Home Blog Page 81

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนก.พ. 2566

แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ จะส่งสัญญาณชะลอตัวลงแต่อาจใช้ระยะเวลานานกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะกลับเข้าสู่ระดับเป้าหมาย ทำให้ผู้ลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจำเป็นต้องคงนโยบายการเงินตึงตัวต่อเนื่องไปอีกสักระยะ อีกทั้งตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ที่ออกมาแข็งแกร่งสะท้อนถึงเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่มีโอกาสไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย (No Landing) อย่างที่เคยคาดการณ์ไว้ในช่วงก่อน ส่งผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาค

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 มีเงินลงทุนเคลื่อนย้ายออกจากตลาดหุ้นหลายแห่งในภูมิภาค รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ผู้ลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาขายสุทธิจากที่เคยซื้อสุทธิต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญมาจากค่าเงิน US Dollar ที่ปรับตัวแข็งค่าตามการคาดการณ์ดอกเบี้ยสหรัฐจะยังคงเพิ่มขึ้น อีกทั้งตัวเลขเศรษฐกิจที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกาศ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ค่อนข้างมาก จากภาคการส่งออกและการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาครัฐที่ลดลง แม้การบริโภคภายในประเทศยังฟื้นตัวตามภาคบริการและท่องเที่ยว

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย
• ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 SET Index ปิดที่ 1,622.35 จุด ปรับลดลง 2.9% จากเดือนก่อนหน้า โดยปรับไปในทิศทางเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค และปรับลดลง 2.8% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า
• ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2566 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มบริการ
• ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 67,066 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 32.3% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในสองเดือนแรกปี 2566 อยูที่ 69,600 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนแรกด้วยมูลค่า 43,562 ล้านบาท หลังจากเป็นผู้ซื้อสุทธิสี่เดือนต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10
• ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 5 หลักทรัพย์ และใน mai 2 หลักทรัพย์ โดยมูลค่าระดมทุนรวมในหุ้น IPO ของไทยปี 2566 อยู่ยังในระดับต้นๆ ของเอเชีย
• Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 อยู่ที่ระดับ 15.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.2 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 18.9 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.4 เท่า
• อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 อยู่ที่ระดับ 2.82% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.09%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
• ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 543,831 สัญญา เพิ่มขึ้น 2.5% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และในช่วง 2 เดือนของปี 2566 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 536,966 สัญญา ลดลง 5.1% จากปีก่อน

แบงก์ชาติ ส.ธนาคารไทย และส.สถาบันการเงินของรัฐ จับมือยกระดับจัดการภัยทุจริตทางการเงิน

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ออกแนวนโยบายเป็นชุดมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงินที่ดูแลตลอดเส้นทางการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยกำหนดเป็นแนวปฏิบัติขั้นต่ำให้สถาบันการเงิน (สง.) ทุกแห่งปฏิบัติตามเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยมีการรักษาสมดุลระหว่างการบริหารจัดการความเสี่ยงกับการส่งเสริมบริการทางการเงินดิจิทัล ซึ่ง ธปท. เห็นว่ามาตรการชุดนี้จะช่วยให้ สง. ป้องกันความเสี่ยงและแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

1. มาตรการป้องกัน เพื่อปิดช่องทางที่มิจฉาชีพจะเข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น ให้ สง. งดการส่งลิงก์ทุกประเภทผ่าน SMS อีเมล และงดส่งลิงก์ขอข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อผู้ใช้งาน รหัสผ่าน และเลขบัตรประชาชนผ่านโซเชียลมีเดีย จำกัดจำนวนบัญชีผู้ใช้งาน mobile banking (username) ของแต่ละ สง. ให้ใช้ได้ใน 1 อุปกรณ์เท่านั้น โดย สง. ต้องจัดให้มีการแจ้งเตือนผู้ใช้บริการ mobile banking ก่อนทำธุรกรรมทุกครั้ง และพัฒนาระบบความปลอดภัยบน mobile banking ให้เท่าทันภัยการเงินรูปแบบใหม่อยู่ตลอดเวลา ตลอดจนต้องยกระดับความเข้มงวดในกระบวนการยืนยันตัวตนขั้นต่ำด้วยการใช้เทคโนโลยีเปรียบเทียบข้อมูลอัตลักษณ์ทางกายภาพของลูกค้า (biometrics) เช่น สแกนใบหน้า ในกรณีลูกค้าขอเปิดบัญชีโดยผ่านแอปพลิเคชันของ สง. (non-face-to-face) หรือทำธุรกรรมผ่าน mobile banking ในเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่น โอนเงินมากกว่า 50,000 บาท หรือปรับเพิ่มวงเงินทำธุรกรรมต่อวันเป็นตั้งแต่ 50,000 บาท ขึ้นไป นอกจากนี้ จะกำหนดเพดานวงเงินถอน/โอนสูงสุดต่อวันให้เหมาะสมตามระดับความเสี่ยงของกลุ่มผู้ใช้บริการแต่ละประเภท โดยลูกค้าสามารถขอปรับได้ตามความจำเป็น และต้องยืนยันตัวตนอย่างเข้มงวด

2. มาตรการตรวจจับและติดตามบัญชี หรือธุรกรรมต้องสงสัย เพื่อให้ สง. ช่วยจำกัดความเสียหายได้เร็วขึ้น และลดการใช้บัญชีม้า ธปท. จะกำหนดเงื่อนไขการตรวจจับและติดตามธุรกรรมเข้าข่ายผิดปกติ หรือกระทำความผิด เพื่อให้ สง. รายงานไปสำนักงาน ปปง. รวมทั้งให้ สง. ต้องมีระบบตรวจจับและติดตามบัญชี หรือธุรกรรมต้องสงสัยแบบ near real-time เพื่อให้สามารถระงับธุรกรรมได้ทันทีเป็นการชั่วคราวเมื่อตรวจพบ

3. มาตรการตอบสนองและรับมือ เพื่อจัดการปัญหาให้ผู้เสียหายได้เร็วขึ้น ให้ สง. ทุกแห่งต้องมีช่องทางติดต่อเร่งด่วน (hotline) ตลอด 24 ชั่วโมง แยกจากช่องทางให้บริการปกติ เพื่อให้ผู้ใช้บริการแจ้งเหตุได้โดยเร็ว รวมทั้งให้ดูแลรับผิดชอบผู้ใช้บริการ หากพบว่าความเสียหายเกิดจากข้อบกพร่องของ สง. 

ธปท. ได้เร่งให้ สง. ทุกแห่งต้องดำเนินมาตรการทั้งหมดโดยเร็ว โดยได้มีการเริ่มดำเนินการในบางมาตรการแล้ว ขณะที่มาตรการที่เหลือส่วนใหญ่จะกำหนดให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2566 และจะเร่งดำเนินการสำหรับบางมาตรการที่มีความซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการปรับปรุง ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนดต่อไป โดย ธปท. จะประเมินประสิทธิผลของการดำเนินการ และจะทบทวนปรับปรุงมาตรการเป็นระยะ เพื่อให้สามารถป้องกันและแก้ไขภัยทุจริตทางการเงินได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์

นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท. ได้ยกระดับให้เรื่องนี้เป็นความเสี่ยงสำคัญที่ทุกสถาบันการเงินจะต้องดูแลและบริหารจัดการอย่างจริงจัง โดย ธปท. ได้ออกชุดมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน เพื่อช่วยให้ระบบการเงินมีความปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการทางการเงิน และเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว ธปท. จึงได้เชิญผู้บริหารของสถาบันการเงินเข้าร่วมประชุมหารือและกำชับให้สถาบันการเงินทุกแห่งเร่งดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว และเตรียมความพร้อมรองรับการดำเนินงานตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสถาบันการเงินทุกแห่ง

นายฉัตรชัย ศิริไล ประธานสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ กล่าวว่า สมาคมฯ และสถาบันการเงินสมาชิกพร้อมให้ความร่วมมือกับ ธปท. และสมาคมธนาคารไทยในการจัดการเรื่องดังกล่าว ที่ผ่านมาสถาบันการเงินสมาชิกหลายแห่ง ได้มีแนวทางการป้องกันภัยทุจริตทางการเงินต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และให้ความรู้ประชาชน โดยเฉพาะการออกประกาศเตือนการไม่ส่งลิงก์ต่่าง ๆ ให้กับลูกค้าและประชาชน และการเปิดศูนย์รับแจ้งเหตุภัยทางการเงิน ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงแล้ว ยังสามารถนำข้อมูลที่ได้รับจากการร้องเรียนมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางและพัฒนาระบบการป้องกันภัยทุจริตทางการเงินที่จะเกิดในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับมาตรการอื่นที่ระบบมีความซับซ้อนต้องใช้เวลาพัฒนา สมาคมฯ และธนาคารสมาชิก จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จทันตามกรอบเวลา นอกจากนี้ ยังพร้อมร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเช่น ผู้ให้บริการ e-wallet ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อร่วมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาทุจริตภัยการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ และครอบคลุมทั้งระบบนิเวศแบบ end to end ที่มิจฉาชีพชอบใช้หลอกลวง

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก พร้อมยกระดับความปลอดภัยของภาคธนาคาร เพื่อรับมือและจัดการภัยทางการเงินออนไลน์ ตามแนวทางการจัดการภัยทุจริตทางการเงินที่ได้มีการหารือร่วมกับทาง ธปท. ให้ดียิ่งขึ้น ได้แก่ การป้องกัน ภาคธนาคารได้ร่วมมือกันงดการส่งข้อความ SMS ที่แนบลิงก์ในการติดต่อกับลูกค้าในระยะนี้ และเร่งพัฒนาระบบป้องกันการทำธุรกรรมทุจริตอย่างต่อเนื่อง การตรวจจับ ธนาคารสมาชิกอยู่ระหว่างนำเทคโนโลยีมาช่วยตรวจจับธุรกรรมต้องสงสัยให้ได้โดยเร็ว โดยร่วมกันออกแบบและพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทุจริตในภาคธนาคาร (Central Fraud Registry) เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชี ธุรกรรมต้องสงสัย และบัญชีม้า ระหว่างธนาคารเพื่อดำเนินการติดตามป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น การตอบสนองและรับมือ จัดให้มีช่องทางติดต่อเร่งด่วน (Hotline) 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อสามารถแจ้งเหตุได้โดยตรง ปัจจุบันมีธนาคารสมาชิกหลายแห่งเริ่มดำเนินการแล้ว

สมาคมฯ และสถาบันการเงินสมาชิก จะร่วมมือเร่งยกระดับการดำเนินการตามมาตรการของ ธปท. ให้ได้ตามกำหนดเวลา เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างเท่าทัน เพราะภัยทุจริตมีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงเร็ว ขณะเดียวกันยังคงเดินหน้าให้ความรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชน ให้รู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ และยังพร้อมร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหานี้

รู้เก็บรู้ออม : DR ใหม่ โอกาสลงทุนหุ้นจีน

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

การกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ นอกจากจะเป็นการบริหารความเสี่ยงแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับนักลงทุน ซึ่งปัจจุบันเราสามารถซื้อหุ้นชั้นนำระดับโลกบนตลาดหุ้นไทยได้ง่ายๆ ผ่านผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ชื่อว่า DR (Depositary Receipt) หรือ ที่เรียกว่า ตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ

แฟนคอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน…สู่ความมั่งคั่ง” น่าจะรู้จัก DR แล้วว่า เหมือนเป็นการยกหุ้นต่างประเทศ ให้มาซื้อขายได้บนตลาดหุ้นไทย โดยผู้ออก DR ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. จะเป็นผู้ที่ไปซื้อหุ้น หรือกองทุน ETF ต่างประเทศ แล้วนำมาเสนอขายให้กับนักลงทุนไทย จ่ายค่าหุ้นเป็นเงินบาท นอกจากนี้ ผู้ถือ DR จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆเหมือนกับไปซื้อหุ้นในตลาดหุ้นต่างประเทศโดยตรง

ล่าสุด ตลาดหุ้นไทยกำลังจะมี DR 2 ตัวใหม่ ดีเดย์เข้าเทรดในวันที่ 15 มีนาคม 66 ออกโดยธนาคารกรุงไทย ได้แก่ DR อ้างอิงหุ้นประกันยักษ์ใหญ่ของจีน “ผิงอัน (Ping An)” และหุ้นเกมชั้นนำของจีน “เน็ตอีส (NetEase)” หลังได้กระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ในการออก DR อ้างอิงหุ้นชั้นนำระดับโลกอย่างอาลีบาบา (BABA80) แอปเปิล (AAPL80X) บีวายดี (BYDCOM80) และเทสลา (TSLA80X) ไปเมื่อปีที่แล้ว

DR น้องใหม่ 2 ตัวนี้ เป็นการเกาะติดเทรนด์หุ้นจีนที่กำลังฟื้นตัวแข็งแกร่ง โดยตอนนี้หุ้นจีนเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นต่างประเทศ จากปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงไปมาก นอกจากนี้ การที่จีนเปิดประเทศและออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หุ้นจีนจึงมีโอกาสฟื้นตัวสูง โดย “ผิงอัน” เป็นบริษัทประกันขนาดใหญ่ที่สุดของจีน และอยู่ในอันดับต้นๆของโลก มีมูลค่าตลาดประมาณ 4.5 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 21 ก.พ.66) มีฐานลูกค้ารายย่อย 225 ล้านราย และฐานลูกค้าออนไลน์ 668 ล้านราย (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย.65) และยังมีโอกาสเติบโตสูง จากผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพและบริหารความเสี่ยงมากขึ้น

ส่วน “เน็ตอีส” เป็นบริษัทเกมรายใหญ่อันดับต้นๆของจีน โดดเด่นในด้านการพัฒนาเกมออนไลน์ มีไลเซนส์เกมมือถือและคอมพิวเตอร์ รวมถึงให้บริการสื่อบันเทิงออนไลน์ รายได้โตแบบก้าวกระโดด โดยไตรมาส 3 ปี 2565 มีรายได้ 3.5 แสนล้านบาท และขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา

ถือเป็น 2 ธุรกิจยักษ์ใหญ่ของจีนที่น่าสนใจไม่น้อย!! สำหรับผู้มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์อยู่แล้ว สามารถทำรายการซื้อขายผ่านแอปฯ Streaming by Settrade หรือหากยังไม่มีบัญชี สามารถเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการได้เลย ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสอบถามข้อมูลของ DR 2 ตัวใหม่นี้ได้ที่ธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา หรือ Krungthai Contact Center โทร. 0-2111-1111 และหากต้องการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ DR สามารถดูข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ www.setinvestnow.com/th/newdr ป่ะลุยจีนกัน!!

คุณนายพารวย

AIS เตรียมขาย iPhone 14 และ 14 Plus สีเหลืองใหม่

AIS 5G เตรียมวางจำหน่าย iPhone 14 และ iPhone 14 Plus สีเหลืองใหม่ มอบตัวเลือกสีสันเพิ่มเติมแก่กลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 14 มาพร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานอย่างน่าทึ่ง ระบบกล้องคู่ที่ทรงพลังสำหรับภาพถ่ายและวิดีโอระดับโปร 5G ที่เร็วสุดขีด และความสามารถด้านความปลอดภัยสุดล้ำซึ่งรวมถึงการตรวจจับการชนกัน ลูกค้าสามารถสั่งจอง iPhone 14 และ iPhone 14 Plus สีเหลืองล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม โดยจะวางจำหน่ายในวันอังคารที่ 14 มีนาคม ดูราคาและรายละเอียดการวางจำหน่ายได้ที่ https://www.ais.th/iphone/

เอไอเอส – กรมสุขภาพจิต เซ็น MOU ร่วมมือดูแลปัญหาสุขภาพจิตคนไทยผ่าน อสม.ออนไลน์

เอไอเอส ลงนามเอ็มโอยู ร่วมกับ กรมสุขภาพจิตต่อเนื่อง ต่อยอดความร่วมมือบริหารจัดการข้อมูลประชาชนกลุ่มเสี่ยงปัญหาด้านสุขภาพจิต ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภารกิจบุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ และ อสม. จากการบูรณาการข้อมูลเพื่อช่วยคัดกรอง ค้นหา ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตในชุมชน ให้ได้รับการดูแลช่วยเหลือและเข้าถึงบริการทางสุขภาพจิตได้อย่างทันท่วงที และตรงจุด

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าส่วนงานประชาสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นกว่า 3 ปีนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เพียงเฉพาะปัญหาของการระบาด การเจ็บป่วยจากการติดเชื้อเท่านั้น แต่ในอีกด้านยังมีผลกระทบที่เกิดขึ้นและส่งผลต่อการก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตไม่มากก็น้อย โดยมีความเครียดระดับปานกลาง ประมาณร้อยละ 10 ของกลุ่มตัวอย่างที่อสม.สำรวจ ซึ่งควรรับคำปรึกษา หาทางผ่อนคลายความเครียด ดังนั้น เอไอเอส จึงร่วมกับกรมสุขภาพจิต พัฒนารายงานสำรวจสุขภาพจิตบนแอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์” เพื่อทำให้รู้ว่าประชาชนมีภาวะความเสี่ยงด้านสุภาพจิตอย่างไรบ้าง พร้อมคำแนะนำในการปฏิบัติตัวได้ทันทีจาก อสม.

ดังนั้นวันนี้ ถือได้ว่าเป็นการสานต่อความร่วมมือของ เอไอเอส และ กรมสุขภาพจิตต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 หลังจากที่ในปลายปี 2563 เราได้มีการพัฒนาและบรรจุเครื่องมือรายงานคัดกรองความเสี่ยงสุขภาพจิตในแอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์” โดยในปีนี้ เราได้พัฒนาเพิ่มเติมให้ระบบของแอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ เอื้อประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการติดตามความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตรายบุคคล พร้อมทั้งสามารถทำการบันทึกการติดตามดูแลผู้ที่มีภาวะเสี่ยงด้านสุขภาพจิตด้วยวิธีการต่างๆ ตามหลักการดูแลด้านสุขภาพจิตได้อย่างเหมาะสม โดยร่วมกับ อสม.ในพื้นที่ อันจะทำให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงได้รับการดูแลด้านสุขภาพจิตอย่างครบวงจร ทั้งการคัดกรอง ติดตาม และให้การดูแลแบบเฉพาะบุคคล อย่างทันท่วงที”

ด้าน พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า แอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์” เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่จะช่วยให้ประชาชนคนไทยสามารถเข้าถึงระบบบริการด้านสุขภาพจิต ผ่านกลไกระบบสุขภาพปฐมภูมิที่ อสม. นำแอปพลิเคชันนี้ไปใช้คัดกรอง ค้นหา ผู้ที่มีความเสี่ยงปัญหาสุขภาพจิตและสามารถให้การช่วยเหลือดูแล พร้อมทั้งส่งต่อผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตเข้าสู่ระบบบริการ โดยกรมสุขภาพจิตจะมีส่วนช่วยสนับสนุนองค์ความรู้ด้านสุขภาพจิตที่จำเป็นต่อการดูแลจิตใจประชาชน พร้อมทั้งสนับสนุนให้เกิดกลไกการให้บริการด้านสุขภาพจิตและจิตเวช ที่มีมาตรฐาน รองรับผู้ที่มีความเสี่ยงปัญหาสุขภาพจิตจากการคัดกรองสุขภาพจิตผ่านแอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์” ในนามของกรมสุขภาพจิตขอขอบคุณบริษัท AIS และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ที่ทำให้เกิดการดูแลสุขภาพจิตของประชาชนในชุมชน ด้วยแอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์” และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจากความร่วมมือกันในครั้งนี้จะต่อยอดให้ประชาชนคนไทยได้รับการดูแลสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่องต่อไป

สำหรับ แอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์”นั้น เอไอเอสได้พัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาบูรณาการกับการดูแลสุขภาพของประชาชนทุกด้านรวมถึงปัญหาสุขภาพจิต เพื่อสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและพี่น้องอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านทั่วประเทศ มีเครื่องมือในการคัดกรองและดูแลประชาชน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อีกทั้งลดขั้นตอน ลดความยุ่งยากจากการใช้เอกสารจำนวนมากในอดีต พร้อมทั้งสามารถรายงาน ส่งต่อข้อมูลได้ทันที ซึ่งในปัจจุบันได้มีการขยายเพิ่มให้ อาสาสมัครสาธารณสุข กทม. หรือ อสส. ได้ใช้งานแอปพลิเคชันนี้ด้วยในชื่อ “อสส.ออนไลน์” ทำให้ในปัจจุบันมีผู้ใช้งานรวมกว่า 5 แสนราย

มูลนิธิเมืองไทยยิ้มและเมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้า “ตรวจวัดสายตาประกอบแว่น ฟรี” เพื่อผู้สูงอายุ ปีที่ 5

มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม และบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดโครงการ “ตรวจวัดสายตาประกอบแว่นฟรี” เพื่อผู้สูงอายุ ปีที่ 5 เพื่อให้บริการตรวจวัดสายตา และมอบแว่นตาที่มีคุณภาพ พร้อมให้คำแนะนำการดูแลแว่นสายตาจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแก่ผู้สูงอายุ ในพื้นที่หน่วยบริการ ณ ที่ทำการอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามนโยบายของโครงการที่ต้องการคืนความสุขให้แก่ผู้สูงอายุ พร้อมขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ คืนสู่สังคมไทย ในการให้ช่วยเหลือผู้สูงอายุในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้ผู้สูงอายุได้เข้าถึงสิทธิบริการและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีการมองเห็นที่ชัดเจนอีกครั้ง โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงพยาบาลปาย จิตอาสา และ ผู้มีจิตศรัทธาในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม

โดยโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของเมืองไทยประกันชีวิต ในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมในทุกด้าน พร้อมให้ความสำคัญต่อการก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและแผนปฏิบัติงานของมูลนิธิเมืองไทยยิ้มที่มีวัตถุประสงค์ผ่านโครงการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งรอยยิ้ม โดยเฉพาะงานด้านการพัฒนาศักยภาพสังคมผู้สูงอายุ ที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งด้านสุขภาพให้ผู้สูงอายุ และนำไปใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตตนเองอย่างยั่งยืน เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการที่มีคุณภาพ และโครงการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างสวัสดิการขั้นพื้นฐานเพื่อสุขภาพให้ผู้สูงอายุ จึงเป็นที่มาของการร่วมมือระหว่างมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม เมืองไทยประกันชีวิต และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดโครงการในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน โครงการ “ตรวจวัดสายตาประกอบแว่น ฟรี” เพื่อผู้สูงอายุ ได้มีการส่งมอบแว่นสายแก่ไปสู่ผู้สูงอายุทั้งสิ้น 6,294 อัน จากการออกหน่วยตรวจวัดสายตาประกอบแว่น ฟรี 49 หน่วย ทั่วประเทศ และยังคงเดินหน้าสานต่อโครงการดังกล่าว เพื่อส่งมอบความสุขและรอยยิ้มแก่ผู้สูงอายุทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง

AIS Fibre พลิกโฉมเน็ตบ้าน ส่งนวัตกรรม Intelligent Service ตรวจสอบ นัดหมาย แก้ไขอัจฉริยะ ครั้งแรกของวงการ

AIS Fibre ยกระดับบริการเน็ตบ้านไปอีกขั้นด้วย Intelligent Service หรือนวัตกรรมการให้บริการและดูแลลูกค้าอัจฉริยะ ครั้งแรกในวงการเน็ตบ้านที่นำเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI มาเป็นหนึ่งในผู้ช่วยให้กับลูกค้ากับช่องทางใหม่ แก้ไขปัญหาเน็ตบ้าน หรือ AIS PLAYBOX ผ่านแอป myAIS ซึ่งเป็นช่องทางที่จะช่วยเหลือลูกค้าด้วยระบบตรวจสอบปัญหาอัจฉริยะ (Smart Diagnostics) กว่า 40 รายการ วิเคราะห์ปัญหาตรงจุด อีกทั้งยังมีฟังก์ชันนัดหมายช่าง ติดตามสถานะการแก้ปัญหา รวมถึงมีแจ้งเตือนเมื่อทำการแก้ไขปัญหาเรียบร้อย โดยลูกค้าสามารถดำเนินการทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง ทุกที่ ตลอด 24 ชั่วโมง
นางสาวสุนีย์ โรจนโอฬารรัตน์ หัวหน้าแผนกงานบริหารการตลาดธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบนด์ AIS

นางสาวสุนีย์ โรจนโอฬารรัตน์ หัวหน้าแผนกงานบริหารการตลาดธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบนด์ AIS กล่าวว่า “หัวใจของการให้บริการ คือต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าอย่างถ่องแท้ที่ไม่ใช่แค่การวิ่งตามการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องคาดการณ์และมองไปข้างหน้าแบบ Beyond Expectation ทำให้ AIS Fibre เป็นผู้เล่นที่สามารถคิดนำ ทำก่อน ได้ในทุกเรื่อง โดยเฉพาะงานบริการและดูแลลูกค้า ดังนั้นการขยับตัวของเราในทุกครั้ง ก็มักจะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอยู่เสมอ ตั้งแต่การประกาศว่าพร้อมแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้ภายใน 24 ชั่วโมง

ล่าสุดวันนี้กำลังจะยกระดับการให้บริการและดูแลลูกค้าไปอีกขั้นด้วยการใช้ศักยภาพของ AIS ในด้านดิจิทัลเทคโนโลยี และ AI เข้ามาพลิกโฉมกระบวนการให้บริการสู่การเป็น Intelligent Service ที่พร้อมให้ลูกค้าสามารถแจ้งปัญหา และตรวจสอบสถานการณ์ใช้งานได้ด้วยตัวเองแบบเรียลไทม์บนแอป myAIS ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะที่เชื่อมต่อไปถึง Network โดยตรง ที่สามารถตรวจสอบปัญหาได้แบบอัจฉริยะกว่า 40 รายการ นำไปสู่การวิเคราะห์ถึงสาเหตุได้ตรงจุดจนสามารถแก้ไขได้ทันที นอกจากนี้เรายังเพิ่มขีดความสามารถของการใช้งานให้ลูกค้านัดหมายช่างให้เข้ามาแก้ไขปัญหา ที่สามารถติดตามสถานะการแก้ปัญหาได้ตั้งแต่ต้นจนจบเคส โดยลูกค้าสามารถทำรายการได้เอง แจ้งได้เอง ตลอด 24 ชั่วโมงผ่าน”

สำหรับช่องทางใหม่ ที่ลูกค้าสามารถแก้ไขปัญหาเน็ตบ้าน หรือ AIS PLAYBOX ได้ด้วยตัวเองนั้น นับเป็นการยกระดับประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าไปอีกขั้น ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจในการศึกษาและทำความเข้าใจเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ ประกอบกับการใช้ขีดความสามารถของเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI เข้ามาเพิ่มศักยภาพ เพื่อให้เมื่อเกิดปัญหาด้านการใช้งาน ลูกค้าสามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเองง่ายๆ ผ่านแอป myAIS ไม่ว่าจะเป็น

  • การแก้ไขปัญหาการใช้งานเบื้องต้นได้เอง โดยที่ไม่ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ รองรับการใช้งานทั้ง “AIS Fibre” และ “AIS PLAYBOX”
  • ระบบตรวจสอบปัญหาอัจฉริยะ (Smart Diagnostics) โดยหลังจากที่ลูกค้าแจ้งปัญหาการใช้งาน ระบบจะตรวจสอบสาเหตุของปัญหามากกว่า 40 รายการได้แบบอัตโนมัติ ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่เชื่อมไปถึงระบบโครงข่ายโดยตรง ทำให้สามารถระบุสาเหตุและมีระบบการจัดการในการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นได้ในทันที
  • การนัดหมายช่างทำได้ง่าย เลือกเวลาที่สะดวก ครบ จบบนแอปเดียว
  • สามารถติดตามสถานะของการแก้ปัญหา หรือติดตามผลการนัดหมายได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  • มี SMS แจ้งเตือนเมื่อทีมวิศวกรแก้ไขปัญหาเรียบร้อย

“ภายใต้วิสัยทัศน์ของ AIS ที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะหรือ Cognitive Tech-Co ทำให้ AIS Fibre เดินหน้าส่งมอบประสบการณ์เน็ตบ้านที่ดีที่สุดผ่านโครงข่ายอัจฉริยะและนวัตกรรมใหม่ที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการสร้างมาตรฐานการแข่งขันให้ตลาดด้วยคุณภาพของการให้บริการที่เหนือกว่า ด้วย บริการอัจฉริยะ หรือ Intelligent Service ที่เป็นการใช้ขีดความสามารถด้านดิจิทัลเทคโนโลยีของ AIS” นางสาวสุนีย์ กล่าวทิ้งท้าย

CPF ชูหลัก “โภชนาการแม่นยำ” พัฒนาอาหารสัตว์รักษ์โลก

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมอาหารสัตว์รักษ์โลก ยึดหลักการโภชนาการแม่นยำ สรรหาสารอาหารที่ตรงกับช่วงวัยการเติบโตของสัตว์ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ และวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ต้องไม่มาจากแหล่งที่มีการตัดไม้ทำลายป่า จับมือพันธมิตรที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก เพื่อพัฒนาวิธีการประเมินด้านการผลิตปศุสัตว์และผลกระทบต่อสภาพสิ่งแวดล้อม หนุนสุขภาพที่ดีของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) ตอบโจทย์สร้างความมั่นคงทางอาหาร และดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ดร.ไพรัตน์ ศรีชนะ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ

ดร.ไพรัตน์ ศรีชนะ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักวิชาการอาหารสัตว์ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มุ่งมั่นวิจัยและสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารสัตว์ โดยให้ความสำคัญกับหลักโภชนาการแม่นยำ คือ การสรรหาและคิดค้นวัตถุดิบทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ เพื่อนำไปผลิตและพัฒนาสูตรอาหารสัตว์ที่ตรงกับความต้องการอาหารของสัตว์ในแต่ละช่วงวัย ช่วยให้การย่อยของสัตว์สามารถใช้ประโยชน์จากสารอาหารต่างๆได้ดี ลดการปลดปล่อยสารอาหารส่วนเกินสู่สิ่งแวดล้อม อาทิ ไนโตรเจน นอกจากนี้ มีการใช้นวัตกรรมการเลี้ยงไก่และสุกรด้วยจุลินทรีย์ดี”โปรไบโอติก” โดยให้ความสำคัญและมุ่งมั่นที่จะลดการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรงและเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) คือ สุขภาพคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์สุขภาพของผู้บริโภค ภายใต้แนวคิดการผลิตอาหารปลอดภัย

ซีพีเอฟ เป็นหนึ่งในบริษัทในภูมิภาคเอเชียที่มีระบบ เครื่องมือที่มีความพร้อมด้านต่างๆ ในการผลิตอาหารสัตว์ รวมถึงการนำนวัตกรรมทางด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)เข้ามาช่วยพัฒนาสูตรอาหารสัตว์ เพื่อให้การขับของเสียจากฟาร์มปศุสัตว์น้อยที่สุด รวมไปการจัดหาวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด ปาล์มน้ำมัน กากถั่วเหลือง มันสำปะหลัง ที่ต้องไม่มาจากแหล่งตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเป็นการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

“เราคิดว่าสัตว์ที่มีสุขภาพที่ดี ก็จะได้เนื้อสัตว์หรือแหล่งโปรตีนที่ดี เพื่อส่งต่อไปยังผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคสุขภาพดี นอกจากตัวสัตว์ ผู้บริโภค เราก็ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เราอยากให้สิ่งแวดล้อมของเราสุขภาพดีด้วย หมายถึงว่าเราปลดปล่อยอะไรต่างๆสู่สภาพแวดล้อมให้น้อยที่สุด เป็นไปอย่างรับผิดชอบ ” ดร.ไพรัตน์ กล่าว

นอกจากนี้ จากการที่บริษัทฯ ได้ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้แก่ บริษัทรอยัล ดีเอสเอ็ม (Royal DSM NV) ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอาหารและปศุสัตว์ และ บริษัท Blonk Consultants องค์กรที่ให้คำปรึกษาด้านการวิเคราะห์ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม จะช่วยเสริมศักยภาพของซีพีเอฟ ในการพัฒนาอาหารสัตว์รักษ์โลก ด้วยการนำนวัตกรรมโซลูชัน “SustellTM” มาใช้วัดผลงานด้านความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ ด้วยการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และหาแนวทางลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตอาหารในธุรกิจสัตว์บก อาทิ ไก่เนื้อ ไก่ไข่ สุกร และวัวนม ทำให้สามารถวัดข้อมูลตั้งแต่วัตถุดิบ สูตรอาหาร และฟาร์ม เป็นโอกาสที่ดีที่ซีพีเอฟได้แลกเปลี่ยนและแชร์ประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เนื่องจาก Blonk Consultants เป็นผู้ให้คำปรึกษากับหลายๆ องค์กร เช่น องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) ในการพัฒนาวิธีการประเมินด้านการผลิตปศุสัตว์และการประเมินผลกระทบต่อสภาพสิ่งแวดล้อม (Livestock Environmental Assessment and Performance, LEAP) เกี่ยวกับการผลิตอาหารสัตว์

ดร.ไพรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ซีพีเอฟ พัฒนาอาหารสัตว์รักษ์โลกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นต้นทางที่จะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product) อาทิ อาหารสุกรที่สามารถลดปริมาณไนโตรเจนส่วนเกินที่สุกรขับทิ้งออกมาในรูปแบบของสิ่งขับถ่ายถึงร้อยละ 20-30 ซึ่งประยุกต์ใช้จากประเทศไทย ขยายไปทุกประเทศทั่วโลกที่ซีพีเอฟมีฟาร์มสุกรอยู่ จากนั้นขยายผลไปยังสุกรพ่อแม่พันธุ์ สุกรรุ่นพันธุ์ การพัฒนาสูตรอาหารไก่ไข่รักษ์สิ่งแวดล้อม โดยลดการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น กากถั่วเหลือง เพื่อช่วยลดกลิ่นที่เกิดจากมูลสัตว์ ทำให้ปริมาณไนโตรเจนส่วนเกินลดลงร้อยละ 12-13 จากมูลไก่ไข่ และในปี 2566 นี้ มีแผนที่จะพัฒนาสูตรอาหารรักษ์โลกสำหรับธุรกิจเป็ดเนื้อครบวงจร โดยคาดการณ์ว่าปี 2566 อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของประเทศไทยจะกลับมาเติบโตใกล้เคียงกับปี 2564 แม้ว่าเจอความท้าทายจากปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์สูงขึ้น

ตลท. ผ่านการรับรองมาตรฐานอาคาร “LEED Zero Waste” และ “TRUE Certification ระดับ Platinum” แห่งแรกในอาเซียน

อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก U.S. Green Building Council (USGBC) สหรัฐอเมริกา ประกอบไปด้วย “LEED Zero Waste Certification” และ “TRUE Certification ในระดับ Platinum” โดยถือเป็นแห่งแรกในอาเซียนที่ได้รับการรับรองทั้งสองมาตรฐาน โดยอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นอาคารสำนักงานที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดขยะให้เป็นศูนย์ (Zero Waste) สะท้อนถึงการให้ความสำคัญในการดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

นายกีรติ โกสีย์เจริญ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานบริหาร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และ บรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG) ภายใต้วิสัยทัศน์ในการพัฒนาตลาดทุนเพื่อทุกภาคส่วน “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” โดยล่าสุด อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ผ่านการรับรองมาตรฐานอาคารสำนักงานที่ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ประจำปี 2565 จาก U.S. Green Building Council (USGBC) สหรัฐอเมริกา ถือเป็นการสะท้อนความมุ่งมั่นของตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงพนักงานที่ร่วมขับเคลื่อนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยดำเนินการลดปริมาณขยะที่นำไปฝังกลบให้เป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill) ตั้งแต่ปี 2563 มีการจัดการขยะเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ตามหลัก 3R (Reduce-Reuse-Recycle) พร้อมขยายความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาบริหารจัดการการใช้ทรัพยากร รวมถึงการส่งเสริมกระบวนการจัดหาคู่ค้า สินค้า และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายวชิระชัย คูนำวัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี บิลดิ้ง แอนด์ ลีฟวิ่งแคร์คอนซัลติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีความยินดีอย่างยิ่งที่มีส่วนในการให้คำปรึกษาแก่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้ได้รับมาตรฐานการรับรองในครั้งนื้ ด้วยคะแนนประเมินระดับ Platinum ตามมาตรฐานการรับรองจาก USGBC ทั้งนี้ SCG ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาโลกร้อน จึงนำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ESG 4 Plus มาใช้ในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม คือ 1) มุ่งเน้น NET ZERO 2) GO Green 3) Lean เหลื่อมล้ำ และ 4) ย้ำร่วมมือ ทั้งนี้ บริษัท เอสซีจี บิลดิ้ง แอนด์ ลีฟวิ่งแคร์คอนซัลติ้ง จำกัด มีเป้าหมายที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมาย NET ZERO ซึ่งการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับการรับรองมาตรฐาน “LEED Zero Waste” และ “TRUE Certification ในระดับ Platinum” เป็นอาคารแห่งแรกในอาเซียนในครั้งนี้ นับเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ และก้าวสำคัญของบริษัทที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนเพื่อเป็นแนวทางให้กับองค์กรต่างๆ ต่อไป

การรับรองมาตรฐานดังกล่าวจะมอบให้กับอาคารที่มีการบริหารจัดการทรัพยากรในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยยึดหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) นอกจากนี้ อาคารที่ได้การรับรองจะต้องใช้ประโยชน์จากขยะที่เกิดขึ้นมากกว่าร้อยละ 90 โดยหลีกเลี่ยงการจัดการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง การฝังกลบ และการทำลายสิ่งแวดล้อมอื่นๆ และมีการปนเปื้อนของขยะน้อยกว่าร้อยละ 10 โดยพิจารณาขยะทุกประเภท ด้วยความร่วมมือกับคู่ธุรกิจในการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์, การรับสินค้าคืนหลังการใช้งาน (Product Take back program) การนำบรรจุภัณฑ์ไปรีไซเคิล รวมถึงการเพิ่มมูลค่าด้วยการ upcycling

อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้อาคารได้การรับรอง คือความชัดเจนทางด้านนโยบาย และการมีส่วนร่วมของผู้บริหาร และพนักงาน ซึ่งพนักงานและคู่ธุรกิจของอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับการอบรมและมีส่วนร่วมในด้าน Zero Waste ยิ่งไปกว่านั้น อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีการคำนวณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับการจัดการขยะตลอดทั้ง supply chain เป็นต้น

ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับรางวัลสำนักงานสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Office) ระดับดีเยี่ยม (Gold Level) จากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม รางวัล Thailand energy award ประเภทอาคารที่ใช้พลังงานเป็นศูนย์ (Zero energy building) จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และรางวัล ASEAN Energy Award จาก ASEAN Center of Energy (ACE) และยังได้รับการรับรองอาคารเพื่อสิ่งแวดล้อมมาตรฐานสากล LEED Platinum: Operation and Maintenance (O+M) ระดับสูงสุด จาก U.S. Green Building Council (USGBC) อีกด้วย

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ : รู้ทันกลโกง หลอกขายของออนไลน์

“อาแปะ” สาธิต บวรสันติสุทธิ์ นักวางแผนการเงิน CFP®
กูรูปลดหนี้ แนะว่า ควรซื้อของจากแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ เพราะเขาจะมีการคุ้มครองผู้บริโภค

ที่สำคัญ อย่าชำระเงินนอกแพลตฟอร์มเด็ดขาดครับ!