Home Blog Page 3

6 เทคนิคเลือกหุ้น IPO

0

นักลงทุนมักจะมองหาโอกาสในการลงทุนในหุ้น IPO (Initial Public Offering) ที่กำลังจะเข้าตลาด โดยหุ้น IPO เป็นที่สนใจเพราะเป็นบริษัทที่มีโอกาสเติบโตสูง แต่การเลือกลงทุนก็ต้องทำพิจารณาอย่างรอบคอบ

ตลาดหลักทรัพย์แห่ประเทศไทย ขอแนะนำ 6 เทคนิคสำคัญที่นักลงทุนต้อง “รู้” และ “ศึกษา” ก่อนตัดสินใจ!

6 เทคนิคเลือกหุ้น IPO

  1. เข้าใจธุรกิจ แก่นหลักของธุรกิจ คืออะไร? โมเดลธุรกิจ ที่มีโอกาสเติบโตในอนาคตเป็นอย่างไร? มี ความเสี่ยง อะไรบ้าง? คู่แข่ง และ โครงสร้างธุรกิจ มีความโปร่งใสหรือไม่?
  2. ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ ผู้บริหารมีความรู้ความสามารถ และมี ผลงานตรวจสอบย้อนหลัง (Track Record) ที่ดีหรือไม่? มีหลักธรรมาภิบาล (CG) ที่แข็งแกร่งหรือไม่? มีบุคลากร ในการดำเนินธุรกิจที่โดดเด่นหรือไม่?
  3. งบการเงิน ผลการดำเนินงานและ ศักยภาพในการเติบโต เป็นอย่างไร? ที่มาของรายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจหลักหรือไม่? บริษัทมี กระแสเงินสด ที่ดีพอหรือไม่? โครงสร้างเงินทุน แข็งแกร่งเพียงพอหรือไม่?
  4. สัดส่วนการเสนอขายหุ้น มีสัดส่วนการขายหุ้นใหม่เพื่อระดมทุนให้บริษัท และสัดส่วนที่เสนอขายต่อผู้ถือหุ้นเดิม ไม่กระจุกตัว ใช่หรือไม่? ผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารมี ติด Silent Period หรือไม่? (เพื่อป้องกันการขายหุ้นออกมามากเกินไปในช่วงแรก)
  5. โครงการในอนาคต เงิน IPO ที่ได้จะนำไปลงทุนใน โครงการที่สร้างการเติบโต ให้กับบริษัทในระยะยาวหรือไม่?
  6. นโยบายการจ่ายเงินปันผล บริษัทมีความตั้งใจจะ จ่ายเงินปันผล อย่างสม่ำเสมอหรือไม่?

ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถศึกษาได้จากหนังสือชี้ชวนของบริษัท กิจกรรม Roadshow หรือบทวิเคราะห์โดยนักวิเคราะห์หลักทรัพย์

ดูรายละเอียดหลักทรัพย์เตรียม IPO ได้ที่ https://www.set.or.th/th/listing/ipo/upcoming-ipo/set

รู้เก็บรู้ออม : พิธีมอบรางวัล SET Awards 2025!!

0

ผ่านไปสดๆร้อนๆ กับพิธีมอบรางวัลใหญ่ SET Awards 2025 ซึ่งเป็นงานสำคัญที่จัดขึ้นทุกปีต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2546 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และวารสารการเงินธนาคาร เพื่อยกย่อง เชิดชู แก่บริษัทจดทะเบียน ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินและทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่แสดงผลงานเป็นเลิศและโดดเด่น

คุณอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ทุกบริษัทที่ได้รับรางวัล SET Awards 2025 เป็นการแสดงถึงศักยภาพและความโดดเด่นทั้งทางด้านธุรกิจและด้านความยั่งยืน และยังเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับตลาดทุนไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน สำหรับซีอีโอที่ได้รับรางวัล Best CEO Awards แสดงถึงการนำพาองค์กรเดินหน้าภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ธุรกิจต้องปรับตัวและรับมือกับปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน สู่การเป็นองค์กรต้นแบบให้แก่บริษัทอื่นๆ ในการพัฒนาองค์กรสร้างผลประกอบการที่ดี ควบคู่การดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล

รางวัล SET Awards แบ่งเป็น 2 กลุ่มรางวัล ได้แก่ กลุ่มรางวัล Business Excellence ประกอบด้วย 8 ประเภทรางวัล โดยมีบริษัทได้รับรางวัลยอดเยี่ยมรวม 24 บริษัท และได้รับรางวัล SET Awards of Honor 8 บริษัท ประกอบด้วย รางวัล Investor Relations Awards ได้แก่ BBIK รางวัล Innovative Company Awards ได้แก่ DEXON, PTT, PTTEP, SCGP, SICT รางวัล Investor Relations Awards และ Innovative Company Awards ได้แก่ BDMS และรางวัล REIT Performance Awards ได้แก่ LHSC

กลุ่มรางวัล Sustainability Excellence ประกอบด้วยประเภทรางวัล Sustainability Awards จำนวน 28 บริษัท, รางวัล Supply Chain Management Awards จำนวน 7 บริษัท โดยจากจำนวนบริษัททั้งหมดที่ได้รับรางวัล มี 3 บริษัทที่ได้รับทั้ง 2 ประเภทรางวัล และมี 6 บริษัท ที่ได้รับ Sustainability Awards of Honor ได้แก่ AMATA, FPI, KBANK, PTT, SCC และ WHA

ส่วนรางวัลซีอีโอในปีนี้ คุณศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) ได้รับรางวัล Best CEO Awards ของ SET เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และคุณวาสนา จันทรัช กรรมการผู้จัดการ  บมจ.เอ็กโซติค ฟู้ด (XO) คว้า 2 รางวัล ได้แก่ Best CEO Awards ของ mai และ Young Rising Star CEO Awards

ปีนี้ SET Awards 2025 ยังมีกิมมิคน่ารักๆ ด้วยการนำตุ๊กตาที่เป็นงานฝีมือของกลุ่มหัตถกรรมสตรีแม่บ้านกิ่วแล จ.เชียงใหม่ นำมาตกแต่งบริเวณงาน ภายใต้แนวคิด “จากผืนผ้า สู่ตุ๊กตาตัวเลขที่ “มีชีวิต” เพื่อเชื่อมโยงความหมายของตัวเลขที่สะท้อนถึงเศรษฐกิจการเติบโตของธุรกิจและตลาดทุน ซึ่งตุ๊กตาเหล่านี้จะถูกส่งต่อให้กับเยาวชนที่ขาดแคลนต่อไปภายหลังจบงานแล้ว

สามารถติดตามรายชื่อผู้รับรางวัล SET Awards ประจำปี 2568 ได้ที่ www.set.or.th/setawards “คุณนายพารวย” ขอใช้พื้นที่นี้ร่วมแสดงความยินดีกับทุกบริษัท และผู้บริหารทุกท่านที่ได้รับรางวัลอันทรงคุณค่านี้ ส่วนบริษัทที่ยังไม่ได้รับรางวัล ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะยังมีเวลาจะแสดงผีมือในปีถัดๆไป และมีโอกาสได้รับรางวัลเกียรติยศนี้ในอนาคต.

คุณนายพารวย

เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัล “ประกาศเกียรติคุณจรรยาบรรณดีเด่น หอการค้าไทย” ปี 2568 ตอกย้ำจริยธรรม โปร่งใส ซื่อสัตย์ และยั่งยืน

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัล “ประกาศเกียรติคุณจรรยาบรรณดีเด่น หอการค้าไทย (TCC Best Award)” ประจำปี 2568 นับเป็นครั้งที่ 4 หลังจากที่เคยได้รับรางวัลมาแล้ว ในปี 2548 2562 และ 2565 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการดำเนินธุรกิจด้วยคุณธรรม จริยธรรม  และหลักธรรมาภิบาลอย่างต่อเนื่อง อันเป็นมาตรฐานสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและสังคมมาโดยตลอด

ในโอกาสนี้ บริษัทฯ ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี เป็นประธานในพิธีประกาศเกียรติคุณจรรยาบรรณดีเด่นโดยมี นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับรางวัล และนางวีนัส อัศวสิทธิถาวร ประธานคณะกรรมการส่งเสริมจรรยาบรรณ หอการค้าไทย ร่วมแสดงความยินดี ในงาน “Big Quick Win ด้วยหลักจรรยาบรรณ” ณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

การได้รับรางวัลในปีนี้สะท้อนว่าบริษัทฯ ดำเนินงานตามหลักจรรยาบรรณธุรกิจ 10 ประการไม่ว่าจะเป็นความเป็นธรรมแก่ผู้เกี่ยวข้อง ความโปร่งใสในการดำเนินงาน ความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและคู่ค้า การใส่ใจสิ่งแวดล้อม การพัฒนางานให้เป็นเลิศ ความซื่อสัตย์สุจริต การส่งเสริมจริยธรรม การช่วยเหลือสังคม การเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมถึงการบริหารความเสี่ยงของกิจการอย่างรอบด้าน ทั้งหมดนี้สะท้อนถึง   การดำเนินธุรกิจที่ยึดมั่นในคุณธรรมและธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้าและสังคมอย่างแท้จริง

เมืองไทยประกันชีวิตยังคงเดินหน้าพัฒนาองค์กรภายใต้กรอบจรรยาบรรณที่ดีงาม พร้อมส่งมอบบริการที่โปร่งใส มีมาตรฐาน และยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ลูกค้าทุกคน ตอกย้ำพันธกิจในการเป็นผู้ให้ความคุ้มครองและสร้างหลักประกันชีวิตที่มั่นคงให้คนไทยอย่างแท้จริง พร้อมเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า  “รางวัลนี้เป็นความภาคภูมิใจของชาวเมืองไทยประกันชีวิตทุกคน และเป็นหลักฐานชัดเจนว่าบริษัทฯ ยึดมั่นในจริยธรรมและการกำกับดูแลที่ดีมาโดยตลอด เรามุ่งมั่นพัฒนาบริการที่โปร่งใส เป็นธรรม และเชื่อถือได้ เพื่อให้ลูกค้าทุกคนได้รับประโยชน์สูงสุด พร้อมขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศ”  

CPF ชวนคนไทยร่วม “ส่งต่อพลังแห่งการให้” ที่งานกาชาด 2568

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ สานต่อความตั้งใจในการเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาทุกข์และบำรุงสุขแก่ประชาชน จัดกิจกรรม “ทุกการซื้อ คือพลังแห่งการให้” ภายในงานกาชาด ที่ระหว่างวันที่ 11–21 ธันวาคม 2568 เวลา 11.00–22.00 น. ณ ประตู 2 สวนลุมพินี กรุงเทพฯ โดยจะนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายสนับสนุนพันธกิจสภากาชาดไทย

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซีพีเอฟได้สานต่อโครงการ “ทุกการซื้อ คือพลังแห่งการให้” โดยนำอาหารคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย มาจำหน่ายในราคาพิเศษ และนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายไปช่วยซ่อมแซม และจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้โรงพยาบาลในหลายจังหวัด

ซีพีเอฟ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมแบ่งปันผ่าน “พลังแห่งการให้” ไปด้วยกัน ณ บูธซีพีเอฟภายในงานกาชาด ณ ประตู 2 สวนลุมพินี.

“นวัตกร” ซีพีเอฟ มุ่งยกระดับการผลิตอาหารสัตว์ด้วย AI และดิจิทัล ขับเคลื่อนการสร้างอาหารปลอดภัยสู่ผู้บริโภค หนุนความมั่นคงทางอาหาร

0

“นวัตกรรม” คือหนึ่งในหัวใจสำคัญของการยกระดับศักยภาพการแข่งขัน ช่วยผลักองค์กรให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพมากขึ้น การพัฒนา “นวัตกร” จึงสำคัญยิ่ง เพราะทำให้พนักงานมีทักษะคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น และสร้างคุณค่าใหม่ให้ทุกกระบวนการทำงาน ส่วนในระดับประเทศ นวัตกรรมคือแรงขับทางเศรษฐกิจ ที่ช่วยเพิ่มผลิตภาพ และเสริมเขี้ยวเล็บให้ไทยแข่งขันได้บนเวทีโลก

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการผลิตอาหารปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “ครัวโลก” (Kitchen of the World) พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมในทุกระดับขององค์กร โดยมุ่งพัฒนาบุคลากรให้ก้าวสู่การเป็น “นวัตกร” ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม ที่สามารถคิด-สร้างนวัตกรรม ต่อยอดเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมอาหารสู่สากล

ล่าสุด ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ จัดงาน “Feed Innovation Week 2025” ภายใต้แนวคิด “Innovate for Better Tomorrow – นวัตกรรมเพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า” เพื่อผลักดันพนักงานสู่การเป็นนวัตกร ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตด้วย AI และดิจิทัลเทคโนโลยี ภายในงานมีการจัดแสดงผลงานนวัตกรรมที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 100 ผลงาน ที่สามารถ “ใช้งานได้จริง” เป็นฐานพัฒนาสู่ต้นแบบและการใช้งานจริงในกระบวนการผลิต

นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่สายธุรกิจอาหารสัตว์บก กล่าวว่า บริษัทฯมุ่งมั่นในการผสมผสานเทคโนโลยีดิจิทัล–AI–องค์ความรู้จากอุตสาหกรรม เพื่อต่อยอดกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ตอบโจทย์ลูกค้า และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ผ่านการสร้างบุคลากรด้านนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ

“ธุรกิจอาหารสัตว์บก เปิดเวทีให้พนักงานร่วมสร้างผลงานนวัตกรรมต่อเนื่องเป็นปีที่ 17 ปัจจุบัน มีนวัตกรรวม 1,063 คน คิดเป็นมากกว่า 60% ของพนักงานทั้งหมด สะท้อนวัฒนธรรมที่สนับสนุนให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการคิดค้นและปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่อง มุ่งผลักดันให้ทุกคนกล้าคิด กล้าทำ และสร้างคุณค่าใหม่ให้ธุรกิจ และเราไม่หยุดพัฒนาได้จริง”

ปีนี้ธุรกิจฯ ยังได้รับรางวัล CP Excellence Award 2025 ระดับ Platinum โดยเฉพาะด้าน “การจัดการนวัตกรรม” สะท้อนการพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ ทั้งในส่วนของการประยุกต์ใช้ AI การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ และการนำระบบดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพและลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต

การจัดงานครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภายในและพันธมิตรภายนอก ทั้งด้านผลิต วิชาการ การตลาด บัญชี วิศวกรรม และบริษัทเทคโนโลยี ต่อยอดการแลกเปลี่ยนความรู้และการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สามารถขยายผลได้จริง ตอกย้ำเป้าหมายของซีพีเอฟในการส่งต่ออาหารปลอดภัยและสร้างความมั่นคงทางอาหารสู่ผู้บริโภค พร้อมยกระดับขีดความสามารถขององค์กรและขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน

Feed Innovation Week 2025 นับเป็นเวทีที่เปลี่ยน “แนวคิด” ให้เป็น “ต้นแบบ” และเปลี่ยน “ต้นแบบ” ให้กลายเป็น “ผลงานใช้งานจริง” ซึ่งจะขับเคลื่อนธุรกิจอาหารสัตว์บกสู่อนาคตที่ยั่งยืน มีประสิทธิภาพ และแข่งขันได้ในระดับโลก

เมืองไทยประกันชีวิต ได้รับการรับรองเป็น “Best Places to Work 2025” จาก WorkVenture ตอกย้ำความเป็นองค์กรที่พนักงานเชื่อมั่นและอยากเติบโตไปด้วยกัน

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ได้รับการรับรองเป็น “Best Places to Work” ประจำปี 2568 จากบริษัท เวิร์คเวนเจอร์ เทคโนโลจีส์ จำกัด (WorkVenture) บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้าน Employer Branding และผู้จัดทำโพล “Top 50 Companies in Thailand” ซึ่งจัดอันดับองค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วยมากที่สุด

รางวัลนี้เกิดจากผลสำรวจความคิดเห็นของพนักงานทั่วทั้งองค์กร ซึ่งสะท้อนความไว้วางใจต่อบริษัทฯ ว่าเป็นสถานที่ทำงานที่มั่นคง ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพ สนับสนุนการทำงานร่วมกัน และเปิดรับความหลากหลายอย่างแท้จริง

เมืองไทยประกันชีวิต มุ่งมั่นในพันธกิจ “ส่งมอบความสุข” ให้กับทุกชีวิตที่เกี่ยวข้อง โดยเริ่มจากความสุขของพนักงานซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญขององค์กร ในฐานะบริษัทประกันชีวิตชั้นนำของประเทศ เมืองไทยประกันชีวิตจึงไม่เพียงเป็นชื่อที่ผู้คนไว้วางใจ หากยังเป็น “หลักประกันของชีวิตและหน้าที่การงาน” ให้กับพนักงานนับพันทั่วประเทศ สร้างความมั่นคงทั้งในด้านการทำงาน โอกาสในการเติบโต และความปลอดภัยทางอาชีพ

วัฒนธรรมองค์กรของเมืองไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญกับ “คน” เคารพและเห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน เปิดกว้างต่อมุมมองที่หลากหลาย และร่วมมือกันอย่างสามัคคี ทำให้พนักงานรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน และเป็นแบรนด์ที่คนไทยไว้วางใจมายาวนาน

ในการนี้ นายเย็นส์ โพลด์ (Jens Pold) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวิร์คเวนเจอร์ เทคโนโลจีส์ จำกัด ได้มอบรางวัลดังกล่าวแก่ นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ดร.สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

การรับรองครั้งนี้ตอกย้ำว่า “ความสุขของคนทำงาน” คือหัวใจสำคัญที่ทำให้เมืองไทยประกันชีวิตเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมก้าวเดินเคียงข้างพนักงาน ลูกค้า และสังคมไทยต่อไป

AIS เดินหน้าองค์กรโปร่งใส รวมพลังประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริต ตามหลักธรรมาภิบาล เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล ปี 2568

0

AIS เดินหน้ารวมพลังต่อต้านการทุจริต เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล ปี 2568 แสดงเจตนารมณ์ร่วมสร้างสังคมไทยปลอดทุจริตอย่างจริงจัง ภายใต้หลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และการดำเนินงานที่ตรวจสอบได้ โดยร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และภาคีเครือข่าย ภายใต้แนวคิด “Hero of The Truth ร่วมหยุดคอร์รัปชัน” เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคมไทยจากภายในองค์กรและขยายสู่สังคมวงกว้างอย่างยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายมนตรี คงเครือพันธุ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านตรวจสอบภายใน เอไอเอส นายชวิน ชัยวัชราภรณ์ หัวหน้าส่วนงานเลขานุการบริษัทและกำกับดูแลกิจการองค์กร เอไอเอส และพนักงาน AIS ร่วมประกาศเจตจำนงเพื่อต่อต้านการทุจริตในครั้งนี้

ทั้งนี้ AIS ยืนหยัดดำเนินธุรกิจบนรากฐานของความยั่งยืนและความโปร่งใส ภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ครอบคลุมทั้งการขับเคลื่อนดิจิทัลเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชาติ และการเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงดิจิทัลอย่างเท่าเทียม มุ่งสู่องค์กรที่สร้างการเติบโตร่วมกันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมีนโยบายและแนวปฏิบัติต่อต้านการให้หรือรับสินบนและการทุจริตทุกรูปแบบ (Anti-Bribery and Corruption Policy) ควบคู่กับการหล่อหลอมค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง สนับสนุนให้บุคลากรยึดมั่นในจิตสำนึกที่ถูกต้อง ความซื่อตรง และความรับผิดชอบในการทำงาน พร้อมส่งต่อแนวคิดนี้ไปยังผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ทั้งลูกค้า พาร์ทเนอร์ และสังคมไทย

สิงห์อาสา ผนึก ปภ. สร้างหลักสูตรกู้ภัยน้ำเชี่ยว อบรมอาสาสมัครกู้ภัย

0

สิงห์อาสา โดยมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย จัดอบรม “โครงการสิงห์อาสากู้ภัยในกระแสน้ำเชี่ยวเบื้องต้น” ปีแรก เพื่อยกระดับทักษะและเพิ่มศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครกู้ภัย รองรับสถานการณ์ภัยพิบัติทางน้ำที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และอุบัติเหตุทางน้ำ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยบุคลากรที่มีความชำนาญ สามารถปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย หลักสูตรนี้เน้นการฝึกทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ครอบคลุมการประเมินสถานการณ์ การใช้เครื่องมือกู้ภัยทางน้ำ การช่วยเหลือผู้ประสบเหตุในกระแสน้ำเชี่ยว ตลอดจนทักษะปฐมพยาบาลและการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยอย่างปลอดภัย พร้อมการฝึกสถานการณ์จำลองจริง โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจาก ปภ. ถ่ายทอดความรู้ตลอดการอบรม 3 วัน 2 คืน ที่จังหวัดนครนายก

นายเกริกเสกข์สัณห์ วาสะศิริ ผู้อำนวยการส่วนพัฒนาศักยภาพอาสาสมัคร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า“ประเทศไทยเผชิญกับอุทกภัยและน้ำท่วมฉับพลันบ่อยครั้ง การมีอาสาสมัครที่ได้รับการฝึกอบรมและเข้าใจการปฏิบัติการในภาวะน้ำเชี่ยวอย่างถูกต้อง จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมหาศาล ความร่วมมือกับสิงห์อาสาจึงมีบทบาทสำคัญในการเสริมความเข้มแข็งให้ระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะการสร้างบุคลากรที่มีความพร้อม และการขยายเครือข่ายอาสาสมัครที่สามารถเข้าช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงทีก่อนหน่วยงานหลักจะเข้าถึงพื้นที่ ซึ่งถือเป็นหัวใจของการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน”

คุณรวินทร์ ชมพูนุชธานินทร์ ผู้อำนวยการกลุ่มประชาสัมพันธ์ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า “สิงห์อาสายึดมั่นภารกิจในการช่วยดูแลสังคมไทย โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดภัยพิบัติ เราได้พัฒนาหลักสูตรกู้ภัย-กู้ชีพหลายหลักสูตรร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่มีองค์ความรู้ ให้กับอาสาสมัครกู้ภัย-กู้ชีพทั่วประเทศ สำหรับความร่วมมือกับ ปภ. ครั้งนี้เป็นการต่อยอดการสร้างคน สร้างเครือข่าย และสร้างความปลอดภัยให้สังคม อาสาสมัครของเราต้องมีความรู้ ความมั่นใจ และพร้อมลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ”

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ภัยพิบัติทั่วโลกได้ทวีความรุนแรงขึ้น หนึ่งในรูปแบบภัยพิบัติที่ประเทศไทยต้องเผชิญบ่อยๆ คือ ภัยจากน้ำหลากที่สร้างความเสียหายเป็นจำนวนมาก การพัฒนาขีดความสามารถของทีมอาสาสมัครกู้ภัยให้ทัดเทียมกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น จึงมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการรักษาชีวิตผู้ประสบภัยและตัวเจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัยเอง

เอไอเอส ขยายโครงข่าย–ดูแลสัญญาณศูนย์อพยพ 24 ชม. พร้อมมาตรการดูแลลูกค้าที่ได้รับผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา

0

ท่ามกลางเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา เอไอเอส ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายที่เคียงข้างคนไทยในทุกสถานการณ์ เดินหน้าดูแลและเสริมประสิทธิภาพโครงข่าย 4G/5G ให้พร้อมใช้งานอย่างต่อเนื่องในศูนย์อพยพ พื้นที่แนวชายแดน 5 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และสระแก้ว เพื่อให้ประชาชนสามารถติดต่อสื่อสารกับครอบครัวและคนที่ห่วงใยได้ ดังนี้

  • ร่วมกับกองทัพบก กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 ดูแลสัญญาณเครือข่ายในศูนย์อพยพ พร้อมแผนรองรับการขยายเพิ่มเติมในพื้นที่อื่นตามความจำเป็น โดยมีทีมวิศวกรมอนิเตอร์และดูแลเครือข่าย 24 ชั่วโมง
  • ดูแลลูกค้าเอไอเอสที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัย ขยายเวลาชำระค่าบริการลูกค้าเอไอเอสรายเดือน และ AIS 3BB FIBRE3 และขยายเวลาการใช้งานให้ลูกค้าระบบเติมเงิน
  • โดยปิดบริการ AIS Shop และตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่เสี่ยงเป็นการชั่วคราว โดยลูกค้ายังสามารถทำธุรกรรมและรับบริการได้ด้วยตนเองผ่านแอป myAIS

มหาอุทกภัยผ่านไป ตะกอนยังอยู่ในทะเลสาบสงขลาอีกโจทย์ที่คนใต้ต้องเร่งฟื้นฟู

0

น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นในภาคใต้ล่าสุด ไม่ได้สร้างเพียงความเสียหายต่อเมืองและชุมชนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อ “หัวใจของระบบนิเวศ” อย่างทะเลสาบสงขลาอย่างคาดไม่ถึง ผลสำรวจภาพถ่ายดาวเทียม Sentinel-2C จากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ระบุชัดเจนว่า หลังน้ำหลากผ่านตัวเมืองหาดใหญ่ มวลตะกอนขนาดใหญ่ได้ไหลบ่าลงสู่ทะเลสาบสงขลาตอนล่างอย่างต่อเนื่อง ปริมาณตะกอนที่สูงกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลาอันสั้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนภัยด้านระบบนิเวศที่ต้องให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วนที่สุด

ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม ชี้ให้เห็นชั้นตะกอนขนาดใหญ่ที่แผ่กระจายออกจากพื้นที่รับน้ำหลัก ก่อนมุ่งหน้าลงสู่ตอนล่างของทะเลสาบสงขลาในระดับความเข้มข้นที่เกินกว่าระบบนิเวศจะรับมือได้ทัน การไหลบ่าของตะกอนจำนวนมหาศาลเช่นนี้มีผลกระทบต่อระบบนิเวศหลายด้าน ได้แก่

  • น้ำขุ่นและลดการส่องผ่านของแสง ทำให้พืชน้ำและสาหร่ายที่มีประโยชน์ ไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้เต็มที่
  • ตะกอนทับถมบริเวณพื้นท้องน้ำ ส่งผลเสียต่อหญ้าทะเล แหล่งเพาะพันธุ์ปลา สัตว์น้ำ และจุลินทรีย์ที่เป็นฐานอาหารในห่วงโซ่อาหาร
  • เพิ่มความเสี่ยงภาวะออกซิเจนต่ำ (Hypoxia) จากอินทรียวัตถุจำนวนมากที่ย่อยสลาย
  • กระทบโดยตรงต่อประมงพื้นบ้าน ทั้งจากน้ำขุ่นที่รบกวนการหายใจของสัตว์น้ำ และจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย
  • เสี่ยงต่อการเกิดการเพิ่มจำนวนสาหร่ายผิดธรรมชาติ (Algal Bloom) หากธาตุอาหาร เช่น ไนโตรเจนและฟอสฟอรัสมีปริมาณสูง

ผลกระทบเหล่านี้เป็น “ผลกระทบเร่งด่วนและรุนแรง” ที่เริ่มส่งผลทันทีตั้งแต่วันแรกที่น้ำหลากลงทะเลสาบสงขลา ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงความเสียหายหลังภัยธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนที่เชื่อมโยงกับระบบนิเวศที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมหาอุทกภัยในอนาคต

เมื่อภูมิอากาศมีความแปรปรวนมากขึ้น ฝนตกหนักในระยะเวลาสั้น ๆ (extreme rainfall) จะเกิดบ่อยขึ้น ทำให้ดินถูกกัดเซาะ (erosion) จากภูเขาและพื้นที่ต้นน้ำถูกพัดพาลงสู่ลุ่มน้ำอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ปริมาณตะกอนที่ไหลลงแม่น้ำและทะเลสาบเพิ่มขึ้นทุกปี จึงไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะหน้า หากไม่มีการฟื้นฟูป่า พื้นที่ชุ่มน้ำ และการบริหารจัดการพื้นที่ลุ่มน้ำอย่างจริงจัง วงจรนี้จะยิ่งทวีความรุนแรง จนนำไปสู่การเกิดมหาอุทกภัยถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น และกระทบพื้นที่รอบทะเลสาบสงขลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ต้องการข้อมูลที่ถูกต้องและการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน แต่กลับมีการนำประเด็น “ปลาหมอคางดำ” ไปผูกโยงกับผลกระทบของน้ำท่วมครั้งนี้ จนอาจทำให้สังคมเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน จริงอยู่ที่ปลาชนิดนี้แข่งขันแย่งแหล่งอาหารกับปลาท้องถิ่น, วางไข่จำนวนมากทำให้ประชากรเพิ่มเร็ว และรบกวนปลาพื้นถิ่นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เป็นต้น แต่ก็ไม่ทำให้ทะเลสาบเสียสมดุลทันทีในเวลาไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ เพราะการขยายประชากรต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงหลายป ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์น้ำ ประเมินว่าปลาหมอคางดำเป็นปัญหา ระยะกลาง–ยาว ที่เกิดจากการรุกรานเชิงชีวภาพของสัตว์ต่างถิ่น
เรื่องมวลตะกอนขนาดใหญ่กับปลาหมอคางดำไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา สองเรื่องนี้ไม่ควรถูกบิดเบือนให้เชื่อมโยงกันอย่างผิดหลักวิชาการ เพราะจะทำให้ “ประเด็นเร่งด่วนจริง” โดยเฉพาะเรื่องตะกอนขนาดใหญ่ “ถูกกลบ” และสร้างความสับสนกับสังคม

ปลาหมอคางดำแม้เป็นชนิดพันธุ์รุกราน แต่ก็เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่สามารถควบคุมได้ผ่านมาตรการของภาครัฐ เช่น การจำกัดพื้นที่แพร่กระจายอย่างเป็นระบบ, การสนับสนุนการจับและบริหารจัดการประชากร, การฟื้นฟูปลาท้องถิ่นให้มีการแข่งขันทางธรรมชาติ เป็นต้น จึงไม่ควรนำประเด็นนี้มากลบปัญหาหลัก “มวลตะกอนหลังน้ำท่วม” ที่กำลังส่งผลกระทบต่อทะเลสาบอย่างเฉียบพลัน

ทะเลสาบสงขลาได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่องมาหลายปี ทั้งอุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้น ความเค็มที่แปรผัน ความถี่ของพายุที่มากขึ้น รวมถึงพฤติกรรมการย้ายถิ่นของสัตว์น้ำที่เปลี่ยนแปลง

มหาอุทกภัยครั้งนี้ คือ สัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องดำเนินการอย่างจริงจังและเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูทะเลสาบสงขลาอย่างเป็นระบบ ได้แก่

  • เร่งตรวจวัดคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อระบุพื้นที่เสี่ยงและวางแผนฟื้นฟูทันที
  • ฟื้นฟูพื้นที่พืชน้ำและระบบนิเวศก้นทะเลสาบ ที่ถูกตะกอนทำลาย
  • ฟื้นฟูลุ่มน้ำต้นน้ำ–กลางน้ำ–ปลายน้ำ เพื่อลดตะกอนในระยะยาว
  • พัฒนามาตรการควบคุมปลาหมอคางดำอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้กระทบสัตว์น้ำท้องถิ่น

“มวลตะกอนขนาดใหญ่” หลังน้ำท่วม ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน ว่า กำลังสร้างวิกฤตร้ายแรงต่อระบบนิเวศทะเลสาบสงขลาทันที น้ำขุ่น ตะกอนทับถม พืชน้ำถูกทำลาย แหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำเสียหาย และความเสี่ยงต่อสาหร่ายบูมสูงขึ้น ผลกระทบเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็กและเกิดขึ้นทันที ต่างจากประเด็นปลาหมอคางดำที่เป็นปัญหาระยะกลาง–ยาวและสามารถควบคุมได้ด้วยการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ

สังคมต้องร่วมมือกันสร้างระบบความร่วมมือระหว่างรัฐ นักวิชาการ และชุมชน ในการจัดการทะเลสาบแบบองค์รวม โดยตระหนักถึงความรุนแรงของตะกอนขนาดใหญ่ สนับสนุนมาตรการฟื้นฟูทะเลสาบอย่างเร่งด่วน และสนับสนุนการบริหารจัดการชนิดพันธุ์รุกรานอย่างมีระบบ เพื่อให้ทะเลสาบสงขลายังคงเป็นแหล่งชีวิต ระบบนิเวศที่สมดุล และชุมชนสามารถอยู่ร่วมสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน.