Home Blog Page 4

เมืองไทยประกันชีวิต จัดพิธีทำบุญครบรอบ 73 ปีก่อตั้งบริษัท

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จัดพิธีทำบุญครบรอบ 73 ปีการก่อตั้งบริษัทฯ เพื่อความเป็นสิริมงคล ในการนี้ได้นิมนต์พระพรหมวชิราธิบดี  เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร  และคณะสงฆ์รวม 9 รูป ทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์   พร้อมจัดพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบริษัทฯ โดยมี นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ ประธานกรรมการ นางยุพา ล่ำซำ นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายภูมิชาย  ล่ำซำ ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และพนักงาน ร่วมในพิธี งานจัดขึ้น ณ เมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่

ทั้งนี้ ในปี 2567 เมืองไทยประกันชีวิต ยังคงมุ่งมั่นในการเป็นบริษัทประกันชีวิตที่คอยส่งมอบความสุขและรอยยิ้มอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย พร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็นคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจ (No. 1 Most Trusted Partner in Life & Health Planning) ด้วยกลยุทธ์ “Happiness, Your Way เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ความสุขสไตล์คุณคือที่สุดของทุกสิ่ง” ควบคู่ไปกับความตั้งใจในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คนในสังคม (Democratizing Insurance)

ด้วยการเดินหน้าออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ รวมไปถึงนวัตกรรมที่ทันสมัย ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างได้อย่างเข้าใจ เข้าถึงได้จริง และใส่ใจทุกความหลากหลาย เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคนได้ มีหลักประกันที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ตามแนวนโยบายสำคัญของบริษัทฯ ที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรด้วยการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติสิ่งแวดล้อม (Environment)  มิติสังคม (Social) และมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (Governance and Economy) หรือ ESG 

รู้เก็บรู้ออม : แก่แล้วไง มีตังค์ใช้

จบไปแล้วสำหรับกิจกรรมดีๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ กับการจัดงาน “จาก Aged Society สู่ Happy Young Old” เมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา โดยเปิดเวทีพูดคุย แลกเปลี่ยน แนวคิดหลากหลายแง่มุมให้ผู้ที่เตรียมเกษียณหรือเกษียณแล้ว ได้เตรียมตัววางแผนสำหรับการใช้ชีวิตเกษียณอย่างมีความสุข กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “Happy Money, Happy Young Old ปูนนี้ (ก็) มีใช้” เพื่อเตรียมความพร้อมสู่สังคมสูงวัยอย่างคุณภาพ

มีหลากมุมมองและหลายแนวคิดที่ “คุณนายพารวย” เห็นว่ามีประโยชน์ อยากนำมาถ่ายทอดต่อให้แฟนคอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมฯ” ได้อ่านกัน หัวข้อนึงที่น่าสนใจ คือ หลายคนมักคิดว่าตัวเองเตรียมเงินไว้ก่อนเกษียณเพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะบริหารเงินหลังเกษียณได้

ดร.เมธี จันทวิมล วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ตลาดหลักทรัพย์ฯ แนะเคล็ดลับวิธีบริหารจัดการเงินเพื่อเตรียมไว้หลังเกษียณดังนี้ 1.การประเมินค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ ให้พิจารณาว่า มีรายรับ เช่น เงินเกษียณ เงินประกันสังคม เพียงพอกับรายจ่ายหรือไม่ หรือสำรวจรายได้จากการลงทุน เช่น ดอกเบี้ยเงินฝาก หรือเงินปันผลจากการลงทุนอื่นๆ 2.นำเงินมาจัดสรรแบ่งใช้ตามช่วงเวลา ปี 1-2 เป็นช่วงของเงินสำรองที่ใช้ในช่วงแรก ปีที่ 3-10 เป็นช่วงของการนำเงินมาลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสด และหลังปีที่ 10 เป็นการวางแผนการเงินเพื่อดูแลสุขภาพ และ 3.การทบทวนทรัพย์สิน ทรัพย์สินบางประเภทที่ต้องเสียภาษี ซึ่งจะกลายเป็นค่าใช้จ่าย จึงควรจัดสรรอย่างเหมาะสมเพื่อลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้

ด้าน ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานคณะกรรมการ บริษัท ชีวามิตร วิสาหกิจเพื่อสังคม ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า การวางแผนชีวิตเกษียณสุขนั้น คือการเตรียมพร้อมก่อนเสียชีวิต ทรัพย์สินที่อาจเป็นภาระค่าใช้จ่ายในอนาคต เราสามารถนำมาขายเป็นเงินและนำไปลงทุนอย่างระมัดระวังเพื่อให้ได้ผลตอบแทนกลับมา

สำหรับการวางแผนการเงินเพื่อเกษียณอย่างมีสุข คุณวศิน วัฒนวรกิจกุล นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย แนะให้แบ่งเงินเก็บ เป็น 5 ก้อน คือ ก้อนแรก เอาไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณช่วง 1-2 ปีแรก, ก้อนที่ 2 ใช้จ่ายช่วงปีที่ 3-5 โดยอาจลงทุนในตราสารหนี้, ก้อนที่ 3 เตรียมไว้ใช้จ่ายช่วงปีที่ 5-10 โดยลงทุนในหุ้น หรือสิ่งที่อาจมีความเสี่ยงและให้ผลตอบแทนระยะสั้น, ก้อนที่ 4 เตรียมไว้ใช้จ่ายช่วงปีที่ 11-20 ลงทุนสิ่งที่อาจมีความเสี่ยงและให้ผลตอบแทนระยะยาว ก้อนที่ 5 เงินสำรองฉุกเฉิน เก็บไว้โดยไม่นำมาใช้หลังเกษียณ หรือใช้ในเรื่องฉุกเฉิน อาจเป็นการทำประกันต่างๆ

คุณประสาน อิงคนันท์ เจ้าของเพจมนุษย์ต่างวัย นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจว่า นอกจากการมีสุขภาพและการเงินที่ดี ผู้สูงอายุต้องมีความรู้ ทัศนคติที่ดี และทำให้ชีวิตมีคุณค่า เคารพตัวเอง มีอิสระ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

โครงการ “Happy Money, Happy Young Old ปูนนี้ (ก็) มีใช้” แหล่งเรียนรู้ที่สำคัญ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้มีความมั่นคงทางการเงินและพร้อมใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างมีความสุข ผู้สนใจวางแผนการเงินหรือผู้ใกล้เกษียณ เข้าร่วมโครงการได้ ดูรายละเอียดสแกน QR Code ได้เลย

“คุณนายพารวย” มั่นใจว่า ผู้เข้าร่วมงานจะได้ประโยชน์ และนำไปวางแผนหรือปรับแผนการเงินของตัวเอง คนที่มีเวลาเหลืออีกนานกว่าจะเกษียณ ยิ่งลงมือทำเร็วก็ยิ่งดีกับตัวเอง ส่วนคนที่ใกล้เกษียณ ก็มีความพร้อมและมั่นใจในการรับมือกับชีวิตหลังเกษียณได้แน่นอน

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS ลุยจัดระเบียบสายสื่อสาร บนถนนอโศกมนตรี สุขุมวิท21

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) เดินหน้าร่วมกับ การไฟฟ้านครหลวง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรุงเทพมหานคร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนการนำสายสื่อสารลงใต้ดิน ณ บริเวณถนน อโศกมนตรี ซอย สุขุมวิท 21 กรุงเทพฯ 

โดย AIS ได้ส่งทีมวิศวกรและทีมงานลงพื้นที่บริเวณดังกล่าว ร่วมดำเนินการรื้อถอนสายสื่อสาร เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุของประชาชนเป็นสำคัญ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างทัศนียภาพเมืองที่สวยงามอีกด้วย

เลือกซื้ออาหารสดอย่างไรให้ปลอดภัย ในฤดูร้อน

นักกำหนดอาหาร เตือนผู้บริโภคระมัดระวังการเลือกซื้อสินค้าปศุสัตว์และอาหารทะเลในช่วงฤดูร้อน โดยสังเกตจากลักษณะภายนอก กลิ่น สี เนื้อสัมผัส ย้ำควรซื้อจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย มีตราสัญลักษณ์บนบรรจุภัณฑ์ ที่สำคัญให้เก็บรักษาในตู้เย็นที่อุณหภูมิเหมาะสม ป้องกันการเน่าเสีย

ดร.วนะพร ทองโฉม นักสุขศึกษา (นักกำหนดอาหารวิชาชีพ) งานสร้างเสริมสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิในประเทศไทยอาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป เหมาะแก่การเติบโตของจุลินทรีย์ก่อโรค ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้อาหารบูดเสียได้ง่าย การรับประทานอาหารและเลือกซื้ออาหารจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ ที่สำคัญควรปรุงสุก และรับประทานหลังปรุงเสร็จใหม่

ดร.วนะพร ทองโฉม

สำหรับการเลือกซื้ออาหารสด ทั้งเนื้อสัตว์ อาหารทะเล และผักสดชนิดต่างๆ เป็นกลุ่มอาหารที่เน่าเสียได้ง่าย ผู้บริโภคต้องพิจารณาจากลักษณะภายนอก เช่น ความสด ความสะอาด กลิ่น สี เนื้อสัมผัส สภาพแวดล้อมของสถานที่จำหน่าย ควบคู่กับการสังเกตตราสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” จากกรมปศุสัตว์ หรือฉลากรับรองมาตรฐานอาหารปลอดภัย และควรเลือกจากแหล่งจำหน่ายที่มีความน่าเชื่อถือ ได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานราชการ เช่น “ตลาดสด น่าซื้อ” ของกรมอนามัย “ตลาดนัดน่าซื้อ” หรือร้านอาหาร แผงลอย ที่ได้รับรองมาตรฐานด้วยตราสัญลักษณ์ อาหารสะอาด รสชาติอร่อย (Clean Food Good Taste)

ขณะเดียวกัน หากซื้อจากรถเร่จำหน่ายอาหารหรือรถพุ่มพวง ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากอาหารในรถเร่อาจมีการจัดเก็บที่ไม่ถูกหลักวิธี โดยเฉพาะเนื้อสัตว์และอาหารทะเล ซึ่งส่วนมากจะแช่น้ำแข็งในตู้แช่ ซึ่งอุณหภูมิอาจไม่อยู่ในระดับที่เหมาะสมในการรักษาคุณภาพ และความเย็นอาจไม่เพียงพอทั่วถึง เกิดการเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์ก่อโรค ทำให้เนื้อสัตว์เน่าเสียได้ ส่วนอาหารปรุงสำเร็จที่บรรจุใส่ถุงพลาสติกไว้ ให้สังเกตหากมีฟองก๊าซในถุงไม่ควรซื้อ และควรหลีกเลี่ยงอาหารหรือขนมที่มีส่วนผสมของกะทิ เนื่องจากบูดเสียได้ง่ายกว่าอาหารอื่น ๆ

“การซื้อเนื้อสัตว์ไม่ว่าจะตลาดสดหรือซูเปอร์มาร์เก็ต ต้องคำนึงถึงอุณหภูมิที่วางขายเป็นสำคัญ ควรเก็บอยู่ในอุณหภูมิต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส กรณีต้องเดินทางเกินกว่า 2 ชั่วโมง ให้ใส่ในภาชนะที่เก็บความเย็นอย่างกระติกหรือถังน้ำแข็ง เมื่อถึงบ้านแนะนำให้ล้างเนื้อสัตว์และเก็บเข้าตู้เย็นในช่องแช่แข็งเพื่อช่วยรักษาเนื้อสัตว์ให้คงความสดได้นานยิ่งขึ้น” ดร.วนะพร กล่าว

หลักในการเลือกเนื้อสัตว์ “เนื้อหมู” มีสีอมชมพู ไม่แดงจัด “เป็ดหรือไก่” เนื้อหน้าอกแน่น หนังเป็นมัน บริเวณปีกหรือใต้ปีกไม่มีสีคล้ำ ไม่มีกลิ่นเหม็น หากเลือกซื้อเนื้อสัตว์ในบรรจุภัณฑ์ ให้สังเกตตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานว่าผ่านเกณฑ์อาหารปลอดภัย ดูวันผลิตและวันหมดอายุ ที่สำคัญหากยังไม่รับประทานทันที ควรใส่ในภาชนะที่ปิดมิดชิดและเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม คือ ต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส ในช่องแช่เย็นหรือแช่แข็งในตู้เย็น และควรแบ่งประเภทของเนื้อสัตว์ เว้นช่องว่างในการแช่เพื่อให้อุณภูมิความเย็นเข้าถึง ช่วยยืดอายุของการเก็บรักษาได้นานยิ่งขึ้น

สำหรับอาหารทะเล เลือกที่สด ไม่มีสีและกลิ่นที่ผิดปกติ โดยสังเกตจากลักษณะภายนอก “ปลา” เลือกที่มีเหงือกสีแดง ไม่เขียวคล้ำ หนังปลาเป็นมันเงา เนื้อแน่น กดไม่บุ๋ม ไม่มีกลิ่นคาว ตาใส ไม่ช้ำเลือดหรือขุ่นเป็นสีเทา “ปู” เลือกปูที่ยังไม่ตาย ตาใส และขาต้องติดตัวปูครบทุกขา “กุ้ง” เลือกเนื้อแน่น ไม่มีกลิ่นคาวเหม็นคล้ายกลิ่นแอมโมเนีย ครีบและหางต้องเป็นมันสดใส หัวกับตัวยังติดกันแน่น เพราะกุ้งที่ไม่สดหัวจะไม่ติดกับตัว

เมื่อซื้ออาหารทะเลมาแล้วและยังไม่นำมาปรุงกินทันที ควรล้างทำความสะอาดแยกเก็บใส่ตู้เย็นในช่องแช่แข็งที่อุณหภูมิติดลบ เพื่อชะลอการเน่าเสีย หากแช่ในอุณหภูมิ -1 ถึง 1 องศาเซลเซียส ระยะเวลาในการเก็บจะอยู่ที่ 1-2 วัน และก่อนนำมาปรุงอาหารต้องล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ที่สำคัญเน้นปรุงสุกด้วยความร้อน หลีกเลี่ยงการกินแบบดิบ หรือ สุก ๆ ดิบ ๆ เพื่อลดความเสี่ยงโรคอาหารเป็นพิษ และอุจจาระร่วง

“ไข่ไก่” ควรเก็บไข่ไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส ในช่องวางไข่ เพื่อป้องกันการกระแทก โดยให้ด้านแหลมลง ด้านป้านขึ้น เนื่องจากบริเวณด้านป้านจะมีฟองอากาศอยู่ด้านใน เมื่อพลิกไข่ขึ้นด้านบน จะทำให้ไข่แดงไม่แตกเร็ว และยังสามารถช่วยยืดอายุไข่ให้เก็บไว้ได้นานขึ้น

ไข่ที่ซื้อมาจากตลาดสดที่มีคราบเปรอะให้เช็ดทำความสะอาดก่อนนำเข้าแช่ในตู้เย็น ไม่แนะนำให้ล้างเพราะการล้างจะทำให้สารเคลือบผิวไข่ที่รักษาความสดของไข่หายไป ส่งผลให้แบคทีเรียสามารถเข้าไปในไข่ได้ง่าย เป็นสาเหตุทำให้ไข่เสียเร็วขึ้น หากไข่มีรอยร้าวหรือแตกไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะเชื้อโรคที่เปลือกไข่อาจเข้าไปในไข่ได้ ให้ตอกใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิทแล้วแช่ตู้เย็นจะทำให้เก็บได้นานขึ้น

สำหรับผู้ประกอบการที่ใช้เนื้อสัตว์จำนวนมาก ให้เลือกซื้อจากร้านที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานการผลิตจากกรมปศุสัตว์ รวมถึงเนื้อสัตว์แปรรูปต่างๆ เช่น ไส้กรอก ลูกชิ้น เลือกจากร้านหรือเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีการรับรองมาตรฐานอาหารปลอดภัย และเก็บรักษาในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส ไม่ควรซื้อมาสต็อกไว้เป็นจำนวนมากเพราะมีโอกาสที่จะเน่าเสียได้

เมืองไทยประกันชีวิต เปิดตัวแคมเปญ “MTL ประกันดีดีที่ใส่ใจ…ทุกความหลากหลาย”

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต มีความมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกๆ คนในสังคม(Democratizing Insurance) พร้อมเดินหน้าออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างได้อย่างเข้าใจ และเข้าถึงได้จริง เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคนได้ มีหลักประกันที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ตามแนวนโยบายสำคัญของบริษัทฯ ที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรด้วยการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติสิ่งแวดล้อม (Environment) มิติสังคม (Social) และมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (Governance and Economy) หรือ ESG เพื่อสร้างความสุข และรอยยิ้มแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย

และเพื่อเป็นการตอกย้ำเป้าหมายที่ต้องการให้ประกันชีวิตเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายในสังคม ล่าสุด บริษัทฯ จึงได้เปิดตัวแคมเปญ “MTL ประกันดีดีที่ใส่ใจ…ทุกความหลากหลาย จากเมืองไทยประกันชีวิต” เพราะ “ทุกคน” มีความเป็นตัวเอง ที่ไม่เหมือนกัน เมืองไทยประกันชีวิต จึงได้ออกแบบแผนประกันสำหรับทุกความต้องการเลือกได้ทั้งแบบประกันที่ดูแลเรื่องความคุ้มครองชีวิต หรือความคุ้มครองสุขภาพที่เลือกได้ในแบบที่เป็นคุณ ไม่ว่าจะเป็น

· ShieldLife ประกันชีวิตที่ให้คุณเลือกทุนประกันเองได้ จ่ายเบี้ยสั้นหรือยาวก็เลือกได้ตามต้องการส่งต่อหลักประกันในวันที่คุณไม่อยู่

· ดี เฮลท์ พลัส (D Health Plus) ความคุ้มครองสุขภาพที่เหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริง 1-5 ล้านบาทต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง คุ้มครองกรณีแอดมิตทั้ง โรคทั่วไป โรคร้ายแรง รวมถึงการรักษาฟื้นฟูต่อเนื่องกรณีผู้ป่วยนอก ครอบคลุมทั้งค่าห้องเดี่ยวมาตรฐานทุกโรงพยาบาล ค่าหมอ ค่ายา ค่าตรวจ ค่าผ่าตัด ค่ากายภาพบำบัด อีกทั้งจะผ่าตัดเล็กหรือใหญ่ หรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ภายใน 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องนอนก็คุ้มครอง และสามารถเลือกพลัสความคุ้มครองเพิ่มได้ตามความต้องการ

· อีลิท เฮลท์ พลัส (Elite Health Plus) ความคุ้มครองสุขภาพ ที่สามารถเลือกวงเงินค่ารักษาพยาบาลตามจริงสูงถึง 20 -100 ล้านบาทต่อปี คุ้มครองกรณีแอดมิตทั้ง โรคทั่วไป โรคร้ายแรง สามารถเข้าถึงการวินิจฉัยโรคด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่าง CT Scan , MRI , PET Scan , การฟอกไต โดยไม่ต้องแอดมิต หากเป็นโรคร้ายอย่าง มะเร็ง สามารถเลือกรักษาด้วยเทคโนโลยี Immunotherapy , Targeted Therapy ได้ครอบคลุมการรักษาทั้งผู้ป่วยใน (IPD) ที่คุ้มครองห้องเดี่ยวมาตรฐานได้ทุกโรงพยาบาล และผู้ป่วยนอก (OPD) (1) ตามแผนความคุ้มครอง นอกจากนี้ยังสามารถเลือกเข้ารับการรักษาได้ทุกโรงพยาบาลทั่วโลก(2)

· เหมาจ่าย เอ็กซ์ตร้า เริ่มแผนดูแลสุขภาพแบบสบายกระเป๋า จ่ายเบี้ยไม่แพง แต่รับความคุ้มครองกรณีแอดมิต ครอบคลุมทั้งโรคร้ายแรง โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ เหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริง 2-5 แสนบาทต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง หมดกังวลถ้าต้องแอดมิต ด้วยความคุ้มครองค่าห้องสูงสุด 4,000 บาทต่อวัน(3) และรับเพิ่ม 2 เท่า หากเข้าพักในห้อง ICU แม้จะเพิ่งเริ่มต้นทำงานหรือไม่มีสวัสดิการก็อุ่นใจ

ทั้งนี้ แผนความคุ้มครองสุขภาพ ดี เฮลท์ พลัส, อีลิท เฮลท์ พลัส และเหมาจ่าย Extra สมัครได้ตั้งแต่อายุ 11 ปี – 90 ปี คุ้มครองยาวๆ ถึงอายุ 99 ปี และเบี้ยประกันภัยยังสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา(4)

นอกจากนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ยังได้ถ่ายทอดถึงเรื่องราว “ความหลากหลาย” ในแคมเปญ “MTL ประกันดีดีที่ใส่ใจ…ทุกความหลากหลาย จากเมืองไทยประกันชีวิต” ผ่านเรื่องราวของคน 14 คน 14 ความแตกต่างที่จะมาร่วมกันหาตรงกลางเพื่อเข้าใจกันมากกว่าเดิม ทั้งฟรีแลนช์กับพนักงานประจำ คนชอบเที่ยวกับคนติดบ้าน สาวโสดกับคุณแม่ลูกสอง ลูกน้องกับเจ้านาย หนุ่มโสดที่รักตัวเองกับคู่รักที่อยากดูแลกัน คน Gen Z ที่ชอบใช้ชีวิตแบบดิจิทัลกับ คน Gen X และคนเคยแข็งแรงกับคนที่แข็งแรงเตรียมพร้อมไว้ก่อน เพื่อให้เห็นถึงมุมมอง ความเป็นตัวเองของแต่ละคนได้อย่างชัดเจน โดยสามารถติดตามทุกเรื่องราวความหลากหลาย จากเมืองไทยประกันชีวิต ได้ที่ เว็บไซต์ www.muangthai.co.th, YouTube, Facebook, Instagram, X , LINE Official Account และ TikTok ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 เป็นต้นไป

สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์แคมเปญ “MTL ประกันดีดีที่ใส่ใจ…ทุกความหลากหลาย จากเมืองไทย ประกันชีวิต” สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th หรือโทร.1766 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อตัวแทนจากเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ หรือ สาขา ธนาคารกสิกรไทย และ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์

กสทช.- AIS เตือนลูกค้าที่ถือครองเลขหมายตั้งแต่ 6 เบอร์ขึ้นไป ตัองยืนยันตัวตนภายใน 13 ก.ค. 67 ก่อนถูกระงับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากความร่วมมือระหว่าง AIS และ กสทช. ในการป้องกันประชาชนจากแก๊งมิจฉาชีพ ผ่านการเชิญชวนให้ลูกค้าที่ถือครองเลขหมายตั้งแต่  6 เบอร์ขึ้นไป เข้ามาดำเนินการยืนยันตัวตน เพื่อลดความเสี่ยงจากอาชญากรรมออนไลน์  ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความร่วมมือจากลูกค้าเป็นอย่างดีนั้น  ล่าสุด พล.ต.อ.ดร.ณัฐธร   เพราะสุนทร กสทช. (ด้านกฎหมาย) ได้ติดตามความคืบหน้าการยืนยันตัวตนของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มของ ลูกค้าที่มีจำนวนเลขหมายที่ถือครองตั้งแต่ 6 – 100 เบอร์ ซึ่งจะครบกำหนดที่ต้องเข้ามายืนยันตัวตนภายในวันที่ 13 กรกฎาคม 2567 โดยเยี่ยมชมการทำงานของ AIS Shop สาขา สยามพารากอน และมีนายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS เป็นตัวแทนต้อนรับ พร้อมกล่าวว่า “เราได้อัปเดตความคืบหน้าการยืนยันตัวตนของลูกค้ากับ AIS ให้ กสทช.ทราบอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในอันที่จะช่วยกันป้องกันประชาชนจากอาชญากรรมทางออนไลน์ให้บรรลุตามเจตนารมณ์ร่วมกัน”

ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา AIS ได้มีการแจ้งเตือนไปยังหมายเลขที่ต้องเข้ามาดำเนินการยืนยันตัวตนทุกเบอร์ ผ่านวิธีการต่าง ๆ ได้แก่ การส่ง SMS ด้วย Sender “AIS” (ไม่มี link แนบ), แจ้งเตือนทางโทรศัพท์  (ด้วยเบอร์ 1175, 1148 ) และเสียงแจ้งเตือนเมื่อโทรออก เพื่อเป็นการรักษาสิทธิและป้องกันการถูกระงับใช้งานชั่วคราว  ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถยืนยันตัวตนได้ ผ่าน AIS Shop, AIS Telewiz  และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ หรือสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองผ่าน 2 ช่องทาง 1. กด*161*2*เลขบัตรประชาชน# โทรออก ฟรี (รอรับ SMS ทำตามขั้นตอน)    2. ผ่านแอป myAIS (สำหรับลูกค้าระบบเติมเงิน) 3. เว็บไซต์ http://kyc.cloud.ais.th/repi

         หากลูกค้าไม่ได้ดำเนินการยืนยันตัวตนภายใน 13 กรกฎาคม 2567 เพื่อความปลอดภัยจากการถูกมิจฉาชีพลักลอบนำเบอร์ไปใช้ บริษัทฯ จะดำเนินการระงับการใช้งานชั่วคราวตามประกาศ กสทช. โดยจะยังคงรับสายและ              ใช้เน็ตเข้า AIS Website และ แอป myAIS ได้ แต่ไม่สามารถโทรออกได้ (สามารถโทรหมายเลข Emergency และ AIS Call Center ได้) โดยลูกค้าสามารถมายืนยันตัวตนเพื่อเปิดการใช้งานได้ผ่านช่องทางข้างต้น สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ais.th/consumers/lifestyle/blog/public-relations/identity-verification-policy-for-user-registration

“TNITY” ปรับโครงสร้างองค์กรรับการแข่งขันภายใต้ตลาดผันผวน

“บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา” ปรับโครงสร้างองค์กร ตั้ง “ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล” ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมดึง “ดร.วีรพัฒน์ เพชรคุปต์” นั่งแท่นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด มีผล 1 เม.ย.นี้  เปิดเป้าหมายการทำธุรกิจปี 2567 เดินหน้าขยายฐานลูกค้า TFEX ดันอันดับมาร์เก็ตแชร์ ให้ติด Top 10 ปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัล พัฒนา Application การซื้อขายเต็มรูปแบบ และเตรียมลุยแพลตฟอร์มซื้อขายต่างประเทศ เพื่อให้ตอบสนองการให้บริการลูกค้าแบบไร้รอยต่อ

นายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จํากัด (มหาชน) (TNITY) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติแต่งตั้ง ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ให้ดํารงตําแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารแทนนายชาญชัย กงทองลักษณ์ ที่เกษียณอายุ ซึ่งคณะกรรมการบริษัทได้แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาบริษัทต่อไป

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ได้มีมติแต่งตั้งให้ ดร.วีรพัฒน์ เพชรคุปต์  ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด แทน ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา โดยการปรับโครงสร้างในครั้งนี้จะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 เมษายน 2567

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TNITY เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2567 ว่า ทรีนีตี้มียุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนบริษัทในปี 2567 โดยโฟกัสไปที่การเพิ่มขึ้นของ ROE และเน้นการสร้างผลกำไรให้กับบริษัทภายใต้สภาวะตลาดที่ยังมีความผันผวนและการแข่งขันสูง ขับเคลื่อนโดยการใช้ Digitalization ทั่วทั้งองค์กรและการใช้ Customer Relationship Management (CRM) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งฐานลูกค้า Brokering โดยตั้งเป้าที่จะขยายฐานลูกค้า TFEX และสร้างมาร์เก็ตแชร์ให้ติดอันดับ Top 10 และมุ่งหาพันธมิตรที่เป็นสถาบันการเงิน เพื่อต่อยอดในการดำเนินธุรกิจต่างๆ ของบริษัท

บริษัทจะรุกธุรกิจวาณิชธนกิจ ในการเป็นที่ปรึกษาการเงินนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ซึ่งขณะนี้มีดีลในมือประมาณ 8-10 ดีล จะทยอยเข้าจดทะเบียนในปี 2567-2568 ดีลการเข้าไปเป็นที่ปรึกษา ด้านการควบรวมกิจการ (M&A) จำนวน 6-8 ดีล และยังเป็นที่ปรึกษาในการระดมทุนด้วยการออกตราสารหนี้ (Bond) 10-12 ดีล รวมถึงตั้งเป้าในส่วนของธุรกิจจัดการกองทุนส่วนบุคคล (Wealth Management)   ที่คาดว่าจะเติบโตทะลุ 3,200 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ทิศทางผลดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นต่อไป

ดร.วีรพัฒน์ เพชรคุปต์

ด้าน ดร.วีรพัฒน์ เพชรคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ด้วยประสบการณ์ในการทำงานด้านธุรกิจหลักทรัพย์ที่ผ่านมา มองว่าบริษัทต้องเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และการบริการต่างๆ ที่จะนำมาเสนอให้กับลูกค้า เพื่อให้เกิดประโยชน์และผลตอบแทนสูงสุดกับลูกค้าของบริษัทต่อไป โดยบริษัทจะเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มตัวด้วยการเดินหน้าปรับปรุง Application เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการทำรายการซื้อขายผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ ของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทอยู่ในการพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินของต่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้บริการกับลูกค้าแบบไร้รอยต่อ และให้สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของบริษัทที่จะส่งมอบผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้กับนักลงทุน

ซีพีเอฟ เดินหน้าพัฒนาคู่ค้าพันธมิตรเติบโตอย่างยั่งยืน ยกระดับการจัดหาที่รับผิดชอบ สร้างความมั่นคงทางอาหาร

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จัดงานสื่อสารคู่ค้าพันธมิตรกว่า 600 ราย ในรูปแบบ On-site และ Online เปิดตัวโครงการ “ PARTNER TO GROW 2024…เติบโต เคียงข้าง อย่างยั่งยืน” มุ่งมั่นพัฒนาคู่ค้า ร่วมคิด ร่วมพัฒนา เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนไปด้วยกัน

นางสาวธิดารัตน์ เดชายนต์บัญชา ผู้บริหารสูงสุดสายงานจัดซื้อกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟเป็นบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจเกษตรอุตสากรรมและอาหาร ดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยตลอดห่วงโซ่คุณค่า คู่ค้าพันธมิตรเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมองเห็นเป้าหมายเดียวกัน พัฒนาศักยภาพร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ซีพีเอฟสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อโลก แก่ผู้บริโภคทั่วโลก สร้างความมั่นคงทางอาหาร ตามวิสัยทัศน์ “ครัวของโลก” บริษัทฯ จึงได้จัดงานสื่อสารความมุ่งมั่นในการดำเนินการจัดหาอย่างรับผิดชอบ ผ่านการดำเนินโครงการ “PARTNER TO GROW…เติบโต เคียงข้าง อย่างยั่งยืน” ต่อเนื่องปีที่สอง เพื่อให้คู่ค้าพันธมิตร รับทราบทิศทางและเป้าหมายของซีพีเอฟ การดำเนินงานโครงการ แนวทางและหลักเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงาน รวมถึงแผนการพัฒนาศักยภาพสำหรับคู่ค้าพันธมิตรในด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินงานและความสามารถทางการแข่งขัน ช่วยขยายโอกาสทางธุรกิจ ควบคู่กับการดูแล เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล และในปีนี้ ซีพีเอฟร่วมกับคู่ค้าพันธมิตรกำหนดแนวทางเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ Net-Zero ในปี 2050

ในปีนี้ แนวทางการประเมินผลการดำเนินงาน และแผนการพัฒนาศักยภาพคู่ค้าพันธมิตร ยังคงเน้นใน 5 ด้านหลักที่เป็นหัวใจสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน คือ 1.ด้านการส่งมอบสินค้าและบริการ โดยเน้นเรื่องการส่งมอบสินค้าและบริการได้ตรงตามเวลา ทำให้บริษัทมีความต่อเนื่องในการผลิตอาหารไปสู่ผู้บริโภคได้ รวมถึงการมอบบริการที่ดี 2.ด้านคุณภาพของสินค้า ซีพีเอฟให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารก่อนส่งถึงมือผู้บริโภค 3.ด้านความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนซึ่งสะท้อนมาจากราคาที่แข่งขันได้ ซีพีเอฟเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าในภาพรวม ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจของคู่ค้าพันธมิตร ปรับตัวรับสภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงเพื่อให้บริษัทสามารถส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสมให้กับผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง 4.ด้านความยั่งยืน ทางซีพีเอฟส่งเสริม และสนับสนุนคู่ค้าพันธมิตรตระหนักถึงการจัดหาอย่างยั่นยืนใน 4 มิติ คือ มิติสินค้าและบริการอย่างมีมาตรฐาน ตรวจสอบย้อนกลับได้ มิติการบริหารบุคลากรภายในบริษัท การปฏิบัติต่อแรงงานตามกฎหมายอย่างเป็นธรรม มิติการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมิติด้านการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล ปฏิบัติตามกฏหมาย เป็นธรรม และโปร่งใส ทั้ง 4 มิตินี้ทำให้การดำเนินธุรกิจของคู่ค้าพันธมิตรเติบโตอย่างยั่งยืน และ 5.ด้านนวัตกรรม คู่ค้าพันธมิตรจำเป็นต้องมีการพัฒนา ปรับปรุงและคิดค้นนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขัน และยั่งยืน

โครงการ “PARTNER TO GROW…เติบโต เคียงข้าง อย่างยั่งยืน” มีการรายงานผลการประเมินคู่ค้าพันธมิตรในแต่ละด้านเป็นรายไตรมาส เพื่อช่วยให้คู่ค้าพันธมิตรเห็นด้านที่สามารถพัฒนาปรับปรุงเพิ่มเติม ทั้งนี้ทางซีพีเอฟเองได้ผนึกกำลังหน่วยงานภายในองค์กร จัดโปรแกรมพัฒนาศักยภาพคู่ค้าพันธมิตรในด้านต่างๆ เพื่อแบ่งปันองค์ความรู้ ประสบการณ์สู่การลงมือทำปฏิบัติจริง และสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี นวัตกรรม ซึ่งเป็นประโยชน์กับคู่ค้าพันธิมิตรในการขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างเป็นเลิศ มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่คุณค่า สอดคล้องกับนโยบายด้านการจัดหาอย่างยั่งยืนและแนวปฏิบัติสำหรับคู่ค้าธุรกิจของซีพีเอฟ

กรมปศุสัตว์ จับมือ ภาคเอกชนและสัตวแพทยสมาคมฯ เดินหน้าส่งเสริมสุขภาพสัตว์ดีถ้วนหน้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ พร้อมด้วย ข้าราชการระดับสูงและเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ รับมอบผลิตภัณฑ์กำจัดเห็บหมัดภายนอกตัวสุนัขและแมว แบบหยดหลัง จำนวน 50,000 โดส จาก นายสัตวแพทย์กมล รัตนตยารมณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนาโอกะ ฟาร์มาซูติคอล จำกัด ร่วมกับ นายสัตวแพทย์ปราโมทย์ ตาฬวัฒน์ นายกสัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

ทั้งนี้ เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมควบคุม ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ที่เป็นสาเหตุให้คนไทยเสียชีวิต 100-1,000 คนต่อปี ให้หมดไปภายในปี 2570 ณ กรมปศุสัตว์ พญาไท

AIS ชวนสัมผัสทะเลไทย จัดเต็มโครงข่าย 5G ถึงทุกเกาะ เร็วแรงทุกหาด ปักหมุดที่เที่ยวอันซีน กุ้ยหลินเมืองไทย – อ่าวมาหยา

AIS ร่วมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ในช่วงซัมเมอร์หน้าร้อนกับความสวยงามของท้องทะเลไทยทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย พร้อมเชื่อมต่อศักยภาพ 5G ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์ดิจิทัล ปักหมุดสุดยอดแหล่งท่องเที่ยว Unseen Thailand กุ้ยหลินเมืองไทย เขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) ภายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี และชายหาดที่สวยติดอันดับโลกอย่างอ่าวมาหยา เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ รวมถึงยังครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เร็วทุกเกาะ แรงทุกชายหาด ไม่พลาดทุกไลฟ์สไตล์

            นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS กล่าวว่า “สำหรับปีนี้สถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศกลับมาคึกคักและฟื้นตัวอีกครั้ง จากความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรือแม้แต่อาหารการกิน ที่ล้วนแล้วแต่เป็นแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาเยือนเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง AIS จึงเดินหน้าพัฒนาโครงข่ายสื่อสารสัญญาณให้มีคุณภาพความเร็วแรง และความครอบคลุมทุกพื้นที่การใช้งานให้รองรับทุกไลฟ์สไตล์ความต้องการ แน่นอนว่าการทำงานของเราหมายรวมถึงพื้นที่เดิมที่เคยครอบคลุมอยู่แล้วก็ต้องดียิ่งขึ้น ในขณะที่พื้นที่ใหม่ๆ ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เราก็ไม่หยุดยั้งในการนำศักยภาพโครงข่าย 5G เข้าเชื่อมต่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวอยู่ตลอดเวลา”

            AIS จึงเป็นผู้ให้บริการรายแรกและรายเดียวที่สามารถให้บริการโครงข่ายสัญญาณ 5G ภายในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น กุ้ยหลินเมืองไทย อย่างเขื่อนรัชชประภา หรือ เขื่อนเชี่ยวหลาน ภายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่สามารถอำนวยความสะดวกให้นักนักท่องเที่ยวมาสัมผัสธรรมชาติความสวยงามที่เขื่อนเชี่ยวหลานปีละกว่าแสนรายสามารถใช้งานทั้งการโทร และดาต้าบนระบบโครงข่าย AIS 5G ได้อย่างราบรื่นไม่สะดุด แม้จะอยู่ท่ามกลางหุบเขาหินปูนที่โอบล้อมไปทุกด้าน

            หรือแม้แต่ชายหาดทะเลไทย ที่เป็นหนึ่งใน Destination ของ นักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยวันนี้เราสามารถให้บริการโครงข่าย 5G ครอบคลุมพื้นที่ประชากรในการใช้งานไม่ว่าจะเป็น 95% พื้นที่เกาะ 98% ในพื้นที่ชายหาดทั่วประเทศ อาทิ บริเวณอ่าวมาหยาที่สวยติดอันดับ 3 ชายหาดที่สวยที่สุดในโลก ทำให้ผู้มาเยือนสามารถถ่ายรูป ทำคอนเทนต์ โพสต์ แชร์ลงโซเชียลได้แบบเรียลไทม์

            “AIS พร้อมนำศักยภาพโครงข่าย 5G สนับสนุนภาคการท่องเที่ยวในช่วงซัมเมอร์และวันหยุดยาวให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสัมผัสกับความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ รวมถึงสามารถใช้งานโครงข่ายสื่อสารที่ดีที่สุด ด้วยการมีคลื่นความถี่ครบทุกย่านมากที่สุด รวมถึงยังมีความครอบคลุมการใช้งาน 5G กว่า 90% ของประเทศ”  นายวสิษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย