Home Blog Page 80

AIS ZEED 5G จับมือ KBTG มอบสิทธิพิเศษจัดเต็มเพียงเปิดเบอร์ใหม่ และบัญชีออนไลน์ K-eSavings

AIS ZEED 5G เดินหน้านำเสนอประสบการณ์ดิจิทัลผ่านสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ตามความต้องการที่แตกต่างของกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ New Gen ที่มีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ซึ่งมีความสอดคล้องกับเป้าหมายการทำงานกับพาร์ทเนอร์รายล่าสุดอย่างกสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ที่มุ่งเสนอนวัตกรรมทางการเงินให้สอดรับกับการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลของคนรุ่นใหม่ โดยร่วมกันส่งมอบสิทธิพิเศษเอาใจลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทีน เพียงเปิดเบอร์ใหม่กับทุกแพ็กเกจจาก ZEED 5G ไม่ว่าจะเติมเงินหรือรายเดือน พร้อมเปิดบัญชีออนไลน์ K-eSavings ใหม่ ผ่านแอพลิเคชั่น MAKE by KBank จาก KBTG รับสิทธิพิเศษเป็นเงินคืน สำหรับ ZEED Sim ระบบเติมเงิน หรือเน็ต 5G เต็มสปีดเพิ่ม สำหรับ ZEED 5G รายเดือน มูลค่าสูงสุด 100 บาท

นางเบญจพร กำเพ็ชร หัวหน้าสำนักการตลาดกลุ่มลูกค้าพรีเพด AIS กล่าวว่า “ความพิเศษที่ลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ New Gen จะได้รับจากการทำงานร่วมกับ KBTG ในครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ประสบการณ์ดิจิทัลจากการใช้งานบนโครงข่ายที่ดีที่สุดของไทยเท่านั้น แต่ลูกค้ายังจะได้สัมผัสกับบริการทางการเงินกับบัญชีออนไลน์บน MAKE by KBank จาก KBTG รวมถึงยังได้รับสิทธิพิเศษ เป็นเงินคืน สำหรับ ZEED Sim ระบบเติมเงินหรือเน็ตเสริม สำหรับ ZEED 5G รายเดือน มูลค่าสูงสุด 100 บาท ที่เราจัดมาพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ในแคมเปญนี้เท่านั้น โดยเราเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้ช่วยสร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้กับลูกค้า และจะสามารถตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ทั้งการเรียนออนไลน์ ความบันเทิงจากเกม ซีรีย์ และโซเชียลมีเดีย รวมถึงนวัตกรรมบริการทางการเงินทั้งการเปิดบัญชี และตัวช่วยในการบริหารจัดการธุรกรรมทางการเงินที่เข้าใจคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง”

นายเชษฐพันธุ์ ศิริดานุภัทร Managing Director, KBTG กล่าวว่า MAKE by KBank เป็นแอปตัวช่วยจัดการเงินที่มีเป้าหมายในการสร้างวินัยทางการเงินให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้สามารถเก็บและจัดสรรการเงินที่ดียิ่งขึ้น การจับมือกับทาง AIS ในการมอบสิทธิพิเศษนี้จะเป็นการช่วยสร้างการรับรู้และกระตุ้นการใช้งานในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดย KBTG มั่นใจว่าฟีเจอร์ Cloud Pocket สำหรับแบ่งเงินเป็นสัดส่วน รวมถึงประสบการณ์การใช้งานของ MAKE by KBank ที่ง่ายและแตกต่างจากแอปอื่นๆ นั้น จะสามารถตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินที่หลากหลายของกลุ่มผู้ใช้งานวัยรุ่นได้

โดยความร่วมมือครั้งนี้เป็นการมอบสิทธิพิเศษมูลค่า 100 บาท สำหรับลูกค้าที่เปิดเบอร์ใหม่ภายใต้แพ็กเกจ ZEED ทั้งเติมเงินและรายเดือน พร้อมเปิดบัญชี K-eSaving ผ่านแอป MAKE by KBank จาก KBTG โดยมีแพ็กเกจดังนี้

  • แพ็กเกจ ZEED sim ระบบเติมเงิน รับเงินคืนเข้า Wallet 2 มูลค่า 100 บาท พร้อมสัมผัสประสบการณ์ดิจิทัลที่ครบครันสำหรับวัยทีน ฟรีเน็ต 5G สูงสุด 24 GB พร้อมเน็ตไม่อั้น เล่นฟรีครบทุกสาย ทั้งแอปเรียน บันเทิง โซเชียล และเกม
  • แพ็กเกจ ZEED 5G รายเดือน 299 บาท ขึ้นไป รับเน็ต 10 GB มูลค่า 100 บาท สำหรับกลุ่มวัยทีน อายุ 17-24 ปี แพ็กเกจเหมาะสมกับการเรียน เล่นโซเชียลได้เต็มที่ เพราะมีเน็ต 5G เร็ว แรง พร้อมเน็ตไม่อั้น ราคาคุ้มค่าเริ่มต้นเพียงเดือนละ 299 บาท /เดือน
  • KIDDY รายเดือน 199 บาท รับเน็ต 10 GB มูลค่า 100 บาท รับเน็ตไม่อั้น พร้อมโทร AIS ฟรี 5 เบอร์ คุ้มครองลูกหลานให้ปลอดภัยบนโลกออนไลน์ด้วย Google Family Link แอปสำหรับผู้ปกครองช่วยดูแลลูกหลานบนโลกออนไลน์

สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.ais.th/zeed/

เปิดสูตรโตไม่หยุด…ฉุดไม่อยู่ “แป้งระงับกลิ่น เต่าเหยียบโลก-ชานมไข่มุก นิชิ”

เชื่อมั่นในแบรนด์-ออกโปรดักท์ตื่นเต้น-มีสตอรี่ที่มา สร้างชื่อสุดปังในเซเว่นฯ

สำหรับ SME แล้ว การนำสินค้าเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) จึงได้จับมือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ เดินหน้าจัดกิจกรรม DIPROM MOVE TO MODERN TRADE ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หลังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในปีแรก เพื่อปั้นผู้ประกอบการ SME ศักยภาพเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด พร้อมสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

ทั้งนี้ ภายในงานเปิดตัวกิจกรรมได้เชิญผู้ประกอบการจาก 2 แบรนด์ดังที่มีความต่างของสินค้ากันอย่างสุดขั้วมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ พร้อมเปิดสูตรความสำเร็จ แบรนด์หนึ่งถือเป็นน้องใหม่ในตลาดที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งแรก โดยมีการนำความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาสินค้าและสร้างชื่อจนฮอตฮิตติด Top Chart เซเว่นฯไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับเครื่องดื่มชานมไข่มุก “นิชิ” (NICHI) ส่วนอีกแบรนด์ได้ชื่อว่าเป็นสินค้าที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 27 ปี แต่แรงยังดีไม่มีตก ด้วยยอดขายปี 2565 กว่า 100 ล้านบาท นั่นก็คือ แป้งระงับกลิ่นกายธรรมชาติ “เต่าเหยียบโลก”

“นิชิ” จับตาพฤติกรรม 3T ผลิตสินค้าให้ตอบโจทย์

ปัจจุบัน ชานมไข่มุก กลายเป็นเครื่องดื่มที่ผู้บริโภคมีความต้องการอย่างมาก ส่งผลให้ตลาดมีการแข่งขันสูง ผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างอัดกลยุทธ์ดึงกำลังซื้อ ขณะที่ผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กก็ต้องหาช่องว่างทางการตลาด เพื่อสร้าง แบรนด์และสินค้าให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก แต่สำหรับเครื่องดื่มชานมไข่มุก “นิชิ” สามารถสร้างแบรนด์และสินค้าให้เป็นที่รู้จักได้ในเวลาไม่นาน

แคร์-ณัฐรดา ศิริสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คุริโตะ ฟูดส์ จำกัด เจ้าของชานมไข่มุก แบรนด์ นิชิ เล่าให้ฟังว่า เริ่มนำสินค้าเข้าตลาดโมเดิร์นเทรดในปี 2565 โดยเข้าที่เซเว่นฯ เป็นที่แรก เพราะมองว่า สินค้ามีคุณภาพ แต่ราคาไม่สูง กลุ่มลูกค้าหลักคือคนรุ่นใหม่วัยทำงาน ที่ชื่นชอบความสะดวกและรักสุขภาพ ซึ่งเซเว่นฯ เป็นช่องทางจำหน่ายที่ตอบโจทย์ที่สุด และมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำให้สินค้าเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่าย จึงเข้าไปขอรับคำปรึกษาจากทีมงานของเซเว่นฯ ซึ่งได้รับคำแนะนำที่ดีมาโดยตลอด และได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม DIPROM MOVE TO MODERN TRADE ในครั้งแรก ทำให้ได้นำความรู้ที่ได้รับกลับมาพัฒนาสินค้า โดยปรับแพ็กเก็จจิ้งให้มีความแข็งแรงและโดดเด่นสะดุดตา เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจ

นอกจากนี้ยังต้องศึกษาการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในปีนี้คือ พฤติกรรม 3Tได้แก่ 1.Trust ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องของภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และดีไซน์ มากขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของคุณภาพเท่านั้น 2.Try ผู้บริโภคชอบทดลองสิ่งใหม่ ผู้ประกอบการควรออกสินค้าใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อสร้างความน่าสนใจ น่าตื่นเต้นให้กับแบรนด์ และ 3.Trace ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับที่มาที่ไปของสินค้า ข้อมูลโดยละเอียดของสินค้ากลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้บริโภคสนใจอยากรู้ เช่น วัตถุดิบ กรรมวิธีการผลิต ไปจนถึงข้อมูลการขนส่งไปจนถึงมือลูกค้า ซึ่งทางเราเองก็นำพฤติกรรมเหล่านี้มาช่วยในการพัฒนาสินค้า ทำให้แบรนด์และสินค้าเป็นที่รู้จักในเวลาอันรวดเร็ว

“เต่าเหยียบโลก” รีแบรนด์ครั้งใหญ่ ปรับแพ็กเก็จจิ้ง ดันยอดขายพุ่ง

เมื่อเอ่ยชื่อ “เต่าเหยียบโลก” สาย Content Online ต้องรู้จักเป็นอย่างดี เพราะโด่งดังมาจากโลกโซเซียล นพวิทย์ จันทิพย์วงษ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ไทย เฮิร์บ เอนเตอร์ไพรซ์ จำกัด ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายแป้งระงับกลิ่นกายธรรมชาติ “เต่าเหยียบโลก” เล่าย้อนความให้ฟังว่า เดิมทำการตลาดผ่านช่องทางค้าปลีกแบบส่งตรงถึงมือผู้บริโภค กระทั่งลูกค้าที่ได้ใช้นำไปพูดถึงในโลกโซเซียล ทำให้มีความต้องการสินค้าจำนวนมาก ซึ่งช่องทางจำหน่ายที่จะช่วยกระจายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคได้เร็วที่สุดคือ โมเดิร์นเทรด และ เซเว่นฯ ก็ตอบโจทย์ดังกล่าว จากเดิมยอดขายอยู่ที่ปีละ 2-3 ล้านบาท พอได้เข้ามาจำหน่ายที่เซเว่นฯ ยอดขายพุ่งสูงขึ้นเกือบเท่าตัวเป็น 5 ล้านบาท และเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง

กระทั่งเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผู้บริโภคอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้ไม่ค่อยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ส่งผลให้ยอดขายลดลง โดยในปี 2564 มียอดขาย 85 ล้านบาท ทำให้ตัดสินใจรีแบรนด์และปรับโฉมแพ็กเก็จจิ้งใหม่ให้มีความทันสมัย โดยออกแบบให้ฝาติดกับขวดเพราะจากเดิมฝากับขวดจะแยกกัน รูปทรงบรรจุภัณฑ์เป็นทรงมน พร้อมปั๊มชื่อแบรนด์ลายนูนบนขวด เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า เพิ่มสีสันและกลิ่นใหม่ ๆ รวมทั้งมีสินค้าในรูปแบบรีฟิล เพื่อตอบโจทย์กระแสรักษ์โลก ลดขยะ ควบคู่กับการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก

“หลังการรีแบรนด์และปรับเปลี่ยนแพ็กเก็จจิ้ง ทำให้ในปี 2565 บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 116 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากช่องทางโมเดิร์นเทรดมากกว่า 70% แสดงให้เห็นว่า โมเดิร์นเทรด เป็นตลาดที่สำคัญมาก ที่จะช่วยให้ธุรกิจมีการเติบโต รวมทั้งบริษัทไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเองอยู่สมอ โดยต้องพัฒนาบนพื้นฐานความต้องการของตลาดเป็นสำคัญ อย่าคิดว่าสินค้าที่อยู่มานานในตลาดจะไม่สามารถโตได้ ขอเพียงแค่อย่าหยุดที่จะก้าวต่อไป โดยยังคงต้องรักษาสิ่งที่ดีเอาไว้”

ตลาดโมเดิร์นเทรด ถือเป็นช่องทางการตลาดที่สำคัญของธุรกิจ SME ที่ผู้ประกอบการเลี่ยงไม่ได้ หากต้องการที่จะสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต สำหรับผู้ประกอบการSME ที่ต้องการคำแนะนำในการเข้าตลาดโมเดิร์นเทรด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนที่เปิดให้บริการ หรือที่ ศูนย์ 7 สนับสนุน SME โทร. 02-826-7750ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-17.00 น. Email : 7smeinfo@cpall.co.th

รู้เก็บรู้ออม : SET e–Learning ยกทัพความรู้

สัปดาห์นี้ “คุณนายพารวย” มีข่าวดีสำหรับน้องๆ นักเรียนนักศึกษาที่กู้ยืมเงินของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ตอนนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมและสนับสนุนการให้ความรู้กับประชาชนในการออมและการลงทุน ได้ร่วมกับ กยศ. เดินหน้าส่งเสริมความรู้ทางการเงินแบบต่อเนื่องให้กับผู้กู้ยืม กยศ.

โดยยกทัพความรู้จัดเต็มหลักสูตรการเรียนออนไลน์ผ่าน SET e-Learning รวม 51 หลักสูตร และในปี 2566 ได้เพิ่มอีก 16 หลักสูตรใหม่ ครอบคลุมความรู้ด้านการวางแผนการเงิน การลงทุน และด้านการเป็นผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็น “หลักสูตรวัย 20+ : เริ่มต้นดี…ชีวิตไม่มีติดลบ”, “หลักสูตรวัยรุ่นแบบ “ของมันต้องมี” ไม่สร้างหนี้ แถมสร้างตัว”, “หลักสูตรรู้ก่อนเป็นหนี้ จะได้ไม่รู้งี้ทีหลัง” และ “หลักสูตร Creative Content Marketing”

สำหรับ SET e-Learning เป็นหลักสูตรออนไลน์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเงินการลงทุนแบบดิจิทัล ตลอดจนนำเทคโนโลยีมัลติมีเดียมาช่วยถ่ายทอดความรู้ที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาการวางแผนการเงินการลงทุน ที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่นิสิต นักศึกษา ประชาชน และนักลงทุนมือใหม่ที่อยากพัฒนาตัวเองไปสู่นักลงทุนมืออาชีพเพื่อสร้างความมั่งคั่งและอิสรภาพทางการเงินแบบเป็นขั้นเป็นตอน

จุดเด่นของแหล่งเรียนรู้นี้คือ ประกอบไปด้วยหลักสูตรหลากหลาย ครอบคลุมความรู้ ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงขั้นสูง จัดทำบทเรียนอย่างเป็นระบบ แบ่งหลักสูตรเป็นบทเรียนย่อย เข้าใจง่าย แต่ละหลักสูตรมีแบบทดสอบวัดความรู้ก่อนและหลังการเรียน มีระบบติดตามผลการเรียน ติดตามสถานะการเรียนและตรวจสอบผลการทดสอบ และรองรับหลากหลายอุปกรณ์ทั้งคอมพิวเตอร์พีซี, โน้ตบุ๊ก และสมาร์ทโฟน

ปีที่ผ่านมาหลักสูตร SET e–Learning นอกจากจะได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้สนใจทั่วไปแล้ว สำหรับนักเรียนนักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ.เอง พบว่ามียอดผู้เข้าเรียนสะสมตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบันแล้วกว่า 4,016,934 ครั้ง ทำให้คาดหวังได้ว่า ผู้เรียนจะสร้างวินัยทางการเงินและการออม นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และสามารถชำระเงินกู้ยืมคืนกองทุนได้ตามกำหนด

เมื่อนักเรียนนักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ.เรียนจบครบหลักสูตร นอกจากจะได้รับความรู้และประกาศ นียบัตรไว้เป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจแล้ว ยังสามารถนำไปนับชั่วโมงจิตสาธารณะได้ถึง 65 ชั่วโมง และเมื่อทำแบบทดสอบความรู้ทางการเงิน SET Fin Quizz พิชิต Fin Gap เพื่อเช็กระดับความรู้ด้านการเงินและการลงทุน ยังสามารถรับ e-Certificate นอกจากนี้ การเข้าชมพิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน INVESTORY ก็สามารถนับกิจกรรมจิตสาธารณะได้อีก 2 ชั่วโมง

ผู้กู้ยืม กยศ.ลงทะเบียนเข้าเรียนออนไลน์ผ่านระบบกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแบบดิจิทัล (DSL) ได้ทางเว็บไซต์ www.studentloan.or.th หรือแอปพลิเคชัน กยศ. Connect ความรู้ดีๆ รออยู่ตรงหน้าแล้ว อย่ารอช้า!

สำหรับองค์กรอื่นที่สนใจความรู้ทางการเงินกับตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.set.or.th/happymoney

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

รัฐ – เอกชน ชี้ประชานิยมหาเสียงขึ้นค่าแรง ทำศก.พัง

ทุกภาคส่วนมองพรรคการเมืองขายฝันค่าแรงขั้นต่ำ หวั่นศก.พัง ย้ายฐานการผลิต พร้อมให้คำนึงถึงระบบประกันสังคม รัฐยังค้างจ่ายเงิน 5 หมื่นล้าน และไม่พอค่าครองชีพ รวมทั้งคำนึงแรงงานนอกระบบ แรงงานอิสระ สหภาพฯ​ฉะ รัฐต้องเลิกพูดค่าแรงขั้นต่ำ แต่ควรทำเป็นโครงสร้างทั้งระบบเหมือนกันทั้งแรงงานในระบบ—นอกระบบ

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยในงานสัมมนาสาธารณะในประเด็นค่าแรงขั้นต่ำขายฝันแรงงานไทย ของหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลาง ด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ บสก.รุ่นที่ 11 โดยสถาบันอิศราว่า พรรคการเมืองต่างใช้นโยบายประชานิยมในการหาเสียงด้วยการชูประเด็นด้วยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยส่วนตัวเห็นว่าเป็นนโยบายชวนเชื่อทางการตลาด แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งทำได้จริง เพราะการขึ้นค่าจ้างเป็นเรื่องของนายจ้าง เป็นเรื่องของภาคเอกชนที่เป็นผู้จ่าย ไม่ได้ใช้งบประมาณของพรรคการเมือง หรือ งบจากภาครัฐแต่อย่างใด โดยหากค่าจ้างที่สูงขึ้นเกินจากความเป็นจริง จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่ของการอุปโภคบริโภคทั้งหมด และ สุดท้ายภาระจะตกอยู่กับผู้บริโภค ทั้งนี้ ในฐานะนายจ้าง มองว่าค่าจ้างขั้นต่ำของไทยควรจะเป็นค่าจ้างที่ขึ้นเป็นอัตโนมัติ ตามอัตราเงินเฟ้อ และ ต้องไม่มีการเมืองเข้ามาแทรกแซง

“เป้าหมายคือ นายจ้างลูกจ้างต้องอยู่ด้วยกันได้เหมือนปาท่องโก๋ ดังนั้นการขึ้นค่าจ้าง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ ของ องค์กรไตรภาคี ที่ทำกันมาแล้วกว่า 30 ปี การเมืองอย่างเข้ามาแทรกแซงทำลายต้นทุนของชาติ และ ประชาชนชน ก็ต้องรู้เท่าทัน ว่าพรรคการเมืองต่างๆ เค้าใช้การตลาด 100 % เพื่อให้ได้เข้ามาในสภาฯ” นายธนิต กล่าว

นอกจากนี้อยากฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ GEN Z ที่กำลังหางานทำสิ่งที่ต้องมีคือทักษะด้านภาษา โปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐานต้องมี บุคลิกภาพที่ดีแต่งกายที่เหมาะสมมีการเตรียมข้อมูลก่อนการสัมภาษณ์ และสุดท้ายอย่าเลือกงานเพราะแม้ว่าเงินเดือนจะน้อยในตอนต้น แต่ประสบการทำงานจะทำให้เราสามารถเพิ่มค่าตอบแทนในอนาคตได้

นายยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ที่ปรึกษาฝ่ายการวิจัยนโยบายทรัพยากรมนุษย์ TDRI กล่าวถึงนโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง ว่า การหาเสียงด้วยการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ ทำให้ค่าจ้างไม่เป็นไปตามกลไกเศรษฐกิจ และทำให้ต้นทุนสูงการผลิตของประเทศสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อพรรคการเมืองนำค่าจ้างมาเป็นนโยบายในการหาเสียงจะเป็นอันตรายต่อประเทศ เพราะกกต.กำหนดเอาไว้ว่า นโยบายที่พรรคการเมืองใช้หาเสียงเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้วจะต้องทำจริง ซึ่งจะทำให้นายจ้างได้รับผลกระทบ และจากนี้ไปมองว่ารัฐบาลไม่ได้อยู่ยาว เหมือนในอดีต ซึ่งมีความเป็นไปได้ได้ว่านโยบายค่าแรงจะเปลี่ยนทุก 2 ปี

ทั้งนี้ขอฝากไปยังพรรคการเมืองว่า ควรทำให้ค่าจ้างเป็นไปตามกลไก ไตรภาคี เพราะถ้ามีการแทรกแซงจะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง ตลาดแรงงานได้รับผลกระทบ

ด้านนายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า ปัจจุบันค่าแรงไม่เพียงต่อการใช้จ่ายของแรงงาน ดังนั้น ควรมาไปดูที่โครงสร้างมากกว่าการกำหนดเรื่องของตัวเลขอย่างเดียว ควรมาหารือกันว่าค่าจ้างเท่าไหร่ที่แรงงานอยู่ได้ อยู่ได้ปัจจุบันเป็นเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณทุกพรรคที่พยายามเสนอนโยบายค่าแรง แต่ทางปฏิบัติพูดแล้วต้องทำ และต้องทำให้ได้ ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่านโยบายค่าแรงบางยุค ไปไม่ถึงจุดที่หาเสียงเอาไว้

นางสุนทรี หัตถี เซ่งกิ่ง กรรมการสมาคมเครือข่ายแรงงานนอกระบบ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แรงงานนอกระบบ คือ แรงงานที่ไม่ได้อยู่ในภาคการจ้างงานที่เป็นทางการ ปี 2565 คนมีงานทำทั้งสิ้น 39.6 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานนอกระบบ 20.2 ล้านคนซึ่งค่าจ้างขั้นต่ำไม่คุ้มครอง ที่เห็นได้ชัดคือในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 กลุ่มแรงงานนอกระบบเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบ ต้องลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวและปรับตัวอย่างมาก เนื่องจากไม่มีรายได้ประจำ ไม่สามารถที่จะฝันเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำได้ อีกทั้งบางอาชีพของแรงงานนอกระบบขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก ถ้าการท่องเที่ยวยังไม่กลับมาก็ยากที่จะฟื้น แม้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายแต่หลายอาชีพที่เป็นแรงงานนอกระบบก็ยังไม่ได้กลับมาทั้งหมด

“คำถามว่า ค่าแรงขั้นต่ำขายฝันแรงงานไทยหรือไม่ เราอยู่นอกระบบของการคิดค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่ว่าจะประกาศอะไร จะเป็นฝันของใครไม่รู้ แต่ไม่ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ

ดังนั้นสิ่งที่ภาครัฐควรทำคือ การคุ้มครองค่าจ้างขั้นต่ำ ค่าจ้างที่เป็นธรรม ต้องคุ้มครองถึงแรงงานนอกระบบกลุ่มที่มีผู้จ้างงานหรือนายจ้างด้วย และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องประกันรายได้กลุ่มคนเหล่านี้ ต้องมีมาตรการส่งเสริมให้มีรายได้ให้เท่าเทียมกับค่าจ้างขั้นต่ำของแรงงานในระบบ”

บจ. ไทย ปี 2565 เติบโตดี แต่ความสามารถในการทำกำไรถูกกดดันจากต้นทุนการดำเนินงาน

บริษัทจดทะเบียนรายงานผลประกอบการปี 2565 ยอดขายเติบโตดีจากการเปิดประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ อัตรากำไรเติบโตชะลอตัว โดยได้รับผลกระทบจากทั้งต้นทุนการผลิตและต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้น

แมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัท    จดทะเบียน (บจ.) จำนวน 798 บริษัท คิดเป็น 98.6% จากทั้งหมด 809 บริษัท (รวม SET และ mai และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บจ. ในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานงวดปี 2565 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2565 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 619 บริษัท คิดเป็น 77.6% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ผลการดำเนินงานงวดปี 2565 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 17,680,306 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.4% บจ. มีต้นทุนการผลิต 13,916,480 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.8% กำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 1,832,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.4% และมีกำไรสุทธิ 974,759 ล้านบาท ลดลง 1.9% อย่างไรก็ดี ปี 2565 มีรายการพิเศษค่อนข้างสูง หากไม่รวมรายการดังกล่าวจะทำให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นประมาณ 5% สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 31 ธันวาคม 2565 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ระดับ 1.59 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.53 เท่า เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน

อัตราส่วนแสดงความสามารถการทำกำไรปี 2564ปี 2565
อัตรากำไรขั้นต้น23.8%21.3%
อัตรากำไรจากการดำเนินงานหลัก11.6%10.4%
อัตรากำไรสุทธิ7.4%5.5%

“บจ. ในธุรกิจพลังงาน อาหาร บริการ และอสังหาริมทรัพย์มียอดขายดีขึ้น จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง การเปิดประเทศ และมาตรการลดค่าโอนและค่าจดจำนอง อีกทั้งเศรษฐกิจที่ขยายตัวทำให้ธุรกิจธนาคารขยายตัวได้ดีเช่นกัน ทั้งนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวนและต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น ทำให้อัตราการเติบโตของกำไรชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี หลายธุรกิจที่มีกำไรสุทธิลดลง อาทิ ธุรกิจปิโตรเคมี ยางพารา เหล็ก และประกันภัย  แม้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ซึ่งคาดว่านโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ บจ. จะยังมีความท้าทายจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงและการเพิ่มขึ้นของค่าพลังงาน” นายแมนพงศ์กล่าว

ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปี 2565 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 214,691 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.1% มีกำไรจากการดำเนินงาน 12,556 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% และมีกำไรสุทธิ 7,413 ล้านบาท ลดลง 23.0%

ซีพีเอฟ ส่งมอบ ฟาร์มสาธิตเลี้ยงหมู-ไก่ไข่ ให้ม.วลัยลักษณ์ หนุนแหล่งเรียนรู้ครบวงจร

นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานในพิธีมอบ “โครงการฟาร์มสาธิตการเลี้ยงสุกรขุนและไก่ไข่ระบบปิดอัตโนมัติ (Green Farm)” ที่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ สนับสนุนแก่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อยกระดับภาคปศุสัตว์ไทยสู่ 4.0 หนุนศูนย์สมาร์ทฟาร์มของมหาวิทยาลัย และร่วมพัฒนาวิชาการเกษตรสมัยใหม่ ถ่ายทอดสู่นักศึกษา เกษตรกร และผู้สนใจ

นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และซีพีเอฟ ร่วมกันขับเคลื่อนและยกระดับภาคปศุสัตว์ของไทยด้วยนวัตกรรมสู่ยุค 4.0 ด้วยการดำเนินโครงการความร่วมมือทางวิชาการ “โครงการฟาร์มสาธิตการเลี้ยงสุกรขุนและไก่ไข่ระบบปิดอัตโนมัติ (Green Farm)” มาตั้งแต่ปี 2562 เพื่อให้เป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์มาตรฐานสากลภายใต้ระบบปิด (EVAP) เป็นฟาร์มรักษ์โลกที่เป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานฟาร์มสีเขียว หรือกรีนฟาร์ม สำหรับพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ฝึกทักษะภาคปศุสัตว์ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เป็นสถานที่ศึกษาทดลองและวิจัยด้านเทคโนโลยีการเกษตร ของนักศึกษาของสำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร รวมถึงส่งเสริมการพัฒนางานวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้แก่คณาจารย์ ตลอดจนการให้บริการทางวิชาการ พร้อมทั้งพัฒนาฟาร์มให้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาเรียนรู้ที่ทันสมัย ของนักศึกษาซึ่งถือเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่สามารถต่อยอดสู่การเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้แก่ผู้อื่นต่อไป

“โครงการฟาร์มสาธิตฯ ถือเป็นความร่วมมือทางวิชาการและกิจการเพื่อสังคมที่ซีพีเอฟตั้งใจส่งมอบให้กับมหาวิทยาลัย ช่วยผลักดันการพัฒนาทางวิชาการและองค์ความรู้ของมหาวิทยาลัย สู่บุคลากรให้มีทักษะด้านการผลิตเกษตรอุตสาหกรรมแบบครบวงจร โดยบริษัทสนับสนุนงบประมาณ และผู้เชี่ยวชาญร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ ให้กับบุคลากรและนักศึกษา กระทั่งสามารถนำเทคนิควิชาการไปขับเคลื่อนโครงการได้อย่างยั่งยืน” นายสิริพงศ์ กล่าว

นายสมพร เจิมพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ม.วลัยลักษณ์และซีพีเอฟ มีเป้าหมายเดียวกันในการมุ่งพัฒนากำลังคนด้านการเกษตรสมัยใหม่ และพัฒนาภาคเกษตรอุตสาหกรรมของไทย ตลอดระยะเวลาการผนึกกำลังในการดำเนินโครงการฯ มานานกว่า 3 ปี โรงเรือนสาธิตฯสุกรขุนและไก่ไข่ในระบบปิดอัตโนมัติ ภายใต้กระบวนการบริหารจัดการฟาร์มในรูปแบบกรีนฟาร์ม กลายเป็นศูนย์สาธิตและฝึกอบรมด้านปศุสัตว์ให้แก่นักศึกษาที่สามารถเรียนรู้และฝึกปฏิบัติงานในฟาร์ม เป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ที่พวกเขานำไปเป็นพื้นฐานการทำงาน หรือประกอบอาชีพได้ในอนาคต ขณะเดียวกันยังเป็นการสนับสนุนนักศึกษา คณาจารย์ และบุคลากรให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีการเลี้ยงสัตว์ที่ได้รับ สู่ชุมชนและเกษตรกร ผ่านกลไกของศูนย์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้การผลิตสัตว์มีคุณภาพ ปลอดภัยเพื่อผู้บริโภค

ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า ม.วลัยลักษณ์ มุ่งมั่นผลักดัน “ศูนย์สมาร์ทฟาร์ม” เพื่อพัฒนาฟาร์มมหาวิทยาลัยเดิม ให้เป็นการบริหารฟาร์มโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้งด้านพืชสวน พืชไร่ ปศุสัตว์ และประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคปศุสัตว์ ซึ่งมหาวิทยาลัยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากซีพีเอฟ ที่มีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและองค์ความรู้ระดับโลก เข้ามาส่งเสริมและพัฒนาระบบการเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นแหล่งฝึกประสบการณ์แก่นักศึกษา เกษตรกร และผู้สนใจ ให้สามารถนำองค์ความรู้ไปพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพ สามารถลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิต อันเป็นการส่งเสริมความมั่นคงทางอาชีพให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน พร้อมสนับสนุนสู่การเป็นแหล่งค้นคว้า วิจัยพัฒนาที่ยั่งยืนของเกษตรกรชาวนครศรีธรรมราช และภูมิภาคใกล้เคียง อันจะนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของเกษตรกรอย่างแน่นอน

AIS Academy จับมือ สถานทูตแคนาดา สร้างโอกาสเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์ม LearnDi

AIS Academy เดินหน้าผลักดันองค์ความรู้ให้คนไทย สร้างโอกาสให้คนไทยเข้าถึงหลักสูตรการเรียนรู้ที่ทันสมัย เสริมขีดความสามารถและการพัฒนาตัวเองให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก ผ่านโครงข่ายและดิจิทัลเทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อต่อยอด “ภารกิจ คิดเผื่อ เพื่อคนไทย” ล่าสุด ได้ร่วมมือกับ สถานทูตแคนาดาประจำประเทศไทย และ สมาคมวิทยาลัยและสถาบันประเทศแคนาดา หรือ Colleges and Institutes Canada (CICan) นำหลักสูตรการเรียนรู้จากสถาบันชั้นนำของประเทศแคนาดา อาทิ Southern Alberta Institute of Technology (SAIT), McGill University, Athabasca University, Dalhousie University และ Humber College มาผสานกับเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มจากทาง AIS Academy โดย LearnDi ตั้งเป้าเพิ่มโอกาสทางการศึกษาเสมือนการนำโลกไร้พรมแดน ให้คนไทยได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS และ กลุ่มอินทัช กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกได้สร้างผลกระทบต่อทั้งการใช้ชีวิตของผู้คนและกระบวนการทำงานในแง่ของการดำเนินธุรกิจ ทำให้การทำงานของ AIS Academy ยังคงมุ่งมั่นที่จะช่วยเติมเต็มองค์ความรู้ใหม่ๆ ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลายในอุตสาหกรรมการศึกษา เพื่อให้คนไทยมีทักษะความสามารถที่สอดรับกับโลกใหม่ที่วันนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง นั่นจึงเป็นที่มาของการทำงานร่วมกับ สถานทูตแคนาดา และ สมาคมวิทยาลัยและสถาบันประเทศแคนาดา หรือ Colleges and Institutes Canada (CICan) ในครั้งนี้ ที่เราร่วมกันนำเนื้อหาหลักสูตรระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น แนวทางและการรับรองด้านการบริหารโครงการแบบ Agile (Agile Project Management Practice & Certification online), การบัญชีและการเงินสำหรับผู้ไม่มีพื้นฐานด้านบัญชี (Accounting and Finance for Non- Accountants), การเขียนแผนธุรกิจมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Business writing for results), การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Communicating effectively), การจัดการความขัดแย้ง (Conflict Management), การสร้างความสัมพันธ์และเสริมแรงให้กับพนักงาน (Creating Engaged and Motivate Employees) และ ความสัมพันธ์ลูกค้า (Customer Relations)

โดยหลักสูตรเนื้อหาเหล่านี้มาจากสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศแคนาดา จะถูกส่งต่อให้คนไทยได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ด้วยการใช้ขีดความสามารถของ AIS Academy ผ่าน Digital Learning Platform อย่าง LearnDi ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา เสมือนการนำโลกไร้พรมแดนมาสู่คนไทย ให้ได้เรียนรู้และพัฒนาต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด ตามเป้าหมายการทำงานของ AIS Academy ที่คิดเผื่อ เพื่อคนไทยและสังคมมาโดยตลอด”

นายซันจีฟ เชาเดอรีย์, ทูตพาณิชย์, สถานเอกอัครราชทูตแคนาดา กล่าวว่า “ประเทศแคนาดาให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก โดยมาตรฐานการศึกษาของแคนาดาเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ใบปริญญาหรือ certificate ต่างๆจากวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในประเทศแคนาดารับประกันว่าผู้เรียนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับโลก โดยการทำงานร่วมกับ AIS Academy จะช่วยทำให้คนไทยได้เข้าถึงรูปแบบการเรียนการสอนของแคนาดา ซึ่งเราเชื่อว่าผู้สนใจเข้ามาเรียนจะสามารถนำสิ่งที่ได้รับจากเนื้อหาของสถาบันชั้นนำของแคนาดาไปต่อยอดในวิชาชีพการทำงาน และยังเสริมทักษะใหม่ๆ ให้มีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง รวมถึงผู้เรียนจะได้รับ Certificate จากสถาบัน และสามารถนับเป็นหน่วยกิตเพื่อนำไปเรียนต่อที่สถาบันนั้นๆ ในอนาคตได้อีกด้วย”

นางสาวเดนิส แอมโยท, ประธาน Colleges and Institutes Canada (CICan) เสริมว่า “ภูมิทัศน์การศึกษา (education landscape) ระดับอุดมศึกษาของทางแคนาดาซมีทั้ง วิทยาลัย มหาวิทยาลัย และสถาบันเฉพาะทางหลายแห่ง โดยสถาบันหลายแห่งนั้นมีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งสถาบันที่เป็นสมาชิกของ Colleges and Institutes Canada แต่ละแห่งเตรียมความพร้อมผู้เรียนให้ได้รับทักษะและความรู้ที่จำเป็นเพื่อความสำเร็จในอาชีพของผู้เรียน ในฐานะที่อยู่ในวงการการศึกษา สมาคมตั้งตารอที่จะขยายความร่วมมือกับทาง AIS เพื่อมอบโอกาสการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการของคนไทย”

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://learndi.aisacademy.com/

เอกอัครราชทูตฯ เบลเยียม ชื่นชมธุรกิจสัตว์น้ำซีพีเอฟ

เอกอัครราชทูตเบลเยียมชื่นชมเทคโนโลยี และนวัตกรรมพัฒนาธุรกิจสัตว์น้ำ เป็นมิตรสิ่งแวดล้อมของ ซีพีเอฟ และมีดำริสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ-เอกชน กับซีพีเอฟ พัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของประเทศ

นางซีบีย์ เดอ การ์ทีเย ดีฟว์ เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเบลเยียม ประจำประเทศไทย พร้อมด้วยนายปีเตอร์ คริสเตียน ที่ปรึกษาฝ่ายการค้าและการลงทุน สถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเบลเยียม ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ ห้องปฏิบัติการกลาง และห้องปฏิบัติการชุดตรวจระดับโมเลกุล ของธุรกิจสัตว์น้ำบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดยมี นายเปรมศักดิ์ วนัชสุนทร ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ดร. หมิง แดง เฉิน ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์น้ำ และนางอนุตรา บุญนัด ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสุขภาพสัตว์น้ำ พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมต้อนรับ

ในโอกาสนี้ ท่านเอกอัครราชทูตฯ แสดงความชื่นชมที่ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนา และนำเทคโนโลยี นวัตกรรมทันสมัย ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มาเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนา ทั้งอาหารสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สุขภาพสัตว์น้ำ และได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีฯ ให้เกษตรกร เพื่อให้มีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างความยั่งยืนในการประกอบอาชีพฯ นำมาซึ่งความยั่งยืนของอุตสาหกรรมฯ ตลอดสายห่วงโซ่การผลิต พร้อมกับมีดำริในการสร้างความร่วมมือ ระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน ของราชอาณาจักรเบลเยียม กับซีพีเอฟ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของประเทศให้ดียิ่งขึ้น

เมืองไทยประกันชีวิต เปิดตัวแอปฯ “MTL Fit” เปลี่ยนสุขภาพดีเป็นส่วนลดค่าเบี้ยประกัน

เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าตอบโจทย์คนรักสุขภาพต่อเนื่อง ชูแอปพลิเคชัน “MTL Fit” ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์ม  สร้าง Wellness Society ครบวงจร เปิดตัว MTL Fit Rewards เปลี่ยนสุขภาพดีเป็นส่วนลด ค่าเบี้ยประกันภัย หนุนสร้างสังคมสุขภาพดีอย่างยั่งยืน พร้อม Feature ใหม่ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ผนึกกำลัง Wellness Ecosystem Partner เติมเต็มรอบด้าน

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิตจำกัด (มหาชน) (MTL) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าพัฒนา “MTL Fit” แอปพลิเคชัน โดยเตรียมเปิดตัววััันที่ 18 เม.ย. 66

MTL Fit เป็นแอปฯ ด้านสุขภาพที่จะช่วยให้เข้าใจสุขภาพตัวเองได้ดียิ่งขึ้น สู่การเป็นไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์มที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เข้าใจทุกการดูแลสุขภาพในแบบคุณ ช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่อง “ง่าย” และ “สนุก” มากยิ่งขึ้น  เพื่อสร้างสังคมแห่งการดูแลสุขภาพที่ครบวงจร (Wellness Society) และยั่งยืนแก่ลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต และบุคคลทั่วไป

พร้อมยกระดับนวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพครบวงจรด้วยการเพิ่ม Feature ใหม่ ให้ครบถ้วนมากยิ่งขึ้นด้วยการ จับมือกับ Wellness Ecosystem Partner หลากหลายวงการ อาทิ FitSloth ที่ให้คุณตั้งเป้าหมายและบันทึกการรับประทานอาหาร เพื่อช่วยควบคุมแคลอรีที่เหมาะสมให้คุณในแต่ละวัน สนุกกับการค้นหาร้านอาหารโปรด พร้อมบันทึกการรับประทานอาหาร อัปเดตน้ำหนักและติดตามความเปลี่ยนแปลงสุขภาพของคุณได้อย่างใกล้ชิด  

และ บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวโครงการ “MTL Fit Rewards” เพื่อมอบส่วนลดเบี้ยประกันภัยจากการดูแลสุขภาพ (Dynamic Pricing) ให้กับลูกค้าปัจจุบันของเมืองไทยประกันชีวิต โดยจะคำนวณส่วนลดจากการส่งผลตรวจสุขภาพ จำนวนก้าวเดิน ระยะเวลาในการออกกำลังกาย รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษต่างๆ เพื่อสะสมคะแนน MTL Fit Rewards และนำมาใช้เป็นส่วนลดเบี้ยประกันภัยในปีต่ออายุ สูงสุด 15% (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด) โดยมีแบบประกันหลากหลายรูปแบบที่เข้าร่วมโครงการในระยะเริ่มต้น อาทิ สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ดี เฮลท์ พลัส สัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง ดี แคร์ สัญญาเพิ่มเติม แคร์ พลัส และ สัญญาเพิ่มเติม ซีไอ เพอร์เฟค แคร์ เป็นต้น และในอนาคตทางบริษัทฯ มีแผนที่จะเพิ่มสิทธิประโยชน์ ในการแลกของรางวัลอื่น ๆ รวมถึงเพิ่มแบบประกันภัยใหม่ ๆ เข้ามาในโครงการ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าให้มากขึ้นอีกด้วย

MTL Fit ยังถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเชื่อมต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมและทำให้ทุกคนได้สนุกกับการดูแลสุขภาพ ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ทีมชาเลนท์ให้คุณจับกลุ่มกับเพื่อนเพื่อโชว์คะแนนแข่งกันให้สนุก ไม่ต้องเหงาออกกำลังกายคนเดียวอีกต่อไป กิจกรรมด้านกีฬา อย่าง MTL Fit City Run ที่ผู้เข้าร่วมสามารถดาวน์โหลดภาพถ่ายกิจกรรมได้จากแอปพลิเคชัน MTL Fit ได้ง่าย ๆ  และ The Stadium Wellness Community Hub ซึ่งเป็นพื้นที่พบปะและทำกิจกรรมสำหรับทุก ๆ คนที่มี Healthy Lifestyle

ผู้สนใจ สามารถดาวน์โหลดแอปฯ MTL Fit ฟรี ทั้ง ระบบปฏิบัติการ iOS และ Android จากนั้นเข้าใช้งานครั้งแรกด้วย 4 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ 1.เลือกเริ่มต้นการใช้งาน 2.กรอกข้อมูลสุขภาพของคุณ 3.“เชื่อมต่อข้อมูลกรมธรรม์” ของคุณ หากไม่มีกด “ข้าม” และ 4. สร้างบัญชีผู้ใช้งานโดยกรอกชื่อผู้ใช้งาน เบอร์โทรศัพท์มือถือ พร้อมตั้งรหัสผ่าน (สำหรับการใช้งาน)  ยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTP จากนั้นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่คุณต้องการใช้งาน  เช่น Fitbit Garmin Connect และ Apple Health เป็นต้น

ซีพีเอฟ​ พลิกแปลงเกษตรในโรงเรียน สู่ Smart Farming​ หนุนใช้เทคโนโลยีจุดประกายคนรุ่นใหม่

พื้นที่แปลงเกษตร แปลงปลูกผักสวนครัว และโรงเพาะเห็ดในโรงเรียน ถูกยกระดับด้วยการนำเทคโนโลยีและ IoTมาใช้ สู่ Smart Farming สร้าง”อัจฉริยะยุวเกษตร” บนเส้นทางการทำเกษตร ยุค 4.0

เมื่อเร็วๆนี้ น้องๆ ของโรงเรียนในโครงการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ มีโอกาสได้เรียนรู้การนำIoT (Internet of Things)มาประยุกต์ใช้กับโครงการด้านการเกษตรของโรงเรียน ผ่านการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ”โครงการอัจฉริยะยุวเกษตร” ซึ่งบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เชิญวิทยากรจากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้าน IoTมาให้ความรู้กับ นักเรียน คุณครู และผู้อำนวยการโรงเรียนของโรงเรียนบ้านชีลองเหนือ โรงเรียนบ้านโนนสำราญวิทยา และโรงเรียนบ้านซำมูลนาก ซึ่งเป็นรร.ในโครงการ CONNEXT ED รวมทั้งโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ (สพป.ชัยภูมิ) รวมทั้งหมด 24 โรงเรียน ที่เข้าร่วมอบรมในครั้งนี้

รร.บ้านชีลองเหนือ รร.บ้านโนนสำราญวิทยา และรร.บ้านซำมูลนาก เป็นโรงเรียนในโครงการ CONNEXT ED ที่ซีพีเอฟดูแลและได้รับงบประมาณสนับสนุนทำโครงการด้านการเกษตร อาทิ รร.บ้านชีลองเหนือ ทำโครงการ “ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ (CLN Smart Hydroponics)”รร.บ้านโนนสำราญวิทยา ทำโครงการ “MushRoom House By N.W.School” และโรงเรียนบ้านซำมูลนาก ทำโครงการ”ยุวเกษตรเห็ดอินทรีย์วิถีชีวิตใหม่ ” โดยทั้ง 3 โรงเรียนดำเนินโครงการด้านการเกษตร และมองเห็นโอกาสของการขยายโครงการให้มีความยั่งยืน ด้วยการนำเทคโนโลยี IoTต่อยอดสู่การเป็น “อัจฉริยะยุวเกษตร”

นางสาวมาริสา มอไธสง ผู้อำนวยการ รร.บ้านชีลองเหนือ กล่าวว่า โรงเรียนฯได้รับงบประมาณจากซีพีเอฟทำโครงการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ และได้เข้าร่วมกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ “โครงการอัจฉริยะยุวเกษตร”ให้กับคุณครู นักเรียน และผู้บริหารของโรงเรียน ทำให้เห็นความสำคัญของการทำการเกษตรในปัจจุบัน ที่ต้องพึ่งพา IoT ที่ช่วยให้การทำเกษตรเป็นเรื่องง่ายและสะดวก ขอขอบคุณมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์ อีดี และซีพีเอฟ ที่ให้โอกาสโรงเรียนในชนบท ได้เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ต่อ

นอกจากโรงเรียนฯ มีแผนนำระบบ Smart IoT มาช่วยพัฒนาผู้เรียน และทำระบบ IoTไปใช้ในครัวเรือนของชุมชนแล้ว ยังได้ถ่ายทอดความรู้ให้เด็กๆ เรียนรู้การทำแผนการตลาดเพื่อวางแผนการจำหน่ายผลผลิต สำรวจตลาดบริเวณใกล้เคียงโรงเรียน เช่น ตลาดนัดบ้านห้วยต้อน ตลาดนัดช่อระกา สถานีอนามัยต.ห้วยต้อน เพื่อเป็นข้อมูลในการเลือกประเภทของผักที่จะปลูก อาทิ กรีนโอ้ค เรดโอ้ค ผักกาดหอม ผักคะน้า ผักบุ้ง ตามความต้องการของตลาด พร้อมทั้งทำเพจประชาสัมพันธ์เพื่อสื่อสารไปยังคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชน

นายสุพล พรมมานอก ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านซำมูลนาก กล่าวว่า การที่เด็กๆ มีโอกาสได้เรียนรู้ในการนำ IoTมาใช้ ช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดมุมมองใหม่ๆในการนำเทคโนโลยีมาใช้กับการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน เด็กฯ หันหลังให้กับอาชีพการเกษตร แต่เมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้มีความสะดวกมากขึ้น เป็นการจุดประกายให้เด็ก ๆ กลับมาให้ความสนใจการทำเกษตร ซึ่งปัจจุบันโรงเรียนบ้านซำมูลนาก ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากซีพีเอฟดำเนินโครงการโรงเพาะเห็ด พร้อมทั้งเข้ามาวางระบบควบคุมการเปิดและปิดน้ำภายในโรงเพาะ โดยใช้เซ็นเซอร์กำหนดเวลา อาทิ ทุกๆ1ชั่วโมงระบบจะเปิดฉีดน้ำ 5นาที แต่ระบบในขณะนี้ยังไม่สัมพันธ์กับปัจจัยความชื้นและอุณหภูมิ ซึ่งหากมีการประยุกต์ IoT เข้ามาควบคุมด้วย เป็นการสร้างตัวควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือนได้โดยอัตโนมัติ เช่น การสั่งการความถี่ของการพ่นน้ำในโรงเรือนเพาะเห็ดได้ดีขึ้น

นายไชโย กล้ารมราน ผู้อำนวยการโรงเรียนโนนสำราญวิทยา รับผิดชอบโครงการ MushRoom House BY N.W. School กล่าวว่า การอบรม “โครงการอัจฉริยะยุวเกษตร” ทำให้นักเรียนมีโอกาสได้รู้จักกับ IoT ส่งเสริมให้เกิดมุมมองใหม่ๆในการนำเทคโนโลยีมาใช้กับการเกษตร ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่ออาชีพเกษตรกรรม สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้มีความสะดวกมากขึ้นในการดูแลโรงเห็ด มีการควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือนได้โดยอัตโนมัติ ผู้เรียนได้เรียนรู้ เกิดความสนุกสนาน และนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์

ด้านนายศานิตย์ สุวรรณวงศ์ อาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้การประยุกต์ใช้ IoTผ่านการเขียนโปรแกรมบนแพลตฟอร์มอาร์ดุยโน่ (Arduino)ใน”โครงการอัจฉริยะยุวเกษตร” กล่าวว่า เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้เด็กๆได้เรียนรู้และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้เพื่อสั่งการระบบอัตโนมัติในโครงการด้านการเกษตรของโรงเรียน กระตุ้นให้เด็กนักเรียนเกิดความกระตือรือร้น อย่างไรก็ตาม การไปสู่ผลสัมฤทธิ์ต้องได้รับการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือมีผู้ที่เข้ามาสนับสนุนให้สามารถทำโครงการได้อย่างต่อเนื่อง

“โครงการอัจฉริยะยุวเกษตร” เป็นหนึ่งในโครงการที่ซีพีเอฟส่งเสริมด้านวิชาการและอาชีพให้กับเด็กนักเรียน เพื่อขับเคลื่อนแผนยกระดับคุณภาพการศึกษาของไทย ตามเป้าหมายของโครงการ CONNEXT ED ในการสร้างเด็กดีและเด็กเก่ง โดยมีโรงเรียนเป็นแหล่งที่ให้ความรู้ทั้งด้านวิชาการและการฝึกลงมือปฎิบัติจริง สามารถขยายผลสู่การเป็นศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบของชุมชนในการพัฒนาอาชีพ และสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้สู่โรงเรียนข้างเคียงต่อไปได้