Home Blog Page 81

“ปลาหมอคางดำ” บริโภคได้ มีคุณค่าทางโภชนาการ เป็นอีกวิธีช่วยกันกำจัดได้อย่างรวดเร็ว

0

นักวิชาการ แนะการแปรรูปเนื้อปลาหมอคางดำ ช่วยให้คนไทยเข้าถึงและบริโภคได้สะดวกขึ้น สนับสนุนการกำจัดปลาหมอคางดำให้รวดเร็ว และควบคุมการแพร่กระจายได้อย่างยั่งยืน

ดร.สหภพ ดอกแก้ว รองหัวหน้าภาควิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า “ปลาหมอคางดำ” เป็นสัตว์น้ำต่างถิ่น กำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกา อยู่ในตระกูลปลาหมอเทศ อาศัยอยู่ในเขตน้ำกร่อยหรือตามชายฝั่ง สามารถทนต่อความเค็มและสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้

ปลาหมอคางดำ มีลักษณะตัวค่อนข้างแบน ลำตัวคล้ายปลานิล ซึ่งแตกต่างจากปลาหมอไทยที่มีลักษณะกลมยาว มีหนาม เนื่องจากอยู่กันคนละกลุ่ม ปลาหมอคางดำ มีจุดสังเกตที่บริเวณคางและหน้าจะมีจุดหรือแถบสีดำ โดยมีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Sarotherodon melanotheron Ruppell,1852 และชื่อสามัญว่า Blackchin tilapia

ปลาชนิดนี้ เป็นปลาประเภทที่กินทุกอย่าง ทั้งพืชและสัตว์ (Omnivorous Fish) ตลอดจน ซากพืช ซากสัตว์ แพลงก์ตอน ลูกปลา ลูกหอย ถือเป็นปลา “Invasive Species” คือ สัตว์น้ำรุกราน เพราะไปทำลายชีวิตสัตว์น้ำท้องถิ่น จนทำให้เกิดการทดแทนสัตว์น้ำท้องถิ่น ขณะที่ Alien Species ใช้เรียกสัตว์น้ำต่างถิ่นทั้งหมด ซึ่งบางชนิดไม่มีผลกระทบกับระบบนิเวศ หรือ บางชนิดมีผลกระทบน้อย

ดร.สหภพ กล่าวว่า การกำจัดปลาหมอคางดำที่กำลังแพร่ระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติของไทยในขณะนี้ ต้องทำด้วยความรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นการระบาดจะขยายวงกว้างมากขึ้น ซึ่งทุกหน่วยงานมีแนวทางในการกำจัดปลาหมอคางดำ ทั้งการจับ การไล่ล่า ผลดีคือ ปริมาณปลาหมอคางดำลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่การใช้ประโยชน์จากปลาที่จับมาได้มีหลายแนวทาง โดยเฉพาะการนำไปทำเป็นอาหาร ซึ่งเป็นวิธีการที่ใกล้ชิดกับคนไทยมากที่สุด ทุกคนสามารถทำได้และมีส่วนร่วมในการช่วยแก้ไขวิกฤตในครั้งนี้

สำหรับ เนื้อปลาหมอคางดำ รสชาติเหมือนปลาทั่วไป มีคุณค่าทางโภชนาการไม่ต่างจากปลานิล สามารถนำมาประกอบอาหารในเมนูต่างๆ โดยเฉพาะ อาหารไทย หรืออาหารพื้นบ้านของไทย อาทิ น้ำพริก ขนมจีนน้ำยา ห่อหมก ซึ่งมีลักษณะเด่นที่มีเครื่องเทศหลากหลายชนิด อย่าง กระเทียม หัวหอม พริกแกงต่างๆ สามารถนำเนื้อปลาดังกล่าวมาประยุกต์และปรับเป็นอาหารที่อยู่ในวิถีของคนไทย โดยปรุงให้มีรสชาติอร่อย ถูกปากคนไทยได้ง่าย ทั้ง ต้ม ยำ ทำแกง หลากหลายเมนู

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญ คือ ทำอย่างไรให้คนไทยเข้าถึงการใช้ประโยชน์จากปลาหมอคางดำได้ เพราะในขณะนี้ ภาคเหนือ ภาคอีสาน และคนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล อยากลิ้มลองรสชาติของปลาหมอคางดำ แต่จับปลามาแล้วไม่สามารถกระจายได้ จึงยังเป็นคอขวดอยู่ ดังนั้น แนวทางที่จะทำให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงและช่วยทำลายมัน คือต้องนำไปแปรรูป

ดร.สหภพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ ยังไม่มีหน่วยงานใดรับแร่เนื้อปลา จึงยากต่อการให้คนไทยเข้าถึง หากมีหน่วยงานแปรรูปสัตว์น้ำ โรงงาน บริษัท หรือหน่วยงานที่สนับสนุนนำเข้าสู่กระบวนการแปรรูป เช่น แร่เนื้อ ขูดเนื้อ รีดเนื้อออกมา บดให้เป็นเนื้อพร้อมใช้แล้วจำหน่ายเป็น เนื้อชิ้น เนื้อแช่เยือกแข็ง แช่เย็น หรือมีการถนอมอาหาร ก็จะสามารถส่งไปยังทุกจังหวัดได้ง่าย และทำให้ปลาดังกล่าว มีราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 5-20 บาท อาจสูงถึงกิโลกรัมละ 80-100 บาทได้

“ขอเพียงง่ายต่อการบริโภค ทำให้สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์จากปลาหมอคางดำได้ง่าย ประชาชนในจังหวัดต่างๆ เกิดปริมาณการบริโภค ก็จะเป็นการช่วยกันกำจัดปลาหมอคางดำได้เร็วขึ้น” ดร.สหภพ กล่าว

สำหรับข้อกังวลที่ว่า หากเกิดความต้องการเยอะขึ้น จะก่อให้เกิดการเลี้ยงเพื่อรองรับความต้องการการบริโภคนั้น ซึ่งความจริงแล้วไม่สามารถทำได้ง่ายขนาดนั้น เพราะนอกจากผิดกฎหมายแล้วยังไม่สามารถที่จะจำหน่ายปลาหมอคางดำได้ในราคากิโลกรัมละ 20 บาท ไหนจะทั้งต้นทุนการเลี้ยงที่มาก ค่าไฟค่าน้ำมันที่สูง ซึ่งมันไม่คุ้มทุน

ประเทศไทยถอดบทเรียนความสำเร็จในการกำจัดสัตว์ต่างถิ่นได้ จาก ตั๊กแตนปาทังก้า ที่เกิดการระบาดอย่างหนักเมื่อหลาย 10 ปีก่อน และทำให้พืชผลทางการเกษตรเสียหาย โดยขณะนั้นมีการรณรงค์ให้จับกินและได้นำไปขายตามงานวัดต่างๆ ตามรถเข็น จนทำให้ทุกคนรู้จัก เกิดความชื่นชอบ จนขณะนี้ได้เกือบสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยแล้ว หรือแม้กระทั่ง หอยเชอรรี่ ก็เช่นกัน ที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย และเกิดการระบาดในนาข้าว สุดท้ายถูกนำมารับประทาน เช่น ตำป่า ยำต่างๆ จนเป็นที่นิยมเกิดการรับประทานกันในปริมาณมาก จนปัจจุบันหอยเชอรรี่ เนื้อที่แกะแล้วมีมูลค่าที่ค่อนข้างสูง ถึงกิโลกรัมละเกือบ 100 บาท เลยทีเดียว

ทั้งนี้ เราคงไม่อาจกำจัดปลาหมอคางดำให้หมดไปได้ 100% เพียงแต่เรียนรู้ที่จะกินมัน เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน และควบคุมมันให้ได้ เชื่อว่าถ้าเราใช้ประโยชน์จากปลาหมอคางดำได้ จะทำให้เราอยู่กับมันได้อย่างมีความสุข และอยู่อย่างควบคุมมันได้อย่างยั่งยืน.

คุณแม่ ซีเอฟโอของบ้าน

0

บทความ “รู้เก็บรู้ออมฯ” โดย คุณนายพารวย

“แม่” เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของครอบครัว หากเปรียบบ้านเป็นบริษัทแล้ว คุณพ่อบ้านมีตำแหน่งเป็นซีอีโอ ส่วนคุณแม่บ้านคือท่านประธานบริษัท แถมควบตำแหน่งซีเอฟโอ คอยดูแลเรื่องเงินๆทองๆ ทุกบาททุกสตางค์ เพื่อความสุขของทุกคนในบ้าน

แต่การวางแผนการเงินครอบครัว ต้องทำงานร่วมกัน ไม่ใช่งานคนใดคนหนึ่ง เพราะเป็นเรื่องการสร้างอนาคตร่วมกัน การสร้างบัญชีครอบครัว จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้ชีวิตครอบครัวไปได้ด้วยดี

เทคนิคง่ายๆ คือ

1.ทำบัญชีกองกลาง เพื่อจัดการรายจ่าย เช่น ค่าน้ำค่าไฟ ค่าผ่อนบ้านผ่อนรถ ตกลงกันให้เรียบร้อยว่าใครจะออกเงินเท่าไร ดูแลเรื่องอะไร

2.มีบัญชีสำรองเผื่อฉุกเฉิน เป็นเงินที่กันไว้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้อย่างน้อย 3-6 เดือน หากเกิดเหตุฉุกเฉิน

3.บัญชีลงทุนครอบครัว แบ่งเงินออม 10% เพื่อต่อยอดและสร้างความมั่นคง โดยลงทุนในหุ้นหรือกองทุน

4.บัญชีอนาคตเพื่อลูก คำนวณค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น แล้ววางแผนลงทุนให้เงินงอกเงย

5.แยกบัญชีใช้จ่ายส่วนตัว เช่น ช็อปปิ้ง ท่องเที่ยว

เมื่อเราวางแผนการเงินของครอบครัวดี ก็จะสร้างให้ครอบครัวเข้มแข็งมั่นคงระยะยาว ทุกครอบครัวทำได้!! ยิ่งบ้านไหนมีแม่บ้านที่บริหารเงินเก่ง สมาชิกในบ้านก็จะอยู่กันอย่างมีความสุขและสบายใจในอนาคต

สำหรับคุณแม่ที่อยากโชว์ฝีมือบริหารเงินส่วนกลางของบ้าน “คุณนายพารวย” มีเคล็ดลับสร้างความมั่งคั่งมาฝาก ใช้เป็นแนววางแผนจัดสรรเงิน เพื่อจัดการค่าใช้จ่ายในบ้านและต่อยอดเงินออมไปสู่การลงทุน ดังนี้

1.ทำบัญชีรายรับรายจ่ายของครอบครัว เพื่อจะได้รู้ถึงสถานภาพการเงินของครอบครัว

2.จัดสรรเงินออมและเงินลงทุน โดยแยกบัญชีออกจากกันตามเป้าหมาย เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารเงิน

3.เลือกช่องทางการออมและลงทุน ที่เหมาะสมกับเป้าหมาย

4.หมั่นตรวจสอบเป้าหมายการเงินอยู่เสมอ เพื่อปรับให้ทันสถานการณ์

คุณแม่บ้านพ่อบ้านที่สนใจการวางแผนการเงินของครอบครัว เข้ามาเรียนรู้แนวทางวางแผนการเงินเพื่อเป้าหมายชีวิต และการใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆผ่าน SET e-Learning หลักสูตร “WMD1002 : ชีวิตดี เริ่มต้นที่การวางแผน” ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ฟรี!! คลิกที่นี่เลย https://elearning.set.or.th/SETGroup/courses/299/info

ส่งท้าย ขอกำลังใจจากผู้อ่าน ช่วยแนะนำติชมคอลัมน์นี้ เพื่อนำไปพัฒนาปรับปรุงเนื้อหา และนำข้อมูลความรู้ให้ตรงความต้องการของผู้อ่านยิ่งขึ้น ฝากเข้าไปตอบแบบสอบถามสแกน QR code ข้างล่างนี้ กราบขอบพระคุณมากค่ะ.

AIS – GC เดินหน้าภารกิจเก็บขยะเพื่อโลก Green University “ทิ้งเทิร์นให้โลกจำUpvel 2” ชวนเด็กไทยเก็บ E-Wasteและพลาสติกใช้แล้ว

0

นับเป็นปีที่ 2 ของความร่วมมือระหว่าง AIS และ GC ในการปลุกพลัง มหาลัยวิทยาลัยรักษ์โลก กับโครงการ Green University “ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 2” โดยในปีนี้ยังคงความเข้มข้นของกิจกรรมเพราะนอกเหนือจากภารกิจเก็บขยะเพื่อโลกทั้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านแอปพลิเคชัน AIS E-Waste+ แพลตฟอร์มการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและพลาสติกใช้แล้วผ่าน GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์มบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วแบบครบวงจร เพื่อสร้างการตระหนักรู้และสร้างจิตสำนึกในการจัดการขยะให้แก่นิสิต-นักศึกษา บุคลากรในมหาวิทยาลัยและประชาชนโดยรอบแล้ว ยังมีกิจกรรมที่มุ่งสร้างการมีส่วนร่วมกับน้องๆ นิสิต นักศึกษา และมหาวิทยาลัย กับการประกวดภาพถ่าย “ทิ้ง เทิร์น ให้เท่ สไตล์กรีนยู” และประกวดคลิปสั้น “Green Creator ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ” ชิงทุนการศึกษา และถ้วยรางวัล Upcycle จากพลาสติกใช้แล้วและขยะอิเล็กทรอนิกส์

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เป็นหนึ่งใน Green Partnership เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการด้านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และขยะพลาสติกใช้แล้ว อย่าง Green University “ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ” ที่ในปีนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยนอกเหนือจากจำนวนขยะที่รวบรวมเข้าสู่กระบวนการจัดการได้อย่างถูกต้องแล้ว กิจกรรมนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้น้องๆ นักศึกษาหันหาสนใจปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ในปีนี้เรายังคงจัดกิจกรรมที่จะมีทั้งการแข่งขันเก็บรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์และพลาสติกใช้แล้ว และเพิ่มกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ให้หันมาสนใจและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจนเกิดเป็นเครือข่ายที่จะช่วยส่งต่อความเข้าใจจนสามารถนำไปบริหารจัดการขยะทั้งพลาสติกใช้แล้วและ E- Waste ได้อย่างถูกต้องและยั่งยืน”

ดร.ชญาน์ จันทวสุ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานความยั่งยืน บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า “จากความสำเร็จของโครงการ Green University “ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ” ในปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงการนำแนวคิดด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้าไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน สามารถลดปริมาณพลาสติกใช้แล้วประเภทขวด PET ใส และขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปสู่หลุมฝังกลบได้กว่า 6 แสนชิ้น หรือเป็นการลดก๊าซเรือนกระจกกว่า 12.33 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่ากับปริมาณการปลูกต้นไม้ 1,298 ต้น และในปีนี้ GC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ต่อยอดโครงการและขยายความร่วมมือปีที่ 2 กับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศ 42 แห่ง ภายใต้ โครงการ Green University “ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 2” นอกจากแข่งขันรวบรวมขวดพลาสติกและ E-Waste แล้ว ยังมีกิจกรรมให้น้องๆ ได้ร่วมสนุกในระหว่างโครงการ เช่น ประกวดภาพถ่าย “ทิ้ง เทิร์น ให้เท่ห์ สไตล์ กรีนยู” อีกด้วย โดย GC YOUเทิร์น ได้นำองค์ความรู้ด้านการจัดการขยะ สร้างเครือข่ายคนรุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยขวดพลาสติกที่รวบรวมได้จะถูกจัดการอย่างถูกวิธีและหมุนเวียนกลับไปใช้ใหม่ ปลูกฝังแนวคิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าอย่างเป็นรูปธรรม”

สำหรับโครงการ Green University “ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 2” ในปีนี้ จะเป็นการยกระดับผ่าน ภารกิจ

โดยภารกิจที่ 1 ภารกิจเฟ้นหามหาวิทยาลัยสีเขียวกับการแข่งขันเก็บขยะเพื่อโลก ทั้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแอปพลิเคชัน AIS E-Waste+ และพลาสติกใช้แล้วผ่าน GC YOUเทิร์น โดยขยายพื้นที่การจัดการขยะครอบคลุมทั่วประเทศ ร่วมกับ 42 มหาวิทยาลัย และส่งเสริมให้แต่ละมหาวิทยาลัยเชิญชวนนิสิต นักศึกษา บุคลากร ร่วมกันนำขยะอิเล็กทรอนิกส์และขยะพลาสติกมาทิ้งที่จุดรับทิ้งขยะภายในมหาวิทยาลัย โดยมหาวิทยาลัยที่เก็บขยะได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะรับเงินสนับสนุนมูลค่า 30,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล Upcycle ไปเลย

นอกจากนี้ยังอัปเวลด้วยภารกิจที่ กิจกรรมที่จะช่วยสร้างการมีส่วนร่วมและกระตุ้นให้ทุกคนเข้าใจปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกัน กับการ ประกวดภาพถ่าย ทิ้ง เทิร์น ให้เท่ สไตล์กรีนยู ระดับมหาลัย สามารถส่งภาพแบบ Photo album ทีมละ 5 ภาพ เป็นภาพสถานที่ หรือ แหล่งท่องเที่ยว ที่สื่อถึงการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธีและต้องสอดคล้องกับ โครงการ Green University “ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 2” ผ่านแนวคิด “ทิ้ง เทิร์น ให้เท่ สไตล์กรีนยู” โพสต์ลงหน้าเพจของมหาวิทยาลัยของตนเอง ชิงทุนการศึกษามูลค่าสูงสุด 10,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล Upcycle 

และภารกิจที่ 3 ประกวดแข่งขันทำคลิปสั้น “Green Creator ทิ้งเทิร์น ให้โลกจำ” ประกวดรายบุคคลและทีม โดยนิสิต นักศึกษาสามารถรวมกลุ่มคณะหรือมหาวิทยาลัย จำนวนทีมละ 3 คน ในการทำคลิปวีดีโอลงช่องทาง TikTok ในเรื่อง “Green Creator ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ” โดยสามารถออกแบบการเล่าเรื่องเกี่ยวกับ การแนะนําการทิ้งพลาสติก และขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) อย่างถูกวิธี เพื่อโลกที่ดีขึ้น ในรูปแบบที่สร้างสรรค์ ชิงทุนการศึกษามูลค่าสูงสุด 10,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล และเกียรติบัตร

โดยทั้ง 3 ภารกิจผู้ชนะจะได้รับทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล และเกียรติบัตร สำหรับนิสิต นักศึกษา บุคลากร หรือประชาชนที่สนใจโครงการ Green University “ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 2” สามารถติดตามรายเอียด และอ่านกติกา ระยะเวลาของแต่ละกิจกรรม ได้ที่ https://www.facebook.com/YOUTURNPLATFORM และ https://www.facebook.com/ais.sustainability/

AXONS โชว์นวัตกรรม AI เพื่อเกษตรกรยุคใหม่ ในงาน Techsauce Global Summit 2024

0

AXONS บริษัท AgriTech ชั้นนำของประเทศไทย ร่วมงาน Techsauce Global Summit 2024 ภายใต้ธีม ‘The World of Tomorrow With AI’ นำเสนอการพัฒนาแอปพลิเคชันด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถดูแลฟาร์มได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พาการเกษตรไทยเข้าสู่ยุคใหม่ของการเกษตรอัจฉริยะและยั่งยืน

นายสรรเสริญ สมัยสุต กรรมการผู้จัดการ AXONS กล่าวว่า “การเข้าร่วมงานในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้ประกาศวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้านเกษตรเทคโนโลยีบนเวทีระดับโลก และแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ที่เราสั่งสมมานานกว่า 40 ปีในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม รวมถึงการให้บริการ AgriTech ใน 17 ประเทศทั่วโลก”

ในงานนี้ AXONS นำเสนอการพัฒนาโซลูชันต่างๆ ด้วย AI เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและยกระดับประสิทธิภาพการเกษตรอย่างยั่งยืน ผ่านบูธนิทรรศการที่จัดแสดงเทคโนโลยี AgriTech รวมถึงการใช้ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและความแม่นยำในกระบวนการเกษตรและแปรรูปอาหารตลอดห่วงโซ่การผลิต

ผลงานที่จัดแสดงในบูธ AXONS ปีนี้ ประกอบด้วย FarmPro และ FarmOne ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันภายใต้ “AgriTech Project” ที่มุ่งใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหาให้กับเกษตรกร FarmPro ถูกออกแบบสำหรับผู้ดูแลเกษตรกร ช่วยจัดการ Contact Farming, สำรวจที่ดิน, และติดตามการเพาะปลูกแบบเรียลไทม์ ขณะที่ FarmOne สำหรับเกษตรกร ช่วยสร้างแปลง วางแผนการเพาะปลูก แนะนำการดูแลพืช และตรวจโรคและแมลงด้วยเทคโนโลยี AI ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้ยังได้รับรางวัล DEmark ในกลุ่มผลงานออกแบบระบบดิจิทัล

นวัตกรรมต่อมาคือ AquaPro ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันยกระดับธุรกิจการเพาะเลี้ยงกุ้ง ด้วยการรวบรวมฟีเจอร์เพื่อลดความเสี่ยงและควบคุมต้นทุน ใช้ AI และ IoT วิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพน้ำ ขนาดกุ้ง และคาดการณ์ราคากุ้ง AquaPro ยังร่วมมือกับฟาร์มวิจัย ASRD ของเครือ CPF เพื่อพัฒนาการเพาะเลี้ยงกุ้งอย่างยั่งยืน

แอปพลิเคชันสุดท้ายคือ Axons Trace ระบบตรวจสอบย้อนกลับที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ด้วยการสแกน QR code ที่บรรจุภัณฑ์ ช่วยยกระดับมูลค่าผลิตภัณฑ์และเพิ่มความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคการพัฒนาโซลูชันด้วย AI ของ AXONS มุ่งเน้นที่การลดความซับซ้อนของเทคโนโลยีและการจัดการข้อมูลที่มีอยู่จำนวนมาก เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ งาน Techsauce Global Summit 2024 ถือเป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพของ AXONS ในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยพัฒนาภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมอาหารให้ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

งาน Techsauce Global Summit 2024 ซึ่งเป็นงานประชุมด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 สิงหาคม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมุ่งผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ .

เลี้ยงไก่ไข่เป็นอาหารกลางวัน “รร.บ้านนาคำ นครพนม”สอนนักเรียนร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียน สู่คลังอาหารชุมชน

0

หลังจากรับมอบ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ที่เครือซีพี บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ หรือ JCC ร่วมกันดำเนินการแล้ว โรงเรียนบ้านนาคำ ต.บ้านค้อ อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม ได้เริ่มต้นโครงการฯนี้อย่างตั้งแต่ปี 2566 และสามารถสร้างผลผลิตไข่ไก่จากแม่ไก่ที่พวกเขาดูแลด้วยตัวเอง เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอาหารกลางวันของเด็กนักเรียนทุกคน

นางวิภาวณี บุญศรี ผู้อำนวยการ โรงเรียนบ้านนาคำ กล่าวถึงที่มาของการร่วมโครงการฯ ว่า จากการที่หลายโรงเรียนในเขตอำเภอโพนสวรรค์ ได้เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ที่เครือซีพี ซีพีเอฟ และมูลนิธิฯ ให้การสนับสนุนและส่งเสริมภาวะโภชนาการที่ดีแก่นักเรียนอยู่แล้ว โรงเรียนบ้านนาคำจึงขอรับการสนับสนุนโครงการฯนี้ หลังจากได้รับการพิจารณาให้เข้าร่วมโครงการฯแล้ว ก็ทำให้นักเรียนได้บริโภคไข่ไก่ที่มีโปรตีนคุณภาพดี ได้มีโอกาสฝึกอาชีพเลี้ยงไก่ไข่ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

“โรงเรียนบ้านนาคำ เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีนักเรียน 104 คน เปิดสอนนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 2 ถึงประถมศึกษาปีที่ 6 เราตัดสินใจเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ เพื่อให้นักเรียนได้บริโภคไข่ไก่เป็นอาหารกลางวัน โดยกำหนดให้มีเมนูไข่ อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ ขณะเดียวกัน โรงเรือนไก่ไข่ยังเป็นห้องเรียนอาชีพ เป็นแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนให้กับนักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง และซีพีเอฟยังส่งเสริมการจ้างงานแก่คนพิการในหมู่บ้านก็ ทำให้มีงานทำ มีรายได้ดูแลครอบครัว โดยมีชาวชุมชนทุกคนเป็นลูกค้าผู้สนับสนุนซื้อผลผลิตไข่ไก่จากฝีมือการเลี้ยงของลูกหลานของพวกเขาเอง” ผอ.วิภาวณี กล่าว

ด.ช.วีรภัทร ตงกะพษ์ หรือน้องติว นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เล่าว่า ปัจจุบันมีนักเรียนผู้ดูแลโครงการจำนวน 18 คน เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยระบุเข้าในการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ วันนี้เราภูมิใจที่โครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯของโรงเรียน กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับผู้ที่สนใจได้เข้ามาศึกษาการบริหารจัดการธุรกิจเกษตร และยังเป็นคลังอาหารให้นักเรียนและชุมชน เพราะได้ทั้งไข่ไก่เพื่อเป็นอาหารกลางวัน ส่วนที่เหลือยังยจำหน่ายให้กับผู้ปกครองด้วย

ทางด้าน ด.ญ. ดาริกา มันอาษา หรือน้องน้ำแข็ง นักเรียนชั้นเดียวกัน บอกว่า การดูแลไก่ไข่นั้นไม่ยุ่งยากในแต่ละวัน มีนักเรียนรับผิดชอบวันละ 5 คน แบ่งงานเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติในตอนเช้า จะเข้าทำความสะอาดโรงเรือน ที่น้ำ และรางอาหาร รวมถึงให้อาหารรอบแรก 1 จากนั้นช่วงเที่ยง เป็นกิจกรรมเก็บไข่ไก่ คัดไข่ ลงบันทึกปริมาณ และนำส่งสหกรณ์โรงเรียน สุดท้ายช่วงบ่ายโมงเป็นการให้อาหารไก่ครั้งที่ 2 นอกจากนี้ มูลไก่ที่จัดการด้วยการนำออกไปตากแดดทุกๆ 3วัน ยังสร้างรายได้ให้ถึงกิโลละ 5 บาท

สำหรับขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการฯ ผอ.วิภาวณี อธิบายว่า เริ่มจากการสมัครผ่านทางเว็บไซต์ของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เมื่อได้รับการตรวจสอบและผ่านคุณสมบัติตามที่กำหนดแล้ว คณะกรรมการจากมูลนิธิฯ และซีพีเอฟ จึงเข้ามาดูพื้นที่ว่าเหมาะสมกับการเลี้ยงไก่ไข่หรือไม่ พร้อมประชุมคณะกรรมการสถานศึกษา คณะครู และบุคลากร เพื่อขอความเห็นชอบในการเลี้ยงไก่ไข่ เมื่อผ่านขบวนการทั้งหมดแล้วจึงเริ่มต้นการเลี้ยงไก่ไข่ โดยโครงการสนับสนุนการก่อสร้างโรงเรือนและติดตั้งอุปกรณ์เลี้ยงไก่ไข่ พันธุ์ไก่ไข่ และอาหารไก่ไข่ฟรี เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยมีซีพีเอฟสนับสนุนงบประมาณ และยังส่งนักสัตวบาลเข้ามาสนับสนุนด้านวิชาการตั้งแต่เริ่มต้นเลี้ยงจนถึงปลดแม่ไก่ พร้อมทั้งแนะนำการจัดการผลผลิตไข่ไก่สด การจำหน่าย และการบริหารจัดการด้านตลาด ทำให้โครงการฯ สามารถบริหารรายได้เป็นเงินกองทุน ส่งต่อให้กับรุ่นต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้โรงเรียนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

“ปัจจุบันโรงเรียนของเราไม่มีต้นทุนในการเลี้ยงไก่ไข่ เนื่องจากได้รับอาหารไก่ไข่จากโครงการฯเป็นเวลา 1 ปี จึงสามารถเก็บเงินที่จำหน่ายไข่ไก่ไว้สำหรับต่อยอดโครงการฯในปีต่อๆ ไปได้ ทั้งครูและนักเรียนต่างดีใจที่รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ทุกคนรู้สึกภูมิใจมาก ที่โรงเรียนขนาดเล็กของเราสามารถบริหารจัดการโครงการฯได้อย่างดี นักเรียนได้บริโภคไข่ ได้ฝึกอาชีพ ทำให้โรงเรียนได้ต้อนรับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และยังได้การสนับสนุนระบบไอซีทีและคอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนรู้ จาก ทรู คอร์ปอเรชั่น เพื่อต่อยอดจากการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน นำเทคโนโลยีระบบฟาร์มอัตโนมัติ (Farm Automation) ด้วยระบบไอโอทีด้วย” ผอ.วิภาวณี กล่าว

เครือซีพี โดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และซีพีเอฟ ภูมิใจที่ได้ร่วมสร้างโภชนาการที่ดีให้เยาวชน ตลอด 36 ปี ช่วยแก้ปัญหาทุพโภชนาการในเด็กนักเรียน ช่วยบรรเทาปัญหาขาดแคลนโปรตีนแก่เยาวชนในชนบทมากถึง 213,794 คน ใน 959 โรงเรียนทั่วประเทศ พร้อมสนับสนุนความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการที่ดีแก่เด็กนักเรียน สร้างคลังอาหารในโรงเรียนและชุมชนใกล้เคียง เกิดเป็นแหล่งอาหารโปรตีนโดยฝีมือของนักเรียน นำไปสู่กการพัฒนาระบบการบริหารจัดการผลผลิตที่สร้างความยั่งยืนให้กับโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันได้อย่างเป็นรูปธรรม.

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึก ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เปิดแอปฯ “MorDee” ให้ลูกค้าประกันพบหมอออนไลน์

0

เมืองไทยประกันชีวิต ขยายความสุขและรอยยิ้มให้ลูกค้า จับมือ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ผู้นำบริการดิจิทัลครบวงจร ในเครือทรู คอร์ปอเรชั่น ส่งทีมแพทย์ MorDee (หมอดี) ดูแลสุขภาพลูกค้าประกันกลุ่มถึงบ้าน เพิ่มช่องทางบริการพบแพทย์ออนไลน์ สำหรับลูกค้าประกันกลุ่มที่มีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก (OPD) สามารถปรึกษาแพทย์ผ่านแอปพลิเคชัน “MorDee” (หมอดี) รับสิทธิ์เคลมค่าแพทย์ ค่ายาได้ทันที  โดยไม่ต้องสำรองจ่าย  พร้อมฟรีค่าบริการส่งยาถึงบ้านทั่วประเทศ สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ให้บริการโดยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจากสถาบันการแพทย์ชั้นนำกว่า 500 คน ครอบคลุมทุกเรื่องสุขภาพกว่า 20 สาขา ดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องทุกที่ ทุกเวลา บนทุกสมาร์ทดีไวซ์ ได้แล้ววันนี้ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “MorDee” แล้วลงทะเบียนและเชื่อมสิทธิ์ เลือก “เมืองไทยประกันชีวิต”

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต ยังคงเดินหน้าส่งมอบความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนให้กับลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ นวัตกรรม และเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมทุกรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ เพื่อสร้างความอุ่นใจและเติมเต็มชีวิตให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี  ภายใต้นโยบาย “Happiness, Your Way เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ความสุขสไตล์คุณคือที่สุดของทุกสิ่ง” ในฐานะคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจพร้อมก้าวเคียงคู่ในทุกช่วงจังหวะของชีวิต

ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมกับ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป  เพิ่มช่องทางบริการพบแพทย์ออนไลน์ (Telemedicine) สำหรับลูกค้าประกันกลุ่มที่มีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก (OPD) สามารถพบแพทย์ได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านแอปพลิเคชัน MorDee” (หมอดี)  รับสิทธิ์เคลมค่าแพทย์ ค่ายาได้ทันที โดยไม่ต้องสำรองจ่าย ภายใต้วงเงินความคุ้มครองตามที่ระบุในกรมธรรม์ประกันภัย พร้อมฟรีค่าบริการส่งยาถึงบ้านทั่วไทย เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “MorDee” แล้วลงทะเบียนเพื่อเริ่มต้นใช้งาน จากนั้นทำการเชื่อมสิทธิ์โดยเลือกเมืองไทยประกันชีวิตและกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ยืนยันตัวตน ค้นหาแผนกที่ต้องการพบแพทย์ เลือกแพทย์ที่ต้องการปรึกษา ทำการนัดหมาย เคลมประกันเลือกสิทธิ์เมืองไทยประกันชีวิต จากนั้นพบแพทย์ตามนัดและรอรับยาที่บ้าน รวดเร็ว ปลอดภัย เป็นส่วนตัวได้ในบรรยากาศที่สะดวกสบายในบ้านหรือที่ทำงาน

นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการบริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และ ประธานกรรมการ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่าเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำแอปพลิเคชัน MorDee (หมอดี) ซึ่งพัฒนาโดย ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ช่วยดูแลสุขภาพของลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต นับเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ ทรู คอร์ปอเรชั่น บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย ในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเติมเต็มวิถีชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นในทุกวัน  ควบคู่กับความตั้งใจของ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ที่จะส่งเสริมการเข้าถึงบริการดิจิทัลของคนไทย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตครอบคลุมทุกมิติ ทั้งความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการใช้ชีวิต ตลอดจนการดูแลสุขภาพแบบยั่งยืน ความร่วมมือกับเมืองไทยประกันชีวิตในครั้งนี้ไม่เพียงเติมเต็มวิสัยทัศน์ของ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ในการนำแอปพลิเคชัน MorDee (หมอดี)  สนับสนุนให้คนไทย
ทั่วประเทศสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ผ่านระบบออนไลน์ (Telemedicine) แต่ยังเป็นการขยายโอกาสในการดูแลสุขภาพแบบยั่งยืนสำหรับลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต ผ่านแอปพลิเคชัน MorDee (หมอดี) เทคโนโลยีการพบแพทย์ออนไลน์ ปรึกษาปัญหาสุขภาพทั้งกายและใจได้ทุกที่ ทุกเวลา บนทุกสมาร์ทดีไวซ์ รักษา รับยา
เคลมประกันได้สะดวก ง่าย และปลอดภัย ในแอปฯ เดียว”

“เราพัฒนานวัตกรรม HealthTech โดยผนวกเทคโนโลยีดิจิทัลกับความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ ทำให้วันนี้แอปพลิเคชัน MorDee พัฒนาไปมากกว่าบริการพบแพทย์ออนไลน์ แต่เป็นแพลตฟอร์มดูแลสุขภาพอัจฉริยะที่ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นแบบยั่งยืนของคนไทย เริ่มตั้งแต่การดูแล ป้องกัน (Preventive Healthcare) อาทิ บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ เช็กสุขภาพเบื้องต้น และการดูแลสุขภาพแบบยั่งยืนโดยนักโภชนาการ   การปรึกษาปัญหาสุขภาพกายและใจ วิเคราะห์และรักษาโรคต่างๆ รวมถึงโรคเรื้อรัง และการฟื้นฟูสุขภาพ ให้บริการโดยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจากสถาบันการแพทย์ชั้นนำกว่า 500 คน ครอบคลุมทุกเรื่องสุขภาพกว่า 20 สาขา พร้อมบริการส่งยาถึงบ้านทั่วไทย อำนวยความสะดวกให้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ทุกเวลา จากทุกที่ทั่วประเทศ พร้อมมั่นใจได้ในข้อมูลประวัติการรักษาส่วนบุคคลและมีความปลอดภัยของข้อมูลขั้นสูง” นายณัฐวุฒิ กล่าวเสริม

“ความร่วมมือในครั้งนี้  ถือเป็นส่วนหนึ่งในการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนองค์กรด้วยการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย พร้อมส่งมอบความสุขและรอยยิ้มด้วยการเพิ่มทางเลือกด้านการดูแลสุขภาพที่ตอบโจทย์       ความต้องการที่เหมาะกับยุคปัจจุบัน และสนับสนุนการสร้างสุขภาพดีอย่างยั่งยืนให้กับทุกคน”  นายสาระ กล่าว

สำหรับลูกค้าประกันกลุ่มที่มีความคุ้มครองแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ของเมืองไทยประกันชีวิตที่สนใจปรึกษาแพทย์ออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน MorDee สามารถตรวจสอบเงื่อนไขและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่Line OA: @mordeeapp  หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MorDee ได้ที่ https://mordeeapp.com

AIS แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2/2567 กำไรสุทธิ 8.5 พันล้านบาท

0
AIS รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 ทำรายได้รวมอยู่ที่ 51,332 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 8,577 ล้านบาท จากการมุ่งเน้นคุณภาพ ส่งมอบบริการที่หลากหลายและตรงตามความต้องการของลูกค้า รวมถึงการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังคงเป้าหมายการดำเนินงานผ่านการลงทุนอย่างต่อเนื่องภายใต้งบประมาณ 25,000-26,000 ล้านบาท ที่มุ่งยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลทั้งโครงข่าย 5G, อินเทอร์เน็ตบ้าน และบริการดิจิทัลไลฟ์ให้มีความพร้อมต่อการเติบโตของตลาดรองรับพฤติกรรมของลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมขับเคลื่อนตามวิสัยทัศน์การเป็น Cognitive Tech-Co หรือองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ

ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ยังคงได้รับปัจจัยบวกมาจากการเติบโตของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมามีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวและสัมผัสมรดกวัฒนธรรมของไทยส่งผลให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ที่ 45.7 ล้านเลขหมาย โดยผู้ใช้งาน 5G ยังคงเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 10.6 ล้านเลขหมาย เติบโตขึ้น 36% จากไตรมาส 2 ปีก่อน อีกทั้ง AIS สามารถให้บริการ 5G ได้ครอบคลุมแล้วกว่า 95% ของพื้นที่ประชากร ด้วยการถือครองคลื่นความถี่มากที่สุด ครบทั้งย่านความถี่ต่ำ กลาง และสูง ที่ครอบคลุมการให้บริการในทุกรูปแบบ

ธุรกิจบรอดแบนด์ ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ภายใต้ AIS 3BB FIBRE3 อยู่ที่ 4.9 ล้านราย เติบโตขึ้น 66,900 ราย โดยสามารถทำรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการรับรู้รายได้ของ 3BB FIBRE3 และการนำเสนอสินค้าและบริการด้วยนวัตกรรมบรอดแบนด์ไฟเบอร์ที่มากกว่าเน็ตบ้าน ตอบโจทย์ทุกบ้าน ทุกธุรกิจ

ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร สร้างการเติบโต 14% สอดคล้องกับการขับเคลื่อนดิจิทัลขององค์กรทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรมของไทย ประกอบกับความมุ่งมั่นในการนำขีดความสามารถของโครงข่ายอัจฉริยะเข้าเชื่อมต่อการทำงานกับภาคธุรกิจ เพื่อยกระดับศักยภาพการทำงานขององค์กรต่างๆ ดังเช่นการประกาศแผนความร่วมมือครั้งสำคัญกับผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ระดับโลก Oracle Alloy เปิดตัวบริการ AIS Cloud ทำให้ประเทศไทยมีบริการคลาวด์ระดับ Hyperscale Cloud ที่จะพร้อมให้บริการในไตรมาส 1 ปี 2568 เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในไทย

เอเลี่ยนสปีชี่ส์…ในประเทศไทย ไม่เฉพาะแต่ปลาหมอคางดำ

0

บทความโดย สมชาย เศรษฐสกุล ผู้ชำนาญการด้านสัตว์น้ำ

จากกรณีล่าสุดที่มีการพบเห็นปลาช่อนอเมซอนขนาดใหญ่ อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติในประเทศไทย ปลาชนิดนี้ได้ชื่อว่าเป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ชื่อ ปลาอะราไพม่า ด้วยมีแหล่งกำเนิดในแม่น้ำอเมซอน จึงนิยมเรียกกันในภาษาไทยว่า ปลาช่อนยักษ์อเมซอน เป็นปลาที่สามารถกินปลาและสัตว์น้ำท้องถิ่นได้ทีละจำนวนมาก และด้วยขนาดที่ใหญ่ จึงเป็นผู้ล่าในจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร แทบไม่มีสัตว์ผู้ล่าชนิดอื่นมาคอยควบคุม การแพร่ระบาดของปลาช่อนยักษ์อเมซอนในแหล่งน้ำของไทยหลายพื้นที่ เป็นอีกตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหาการรุกรานของสัตว์น้ำต่างถิ่นหรือเอเลี่ยนสปีชีส์ในประเทศไทย

ไม่เพียงแต่ปลาช่อนอเมซอน หรือปลาหมอคางดำ ที่เป็นกระแสอยู่ในปัจจุบัน ในประเทศไทยยังพบปลาสายพันธุ์ต่างถิ่นอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น ปลาซัคเกอร์ ปลาหมอมายัน ปลาหมอบัตเตอร์ และปลาดุกบิ๊กอุย ที่ถูกนำเข้ามาเลี้ยงในไทยอย่าง แล้วหลุดออกสู่ธรรมชาติ ปลาต่างถิ่นเหล่านี้ รวมถึงปลาหมอคางดำ มีผู้ประกอบการหลายรายนำเข้ามาสู่ประเทศอย่างผิดกฎหมาย จึงยากที่จะทราบต้นตอที่ชัดเจนและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมหาศาล

หนึ่งในปลาเอเลี่ยนที่ระบาดมากที่สุดชนิดหนึ่งคือ ปลาซัคเกอร์ ซึ่งถูกนำเข้ามาเพื่อทำความสะอาดตู้ปลาสวยงาม อย่างไรก็ตามด้วยนิสัยดุร้าย ทนต่อสภาพแวดล้อมและการแพร่พันธุ์เร็ว นอกจากนี้ ยังมีปลาหมอต่างถิ่นต้องห้ามอีกสองชนิด ที่พบในแหล่งน้ำสำคัญของไทย เป็นสายพันธุ์ที่ถูกประกาศห้ามนำเข้าและห้ามเลี้ยงเช่นเดียวกับปลาหมอคางดำ ได้แก่ ปลาหมอมายัน และปลาหมอบัตเตอร์ ซึ่งในปัจจุบันปลา 2 ชนิดก็รุกรานและเป็นอันตรายกับปลาท้องถิ่น อย่างปลาหมอมายัน มีนิสัยดุร้ายและหวงถิ่น และปลาหมอบัตเตอร์ ก็แพร่พันธุ์เร็วไม่แพ้ปลาหมอคางดำและมีนิสัยกินทุกอย่าง ทั้งปลาหมอมายัน และปลาหมอบัตเตอร์ก็กินปลาขนาดเล็กและไข่ปลา ทำให้ปลาพื้นบ้านและสัตว์น้ำในธรรมชาติมีจำนวนลดน้อยลง จนกังวลว่าจะทำให้สัตว์น้ำประจำถิ่นสูญพันธุ์ ส่วนปลาดุกอัฟริกัน หรือที่เรียกกันว่าบิ๊กอุย กินพืชและสัตว์ขนาดเล็กหลากหลายชนิด ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศเพราะเบียดเบียนสัตว์น้ำท้องถิ่นด้วยการแย่งอาหารและที่อยู่อาศัย

การระบาดของเอเลี่ยนสปีชี่ส์ในประเทศไทยส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ ทั้งการทำลายสัตว์น้ำท้องถิ่น การเสียสมดุลของระบบนิเวศ อาชีพประมง และการใช้ทรัพยากรในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น การมีอยู่ของปลาต่างถิ่นหลากหลายสายพันธุ์ รวมถึงปลาต้องห้ามในแหล่งน้ำธรรมชาติในหลายพื้นที่ของไทยจึงเป็นตัวบ่งชี้ว่าเกิดช่องโหว่ในกำกับดูแลการนำเข้าและการบริหารจัดการปลาเอเลี่ยนสปีชีส์ของไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมและจัดการอย่างเคร่งครัดไม่ต่างจากปลาหมอคางดำ เพื่อป้องกันไม่ให้เอเลี่ยนสปีชีส์เหล่านี้แพร่พันธุ์และสร้างความเสียหายเพิ่มเติมในอนาคต.

ซีพีเอฟ-ประมงเพชรบุรี ชวนปชช. ลงแขกลงคลอง จับปลาหมอคางดำ

0

ซีพีเอฟ-ประมงเพชรบุรี ชวนปชช.ลงแขกลงคลอง จับปลาหมอคางดำ แต่ยังพบปลากระบอกร่วม 200 กก. ในพื้นที่คลองอีแอด

สำนักงานประมงจังหวัดเพชรบุรี ผนึกกำลังกับชุมชน เกษตรกร ชาวประมง และเอกชน จัดกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” ช่วยกันจับปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำในบริเวณคลองอีแอด ในตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี สามารถจับปลาหมอคางดำได้กว่า 400 กิโลกรัม และยังจับปลากระบอกได้ด้วยอีกร่วม 200 กิโลกรัม ช่วยสะท้อนว่าระบบนิเวศในคลองอีแอดยังมีความอุดมสมบูรณ์

ภายในกิจกรรมลงแขก-ลงคลอง มีนายสุวัฐน์ วงศ์สุวัฒน์ รองอธิบดีกรมประมง เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมกับนายสมบุญ ธัญญาผล ผู้ตรวจราชการกรมประมง ว่าที่ร้อยตรี ธีระพล โชคนำชัย นายอำเภอบ้านแหลม รวมทั้งหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกรมประมง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชาวประมง ผู้นำชุมชนและตัวแทนจากภาคเอกชนกว่า 150 คนร่วมไม้ร่วมมือกันช่วยกันจับปลาในคลองอีแอด และกิจกรรมที่จัดขึ้นในครั้งนี้ประมงจังหวัดเพชรบุรีได้รับการสนับสนุนอาหารว่าง เครื่องดื่มชูกำลังและน้ำดื่มจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ สำหรับแจกจ่ายให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมอีกด้วย

นายประจวบ เจี้ยงยี่ ประมงจังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า การจัดกิจกรรมลงแขกลงคลอง เพื่อปลาหมอคางดำ ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) เพื่อแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำในพื้นที่ให้สำเร็จอย่างเร่งด่วน และเป็นรูปธรรม โดยในวันนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากทุกภาคส่วนช่วยกันใช้อวนและแหจับปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำกันอย่างคึกคัก ในวันนี้สามารถจับปลาหมอคางดำได้ถึง 419 กิโลกรัมและได้ส่งมอบให้สถานีพัฒนาที่ดินเพชรบุรี เพื่อนำไปทำเป็นน้ำหมักชีวภาพต่อไป และยังจับปลากระบอกได้ 193 กิโลกรัม ซึ่งสามารถดำรงชีวิตและขยายพันธุ์ได้

“การจับได้ปลากระบอกในวันนี้ อาจแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำธรรมชาติและสัตว์น้ำท้องถิ่น เช่น ปลากระบอก ยังสามารถดำรงชีวิตและขยายพันธุ์ได้ สำหรับปลาหมอคางดำที่จับได้ทั้งหมดมอบให้สถานีพัฒนาที่ดินเพชรบุรี เพื่อนำไปทำเป็นน้ำหมักชีวภาพต่อไป ส่วนปลากระบอกได้แบ่งปันให้ประชาชนและส่วนหนึ่งนำมาปรุงเป็นอาหารแจกจ่ายให้ผู้ร่วมกิจกรรม” ประมงจังหวัดเพชรบุรีกล่าว

ด้านนายอดิศร์ กฤษณวงศ์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานรัฐกิจและเอกชนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ในวันนี้ ซีพีเอฟนำอาหารและเครื่องดื่มมาสนับสนุนให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมลงแขก-ลงคลอง ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางความร่วมมือ 5 โครงการกับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ ร่วมกับกรมประมงสนับสนุนการรับซื้อปลาหมอคางดำเพื่อผลิตเป็นปลาป่น สนับสนุนปล่อยปลาผู้ล่าลงสู่แหล่งน้ำ สนับสนุนภาครัฐและชุมชนจัดกิจกรรมจับปลา ร่วมกับสถาบันการศึกษานำปลาหมอคางดำพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร และร่วมทำวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาแนวทางควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว นอกจากนี้ บริษัทได้มีการประสานงานกับกรมประมงอย่างใกล้ชิดในการติดตามผลการจับปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง.

สัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ จัดกิจกรรม วันสัตวแพทย์ไทย

0

นายสัตวแพทย์ปราโมทย์ ตาฬวัฒน์ นายกสัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นประธานเปิดงาน “วันสัตวแพทย์ไทย” ซึ่งตรงกับวันที่ 4 สิงหาคม ของทุกปี โดยได้รับเกียรติจาก นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ มาร่วมงานในฐานะภาคีเครือข่ายและเจ้าของสถานที่ ณ กรมปศุสัตว์ พญาไท กรุงเทพฯ

ภายในงานมีการจัดกิจกรรมหลายด้าน อาทิ เปิดให้ประชาชนนำสัตว์เลี้ยง ได้แก่ สุนัขและแมว มารับบริการ ผ่าตัดทำหมัน ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า รับยาป้องกันเห็บหมัด ฝังไมโครชิพ ปรึกษาปัญหาสุขภาพสัตว์เลี้ยง และรับอาหารสุนัข แมว โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ในปีนี้นับเป็นโอกาสดีในการ KICK OFF ก้าวสู่ปีที่ 77 สัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ โดยมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนนโยบาย “ปรับ-เปลี่ยน” บทบาทรอบด้านสอดรับเทคโนโลยีทันสมัยและความต้องการหลากหลายของสังคม มุ่งส่งเสริมและตระหนักถึงบทบาทความสำคัญของวิชาชีพการสัตวแพทย์ ซึ่งเป็นอาชีพที่มีความสำคัญอย่างมาก ตลอดจนการป้องกันดูแลและรักษาสุขภาพของสัตว์ รวมถึงการสร้างมาตรฐานของเนื้อสัตว์ที่บริโภคให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล.