Home Blog Page 379

กลุ่มทรู ยืนหนึ่งนวัตกรรมดิจิทัล คว้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ 63

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า   นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษเนื่องในวันนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2563 จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำโดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ทั้งนี้ ในงานดังกล่าว ยังได้มีการมอบรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านเศรษฐกิจ ระดับรางวัลเกียรติคุณ ประเภทองค์กรขนาดใหญ่ แก่กลุ่มทรู โดย ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ หัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น เป็นผู้แทน ในฐานะองค์กรที่คิดค้นและพัฒนาผลงานนวัตกรรมที่สามารถสร้างคุณค่าเชิงพาณิชย์ และเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม 

สิงห์ปาร์คฯ เปิดโครงการ “แอ่วเจียงฮายวันฝนพรำ” ปลุกกระแสท่องเที่ยวเชียงราย ช่วงปลายฝนต้นหนาว

0

“สิงห์ปาร์ค เชียงราย” จับมือหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ปลุกกระแสท่องเที่ยวปลายฝนต้นหนาว  ผุดโปรเจ็ค “แอ่วเจียงฮายวันฝนพรำ” ต้อนรับนักท่องเที่ยวเดินทางสู่จังหวัดเชียงราย สัมผัสธรรมชาติเขียวขจี มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พลิกฟื้นชีวิต ฝ่าวิกฤติโควิด-19  ดีเดย์ตุลาคมนี้ คาดสร้างงาน ดันรายได้ให้จังหวัดเชียงราย

การประกาศความร่วมมือครั้งนี้ มีนายพงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด  ร่วมกับ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย, นางกรุณา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานเชียงราย กับ นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ นายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย, นายวิโรจน์ ชายา นายกสมาคมโรงแรมเชียงราย และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ปลุกกระแสการท่องเที่ยว ในโปรเจ็ค “แอ่วเจียงฮายวันฝนพรำ”  เพื่อใช้จุดเด่นเรื่องธรรมชาติของจังหวัดเชียงรายในช่วงปลายฝนต้นหนาว สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือน  อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย

นายพงษ์รัตน์ เปิดเผยว่า สิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ของจังหวัดเชียงราย ตั้งใจสนับสนุนให้เกิดการขับเคลื่อนทุกภาคส่วนธุรกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่ จึงได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น ททท. สำนักงานเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวหลายๆกลุ่มในจังหวัด ร่วมกันผลักดันโครงการ “แอ่วเจียงฮายวันฝนพรำ” ในช่วง Green Season ทั้งนี้ทาง สิงห์ปาร์คเองก็ยังเตรียมแพ็คเกจ ทั้งการท่องเที่ยว และร้านอาหาร ไว้รองรับนักท่องเที่ยวตลอดฤดูกาลท่องเที่ยวนี้ด้วย

ช่วงหน้าฝน เชียงรายมีทัศนียภาพที่สวยงาม บรรยากาศธรรมชาติเขียวสดชื่น เหมาะกับการท่องเที่ยวอย่างมาก มีความชุ่มชื้นของความเป็นป่าเขา และอากาศดี ประกอบกับเชียงรายเองก็เรียกได้ว่าเป็นจังหวัดท่องเที่ยวอยู่แล้ว จึงมีความพร้อมในการรับรองนักท่องเที่ยว และขอเชิญชวนให้มาท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย สำหรับสิงห์ปาร์ค ก็มีทั้งร้านอาหาร และการท่องเที่ยวภายในสิงห์ปาร์คเอง หรือในส่วนอื่นๆ เช่น ธุรกิจของโรงแรมที่ได้มีการร่วมมือกันเพื่อที่จะผลักดันโปรเจ็ค แอ่วเจียงฮายวันฝนพรำ ให้สามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เปิดเผยว่า เทศบาลนครเชียงราย ได้จัดตั้ง Information Hub เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ทั้งที่สนามบิน สถานีขนส่งเชียงราย ไนท์บาซ่า โดยเฉพาะที่ตลาดไนท์บาซ่า จะมีการจัดแสดงพิเศษ หรือกิจกรรมส่งเสริมชุมชน จำหน่ายสินค้าที่มีความเป็นเอกลักษณ์ มีความคราฟต์ รูปแบบเฉพาะของชุมชนเชียงรายที่หาดูได้ยาก ขณะเดียวกันได้ประสานสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จ.เชียงราย และภาคีเครือข่าย จัดทำแพ็คเกจท่องเที่ยวรองรับฤดูกาลท่องเที่ยว กรีน ซีซั่น ที่ครบวงจร สอดคล้องเป็นเอกภาพทุกภาคส่วน เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวตั้งแต่มาถึงที่เชียงราย มุ่งสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวฤดูฝนที่สวยงามไม่แพ้ในช่วงไฮ ซีซั่น ฤดูหนาว

ด้านผอ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย เผยว่า ทางจังหวัดได้เตรียมความพร้อมเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยือนในช่วงนี้ เพื่อให้มาท่องเที่ยวอย่างมีความมั่นใจ มาแล้วปลอดภัยและสะดวกสบาย ทั้งนี้เราได้จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งด้านที่พัก ร้านอาหาร ร้านของฝากและสินค้าที่ระลึก รวมทั้งข้อมูลด้านการเดินทางท่องเที่ยว พร้อมต้อนรับผู้มาเยือนในช่วง Green Season นี้ โดยเชียงรายนั้นมีทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยวอันหลากหลาย ทั้งด้านธรรมชาติป่าเขาในเขตอุทยานแห่งชาติ นาขั้นบันได ไร่ชา วัดวาอาราม วิถีชีวิตชนเผ่าและชาติพันธุ์ ดนตรีพื้นบ้าน อาหารพื้นเมือง รวมถึงสัมผัสศิลปะ ประเพณี และวัฒนธรรมหลากหลาย ที่จะสร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวไม่รู้ลืม

ในส่วนของผู้ประกอบการทางด้านโรงแรม ที่พัก ร้านอาหารต่างๆ รวมไปถึงผู้ประกอบการรถเช่าในจังหวัดเชียงราย ได้จัดเตรียมแพคเกจและโปรโมชั่นพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยที่จะมาเยือนเมืองเชียงรายในช่วงฤดูวันฝนพรำนี้ โดยสำหรับกลุ่มโรงแรมและที่พักมีโปรโมชั่นในหลายระดับราคา หรือไม่ว่าจะความพร้อมของมาตรฐานเรื่องระบบขนส่ง รถทัวร์ รถตู้ ที่เตรียมรอต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน

สำหรับฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วง Green Season “แอ่วเจียงฮายวันฝนพรำ” ครั้งนี้ คาดว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ และความกินดีอยู่ดีให้คนเชียงรายได้เป็นอย่างดี และจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในจังหวัดอย่างมากมาย ขอเชิญชวนคนไทยทั่วประเทศ เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเชียงรายในช่วงฤดูฝนนี้ รับรองไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

เครือซีพี ผนึกประชาคมโลก ประกาศเจตนารมณ์ Race to Zero นำองค์กรสู่ยุคเศรษฐกิจปลอดคาร์บอน

0

เว็บไซต์ UNFCCC   รายงานการประชุม Climate Week NYC ของสหประชาชาติ โดยระบุว่านายศุภชัย เจียรวนนท์ ซีอีโอ เครือซีพี ประกาศเจตนารมณ์ “Race to Zero” หรือ “ปฏิบัติการแข่งขันเพื่อคาร์บอนเป็นศูนย์” พาองค์กรธุรกิจก้าวสู่ยุค “เศรษฐกิจปลอดคาร์บอน” ตั้งเป้าหมายนำเครือซีพีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2030 พร้อมชูวิสัยทัศน์ใช้เทคโนโลยี-นวัตกรรมขั้นสูงในกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  

กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC ) เผยแพร่บทความ “Commitments to Net Zero Double in Less Than a Year” ในสัปดาห์ Climate Week NYC ระหว่างวันที่ 21 – 27 ก.ย. 2563 ซึ่งจัดโดยสหประชาชาติ โดยระบุว่า นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้กล่าวว่าในฐานะกลุ่มบรรษัทผู้นำของเอเชียที่มีธุรกิจหลักด้านอาหารและการเกษตร  เครือซีพีมีบทบาทในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของภาคการเกษตร และส่งเสริมให้ผู้บริโภคเลือกรับประทานอาหารที่ยั่งยืนมากขึ้น ทั้งนี้เครือซีพีมีความมุ่งมั่นและมีเป้าหมายในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2573 โดยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและสร้างสรรค์นวัตกรรม รวมถึงการทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรและนักลงทุนทั้งหลายของเราจากหลากหลายธุรกิจในเครือทั่วโลก

นอกจากนี้ นายศุภชัยยังได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องการใช้พลังของเครือซีพีช่วยขับเคลื่อนภาคเกษตรลดโลกร้อน ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ และปรับใช้แนวทางการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ที่มีประสิทธิภาพและเร่งนำมาตรการประหยัดพลังงานมาใช้ ขณะที่การลดขยะอาหารจะต้องได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งผู้บริโภคและคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน อีกทั้งการสร้างความตระหนักรู้ผ่านระบบการศึกษา ความเป็นผู้นำทั้งในและนอกองค์กร และการทำงานร่วมกันจะช่วยทำให้สิ่งนี้เป็นจริง 

การปรับตัวไปสู่การเป็นองค์กรที่ดำเนินเศรษฐกิจด้วยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ได้นั้น จะต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิตจะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การนำระบบดิจิทัลมาใช้ในระบบจะทำให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งต้องนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับเกษตรกร ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของเครือซีพี ดังนั้นการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ถึงระดับเป็นศูนย์ ควรเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดความสามารถของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทุกบริษัทเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ขยายผลได้

ด้านความเห็นของซีอีโอชั้นนำของโลกคนอื่น ๆ ที่ได้ร่วมในงาน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เช่น นายแบรด สมิธ กรรมการผู้จัดการของไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น บอกว่า ไมโครซอฟท์จะเป็นองค์กร Carbon Negative และ Water Positive ภายในปี 2030 คือจะต้องดูดซับคาร์บอนมากกว่าที่ปล่อยออกไป และสร้างน้ำสะอาดคืนสู่ธรรมชาติให้มากกว่าที่ใช้ไป , นายแจน เจ็นนิสช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาฟาร์จโฮลซิม เห็นว่า หลายประเทศมุ่งหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด การลงทุนก่อสร้างโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภคเป็นทางเลือกที่ดี แต่ต้องตระหนักถึงการพัฒนาการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอน และส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และนาย ฌอง-ปอลล์ เอกอน ซีอีโอ L’Oreal (ลอรีอัล) กล่าวว่า ลอรีอัลได้ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปี 2020 ได้ถึง 80% บริษัทได้ปรับปรุงกระบวนการผลิต การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ การกระจายสินค้า เพื่อให้สินค้าของบริษัทสร้างผลบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

สืบสานประเพณี “ตักบาตรพระร้อยทางเรือ” วัดสุทธาโภชน์ ส่งเสริมการท่องเที่ยว

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2563 นายเกรียงยศ สุดลาภา รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เดินทางมาเป็นประธานเปิดงานประเพณี ”ตักบาตรพระร้อยทางเรือ” พระภิกษุสงฆ์และสามเณร จำนวน 115 รูป วัดสุทธาโภชน์ ประจำปี 2563 โดยมี นายธนะสิทธิ์ เมธพันธ์เมือง ผู้อำนวยการเขตลาดกระบัง พร้อมด้วย ผู้บริหารเขตกลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัด ผู้แทนสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้แทนประธานสภาวัฒนธรรมเขตลาดกระบัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชน ร่วมพิธี ณ บริเวณริมฝั่งคลองลำปลาทิว ท่าน้ำวัดสุทธาโภชน์ เขตลาดกระบัง

งานประเพณี “ตักบาตรพระร้อยทางเรือ” เป็นประเพณีของชาวไทยเชื้อสายรามัญที่ยังคงยึดถือและปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนานกว่า 100 ปี หลังวันออกพรรษาของทุกปี และเป็นประเพณีที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของคนไทยที่มีความเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนาด้วยการทำบุญตักบาตรมาแต่ครั้งอดีตกาลตลอดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในสมัยก่อนนั้นยังไม่มีถนนหนทางที่สะดวก ยังคงใช้แม่น้ำลำคลองในการเดินทางไปมาหาสู่ติดต่อกัน รวมถึงการทำบุญตักบาตรของชาวบ้านในสมัยก่อนนั้น พระภิกษุสงฆ์จะออกรับบิณฑบาตโดยทางเรือ จึงกลายเป็นวัฒนธรรมของชาวลาดกระบังที่ยังคงเห็นความเป็นรากเหง้าแก่นแท้ของความเป็นไทย เพื่อสืบสานและอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามมาจนถึงปัจจุบัน

สำหรับงาน “ตักบาตรพระร้อยทางเรือ” ของวัดสุทธาโภชน์ มีประชาชนทั้งในพื้นที่เขตลาดกระบังและปริมณฑลตลอดจนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าร่วมงานทั้งสองฝั่งคลองลำปลาทิวหน้าวัดสุทธาโภชน์เป็นจำนวนมาก โดยผู้ร่วมงานจะแต่งกายด้วยชุดไทยรามัญ นับว่าเป็นประเพณีตักบาตรพระทางเรือแห่งเดียวของกรุงเทพมหานครที่ยังคงอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมดังกล่าว โดยกิจกรรมประเพณีตักบาตรพระร้อยทางเรือ ประกอบด้วย การตักบาตรพระภิกษุสงฆ์ในเรือจำนวน 115 รูป ในช่วงเช้า การถวายสำรับคาวหวานในช่วงสาย การถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ และการแข่งขันเรือพายพื้นบ้าน 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทเรือมาด 9 ฝีพาย และเรือมาด 12 ฝีพาย ชิงถ้วยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในช่วงบ่าย ซึ่งในแต่ละกิจกรรมที่จัดขึ้นนั้นได้มีการดำเนินการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 อย่างเข้มงวด อาทิ จัดให้มีจุดคัดกรองเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิผู้เข้าร่วมงาน จำนวน 8 จุด มีการรณรงค์ให้ผู้ร่วมงานสวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาในการจัดกิจกรรม รวมถึงมีจุดให้บริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือทั่วพื้นที่จัดกิจกรรม

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า งานประเพณี “ตักบาตรพระร้อยทางเรือ” ของวัดสุทธาโภชน์ เป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวไทยเชื้อสายรามัญที่ยึดถือและปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์แรกหลังวันออกพรรษาของทุกปี มีพี่น้องประชาชนทั้งในพื้นที่เขตลาดกระบังและปริมณฑล รวมทั้งนักท่องเที่ยว ที่มีความเลื่อมใสและศรัทธาในพระพุทธศาสนาหลั่งไหลเข้ามาร่วมงานทำบุญตักบาตรพระร้อยทางเรือเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร ที่ยังคงอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมอันดีงาม อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ได้รู้ถึงขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามและมีความเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน นอกจากนี้ในช่วงบ่ายยังมีการจัดการแข่งขันประเพณีเรือพายพื้นบ้าน ซึ่งแสดงออกถึงความรัก ความสามัคคีและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องท้องถิ่นลาดกระบัง ที่สมควรอนุรักษ์สืบสานให้อยู่คู่ลำน้ำลำปลาทิวตลอดไป ซึ่งกรุงเทพมหานครยินดีและพร้อมให้การสนับสนุนประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของชาวลาดกระบังให้คงอยู่คู่กับกรุงเทพมหานครสืบไป อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครตามนโยบายของพล.ต.อ อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ต้องการให้คนกรุงเทพฯ มีความภาคภูมิใจในรากฐานทางวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยสืบไป รวมถึงเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้รู้ถึงขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของกรุงเทพมหานครและประเทศไทยอีกด้วย

ที่มา สำนักงานประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร

เยี่ยมชมวิถีมอญ ถิ่นสามโคก ปทุมธานี

0

เกรียนพาเที่ยว มีโอกาสติดสอยห้อยตามทริปของเครือข่ายการท่องเที่ยวภาคประชาสังคม ที่จัดกิจกรรมวิถีถิ่นสัญจร เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมมอญ สัมผัสวิถีถิ่นสามโคก ชื่อเดิมของจังหวัดปทุมธานี

ถือเป็นชุมชนมอญ ที่ยังคงรักษาความเข้มแข็งด้านวิถีชีวิต การแต่งกาย ภาษา อยู่อย่างมาก สำหรับชุมชนมอญที่สามโคก โดยสถานที่แรกที่เราเดินทางไป คือ

วัดศาลาแดงเหนือ มีโอกาสได้ชมความงดงามของเจดีย์ศิลปะมอญ และศาลาการเปรียญที่อดีตเคยใช้เป็นโรงโขนหลวง นอกจากนี้ ภายในพื้นที่วัด ยังมีส่วนจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเครื่องใช้ข้าวของในอดีต รวมทั้งเรือโอ่งที่เคยล่องไปตามลำแม่น้ำทั่วสารทิศเพื่อทำมาค้าขาย

จากนั้น เราได้เดินสำรวจดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านชาวมอญ ซึ่งจากเดิมเกือบทุกบ้านที่จะมีการทำกระยาสารทขาย แต่ปัจจุบัน หลงเหลือบ้านที่ยังทำขายอยู่ไม่กี่หลัง แน่นอนว่า คณะที่เดินทางมาช่วยกันอุดหนุนขนม กลับบ้านติดไม้ติดมือกันไปคนละถุงสองถุง นอกจากกระยาสารทแล้ว หมี่กรอบของที่นี่ ก็รสชาติอร่อยดีทีเดียว

สถานที่ต่อไป คือ วัดสองพี่น้อง เป็นอีกวัดเก่าแก่ของเมืองปทุมฯ ได้มีโอกาสไหว้สักการะหลวงพ่อเพชร หลวงพ่อพลอย ตามประวัติแล้ว สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2410 และพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ 2 องค์คือ หลวงพ่อเพชร เป็นพระพุทธรูปศิลา ศิลปะอู่ทองปางมารวิชัย และหลวงพ่อพลอยเป็นพระพุทธรูปศิลปะอู่ทองจำหลักด้วยศิลาแต่ถูกขโมยไป ทางวัดได้จัดสร้างขึ้นมาใหม่เป็นที่เคารพนับถือของชาวเรือและประชาชนทั่วไป

เดินชมความงามของวัดแล้ว ใกล้ถึงเวลาเที่ยง เราเดินทางต่อไปทานอาหารมื้อกลางวันกันที่ตลาดโก้งโค้ง อ.บางปะอิน อยุธยา ซึ่งมีอาหารให้เลือกกินมากมาย โดยเฉพาะขนมไทย อร่อยมาก แอดมินเห็นขนมถ้วย อดไม่ได้ที่จะแคะทาน ราคาถาดละ 20 บาท ถาดนึงมี 5 ถ้วยให้แคะทาน

เมื่อเติมพลังแล้ว ก็ถึงเวลาเดินทางต่อไปสถานที่ต่อไป คือ ศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด ซึ่งมีส่วนของอาคารเรียนรู้เรื่องโขน รวบรวมทั้งฉาก ชุดแต่งกาย อุปกรณ์การแสดงที่เคยใช้ในการแสดงโขนพระราชทานตอนต่างๆ รวบรวมมาไว้ที่อาคารแห่งนี้ ไฮไลท์คือ ฉากหนุมานแปลงกายเป็นลิงยักษ์ตัวมหึมาขนาด 15 เมตร แถมยังขยับเขยื้อนได้ และฉากหนุมาอ้าปากอมพลับพลา ในตอนศึกไมยราพ ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าชมอย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีฉากต่างๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ท้องพระโรงกรุงลงกา ร่างนางผีเสื้อสมุทรขนาดใหญ่ จากการแสดงโขนพระราชทานตอนล่าสุด สืบมรรคา

อาคารเรียนรู้เรื่องโขน เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดทำการวันอังคาร-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา ๑๐.๐๐–๑๕.๓๐ น. (เปิดจำหน่ายบัตร ๐๙.๔๕ – ๑๕.๐๐ น.) หยุดทุกวันจันทร์

เมื่อชื่นชมกับความงามของศิลปะการแสดงโขน อันเป็นมรดกล้ำค่าของชาติเราแล้ว เราออกเดินทางต่อไปที่วัดโบสถ์ ที่อุโบสถประดิษฐาน “หลวงพ่อเหลือ” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองปทุมฯ นอกจากนี้ ในวัดยังมีหลวงพ่อโต องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศ กับหลวงพ่อโสธร องค์ใหญ่มาก ตั้งอยู่ภายในวัด ให้คนที่ศรัทธาได้กราบไหว้

วัดโบสถ์ ถือว่าเป็นวัดที่มีพื้นที่กว้างขวางทีเดียว ด้านที่ติดริมแม่น้ำ มีวังมัจฉาที่แอดมิน คิดว่า เป็นวังมัจฉาที่มีขนาดใหญ่มากกว่าที่อื่นที่เคยไปมาก่อน แถมปลาเยอะมาก เสียงปลาตีน้ำตอนคนที่มาเที่ยวโยนอาหารปลาให้กิน ดังฟังชัดมากมาแต่ไกล

จากท่าเรือที่วัดโบสถ์ เราได้ขึ้นเรือกระแชง เพื่อล่องไปตามคุ้งน้ำ ชมความงามของวิถีริมแม่น้ำเจ้าพระยาของสามโคก และวัดโบราณที่ตั้งอยู่เรียงรายตามริมน้ำ เพื่อเดินทางมายังจุดหมายปลายทางที่สุดท้ายของทริป คือ วัดสิงห์

วัดสิงห์ เป็นวัดโบราณ ในบันทึกพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเป็นวัดคู่เมืองสามโคก บริเวณนี้มีการอพยพเข้าออกมาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของชาวมอญมาหลายยุคสมัย ตามการสันนิษฐานวัดแห่งนี้น่าจะสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถหรือในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ช่วงปี พ.ศ.2202-2210

มีเจดีย์ โบสถ์ วิหารเก่าแก่ ทรงคุณค่าทางโบราณคดี ให้ได้เยี่ยมชมกัน พระพุทธรูปสำคัญของวัดคือหลวงพ่อโต พระพุทธรูปลงรักปิดทองปางมารวิชัย สมัยกรุงศรีอยุธยา

นอกจากนี้ บริเวณด้านหน้าของวัด ยังมี โบราณสถานเตาโอ่งอ่าง ซึ่งถือเป็นหลักฐานการตั้งของชุมชนมอญที่นี่ ตั้งแต่สมัยปลายอยุธยา มีเตาเผาสามโคกตั้งเรียงราย ตุ่มสามโคก หม้อ ไห โอ่ง อ่าง มีลักษณะเด่นเป็นภาชนะบรรจุที่ขนาดใหญ่ เนื้อแกร่ง หนา สีแดง ไม่เคลือบผิว ซึ่งผลิตจากเตาแหล่งนี้ เตาสามโคกมีบทบาทหลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ในปี ๒๓๑๐ ต่อเนื่องมาถึงกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ชาวมอญเมืองสามโคกได้เลิกการผลิตไป โดยส่วนใหญ่ย้ายการผลิตไปที่ เกาะเกร็ด เมืองนนทบุรีแทน เหลือเพียงโรงงานปั้นตุ่มสามโคกของนายคำนวณ เป็นคำ ที่ยังอยู่ที่สามโคก

ถือว่าเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวหาความรู้ทางประวัติศาสตร์โบราณคดีของเมืองสามโคกที่น่าเยี่ยมชมและน่าศึกษาอย่างยิ่งทีเดียว

แอดมินใช้เวลาอยู่ที่ปทุมฯ ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น เรียกได้ว่า รู้สึกประทับใจ และคุ้มค่ากับการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้อย่างมาก งานนี้ต้องขอขอบคุณ เครือข่ายการท่องเที่ยวภาคประชาสังคม ตลอดจนปราชญท้องถิ่นที่คอยให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของสถานที่ต่างๆ ที่เดินทางไป แน่นอนว่า ต้องหาโอกาส มาเที่ยวที่นี่อีกครั้ง เพราะยังมีอีกหลายที่ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะวัดเก่า วัดโบราณ แถบปทุมฯ มีเยอะมาก และการเดินทางมาเที่ยวแถบนี้ก็สะดวก ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ

การจัดการความเหลื่อมล้ำจากวิกฤตโควิด

0

บทความโดย ภาคภูมิ จตุพิธพรจันทร์
ไตรสรณ์ ถีรชีวานนท์

แม้ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ก็ยังเผชิญผลกระทบทางด้านสังคมและเศรษฐกิจอย่างรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี ประชาชนทุกภาคส่วนไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เพศใด รวยหรือจนล้วนได้รับผลกระทบกันหมด แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อกลุ่มคนจนและผู้ด้อยโอกาสมีความรุนแรงมากกว่า วิกฤตโควิด-19 จึงตอกย้ำความเหลื่อมล้ำที่เป็นปัญหาเรื้อรังของไทยให้มีความรุนแรงมากขึ้นในทุกมิติ

ตัวอย่างเช่น ในช่วงโควิด-19 หลายบริษัทได้ทำการปรับรูปแบบการทำงานมาเป็นการทำงานในรูปแบบทางไกล แต่คนจนและกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะระดับต่ำหรือทักษะระดับกลางมักประกอบอาชีพในภาคธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องทำงาน ณ สถานประกอบการ เช่น ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจอุตสาหกรรม หรือแม้ทำงานในธุรกิจที่สามารถทำงานทางไกลได้ แต่คนจนที่มีรายได้น้อยมักมีความไม่พร้อมด้านทักษะเทคโนโลยีดิจิทัลหรือการขาดเครื่องมืออุปกรณ์ ทำให้แรงงานกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการตกงานและรายได้ลดลงมากกว่ากลุ่มอื่น

นอกจากได้รับผลกระทบแรงกว่าแล้ว คนจนและกลุ่มเปราะบางมักมีความสามารถในการรับมือกับการขาดรายได้น้อยกว่าคนกลุ่มอื่น กล่าวคือมีเงินออมสะสมน้อยกว่า มีความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบน้อยกว่า การเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐก็เป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง ทำให้คนจนและกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก อาจจะต้องขายสินทรัพย์ หรือก่อหนี้สินเพิ่มขึ้น วิกฤตโควิดจึงได้เพิ่มความเสี่ยงให้คนที่จนอยู่แล้วสินทรัพย์หดหายรายได้ลดลงและทำให้ความเหลื่อมล้ำทางรายได้รุนแรงขึ้น

นอกจากความเหลื่อมล้ำทางรายได้จะสูงขึ้นแล้วความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาก็สูงขึ้นด้วย คนจนและกลุ่มเปราะบางเป็นกลุ่มที่ขาดความสามารถในการเรียนทางไกล เนื่องจากขาดอุปกรณ์ ขาดอินเทอร์เน็ตที่ดี และสถานที่อาจไม่เอื้ออำนวยต่อการเรียน พ่อแม่ก็มักไม่พร้อมหรือไม่มีศักยภาพในการสอนหรือร่วมทำกิจกรรมกับลูกที่บ้าน และในบางกรณีที่พ่อแม่ขาดรายได้รุนแรง เด็กก็อาจต้องพักการเรียนเพื่อไปช่วยหารายได้อีกด้วย

ผลกระทบทางด้านสุขภาพต่อคนจนก็มากกว่าคนรวย เนื่องจากอาการป่วยจากโรคโควิด-19 มักร้ายแรงสำหรับผู้ป่วยที่มีสุขภาพไม่ดี ซึ่งโดยปกติคนจนก็มักเป็นกลุ่มที่มีสุขภาพและโภชนาการด้อยกว่าคนทั่วไป  และจากการสำรวจยังพบว่าประชาชนระบุว่าการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ทำได้ยากลำบากมากขึ้น ซึ่งคนที่มีทรัพยากรเพียงพอนั้นมีทางเลือกอื่นที่สามารถทดแทนการไปหาแพทย์ได้ในขณะที่คนจนนั้นทำไม่ได้ โดยรวมแล้วโควิด-19 จึงทำให้ช่องว่างความแตกต่างในทุนมนุษย์ห่างกันมากขึ้น

ความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้นอาจไม่หายไปหรือกระทั่งเพิ่มสูงขึ้นหลังการระบาดของโควิด-19  กล่าวคือ วิกฤตครั้งนี้ขยายช่องว่างความแตกต่างในทุนมนุษย์และทุนกายภาพระหว่างคนจนและคนรวย และอาจส่งผลให้ระดับการผูกขาดในตลาดสูงขึ้นเนื่องจากการสูญหายของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในช่วงการระบาดตลอดจนเพิ่มระดับความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองทรัพย์สินให้สูงขึ้นอันมาจากผลพวงของการเพิ่มขึ้นของความเหลื่อมเหลื่อมล้ำทางรายได้ซึ่งอาจส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสและโครงสร้างอำนาจทางการเมืองอีกทอดหนึ่ง

อย่างไรก็ตามวิกฤตครั้งนี้ได้ทำให้ประชาชนจำนวนมากได้หันมามองเห็นปัญหาของความเหลื่อมล้ำและได้มีประสบการณ์ตรงกับระบบสวัสดิการของรัฐ ซึ่งอาจทำให้ทัศนคติของประชาชนเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เอื้อต่อการผลักดันนโยบายการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ดังนั้นวิกฤตครั้งนี้อาจเป็นโอกาสที่ดีในการลงมือผ่าตัดโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่และปัญหาเรื้อรังที่มีอยู่แล้วในคราวเดียวเพื่อนำไปสู่การฟื้นตัวและการเติบโตอย่างทั่วถึงในระยะยาว

เพื่อลดความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มสูงขึ้นจากวิกฤตครั้งนี้ รัฐบาลควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนในสังคมมีโอกาสอย่างเท่าเทียม และมีการกระจายผลประโยชน์อย่างทั่วถึง เพื่อนำไปสู่การเติบโตอย่างมีส่วนร่วม (inclusive growth) โดยนโยบายที่สำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้แก่

  1. ส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนมีสุขภาพที่ดีให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้ารับบริการการรักษาที่มีคุณภาพ หนึ่งทางเลือกคือการนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้แพทย์สามารถทำการรักษาโรคแบบทางไกลได้ (telemedicine) พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้ทางสุขภาพให้ประชาชนฐานราก และพัฒนาคุณภาพการให้บริการของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของรัฐ
  2. ลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาพัฒนาคุณภาพบุคลากรครูอาจารย์และการเรียนการสอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนในชนบทและที่ห่างไกล นำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อส่งเสริมการเรียนทางไกล ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ให้ประชาชนได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะใหม่หรือพัฒนาทักษะเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันกับโลกยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล 
  3. พัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคมจากวิกฤตที่ผ่านมาทำให้เห็นว่าประชาชนจำนวนมากยังมีการตกหล่นจากความช่วยเหลือจากรัฐ นอกจากนั้นระบบการคุ้มครองทางสังคมยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างดี ฉะนั้นภาครัฐควรเร่งพัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคมให้สามารถคุ้มครองประชาชนได้อย่างถ้วนหน้า ให้ความช่วยเหลืออย่างทันถ่วงทีและเพียงพอ
  4. ส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน โดยสร้างกลไกจัดการความเสี่ยงเพื่อทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กและกลางสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงในยามวิกฤตได้ ออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับรายย่อยโดยอาศัยเทคโนโลยีที่กำลังเติบโต เช่น การนำ FinTech มาช่วยลดความอสมมาตรทางข้อมูล (asymmetric information) ระหว่างผู้ให้บริการทางการเงินและผู้ประกอบการ SMEs หรือ การสนับสนุนโครงสร้าง Microfinance ให้แข็งแรงขึ้น ซึ่งจะเสริมการเข้าถึงสินเชื่อการประกอบการในอนาคต สร้างโอกาสสำหรับคนรายได้น้อยในการเป็นผู้ประกอบการ
  5. ปรับปรุงระบบภาษีให้สามารถกระจายรายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นมาตรการทางภาษีเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการกระจายรายได้ แต่ในปัจจุบันยังมีช่องโหว่ในระบบให้คนรวยจำนวนมากไม่ต้องเสียเงินได้หลายประเภท รัฐบาลควรแก้ไขกฎหมายเพื่อปิดช่องโหว่ต่างๆ ตลอดจนทบทวนมาตรการลดหย่อนภาษีที่เอื้อกับผู้มีรายได้สูง และพัฒนาการจัดเก็บภาษีที่ดินและทรัพย์สินให้มีความเหมาะสม
  6. ปรับปรุงปัจจัยเชิงสถาบันลดการผูกขาดของทุนใหญ่ในตลาดโดยการบังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าอย่างจริงจัง กระจายอำนาจการคลังและการเมืองสู่ท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งให้สื่อและภาคประชาชน รวมถึงปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเพื่อกำจัดปัญหาคอร์รัปชันและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการประชาธิปไตย อันนำไปสู่การออกแบบนโยบายที่มีการคำนึงถึงผลประโยชน์ของคนทุกกลุ่มในสังคม

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นหนึ่งในผลงานโครงการศึกษาผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19: กลไกการรับมือและมาตรการช่วยเหลือ โดยการสนับสนุนของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ภายใต้แผนงาน economic and social monitor เพื่อการจัดทำรายงานสถานการณ์และแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมโดยใช้ข้อมูลการสำรวจจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ

ที่มา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

บสย. ร่วมกับ กพร. ลงนามอุ้มแรงงาน 9.5 หมื่นคน สร้างอาชีพ และช่วยเข้าถึงแหล่งเงินทุน

0

บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ลงนามความร่วมมือ “โครงการพัฒนาทักษะและส่งเสริมการประกอบอาชีพ” สร้างอาชีพคนตกงาน คาด อุ้มแรงงาน 95,000 คน เกิดสินเชื่อในระบบสร้างอาชีพอิสระ 29,300 ล้านบาท

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. เปิดเผยว่า บสย. พร้อมให้ความสนับสนุนกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อช่วยเหลือตลาดแรงงานที่กำลังได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 ทั้งกลุ่มตกงาน ว่างงาน และแรงงานกลุ่มที่มีความสามารถด้านงานช่าง หรืออาชีพอื่นๆ ที่ต้องการก้าวสู่ชีวิตใหม่ เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ ภายใต้แนวคิด “บสย. เพื่อนแท้ SMEs ไทย ทางรอดใหม่ คู่ใจยามวิกฤต” มอบโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดย บสย. ให้การค้ำประกันสินเชื่อ จากกลุ่มธนาคารพันธมิตรที่เข้าร่วมโครงการ ให้กับกลุ่มแรงงานที่ได้พัฒนาเพิ่มทักษะและฝีมือจาก กพร.

การร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการมีพันธกิจใกล้เคียงกัน ในการช่วยเหลือของ บสย. และ กพร. ที่ช่วยเหลือแรงงานและกลุ่มคนตกงาน บัณฑิตจบใหม่ให้มีทางรอดโดยเข้าสู่การเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ

โครงการพัฒนาทักษะและส่งเสริมการประกอบอาชีพการจัดงานครั้งนี้ มีศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกระทรวงแรงงาน และ 4 ธนาคารพันธมิตร ที่มีโครงการสินเชื่อช่วยเหลือกลุ่มแรงงานและอาชีพอิสระต่างๆ

นอกจากนี้ บสย. ยังได้นำเสนอศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center) ที่เป็นทั้งที่ปรึกษาทางการเงินและศูนย์ให้ข้อมูลความรู้ เข้าสู่การเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระในธุรกิจต่างๆ เพื่อเป็นการช่วยกันยกระดับฝีมือแรงงาน อาทิ ช่างชุมชน ช่างไฟฟ้า ช่างประปา ช่างซ่อมรถ ช่างแอร์ ช่างตัดผม ช่างก่อสร้าง เพื่อส่งเสริมแรงงานที่ตกงานให้เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ได้รับการสนับสนุนด้านสินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพแบบครบวงจร

การดำเนินโครงการความร่วมมือนี้จะนำไปสู่ผลสำเร็จ 3 สร้าง คือ 1.สร้างความรู้โดยพัฒนาองค์ความรู้เพื่อต่อยอดและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ 2.สร้างอนาคตโดยให้เข้าถึงแหล่งทุนง่ายขึ้น 3.สร้างโอกาสเชื่อมโยงธุรกิจต่อยอดด้านการขาย โดย บสย. ทำหน้าที่สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจให้สถาบันการเงินที่มีโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ว่างงานและผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ร่วมเข้ากับโครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. ซึ่งปัจจุบัน ได้แก่ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Micro 3 โครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs ไทยชนะ และ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Start up & Innobiz สอดคล้องกับแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบัน ดร.รักษ์ เป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

สำหรับธนาคารที่พร้อมให้การสนับสนุนสินเชื่อขณะนี้มี 4 ธนาคาร ได้เตรียมวงเงินสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบอาชีพอิสระ 8 โครงการ ประกอบด้วย

  • 1. ธนาคารออมสิน จำนวน 5 โครงการ ได้แก่
    • 1. โครงการสินเชื่อเพื่อ Street food วงเงิน 3 ล้านต่อราย
    • 2. โครงการสินเชื่อธุรกิจแฟรนไชส์ วงเงิน 1 ล้านบาทต่อราย
    • 3. โครงการสินเชื่อประชาชนสุขใจ วงเงิน 200,000 บาทต่อราย
    • 4. โครงการสินเชื่อสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงิน 50,000 บาทต่อราย
    • 5. โครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก วงเงิน 50,000 บาทต่อราย
  • 2.​ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการสินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อธุรกิจรายย่อย วงเงิน 200,0000 บาทต่อราย
  • 3.​ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ วงเงิน 200,000 บาทต่อราย
  • 4.​ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ สินเชื่อฮักบ้านเกิด

การร่วมมือของ กพร. บสย. และธนาคารพันธมิตรในครั้งนี้ คาดว่าจะก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบจากการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. จำนวน 29,300 ล้านบาท และ ช่วยอุ้มแรงงาน 95,000 คน ให้กลับมามีอาชีพและทางรอดในการฝ่าวิกฤต COVID-19

วันที่ 7 และ 11 ธ.ค. 2563 เป็นวันหยุดของบริษัทหลักทรัพย์ และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

0

ก.ล.ต. กำหนดให้วันที่ 7 และ 11 ธันวาคม 2563 เป็นวันหยุดทำการของบริษัทหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

ตามที่การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 มีมติเห็นชอบประกาศวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศทดแทนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยให้เลื่อนวันหยุดชดเชยวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ซึ่งจะหยุดชดเชยในวันที่ 7 ธันวาคม 2563 เป็นวันที่ 11 ธันวาคม 2563 นั้น

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณาแล้ว เห็นควรให้วันที่ 11 ธันวาคม 2563 เป็นวันหยุดทำการของบริษัทหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตามมติคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้วันที่ 7 ธันวาคม 2563 เป็นวันหยุดทำการเพิ่มเติมตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สธ. 63/2563 เรื่อง วันหยุดทำการของบริษัทหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประจำปี พ.ศ. 2563 เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศให้หยุดวันดังกล่าว

ดังนั้น ก.ล.ต. จึงกำหนดให้วันที่ 7 และ 11 ธันวาคม 2563 เป็นวันหยุดทำการของบริษัทหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

ก.ล.ต. ขอความร่วมมือป้องกันมัลแวร์เรียกค่าไถ่ สร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน

0

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แนะแนวปฏิบัติในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีโดยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) สำหรับผู้ประกอบธุรกิจในภาคตลาดทุน บริษัทจดทะเบียนและประชาชน เพื่อเป็นแนวทางบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กรได้อย่างเหมาะสม ซึ่งสอดรับกับพระราชบัญญัติการรักษาความปลอดภัยมั่นคงไซเบอร์ พ.ศ. 2562 และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการในตลาดทุน

การประสบปัญหาจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) ขององค์กรจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น เกิดความเสียหายต่อระบบคอมพิวเตอร์ ส่งผลกระทบต่อการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการ และก่อให้เกิดความเสียหายในเชิงภาพลักษณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล ดังนั้น การเตรียมความพร้อมด้านบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กรในยุคปัจจุบันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ก.ล.ต. มุ่งหวังให้ผู้ประกอบธุรกิจในภาคตลาดทุนซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล เพื่อลดผลกระทบจากภัยไซเบอร์และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการในตลาดทุน

ก.ล.ต. จึงขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนเพิ่มความระมัดระวังและปฏิบัติตามแนวทางที่ ก.ล.ต. ได้จัดทำประกาศและแนวปฏิบัติในการจัดให้มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เมื่อปี 2559 เช่น ควรจัดเตรียมแผนรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ (Cyber Incident Plan) และหมั่นสำรองข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลที่สำรองไว้อย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งสร้างความตระหนักรู้และฝึกอบรม (Cybersecurity Awareness) ให้กับบุคลากรภายในองค์กรอย่างต่อเนื่องโดยให้รู้จักและเข้าใจวิธีป้องกันเบื้องต้นเพื่อลดความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นและพร้อมรับมือเมื่อเกิดเหตุ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ บริษัทจดทะเบียนหรือองค์กรในตลาดทุน และประชาชนทั่วไปที่สนใจ

ทั้งนี้ Ransomware คือ มัลแวร์ที่มุ่งหวังจะทำการเข้ารหัสไฟล์ข้อมูลของเหยื่อ ซึ่งจะส่งผลให้เหยื่อหรือเจ้าของข้อมูลไม่สามารถเข้าถึงไฟล์ข้อมูลของตนเองได้ โดยหากต้องการเข้าถึงไฟล์ดังกล่าว เหยื่อจะต้องจ่ายเงินให้กับผู้ไม่ประสงค์ดี (hacker) เพื่อทำการถอดรหัสไฟล์ข้อมูลดังกล่าว โดยไม่สามารถรับรองได้ว่า hacker จะทำการถอดรหัสไฟล์ให้เหยื่อหรือไม่หลังได้รับค่าไถ่แล้ว ทั้งนี้ hacker มักจะให้ผู้เสียหายจ่ายค่าไถ่ผ่านสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin เนื่องจากเป็นช่องทางที่ยากต่อการตรวจสอบย้อนกลับไปยังผู้ไม่ประสงค์ดี

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : ห้องเรียนนักลงทุน (2)

0

คราวที่แล้วเราเห็นถึงความจำเป็นและความสำคัญในการลงทุนเพื่อให้เงินออมงอกเงย และเริ่มบทเรียนแรกที่ควรต้องรู้สำหรับ “มือใหม่เริ่มลงทุน” ว่า ต้อง “รู้จักตัวเอง” และกำหนดเป้าหมายการลงทุน เช่น เพื่อไว้ใช้จ่ายยามเกษียณ เพื่อลดหย่อนภาษี หรือเพื่อทำกำไร

และกำหนดเวลาเพื่อบรรลุเป้าหมาย ซึ่งมีทั้งระยะสั้น-กลาง-ยาว รวมทั้งต้องการผลตอบแทนเท่าไร ทำใจยอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน!!

เมื่อรู้จักตัวเองดีแล้ว ก็ต้องมาวางแผนการลงทุนว่าควรจัดสรรการลงทุนอย่างไร ในเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th หัวข้อ “ความรู้การลงทุน” เข้าไปที่หน้า “มือใหม่เริ่มลงทุน” ได้แบ่งทางเลือกลงทุนหรือลายแทงขุมทรัพย์ไว้ 6 ประเภท ดังนี้

1.ลงทุนในหุ้น 2.อนุพันธ์ทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง 3.กองทุนรวม เงินลงทุนเติบโตโดยมืออาชีพ 4.DW ลงทุนน้อยกว่า โอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่า 5.อีทีเอฟซื้อง่ายขายคล่อง ผลตอบแทนตามดัชนี 6.ตราสารหนี้ เสี่ยงน้อยผลตอบแทนสม่ำเสมอ

แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือเราต้องเรียนรู้ ทำความรู้จักและเข้าใจถึงทางเลือกเหล่านี้ ว่ามีโอกาสได้ผลตอบแทนมาก-น้อยแค่ไหน มีความเสี่ยงสูง-ต่ำอย่างไร รวมทั้งข้อดี-ข้อเสีย เพื่อช่วยให้เราจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเองและสอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้!!

“มือใหม่เริ่มลงทุน” หน้านี้ มีตารางความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวังของแต่ละทางเลือกลงทุน จากความเสี่ยงต่ำสุดและเสี่ยงสูงขึ้นให้เรียนรู้อย่างน่าสนใจ ทั้งการลงทุนเองและการลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างๆ

ครั้งหน้า “คุณนายพารวย” จะพาไปรู้จักการลงทุนในตลาดหุ้น ให้เราได้เป็นเจ้าของกิจการดีๆในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ง่ายๆ!!

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ