Home Blog Page 4

AIS เล่นใหญ่ครั้งแรกในไทย เปิดแพ็กรวมสตรีมมิงแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ NETFLIX – Max – Disney+ Hotstar – iQIYI – VIU – WeTV เพียง 999 บาท ต่อเดือน


AIS ตอกย้ำการเป็นผู้นำ The Largest ENTERTAINMENT HUB เดินหน้าทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลก ด้วยการรวมบริการสตรีมมิงแพลตฟอร์มชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น NETFLIX – Max – Disney+ Hotstar – iQIYI – VIU – WeTV พร้อมช่องพรีเมียมดัง 22 ช่อง ที่สามารถรับชมได้ผ่าน AIS PLAY มาให้ลูกค้าและคนไทยได้สัมผัสกับการรับชมสุดยอดคอนเทนต์ความบันเทิงที่ครบถ้วนและหลากหลายบนโครงข่ายที่ดีที่สุดเป็นครั้งแรกในไทยกับแพ็กเกจ PLAY ULTIMATE พิเศษสำหรับลูกค้า AIS เพียง 999 บาท ต่อเดือนเท่านั้น ด้วยราคาที่คุ้มค่ามากสุด

นายเลิศชัย กดทรัพย์ รักษาการหัวหน้าหน่วยธุรกิจการตลาด AIS กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่มีความแข็งแกร่งมากสุดในอุตสาหกรรม โดยวันนี้ AIS สามารถส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่หลากหลาย ผ่านโครงข่าย AIS 5G ที่มีความครอบคลุมแล้วกว่า 95% ของพื้นที่ประชากร รวมถึงยังได้รับการยืนยันจากองค์กรที่ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลจากการใช้งานของผู้บริโภคบนมือถือที่มีมาตรฐานระดับโลกทั้งจาก Ookla® ในปี 2024 และ Open Signal ในปี 2024 การันตีให้ AIS 5G เป็นเครือข่าย 5G ที่เร็วแรง และที่ดีที่สุดของไทยในทุกมิติ ทำให้วันนี้เราสามารถเชื่อมต่อประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าได้ครบทุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะประสบการณ์การรับชมคอนเทนต์บนโครงข่าย AIS ที่ดีเยี่ยมตั้งแต่การเปิดรับชม VDO มี Time Out น้อยสุด เป็นโครงข่ายที่ผู้คนกดเล่น VDO แล้วใช้ Start Time สั้นสุด เล่นทันทีไม่มีกระตุก ทำให้วันนี้เรามีความพร้อมในการเชื่อมต่อการรับชมคอนเทนต์ผ่านสุดยอดแพลตฟอร์มสตรีมมิงชั้นนำระดับโลกที่เราจัดเต็มมาให้ลูกค้าและคนไทยในแพ็กเกจ PLAY ULTIMATE”

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าส่วนงาน AIS PLAY กล่าวเสริมไปอีกว่า “ด้วยการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่างต่อเนื่องทำให้ที่ผ่านมา AIS สามารถส่งมอบประสบการณ์การรับชมคอนเทนต์ชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลกมาให้ลูกค้าและคนไทยได้รับชมจนเราสามารถยกระดับเป็น The Largest ENTERTAINMENT HUB ศูนย์กลางการรับชมคอนเทนต์ที่ใหญ่ที่สุดครบที่สุด ในฐานะผู้ให้บริการ Streaming Service ที่ตอบโจทย์และมีทางเลือกให้ลูกค้ารับชมคอนเทนต์ได้ครบถ้วน ประกอบกับวันนี้เรามีความเข้าใจในพฤติกรรมการรับชมคอนเทนต์ของลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์การรับชมคอนเทนต์ที่แตกต่างและหลากหลายทั้งจากฝั่งตะวันออกและตะวันตก

ดังนั้นจากประสบการณ์การทำงานร่วมกับ OTT และพาร์ทเนอร์ระดับโลกมาตลอดหลายปี และได้สร้างปรากฎการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายและเปิดตลาดคอนเทนต์ระดับโลกไปสู่ฐานลูกค้าทั้งมือถือและเน็ตบ้านจากแนวคิด Ecosystem Economy ที่มีความพร้อมแบบ End to End ตั้งแต่การมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่แข็งแรง รวมถึงการสร้าง Video Business Ecosystem ที่มีความสมบูรณ์ จึงเป็นที่มาของความไว้วางใจร่วมจับมือกับพาร์ทเนอร์ผ่านสุดยอดแพ็กเกจที่ทุกคนรอคอยอย่าง PLAY ULTIMATE เป็นครั้งแรกในไทยที่รวมสุดยอดสตรีมมิงแพลตฟอร์มทั้ง NETFLIX – Max – Disney+ Hotstar – iQIYI – VIU – WeTV พร้อมช่องพรีเมียมมากมาย มาไว้ในแพ็กเดียว”

สำหรับแพ็กเกจ PLAY ULTIMATE เป็นการรวมที่สุดของความบันเทิงในแพ็กเกจเดียว พิเศษสำหรับลูกค้า AIS ในระบบรายเดือนเท่านั้นสมัครง่ายๆ กด 67899# โทรออก เพียง 999 บาทต่อเดือน (ยังไม่รวม VAT) สามารถรับความบันเทิงแบบขั้นสุดจาก 6 สตรีมมิงแพลตฟอร์มชั้นนำ
NETFLIX Premium รับชมได้ถึง 4 อุปกรณ์ ความคมชัดแบบ 4K Ultra HD และ Dolby Atmos
Max Ultimate รับชมได้ถึง 4 อุปกรณ์ ความคมชัดแบบ 4K Ultra HD และ Dolby Atmos (as available)
Disney+ Hotstar Premium รับชมได้ถึง 4 อุปกรณ์ ความคมชัดแบบ 4K Ultra HD และ Dolby Vision (as available)
iQIYI VIP รับชมได้ถึง 2 อุปกรณ์ ความคมชัดแบบ Full HD และ Dolby Atmos
VIU Premium รับชมได้ถึง 5 อุปกรณ์ ความคมชัดแบบ Full HD
WeTV VIP รับชมได้ถึง 2 อุปกรณ์ ความคมชัดแบบ Full HD
พร้อมช่องพรีเมียมดัง 22 ช่อง อาทิ HBO, CARTOON NETWORK, CNN, Discovery Channel ที่สามารถสัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงระดับพรีเมียมผ่าน AIS PLAY เท่านั้น

แน่นอนว่าการเปิดแพ็กเกจ PLAY ULTIMATE ในครั้งนี้นับเป็นการพลิกโฉมตลาด และเปิดประสบการณ์ครั้งใหม่ให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินไปกับความหลากหลายของคอนเทนต์ทั้ง ภาพยนตร์ ซีรีย์ วาไรตี้ สารคดี แอนิเมชัน และอีกมากมาย รวมถึงวันนี้เรายังเปิดตัวแพ็กเกจต้อนรับลูกค้าใหม่ที่พร้อมส่งมอบที่สุดของความบันเทิงบนมือถือและในบ้านกับ 5G Max PLAY ULTIMATE สำหรับลูกค้าที่เปิดเบอร์ใหม่หรือย้ายค่ายเบอร์เดิม หรือเปลี่ยนจากระบบเติมเงินมาเป็นระบบรายเดือน กับสุดยอดแพ็กเกจที่รวมทุกความบันเทิงจาก PLAY ULTIMATE พร้อมค่าโทรและเน็ต 5G เต็มสปีด เริ่มต้นเพียง 1,299 บาทต่อเดือนเท่านั้น ได้ที่ AIS Shop ทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป

ความยั่งยืนด้านสวัสดิภาพสัตว์ : กุญแจสู่อนาคตอาหารปลอดภัยและสมดุลสิ่งแวดล้อม

บทความโดย นายสัตวแพทย์พยุงศักดิ์ สมยานนทนากุล รองผู้อำนวยการด้านมาตรฐานฟาร์มและข้อกำหนดลูกค้า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)                                                                            

ในยุคที่อุตสาหกรรมเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความยั่งยืนด้านสวัสดิภาพสัตว์ (Sustainable Animal Welfare) เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาระบบอาหารที่มั่นคง ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามเส้นทางสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) เพื่ออนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกชีวิตบนโลก

การเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบันกำลังเผชิญความท้าทายจากปัจจัยหลายด้าน เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความต้องการอาหารที่ยั่งยืน และแรงผลักดันด้านสวัสดิภาพสัตว์ การสร้างสมดุลระหว่างการเพิ่มผลผลิต การรักษาสิ่งแวดล้อม และดูแลสัตว์ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็น ตลอดจนเป็นแรงกระตุ้นให้การเลี้ยงสัตว์ปีกเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน

บริษัทเกษตรอุตสาหกรรมชั้นนำทั่วโลกรวมถึงบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ตระหนักดีถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านจากการเลี้ยงสัตว์แบบดั้งเดิมสู่การทำฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm) ด้วยการนำแนวทาง “ความยั่งยืนด้านสวัสดิภาพสัตว์” มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและรักษาสมดุลระหว่างคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม จากการนำหลักการสวัสดิภาพสัตว์ 5 ประการ (Five Freedoms) ซึ่งเป็นพื้นฐานการเลี้ยงสัตว์สู่ความยั่งยืน มาประยุกต์ใช้ในการดูแลสัตว์ที่ให้ความสำคัญในเรื่องต่างๆ ดังนี้

•อิสระจากความหิวกระหาย
•อิสระจากความไม่สบายกาย
•อิสระจากความเจ็บปวดและโรคภัย
•อิสระในการแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ
•อิสระจากความกลัวและความเครียด

หลักสวัสดิภาพสัตว์ จะช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะ ป้องกันโรค และทำให้สัตว์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่งผลให้ได้เนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพสูงและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งเกษตรกรยังสามารถลดต้นทุนในระยะยาวและเพิ่มผลผลิตได้อย่างยั่งยืน

ซีพีเอฟ ยังให้ความสำคัญในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น Internet of Things (IoT), ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเซ็นเซอร์อัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการจัดการฟาร์มแบบ Smart Farm ช่วยเพิ่มความแม่นยำและเรียลไทม์ในการติดตามสุขภาพสัตว์ การจัดการ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ลดความเครียดและป้องกันการเกิดโรคระบาด พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์สู่ระดับสากล

นอกจากนี้ การใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และการวิเคราะห์ข้อมูลในระบบคลาวด์ (Cloud-based Data Management) ช่วยให้สามารถบริหารจัดการฟาร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้าเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานได้ในระยะยาว

ในขณะเดียวกันประเทศผู้นำเข้าอาหารยังได้เพิ่มเงื่อนไขด้านความรับผิดชอบในการจัดหาวัตถุดิบ เช่น การใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน และถั่วเหลืองจากแหล่งเพาะปลูกที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตรวจสอบย้อนกลับได้ และไม่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า โดยซีพีเอฟ ตั้งเป้าหมาย “Zero Deforestation” ภายในปี 2568 เพื่อการจัดหาวัตถุดิบในห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน

ความยั่งยืนด้านสวัสดิภาพสัตว์ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยแนวคิดนี้ ทุกชีวิตจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนโดยไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เพื่อสมดุลในอนาคตที่ดีกว่าระหว่าง คน สัตว์ และโลกของเรา.

เมืองไทยประกันชีวิต ขนทัพ “ประกันออมทรัพย์ออนไลน์” 3 แบบ 3 สไตล์ในแบบคุณ  ช่วยวางแผนภาษีโค้งสุดท้ายปลายปี

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิตเดินหน้ารุกตลาดประกันออนไลน์อย่างต่อเนื่อง บนความมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คนในสังคม (Democratizing Insurance) พร้อมตอบโจทย์ด้านการวางแผนภาษีโค้งสุดท้ายช่วงปลายปี 2567  ด้วยการนำเสนอประกันออมทรัพย์ออนไลน์ ให้คุณเลือกได้ 3 แบบ 3 สไตล์   ในแบบคุณ

แบบที่ 1 “เมืองไทย เพอร์เฟค เซฟวิ่ง 11/5  (Perfect Saving 11/5)” สำหรับคนที่ชอบให้ดูแลยาว ๆ รับสิทธิลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขเป็นระยะเวลา 5 ปี คุ้มครองชีวิตนาน 11 ปี ผลตอบแทนคุ้มสะใจ รับผลประโยชน์รวมสูงสุด 527.5%(1)  รับเงินจ่ายคืนทุก 2 ปีกรมธรรม์ ซื้อได้ตั้งแต่อายุ  20-65 ปี  ลดหย่อนภาษีสูงสุด 100,000 บาท

แบบที่ 2  “ออมจุใจ 10/3” สำหรับคนชอบจ่ายสั้น ๆ  ประกันออมทรัพย์ออนไลน์ตัวใหม่ล่าสุด ที่ตอบโจทย์ความต้องการแบบจุใจ ทั้งด้านการออม ผลประโยชน์ทางภาษี และความคุ้มครองชีวิต ด้วยผลประโยชน์รวมสูงสุด 333%(1) จ่ายเบี้ยสั้น ๆ 3 ปี แต่คุ้มครองยาวถึง 10 ปี รับเงินคืนทุกปีกรมธรรม์ ปีละ 1%(1) ซื้อได้ตั้งแต่อายุ  20-80 ปี  ลดหย่อนภาษีสูงสุด 100,000 บาท 

แบบที่ 3 “โครงการเมืองไทย Super Return 11/1”  ประกันออมทรัพย์สำหรับคนชอบจ่ายครั้งเดียวจบ ได้เงินคืนแบบแฮปปี้ ซื้อง่าย ให้ความคุ้มครองยาวถึง 11 ปี รับผลประโยชน์รวมสูงสุด 112%(1)  รับเงินจ่ายคืนทุก 2 ปีกรมธรรม์  ซื้อได้ตั้งแต่อายุ 20-65 ปี  ลดหย่อนภาษีสูงสุด 100,000 บาท

พิเศษ!! สำหรับผู้ที่ซื้อแบบประกันภัยบนช่องทาง Online Sale และ แอปพลิเคชัน  MTL Click รับโปรโมชันโดนใจมากมาย พร้อมผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 6 เดือน(2)

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถเลือกซื้อประกันออมทรัพย์ออนไลน์ 3 แบบ 3 สไตล์ในแบบคุณ เพื่อวางแผนภาษีโค้งสุดท้ายปลายปี จากเมืองไทยประกันชีวิต ทางช่องทางออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง  หรือศึกษารายละเอียดแบบประกันภัย โปรโมชันและสิทธิพิเศษเพิ่มเติม ได้ที่ https://sl.muangthai.co.th/s/8hqlIQ70

ไม่คลี่คลาย..ไม่หยุดช่วย! CP-CPF ปักหลักช่วยน้ำท่วมใต้ต่อเนื่อง

ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 8 จังหวัด นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส หลายพื้นมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ส่งผลกระทบกับประชาชนกว่า 5.5 แสนครัวเรือน หลายครอบครัวไร้ที่อยู่อาศัยและเข้าถึงอาหารอย่างยากลำบาก เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ตลอดจนบริษัทในเครือฯ ยังคงร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรจิตอาสา เร่งให้ความช่วยเหลือคนไทยสามารถก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปได้

ล่าสุด CP-CPF ประสานความร่วมมือกับมณฑลทหารบกที่ 42 ร่วมกับแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ เพื่อจัดตั้งโรงครัว CPF ให้เป็นศูนย์กลางในการสนับสนุนด้านอาหารและน้ำดื่ม ให้แก่ทีมแพทย์สาธารณสุขและกองทัพบก ที่ปฎิบัติหน้าที่ดูแลผู้ประสบมหาอุทกภัยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก (High Volume) อาทิ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา ซึ่งมี โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ เป็นศูนย์รับส่งต่อผู้ป่วยอาการหนัก (High Risk) โดยโรงครัว CPF ตั้งขึ้นที่ “โรงครัว โรงพยาบาลปัตตานี” ซึ่งสามารถทำอาหารกล่องได้วันละ1,000 กล่อง โรงครัวแห่งนี้ถือเป็น Pilot Project ที่จะดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องจนถึงระยะฟื้นฟูสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติ

วันนี้ ชาว CPF จิตอาสาจากทุกหน่วยงาน ร่วมกันนำผลิตภัณฑ์อาหาร อาทิ ไก่สด ไข่ไก่ ข้าวสาร ไปมอบแก่โรงครัว CPF เพื่อดำเนินการประกอบอาหารที่เหมาะสมกับพื้นที่ มุ่งเน้นให้ได้อาหารที่สดใหม่ทุกวัน โดยมีท่านผู้บัญชาการ มทบ.42 ค่ายเสนาณรงค์ เป็นผู้ดูแลการจัดส่งวัตถุดิบและจัดส่งอาหารในแต่ละวันให้กับแพทย์และบุคคลากรทางการแพทย์ในแต่ละจังหวัด สำหรับวันแรกนี้เริ่มต้นส่งมอบวัตถุดิบไปยังโรงพยาบาลปัตตานีเป็นวันแรก

ขณะเดียวกัน คอมเพล็กซ์ไก่ไข่ จะนะ จ.สงขลา ยังเดินหน้าสนับสนุนไข่ไก่สดให้กับ อาสาดุสิต (ประเทศไทยสดใส ดีกว่าเดิม) เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยใน 3 จังหวัด สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส โดยมีค่ายเสนาณรงค์ร่วมสนับสนุนภารกิจในการรับมอบไข่ไก่พร้อมทั้งนำส่งอาหารปรุงสุกเพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆดังกล่าว

โครงการ ‘CP-CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม’ ดำเนินการตามนโยบาย “ซีพีเอฟพร้อมให้การสนับสนุนโรงครัวภาคใต้ 100 โรงครัว” ของนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPF โดยมีชาว CPF จิตอาสาเป็นกำลังสำคัญในการนำความช่วยเหลือไปมอบให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งสนับสนุนผ่านทุกหน่วยงานเพื่อร่วมบรรเทาทุกข์แก่ชาวใต้อย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน มีโรงครัวและศูนย์ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนชาวใต้ ที่ซีพีเอฟได้ให้การสนับสนุน ได้แก่ สนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารผ่านครัวท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย, โรงครัว CPF โดยมณฑลทหารบกที่ 42 และแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ร่วมกับ CP-CPF จัดตั้งที่ โรงครัวโรงพยาบาลปัตตานี, ศูนย์รวมน้ำใจมณฑลทหารบกที่ 42 ค่ายเสนาณรงค์ อำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา, ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมและโรงครัวเฉพาะกิจ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยน้ำท่วมตำบลตลิ่งชัน ขององค์การบริหารส่วนตำบลตลิ่งชัน อำเภอจะนะ จ.สงขลา, ครัวกลางเทศบาลตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จ.สงขลา, ครัวกลางอำเภอจะนะ เพื่อส่งต่อความช่วยเหลือไปยังอำเภอเทพา อำเภอนาทวี อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอหาดใหญ่, โรงครัวศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำทว่มอำเภอเทพา ของที่ว่าการอำเภอเทพา จ.สงขลา, โรงครัวอำเภอรัตภูมิ จ.สงขลา, ศูนย์ช่วยเหลืออำเภอสิงหนคร จ.สงขลา และ ครัวกลางอาสาดุสิต (ประเทศไทยสดใส ดีกว่าเดิม) โดย CP – CPF พร้อมด้วยบริษัทในเครือฯ จะเดินหน้าสนับสนุนทุกความช่วยเหลือของหน่วยงานต่างๆอย่างเต็มกำลังไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย.

น้ำใจไม่มีหมด CP-CPF หนุนโรงครัวช่วยประชาชน ส่งอาหารจากใจสู้ภัยน้ำท่วมใต้เต็มกำลัง

เครือซีพี ซีพีเอฟ และบริษัทในเครือฯ ร่วมพลังร้อยเรียงความดี ผนึกพลังจิตอาสาลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้อย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง มอบผลิตภัณฑ์อาหาร เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ น้ำดื่ม และข้าวสาร สนับสนุนโรงครัวของหน่วยงานต่างๆอย่างต่อเนื่อง ปรุงอาหารพร้อมรับประทานแจกจ่ายแก่ชาวใต้ ช่วยคลายทุกข์ผ่านพ้นความยากลำบากและเข้าถึงอาหารอย่างเพียงพอ

จากนโยบาย “ซีพีเอฟพร้อมให้การสนับสนุนโรงครัวภาคใต้ 100 โรงครัว” ของนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ชาว CPF จิตอาสาระดมสรรพกำลัง ลงพื้นที่ช่วยเหลือน้ำท่วม ร่วมส่งมอบวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหาร ในโครงการ ‘CP-CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม’ ผ่านหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษา และองค์กรจิตอาสา เพื่อเร่งส่งความช่วยเหลือถึงพี่น้องชาวใต้ รวมถึงเจ้าหน้าที่อาสาสมัครหน่วยงานต่างๆ

วันนี้ หน่วยงานของ CPF กระจายกำลังช่วยเหลือในหลายพื้นที่ เริ่มตั้งแต่พื้นที่อำเภอจะนะ ที่น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี ทำให้มีผู้ประสบภัยเป็นจำนวนมาก ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะด้านอาหารการกิน โดย CPF จิตอาสาจากคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ จะนะ จ.สงขลา ร่วมมอบไข่ไก่สด สนับสนุนภารกิจของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในการจัดตั้งศูนย์เพื่อช่วยเหลือและโรงครัวเพื่อนำอาหารปรุงสุกแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยและเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.วศิน สุวรรณรัตน์ รองอธิการบดีวิทยาเขตหาดใหญ่ ปฏิบัติการแทน อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เป็นผู้รับมอบ จาก นายรัชชวัฒน์ นพภา ผู้จัดการผลิต ฟาร์มไก่รุ่นไข่หนองข้อง ตัวแทนสายธุรกิจไก่ไข่ภาคใต้ และนางทิพย์ประภา แก้วเรือง ผู้จัดการสำนักธุรการภาคใต้ ขณะเดียวกัน ยังมอบไข่ไก่ล็อต 2 แก่ศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยน้ำท่วมตำบลตลิ่งชัน ขององค์การบริหารส่วนตำบลตลิ่งชัน อำเภอจะนะ นอกจากนี้ ยังได้ประสานความช่วยเหลือกับอาสาดุสิต (ประเทศไทยสดใส ดีกว่าเดิม) ในการรับมอบไข่ไก่เพื่อนำไปบรรเทาทุกข์ให้กับผู้ประสบภัยในหลายพื้นที่

ทางด้าน จิตอาสาจากโรงงานแปรรูปไก่ สงขลา ที่ได้ร่วมกับ เทศบาลตำบลนาทับ อ.จะนะ เปิดโรงครัวช่วยเหลือประชาชน ชาวตำบลนาทับ โดย นายอาทิตย์ หมัดสะอิ รองนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลนาทับ รับมอบไก่สดเพื่อเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารเพื่อแจกจ่ายแก่ชาวชุมชนนาทับ ที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยมี นายจามร สุวรรณพฤกษ์ ผู้จัดการเขตภาคใต้3 ธุรกิจไก่เนื้อภาคใต้ นำทีมร่วมกันส่งมอบความช่วยเหลือในชุดแรก พร้อมร่วมประกอบอาหารกับจิตอาสาของชุมชน ที่ครัวกลางเทศบาล ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา

ขณะที่ โรงงานแปรรูปสัตว์น้ำระโนด จังหวัดสงขลา นางนพวรรณ พิริยะกุลกิจ ผู้จัดการโรงงาน นำทีมจิตอาสามอบผลิตภัณฑ์กุ้ง CP ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ผ่านครัวกลางอำเภอจะนะ ส่งต่อไปยังอำเภอเทพา อำเภอนาทวี อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอหาดใหญ่ โดยมี นายเสรี เหล๊าะเหม สมาชิกสภาจังหวัดเขตอำเภอจะนะ ราชการส่วนท้องถิ่น และ จุรี ยูทุบเบอร์ดังของภาคใต้เป็นเครือข่ายความดี ร่วมรับมอบ พร้อมช่วยกันปรุงอาหารแจกจ่ายประชาชนที่เดือดร้อน

ส่วนอำเภอสิงหนคร นายนพดล สุระสังวาลย์ นายอำเภอสิงหนคร รับมอบน้ำดื่มและข้าวสาร จากนายประวีณ เลิศอริยะ พงษ์กุล และนางสาวภัชรินทร์ ภู่เยี่ยม ที่นำชาว CPF จิตอาสาจากฟาร์มลูกกุ้งสิงหนคร ฟาร์มอนุบาลลูกกุ้งศรีระโนด และฟาร์มเลี้ยงกุ้งระโนด มาร่วมกันส่งมอบ สำหรับจัดทำถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือชาวสิงหนคร

การร่วมมือกันของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรจิตอาสานี้ แสดงถึงความสามัคคีและความช่วยเหลือที่ไม่มีวันหมดเพื่อให้คนไทยสามารถก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปได้อย่างมั่นคง และการสนับสนุนโรงครัวน้ำใจของ CP – CPF จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลาย.

กองทุน ThaiESG!!

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

สำหรับนักลงทุนและผู้สนใจการลงทุนเรื่องของ ESG ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป แต่มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้น ในการเป็นทิศทางการลงทุนของโลกยุคใหม่ ESG จึงไม่ใช่เป็นแค่กระแสนิยมแบบชั่วครั้งชั่วคราว

“คุณนายพารวย” ขอทบทวนความหมายของ ESG ให้เข้าใจง่ายๆ เริ่มจากตัวอักษรแรก E มาจาก (สิ่งแวดล้อม) การทำธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ จะต้องไม่ทำร้ายโลก ทำลายสิ่งแวดล้อม, ตัวอักษร S มาจาก (สังคม) ธุรกิจที่ยั่งยืน ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องคน สังคม ชุมชน เช่น สภาพความเป็นอยู่, สิทธิมนุษยชน และตัวสุดท้าย G มาจาก (การกำกับดูแลกิจการ) ธุรกิจที่ดีต้องมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี โปร่งใส มีจริยธรรม

ทั่วโลกให้ความสำคัญเรื่องของธุรกิจยั่งยืน โดยเน้นการทำธุรกิจแบบมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ปัจจุบันมีการออกกฎระเบียบและข้อบังคับที่เข้มงวดขึ้น เช่น มาตรการภาษีคาร์บอนสำหรับสินค้าส่งออกไปต่างประเทศ, เกณฑ์การเปิดเผยข้อมูล ESG อย่างโปร่งใส แม้แต่ในประเทศไทยก็กำลังจะเกิดภาษีคาร์บอนสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ, การควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ทำให้ผู้ประกอบการหันมาให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) เปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ และมีการคัดเลือก บจ.ที่เข้าเกณฑ์หุ้นยั่งยืนในการประกาศรายชื่อ SET ESG Ratings ที่จัดขึ้นทุกปี เป็นผลให้มีจำนวน บจ.ที่ผ่านเกณฑ์เพิ่มมากขึ้นทุกปี

ด้านของนักลงทุนเอง ก็ใช้ ESG เป็นหลักเกณฑ์สำคัญในการพิจารณาตัดสินใจลงทุน ยิ่งตอนนี้เรามีกองทุนลดหย่อนภาษีน้องใหม่ คือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ในกลุ่ม ESG ก็ยิ่งเป็นที่สนใจของนักลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการได้สิทธิลดหย่อนภาษี

และล่าสุดมีการปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้จูงใจมากขึ้น โดยเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้ ไม่เกิน 300,000 บาท/คน/ปี (จากเดิม 100,000 บาท) ไม่นับรวมวงเงินกับกองทุนเพื่อเกษียณอื่นๆ และลดระยะเวลาถือครอง จากเดิม 8 ปี ให้เหลือแค่ 5 ปี อีกด้วย โดยสิทธิประโยชน์นี้เฉพาะกับผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุน ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567–31 ธันวาคม 2569 เท่านั้น

คนที่กำลังมองหากองทุนที่มีความมั่นคง และมีการเติบโตที่ดี หรืออยากลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี กองทุน ThaiESG จึงเป็นคำตอบ และโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ ซึ่งตอนนี้ มีกองทุน ThaiESG ออกมามากมายให้เลือกลงทุน

สามารถเข้าไปค้นหาเพื่อดูรายชื่อกองทุน Thai ESG Fund ได้ที่เว็บ www.ThailandESG.com โดยจะมีข้อมูลแสดงทั้งภาพรวม ผลดำเนินงาน และค่าธรรมเนียม เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างครบถ้วน.

คุณนายพารวย

เมืองไทยประกันชีวิต จัดอบรม Care Giver รุ่นที่ 4 สร้างทักษะดูแลผู้สูงอายุเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือมูลนิธิเมืองไทยยิ้มและกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  ร่วมสร้างสังคมคุณภาพผู้สูงวัย พัฒนาบุคลากรเพื่อดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมจัดอบรม โครงการ “การอบรมหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ Care Giver  รุ่นที่ 4”  หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง เพื่อตอบรับสถานการณ์การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย

นายสาระ ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เมืองไทยประกันชีวิต สานต่อโครงการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น รุ่นที่ 4 ณ อาคาร CSR ศูนย์การเรียนรู้สรรค์สาระ จังหวัดราชบุรี  โดยในครั้งนี้ได้จัดการอบรมให้แก่บุคลากรในองค์กรที่เกี่ยวข้อง  อาทิ พนักงานดูแลความสะอาด  พนักงานดูแลสวน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) จำนวน 53 คน เพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุในบ้านและชุมชน ซึ่งมีความสำคัญต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของผู้สูงวัยในสังคมไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์

การอบรมครั้งนี้ประกอบด้วยการเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติรวม 18 ชั่วโมง โดยเนื้อหาหลักสูตรมุ่งเน้นให้ผู้เข้าอบรมได้รับความรู้เข้าใจในหลักการพื้นฐานของการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจของผู้สูงอายุ ทั้งนี้หลักสูตรได้รับการรับรองจากกรมกิจการผู้สูงอายุและจัดหาวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมสามารถเรียนรู้ทักษะที่จำเป็น อาทิ การให้ความรู้และแนะนำอาหารโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละกลุ่ม รวมถึงการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและมีโภชนาการที่ดีต่อผู้สูงอายุ การส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพแบบองค์รวม โดยให้ความรู้เกี่ยวกับรูปแบบวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมและถูกต้องสำหรับผู้สูงอายุ และการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในผู้สูงอายุและการดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและสนับสนุนให้ผู้สูงวัยมีความสุขในวัยเกษียณ

การอบรมนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมในภาพรวม เพราะเมื่อมีผู้ที่เข้าใจและมีทักษะในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น จะสามารถลดภาระในการดูแลและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้สูงอายุในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการสร้างเครือข่ายผู้ดูแลที่สามารถให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความเข้มแข็งในชุมชน  โดยผู้เข้าอบรมจะได้รับความรู้และทักษะในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  ตลอดจนการสร้างให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต

สำหรับที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จัดการอบรม หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง  จำนวน  3 รุ่น   ได้แก่ รุ่นที่ 1 จัดขึ้นในวันที่ 7-8 ตุลาคม 2566 สำหรับผู้บริหาร พนักงาน ของบริษัทฯ  ณ สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ  และรุ่นที่ 2 จัดขึ้นในวันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2566 สำหรับประชาชนทั่วไป ณ ศูนย์การเรียนรู้สรรค์สาระ เมืองไทยประกันชีวิต จ.ราชบุรี  และรุ่นที่ 3 จัดขึ้นในวันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2567 สำหรับสื่อมวลชน เพื่อสร้างความรู้และตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลผู้สูงอายุอย่างถูกวิธีและมีคุณภาพซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้เข้าอบรมอย่างมาก  

“บริษัทมุ่งมั่นในการสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความเชื่อมั่นว่าความรู้และทักษะที่ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัย และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนและสังคมไทยโดยรวม เราจะเดินหน้าจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งต่อคุณค่าและความห่วงใยสู่ทุกครอบครัวไทย”  นายสาระกล่าวสรุป

เครือซีพี – ซีพีเอฟ – มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ฯ ผนึกพลัง JCCB มอบ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน“ โรงเรียนที่ 988

เครือข่ายความดีผนึกพลังร่วมสร้างความมั่นคงด้านอาหารปลอดภัย เพิ่มโปรตีนไข่ไก่คุณภาพ สร้างโภชนาการแก่เด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลต่อเนื่อง ปีที่ 36

เครือเจริญโภคภัณฑ์ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ร่วมกับ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCCB) ส่งมอบ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” มุ่งเสริมสร้างภาวะโภชนาการที่ดีแก่เด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล ผ่านการสร้างแหล่งโปรตีนคุณภาพให้แก่โรงเรียนและชุมชน พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการเลี้ยงไก่ไข่ เพื่อเสริมสร้างทักษะพื้นฐานทางอาชีพให้แก่เยาวชน

โดยมี นายสุคนธ์ หนูภักดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายฮิโรยาสุ ซาโต้ รองประธานหอการค้าญี่ปุ่น และประธานส่วนการศึกษา คณะกรรมการฝ่ายความช่วยเหลือสังคม นายจอมกิตติ ศิริกุล กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท นายวราราชย์ เรืองศรี ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ผู้แทนรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ เเละ ดร.สุชาดา ลิ่มสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 2 พร้อมคณะครูและนักเรียน ณ โรงเรียนบ้านคลองชะอุ่น อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี

นายจอมกิตติ ศิริกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท กล่าวว่า โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เครือซีพี ซีพีเอฟ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และ JCCB ยังคงมุ่งเสริมสร้างภาวะโภชนาการที่ดีแก่นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดระยะเวลา 36 ปี ในการดำเนินโครงการเลี้ยฯ มีโรงเรียนเข้าร่วมทั้งสิ้น 988 แห่งทั่วประเทศ ส่งผลให้นักเรียนกว่า 232,000 คน และครู 16,500 คน ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เป็น Action Learning Base และพัฒนาต่อยอดการเรียนรู้ไปสู่ชุมชน ให้ทั้งนักเรียนและชุมชนได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง เสริมสร้างทักษะทางอาชีพรอบด้าน ทั้งการเลี้ยงสัตว์ การบริหารจัดการ การจัดทำบัญชี การขายและการตลาด การแปรรูปอาหารเพิ่มมูลค่า ตลอดจนพัฒนาต่อยอดเป็นกิจการเพื่อสังคมได้อย่างยั่งยืน (Social Enterprise)

นายฮิโรยาสุ ซาโต้ รองประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ กล่าวเสริมว่า JCCB ร่วมมือกับ เครือซีพี ซีพีเอฟ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ก้าวเข้าสู่ปีที่ 25 ขยายโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง รวม 150 โรงเรียนครอบคลุมทั่วประเทศ โดยในปีนี้ได้คัดเลือกโรงเรียนในพื้นที่ภาคใต้และภาคเหนือรวม 4 แห่งเข้าร่วมโครงการฯ ได้แก่ โรงเรียนบ้านคลองชะอุ่น จ.สุราษฎร์ธานี, โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเทคนิคดุสิต, โรงเรียนบ้านผาแดงหลวง และศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านห้วยกุ๊ก จ.เชียงราย ซึ่งไม่เพียงช่วยลดปัญหาทุพโภชนาการ ยังส่งเสริมความสามารถในการพึ่งพาตนเองของโรงเรียนและชุมชนอีกด้วย

ด้าน นายวราราชย์ เรืองศรี ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟมุ่งสนับสนุนมูลนิธิฯ ผ่านการสนับสนุนงบประมาณและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงไก่ไข่และการบริหารจัดการผลผลิตในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายให้โรงเรียนสามารถดำเนินงานได้อย่างยั่งยืน พร้อมยกระดับสุขภาพเด็กและเยาวชนไทยผ่านการบริโภคโปรตีนคุณภาพจากไข่ไก่ ต่อยอดสู่การเป็นต้นแบบให้โรงเรียนอื่นๆ ในอนาคต

ส่วน นางสาวศุภวรรณ พละเลิศ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านคลองชะอุ่น กล่าวว่า โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวัน สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียน โดยเฉพาะด้านโภชนาการ ซึ่งช่วยให้นักเรียนมีแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพและเพียงพอ ส่งผลให้มีสุขภาพที่ดี มีความพร้อมในการเรียนรู้ และโครงการฯ ยังช่วยส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง พร้อมการบูรณาการองค์ความรู้สู่การเรียนการสอน ซึ่งถือเป็นประโยชน์เชิงคุณภาพที่มีคุณค่ายิ่ง

“โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” เป็นความร่วมมือของ เครือซีพี โดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และซีพีเอฟ ที่ดำเนินการก้าวเข้าสู่ปีที่ 37 และยังคงมุ่งผนึกกำลังร่วมกับภาครัฐและเอกชน ขยายโอกาสการเข้าถึงแหล่งโภชนาการโปรตีนคุณภาพกับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดระยะเวลาในการดำเนินงานของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทในเครือฯ อาทิ บจ.เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CPG), บจ.เจียไต๋ (CHIA TAI), บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF), บจม.ซีพี ออลล์ (CP ALL), บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CP AXTRA) ทั้ง Makro และ Lotus’s และ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) เพื่อส่งต่อคุณค่า สร้างประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติอย่างยั่งยืน.

สัตวแพทยสมาคมฯ จับมือ สมาคมสัตวบาลฯ จัดประชุม ICVS 2024 ยกระดับห่วงโซ่คุณค่าอาหารมั่นคง เพื่อการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน

รายงานข่าว เปิดเผยว่า สัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์และสมาคมสัตวบาลแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผนึกกำลังกันครั้งแรกร่วมจัดการประชุมวิชาการนานาชาติทางสัตวแพทย์และการเลี้ยงสัตว์ ครั้งที่ 46 ประจำปี 2567 หรือ The International Conference on Veterinary Sciences 2024 (ICVS 2024) ระหว่างวันที่ 28-29 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชูการรวมศาตร์ 2 วิชาชีพ มุ่งพัฒนาภาคปศุสัตว์ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อความมั่นคงทางอาหารของประชากรโลกอย่างยั่งยืน โดนได้รับเกียรติจาก นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมเป็นวิทยากรในหัวข้อ “Next Step of Livestock Thailand” (ก้าวต่อไปของปศุสัตว์ไทย)

นายสัตวแพทย์ปราโมทย์ ตาฬวัฒน์ นายกสัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีสู่ระบบดิจิทัล เป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้การปฎิบัติงานสัตวแพทย์และงานสัตวบาลพัฒนาให้ทันกับความซับซ้อนของโรคในคนและโรคในสัตว์ และนำมาใช้ในการดูแลสุขภาพสัตว์ตลอดจนการวินิจฉัยโรคชั้นสูงเพื่อรักษาอาการป่วยของสัตว์ได้อย่างแม่นยำ นอกจากจะทำให้สัตว์มีสุขภาพดีจากการเลี้ยงดูตามมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ที่ถูกต้องแล้ว ยังเป็นการสร้างหลักประกันอาหารปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารของประชากรโลกจากห่วงโซ่การผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ในการจัดการประชุมวิชาการนานาชาติทางสัตวแพทย์และการเลี้ยงสัตว์ ครั้งที่ 46 นี้ ถือเป็นการเฉลิมฉลอง 77 ปี แห่งการก่อตั้งสัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ และ 48 ปี ที่ก่อตั้งสมาคมสัตวบาลแห่งประเทศไทยฯ ภายใต้แนวคิด “ประสานศาสตร์สุขภาพหนึ่งเดียวกับการสัตวบาลเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรโลก (Bridging One-health and Animal Science for Global Well-being)” เพื่อนำเสนอและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ใหม่โดยวิทยากรชั้นนำจากทั้งมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และหน่วยงานในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมประชุมราว 3,000 คน

สำหรับ 4 ประเด็นหลัก ที่จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดกันในที่ประชุมและการบรรยายครั้งนี้ ประกอบด้วย

  1. สุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) การเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การทำงานร่วมกันแบบสหวิชาชีพเพื่อแก้ไขปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพและความกังวลด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อม โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ และหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาร่วมบรรยายในหัวข้อ “โรคไวรัสในคนและสัตว์ โรคติดต่อสัตว์สู่คน และการเตรียมตัวสำหรับอนาคต”
  2. สวัสดิภาพและการจัดการสุขภาพสัตว์ (Animal welfare and health) การสำรวจความก้าวหน้าด้านสุขภาพสัตว์ มาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ 5 ประการ ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรและสัตว์ปีก ซึ่งจะสร้างการยอมรับการส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ของไทยในระดับสากล และข้อพิจารณาด้านจริยธรรมในการวิจัย ตลอดจนการผลิตสัตว์ในห่วงโซ่ ตั้งแต่การเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม สู่โรงชำแหละ โรงงานแปรรูปอาหาร
  3. เทคโนโลยีการสัตว์สมัยใหม่ (Emerging technologies) นำเสนอความก้าวหน้าเทคโนโลยีชีวภาพและสุขภาพดิจิทัลที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ด้านสุขภาพของทั้งมนุษย์และสัตว์ ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสัตว์โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm) and เกษตรแม่นยำ (Precision Farming) และบทบาทของเทคโนโลยีที่ใช้เพื่อการวินิจฉัยโรคและผลิตยา ไปจนถึงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เพื่อความยั่งยืน
  4. การเกษตรยั่งยืน (Sustainable agriculture) การลดภาวะเรือนกระจกที่เกิดจากการเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทย การใช้ by-products ในท้องถิ่นสำหรับเลี้ยงสัตว์เคี้ยวเอื้อง เป็นต้น

นายสุเทพ วงศ์รื่น นายกสมาคมสัตวบาลแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า ขอขอบคุณสัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ที่ได้เชิญสมาคมสัตวบาลฯ ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ICVS 2024 ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นก้าวใหม่ของวงการปศุสัตว์ไทยที่ทั้งสองสมาคมผนึกกำลังกันเพื่อยกระดับบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตปศุสัตว์ไทย เพื่อรองรับการขยายตัวและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในระดับสากล โดยปรับปรุงวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการผสมพันธุ์สัตว์ การเลี้ยงดูและจัดการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง การสุขาภิบาล สุขอนามัย การปรับปรุงโรงเรือน อุปกรณ์ ตลอดจนการป้องกันและควบคุมโรคสัตว์ ตามหลักการสวัสดิภาพสัตว์ 5 ประการ คือ ไม่หิวกระหาย อยู่อย่างสุขสบาย ไม่เจ็บป่วย ไม่หวาดกลัว ได้แสดงออกตามธรรมชาติของสัตว์ ให้สัตว์มีสุขภาพดีซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพเนื้อด้วย

ภายในงาน ได้จัดให้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือ การพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครที่ปฏิบัติงานด้านโรค พิษสุนัขบ้าระหว่าง กรมปศุสัตว์, สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และ สัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ภายใต้โครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธาน ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี

ศาสตราจารย์ สพ.ญ.ดร.เกวลี ฉัตรดรงค์ ประธานจัดงานในครั้งนี้ ขอเชิญชวน นักวิชาการทางด้านสัตวแพทย์ สัตวบาล คณาจารย์ นิสิต นักศึกษาของทั้งสองวิชาชีพ ตลอดจนประชาชนผู้สนใจ เข้าร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติในครั้งนี้ เพื่อรับทราบ เรียนรู้ และนำไปประยุกต์ใช้กับการเรียน-การสอนและการปรับปรุงพันธุ์ ตลอดจนการบริหารจัดการฟาร์มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตลอดห่วงโซ่ เพื่อส่งต่ออาหารปลอดภัยให้กับผู้บริโภคทุกคน.

AIS – กสทช. ส่งความห่วงใยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ ระดมทีมวิศวกรลงพื้นที่ พร้อมขยายวันใช้งาน ขยายเวลาชำระค่าบริการ มือถือ เน็ตบ้าน

รายงานข่าว เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ และเริ่มส่งผลกระทบให้แก่ประชาชนในพื้นที่เป็นวงกว้าง AIS และ กสทช. มีความห่วงใยประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่จากทุกหน่วยงานซึ่งกำลังช่วยเหลือผู้ประสบภัยในขณะนี้ โดยพร้อมอยู่เคียงข้างดูแลจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ด้วยมาตรการดังนี้

การเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยง

AIS ร่วมกับ กสทช. และ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ.  นำเทคโนโลยี Location Base SMS – LBS ส่งแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยแบบเจาะจง ถึงระดับตำบล/หมู่บ้านต่อเนื่อง โดยเตือนสภาวะน้ำล้นตลิ่ง ให้เตรียมรับสถานการณ์ ขนย้ายสิ่งของ/เคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางไปที่ปลอดภัย  เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยได้อย่างทันท่วงที และตรงจุด  โดยข้อความ SMS ใช้ชื่อผู้ส่งคือ “DDPM” ซึ่งย่อมาจาก Department of Disaster Prevention and Mitigation หรือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

การดูแลให้ใช้งานสื่อสารได้อย่างต่อเนื่อง

ขยายระยะเวลาการชำระค่าบริการสำหรับลูกค้ามือถือรายเดือนและลูกค้า AIS – 3BB FIBRE 3 พร้อมขยายวันใช้งานให้กับลูกค้าระบบเติมเงินในพื้นที่ประสบอุทกภัย  เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน อาทิ  จ.สงขลา จ.ปัตตานี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส เป็นต้น โดยลูกค้าจะได้รับ SMS แจ้งการมอบการดูแลดังกล่าว

การดูแลระบบสื่อสารมือถือและเน็ตบ้าน

เปิด War Room ตรวจสอบ เฝ้าระวังสถานีฐานในพื้นที่ประสบภัยอย่างใกล้ชิด ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกระจายทีมวิศวกร ไปยังพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะในเขตภาคใต้ตอนล่าง และจัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องปั่นไฟและน้ำมันให้พร้อมสำหรับการดูแลสถานีฐานในจุดเสี่ยง รวมถึงเตรียมรถสถานีฐานเคลื่อนที่ (COW) เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้บริการสื่อสารได้ต่อเนื่องอย่างดีที่สุด

AIS และ กสทช. อยู่ในระหว่างการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเฝ้าระวังและดูแลให้มั่นใจว่า เครือข่ายสื่อสารจะสามารถใช้งาน ส่งต่อความช่วยเหลือได้อย่างต่อเนื่องต่อไป