่ายน้ำระยะ 50 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 2กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 1 กิโลเมตร
    • 9-10 ปี ว่ายน้ำระยะ 150 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 4 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 2 กิโลเมตร
    • 11-12 ปี ว่ายน้ำระยะ 150 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 6 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 3 กิโลเมตร
    • 13-15 ปี ว่ายน้ำระยะ 300 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 8 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 4 กิโลเมตร

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเพิ่มความอุ่นใจให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขน โดยมอบสิทธิพิเศษด้วย ประกันอุบัติเหตุกลุ่มระยะสั้น พลัส “ฟรี” ทุนประกัน 100,000 บาท/คน (เงื่อนไขการได้รับสิทธิ์เป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิตกำหนด) ค่าชดเชยการรักษาพยาบาลสูงสุดต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้งสูงสุด 10,000 บาท โดยความคุ้มครองจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่จัดงานเมืองไทยไตรกีฬา @สามร้อยยอด 2023 ในระหว่างวันที่ 11-12 มีนาคม 2566

สำหรับแผนงานและเป้าหมายของการจัดการแข่งขันเมืองไทยไตรกีฬาช่วงที่เหลือของปี 2566 อีก 2 สนามจะประกอบด้วย สนาม 2 พื้นที่ห้วยไม้เต็ง จังหวัดราชบุรี และสนาม 3 พื้นที่แหลมเสด็จ จังหวัดจันทบุรี เพื่อเป็นการส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพที่ดี ตอบโจทย์คนรักสุขภาพที่ต้องการออกกำลังกาย ภายใต้ กลยุทธ์ “Happiness Reinvented : เพราะความสุขคือทุกอย่าง… ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิต” เน้นเดินหน้าสานต่อความมุ่งมั่นในการสร้างความสุขให้แก่ทุกๆ คน ทั้งลูกค้า พนักงาน พาร์ทเนอร์ และสังคมโดยรวมผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ความคุ้มครองสุขภาพ กิจกรรมและการบริการเพื่อส่งมอบความสุขแบบครบวงจรอย่างแท้จริง

เงื่อนไขการได้รับสิทธิ์ความคุ้มครองประกันอุบัติเหตุกลุ่มระยะสั้น พลัส:

  • ผู้มีชื่อเป็นผู้สมัครและได้เข้าร่วมงาน เมืองไทยไตรกีฬา @สามร้อยยอด 2023
  • ผู้ขอเอาประกันภัยจะต้องมีอายุระหว่าง 6 – 75 ปี และจะต้องสามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่เต็มเวลาอย่างสม่ำเสมอ อย่างแท้จริง และไม่อยู่ระหว่างการพักรักษาตัว เนื่องจากเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ และจะต้องมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ณ วันที่กรมธรรมม์มีผลบังคับ

นักกำหนดอาหารวิชาชีพยัน “ไข่ไก่” กินได้ทุกวัน

นักกำหนดอาหารวิชาชีพ ยืนยันผู้ที่มีสุขภาพดีไม่มีโรคประจำตัวสามารถรับประทาน “ไข่ไก่” ได้วันละ 1 ฟอง การรับประทานไข่ไก่ทั้งฟองจะได้รับสารอาหารครบถ้วนทั้งโปรตีนและไขมัน ชี้ผู้ป่วยโรคมะเร็งยังต้องการอาหารโปรตีนสูง สามารถกินไข่ไก่ได้ตามปกติอย่างปลอดภัย

นางสาวภัคธีมา ภู่ทอง นักกำหนดอาหารวิชาชีพ รพ.จุฬาภรณ์ เปิดเผยว่า “ไข่ไก่” เป็นอาหารโปรตีนคุณภาพดีและเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีที่สุด โดยไข่ไก่ 1 ฟอง มีโปรตีนสูงถึง 7 กรัม ซึ่งโปรตีนมีหน้าที่หลักช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เพิ่มภูมิคุ้มกัน เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและร่างกาย เป็นองค์ประกอบของเซลล์ เช่น เอนไซม์ ฮอร์โมนต่างๆ ที่สำคัญ มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วนถึง 9 ชนิด รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินบี12 วิตามินบี2 ธาตุเหล็ก และโฟรเลต ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง นอกจากนี้ ยังมีโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันดี ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานอาหาร ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

“สำหรับผู้บริโภคที่กังวลเรื่องคอเลสเตอรอลในไข่แดง และเลือกรับประทานเพียงไข่ขาว ยืนยันว่า การรับประทานไขมันที่อยู่ในไข่แดงไม่ได้ทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น สำหรับผู้ที่มีสุขภาพดีสามารถรับประทานไข่ไก่ได้ทั้งฟองโดยไม่จำเป็นต้องแยกไข่แดงหรือไข่ขาว เพราะประโยชน์และคุณค่าสารอาหารแตกต่างกัน ในไข่แดงมีกรดไขมันโอเมก้า 3 รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่ในไข่ขาวไม่มี ขณะที่ไข่ขาวจะมีโปรตีนอัลบูมิน เป็นแหล่งของโปรตีนที่จำเป็นที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นการรับประทานรวมกันทั้งฟองจะได้รับสารอาหารครบถ้วนทั้งโปรตีนและไขมัน” นางสาวภัคธีมา กล่าว

ในปี 2558 กระทรวงสาธารณสุข สหรัฐอเมริกา เปลี่ยนคำแนะนำการบริโภคอาหาร โดยยกเลิกข้อจำกัดของการรับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอล จากเดิมที่จำกัดไว้ไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องจากมีหลักฐานไม่ชัดเจนและไม่เพียงพอ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการรับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลกับระดับของคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งอาจมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ก็ได้ เพราะร่างกายมีการสร้างคอเลสเตอรรอลได้เอง หากรับประทานคอเลสเตอรอลเข้าไปมาก ร่างกายจะมีการปรับสมดุล ลดการสร้างคอเลสเตอรอลและลดการดูดซึมลง ดังนั้นผู้บริโภคไม่ต้องกังวล โดยเฉพาะคนที่ไม่มีโรคประจำตัวสามารถรับประทานไข่แดงได้ตามปกติ” นางสาวภัคธีมา กล่าว

ที่สำคัญคือการปรุงประกอบที่เหมาะสม แนะนำว่าควรใช้วิธีการต้มหรือการตุ๋น เนื่องด้วยในไข่ไก่ 1 ฟอง มีปริมาณคอเลสเตอรอลอยู่ 180 มิลลิกรัม หากนำไปปรุงประกอบด้วยวิธีการทอด การผัด ที่ใช้น้ำมันโดยเฉพาะน้ำมันในกลุ่มปาล์ม ซึ่งมีกรดไขมันอิ่มตัวค่อนข้างสูง จะส่งผลให้ไขมันไม่ดีในเลือดเพิ่มสูงขึ้นด้วย ผู้บริโภคควรเลี่ยงการใช้น้ำมันในการทำเมนูต่างๆ

สำหรับปริมาณแนะนำในการบริโภคไข่ไก่อย่างเหมาะสมตามช่วงวัย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุไว้ คือ วัยทารกที่อายุ 6 เดือนขึ้นไป สามารถรับประทานไข่แดงต้มสุกครึ่งฟอง -1 ฟอง บดผสมกับข้าว ทารกวัย 6 เดือน – 1 ปี ไข่ต้มสุกครึ่งฟอง -1 ฟอง ในวัยก่อนเรียน วัยเรียน วัยทำงาน รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร และผู้สูงอายุที่ไม่มีโรคประจำตัว สามารถรับประทานได้เฉลี่ยวันละ 1 ฟอง ส่วนกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ให้จำกัดการบริโภคไม่เกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์ สำหรับผู้ป่วยโรคอื่นๆ ยังสามารถรับประทานได้เฉลี่ยวันละ 1 ฟอง หรือตามคำแนะนำของแพทย์

“ขอย้ำถึงเรื่องเนื้อไก่และไข่ไก่ ที่อาจมีความเข้าใจผิดว่ามีความเสี่ยงในการกระตุ้นเซลล์มะเร็งนั้น “ไม่เป็นความจริง” กลุ่มคนที่เป็นผู้ป่วยมะเร็งไม่ได้มีข้อจำกัดในการกินเนื้อไก่ ไข่ไก่ หรือโปรตีนจากแหล่งอื่นๆ เนื่องจากไม่มีผลต่อการกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเพิ่มมากขึ้น แม้จะไม่ได้รับประทานโปรตีนจากเนื้อไก่หรือไข่ไก่ เซลล์มะเร็งก็เพิ่มขึ้นได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ที่สำคัญผู้ป่วยมะเร็งยังคงต้องการโปรตีนสูง จึงจำเป็นต้องรับประทานเนื้อสัตว์ ไข่ไก่ หรือโปรตีนจากแหล่งอื่นๆ ตามคำแนะนำของแพทย์” นางสาวภัคธีมา กล่าว

นางสาวภัคธีมา ย้ำเรื่องการเลือกซื้อไข่ไก่ที่มีคุณภาพ ให้สังเกตที่ความสด สะอาด ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ได้คุณภาพแข็งแรง แนะนำให้เลือกซื้อจากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ มีสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานความปลอดภัย มีฉลากแสดงวันเดือนปีที่ผลิตและวันที่ควรบริโภคก่อนที่ชัดเจน รวมไปถึงมีฉลากโภชนาการ สำหรับผู้บริโภคที่เลือกซื้อในตลาดสดให้สังเกตเปลือกไข่ที่ผิวสะอาด หากเป็นไข่สดใหม่เปลือกไข่จะยังมี นวลไข่ และต้องไม่ยุบ บุบ แตก ช่วยให้มั่นใจว่าเป็นไข่ไก่ที่มีคุณภาพดีเหมาะสำหรับการบริโภค

AIS พร้อมวางจำหน่าย iPhone 14 และ 14 Plus สีเหลืองใหม่ แล้ววันนี้ 14 มี.ค.

AIS พร้อมวางจำหน่าย iPhone 14 และ iPhone 14 Plus สีเหลืองใหม่ มอบตัวเลือกสีสันเพิ่มเติมแก่กลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 14 โดย iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ออกแบบมาอย่างสวยงามและทนทานยาวนาน มีตัวเครื่องด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ดีไซน์ด้านในที่อัปเดตใหม่เพื่อประสิทธิภาพที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นและซ่อมแซมได้ง่ายกว่าเดิม มีระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่น่าทึ่ง ซึ่ง iPhone 14 Plus ให้แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone[1] นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมระบบกล้องคู่เพื่อรูปถ่ายและวิดีโออันน่าทึ่ง ชิป A15 Bionic ที่ทรงพลัง GPU แบบ 5-core 5G ที่เร็วสุดขีด และความสามารถด้านความปลอดภัยที่เหนือชั้นซึ่งรวมถึงคุณสมบัติการตรวจจับการชนกัน iPhone 14 และ iPhone 14 Plus สีเหลืองใหม่จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันอังคารที่ 14 มีนาคม

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ส่งมอบ iPhone 14 และ iPhone 14 Plus สีเหลืองใหม่ที่มีระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่น่าทึ่ง และความสามารถด้านความปลอดภัยที่สำคัญบนเครือข่าย 5G ที่เร็วสุดขีดของ AIS มอบความคุ้มค่าแก่ลูกค้าของเรา”

iPhone 14 ขนาด 6.1 นิ้ว และ iPhone 14 Plus ขนาด 6.7 นิ้ว[2] มาพร้อมดีไซน์แบบอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศซึ่งทนทั้งน้ำและฝุ่น[3] และมีตัวเครื่องด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ที่มีความแข็งแกร่งยิ่งกว่ากระจกไหนๆ บนสมาร์ทโฟน ช่วยปกป้อง iPhone จากการทำน้ำหกใส่และอุบัติเหตุทั่วไป ชิป A15 Bionic พร้อมด้วย GPU แบบ 5-core มอบพลังและประสิทธิภาพระดับโปรให้กับ iPhone 14 มอบความเร็วที่เหนือกว่าสำหรับเวิร์กโหลดที่ต้องประมวลผลหนักๆ และยังให้กราฟิกที่ลื่นไหลยิ่งขึ้นทั้งสำหรับแอปวิดีโอและการเล่นเกมที่ต้องการประสิทธิภาพสูง โดยให้แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone1 iPhone 14 และ iPhone 14 Plus มาพร้อมกล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อภาพถ่ายและวิดีโอที่สวยสะดุดตา และมีกล้องอัลตร้าไวด์ที่ถ่ายภาพได้ในมุมมองเฉพาะตัว คุณสมบัติวิดีโออย่างโหมดแอ็คชั่นและโหมดภาพยนตร์ ทั้งสองรุ่นมีให้เลือก 6 สีสวย ได้แก่สีมิดไนท์, สีฟ้า, สีสตาร์ไลท์, สีม่วง, (PRODUCT)RED[4], และสีเหลือง มีจอภาพ Super Retina XDR ที่สวยสะกดตาพร้อมเทคโนโลยี OLED เคียงคู่ไปกับการรองรับ Dolby Vision

iPhone 14 และ iPhone 14 Plus มีความสามารถด้านความปลอดภัยที่สำคัญซึ่งให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินได้ในเวลาที่สำคัญที่สุด คุณสมบัติการตรวจจับการชนกันสามารถตรวจจับเหตุรถชนรุนแรงและโทรติดต่อบริการฉุกเฉินได้โดยอัตโนมัติหากผู้ใช้หมดสติหรือไม่สามารถหยิบ iPhone ได้ เมื่อจับคู่กับ Apple Watch คุณสมบัติการตรวจจับการชนกันก็สามารถเลือกใช้ประโยชน์จากจุดเด่นเฉพาะตัวของอุปกรณ์ทั้งสองได้อย่างราบรื่นไร้รอยต่อ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที[5]

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาได้ที่ https://www.ais.th/iphone/

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Apple ได้ที่ www.apple.com/th