Home Blog Page 373

เติมน้ำมันที่ใช่ให้ถูกกับรถยนต์ที่ใช้

0

เวลาขับรถเข้าไปเติมน้ำมันในสถานีบริการน้ำมัน เราจะพบว่ามีน้ำมันหลากหลายชนิดในแต่ละประเภทให้เลือกเติม บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ จะมาคลายข้อสงสัยว่าน้ำมันแบบไหนเหมาะกับรถที่ใช้มากที่สุด ขับสนุก เร่งไว มั่นใจว่าช่วยดูแลเครื่องยนต์ไปในตัว

กฎข้อแรก ต้องรู้จักรถของคุณกันก่อน! ถ้าวันแรกคุณสนุกกับการขับรถจนลืมทำความรู้จักเพื่อนคู่ทางคันนี้ ให้กลับไปเปิดคู่มืออ่านใหม่ตั้งแต่ต้น หรือหาข้อมูลว่ารุ่นรถที่ซื้อมาต้องใช้น้ำมันแบบไหน บางรุ่นจะมีประเภทน้ำมันเขียนบอกที่ฝาเติม ลองสำรวจรถของคุณให้ละเอียดดู เพราะรถที่คุณขับอาจจะเติมด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ได้ บางคนเข้าใจผิดว่าน้ำมันออกเทนสูง ๆ อย่างแก๊สโซฮอล์ 95 จะทำให้รถขับได้ดีกว่า แต่กลับทำให้สิ้นเปลืองเกินความจำเป็น หรือบางคนเติมน้ำมันที่เน้นราคาต่ำที่สุด แต่ไม่ถูกกับประเภทรถของตัวเอง ยิ่งทำให้เครื่องยนต์สะดุด เร่งเครื่องไม่ขึ้น ไปจนถึงสตาร์ทไม่ติด เกิดการกัดกร่อนจากเอทิลแอลกอฮอล์ ทำให้ท่อยาง โอริงปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง หรือหัวฉีดรั่วได้

กฏข้อสอง เลือกน้ำมันส่งพลังแรงให้รถของคุณกันเถอะ หลังจากรู้ว่ารถที่คุณขับต้องใช้น้ำมันชนิดไหนแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องเลือกแบบมีประสิทธิภาพและสามารถมั่นใจได้ ดังเช่นน้ำมันเอ็กซ์ตร้าฟอร์ซ เบนซิน ที่โออาร์ คิดค้นเทคโนโลยีเอ็กซ์ตร้าฟอร์ซ เบนซิน (XtraForce Benzine) ที่ผสมสารแต่งเติมให้เข้มข้นกว่าเดิม 46% พร้อมเทคโนโลยีที่ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างลื่นไหล เร่งได้ไวทันใจ ปกป้องชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ป้องกันการกัดกร่อน ช่วยให้สัมผัสประสบการขับรถที่สนุกอย่างไม่เคยเจอมาก่อน

cr. Facebook or official

ซีพีเอฟ บรรลุภารกิจสนับสนุนอาหารปลอดภัยให้รพ.ในจังหวัดตาก สู้ภัยโควิดชายแดน

0

ล่าสุด ส่งมอบอาหารถึงโรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก เพื่อร่วมต้านภัยโควิดชายแดน จากซีพีเอฟ เป็นลำดับที่ 5 เนื่องจากตาก เป็นจังหวัดชายแดนที่อยู่ติดกับประเทศเมียนมา ซึ่งกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 อย่างหนัก

นายแพทย์วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง รับมอบอาหารสำเร็จรูป จาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผ่านโครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” ซึ่งเป็นโรงพยาบาลลำดับที่ 5 ในจังหวัดตาก ที่ซีพีเอฟสนับสนุนอาหารปลอดภัย เพื่อเป็นกำลังใจแก่ แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ตามมาตรการสกัดกั้นการระบาดโควิด-19 ในเขตพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยมี นายมานพ หนูเทศ ผู้แทนบริษัทฯ ส่งมอบ ณ โรงพยาบาลอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก

ทั้งนี้ ซีพีเอฟ โดย ทีมเดลิเวอรี่ของ ซีพี เฟรชมาร์ท ได้จัดส่งอาหารพร้อมทานให้ถึงมือบุคลากรทางการแพทย์ ของโรงพยาบาลในจังหวัดตาก ที่อยู่ในอำเภอติดชายแดนประเทศเมียนมา ทั้งหมด 5 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลพบพระ โรงพยาบาลแม่ระมาด โรงพยาบาลแม่สอด โรงพยาบาลท่าสองยาง และโรงพยาบาลอุ้มผาง

ซีพีเอฟ ในฐานะผู้ผลิตอาหารคุณภาพปลอดภัย มีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระของกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือคนไทยและประเทศ ให้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 มาตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยในครั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำความเชี่ยวชาญด้านอาหาร มาช่วยแบ่งเบาภารกิจของทีมแพทย์ในจังหวัดตากอีกครั้ง เพื่อเติมกำลังกายและเป็นกำลังใจให้แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่เสียสละเผชิญความเสี่ยงในสถานการณ์นี้

มูลนิธิปิติ ภิรมย์ภักดี ให้ทุนเด็กเรียนดีแต่ยากจน พร้อมมอบอุปกรณ์แพทย์ให้รพ.ลอง จ.แพร่

0

นาย ปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานมูลนิธิปิติ ภิรมย์ภักดี พร้อมคณะผู้บริหารมูลนิธิฯ ได้มอบทุนการศึกษาให้นักเรียนเรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์เป็นจำนวน 42 ทุน โดยมี คุณลาแพน หล้าคำมี ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ พร้อมด้วยคณะครูและนักเรียน ร่วมรับมอบ รวมถึงสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงอาคาร จัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงร่วมกับสิงห์อาสา จัดทำโครงการโรงเรียนเกษตรพอเพียงเพื่อดูแลเรื่องอาหารกลางวันของนักเรียน ปลูกฝังให้เด็กและเยาวชน เห็นคุณค่าของทรัพยากรต่างๆ และรู้จักใช้ชีวิตที่พอเพียง รวมมูลค่ากว่า 2.1 แสนบาท นอกจากนี้มูลนิธิปิติ ภิรมย์ภักดี ยังได้สนับสนุนอุปกรณ์ทันตกรรม และติดตั้งเครื่องแลกเปลี่ยนอากาศป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค จำนวน 5 ห้อง รวมมูลค่า 5.5 แสนบาท ให้แก่โรงพยาบาลลอง จ.แพร่ เมื่อวันที่ 24 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่โรงเรียนบ้านนาหลวง อ.ลอง จ.แพร่

ทั้งนี้ มูลนิธิปิติ ภิรมย์ภักดี ก่อตั้งเมื่อปี 2557 มีวัตถุประสงค์เพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษา ส่งเสริมให้เยาวชนได้เข้าถึงระบบการศึกษาพื้นฐาน ผ่านการให้ทุนแก่นักเรียนที่มีฐานยากจน รวมทั้งดำเนินงานด้านสาธารณะประโยชน์ หรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ได้จัดโครงการมอบทุนการศึกษามาต่อเนื่องเป็นปีที่6 โดยเน้นไปที่โรงเรียนในถิ่นธุรกันดารเป็นหลัก ซึ่งในปีนี้มีกำหนดมอบทุนจำนวน 7 โรงเรียน ประกอบด้วย ร.ร.บ้านนาหลวง จ.แพร่, ร.ร.ริมโขง-ร.ร.สองพี่น้อง จ.เชียงราย, ร.ร.บ้านสุขสำราญ จ.ระนอง, ร.ร.บ้านโนนสมบูรณ์ จ.มหาสารคาม, ร.ร.บ้านกองม่องทะ และสาขาพิเศษสาละวะ-ไล่โว่ จ.กาญจนบุรี และร.ร.บ้านสวนผึ้ง จ.ราชบุรี รวมจำนวนทุนที่มอบในปีนี้ทั้งสิ้น 336 ทุน

เติมน้ำมันเต็มถัง หรือ ครึ่งถัง แบบไหนคุ้มกว่า

0

หลายคนน่าจะเคยตั้งคำถามกับตัวเองและเพื่อน ๆ กันมาบ้างว่า เวลาจะเติมน้ำมันให้คุ้มค่าต่อรถยนต์ เราควรเลือกเติมแบบไหนดี ระหว่างเต็มถังไปเลย หรือเติมครึ่งถังก็พอ มาดูกันครับว่า การเติมทั้ง 2 แบบ จะส่งผลอะไรต่อเครื่องยนต์ได้บ้าง

แบบที่ 1 เติมเต็มถัง การเติมเต็มถังมาก ๆ จนล้น อาจมีผลกระทบต่อระบบเครื่องยนต์ได้จากไอระเหยของน้ำมัน รวมถึงเวลาที่ขับรถน้ำมันอาจจะไหลซึมและกระฉอกออกมาจากฝาถัง ทำให้คราบน้ำมันเปื้อนรถและสีของรถอาจเสียหายจากการถูกคราบน้ำมันทำลายด้วย

แบบที่ 2 เติมครึ่งถัง การเติมครึ่งถังนั้นไม่ได้ช่วยให้ประหยัดไปได้มากสักเท่าไหร่ เนื่องจากปกติน้ำมันจะไหลผ่านปั๊มติ๊ก เพื่อช่วยให้ตัวปั๊มติ๊กไม่ร้อนและมีการหล่อลื่นอยู่เสมอ (ปั๊มติ๊กในที่นี้ คืออุปกรณ์ในถังน้ำมันที่คอยดูดน้ำมันเชื้อเพลิงจากถังน้ำมันเพื่อส่งไปยังเครื่องยนต์ และการทำงานของปั๊มติ๊กจะมีเสียงดังติ๊ก ๆ ร่วมด้วย) แต่เมื่อน้ำมันในถังเหลือน้อย จะส่งผลให้ปั๊มติ๊กทำงานหนักมากขึ้น เพราะไม่มีน้ำมันมาห่อหุ้มเพื่อระบายความร้อนและช่วยหล่อลื่นเช่นเคย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ปั๊มติ๊กเสื่อมสภาพได้อย่างรวดเร็ว หรือหากยิ่งปล่อยให้น้ำมันเหลือน้อยจนใกล้หมดถังบ่อย ๆ ก็จะส่งผลให้ลูกลอยที่วัดระดับน้ำมันเกิดความเสียหายได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อมีการขับขี่เร็ว ๆ บนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อหนัก ๆ ไปจนถึงถนนขรุขระ ก็ทำให้ลูกลอยสั่นสะเทือนได้ง่าย จนทำให้เกจ์วัดระดับน้ำมันมีความหน่วงไปมาไม่ตรงกับค่าวัดระดับน้ำมันตามจริงที่มีอยู่ในถัง

แล้วการเติมน้ำมันแบบไหนล่ะ ถึงดีต่อรถยนต์ที่สุด
โดยปริมาณที่เหมาะสมควรเติมให้อยู่ประมาณ 3 ส่วน 4 ของถังน้ำมันอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ถึงกับเต็มถังเป๊ะ เป็นปริมาณที่ไม่มากไปและน้อยเกินไป ยกตัวอย่างคร่าว ๆ เช่น ปกติเติมน้ำมันเต็มถังอยู่ที่ราคา 800 บาท รอบต่อไปอาจจะปรับลงมาที่ 600 บาท เพื่อให้ได้ปริมาณ 3 ส่วน 4 ของถัง น้ำมันจะได้ไม่เต็มถังจนเกินไป หากรถของคุณมีน้ำมันเกินกว่าครึ่งถังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ครั้งต่อไปที่ควรจะเติมน้ำมันได้ต้องเหลือประมาณ ¼ ของถัง เพื่อให้เติมน้ำมันได้อย่างเต็มที่ และยังเป็นการช่วยรักษาสภาพเครื่องยนต์ให้ใช้งานได้นานมากขึ้น

เมื่อรู้อย่างนี้ จะได้ไม่ต้องคิดมากว่าจะเต็มถังหรือครึ่งถังดี แค่เติมให้พอดีก็ช่วยยืดอายุเครื่องยนต์และรถยนต์ให้อยู่กับเราไปนาน ๆ แล้วครับ

ที่มา FACEBOOK OR OFFICIAL

คลินิกแก้หนี้ แจกยาแรงสูตรสู้โควิด-19 ขยายเวลาถึงมิ.ย. 64

0

นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ประชุมเพื่อประเมินผลมาตรการช่วยเหลือที่เรียกว่า “ยา 2 สูตร” คือ การลดดอกเบี้ยและการพักชำระหนี้ ซึ่งได้ดำเนินการใน 6 เดือนที่ผ่านมา (เม.ย.- ก.ย. 2563) พบว่าลูกหนี้ของคลินิกแก้หนี้ส่วนใหญ่ 94% ยังที่จ่ายชำระค่างวดอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบและพักชำระหนี้มีเพียง 6% เท่านั้น

แต่ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังไม่แจ่มใสนักและไม่แน่นอนอยู่มาก คณะกรรมการฯ จึงขยายมาตรการช่วยเหลือออกไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2564 แต่ได้ปรับปรุงแนวทางการช่วยเหลือให้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งจะติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ และผลกระทบที่จะมีต่อความสามารถชำระหนี้ของลูกหนี้ในโครงการคลินิกแก้หนี้อย่างใกล้ชิด

มาตรการช่วยเหลือที่เรียกว่า ”ยา 2 สูตร” หรือ ยาสองขนาน ที่คลินิกแก้หนี้ได้ดำเนินการไปในช่วงเมษายน ถึง กันยายน 2563 ที่ผ่านมา ผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ กล่าวคือ

ลูกหนี้ที่อยู่ในกลุ่มเลื่อนกำหนดชำระหนี้หรือเลือกที่จะใช้ “ยาสูตรที่ 1” มีเพียง 6% แม้ว่าโครงการกำหนดให้เป็นสิทธิสำหรับลูกหนี้ทุกรายที่จะเลื่อนกำหนดชำระหนี้ โดยไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ ผลที่ออกมาชี้ว่าการลดดอกเบี้ย 2% ถือเป็นแรงจูงใจสำคัญ ที่ทำให้ลูกหนี้ที่มีศักยภาพไม่เลือกที่จะพักชำระหนี้ และยังคงชำระค่างวดเข้ามาตามปกติ

ลูกหนี้ที่ยังคงชำระค่างวดเข้ามาต่อเนื่องหรือเลือกที่จะใช้ “ยาสูตรที่ 2” มีสูงถึง 94% ซึ่งประกอบด้วยลูกหนี้ที่ชำระหนี้เข้ามาครบค่างวดทั้งหมด 74% ในขณะที่ลูกหนี้ 20% ชำระหนี้ได้บางส่วน โดยจำนวนเงินต่ำสุดที่ชำระเข้ามา คือ 100 บาท

นางธัญญนิตย์ กล่าวว่า คณะกรรมการประเมินว่า แนวโน้มของเศรษฐกิจไทยยังไม่แจ่มใสนัก จึงเห็นควรให้ปรับปรุงและขยายมาตรการความช่วยเหลือออกไปอีก 9 เดือนจนถึงมิถุนายน 2564 เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินของลูกหนี้ในช่วงที่ยากลำบาก

กลุ่มแรก คือ ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ มีรายได้และสภาพคล่องลดลง บางรายตกงาน หากไม่ได้รับความช่วยเหลือก็อาจต้องออกจากโครงการ และกลับเข้าสู่วงจรหนี้เสียเช่นเดิม กลุ่มนี้จะได้รับยาขนานแรก โดยโครงการได้ปรับปรุงแนวทางโดยลูกค้าต้องลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิตามมาตรการนี้ (opt in) จากเดิมให้สิทธิแก่ลูกหนี้ทุกรายเป็นการทั่วไป ลูกหนี้สามารถลงทะเบียนขอรับสิทธิ์ได้ง่ายๆ เพียงเข้าไปในเวปไซค์ www.คลินิกแก้หนี้.com และกรอกข้อมูลแสดงความจำนงผ่านเข้ามา อยากจะขอย้ำว่า ลูกหนี้ที่สนใจจะเข้ามาตรการนี้จะต้องกรอกข้อมูลขอเข้ามาตรการซึ่งไม่เหมือนช่วงแรก (โดยกำหนดต้องแจ้งเข้ามาภายในเดือนพฤศจิกายน 2563)

กลุ่มที่สอง คือ ลูกหนี้ที่ยังพอชำระค่างวดได้ โครงการจะกระตุ้นให้ลูกหนี้กลุ่มนี้ชำระค่างวดเข้ามาตามกำลังความสามารถ โดยจะได้รับยาขนานที่สอง คือ ลดดอกเบี้ยให้ 1-2% หากลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ในช่วงนี้ แต่จะมีการแบ่งกลุ่มที่จะให้ความช่วยเหลือออกเป็นดังนี้

  • 1.กลุ่มที่จ่ายค่างวดเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 80 ในช่วง 9 เดือนข้างหน้าจะได้รับการลดดอกเบี้ย 2%
  • 2.กลุ่มที่จ่ายค่างวดเฉลี่ยร้อยละ 40-79.99ในช่วง 9 เดือนข้างหน้าจะได้รับการลดดอกเบี้ย 1%

ประชาชนที่มีหนี้เสียบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล ที่สมัครเข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ในช่วงนี้จนถึงมิถุนายน 2564 จะได้รับสิทธิลดดอกเบี้ย 1-2 % จากโครงการเช่นเดียวกัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายจริงอยู่ที่ 2-3% ถือว่าผ่อนปรนมากเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดทั่วไป

สำหรับ ความคืบหน้าของโครงการคลินิกแก้หนี้ ณ เดือน กันยายน 2563 โครงการคลินิกแก้หนี้ ได้ช่วยประชาชนแก้หนี้บัตรไปแล้วกว่า 24,000 ใบ ครอบคลุมลูกหนี้กว่า 8,300 ราย ซึ่งมีหนี้บัตรเฉลี่ยรายละ 3 ใบ มูลหนี้เฉลี่ยต่อราย 240,000 บาท และขณะนี้มีลูกหนี้ที่รอลงนามในสัญญาอีกกว่า 900 ราย และอีก 1,200 ราย อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจเช็คข้อมูลกับสถาบันการเงิน คาดว่าในปี 2563 ตัวเลขผู้เข้าร่วมโครงการสะสมจะเกิน 10,000 ราย

ค่าย MG โชว์ตัวเลขผลิตรถยนต์ในไทยครบ 1 แสนคัน

0

SAIC Motor และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์ MG ในไทย ประกาศตัวเลขยอดผลิตรถยนต์ในไทย หลังเริ่มผลิตรถยนต์รุ่นแรกตั้งแต่ปี 2557 ว่า ปัจจุบัน ทาง MG ประเทศไทยได้ทำยอดผลิตรถยนต์สะสมครบ 1 แสนคัน ซึ่งถือเป็นอีกเป้าหมายสำคัญของการทำตลาดรถยนต์ในประเทศไทย

โดยค่าย MG ได้ผลิตรถยนต์สะสมครบ 1 แสนคันในโรงงานที่ประเทศไทย ผ่านการผลิตรถยนต์ 8 รุ่นคือ MG6, MG 5, MG GS, MG3, MG ZS, MG HS และรถกระบะ MG EXTENDER

ล่าสุดอยู่รหว่างผลิตรถยนต์ MG HS PHEV รถยนต์ SUV ที่มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ Plug-in Hybrid และเตรียมเปิดตัวในวันที่ 28 ต.ค. ที่งาน Fast Auto Show Thailand 2020 ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางการผลิตสำหรับรถยนต์พวงมาลัยขวาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ MG

นาย พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ยอดการผลิตสะสมครบ 1 แสนคัน สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับในแบรนด์รถยนต์ MG จากลูกค้าคนไทยได้เป็นอย่างดี และ MG จะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย และบริการหลังการขายที่โดดเด่นมาให้ลูกค้าชาวไทยเช่นเดิม

สำหรับโรงงานผลิตรถยนต์ MG ในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์เอ็มจีพวงมาลัยขวาเพื่อการจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์น ซีบอร์ด แห่งที่ 2 ในจังหวัดชลบุรี บนเนื้อที่กว่า 473.5 ไร่ ที่ใช้งบประมาณในการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท

เอไอเอส ปลื้มคว้า 2 รางวัลใหญ่องค์กรนวัตกรรมดีเด่น

0

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส ได้รับคัดเลือกให้ได้รับ 2 รางวัลใหญ่ระดับชาติและระดับโลก คือ “รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประเภทองค์กรขนาดใหญ่ ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น ประจำปี 2563″ จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์กรมหาชน) หรือ NIA และ “รางวัล Thailand MIKE Award ประจำปี 2020 ด้านการจัดการนวัตกรรมและความรู้ (ระดับโกลด์)” สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการ และพัฒนาศักยภาพนวัตกรรมในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การได้รับรางวัลด้านความสำเร็จในการบริหารจัดการนวัตกรรมและองค์ความรู้  ในฐานะองค์กรที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรม  เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของเอไอเอสในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเข้ามายกระดับการบริหารจัดการองค์กร พร้อมสร้างคุณค่าในด้านธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่ผ่านมา เอไอเอสได้ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรพร้อมสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการทำงานของคนรุ่นใหม่ ตลอดจนวางแผนบริหารจัดการนวัตกรรมภายในองค์กรให้พร้อมรับกระแสดิสรัปชั่นมาอย่างต่อเนื่อง และเริ่มชัดเจนขึ้นด้วยการจัดตั้งทีม Novel Engine Execution Team (NEXT) ในเดือนกรกฎาคม 2561 เพื่อเป็นหน่วยงานกลางที่กระตุ้นให้พนักงานมีรากฐานความคิดแบบ “นวัตกร” และมีส่วนร่วมในการนำความรู้ เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์มาประยุกต์ในการสร้างคุณค่าให้กับผลผลิตทางนวัตกรรม ทั้งในเชิงพาณิชย์ และการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กรและสังคมในทุกมิติ นอกจากนี้  ยังเน้นการทำงานด้วยหลักการนวัตกรรมแบบเปิด หรือ Open Innovation โดยร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคเอกชน ตลอดจนองค์กรวิจัยชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ผ่านโครงการต่างๆ เช่น ACADEMY FOR THAIs by AIS Academy, AIS PLAYGROUND UNIVERSITY, AIS IoT Alliance Program (AIAP), AIS Young Digital Talent (AYDT) ฯลฯ เพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้และพัฒนาทักษะวิชาชีพด้านนวัตกรรมให้กับพนักงาน นิสิต นักศึกษา และผู้เกี่ยวข้องในระบบนิเวศนวัตกรรมได้เกิดพลังในการสร้างสรรค์ผลิตผลจากนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์โลกอนาคต 

พร้อมกันนี้ ยังให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคม โดยอาสาเป็นแกนกลางในการผลักดันให้นวัตกรรมจากความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นจริง ผ่านโครงการ “JUMP Thailand 2021” การแข่งขันระดมสมองในรูปแบบแฮกกาธอน (Hackathon) ชวนคนไทยมาร่วมแรงคิด สร้างนวัตกรรม เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสำคัญต่างๆ ของประเทศ 

เที่ยววิถีชุมชน เยือนตลาดพลู แหล่งท่องเที่ยวที่ไม่มีดีแค่ย่านของกิน

0

การท่องเที่ยวเชิงวิถีชุมชน ปัจจุบัน เป็นที่นิยมกันมาก เพราะผู้ร่วมทริปได้มีโอกาสเข้าถึง สัมผัส วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ของคนในชุมชน หรือย่านท่องเที่ยวนั้นอย่างใกล้ชิด ยิ่งปัจจุบัน คนในชุมชน ที่มีการรวมกลุ่มเข้มแข็ง และเห็นความสำคัญของของดีในชุมชนตัวเอง มักจะมีการจัดกลุ่มเดินเที่ยวเล็กๆ แบบวันเดย์ทริป ก็เรียกความสนใจให้มีผู้เข้าร่วมทริปกันอย่างมากทีเดียว

เช่นเดียวกับแหล่งท่องเที่ยวย่านตลาดพลู ซึ่งที่ผ่านมา เรามักจะได้ยินชื่อตลาดพลู ก็มักจะนึกถึงแหล่งขึ้นชื่อเรื่องอาหารอร่อย ซึ่งกระจุกตัวอยู่บริเวณสถานีรถไฟ และร้านอาหารต่างๆ บริเวณถนนเทอดไท แต่จริงๆแล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจ ทั้งในแง่ประวัติความเป็นมา วิถีชาวบ้าน ความเป็นอยู่ และจุดท่องเที่ยว อยู่ที่ตลาดพลูอีกมากมาย

ตลาดพลู เป็นอีกพื้นที่ที่มีวัดวาอารามตั้งอยู่มากมาย แอดมินจ้ามีโอกาสได้ร่วมทริปสั้นๆ แต่สุดประทับใจของเพจถามสิ..อิฉันคนตลาดพลู และ พีรวัฒน์ บูรณพงศ์  เจ้าของเพจ Perawat Buranapong รวมตัวกับเพื่อนๆ ในย่านนี้ จัดกิจกรรมเดินเที่ยวย่านตลาดพลู ซึ่งเป็นกิจกรรมเพื่อให้คนรู้จักตลาดพลูมากขึ้น และร่วมอนุรักษ์คุณค่าของชุมชนย่านตลาดพลู

แอดมินเองอยู่ในย่านฝั่งธนฯ มาตั้งแต่เกิด มาตลาดพลูก็บ่อย แต่ส่วนใหญ่จะมาหยุดแค่ย่านร้านอาหารแค่นั้น ไม่มีโอกาสเดินลัดเลาะเข้าไปในพื้นที่อย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน ทริปนี้ นัดเจอกันหน้าตลาดมะลิทอง ตลาดที่แอดมินขับรถผ่านบ่อยมาก และเห็นเป็นแค่ตลาดร้างๆ มีคนเปิดแผงขายอยู่หน้าตลาดไม่กี่แผง แต่จริงๆ แล้ว เป็นตลาดเก่าแก่ ที่ในอดีตคึกคักมาก ก่อนที่ซบเทราในปัจจุบัน เพราะเป็นตลาดค่อนข้างเล็ก ไม่มีที่จอดรถ และช่วงต้นๆ ของถนนเทอดไท ก็มีร้านค้า และตลาดต่างๆ ดักคนไปจนหมด ทำให้ปัจจุบัน ตลาดมะลิทอง ไม่ได้มีการปรับปรุงอะไร ปล่อยไว้ตามสภาพเดิม

เราเริ่มทริปด้วยสถานที่แรก คือ วัดขุนจันทร์ โดยไกด์ท้องถิ่นพาเดินมาตามทางเข้าวัดสมัยก่อน ที่เป็นซอยเดินเท้าเล็กๆ ไม่ใช่ทางเข้าวัดติดถนนเช่นในปัจจุบัน วัดขุนจันทร์ เคยโดนระเบิดสมัยสงครามโลกจนสิ่งก่อนสร้างดั้งเดิมต่างๆของวัด โดนไฟไหม้ เสียหายไปหมด เหลือแต่หลวงพ่อโต และพระสังขกระจาย เท่านั้น ปัจจุบัน สิ่งก่อสร้างต่างๆในวัดทั้งโบสถ์ วิหาร พระปรางค์ ลานหลวงพ่อใหญ่ พระราหู ล้วนแต่สร้างขึ้นมาใหม่ในภายหลัง

ด้านหลังวัด มีสะพานข้ามคลอง พาเราเข้าสู่อีกวัดหนึ่ง คือ วัดอัปสรสวรรค์ หรือ วัดหมู บนทางเดินข้ามสะพาน มองไปจะเห็นภาพสวยงามขององค์พระใหญ่สององค์ ของสองวัด คือ พระพุทธชินราช(จำลอง) หรือ หลวงพ่อใหญ่ของวัดขุนจันทร์ กับ พระพุทธธรรมกายเทพมงคล ของวัดปากน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง ตั้งตระหง่านอยู่ริมสองฝั่งคลอง

ข้ามสะพานมา จะเจอกับศาลาการเปรียญ ที่เป็นเรือนไม้เก่า ซึ่งปัจจุบันปิด ไม่ให้คนขึ้นไป เพราะมีอายุเก่าแก่มาก เกรงว่าจะะรับน้ำหนักคนไม่ไหว เราเดินลอดใต้ศาลากลางเปรียญ ไปพื้นที่รกร้างด้านหลัง ซึ่งเคยเป็นตลาดและที่อยู่อาศัยของชาวบ้านมาก่อนที่จะถูกรื้อถอน และรอการบูรณะอยู่

วันที่เรามา มีงานบุญใหญ่ที่วัดอัปสรสวรรค์พอดี ทำให้คนเยอะและคึกคักมาก น่าเสียดายที่มีการประกอบพิธีในโบสถ์ เลยไม่ได้เข้าไปไหว้พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในอุโบสถ

เราเดินต่อมาที่อาคารโรงเรียนวัดอัปสรสวรรค์ ซึ่งปิดตายมากว่า20 ปีแล้ว น่าเสียดายที่เรามีโอกาสได้เดินชมบริเวณด้านล่างเท่านั้น เนื่องจากผุ้ดูแลไม่อนุญาตให้ขึ้นไปชมด้านบนอาคาร ปัจจุบัน อยู่ในสถานะรอการบูรณะเช่นเดียวกัน พื้นอาคารด้านล่างว่ากันว่า มีลักษณะเอียงลาดไปทางหนึ่ง เนื่องจากแรงกระเทือนจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลก

อาคารโรงเรียนวัดอัปสรสวรรค์ ซึ่งปิดตายมากว่า20 ปี

จากนั้น เดินต่อไปด้านหลังของวัดที่ริมคลอง เพื่อไปชมอีกจุดไฮไลท์ นั่นคือ เสาประโคน ซึ่งเป็นเสาหินโบราณปักเพื่อบอกอาณาเขตพื้นที่ของกรุงธนบุรี สมัยพระเจ้าตากสิน โดยเสาประโคนนี้ อยู่อีกฟากฝั่งคลองบางกอกใหญ่ ในพื้นที่ที่เป็นอยุ่อาศัยของชาวบ้านในปัจจุบัน ซึ่งถ้าไม่บอก เราก็จะไม่ทราบเลยว่า เสาหินข้างศาลพระภูมินี้จะมีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์ ซึ่งนอกจากจุดนี้ ยังมีอีกจุดที่มีเสาประโคนตั้งอยู่ คือตรงใต้ร้านโลงศพ ซึ่งอยู่เยื้องมาอีกฟากของคลองสายเดียวกัน

ร้านต่อโลงศพ เป็นอีกจุดที่มีเสาประโคนปักอยู่ต้านล่างเรือนไม้

สถานที่ต่อไปที่เราเดินไปคือ วัดปากน้ำภาษีเจริญ ซึ่งเป็นวัดที่มีพื้นที่อาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก ชมความงามขององค์พระใหญ่ พระพุทธธรรมกายเทพมงคล ความสูง 69 เมตร เท่ากับตึกสูง 20 ชั้น ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จอีกไม่นาน เพราะเทา่ที่แอดมินดู พบว่า งานสร้างองค์พระใหญ่เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ จะมีคนมาเที่ยววัดเยอะมาก และระยะหลัง พบว่ามีคนเมียนมาที่เข้ามาทำงานบ้านเรา ชอบมาเที่ยวที่นี่เป็นจำนวนมาก

พระพุทธธรรมกายเทพมงคล ความสูง 69 เมตร วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

ต่อจากนั้น ออกจากวัด ข้ามฝั่งมาทางท่าภาษีเจริญ เราเดินต่อไปโดยเป้าหมายคือ บ้านของพี่ตี๋ ขุนโทนอโยธยา เจ้าของคณะแสดง กระตั้ว แทงเสือ ศิษย์พรพรหม การละเล่นที่มีมาตั้งแต่โบราณ สามารถหาชมได้จากงานวัดทั่วๆไป, งานสืบสานวัฒนธรรมต่างๆ และรับจ้างแสดงในงานบุญ งานพิธีต่างๆ ยกเว้นงานศพ พี่ตี๋ยังมีความสามารถด้านการทำกลองโทน ให้เสียงดี เสียงดัง โดยสะสมความรู้และประสบการณ์มาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบัน พี่ตี๋ก็ยังรับทำ และซ่อมกลองโทนอยู่ด้วย นอกหนือจากงานแสดงกระตั้วแทงเสือ

พี่ตี๋ ขุนโทนอโยธยา เจ้าของคณะแสดง กระตั้ว แทงเสือ ที่ปัจจุบันยังหลงเหลืออยู่ไม่กี่คณะ

ก่อนที่จะปิดท้ายทริปนี้ด้วยการเดินเที่ยวทางเดินเท้าริมคลองภาษีเจริญ ซึ่งแต่เดิมทางภาครัฐ ต้องการปลุกกระแสการท่องเที่ยวย่านนี้ มีการทำท่าเรือไว้รองรับ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ความนิยมเท่าไร จนปัจจุบัน ท่าเรือเหล่านี้ก็ไม่ได้มีการใช้งาน

ตลาดเก่าบริเวณชุมชนท่าไฟไหม้ ทีเคยคึกคักในอดีต เมื่อวิถีชีวิตเปลี่ยนไป การทำการค้า ซื้อขายสินค้าทางน้ำ ไมมีเรือสินค้ามาขึ้นท่าอีกต่อไป ตลาดก็ต้องตาย และเปลี่ยนไปเป็นที่จอดรถ
ร้านของชำ ร้านสุดท้าย ที่หลงเหลือมาจากอดีต ตั้งแต่ท่าเรือเคยคึกคัก
สตรีทอาร์ดแนวกำแพงวัดปากน้ำ ริมคลองภาษีเจริญ

ก่อนที่ผู้ร่วมทริปจะแยกย้านกันกลับ บางท่านขอเดินไปตามคลองภาษีเจริญ เพื่อตรงออกไปถนนใหญ่ ขึ้นรถไฟฟ้ากลับ บางคนเลือกเดินกลับย้อนไปทางเดิมเพื่อออกทางตลาดพลู อาจจะแวะหาทานมื้อเย็นที่ย่านอาหารแถวถนนเทิดไท จบทริปนี้ด้วยความรู้สึกประทับใจ และเห็นว่า ถ้าชุมชนมีความเข้มแข็ง และเห็นความสำคัญของคุณค่าในชุมชนของตัวเองแล้ว ย่อมสะท้อนออกมาให้เห็นจากกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการรักษาของดีๆ ในชุมชนตัวเอง ให้คนภายนอก หรือคนในย่านใกล้เรือนเคียง ที่อาจไม่รู้ลึก รู้ซึ้ง ได้ทำความรู้จักย่านถิ่นที่อยู่ของตัวเองได้มากกว่าที่เคยเป็นมา.

แบงก์ชาติห่วงหนี้ครัวเรือนพุ่ง คนไทยเป็นหนี้เร็วและนาน

0

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงานมหกรรมทางการเงิน (Money Expo) ครั้งที่ 20 ว่า ปัจจุบัน พบว่าคนไทย 1 ใน 3 มีภาระหนี้สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งการบริโภคและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อีกทั้งแนวโน้มการเป็นหนี้ของคนไทย เป็นหนี้เร็วและเป็นหนี้นาน

สำหรับแนวโน้มหนี้ครัวเรือนของไทยนั้น ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะต่อไป จากไตรมาส 2/63 ที่หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 83.8% ต่อจีดีพี คิดเป็นมูลค่าหนี้ครัวเรือน 13.58 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 62 ที่อยู่ที่ระดับ 80% ต่อจีดีพี คิดเป็นมูลค่าหนี้ครัวเรือน 13.49 ล้านล้านบาท

สถานการณ์โควิด-19 ทำให้สุขภาพทางการเงินของคนไทยอ่อนแอมากขึ้น จากการถูกลดชั่วโมงทำงาน และการถูกเลิกจ้าง ส่งผลทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 83.8% ต่อจีดีพีในไตรมาส 2/63 และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม า ธปท. ได้ร่วมกับสถาบันการเงิน ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งลูกหนี้บางกลุ่มมีชั่วโมงการทำงานที่ลดลง หรือ ถูกเลิกจ้าง จึงส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้

ต่อจากนี้ การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน จะไม่ใช่การปูพรมช่วยเหลือทั่วไป เพราะไม่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับลูกหนี้ และไม่ใช่ทางออกในการแก้ไขปัญหา เพราะการพักหนี้นั้นเป็นการพักเงินต้น แต่ในด้านอัตราดอกเบี้ยยังคงเดินอยู่ ดังนั้นมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ต่อไป จะเน้นเป็นกลุ่มๆ ตามความจำเป็น

ทั้งนี้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาได้ในช่วงไตรมาส 3/65 โดยธปท.อยู่ระหว่างเตรียมมาตรการทางการเงินเพิ่มเติม แต่ทั้งนี้จะต้องพิจารณาตามความเหมาะสม และความจำเป็น

ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบ เพื่อให้ภาคครัวเรือนสามารถผ่านพ้นวิกฤตโควิด 19 ไปได้ ซึ่งพิจารณาตามสถานะของลูกหนี้ที่แตกต่างกัน

สำหรับลูกหนี้ที่มีปัญหาระยะสั้นที่ต้องการสภาพคล่องเป็นการชั่วคราว มาตรการที่เหมาะสมกับลูกหนี้กลุ่มนี้ มีการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลที่ผ่อนชำระเป็นงวด และการลดอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำจาก 10% เหลือ 5% สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีวงเงินหมุนเวียน

ส่วนลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบระยะยาว ธนาคารแห่งประเทศไทยส่งเสริมให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ เปลี่ยนสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งเป็นสินเชื่อระยะสั้นเป็นสินเชื่อระยะยาว (term loan) รวมถึงโครงการคลินิกแก้หนี้ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาระยะยาว ช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้แก่กลุ่มครัวเรือนที่รายได้ลดลงเมื่อกลับมาทำงานภายหลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์

อย่างไรก็ตามการการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินที่แข็งแกร่ง ผ่านการเสริมสร้างความรู้ทางการเงินควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการออมและการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน เพื่อเป็นรากฐานทางการเงินที่มั่นคง

หินยักษ์หนัก 3 หมื่นตันบนเกาะทะลุ พังถล่มแยกเป็นสองก้อน

0

**หินขนาดใหญ่​ หนักกว่า​ 3​ หมื่นตัน บนเกาะทะลุ เขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ พังถล่มแยกเป็นสองก้อน

**คาดเกิดจากพายุพัดถล่ม

รายงานข่าวจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา นายประยูร พงศ์พันธ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา -หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ พร้อมเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เข้าสำรวจ บริเวณเกาะทะลุ เขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ ห่างจากทางทิศตะวันตกของเกาะไก่ประมาณ 1 กิโลเมตร หลังเกิดเหตุหินขนาดใหญ่พังถล่มลงมา ในช่วงคลื่นลมแรง เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

เบื้องต้นพบว่า หินที่ถล่มลงมาแตกออกเป็นสองก้อน น้ำหนักประมาณ 30,000-50,000 ตัน ส่งผลให้บริเวณด้านล่าง ซึ่งเดิมลึกประมาณ 10​ เมตร ยุบลงไปอีก ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 15เมตร

จากการสำรวจของเจ้าหน้าที่ พบว่าบริเวณแนวปะการัง ที่อยู่บริเวณด้านล่าง เสียหายไปประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ โดยเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นมาประมาณ 3​ วันแล้ว คาดว่าเกิดจากอิทธิพลพายุดีเพรสชั่นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งฝนตกต่อเนื่องลมกระโชกแรง ส่งผลหินปูนบริเวณเกาะทะลุพังลงมา แต่หลังได้รับแจ้งในช่วงเกิดเหตุยังมีคลื่นลมแรง เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปสำรวจได้ ซึ่งในวันนี้ก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ดำน้ำลงไปสำรวจ บริเวณใต้น้ำ ใกล้จุดเกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบดูว่า จะมีการพังถล่มเพิ่มเติมหรือไม่

เจ้าหน้าที่สำรวจพบว่าบริเวณเกาะทะลุยังมีรอยแยกอยู่หลายจุดซึ่งมีความเสี่ยงพอสมควรในการสำรวจ แต่อย่างไรก็ตาม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ขอเตือนนักท่องเที่ยว ให้ระมัดระวังไม่ควรเข้าใกล้บริเวณจุดที่เกิดเหตุ เนื่องจากอาจจะเกิดอันตรายได้ และหลังจากนี้จะทำการสำรวจเพิ่มเติม เพื่อนำมาวิเคราะหาสาเหตุและหาทางป้องกันต่อไป