Home Blog Page 79

AIS ผนึก GC ร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามแนวคิด ESG

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อตวามร่วมมือที่จะสร้างต้นแบบองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ตั้งแต่การนำโครงข่ายอัจฉริยะ ด้วยระบบ IoT และ 5G โซลูชัน มาเพิ่มขีดความสามารถยกระดับกระบวนการทำงานเพื่อประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สู่การเป็น Smart Operations และโรงงานอัจฉริยะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่การการแบ่งปันองค์ความรู้การบริหารจัดการขยะทั้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ และพลาสติกใช้แล้วผ่านแพลตฟอร์มที่จะทำให้การสร้างการตระหนักรู้กับผู้บริโภค รวมถึงกระบวนการจัดการขยะมีประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในอนาคต

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า AIS มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้มีความแข็งแกร่งด้วยการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอนวัตกรรมการสื่อสารและบริการดิจิทัลใหม่ๆ ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น สามารถใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย ควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าทั้งในด้านการนำดิจิทัลขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างการเข้าถึงดิจิทัลให้ทุกคนในสังคม พร้อมดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประกอบกับการที่ AIS เรามีความเชื่อในเรื่องของการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ ทำให้วันนี้ AIS ยังคงสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นกับทุกภาคส่วน ภายใต้การทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์โดยมุ่งใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาสร้างประโยชน์ในด้านต่างๆ ให้แก่คนไทยและประเทศ

ทั้งนี้ ความร่วมมือ GC ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากลและมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ด้วยการใช้ศักยภาพของ Digital Infrastructure หรือโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีที่มีความแข็งแรง มาขับเคลื่อนแผนการดำเนินธุรกิจด้านความยั่งยืนในแกนด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งในเรื่องของการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี IoT&5G Solutions มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจของ GC Group อาทิ โซลูชันที่ช่วยบริการจัดการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยคาร์บอน โดยใช้ข้อมูลแบบ Real-time จากอุปกรณ์ IoT เพื่อให้สามารถตัดสินใจวางแผนการทำงานและกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกเหนือจากนี้เรายังพัฒนาความร่วมมือในการบริหารจัดการวัสดุใช้แล้ว หรือแม้แต่ขยะทั้ง E-Waste และ พลาสติกใช้แล้วด้วยเครื่องมือด้านดิจิทัลแพลตฟอร์ม ผ่านกิจกรรมที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคอย่าง Green University ทิ้งเทิร์นให้โลกจำ ที่กำลังดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเราเชื่อว่าความร่วมมือกับ GC ในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญที่จะต่อยอดแนวทางการดำเนินเพื่อความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมของทั้งสององค์กรให้เห็นผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ GC กล่าวว่า GC มุ่งดำเนินธุรกิจอย่างสมดุล ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลที่ดี (ESG) มาอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่ Low Carbon & High Value Business เพื่อสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจอย่างแท้จริง พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน วันนี้ GC จับมือกับ AIS เพื่อนำจุดแข็งจากทั้ง 2 องค์กร มาร่วมกันต่อยอดธุรกิจและพัฒนาด้านความยั่งยืน ภายใต้การศึกษาการดำเนินงานร่วมกันในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สำหรับด้านการบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วแบบครบวงจร GC มี YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม ที่สามารถช่วยส่งเสริมการสร้างความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการวัสดุใช้แล้วอย่างถูกวิธีผ่านแคมเปญความร่วมมือในการบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วและขยะอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังร่วมกันสนับสนุนและส่งเสริมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์รีไซเคิลและสินค้าอัพไซคลิ่งผ่านช่องทาง Online Platform เพื่อขยายผล สร้างการรับรู้สู่สังคมวงกว้าง สร้างความตระหนักรู้ พร้อมกระตุ้นจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมแก่ประชาชนในการคัดแยกและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขยะประเภทต่างๆ อีกด้วย

การจับมือกันในครั้งนี้ จะทำให้ทั้ง 2 บริษัทฯ สามารถร่วมกันพัฒนาต่อยอดธุรกิจ ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม ในฐานะ Good Corporate Citizen เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนต่อไป

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดชื่อ บจ. ผ่านเกณฑ์เบื้องต้น เข้าชิงรางวัล SET Awards 2566

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร เตรียมจัดงาน SET Awards ซึ่งจะครบรอบ 20 ปี ในปี 2566 พร้อมประกาศรายชื่อ 721 บริษัทจดทะเบียนที่ผ่านเกณฑ์คัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้น ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาและมอบรางวัลในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 โดยปีนี้ได้เพิ่มรางวัล Supply Chain Management Awards สำหรับกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการธุรกิจอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับวารสารการเงินธนาคารจัดงาน SET Awards เพื่อยกย่องบริษัทที่มีความโดดเด่นเป็นองค์กรต้นแบบในตลาดทุนทั้งด้านการดำเนินงานและด้านคุณภาพ สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพตลาดทุนไทย ควบคู่การขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ตลาดหลักทรัพย์ฯ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” โดยในปี 2566 มี บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ผ่านเกณฑ์คัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นทั้งสิ้น 721 บริษัท ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณา ประกาศผลและมอบรางวัล SET Awards ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566

ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

“ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา รางวัล SET Awards นับเป็นกลไกสำคัญในการวางรากฐานและยกระดับมาตรฐานความเป็นเลิศของตลาดทุนไทย จนเป็นที่ยอมรับในแวดวงตลาดทุนไทยและสร้างความภาคภูมิใจแก่ผู้ที่ได้รับรางวัล ซึ่งในปีนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มรางวัลสำหรับกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence คือรางวัล Supply Chain Management Awards โดยจะมอบให้แก่ บจ. ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นประเด็นความท้าทายที่มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” นายภากรกล่าว

นายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานบรรณาธิการ วารสารการเงินธนาคาร ผู้ร่วมจัดงาน SET Awards และคณะทำงานผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อพิจารณาตัดสินรางวัล SET Awards กล่าวว่า การมอบรางวัล SET Awards ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2566 ถือเป็นการจัดงานเป็นปีที่ 20 คณะทำงานฯ จะมีการประชาสัมพันธ์ตอกย้ำถึงความสำเร็จของผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน ทั้ง บริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีความโดดเด่นในด้านต่างๆ และได้รับรางวัล SET Awards ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

รางวัล SET Awards แบ่งเป็น 2 กลุ่มรางวัล ได้แก่ 1) กลุ่มรางวัล Business Excellence มอบให้แก่ บริษัทจดทะเบียน ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินและทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และ 2) กลุ่มรางวัล Sustainability Excellence ซึ่งมอบให้แก่ บจ. ที่มีการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างโดดเด่น ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มรางวัลมีสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (SASIN) เป็นผู้ทำการประมวลผลรางวัล

นอกจากนี้ ทั้งกลุ่มรางวัล Business Excellence และกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence ยังมีรางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จ หรือ SET Awards of Honor สำหรับบริษัทหรือบุคคลที่สามารถรักษาความโดดเด่นในด้านต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเกณฑ์พิจารณารางวัล SET Awards และรายชื่อ บจ. ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นได้ที่ www.set.or.th/setawards สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มรางวัล Business Excellence ติดต่อฝ่ายผู้ออกหลักทรัพย์ 0 2009 9768 และกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence ติดต่อฝ่ายพัฒนาการลงทุนอย่างยั่งยืน 0 2009 9886

AIS ประกาศศักยภาพ ทำความเร็วทะลุ 3Gbps บนคลื่น 26 GHz ผ่านสมาร์ทโฟนระดับโลก

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS กล่าวว่า “จากเป้าหมายการเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co เพื่อสร้างความเจริญให้แก่ประเทศ AIS จึงเดินหน้าพัฒนาขีดความสามารถของโครงข่ายที่มีในมือให้มีความพร้อม ด้วยงบลงทุนในปีนี้กว่า 27,000 – 30,000 ล้านบาท ทั้งนี้ในฐานะผู้ได้รับใบอนุญาตถือครองคลื่นความถี่มากที่สุดและครบทั้งย่านความถี่ต่ำ (Low Band) ย่านความถี่กลาง (Mid Band) และ ย่านความถี่สูง (High Band) หรือ mmWave ซึ่งโดดเด่นในด้านการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็วและความหน่วงต่ำ เราจึงไม่เคยหยุดยั้งในการนำนวัตกรรมเข้ามายกระดับเครือข่ายทุกย่านอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ 5G NSA/ SA, VoNR, 5G CA หรือ NRDC เป็นต้น เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ให้แก่คนไทย ตามความตั้งใจตั้งแต่การเข้าร่วมประมูลคลื่น”

“ดังนั้น เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า เครือข่าย AIS 5G จะพร้อมตอบสนองและมอบสุดยอดประสบการณ์ การใช้งานของ Smart Device ต่างๆ ที่ทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องทั่วโลกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเครื่องที่รองรับเทคโนโลยี 5G mmWave ล่าสุดจึงร่วมมืออีกครั้งกับ Qualcomm Technologies Inc., ผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก หลังจากประสบความสำเร็จจากการทดลอง ทดสอบ NRDC (New Radio Dual Connectivity) บนคลื่นความถี่ 2.6GHz (2600MHz) และ 26GHz ในปีที่ผ่านมาบนอุปกรณ์ต้นแบบ โดยวันนี้เครือข่าย AIS 5G mmWave บนคลื่นความถี่ย่าน 26 GHz สามารถรองรับการใช้งานของ Smart Phone ระดับโลกที่ใช้ชิปเซ็ตของ Qualcomm Technologies ได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 3 Gbps ครั้งแรกในเมืองไทย”

นายวสิษฐ์ กล่าวต่อไปว่า “การทำงานร่วมกันกับ Qualcomm Technologies ในครั้งนี้ ส่งผลต่อการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้บริโภคและการใช้งานของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต อาทิ การสตรีมเกมส์ออนไลน์ (Cloud Game) การควบคุมรถยนต์ไร้คนขับ ตลอดจนการบังคับหุ่นยนต์ระยะไกลที่ทำได้อย่าง real time มากไปกว่านั้นการทดสอบนี้ยังสามารถรองรับการพัฒนาของชิปเซ็ตมือถือรุ่นใหม่ๆ ในอนาคตที่จะทำให้การรับส่งข้อมูลเชื่อมต่อได้รวดเร็วอีกด้วย”

ด้าน นายเอส ที เลียว, รองประธาน, ควอลคอมม์ ซีดีเอ็มเอ เทคโนโลยี เอเชีย-แปซิฟิก จำกัด และ ประธาน, ควอลคอมม์ ไต้หวัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการปรับใช้ 5G mmWave ในประเทศไทย ที่ Qualcomm Technologies เชื่อว่า 5G mmWave จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของ 5G อย่างเต็มที่ ความเป็นไปได้นั้นไม่มีที่สิ้นสุดและเราภูมิใจที่ได้ก้าวแรกร่วมกับพันธมิตรหลักของเราในการนำประโยชน์ทั้งหมดของ 5G mmWave มาสู่ประเทศไทย”

“ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ว่า AIS มุ่งมั่นที่จะนำคลื่นความถี่ที่เป็นทรัพยากรของประเทศ มาพัฒนาเพื่อสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจในมิติต่างๆ รวมถึงประโยชน์แก่ผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือในครั้งนี้เรามี Qualcomm Technologies ผู้พัฒนาชิปเซ็ตระดับโลก มาร่วมอยู่ในการทำสอบ จึงทำให้มั่นใจได้ว่า เครือข่าย AIS 5G จะพร้อมตอบสนองและสนับสนุนการใช้งานของดีไวซ์ต่างๆ ที่รองรับเทคโนโลยี 5G mmWave ซึ่งกำลังทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอย่างแน่นอน” นายวสิษฐ์ กล่าว

ธนาคารออมสิน ออก “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 11 เดือน” ฉลองก้าวสู่ปีที่ 111

ฉลองก้าวสู่ปีที่ 111 ธนาคารออมสิน…เตรียมตัวให้พร้อม! พบกับเงินฝากดอกเบี้ยสูงแห่งปี ""เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 11 เดือน"" เปิดรับฝากเพียง 11 วันเท่านั้น ไม่อยากให้คุณพลาด แล้ววันที่ 1 เมษายน 2566 นี้ มาฝากกันที่ธนาคารออมสินทุกสาขา

เปิดรับฝากตั้งแต่วันที่ 1 – 11 เม.ย. 2566

?อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได สูงสุด 5.99% ต่อปี
? เทียบเท่าเงินฝากประจำ 1.60% ต่อปี
? อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.36% ต่อปี
?ได้ดอกเบี้ยเต็มๆ ไม่เสียภาษี

เงื่อนไขการฝาก

  • เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท
  • ฝากเพิ่มครั้งละไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท
  • เมื่อฝากครบ 11 เดือนนับตั้งแต่วันที่ฝาก ธนาคารจะโอนยอดเงินฝากและดอกเบี้ยเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอนที่ผู้ฝากแจ้งไว้
  • ไม่สามารถใช้สมุดฝากเงินประเภทเผื่อเรียกพิเศษ 11 เดือน เล่มเดิมมาฝากเพิ่มได้

การคิดดอกเบี้ย / ผลตอบแทน

ระยะเวลาฝากอัตราดอกเบี้ยร้อยละต่อปี (Step Up)
เดือนที่ 1 – 70.80
เดือนที่ 8 – 101.15
เดือนที่ 115.99
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย1.36
เทียบเท่าเงินฝากประจำ1.60

▶อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม > http://bit.ly/3zk7hSi

?เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

อ.พัฒนานิคม ลพบุรี จับมือ ซีพีเอฟ และ กรมป่าไม้ ร่วมดูแลผืนป่าต้นน้ำ”เขาพระยาเดินธง”

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เดินหน้าปลูกป่าใหม่เพิ่มเติม อนุรักษ์และฟื้นฟูผืนป่าต้นน้ำ เพิ่มพื้นที่สีเขียว ในโครงการ” ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” จังหวัดลพบุรี ผนึกพลังกรมป่าไม้ เครือข่ายภาคประชาสังคม และพนักงาน มีส่วนร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ ดูแลการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน มุ่งสู่การสร้างความมั่นคงทางอาหาร

พนักงานจิตอาสาซีพีเอฟ 250 คน จากสายธุรกิจต่างๆ ร่วมกิจกรรมซ่อมแซมฝายชะลอน้ำ ในพื้นที่โครงการ”ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำที่เป็นความร่วมมือ 3 ประสาน โดยภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน โดยวันนี้ (31 มีนาคม 2566) เป็นกิจกรรมครั้งแรกของปีนี้ เพื่อซ่อมแซมให้ฝายมีสภาพสมบูรณ์ พร้อมใช้งานในการกักเก็บน้ำและชะลอการไหลของน้ำ เติมความชุ่มชื้นของดินและต้นไม้ โดยมี ดร.รัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอพัฒนานิคม เป็นประธานเปิดกิจกรรม

นายภาณุวัตร เนียมเปรม ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจไก่เนื้อ – เป็ดเนื้อครบวงจร ในฐานะประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์ ฯ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความยั่งยืน ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ สร้างความตระหนักสู่พนักงานในองค์กร
โดยตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา ได้ดำเนินโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” ทำให้เพิ่มพื้นที่สีเขียวไปแล้วรวม 7,000 ไร่ และในปี 2564-2568 (ระยะที่สองของโครงการฯ) มีเป้าหมายขยายพื้นที่อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าในพื้นที่โครงการเขาพระยาเดินธงอีก 5,000 ไร่ เป็นต้นน้ำของแหล่งน้ำธรรมชาติ สำหรับทำการเกษตรและการอุปโภคของชุมชน

โดยตลอด 8 ปีที่ผ่านมา โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง ทั้งในมิติเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการจ้างงานชุมชนและกระจายรายได้ ด้านสังคม ช่วยยกระดับคุณภาพความเป็นอยู่ของชุมชน สามารถใช้ประโยชน์จากป่าเป็นแหล่งอาหารให้ชุมชน และด้านสิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าและความหลากหลายของพันธุ์พืช ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งน้ำ และอาหารของสัตว์และแมลงต่างๆ ช่วยปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ

“ซีพีเอฟ มุ่งมั่นมีส่วนร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ที่สำคัญ คือ เป็นการสร้างความตระหนักให้พนักงานเห็นความสำคัญของป่าที่มีผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นต้นทางอาหารของมนุษย์และสัตว์” นายภาณุวัตร กล่าว

ด้าน นายถนอมพงษ์ สังข์ธูป ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการปลูกป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 5 (สระบุรี) กรมป่าไม้ ในฐานะหัวหน้าโครงการฟื้นฟูสภาพป่าไม้เขาพระยาเดินธง กล่าวว่า ความร่วมมือ 3 ประสาน ในการดำเนินโครงการ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” เกิดผลสัมฤทธิ์รอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ ทำให้ช่วยกักเก็บน้ำไว้ในฤดูน้ำหลาก น้ำไหลสู่ชุมชนได้ใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ ชาวบ้านได้ใช้น้ำทำการเกษตร รวมทั้งซีพีเอฟยังได้เข้าไปช่วยเหลือชุมชนรอบโครงการ เช่น การจ้างงานชุมชน การส่งเสริมอาชีพให้กับชุมชน ผ่านการดำเนินโครงการปลูกผักวิถีธรรมชาติ และ โครงการการเพาะพันธุ์และอนุบาลปลา ด้านการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เห็นผลสำเร็จชัดเจนในการฟื้นคืนความสมบูรณ์กลับสู่ผืนป่าได้ในระยะเวลาอันสั้น และเป็นโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่เข้าร่วมโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme : LESS)ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เพื่อช่วยกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์

หัวหน้าโครงการฟื้นฟูสภาพป่าไม้เขาพระยาเดินธง กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า นอกจากโครงการ ฯ จะเกิดประโยชน์กับชุมชนในพื้นที่่แล้ว ซีพีเอฟและกรมป่าไม้ ยังได้ร่วมมือกันเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ โดยจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้ และเปิดโอกาสให้นักเรียนของสถานศึกษารอบโครงการ ฯ ได้มาเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง กระตุ้นให้เกิดความรักและหวงแหนพื้นที่ป่า ช่วยกันดูแลเพื่อรักษาทรัพยากรป่าไม้ให้คงอยู่ต่อไป

แนะผู้บริโภคเลือกซื้อเนื้อหมูจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ ลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อน

นักวิชาการ ม.เกษตรฯ ย้ำ! ฝีหนองที่พบในเนื้อหมูไม่ใช่ภาวะโรคและไม่ติดต่อสู่คน แนะเลือกซื้อจากผู้ผลิตและแหล่งจำหน่ายที่ได้มาตรฐาน สังเกตตราสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” เพื่อความปลอดภัย

อาจารย์พิชัย จิรวัฒนาพงศ์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริหาร คณะสัตวแพทยศาสตร์ กำแพงแสน อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์และทรัพยากรการผลิตสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า “ฝีหนอง” ในเนื้อหมูสดที่ผู้บริโภคมักพบในร้านชาบู หมูกระทะ รวมถึงเนื้อหมูที่ซื้อมาประกอบอาหาร ไม่ได้เกิดจากการที่หมูป่วยเป็นโรค แต่อาจเกิดจากขั้นตอนในการใช้เข็มฉีดวัคซีนหรือยารักษาโรค หากไม่สะอาดขณะเตรียมการฉีด จะทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อตรงบริเวณตำแหน่งที่ฉีดแล้วเกิดเป็นฝีหนองได้

นอกจากนี้ ฝีหนองในเนื้อหมูไม่ใช่โรคจึงไม่ติดต่อสู่คน ขอให้ผู้บริโภคไม่ต้องวิตกกังวล หากพบเนื้อหมูที่มีลักษณะดังกล่าว ให้ตัดชิ้นเนื้อนั้นทิ้งห้ามรับประทาน สำหรับเนื้อหมูส่วนที่เหลือยังสามารถรับประทานได้ เพราะฝีหนองส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของแคปซูลจึงไม่แพร่กระจายไปยังส่วนอื่น หากผู้บริโภคไม่สบายใจสามารถทิ้งไปทั้งชิ้นได้

“ปัจจุบันผู้เลี้ยงหมูในหลายฟาร์ม พัฒนามาใช้กระบอกฉีดยาหรือวัคซีนที่ไม่มีเข็ม (Needle free vaccination) เพื่อลดการเกิดปัญหาดังกล่าว ขณะที่โรงชำแหละที่มีกระบวนการผลิตเนื้อหมูที่ได้มาตรฐาน โอกาสที่จะมีฝีหนองหลุดออกมาจำหน่ายน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย เพราะมีการตรวจสอบเนื้อสัตว์ทั้งกระบวนการผลิต ตั้งแต่การตัดแต่ง และก่อนการจำหน่าย ผู้บริโภคจึงสามารถวางใจได้ในความปลอดภัย สำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูที่ยังใช้เข็มอยู่ ต้องระมัดระวังในเรื่องความสะอาด โดยใช้สำลีชุบแอลกอฮอลล์ให้ชุ่มเช็ดทำความสะอาดตรงบริเวณตำแหน่งที่จะฉีดก่อนเสมอ หรือล้างตัวหมูเพื่อลดความสกปรก” อาจารย์พิชัย กล่าว

สำหรับผู้บริโภค ก่อนรับประทานเนื้อหมูต้องปรุงสุกที่อุณหภูมิ 74 องศาเซลเซียสขึ้นไป ด้านผู้ประกอบการร้านอาหาร ให้ตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสำคัญ แนะเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบสภาพเนื้อหมู สด สะอาด ปลอดภัย และได้รับการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ โดยสังเกตสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” เครื่องหมายการันตี มาตรฐานการผลิต ตั้งแต่การเลี้ยง การเชือด-ชำแหละ การแปรรูป ตลอดจนสถานที่จำหน่าย และที่สำคัญราคาต้องไม่ถูกจนเกินไป เพราะต้องสงสัยได้ว่าเป็นเนื้อหมูที่มีการลักลอบนำเข้ามาจำหน่ายจากต่างประเทศ อาจปนเปื้อนสารและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้” อาจารย์พิชัย กล่าวทิ้งท้าย

สิงห์อาสา ลงพื้นที่ป้องแปลงหญ้าทะเลที่ใหญ่ที่สุดฝั่งอ่าวไทย ที่ จ.สุราษฎร์ฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สิงห์อาสา ร่วมกับ เครือข่ายมหาวิทยาลัย 18 สถาบันในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออก ลงพื้นที่ดูแลแปลงหญ้าทะเลผืนใหญ่ที่สุดฝั่งอ่าวไทยที่ จ.สุราษฎร์ธานี ป้องกันการเสียพื้นที่หญ้าทะเลประมาณ 500-700 ไร่ต่อปี หวังเป็นพื้นที่ดูดซับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคใต้ ลดปัญหาโลกรวน พร้อมขยายต่อในหลายพื้นที่จังหวัดชายทะเลทั้งภาคใต้และภาคตะวันออก

ทั้งนี้ จากข้อมูลสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยมีพื้นที่แหล่งหญ้าทะเลประมาณ 160,628 ไร่ แต่การสำรวจเมื่อปี 2564 พบว่า มีพื้นที่หญ้าทะเล เพียง 99,325 ไร่ แบ่งเป็นฝั่งทะเลอันดามัน จำนวน 65,209 ไร่ และฝั่งอ่าวไทย จำนวน 34,116 ไร่ บอกได้ว่าประเทศไทยยังมีพื้นที่อีกมากที่สามารถฟื้นฟูหญ้าทะเลให้กลับมาเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะภาคใต้ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีพื้นที่หญ้าทะเลกว่า 16,000 ไร่ ถือเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่หญ้าทะเลมากที่สุดทางฝั่งอ่าวไทย จากการสำรวจพบว่าบริเวณพื้นที่เกาะเสร็จ เป็นเกาะเกิดใหม่ในสุราษฎร์ฯ มีระบบนิเวศชายทะเลที่เหมาะกับการปลูกหญ้าทะเลรวมถึงป่าชายเลน ที่จะเป็นทั้งแหล่งที่อยู่อาศัย และแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ เช่น ปูม้าในช่วงวัยอ่อน ปลาหลายชนิด รวมไปถึงการเป็นแหล่งอาหารของพะยูนและเต่าทะเล สัตว์สงวนของไทยที่อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ เกาะเสร็จ จึงมีความพร้อมของธรรมชาติที่จะทำให้หญ้าทะเลมีโอกาสอยู่รอดได้

การลงพื้นที่ครั้งนี้ สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กลุ่มประมงพื้นบ้านในพื้นที่ และบริษัท สุราษฎร์ธานีเบเวอเรช จำกัด หนึ่งในเครือบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมดูแลและฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลควบคู่กับการดูแลคุณภาพชีวิตคนในชุมชนอย่างยั่งยืนในโครงการ “สิงห์อาสาอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล” โดยมีการปลูกหญ้าทะเลกว่า 10,000 ต้น ปลูกป่าชายเลน 5,000 ต้น และปล่อยพันธุ์ปูม้ากว่า 100,000 ตัว เพื่อสร้างพื้นที่หญ้าทะเลและระบบนิเวศทางทะเลที่สมบูรณ์ ที่เกาะเสร็จ ต.พุมเรียง อ.ไชยา จ. สุราษฎร์ธานี ซึ่งหลังจากนี้จะขยายพื้นที่ปลูกหญ้าทะเลในจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศต่อไป

ผศ.พรเทพ วิรัชวงศ์ หัวหน้าสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเลและสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง มทร.ศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกหญ้าทะเล ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า “พื้นที่ของหญ้าทะเล มีศักยภาพในการเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนฯ อย่าง Blue Carbon หรือคาร์บอนฯ ที่ดูดซับโดยระบบนิเวศทางทะเล ซึ่งบลูคาร์บอนมีความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนฯ สูงกว่าป่าไม้เกือบ 10 เท่า การมีหญ้าทะเลจึงเป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ แต่หญ้าทะเลกำลังพบเจอกับภัยคุกคามหลายอย่าง เช่น การเดินเรือทับหญ้าทะเล การพัฒนาชายฝั่งให้เป็นโรงแรมหรือสถานที่ท่องเที่ยว นับเป็นโอกาสดีที่ “สิงห์อาสา” ได้เข้ามาปลูกหญ้าทะเลเพิ่มเติมให้กับเกาะเสร็จ รวมไปถึงดำเนินการฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลอื่นๆ คืนความอุดมสมบูรณ์ ร่วมกับเด็กนักเรียนจากโรงเรียนและชาวบ้านในพื้นที่ และเครือข่ายสิงห์อาสาจากสถาบันการศึกษาต่างๆ”

นายอมร เสานอก ผู้จัดการฝ่ายโรงงาน บริษัท สุราษฎร์ธานีเบเวอเรช จำกัด หนึ่งในเครือ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะประชาชนของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ให้ความสำคัญกับการร่วมแก้ไขป้ญหาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศทางทะเลมาอย่างต่อเนื่อง โครงการสิงห์อาสาอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล ถือเป็นโอกาสจะทำให้ผู้คนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของหญ้าทะเลในการช่วยลดภาวะโลกรวน ร่วมกันสร้างจิตสำนึกไม่ทำลายหญ้าทะเล และยังส่งผลในเรื่องกระตุ้นการท่องเที่ยวในจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติสูง ซึ่งจะเป็นการอนุรักษ์ที่เอื้อประโยชน์ให้ทั้งธรรมชาติทั้งผู้คนอย่างเป็นระบบ”

โดยเครือข่ายมหาวิทยาลัย 18 สถาบันในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคใต้ ที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย มทร.ศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง, สงขลา, ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี, สงขลา, ภูเก็ต ,ตรัง , ม.หาดใหญ่ , มรภ.สงขลา, มรภ.สุราษฎร์ธานี, มรภ.นครศรีธรรมราช, มรภ.ภูเก็ต, ม.บูรพา จ.ชลบุรี, วิทยาเขตจันทบุรี, ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา, มทร.ตะวันออก วิทยาเขตบางพระ, ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตระยอง, มรภ.ราชนครินทร์ จ.ฉะเชิงเทรา, มรภ.รำไพพรรณี จ.จันทบุรี

สำหรับปีนี้ สิงห์อาสา ยังร่วมมือกับเครือข่ายต่างๆ ทุกภาคส่วน เพื่อมุ่งเน้นภารกิจในการดูแลทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ทั้งดูแลป่าต้นน้ำในเขตจังหวัดภาคเหนือ การดูแลแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในจังหวัดภาคอีสาน การดูแลสายน้ำในจังหวัดภาคกลาง และภารกิจสร้างความยั่งยืนให้ทะเลไทยทั้งภาคตะวันออกและภาคใต้ เพื่อให้ “องค์กร ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม มีความสุขร่วมกันอย่างยั่งยืน”

‘CP Brand’ ยืนหนึ่ง! คว้า 2 รางวัล Thai Brand Award และ 2023 Thailand’s Most Admired Brand จาก BrandAge

'แบรนด์ CP' คว้า 2 รางวัล Thai Brand Award และ 2023 Thailand’s Most Admired Brand กลุ่มไส้กรอก จากนิตยสาร BrandAge สื่อชั้นนำด้านการตลาด โดยศึกษาจากพฤติกรรมการบริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการ (Why we buy?) คุณภาพ ความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม และภาพลักษณ์การเป็นองค์กรเพื่อสังคมของแบรนด์ สะท้อนถึงความคิดผู้บริโภคที่แท้จริง

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด ด้านการตลาด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเคล็ดลับความสำเร็จของการสร้างแบรนด์ไส้กรอก CP ว่า เกิดจากการทำความเข้าใจวิถีชีวิตและความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค มองหาโอกาส พัฒนาสินค้า นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ขณะเดียวกันยังมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าใหม่ โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัย ได้แก่ นวัตกรรม (Innovation) สุขภาพ (Wellness) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและโลก (Planet) ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสำคัญในการนำนวัตกรรมที่ทันสมัยมาผลิตสินค้าคุณภาพ ตามมาตรฐานสากล ควบคู่กับการยกระดับสุขภาพของผู้บริโภค และยังสอดคล้องต่อการรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมอีกด้วย ในปีนี้ แบรนด์ CP เตรียมแผนขยายการเติบโตของตลาดไส้กรอกอย่างต่อเนื่อง โดยออกสินค้าใหม่ๆ และการจัดแคมเปญการตลาดตลอดปี

สำหรับ ไส้กรอกแบรนด์ CP ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคมาโดยตลอด ด้วยการคัดสรรวัตถุดิบชั้นดี ใช้เนื้อสัตว์เต็มชิ้น ไม่ผสมแป้ง ผ่านขั้นตอนและการตรวจสอบเรื่องรสชาติ เพื่อให้ได้คุณภาพมาตรฐานระดับโลก การันตีด้วยรางวัลสุดยอดรสชาติอาหารระดับโลก (Superior Taste Award) จาก International Taste Institute ประเทศเบลเยียม 2 ปีซ้อน (ปี 2022-2023) กับไส้กรอก 2 รสชาติ ได้แก่ CP Chicken Frank และ CP Chili Chicken Frank นับเป็นครั้งแรกของแบรนด์ไส้กรอกสัญชาติไทยที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ รวมถึงการสร้างสรรค์แคมเปญที่ตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภค เช่น การร่วมมือกับTrue Coffee รังสรรค์เมนูพัฟจากไส้กรอก รับประทานคู่กับกาแฟ การจับมือกับ JOOX เปิดตัวแบรนด์ CP FI-IT (ซีพี ฟิอิต) และแคมเปญที่เกิดจาก Real Consumer Insight & Trend ก้าวข้ามสู่โลกเสมือนจริง ผ่านกิจกรรม CP Bologna MewTaverse จำลองพื้นที่ให้ผู้ชมได้สัมผัสประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์ จนเกิดกระแสแรงติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ของไทย และอันดับ 3 ของโลก จึงทำให้ ‘ไส้กรอก CP’ ยืนหนึ่งครองใจคนไทยอย่างแท้จริง

ซีพีเอฟ เดินหน้าพัฒนาสินค้าอาหารที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย อร่อย และดีต่อสุขภาพ ให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ใส่ใจทุกขั้นตอน ผ่านกระบวนการผลิตด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่ พร้อมทั้งสร้างสรรค์แคมเปญที่ตอบโจทย์เทรนด์ รวมถึงหาโอกาสใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อเข้าถึงและเข้าใจผู้บริโภคทุกเจนเนอเรชัน

บุญรอดฯ จับมือ OR เปิดตัวกาแฟพร้อมดื่ม คาเฟ่ อเมซอน และฮารุ โคลด์บรูว์ กรีนที ลุยตลาดโมเดิร์นเทรดไทย

OR จับมือ บุญรอดฯ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “กาแฟพร้อมดื่ม คาเฟ่ อเมซอน” และ “ฮารุ โคลด์บรูว์ กรีนที” ตอบโจทย์คอชาและกาแฟที่ต้องการความสะดวกในการซื้อเครื่องดื่มได้ทันที ตั้งเป้าวางจำหน่ายสินค้าผ่านร้าน เซเว่นอีเลฟเว่นทั่วประเทศ เป็นแห่งแรก จากนั้นจะขยายสู่ช่องทางห้างค้าปลีก และช่องทางอื่น ๆ ต่อไป 

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และ นายภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ร่วมเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ “กาแฟพร้อมดื่มคาเฟ่ อเมซอน” และ “ฮารุ โคลด์บรูว์ กรีนที” โดยมี นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ และนายสมยศ คงประเวช รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจไลฟ์สไตล์ OR พร้อมด้วย นายวรภัทร ชวนะนิกุล Chief Financial Officer, and Chief Strategy Officer และนายธิติพร ธรรมาภิมุขกุล Chief Marketing Officer บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ร่วมงาน

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ OR  ได้ร่วมกับ บุญรอด ซึ่งมีความชำนาญในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มครบวงจร จัดตั้งบริษัท ดริ้ง เอนเทอร์ไพรซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนโครงการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมบริโภค (Ready To Drink) และวันนี้พร้อมแล้วที่จะเปิดตัวได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ โดย OR ยินดีที่จะแนะนำให้คอกาแฟรู้จัก กาแฟพร้อมดื่ม คาเฟ่ อเมซอน ซึ่งเป็นการนำจุดแข็งของ OR ที่เชี่ยวชาญในการรังสรรค์เครื่องดื่มรูปแบบคาเฟ่มานานกว่า 20 ปี และเสิร์ฟผู้บริโภคชาวไทยกว่า 300 ล้านแก้วต่อปี มาบรรจุลงขวดเป็นครั้งแรก โดยมีจุดเด่นคือการนำเสนอความพิถีพิถันตั้งแต่การคัดสรรเมล็ดกาแฟที่ดีมีคุณภาพ ผ่านกระบวนการคั่ว และการสกัดกาแฟร้อนเพียง 27 วินาที สูตรเฉพาะของ คาเฟ่ อเมซอน เพื่อคงความเข้มข้น ให้ได้รสชาติ กลิ่นแท้ ๆ ของกาแฟ มอบประสบการณ์ความรู้สึกในการดื่มที่ใกล้เคียงกับกาแฟสดที่ร้าน คาเฟ่ อเมซอน ทั้งในแง่ของคุณภาพ กลิ่น รสชาติ และความรู้สึกของการดื่มกาแฟในทุกมิติ ตอบโจทย์คอกาแฟที่ต้องการความสะดวกสบายให้สามารถหาซื้อกาแฟที่ดื่มได้ทันทีที่ต้องการ

การดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมบริโภคร่วมกับบุญรอดเทรดดิ้งฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม (กลุ่ม Lifestyle) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของ OR ในการสร้างพันธมิตรเพื่อหาโอกาสขยายธุรกิจ (Strategic Alliance) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเครื่องดื่มของผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วนและครอบคลุมยิ่งขึ้น (All Lifestyles)  อีกทั้งยังสอดคล้องกับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน SDG ในแบบฉบับของ OR หรือ OR SDG ในด้านการสร้างโอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ (D – DIVERSIFIED) ผ่านศักยภาพของ OR ที่จะเป็น Platform ในการกระจายโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายและครอบคลุม พร้อมเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

นายภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า บุญรอดฯ มีประสบการณ์และความชำนาญในการทำตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มยาวนานก้าวสู่ปีที่ 90 ไม่เคยหยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพตอบสนองผู้บริโภค  โดยบริษัทบุญรอดฯมีแบรนด์สินค้าคุณภาพที่ครองใจผู้บริโภคอันดับ 1 หลากหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่มสิงห์ น้ำแร่เพอร์ร่า โซดาสิงห์ สิงห์ เลมอน โซดา ฯลฯ และในปี 2565 ที่ผ่านมา เป็นอีกก้าวสำคัญของบริษัทในการมุ่งมั่นพัฒนาสินค้า ด้วยการร่วมมือกับ OR นำความเชี่ยวชาญ จุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่ายสร้างการเติบโตไปด้วยกัน และในปีนี้ได้ออก 2 ผลิตภัณฑ์ คือ “กาแฟพร้อมดื่มคาเฟ่ อเมซอน” และชาเขียวพร้อมดื่ม “ฮารุ โคลด์บรูว์  กรีนที” เสิร์ฟกลุ่มเป้าหมาย  

โดยผลิตภัณฑ์ชาเขียวพร้อมดื่ม “ฮารุ” นำความเชี่ยวชาญของสิงห์ ที่เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชาครบวงจรชั้นนำของเมืองไทยมาต่อยอดสู่เครื่องดื่มชาเขียวระดับพรีเมียม ที่มีกระบวนการสกัดชาผ่านกรรมวิธี Cold Brew ซึ่งให้ความสำคัญด้านอุณหภูมิและเวลาสกัดที่นานกว่าชาทั่วไป 2 เท่า สร้างความแตกต่างในตลาดและทำให้ได้เอกลักษณ์ของชาเขียวอย่างเต็มรสชาติ นอกจากนี้วัตถุดิบใบชายังผ่านการคัดสรรยอดอ่อนใบชาสายพันธุ์คุณภาพเกรดพรีเมียม ที่ปลูกอย่างพิถีพิถันด้วยกรรมวิธีเฉพาะจากแหล่งปลูกที่ถูกยอมรับในระดับโลก ทั้งนี้ ชาเขียวพร้อมดื่ม “ฮารุ โคลด์บรูว์ กรีนที” เจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ ที่รักสุขภาพ รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์ไปคาเฟ่ มองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ และดื่มด่ำช่วงเวลาแห่งความสุข เรียบง่ายผ่านการดื่มชาสไตล์ Cold Brew ที่มีความหอมนุ่มละมุน มีมิติของรสและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์

กาแฟพร้อมดื่ม คาเฟ่ อเมซอน  เปิดตัวสู่ตลาดด้วย 3 รสชาติ ได้แก่ อเมซอนแบล็ค ราคาจำหน่ายขวดละ 29 บาท อเมซอนเอสเปรสโซ่ และอเมซอนลาเต้ ราคาจำหน่ายขวดละ 35 บาท โดยมาในรูปแบบขวดขนาด 200 มิลลิลิตร ส่วนชาเขียวพร้อมดื่ม “ฮารุ โคลด์บรูว์ กรีนที”  มาในรูปแบบขวดขนาด 440 มล. มี 2 รสชาติ ได้แก่ สูตรปราศจากน้ำตาล (Natural) และสูตรหวานน้อย (Mild Sweet) ราคาจำหน่าย ขวดละ 30 บาท โดยทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์จะจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น เป็นแห่งแรก จากนั้นจะขยายสู่ช่องทางห้าง  ค้าปลีก และช่องทางอื่น ๆ ต่อไป

“ทรีนีตี้” ชู 5 จุดแกร่งลุยธุรกิจปี 66

“ทรีนีตี้”ชู 5 จุดแกร่งลุยธุรกิจปี 2566 เดินหน้าธุรกิจด้านวาณิชธนกิจนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเป็นที่ปรึกษาขายหุ้นกู้ ขณะที่ธุรกิจการจัดการกองทุนส่วนบุคคล ตั้งเป้าเติบโตขึ้นร้อยละ 20 พร้อมลุยธุรกิจนอกตลาด และเตรียมนำ “ทรีมันนี่ โฮลดิ้ง” เข้าจดทะเบียนในตลาด MAI

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยในงาน Opportunity Day ของ บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) “TNITY” ถึงทิศทางการทำธุรกิจของกลุ่มบริษัทในปี 2566 ว่าบริษัทยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ และพันธกิจที่จะทำให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด ถึงแม้ปีนี้ตลาดหุ้นยังผันผวนแต่ด้วยการที่บริษัทมี 5 จุดแกร่งที่สำคัญคือ 1. การมีธรรมาภิบาล 2.การมีโครงสร้างรายได้ที่กระจายตัวไม่พึ่งพิงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง 3. การมีใบอนุญาต ในการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ครบทุกประเภท 4. การมีผู้บริหารระดับสูงที่มีประสบการณ์ในตลาดทุน ที่ยาวนาน และ 5. การมีฐานลูกค้า High Net worth จะสนับสนุนให้บริษัทสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดี

สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเดินหน้าธุรกิจวาณิชธนกิจอย่างเต็มที่ โดยจะมีการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ MAI จำนวน 3 บริษัท และบริษัทที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน 8-10 บริษัท ครอบคลุมธุรกิจหลากหลายประเภท ได้แก่ ธุรกิจการเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม ขนส่งและโลจิสติกส์ ธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมและเครื่องจักร

บริษัทยังมีงานที่ปรึกษาด้านการปรับโครงสร้างธุรกิจและองค์กร การปรับโครงสร้างทางการเงิน และการควบรวมกิจการทั้งในและต่างประเทศซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินงาน 3-6 บริษัท รวมถึงการเป็นที่ปรึกษาในการจำหน่ายหุ้นกู้มากกว่า 10 บริษัท ได้แก่ ธุรกิจพลังงานทดแทน AMC การเงินและหลักทรัพย์ ประกันภัย เทคโนโลยี และธุรกิจการเกษตร ในส่วนของธุรกิจการจัดการกองทุนส่วนบุคคล บริษัทตั้งเป้าเติบโตขึ้นร้อยละ 20 หรือมีมูลค่าสินทรัพย์รวมของกองทุนส่วนบุคคลอยู่ที่ 3,550 ล้านบาท
ดร.วิศิษฐ์ กล่าวเสริมว่า ในส่วนของการเข้าไปร่วมลงทุนในธุรกิจนอกตลาด ที่ผ่านมาได้เข้าลงทุนในบริษัท ทรีมันนี่ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมค้า โดยลงทุนในอัตราร้อยละ 30.07 ดำเนินธุรกิจประกอบธุรกิจการให้สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง ในปี 2565 บริษัท ทรีมันนี่ โฮลดิ้ง จำกัด มีกำไรจากการดำเนินธุรกิจ 53 ล้านบาท และในอนาคตมีแผน ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI

นอกจากนี้ บริษัทมีการลงทุนในบริษัทร่วม 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท ดิจิทัล แอสเซ็ท แมเนจเมนท์ จำกัด (DAM) ลงทุนมูลค่า 12.5 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับ Wealth and Human Resources Management ครบวงจร ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์ม และในบริษัท ไทยแท็คซ์ ซีบีดี สมาร์ท ฟาร์ม จำกัด ลงทุนมูลค่า 10 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการปลูก และ/หรือสกัด และจำหน่าย ช่อดอก ใบ เปลือก ลำต้น และส่วนประกอบอื่นรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ผลิตกัญชง และ/หรือกัญชา อยู่ในระหว่างการดำเนินการซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2566