Home Blog Page 377

กรมชลฯ เร่งบริหารจัดการน้ำตามแผน ยันแล้งนี้น้ำเพียงพอ พร้อมเตรียมรับมือหน้าฝน

0

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานได้ดำเนินการตามแผนบริหารจัดการน้ำในช่วงหน้าแล้ง โดยทุกอย่างเป็นไปตามแผน มีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคจนสิ้นฤดูแล้งนี้แน่นอน และสามารถมีปริมาณน้ำสำรองไว้ใช้ในช่วงหน้าฝนอีกประมาณ 8,000 ล้านลบ.ม. นอกจากนี้ยังมีการวางแผนสำรองน้ำไว้ใช้เป็นเวลา 3 เดือน คือเดือนมิ.ย.-ส.ค. เพื่อบริหารความเสี่ยงกรณีฝนทิ้งช่วง

ในเบื้องต้น เดือนพ.ค. ลุ่มเจ้าพระยา จะมีน้ำสำรองไว้ใช้ไม่น้อยกว่า 1,200 ล้านลบ.ม. นอกจากนี้ ในด้านของระดับค่าความเค็ม ก็สามารถควบคุมได้เช่นกัน ทำให้มั่นใจว่า มีน้ำเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคแน่นอน

ดร.ทวีศักดิ์ กล่าวอีกว่า วันที่ 1 เดือนพฤษภาคม ถือว่าเป็นวันเริ่มต้นของฤดูฝน ทั้งนี้ กรมชลประทานได้สั่งการ เพื่อเตรียมพร้อมในการรับมือกับช่วงฤดูฝนนี้ ดังนี้

  1. ตรวจสอบความมั่นคงของอ่างเก็บน้ำ, เขื่อนต่างๆ ที่เป็นอาคารบังคับน้ำในแม่น้ำสายหลัก ให้สามารถใช้งานได้
  2. การกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็น ตะกอนดิน หรือวัชพืชต่างๆ เช่น ผักตบชวา ต้องเก็บให้หมดภายใน 30 เดือนมิถุนายน พ.ศ.2564 นี้ฃ
  3. เร่งรัดแผนงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขุดลอก และก่อสร้างต่างๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อทันกับการกักเก็บน้ำสำหรับใช้ในฤดูแล้งปีหน้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แนวโน้มสถานการณ์น้ำปัจจุบัน (ตัวเลขเมื่อวันที่ 22 มี.ค.64) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 39,197 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 52 ของความจุอ่างฯรวมกัน มีปริมาณน้ำใช้การได้รวมกันประมาณ 15,268 ล้าน ลบ.ม. จนถึงขณะนี้ทั้งประเทศมีการใช้น้ำไปแล้ว 13,030 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 69 ของแผนฯ เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 9,629 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 39 ของความจุอ่างฯรวมกัน ปริมาณน้ำใช้การได้ประมาณ 2,933 ล้าน ลบ.ม. มีการใช้น้ำไปแล้ว 3,827 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 77 ของแผนฯ

คาเฟ่ อเมซอน รับรางวัลเชิดชูเกียรติ ร่วมขับเคลื่อนนโยบายหวานน้อยสั่งได้

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เกียรติเป็นประธานมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่ นายสุชาติ ระมาศ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีก บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) ในโอกาสที่ คาเฟ่ อเมซอน ได้ร่วมขับเคลื่อนนโยบายหวานน้อยสั่งได้ นำร่อง (เฟส 1) ที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

คาเฟ่ อเมซอน นับเป็นผู้ประกอบการร้านกาแฟสดรายแรกที่ได้รับตราสัญลักษณ์เครื่องดื่มทางเลือกสุขภาพ และเป็นหนึ่งกำลังสนับสนุนให้คนไทยบริโภคเครื่องดื่มหวานน้อย โดยร่วมนโยบาย “หวานน้อยสั่งได้” กับ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ด้วยการใช้ “Sweetness Scale” เป็นตัวขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว ซึ่งเริ่มนำร่องที่ร้าน คาเฟ่ อเมซอน สาขากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2563 และเริ่มใช้ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2563 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมี “เมนูทางเลือกสุขภาพ” หรือ “Light Menu” ที่เป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าที่รักสุขภาพอีกด้วย

รู้เก็บรู้ออม : จัดพอร์ตลงทุนตามวัย (1)

0

นักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเข้าตลาดหุ้น หรือเพิ่งเริ่มมาเรียนรู้การลงทุน อาจไม่รู้ว่าตนควรลงทุนในสินทรัพย์อะไรบ้าง รู้แต่ว่าอยากได้ผลตอบแทนดีๆกำไรมากๆ แต่ไม่รู้ว่า…ด้วยวัยเราในวันนี้ ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงได้มากน้อยแค่ไหน!! เพราะไม่สามารถ วัดน้ำหนักได้ ระหว่างโอกาสของผลตอบแทนกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับเงินออมของเรา

ในเว็บไซต์ https://www.setinvestnow.com ในหน้าคลังความรู้ มีบทความที่เป็นหลักการหรือข้อแนะนำในการจัดพอร์ตเพื่อกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่างๆที่น่าสนใจ โดยใช้หลักการที่เป็นที่นิยมมากที่สุด นั่นคือ “การจัดพอร์ตลงทุนตามวัย” เพื่อให้สามารถบริหารจัดการกับความเสี่ยงและผลตอบแทนได้

ซึ่งหลักสำคัญของ “การจัดพอร์ตตามวัย” คือ “คนอายุน้อยจะสามารถรับความเสี่ยงได้สูงกว่าคนที่อายุมากกว่า” เพราะมีเวลาในการลงทุนนานกว่า จึงควรลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อให้เงินลงทุนมีโอกาสเพิ่มพูนเติบโตได้มากในช่วงแรก และค่อยๆลดความเสี่ยงของสินทรัพย์ลง เมื่อเข้าสู่ “วัยใกล้เกษียณ”

อย่างไรก็ตาม การจัดพอร์ตตามวัย เป็นเพียงแนวทางหนึ่งที่ต้องนำไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน โดยเฉพาะผลตอบแทนที่คาดหวัง รวมทั้งข้อจำกัดหรือเงื่อนไขต่างๆ เช่น สถานภาพทางการเงิน วัตถุประสงค์การลงทุน อาชีพ หน้าที่การงาน ภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ และระยะเวลาในการลงทุนของแต่ละบุคคล

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ช่วงวัย” และ “อายุ” เป็นตัวแปรสำคัญในการจัดสรรเงินลงทุน… แล้ววัยไหนควรจะลงทุนอย่างไร??!! ที่จะนำเราไปสู่เส้นทางแห่งความมั่งคั่งได้ดีที่สุด ในที่นี้ได้แบ่งเป็น 4 ช่วงวัยสำคัญ เพื่อกำหนดแนวทางจัดพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ

ดังนี้ 1.วัยเริ่มต้นทำงาน อายุ 21-30 ปี ถือเป็นวัยที่ได้เปรียบในการออมและการลงทุนมากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน ยังไม่มีภาระต้องรับผิดชอบมากนัก มีเวลาและกำลังในการหารายได้อีกนาน จึงสามารถจัดสรรเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างหุ้นได้มากถึง 90% แต่อย่างไรก็ตาม ควรเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคงทางการเงิน มีเงินปันผลที่น่าพอใจ และมีโอกาสเติบโตในอนาคต

ส่วนอีก 10% ที่เหลือควรเก็บเป็นเงินฝากและตราสารหนี้ต่างๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ที่มีความปลอดภัยของเงินต้นสูง และได้อัตราดอกเบี้ยที่แน่นอน

2.วัยสร้างครอบครัว อายุ 31-40 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยที่สุดในชีวิต!! และเป็นช่วงที่การเงินค่อนข้างจะตึงเครียดกว่าช่วงอื่นๆ แม้หน้าที่การงานจะเริ่มมั่นคง รายได้เพิ่มสูงขึ้น แต่ภาระค่าใช้จ่ายก็สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะอยู่ในช่วงที่กำลังสร้างครอบครัวทั้ง แต่งงาน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าเทอมลูก ฯลฯ เมื่อมีภาระที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก็น้อยลง

ผู้ที่อยู่ในวัยนี้จึงควรลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงเหลือเพียง 50% ขณะเดียวกันก็เพิ่มสัดส่วนของเงินฝากและตราสารหนี้ให้มากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง!!

เป็นยังไงกันบ้าง พวกเราอยู่ในช่วงวัยไหน อย่าลืมว่า… ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหนก็สามารถ ออมเงินและลงทุนได้ เพียงแต่ให้เหมาะสมกับความจำเป็นและความเสี่ยงในแต่ละช่วงวัยที่แตกต่างกัน คราวหน้าเรามาดูกันต่อว่า อีก 2 ช่วงวัย คือ “วัยปึกแผ่นมั่นคง” และ “วัยเกษียณ” ควรเน้นลงทุนหรือเลี่ยงลงทุนในอะไรบ้าง!!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เชสเตอร์ ปั้นแบรนด์ ‘ตะหลิว’ ร้านอาหารตามสั่งคุณภาพพรีเมียม รุกตลาดสตรีทฟู้ด

0

นางสาวลลนา บุญงามศรี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจร้านอาหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของซีพีเอฟ ได้เปิดตัวร้านอาหารตามสั่ง แบรนด์ ‘ตะหลิว’ สาขาโลตัส พระราม 4 เอาใจกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบอาหารรสชาติจัดจ้าน สะท้อนวัฒนธรรมการทานของไทย ด้วยการคิดค้นสูตรอาหารรสเด็ด ปรุงด้วยกรรมวิธีแบบใหม่ผสมผสานร่วมกับวัตถุดิบที่คัดสรรเป็นอย่างดี สด สะอาด คุณภาพพรีเมียม และผักสมุนไพร ทำให้อาหารแต่ละจานได้รสชาติดั้งเดิมอย่างแท้จริง โดยมี นางรุ่งทิพย์ พรหมชาติ รองกรรมการผู้จัดการ เชสเตอร์ฟู้ด และคณะผู้บริหารห้างสรรพสินค้าโลตัส ร่วมเปิดร้าน

ทั้งนี้ กระแสตลาดสตรีทฟู้ดที่กำลังมาแรง เชสเตอร์จึงต่อยอดจากจุดเด่นของแบรนด์ คือ เมนูข้าวและพริกน้ำปลา ภายใต้แบรนด์ ‘ตะหลิว’ เน้นอาหารตามสั่ง โดยมีเมนูอาหารไทยยอดนิยมให้เลือกมากมาย อาทิ ผัดกะเพรา ผัดพริกเผา ต้มยำ และประเภทเส้น ในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ ร้านตะหลิวได้คิดค้นสูตรเฉพาะ ใช้วัตถุดิบหลักคุณภาพพรีเมียม สด สะอาด ได้มาตรฐาน และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ทำให้ได้รสชาติกลมกล่อมและอร่อย เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าที่ต้องการทานอาหารไทย ที่คงคุณค่าทางอาหารและมีประโยชน์

“ร้านตะหลิวสาขานี้ เป็นลักษณะ Stand Alone ร้านแบบมีที่นั่ง โดยมีเมนูที่โดดเด่นหลากหลายประเภท อาทิ อาหารจานเดียว กับข้าว เมนูทานเล่น รวมไปถึงขนมหวานและเครื่องดื่ม ซึ่งเมนูแนะนำที่พลาดไม่ได้คือ ข้าวไข่ข้นกะเพราหมูสับ ข้าวกะเพราขาหมูกรอบ และเมนูมาม่าหม้อไฟ ไข่ตุ๋นหม้อไฟต่างๆ” นางสาวลลนา กล่าว

สำหรับร้านตะหลิว โลตัส พระราม 4 ตั้งอยู่บริเวณชั้น 1 ทางเข้าลานจอดรถ เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. พร้อมโปรโมชันพิเศษ ฉลองเปิดสาขาใหม่ในราคาสุดคุ้ม อาทิ มาม่าหม้อไฟ ฟินหมู เพียง 109 บาท (จากปกติ 145 บาท) ฟินซีฟู้ด 139 บาท (จากปกติ 169 บาท) และโปรโมชั่นอีกมากมาย ตั้งแต่วันนี้ – 30 เมษายน 2564

ร้านตะหลิว มีการออกแบบลักษณะร้านให้ตอบรับกับพื้นที่ใช้สอยและความสะดวกในการเลือกซื้อ 3 รูปแบบ รวม 7 สาขา ได้แก่ ร้านขนาดเล็กในฟู้ดคอร์ท เช่น สาขาโรงพยาบาลศิริราช, คลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา, ฟอร์จูนทาวเวอร์ และไบเทคบางนา ร้านแบบมีที่นั่ง สาขาศูนย์การค้าอิมพีเรียล สำโรง, ปั๊มน้ำมัน ปตท. พหลโยธิน กม. 25 และล่าสุด โลตัส สาขาพระราม 4 ส่วนรูปแบบ Cloud Kitchen จะเน้นแบบเดลิเวอรี่เท่านั้น ทั้งนี้ สามารถติดตามรายละเอียดและโปรโมชันดีๆ ได้ที่ Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/TALIEWTH/

แพทย์ ห่วงชาวบ้านเสี่ยงโรคร้ายแรง พื้นที่ไฟป่าพบค่า PM 2.5 พุ่งเกินมาตราฐาน สิงห์อาสาเร่งอบรมให้ความรู้/ดูแลสุขภาพ

0

ศ.นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์ แพทย์ประจำวิชาอายุรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบการหายใจ เวชบำบัดวิกฤตและภูมิแพ้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทีมจัดตั้ง Chiang Mai Air Quality Health Index เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา สภาพอากาศช่วงที่เกิดเหตุไฟป่าในพื้นที่จ.เชียงใหม่ มีค่า PM 2.5 พุ่งสูงขึ้นอยู่ในระดับสีแดงเกินค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ โดยในพื้นที่ภาคเหนือ พบค่าระหว่าง 40 – 320 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และพบว่าหลายพื้นที่ในจ.เชียงใหม่ได้รับผล
> กระทบ PM2.5 จากเหตุไฟป่า โดยเหตุการณ์ไฟป่าล่าสุด เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 64 ที่ อ.สะเมิง วัด ได้ 179ไมรโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและก่อให้เกิดโรคร้ายแรงในระยะยาวอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ข้อมูลการจัดอันดับคุณภาพอากาศในเว็บไซต์ AirVisual เผยข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศ ชี้ให้เห็นว่าสภาพอากาศของ จ.เชียงใหม่ มีปริมาณค่าฝุ่นละออง PM2.5 มากเกินค่ามาตรฐาน บางวันค่าฝุ่นละอองมลพิษในอากาศแย่เป็นอันดับที่ 1 ของโลก

ศ.นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์

พื้นที่จ.เชียงใหม่และภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาหมอกควันอย่างรุนแรง โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือระยะเฉียบพลัน และระยะยาว เช่น ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ โรคทางเดินหายใจ มีโรคประจำตัว กลุ่มเด็กเล็ก กลุ่มผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ รวมถึงทารกในครรภ์ นับว่าเป็นกลุ่มเปราะบาง จะได้รับผลกระทบในระยะเฉียบพลัน ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตกระทันหัน ด้านผลกระทบระยะยาวจะเห็นได้ว่าผู้ที่ไม่เคยป่วยก็จะป่วยสะสมเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคความดัน โรคมะเร็งปอด โรคหัวใจ เป็นต้น โดยประชาชนสามารถดูดัชนีคุณภาพอากาศ งดกิจกรรมกลางแจ้ง และสังเกตอาการเบื้องต้น ถ้าอยู่ใกล้แหล่งกำเนิดจะได้กลิ่น แต่ถ้าอยู่ไกลสามารถสังเกตอาการได้จากอาการเวียนศรีษะ แสบจมูก คอแห้ง อ่อนเพลีย ระคายเคืองตาและผิวหนัง ซึ่งอาจสะสมจนก่อให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง โรคหอบหืดเรื้อรัง หรือ โรคมะเร็งปอดได้

รายงานข่าว เปิดเผยว่า จากปัญหาหมอกควันที่รุนแรง สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และเครือข่ายสถาบันการศึกษาภาคเหนือ 10 สถาบัน จัดอบรมให้ความรู้เรื่องปัญหาหมอกควัน แนะนำวิธีการดูแลสุขภาพและการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับอาสาสมัครดับไฟป่าในต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จำนวน 50 คน ในโครงการ “สิงห์อาสาสู้ไฟป่า รักษาต้นน้ำ” ซึ่งเป็นโครงการที่ดูแลรักษาป่าต้นน้ำภาคเหนือ โดยมี รศ.นพ.ณัฐพงษ์ โฆษะชุณหนันท์ รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ และ ศ.นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์ แพทย์ประจำวิชาอายุรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบการหายใจ เวชบำบัดวิกฤตและภูมิแพ้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมบรรยายถึงสาเหตุการเกิดหมอกควันและอันตรายต่อสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหา สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาไฟป่าและหมอกควันได้ตั้งแต่ต้นเหตุ สามารถดูแลตนเองและในขณะเดียวกันก็สามารถนำความรู้ไปถ่ายทอดให้กับคนในชุมชนได้ ที่สถานีควบคุมไฟป่าเชียงใหม่ เมื่อ 31 มี.ค.64

รศ.นพ.ณัฐพงษ์ โฆษะชุณหนันท์ รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมในโครงการ “สิงห์อาสาสู้ไฟป่า รักษาต้นน้ำ” ครั้งนี้ ทางคณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ได้มาร่วมบรรยายเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เกิดฝุ่นควัน PM 2.5 ผลกระทบต่อสุขภาพและปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และสิ่งแวดล้อม โดยผลที่คาดว่าจะได้รับจากกิจกรรมนี้คือ ชุมชนเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาฝุ่นควันที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งทุกคนและทุกภาคส่วนสามารถช่วยกันแก้ไขปัญหาได้ เช่น การดูแลป่าต้นน้ำ การเฝ้าระวังไฟป่าเพื่อลดปัญหาหมอกควัน กระตุ้นให้เกิดการพูดคุยกันในวงกว้างเพื่อให้เกิดการตระหนักและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นและให้ทุกคนมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

นอกจากการจัดอบรมให้ความรู้ปัญหาหมอกควัน โครงการ “สิงห์อาสาสู้ไฟป่า รักษาต้นน้ำ” ยังมีกิจกรรมอื่นๆ เพื่อดูแลรักษาป่าต้นน้ำในภาคเหนืออย่างครบวงจร ได้แก่ การทำแนวกันไฟป่า พร้อมจัดอบรมให้ความรู้กับชาวบ้านในพื้นที่เพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาไฟป่า การทำฝายชะลอน้ำรักษาความชุ่มชื้นป่าต้นน้ำ การร่วมกับเครือข่ายนักศึกษาภาคเหนือ 10 สถาบันจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังไฟป่า การสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครดับไฟป่า เช่น มอบเครื่องมือทำแนวกันไฟที่ได้มาตรฐาน รองเท้าเซฟตี้ รวมทั้งสนับสนุนอาหาร-น้ำดื่มอีกด้วย

โครงการ “สิงห์อาสาสู้ไฟป่า รักษาต้นน้ำ” เป็น 1 ใน 4 ภารกิจ “ต้นน้ำ แหล่งน้ำ สายน้ำ และความยั่งยืน” ตอกย้ำเป้าหมายการดำเนินงานของ สิงห์อาสา เนื่องในวาระครบรอบ 10 ปี เป็นภารกิจที่ดูแลรักษาป่าต้นน้ำอย่างครบวงจร ซึ่งปัญหาไฟป่าเป็นต้นเหตุของการทำลายป่าต้นน้ำ ทำให้ป่าต้นน้ำขาดความชุ่มชื้น และอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่เกิดจากไฟป่า คือ วิกฤตหมอกควันรุนแรง กลายเป็นฝุ่น PM 2.5 ที่จะส่งผลกระทบต่อปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในหลายพื้นที่ โดยสาเหตุหลักของไฟป่านั้นเกิดจากมนุษย์ อาทิ การลักลอบเผาป่า การรุกป่าทำแปลงเกษตรและปศุสัตว์ เป็นต้น โครงการ “สิงห์อาสาสู้ไฟป่า รักษาต้นน้ำ” จึงจัดอบรมให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้พื้นที่ป่า ตระหนักถึงปัญหาหมอกควันที่จะส่งผลกระทบในวงกว้างกับสุขภาพของประชาชน พร้อมแนะวิธีดูแลสุขภาพของตนเอง การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเมื่อเกิดเหตุ ให้กับชาวบ้านจาก ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดไฟป่าบ่อยครั้ง

ทิพยประกันภัย ทำบุญมหากุศลปล่อยปลานิลจิตรลดา 1 หมื่นตัว ในกิจกรรมพลังบุญทิพยร่วมสร้าง ครั้งที่ 178

0
default

คุณวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ คุณศุภกิจ จิตร์เพิ่มพูลผล รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและความรับผิดชอบต่อสังคม ทิพยประกันภัย ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด และประธานมูลนิธิธรรมดี จัดกิจกรรม พลังบุญทิพยร่วมสร้าง ครั้งที่ 178 เพื่อน้อมอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยร่วมกันปล่อยพันธุ์ปลานิลจิตรลดา จำนวน 10,000 ตัว ณ หนองน้ำ ภายในโครงการมูลนิธิชัยพัฒนา หนองกรด จ.นครสวรรค์ เพื่อให้ปลานิลได้แพร่พันธุ์และเป็นแหล่งอาหารในธรรมชาติของชาวบ้านต่อไป

ปลานิล เป็นปลาที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่ประชาชนชาวไทย มีต้นกำเนิดมาจากพันธุ์ปลา Nile tilapia ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโต เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมารแห่งประเทศญี่ปุ่น ได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จำนวน 50 ตัว และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลี้ยงไว้ในบ่อที่สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต และพระราชทานชื่อปลาชนิดนี้ว่า “ปลานิล” ปลาชนิดนี้เจริญเติบโตดี เลี้ยงง่าย และเนื้อมีรสชาติดี เหมาะที่จะเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่สำคัญของประชาชน และพระราชทานปลาที่เพาะเลี้ยงจากสวนจิตรลดาจำนวน 10,000 ตัว แก่กรมประมงเพื่อขยายพันธุ์และแจกจ่ายให้กับประชาชนทั่วภูมิภาคของประเทศ

ซีพีเอฟ เปิดกลยุทธ์ “อาหารมั่นคง” ผลิตอาหารคุณภาพและปลอดภัย เป็นครัวของโลกที่ยั่งยืน

0

ซีพีเอฟ เปิดตัวรายงานความยั่งยืนประจำปี 2563 ตอกย้ำกลยุทธ์สู่ความยั่งยืน 3 เสาหลัก อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดินน้ำป่าคงอยู่ สนับสนุนการบริหารจัดการธุรกิจให้ดำเนินไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและต่อเนื่อง เพื่อผลิตอาหารคุณภาพดี ปลอดภัย เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ควบคู่กับการมีส่วนร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ตามวิสัยทัศน์ “ครัวของโลกที่ยั่งยืน”

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส หน่วยงานความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ กล่าวว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปี 2563 จากภัยธรรมชาติและโรคระบาดโควิด-19 กระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และความเป็นอยู่ของประชาชน ซีพีเอฟในฐานะผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจร ตระหนักดีถึงภาระกิจสร้างความมั่นคงทางอาหาร และยืนหยัดเคียงข้างสังคมไทย

โดยซีพีเอฟเป็นบริษัทแรกๆที่ส่งความช่วยเหลือสู่สังคม ริเริ่ม“โครงการส่งอาหารจากใจร่วมต้านภัยโควิด-19” ส่งมอบอาหารปลอดภัย เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้ทีมแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์และครอบครัว เจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุข ผู้กักตัวเอง ผู้มีรายได้น้อย แรงงานข้ามชาติ กลุ่มเปราะบาง ฯลฯ ได้มีอาหารบริโภคอย่างเพียงพอ และยืนยันจะส่งความช่วยเหลือเพื่อก้าวพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน

และยังเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ประกาศยกระดับความปลอดภัยของพนักงานขึ้นระดับสูงสุด พร้อมทั้งปรับแผนการดำเนินธุรกิจร่วมกับคู่ค้า โดยจัดทำโครงการ Faster payment ลดระยะเครดิตเทอมเหลือ 30 วัน ให้แก่คู่ค้ากว่า 6,000 ราย เพิ่มสภาพคล่องและรักษางานของลูกจ้างในกลุ่มคู่ค้า

ภายใต้การดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ ซีพีเอฟผนวกเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) เข้ากับกลยุทธ์ความยั่งยืน 3 เสาหลัก โดยสนับสนุนเป้าหมาย SDGs ทั้งหมด 13 เป้าหมาย จาก 17 เป้าหมาย และมีการทบทวนกลยุทธ์ความยั่งยืนให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ สนับสนุนให้ธุรกิจเดินหน้าและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ปี 2563 ซีพีเอฟได้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน 100% จำนวน 7 เป้าหมาย อาทิ ลดปริมาณการใช้พลังงานต่อหน่วยการผลิต ลดปริมาณการดึงน้ำมาใช้ ลดปริมาณของเสียที่กำจัดโดยการฝังกลบ และเดินหน้าขับเคลื่อนเป้าหมายที่ต้องดำเนินการต่อ คือ ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งบริษัทวางแผนที่จะซื้อคาร์บอนชดเชยและมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate-friendly products) วางแผนระบบโลจิสติกส์ ลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร แก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน(Nature-based Solution) เพื่อมีส่วนร่วมในการบรรเทาปัญหาโลกร้อน

นายวุฒิชัย กล่าวว่า ในรายงานความยั่งยืนฉบับนี้ ได้แสดงความสำเร็จของการดำเนินงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนของซีพีเอฟในด้านต่างๆ อาทิ การส่งเสริมคุณภาพชีวิต สนับสนุนให้ประชาชนมีอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจำนวน 51,234 ราย เด็กและเยาวชน 1.433 ล้านราย เข้าถึงอาหารและการเรียนรู้หรือทักษะเกี่ยวกับอาหาร ขณะที่ 35% ของผลิตภัณฑ์ใหม่ในประเทศไทย มุ่งเน้นสุขโภชนาการและสุขภาพ ที่สำคัญผู้นำและพนักงานผ่านการอบรมพัฒนาความรู้และความเข้าใจเพื่อความยั่งยืนแล้ว 100%

นอกจากนี้ จากการที่บริษัทมีการบริหารจัดการทรัพยากรตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน ทำให้ปีที่ผ่านมา มีส่วนร่วมลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น ดึงน้ำมาใช้ต่อหน่วยการผลิตลดลง 36% เทียบกับปีฐาน 2558 นำน้ำกลับใช้ใหม่หรือใช้ซ้ำได้ถึง 42% ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้รวม 586,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากกิจกรรมต่างๆ เช่น โครงการซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าชายเลน พื้นที่ยุทธศาสตร์ 5 จังหวัดรวม 2,388 ไร่ โครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง จ.ลพบุรี อนุรักษ์และฟื้นฟูป่า 5,971 ไร่ พร้อมทั้งเดินหน้าร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและชุมชนอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าเข้าสู่ระยะที่สอง ตลอดจนการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่สามารถใช้ซ้ำ หรือใช้ใหม่ หรือเป็นสินค้าใหม่ หรือย่อยสลายได้สูงถึง 99.9% การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ทำให้สามารถเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนตลอดกระบวนการผลิตอยู่ที่ 26% ของการใช้พลังงานทั้งหมด เป็นต้น

ภายใต้กลยุทธ์ความยั่งยืน 3 เสาหลัก ในด้านอาหารมั่นคง บริษัทมีการดูแลสวัสดิภาพสัตว์สอดคล้องตามหลักอิสระ 5 ประการ ซีพีเอฟเป็นรายแรกของประเทศไทยที่นำอุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยติดตามพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของสัตว์แบบ Real-Time เพื่อนำมาใช้ปรับการดูแลจัดการได้อย่างเหมาะสมตลอดเวลา ทำให้ได้รับการจัดอันดับมาตรฐานการจัดการฟาร์มตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ดีขึ้นไปอยู่ใน Tier 3 จาก Tier 4 ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทในการยกระดับการให้ความคุ้มครองสัตว์ตามหลักมนุษยธรรม ด้านสังคมพึ่งตน ร่วมมือกับกรมปศุุสัตว์และสมาคมผู้เลี้ยงสุุกรแห่งชาติให้ความรู้เรื่่องการป้องกันโรค ASF กับเกษตรกร รวมไปถึงการส่งเสริมการการสร้างกิจกรรมร่วมกับชุมชนในการผลิตอาหารปลอดภัย ด้านดินน้ำป่าคงอยู่ บริษัทเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนตลอดกระบวนการผลิต เช่น ในฟาร์มสุกร 94 แห่งทั่วประเทศ มีการผลิตไบโอแก๊ส และติดตั้งโซลาร์ฟาร์ม 16 แห่ง ใ นส่วนโรงงานแปรรูปอาหารและอาคารสำนักงานมีการติดตั้งโซลาร์รูฟ 22 แห่ง ขณะที่ธุรกิจสัตว์น้ำได้พัฒนาระบบฟาร์มเลี้ยงกุ้งต้นแบบที่สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคระบาด เพิ่่มผลผลิต และลดการใช้น้ำ

นายวุฒิชัย กล่าวด้วยว่า กลยุทธ์สู่เป้าหมายความยั่งยืน ปี 2573 (ปี 2030) จะเน้นสร้างนวัตกรรมอาหาร การพัฒนาบุคลากรให้สามารถพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต การผลิตที่มุ่งสู่เป้าหมาย Net-zero ลดก๊าซเรือนกระจกและขยะอาหารโดยใช้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับกลุ่มอุตสาหกรรม ประเทศและโลก พร้อมทั้งแบ่งปันคุณค่าร่วมให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่สร้างความมั่นคงทางอาหารของโลกอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ CPF จัดทำรายงานความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554 เพื่อสื่อสารผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของซีพีเอฟ และรายงานฉบับนี้เป็นการพิมพ์ด้วยหมึกและกระดาษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถติดตามรายละเอียดของรายงานความยั่งยืน https://www.cpfworldwide.com/en/sustainability/report

AIS Academy ดัน “LearnDi” ยกระดับวงการ EdTech ของไทย

0

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS และ กลุ่มอินทัช, กรรมการ บริษัท เลิร์นดิ จำกัด เปิดเผยว่า จากความสำเร็จของ “AIS Academy” ตลอดระยะเวลาเกือบ 6 ปี ที่สั่งสมองค์ความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากร จนมีความแข็งแกร่งและพร้อมที่จะใช้ศักยภาพความแข็งแกร่งของ AIS Academy พร้อมพันธมิตรชั้นนำในแวดวง “EdTech” สร้างความร่วมมือขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะและเสริมศักยภาพของลูกค้าองค์กรให้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการเป็น Hub ด้านองค์ความรู้ชั้นนำของไทยกับ “LearnDi by AIS Academy”  (บริษัท เลิร์นดิ จำกัด)

ทั้งนี้ AIS Academy จัดตั้งขึ้น โดยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรกว่า 13,000 คน ให้มีความพร้อมและยอมรับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เส้นทางของ AIS Academy ได้ขยายผลสู่สังคมไทยภายใต้โครงการ “AIS Academy for Thais ภารกิจคิดเผื่อ เพื่อคนไทย” ทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เห็นถึงพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของคนที่ยังต้องการหาความรู้ ทักษะใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่การเข้าถึงหลักสูตร หรือคอนเทนต์ดีๆ ยังมีข้อจำกัด เราและพันธมิตรจึงมุ่งมั่นในการลุกขึ้นมามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศผ่านการสร้างองค์ความรู้ให้เท่าทัน ดึงศักยภาพ จุดแข็งและประสบการณ์ที่มีขับเคลื่อนผ่านบริษัท เลิร์นดิ จำกัด พร้อมกับพันธมิตรในวงการ EdTech ร่วมสร้างมิติใหม่ในการพัฒนาบุคลากรติดอาวุธทางปัญญาพร้อมนำศักยภาพความแข็งแกร่งสู่ผู้ประกอบการไทย

การเปิดตัวบริษัท เลิร์นดิ จำกัด จึงนับว่าเป็นการขยับตัวครั้งสำคัญของ “AIS” ในฐานะบริษัทด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคม และผู้ให้บริการดิจิทัลอันดับ 1 ของไทย ผ่านศักยภาพของ AIS Academy และพันธมิตร สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของอุตสาหกรรม “EdTech” ไทย ให้คนไทยได้มีทางเลือกใช้เครื่องมือในการพัฒนาตนเองบนเน็ตเวิร์คที่มีความสมบูรณ์แบบบนแนวคิด Anywhere Anytime Any Device โดยเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ในวงการการศึกษา ทั้งภาคเอกชน และภาคการศึกษา ทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น

·      พันธมิตรด้านการพัฒนาระบบและแพลตฟอร์ม

·      พันธมิตรด้านเนื้อหา

·      พันธมิตรด้านกลุ่มธุรกิจองค์กร

โดยมี Invent, SEAC, Humanica , Conicle , NEO Academy by CMMU, Beyond Training, Doctor A to Z ร่วมเป็นพันธมิตรส่งต่อองค์ความรู้ไปยังคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านโครงข่ายเทคโนโลยี เติมเต็มเนื้อหา รวมถึงหลักสูตรต่างๆ ให้ตอบโจทย์ทักษะความต้องการใหม่ๆ ที่ครบถ้วน

นางสาวกานติมา กล่าวว่า “LearnDi by AIS Academy เกิดจากการพัฒนาภายในองค์กรในการทำ Transformation ทำให้เรารู้ว่าพนักงานต้องการอะไร ผู้ประกอบการและองค์กรต้องการอะไร ทำให้การใช้งานตอบโจทย์ความหลากหลาย โดยการทำงานร่วมกับพันธมิตรในวงการยึดหลักการเติบโตร่วมกันใช้จุดแข่งของแต่ละพันธมิตรทำให้ LearnDi เป็นเสมือนกับ Hub ด้านองค์ความรู้และทักษะใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน Soft skill และ   Hard skill ที่จะช่วยให้การพัฒนาบุคลากร และตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อการกำหนดเส้นทางความสำเร็จของตนเองผ่านการทำ Self-Development ขององค์กร เปิดโอกาสให้พนักงานได้เข้าถึงองค์ความรู้ได้อย่างเป็นรูปธรรม มีความสอดคล้องเหมาะสมกับพนักงานในทุกระดับ บนราคาที่จับต้องได้”

อีกหนึ่งจุดเด่นของ LearnDi คือการทำงานร่วมกับคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อพัฒนาแบบวัดศักยภาพส่วนบุคคลสำหรับคนไทย (Self-Competency Assessment) รวมถึงแบบทดสอบวัดศักยภาพส่วนบุคคลด้านดิจิทัล (Self-Digital Competency Assessment) เพื่อทำให้ผู้เรียนเข้าใจศักยภาพตัวเองก่อนการนำเสนอหลักสูตรที่เหมาะสม สุดท้ายเมื่อเรียนจบก็จะได้รับ E-Certificate ที่เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของการเรียนรู้รูปแบบใหม่

เป้าหมายของ AIS Academy คือการผลักดันองค์ความรู้ผ่านความสามารถของเทคโนโลยี และองค์ความรู้จากพันธมิตร ทั้งภายใน และต่างประเทศ ออกสู่สังคมไทย โดย บริษัท เลิร์นดิ จำกัด โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้าง สนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถของคนในองค์กร สนับสนุนการทำการเปลี่ยนผ่านขององค์กร โดยเครื่องมือการพัฒนาบุคลากรการเรียนรู้  เพื่อสร้างโอกาสให้กับกลุ่มธุรกิจองค์กร ผู้ประกอบการ SMEs ฝ่ายทรัพยากรบุคคล รวมถึงคนทั่วไป มีความเข้าใจ และความพร้อมภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลงที่มีอย่างไม่หยุดยั้ง

นางสาวกานติมา กล่าวอีกว่า พันธมิตรทั้งหมดมีเป้าหมายเดียวกันที่จะใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อช่วยกันพัฒนา “EdTech Ecosystem” ให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เพราะการให้พันธมิตรทุกส่วนเติบโตไปด้วยกัน พร้อมๆ กัน เป็นจุดแข็งที่จะทำให้เกิด Ecosystem ที่แท้จริง และจะช่วยทำให้สังคมเข้มแข็งและสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

LearnDi by AIS Academy พร้อมแล้วที่จะร่วมขับเคลื่อนวงการ EdTech และเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาบุคลากรไทยให้เข้าถึงองค์ความรู้ ทลายกรอบการเรียนรู้แบบเดิมๆ ให้เข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อเพิ่มเติมได้ที่ https://www.aisacademy.com/

100 ปี เครือเจริญโภคภัณฑ์ ขอบคุณคนไทย ร่วมส่งต่อโลหิต มากกว่า 2 แสนซีซี

0

การบริจาคโลหิตของคนหนึ่งคน สามารถต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วยที่มีความต้องการใช้โลหิต ตามคำที่กล่าวว่า “หนึ่งคนให้ หลายคนรับ” เพราะโลหิต 1 ยูนิต สามารถแยกเป็นส่วนประกอบของโลหิตได้ 3 ประเภท ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด และพลาสมาที่สามารถนำไปรักษาผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับเลือดและส่วนประกอบของเลือด ดังนั้นการบริจาคโลหิตจึงเป็นการช่วยชีวิตผู้อื่นที่ดีที่สุดที่คนทั่วไปสามารถทำได้

เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมกับ ศูนย์บริการโลหิต สภากาชาดไทย จัดกิจกรรมทำความดีอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ “เครือเจริญโภคภัณฑ์ครบ 100 ปี ทำความดีด้วยการบริจาคโลหิต” ครั้งที่ 1 ประจำปี 2564 เปิดรับบริจาคโลหิต ณ ห้องประชุม ชั้น 11 อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ ถนนสีลม กรุงเทพฯ โดยมีผู้ร่วมบริจาคโลหิตในครั้งนี้ จำนวน 507 คน ได้รับปริมาณโลหิต จำนวน 202,800 ซีซี

นายวัลลภ เจียรวนนท์ รองประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ในฐานะประธานโครงการ “เครือเจริญโภคภัณฑ์ครบ 100 ปี ทำความดีด้วยการบริจาคโลหิต” กล่าวว่า เนื่องด้วยเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในวาระดำเนินกิจการครบรอบ 100 ปี ได้จัดกิจกรรมชวนชาวซีพีจิตอาสาและประชาชนทั่วไปทำความดี ด้วยการบริจาคโลหิต เพื่อให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยในภาวะขาดแคลน จากสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 โดยกิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้น 2 วัน มีผู้บริจาคโลหิต จำนวน 507 ราย และโลหิตที่ได้รับ จำนวน 202,800 ซีซี ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย จึงขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมช่วยเหลือสังคมในครั้งนี้

ส่วนกิจกรรมบริจาคโลหิตของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในครั้งต่อไป ขอเชิญประชาชนผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมได้ โดยจะแจ้งรายละเอียดให้ทราบในครั้งต่อไป

ปิดโครงการคนละครึ่ง ยอดใช้จ่ายกว่า 1 แสนล้านบาท

0

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่ง และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ได้สิ้นสุดแล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 มียอดการใช้จ่ายตลอดโครงการ 102,065 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 52,251 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 49,814 ล้านบาท โดยมีผู้ใช้สิทธิทั้งสิ้น 14,793,502 คน จากเป้าหมาย 15 ล้านคน ในจำนวนนี้มีการใช้จ่ายตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป จำนวน 13,653,565 คน หรือประมาณร้อยละ 92 ของผู้ใช้สิทธิทั้งหมด โดยมีคนใช้จ่ายครบ 3,500 บาท จำนวน 7,819,925 คน

จังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี สมุทรปราการ สงขลา และเชียงใหม่ ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัวต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบ 6 เดือนตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ถึงไตรมาสแรกของปี 2564 แสดงถึงความร่วมมือร่วมใจของประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยที่มีส่วนช่วยส่งเสริมการบริโภคในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก และก่อให้เกิดการหมุนเวียนของการผลิตและการค้าที่เกี่ยวเนื่องอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้โครงการคนละครึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง

นางสาว กุลยา กล่าวอีกว่า กระทรวงการคลังได้ตรวจพบการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่ง และได้มีการระงับการใช้แอปพลิเคชันและการจ่ายเงินร้านค้า รวมทั้งจัดส่งข้อมูลร้านค้าและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าวให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) เพื่อใช้ในการสืบสวนสอบสวนและดำเนินการทางกฎหมายแล้วทั้งสิ้น 749 ราย โดยมีการร้องทุกข์กล่าวโทษร้านค้าและประชาชนที่เกี่ยวข้องแล้ว 85 ราย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบของ สตช. และ ปอศ. และจะมีการร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่งจะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการอื่นของกระทรวงการคลังได้อีก