Home Blog Page 376

บีทีเอส – กทม. ชวนร่วมงาน ‘กินเจ กินผัก รักษาโรคภัย’ ฟรีตลอดงาน

0

กลุ่มบริษัทบีทีเอส ชวนร่วมงาน หนูด่วนชวนกินเจ ปีที่ 13 “กินเจ กินผัก รักษาโรคภัย” เชิญชวนประชาชนงดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ และประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม ในช่วงเทศกาลกินเจประจำปี 2563 โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-21 ตุลาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป หรือจนกว่าอาหารจะหมด ที่สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ บริเวณทางเดินเชื่อมหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สถานีช่องนนทรี บริเวณลานอเนกประสงค์ ทางเดินเชื่อม บีอาร์ที

โดยกลุ่มบริษัทบีทีเอส ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร เครือสหพัฒน์ เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ และสยามพิวรรธน์ ได้จัดเตรียมอาหารเจไว้ หลากหลายเมนู ทั้งคาว หวาน พร้อมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ กว่า 30 รายการ จากร้านอาหารชื่อดัง อาทิ ผัดหมี่อายุยื่น เต้าหู้ผัดขิงเส้นเจ, ข้าวผัดอรหันต์เจผัดโหงวก๊วยเจ, ผัดจับฉ่ายไหหลำ, น้ำพริกอ่องเจ, พะแนงฟักทองเจ, ผัดพริกขิงโปรตีนเกษตรเจ, หลนเต้าเจี้ยวเจ พร้อมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารเจ มาม่าเจ, นมถั่วเหลืองผสมข้าวโพดคอร์นซอย, ไอศครีม BUD’s Vida Bella ขนมปังเจ จากฟาร์มเฮ้าส์ ผลิตภัณฑ์อาหารเจในเครือสหพัฒน์ และขนมจีนน้ำยาเจ เค้กกล้วยหอมเจร้าน Chilli Thai Restaurant จากสยามพิวรรธน์ มาให้ประชาชนได้รับประทานตลอดงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ทั้งนี้ ภายในงานจะจัดรูปแบบการแจกอาหารเจ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด – 19 จัดจุดคัดกรองอุณหภูมิบริเวณทางเข้าร่วมงาน ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย พร้อมทั้งรักษาระยะห่างทางสังคม และปรับรูปแบบการจัดงาน ด้วยการจัดเป็นกล่องอาหารเจสุขภาพโดยใช้ภาชนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอบถามรายละเอียด ได้ที่ไลน์ @btsskytrain (แอดไลน์ คลิก bit.ly/2TUzZXH )

กรุงไทยมองโควิด-19 ทำธุรกิจไทย ‘ซมไข้ยาวนาน’

0

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่าปี 2564 จะยังเป็นปีที่ธุรกิจไทยเผชิญความท้าทายแม้สถานการณ์โควิด-19 จะดีขึ้น โดยคาดว่ายอดขายที่หดตัวมากถึง 9.0% ในปี 2563 จะยังต่ำกว่าระดับปกติในปี 2564 เป็นปัจจัยกดดันความสามารถในการชำระหนี้ หลังมาตรการพักชำระหนี้เป็นการทั่วไปสิ้นสุดลง

จากการวิเคราะห์ข้อมูลงบการเงินในระดับรายบริษัทกว่า 2 แสนราย พบว่าอัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio: ICR) ซึ่งสะท้อนว่ากิจการมีกำไรจากการดำเนินงานเพียงพอที่จะจ่ายภาระดอกเบี้ยมากน้อยแค่ไหน ในภาพรวมจะลดลงจาก 3.62 เท่า ในปี 2562 มาอยู่ที่ 3.11 เท่า ในปี 2563 และจะใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี ถึงจะกลับไปสู่ระดับเดิม

นอกจากนั้น กิจการที่มีกำไรจากการดำเนินงานไม่เพียงพอจ่ายดอกเบี้ย หรือมี ICR ต่ำกว่า 1 เท่า จะมีสัดส่วนมากถึง 28-30% ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า

“สถานการณ์เศรษฐกิจซบเซาที่มีแนวโน้มลากยาว อาจส่งผลให้กิจการ “ซมไข้ยาวนาน” หรือ กิจการที่มี ICR ต่ำกว่า 1 เท่า ติดต่อกันเป็นเวลา 3 รอบปีบัญชี มีจำนวนเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เคยอยู่ที่ 9.5% ของกิจการทั้งหมด ในปี 2562 เป็น 14% ของกิจการทั้งหมดในปี 2563 และจะพุ่งสูงขึ้นเป็น 26% ภายในปี 2565”

นายณัฐพร ศรีทอง นักวิเคราะห์ กล่าวว่าต้องจับตามองธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นพิเศษ หลังพบว่าเป็นธุรกิจที่มีกิจการ “ซมไข้ยาวนาน” ในปี 2563 มากถึง 29% และ 26% ของกิจการทั้งหมด ตามลำดับ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 48% และ 38% ภายในปี 2565 ได้หากไม่มีการช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งนี้ ยังขึ้นอยู่กับแนวโน้มการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและพัฒนาการของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะมีผลต่อธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร และแนวโน้มกำลังซื้อในประเทศ ภาวะการมีงานทำ รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน เพราะจะกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯ โดยตรง

นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายธุรกิจที่จะมีจำนวนกิจการ “ซมไข้ยาวนาน” สูงกว่าค่าเฉลี่ย เช่น ธุรกิจสื่อและบันเทิง ธุรกิจเครื่องหนัง ธุรกิจเครื่องสำอาง และธุรกิจสิ่งทอ เป็นต้น

ดร.ชัยสิทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ นักวิเคราะห์ กล่าวว่า การจัดการกับกิจการ “ซมไข้ยาวนาน” เป็นโจทย์ท้าทายในระยะข้างหน้า การดำเนินนโยบายต่างๆ ต้องมีความเฉพาะเจาะจง โดยคำนึงถึงพื้นฐานทางการเงินของกิจการ และศักยภาพการกลับมาฟื้นตัวของธุรกิจ รวมถึงต้องคำนึงถึงการป้องกันปัญหา Moral Hazard ที่อาจจะตามมาได้ อีกทั้ง ควรให้การสนับสนุนในมิติอื่นๆ นอกเหนือจากเงินทุน ควบคู่ไปด้วย เช่น การยกเครื่องธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัล ควบคู่กับการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจปรับตัวเพื่อแสวงหาโอกาสในตลาดศักยภาพใหม่ๆ ลดต้นทุน และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่สอดรับกับบริบท New Normal อย่างยั่งยืน

ซีพี ออลล์ จับมือ MEA เปิดสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าฟรี ที่ร้านเซเว่นฯ

0

นายมนัส อรุณวัฒนาพร ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนา การไฟฟ้านครหลวง (MEA) เปิดเผยว่า MEA ได้ดำเนินการตามแผนงานด้านพลังงานของรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย และพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้ดำเนินนโยบายในด้านรถไฟฟ้า (EV) มาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ได้ร่วมกับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เพิ่มจุดติดตั้ง MEA EV Charging Station บริเวณร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven จำนวน 2 แห่ง ให้ประชาชนสามารถใช้บริการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย คือ 7-Eleven สาขาบ้านสวนลาซาล (ศรีนครินทร์) และ สาขา สน.บางขุนนนท์ เพื่อรองรับการใช้บริการของผู้ขับขี่รถ EV ในพื้นที่ ซึ่งมีสถานที่สำคัญทั้งโรงพยาบาล ชุมชน และหน่วยงานราชการ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2563

สำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าของ MEA เป็นรูปแบบ Normal Charger ขนาด 22 kW หัวชาร์จ Type 2 โดยผู้ใช้งานสามารถเริ่มต้นการชาร์จได้ผ่านการสแกน QR Code ที่จุดติดตั้งผ่านแอปพลิเคชัน MEA EV ได้ทันที สำหรับแอปพลิเคชัน MEA EV มีฟังก์ชันที่โดดเด่นโดยสามารถตรวจสอบสถานีชาร์จ สั่งจองหัวชาร์จ พร้อมแสดงเส้นทางนำทางไปยังสถานีชาร์จด้วยระบบแผนที่ GIS ของ MEA และสั่ง เริ่ม-หยุด การชาร์จ แสดงปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ชาร์จ ชำระค่าชาร์จ ดูประวัติการชาร์จ และแสดงผลการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานมีความสะดวกสบายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน MEA EV Application รองรับการใช้งานกับสถานีอัดประจุไฟฟ้าของ MEA ที่มีอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ทั้ง 13 แห่ง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมถึงยังสามารถใช้งานกับสถานีอัดประจุไฟฟ้าของเอกชนทั่วประเทศไทย เช่น บริษัท EA Anywhere (EA) และสถานีทั้งหมดที่ลงทะเบียนกับสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) นอกจากนี้ MEA มีการสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการติดตั้งเครื่องอัดประจุไฟฟ้า 22 kW จำนวน 50 เครื่องฟรี เชื่อมต่อระบบบริหารจัดการเครื่องอัดจุไฟฟ้าอัจฉริยะพร้อม Platform วิเคราะห์ข้อมูลการชาร์จ พร้อมเชื่อมต่อกับ MEA EV Application ในเขตพื้นที่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และ สมุทรปราการ เพื่ออำนวยความสะดวกแกผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น

สำหรับผู้สนใจ สามารถ Download “MEA EV” Application “แอปเดียวจบ ครบทุกเรื่องควบคุมจัดการยานยนต์ไฟฟ้า” ได้ฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายทั้งในระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ได้แล้ววันนี้ที่ https://goo.gl/F6C5bV

เครือซีพี เปิดรับสมัครงาน 2.8 หมื่นตำแหน่ง 17-18 ต.ค.นี้

0

รายงานข่าวจากบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด เปิดเผยว่า ซีพี และบริษัทในเครือทั้ง ซีพีเอฟ , ซีพี ออลล์, สยามแม็คโคร และ กลุ่มทรู จัดมหกรรมรับสมัครงาน “CP Future Campus” เปิดบูธรับสมัครงานกว่า 28,000 อัตรา และ กิจกรรม Learning Session เปิดโอกาสเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพที่น่าสนใจหลากหลายรูปแบบ ในวันที่ 17-18 ตุลาคม 2563 ณ True Digital Park (BTS ปุณณวิถีทางออกประตู 6)

ก่อนหน้านี้นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กล่าวว่า ซีพีให้ความสำคัญในการช่วยฟื้นฟูประเทศ โดยในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบในทุกอุตสาหกรรม และทำให้มีอัตราคนว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีกลุ่มบัณฑิตจบใหม่ที่จะเข้ามาในตลาดแรงงานปีนี้อีก 4-5 แสนคน ทำให้เกิดปัญหาการว่างงาน

ซีพีและบริษัทในเครือฯ มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือกลุ่มเยาวชนดังกล่าว โดยมองว่าเด็กจบใหม่ไม่ได้มีความความผิดที่จบมาในช่วงวิกฤติดังกล่าวจึงไม่ควรให้คนกลุ่มนี้ตกงาน
สำหรับการรับนักศึกษาจบใหม่อายุไม่เกิน 25 ปี ทั้งในส่วนของกลุ่มอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัย 28,000 อัตรา คิดเป็น 10% ของจำนวนพนักงานในปัจจุบันประกอบด้วย

  • บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF รับเพิ่ม 8,000 อัตรา
  • บริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) รับเพิ่ม 12,000 อัตรา
  • กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร รับเพิ่ม 5,000 อัตรา
  • บริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รับเพิ่ม 3,000 อัตรา          

ทั้งนี้ ซีพีจะมีการพัฒนาศักยภาพด้วยการสร้างทักษะ upskill และ reskill โดยได้จัดโปรแกรมต่างๆ เน้นในด้านดิจิทัลให้กับพนักงานที่เข้ามาใหม่เพื่อให้สามารถทำงานในยุค 4.0
          

กองทัพบก CP-CPF กับชาวคลองเตย ร่วมทำบุญเลี้ยงพระ ถวายเป็นพระราชกุศล วันคล้ายวันสวรรคต รัชกาลที่ 9

0

เช้าวันที่13 ตุลาคม 2563 พลเอกณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในกิจกรรมทำบุญเลี้ยงพระ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมี นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF และนายพงษ์ วิเศษไพฑูรย์ รองประธานคณะกรรมการบริหาร CPF ร่วมงาน ณ บริเวณสวนหย่อม ชุมชนคลองเตยล็อค1-2-3 ซึ่งมีชาวชุมชนคลองเตยมาร่วมงานอย่างคับคั่ง

ในงาน พลเอกณรงค์พันธ์ และนายสุภกิต ร่วมแจกจ่ายอาหารปรุงสุก พร้อมน้ำดื่มให้แก่พี่น้องประชาชนรวม 10,000 คน พื้นที่ 9 ชุมชน ใน 7 เขตกรุงเทพมหานคร โดยได้รับการสนับสนุนวัตถุดิบในการปรุงอาหารจาก CP และ CPF ประกอบด้วย เนื้อไก่สด 1,300 กิโลกรัม ไข่ไก่ 11,000 ฟอง ข้าวสาร 1,000 กิโลกรัม พร้อมกับน้ำดื่ม 10,000 ขวด

พร้อมกันนนี้ ยังได้เดินเยี่ยมพบปะให้กำลังใจหน่วยแพทย์ทหารบกที่มาปฎิบัติหน้าที่ให้บริการตรวจสุขภาพและตัดผมฟรีแก่ชาวชุมชนคลองเตย ขณะเดียวกัน นายสุภกิต รับมอบของที่ระลึกเป็นการขอบคุณ จากนายสุรวัฒน์ กลักสมบูรณ์ ประธานชุมชนคลองเตยล็อค 4-5-6 พร้อมชาวชุมชนในโอกาสที่มาเยี่ยมชุมชนอีกด้วย

กิจกรรมครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้โครงการซ่อมแซมบ้านพักให้กับผู้ยากไร้และด้อยโอกาสของกองทัพภาคที่หนึ่ง จำนวน 9 แห่ง ใน 9 เขต ของกรุงเทพมหานคร ซึ่ง มีเครือ CP และ CPF เป็นหนึ่งในองค์กรเอกชน ให้การสนับสนุน

ข้าวตราฉัตร มอบทุนให้เด็กไทยคนเก่งที่ไปคว้ารางวัลโอลิมปิกวิชาการ

0

ข้าวตราฉัตร จัดกิจกรรมมอบทุนการศึกษาคณะผู้แทนประเทศไทย โอลิมปิกวิชาการระหว่างประเทศ ประจำปี พ.ศ.2563 ให้กับผู้แทนประเทศไทย ทั้งหมด 23 คน เพื่อมอบเป็นขวัญและกำลังใจ ให้กับผู้แทนประเทศไทยที่คว้าชัยชนะ และสร้างชื่อเสียงกลับมาสู่ประเทศไทย ซึ่งข้าวตราฉัตรให้การสนับสนุนโครงการโอลิมปิกวิชาการ ปี 2563 รวมมูลค่า 1,800,000 บาท

ภายในงานได้รับเกียรติจากนายฐิติ ลุจินตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจข้าวและอาหารในประเทศและต่างประเทศ มอบทุนการศึกษา และ ดร.พรชัย อินทร์ฉาย รองผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ร่วมให้โอวาทแก่คณะผู้แทนประเทศไทย 

โดยปี 2563 นี้ มีผู้แทนประเทศไทยคว้าเหรียญรางวัล ได้ทั้งหมด 23 เหรียญ ได้แก่ 3 เหรียญทอง 8 เหรียญเงิน และ 12 เหรียญทองแดง

สปสช จับมือกรุงไทย เปิดแอปฯ “เป๋าตัง สุขภาพ” จองคิวตรวจรักษา ดีเดย์ 15 ต.ค.

0

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในวันที่ 15 ตุลาคม นี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกับ ธนาคารกรุงไทย เตรียมเปิดตัว “โครงการพัฒนาระบบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ภายใต้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ด้วยกรุงไทย ดิจิทัล แพลตฟอร์ม (Krungthai Digital Platform)” ผ่าน “กระเป๋าตังสุขภาพ” หรือ “Health Wallet” บน แอปพลิเคชันเป๋าตัง นำร่องในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนทุกสิทธิ ทั้งสิทธิสวัสดิการข้าราชการ สิทธิประกันสังคม และสิทธิบัตรทอง รวมถึงสิทธิรักษาพยาบาลอื่นๆ ในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ รวมทั้งส่งเสริมการใช้ข้อมูลให้เกิดประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 กำหนดให้คนไทยทุกคนมีสิทธิเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียม ซึ่งปัจจุบันคนไทยทุกคนได้รับสิทธิบัตรทองอย่างครอบคลุมแล้ว แต่การเข้ารับบริการที่หน่วยบริการอาจมีปัญหาหรือข้อติดขัดบางประการได้ ดังนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกการเข้ารับบริการให้กับประชาชน สปสช. จึงได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทย พัฒนาระบบ Digital Health Platform ผ่าน “กระเป๋าตัง สุขภาพ” หรือ “Health Wallet” บน แอปพลิเคชันเป๋าตัง เพื่อให้กับประชาชนสิทธิบัตรทองทุกช่วงอายุสามารถเข้าถึงสิทธิบริการด้านสุขภาพของรัฐบาลได้อย่างสะดวกและปลอดภัย เบื้องต้นเป็นการนำร่องในส่วนสิทธิบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคก่อนที่ครอบคลุมดูแลคนไทยทุกคน ทุกสิทธิการรักษาพยาบาล 

ทั้งนี้ ระบบ “กระเป๋าตังสุขภาพ” ประชาชนสามารถรับบริการ เช่น ตรวจสอบข้อมูลสิทธิและเงื่อนไขการเข้ารับบริการ นัดหมายเพื่อเข้ารับบริการล่วงหน้ากับหน่วยบริการ ค้นหาหน่วยบริการที่อยู่ใกล้ แจ้งเตือนนัดหมายการเข้ารับบริการ และยืนยันตัวตนแทนบัตรประชาชนในการเข้ารับบริการ เป็นต้น ทั้งนี้เป็นบริการเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้สิทธิส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคก่อนรักษา และยังเป็นข้อมูลภาพรวมสุขภาพให้กับหน่วยงาน เพื่อนำมาใช้ในการบริหารจัดการระบบสุขภาพได้ นอกจากนี้บริการในระบบนี้ยังช่วยให้หน่วยบริการจัดบริการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความแออัด สามารถให้บริการได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อคุณภาพการให้บริการ และความพึงพอใจของประชาชน 

สำหรับโครงการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคตามกลุ่มวัยภายใต้สิทธิระบบบัตรทอง 16 บริการ ประกอบด้วย
1. วัคซีน
– วัคซีนป้องกันโรคตามฤดูกาล
– การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีนในเด็กอายุแรกเกิดถึง 14 ปี
– การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ด้วยวัคซีนในผู้ใหญ่
2. การคัดกรองความเสี่ยงในกลุ่มภาวะโรคเมตาบอลิก
3. การตรวจคัดกรองมะเร็งสตรี
– การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม โดยเจ้าหน้าที่
– การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยวิธี Pap Smear
– การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV DNA
4. การให้สุขศึกษา ความรู้ และคำแนะนำด้านสุขภาพ
5. การดูแลเฝ้าระวังโรคซึมเศร้าในผู้ที่มีโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ และผู้พิการ
6. วางแผนครอบครัว คุมกำเนิด
7. การตรวจคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้น)
8. ตรวจคัดกรอง ประเมินพัฒนาการ และการกระตุ้นพัฒนาการเด็ก
9. การฝากครรภ์
10. การตรวจสุขภาพหญิงหลังคลอด
11. การตรวจคัดกรองภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนในทารกแรกเกิด
12. คลินิกผู้สูงอายุครบวงจร
13. คัดกรองสุขภาพในกลุ่มแรงงานนอกระบบ ในกลุ่มผู้ขับขี่รถ
14. การคัดกรองภาวะซีด
15. คัดกรองความสามารถในการประกอบกิจวัตรในผู้สูงอายุ ตาม ADL
16. บริการคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
ซึ่งเป็นบริการสุขภาพที่ประชาชนสิทธิบัตรทองสามารถเข้ารับบริการโดยนัดหมายเพื่อจองคิวรับบริการพร้อมเลือกหน่วยบริการล่วงหน้าผ่าน “เป๋าตังสุขภาพ” ได้ และก่อนหน้านี้ได้มีการนำร่องบริการจองฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล สำหรับผู้ที่อายุ 65 ปีแล้ว โดยร่วมกับโรงพยาบาลศิริราช

เปิด “สายด่วน สปสช.1330 กด 8” สำหรับกลุ่มผู้ป่วยเร่งด่วน

0

รายงานข่าวจาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ได้มีการเปิด “สายด่วน สปสช. 1330 กด 8 “ ที่เป็นเบอร์โทรติดต่อ(พิเศษ) เปิดเพื่อกลุ่ม”ผู้ป่วยเร่งด่วน (สิทธิบัตรทอง)” ที่เป็นผู้รับผลกระทบจากคลินิกเดิมยกเลิกในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร

โดยเบอร์ดังกล่าวเน้นให้บริการกลุ่มผู้ป่วยที่ความจำเป็นในการติดต่อขอข้อมูล คำแนะนำ คำปรึกษาการใช้สิทธิ คือ กลุ่มผู้ป่วยไต, HIV, ผู้ป่วยมีนัดรับเคมีบำบัด, ผู้ป่วยมีนัดผ่าตัด, หญิงตั้งครรภ์อายุ 32 สัปดาห์ขึ้นไปและทุกครั้งเมื่อติดต่อหน่วยบริการ หรือสถานที่ราชการเกี่ยวกับสิทธิบัตรทอง โปรดได้นำบัตร ประจำตัวประชาชนทุกครั้งกับเจ้าหน้าที่ สถานที่ติดต่อ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกของผู้รับบริการ และผู้ให้บริการสิทธิบัตรทองทุกท่าน

ซีพี จัดเต็มเหมาโบกี้รถไฟสายตะวันออก พาที่ปรึกษาส่องเส้นทางรถไฟแห่งอนาคต

0

รายงานข่าวเปิดเผยว่า เมื่อไม่นานมานี้ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารซีพี คณะผู้บริหาร บริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด ได้จัดประชุมสัญจรคณะที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนโครงการรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบินบนรถไฟขบวนพิเศษเส้นทางรถไฟสายตะวันออก 220 กิโลเมตรจากสถานีหัวลำโพงถึงสถานีรถไฟพลูตาหลวง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟแห่งอนาคตภายใต้การร่วมมือของภาครัฐและเอกชนครั้งแรกของประเทศไทย  โดยรถไฟขบวนพิเศษนี้ได้แวะจอดที่สถานีลาดกระบัง ฉะเชิงเทรา ศรีราชา และพลูตาหลวง และมีการระดมความคิดเห็นแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างผู้บริหารและคณะที่ปรึกษากันอย่างกว้างขวางตลอดการเดินทาง เพื่อที่จะพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินสายนี้ให้มีความยั่งยืนในทุกมิติและเป็นเส้นทางแห่งโอกาสและความภูมิใจของประเทศไทย

นายศุภชัย   กล่าวว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินคือหัวใจของอีอีซี ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของระบบเศรษฐกิจที่จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุค 4.0 และจะเชื่อมโยงและเพิ่มศักยภาพให้ ฉะเชิงเทรา ศรีราชา พัทยา ระยอง ให้เป็นส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งจะผลักดันให้เกิดการพัฒนาเมืองแห่งอนาคต หรือ Smart City อีกด้วย

 “รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน แม้จะกล่าวได้ว่าเป็นโครงการที่เกิดขึ้นก่อนเวลามาก แต่เมื่อสร้างเสร็จจะเป็นที่น่าภาคภูมิใจ เพราะเป็นความท้าทายที่โดยปกติโครงการขนาดใหญ่ลักษณะนี้จะเป็นการสร้างเพื่อเชื่อมเมืองใหญ่ต่อเมืองใหญ่ตามหลักการสากล แต่สิ่งที่ทำวันนี้ คือการมองถึงวิสัยทัศน์ที่เชื่อมกับอีอีซีให้เห็นผลในอนาคต ซึ่งผลที่ออกมาอาจต้องใช้เวลานาน 10-15 ปี หากสำเร็จจะเป็นตัวอย่างการพัฒนาที่ดีของประเทศว่านอกจากการมีผลตอบแทนจากการลงทุน หรือ Return of Investment ที่เหมาะสมแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่วัดไม่ได้แต่มีมูลค่ามหาศาลคือ Return of Society ดังนั้นถ้าวางแผนควบคู่กันไปจะมีผลตอบแทนต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมมหาศาล”

นายธิติฏฐ์ นันทพัฒน์สิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการว่า คาดภาครํฐจะส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนได้ประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน ปี 2564 โดยอย่างช้าไม่เกินเดือนตุลาคม 2564 ซึ่งยังคงเป็นไปตามสัญญา ส่วนการย้ายสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีหน่วยงานกว่า 20 แห่ง และตามแผนเกือบทุกหน่วยงานจะรื้อย้ายให้เสร็จได้ภายในเดือนมีนาคม 2564 ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงช่วงแรกได้ภายในปี 2569

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์  ในฐานะหนึ่งในที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนฯ กล่าวว่า โครงการนี้ต้องมองการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติควบคู่กันไป ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสการเติบโตในพื้นที่อีอีซี และที่สำคัญต้องสร้างความสมดุลระหว่างโลกสองโลกเข้าด้วยกัน คือ โลกของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และโลกการเติบโตในเชิงวัฒนธรรมที่มีคนในชุมชนเป็นศูนย์กลาง อย่างไรก็ตาม ต้องตระหนักว่าเมื่อโครงการนี้มาก่อนเวลา การทำแผนโครงการนี้จึงต้องมองระยะยาวไปอีก 15-20 ปีข้างหน้าให้ทันต่อสถานการณ์อนาคตด้วย รวมทั้งต้องดำเนินการใน 2 มิติ คือ 1.Inclusive Economic ในพื้นที่อีอีซี ทำให้โครงการส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพให้คนในพื้นที่  2.Inclusive Design โดยการออกแบบรถไฟความเร็วสูงฯ ต้องคำนึงถึงเรื่อง Circular Economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วย

ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวว่า รถไฟความเร็วสูง จะช่วยเสริมส่งอีอีซีและมีส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยให้เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว ในจ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพและโอกาส เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถรองรับประชากรในอนาคตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 15-20 ล้านคนเมื่อเมืองขยายตัวจากรถไฟความเร็วสูงฯ

นายธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล ประธานหอการค้าจังหวัดชลบุรี  กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ จะเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้ จ.ชลบุรี และศรีราชากลับมาพลิกฟื้นใหม่ ส่งผลดีต่อการกระจายรายได้ลงสู่ชุมชนเล็ก ๆ ในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง

ด้าน ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง  กล่าวว่า หากมองด้านของการพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการนี้จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตผู้คนและสามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต หากประเทศใดมีรถไฟความเร็วสูงฯ จะเป็นความภาคภูมิใจของคนในชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจใหม่ของภูมิภาคตะวันออก ที่เชื่อมถึง EEC  ซึ่งจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการเคลื่อนคน การกระจายการลงทุนออกไปยัง EEC เพิ่มมากขึ้น  นอกจากนี้ ได้เสนอให้พิจารณาตั้งสถานีรถไฟความเร็วสูงที่สถานีพระจอมเกล้าลาดกระบังซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม โรงเรียน และมหาวิทยาลัย เพื่อให้ชุมชนสังคมในพื้นที่ลาดกระบังได้รับประโยชน์สูงสุดจากรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน

AIS จับมือสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ใช้ 5G ดึงดูดการลงทุน

0

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส เปิดเผยว่า บริษัทร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนา 5G โซลูชันในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมบางกะดี จังหวัดปทุมธานี รองรับการปรับตัวของโรงงานในสวนอุตสาหกรรมให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง สร้างข้อได้เปรียบทางการผลิตและการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรม พร้อมสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าอย่างแข็งแกร่งต่อไป โดยความร่วมมือในครั้งนี้ เอไอเอส ได้นำเอาขีดความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานที่จะเข้ามาสนับสนุนการบริหารงาน การผลิต และระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมบางกะดี ทั้ง FIX และ Mobile รวมถึงเทคโนโลยี 5G ให้รองรับโซลูชันการใช้งานอย่างครบวงจร ประกอบด้วย แพลตฟอร์มเชื่อมต่อและรวบรวมข้อมูล, ฟรอนต์เอนด์ และ แบคเอนด์สำหรับสนับสนุนผู้มีส่วนร่วมทุกคนที่ดำเนินธุรกิจในสวนอุตสาหกรรม

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร สวนอุตสาหกรรมบางกะดี กล่าวว่า  ตลอดระยะเวลากว่า 33 ปี ที่ผ่านมา สวนอุตสาหกรรมบางกะดี ได้พัฒนาทางด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน และการส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการประกาศเป็นสวนอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระดับที่ 5 จากกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นสวนอุตสาหกรรมน่าอยู่ควบคู่ชุมชน สำหรับความร่วมมือกับเอไอเอสในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมหลังเผชิญกับภาวะวิกฤตครั้งที่ผ่านมา ด้วยศักยภาพของโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลจากเอไอเอส ทั้งโครงข่ายไฟเบอร์ออพติคและเทคโนโลยี 5G จะมีส่วนช่วยให้กระบวนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุนการทำงานและเพิ่มขีดความสามารถของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนต่อยอดสู่การสร้างกระบวนการทำงานรูปแบบใหม่ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ สวนอุตสาหกรรมบางกะดี ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2530 ตั้งอยู่บริเวณถนนติวานนท์ ตำบลบางกะดี อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี บนพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ เป็นสวนอุตสาหกรรมของเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อรองรับนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนขยายฐานการผลิตในประเทศไทย สร้างงานให้คนไทย ปัจจุบัน มีโรงงานกว่า 40 ราย มีอัตราการจ้างงานแรงงานกว่า 20,000 คน