Home Blog Page 3

AIS จับมือ หัวเว่ย เปิดตัวบริการ “AI Calling” ฟีเจอร์แปลภาษาแบบเรียลไทม์ระหว่างโทร

0

AIS เดินหน้าเสริมศักยภาพโครงข่ายอัจฉริยะ (Autonomous Network) ยกระดับการให้บริการเครือข่ายอย่างเหนือขีดจำกัดครั้งแรกของโลก เปิดตัวบริการ “AI Calling” ฟีเจอร์แปลภาษาแบบเรียลไทม์ระหว่างการโทร ใช้งานได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติม บนเครือข่าย AIS 5G เท่านั้น เปลี่ยนการสื่อสารข้ามภาษาสู่ประสบการณ์ไร้พรมแดน ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอกย้ำการเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ (Cognitive Tech-Co) ที่พร้อมนำนวัตกรรมแห่งอนาคตมาให้ลูกค้าได้สัมผัสก่อนใคร เตรียมเปิดให้บริการบนสมาร์ตโฟน HUAWEI Mate XT และ HUAWEI Mate X6 ภายในเดือนมิถุนายน 2568 นี้ และขยายสู่รุ่นอื่นๆ ในอนาคต

นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “AIS AI Calling เป็นบริการที่เราพัฒนาร่วมกับ Huawei พันธมิตรเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อยกระดับการสื่อสารให้ล้ำสมัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถพูดในภาษาของตนเอง ขณะที่ปลายสายจะได้ยินเป็นอีกภาษาหนึ่งทันที ช่วยลดข้อจำกัดด้านภาษาในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ทั้งด้านการท่องเที่ยว ธุรกิจ และงานบริการ ถือเป็นรายแรกของโลกที่ให้บริการแปลภาษาแบบ Voice-to-Voice Real-Time บนเครือข่ายโทรศัพท์ นับเป็นก้าวสำคัญในการนำนวัตกรรม AI ผสานกับโครงข่าย 5G เพื่อยกระดับการใช้งานของผู้ใช้ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะในโลกที่การเชื่อมต่อไร้พรมแดนเป็นสิ่งจำเป็น”

AIS AI Calling มาพร้อมจุดเด่นที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น การแปลภาษาในรูปแบบ Voice-to-Voice เรียลไทม์ระหว่างสนทนา, ใช้งานผ่านเครือข่าย AIS 5G ได้ทันที โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปฯ เพิ่ม, รองรับการใช้งานหลากหลายสถานการณ์ นอกจากนี้ ยังสามารถแปลภาษาในรูปแบบ Voice-to-Text โดยจะแสดงคำแปลเป็นข้อความซับไตเติ้ลบนหน้าจอแบบคำต่อคำอย่างแม่นยำและต่อเนื่อง เติมเต็มประสบการณ์การสื่อสารที่ไร้รอยต่อ

ปัจจุบันฟีเจอร์ Voice-to-Voice รองรับ 3 ภาษา ได้แก่ ไทย อังกฤษ และจีน ส่วน Voice-to-Text จะรองรับภาษา อังกฤษและจีน โดยจะพร้อมใช้งานบนสมาร์ตโฟนรุ่น HUAWEI Mate XT | ULTIMATE DESIGN และ HUAWEI Mate X6 ภายในเดือนมิถุนายน 2568 และขยายสู่สมาร์ตโฟนรุ่นอื่นๆ พร้อมรองรับภาษาต่างๆ เพิ่มเติมต่อไป

เชียงใหม่คุมเข้มไฟป่า – ฝุ่น PM2.5 … ซีพีเอฟหนุนเต็มกำลัง!

0

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ “นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร” สั่งคุมเข้มป้องกันไฟป่า และฝุ่น PM2.5 ทั้งมาตรการหยุดเผาทุกชนิดในที่โล่ง ลาดตระเวนป้องกันไฟป่า ตรวจรถควันดำ และโรงงานอุตสาหกรรม

CPF หนุนภารกิจเต็มกำลัง ส่งอาหารทั้งไข่ไก่ หมูสด หมูคูโรบูตะ น้ำดื่ม CP และผลิตภัณฑ์ห้าดาว ให้ทีมอาสาดับไฟป่าทั่วเชียงใหม่ เติมพลังใจให้เดินหน้าภารกิจต่อเนื่อง

โดยก่อนหน้านี้ นายอำเภอสันกำแพง จับมือกับคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ CPF สันกำแพง เปิดโครงการ “ตลาดใบไม้แลกไข่” ชวนชุมชน เลิกเผาใบไม้ แลกไข่ไก่ CP กลับบ้าน ได้อิ่มท้อง ลดค่าครองชีพ พร้อมลดฝุ่น PM2.5 อย่างสร้างสรรค์

ซีพีเอฟเคียงข้างคนไทย สู้ไฟป่า ลดฝุ่น PM2.5 เพื่ออากาศสะอาดของทุกคน

คลิกชมคลิป >> https://youtube.com/shorts/i1swPqCwQ6k?feature=share

ซีพีเอฟ สานต่อโครงการ SMEx ปรับตัวคู่ค้ารับยุคดิจิทัล ตอบโจทย์ผู้บริโภค ร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม

0

ในสถานการณ์ที่เทคโนโลยีเข้ามามีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME (Small and Medium Entrepreneurs ) จำเป็นต้องปรับตัวให้ทันและเร็วเพื่อที่จะสามารถดำเนินกิจการได้อย่างมั่นคง และเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

แนวทางที่จะช่วยในการปรับตัวสำหรับธุรกิจ SME ในยุคที่มีความเปลี่ยนแปลงสูงและรวดเร็ว คือ การผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้วยตระหนักถึง SME หลายแห่งยังมีข้อจำกัดด้านองค์ความรู้และปัจจัยต่างๆ ในการเพิ่มขีดความสามารถ ซีพีเอฟ หรือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) จึงได้ดำเนินโครงการ SMEx ต้นทุนต่ำ นำรักษ์โลก ช่วยพัฒนาศักยภาพของคู่ค้าธุรกิจ SME ในห่วงโซ่อุปทาน ผ่านการถ่ายทอดความรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญของบริษัทช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาเจ้าของกิจการลงมือปรับปรุงกระบวนการดำเนินงาน ใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มีผลผลิตที่สูงขึ้น ต้นทุนลดลง ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น

นายพีรพงศ์ กรินชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิศวกรรมกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า SME เป็นพาร์ทเนอร์ของซีพีเอฟในการผลิตและส่งมอบสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั้งเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โครงการ SMEx จะช่วยสนับสนุนและถ่ายทอดความเชี่ยวชาญความรู้ของซีพีเอฟช่วยให้ SME มีศักยภาพปรับเปลี่ยนธุรกิจให้ทันกระแสโลก โดยเฉพาะการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก

โครงการ SMEx ดำเนินการมาถึงรุ่นที่ 4 ในปีนี้ ซีพีเอฟยังได้จับมือกับพันธมิตรชั้นนำอย่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งจะมาช่วยเพิ่มพูนความรู้การพัฒนาที่ยั่งยืน องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. สนับสนุนให้ SME สามารถคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่การผลิต สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ช่วยส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. ที่ให้ความช่วยเหลืออุดหนุนด้านเงินทุนแก่ ช่วยให้ SME เข้าถึงแหล่งทุนในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลบริหารจัดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเตรียมความพร้อม SME ได้รับการรับรองเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร มีส่วนร่วมขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Net-Zero ด้วยกัน

นายจุลนภ ศานติพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวว่า ดีป้ามองคาร์บอนฟรุตปริ้น เป็นความท้าทายต่อผู้ประกอบการ SME ซึ่งเป็นกำลังสำคัญหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โครงการ SMEx ช่วยให้ SME ปรับตัวให้พร้อมรับความท้าทายต่างๆ สามารถแข่งขันได้บนเวทีระดับประเทศและระดับโลก

นางนภาสิริ ใจแสง บริษัท อินทราพรแพค จำกัด คู่ค้าผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก กล่าวว่า ผู้ประกอบการขนาดเล็กจำเป็นต้องมีความรู้และปรับปรุงด้านต่างๆ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตควบคู่กับการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคทั่วโลกต้องการ โครงการ SMEx ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กมีความรู้และสามารถปรับตัวได้เร็วก่อนคนอื่น และสามารถผลิตสินค้าได้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าทั้งในแง่คุณภาพ มาตรฐาน และดูแลสิ่งแวดล้อม

นายณัฐพงศ์ สหชัยพัฒนา บริษัท สหชัยกิจการพิมพ์ จำกัด ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์อาหาร กล่าวว่า บริษัทร่วมกับซีพีเอฟพัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการ SME เป็นองค์กรขนาดเล็ก การร่วมโครงการ SMEx สร้างโอกาสให้ SME ได้เรียนรู้จากองค์กรขนาดใหญ่ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน อย่างเช่น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยลดเวลาในการทำงานที่ เป็นระบบอัตโนมัติ ช่วยธุรกิจมีเวลาไปพัฒนาองค์กรและบุคลากรมากขึ้น

นางสุภาวดี วชิระเธียรชัย บริษัท เอื้ออารีฟู้ด โปรดักส์ จำกัด กล่าวว่า เอื้ออารีฟู้ดเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเครื่องปรุงรสวัตถุดิบในการผลิตอาหารของซีพีเอฟมากว่า 25 ปี SME รุ่นใหม่ตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม การเข้าร่วมโครงการ SMEx จะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กลดต้นทุน มีกำไรเพิ่มขึ้น และได้ดำเนินงานดีต่อสิ่งแวดล้อมด้วย สามารถตอบโจทย์จัดการปัญหาได้ตรงจุด ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก

โครงการ SMEx เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของซีพีเอฟภายใต้โครงการ “Partner to Grow” มีเป้าหมายเสริมสร้างความร่วมมือกับคู่ค้า SME ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน ดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการเติบโตไปด้วยกัน.

ประมงสมุทรสงคราม ปูพรมจับปลาหมอคางดำแบบไม่พัก ปลื้มกรมประมงยก “สิบหยิบหนึ่ง” เป็นโมเดลขยายผลในจังหวัดอื่น

0

ท่ามกลางแนวทางการจัดการควบคุมปลาหมอคางดำในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ “ปลากะพงขาว” เป็นฮีโร่ของเกษตรกรไทยมาช่วยกำจัด “ปลาหมอคางดำ” จากไอเดียนอกกรอบของประมงจังหวัดสมุทรสงคราม ที่ริเริ่มและดำเนินกิจกรรม “สิบหยิบหนึ่ง” ด้วยหลักการที่เรียบง่าย นำปลากะพงขาวมาเป็นตัวช่วยตัดวงจรปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาสให้เกษตรกร

กรมประมงจึงยกเป็นโมเดลขยายผลไปสู่จังหวัดอื่น สำหรับในปีนี้ สมุทรสงครามยังรุกกำจัดปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่องด้วยการจัดการแข่งขันชิงรางวัลชวนคนไทยมาร่วมภารกิจจับปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์กันมากขึ้น

ประมงสมุทรสงครามเริ่มกิจกรรม “สิบหยิบหนึ่ง” ขึ้นเมื่อปี 2567 โดยร่วมกับเอกชนจัดหาลูกพันธุ์ปลากะพงขาวมาแจกจ่ายให้เกษตรกรรนำไปเลี้ยงและเป็นนักล่าธรรมชาติช่วยกำจัดปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ เมื่อปลากะพงขาวโตได้ขนาดนักล่า เกษตรกรจะจับปลา 10% ของอัตราปลาที่ได้รับสนับสนุน เพื่อส่งคืนให้จังหวัดสำหรับนำไปปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติต่อไป ซึ่งเกษตรกรได้ทั้งประโยชน์จากจำนวนปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำลดลง ช่วยให้ผลผลิตดีขึ้น และยังมีผลพลอยได้จากปลากะพงเป็นรายได้เสริม พร้อมทั้งช่วยฟื้นฟูและอนุรักษ์แหล่งน้ำธรรมชาติในคราวเดียวกัน

นายวิรัตน สนิทมัจโร ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวว่า ปีนี้ ประมงสมุทรสงครามเร่งปฏิบัติการเชิงรุกในทุกมิติตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ โดยจะมีการปูพรมจัดกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” ทุกเดือนเพื่อจับปลาหมอคางดำให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งในแหล่งน้ำธรรมชาติ และบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกร ตั้งเป้าอีก 3 เดือนข้างหน้าประชากรปลาหมอคางดำเบาบางลงอย่างเป็นรูปธรรม ต่อจากนั้นจะปล่อยพันธุ์ปลานักล่าช่วยตัดวงจรการแพร่พันธุ์ของปลาหมอคางดำ ควบคู่กับการเดินหน้ากิจกรรม “สิบหยิบหนึ่ง” ต่อเนื่อง พร้อมกับเพิ่มกิจกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยกระตุ้นประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมใช้ประโยชน์ปลาหมอคางดำมากขึ้น ผ่านการจัดกิจกรรมการประกวดเมนูอาหารปลาหมอคางดำ และการแข่งขันจับปลา เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ประชาชนช่วยกันปูพรมจับปลาหมอคางดำขึ้นจากแหล่งน้ำและบ่อเลี้ยงมาจำหน่าย เพื่อเป็นการกวาดล้างปลาหมอคางดำออกจากระบบนิเวศของสมุทรสงครามมากที่สุด

ล่าสุด ประมงจังหวัดสมุทรสงครามได้จัดกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ (ผู้ล่า) ปลากะพงขาว ภายใต้กิจกรรม “สิบหยิบหนึ่ง” รุ่นแรกที่ปล่อยปลาหมอคางดำไปแล้ว โดยมีตัวแทนเกษตรกรในพื้นที่ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรสงคราม ส่งมอบ “ปลากะพงขาว” ที่โตขนาด 7-8 นิ้ว (200-350 กรัม) จำนวน 250 ตัว แก่นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม และปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ณ ท่าน้ำวัดเจริญสุนทราราม (วัดบางบ่อ) หมู่ที่ 5 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรสงคราม ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 3 ที่ประมงสมุทรสงครามปล่อยปลากะพงขาวที่ได้รับคืนจากเกษตรกรที่ร่วมกิจกรรมนี้

“จากโมเดลจัดการปัญหาที่ช่วยเยียวยาเกษตรกรเจ้าของบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และสร้างโอกาสเพิ่มรายได้จากปลากะพงขาว ซึ่งเป็นปลาเศรษฐกิจ ส่งผลให้กรมประมงบรรจุ “สิบหยิบหนึ่ง” เป็นโมเดลที่ส่งเสริมให้จังหวัดอื่นนำไปขยายผลเพื่อดูแลเกษตรกรและสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน” นายวิรัตนกล่าว
นอกจากนี้ ประมงสมุทรสงครามได้จัดตั้ง “ทีมไล่ล่าเฉพาะกิจ” ทำหน้าที่สำรวจปลาหมอคางดำให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพิ่มความสำเร็จในการจัดการปลาหมอคางดำ และอยู่ระหว่างประชาสัมพันธ์และเปิดรับสมัครเกษตรกรมาเข้าร่วมโครงการ “สิบหยิบหนึ่ง” เพิ่มขึ้น โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับลูกพันธุ์ปลากะพงขาว 30 ตัวต่อไร่ (สูงสุด 1,000 ตัวต่อเกษตรกร 1 ราย) พร้อมได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์จับปลาและกากชา

“ประมงสมุทรสงครามเดินหน้าสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง บูรณาการ 3 ประสานระหว่างภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร เพื่อรับมือกับปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเหมือนกับ “สิบหยิบหนึ่ง” ที่นอกจากจะช่วยตอบโจทย์ของเกษตรกรได้โดยตรงแล้ว ยังเป็นการคืนความสมดุลให้ธรรมชาติในระยะยาว” นายวิรัตน กล่าวปิดท้าย.

“คลีนเล้าด้วยใจ ปันไข่ให้น้อง” สานต่อความห่วงใยจากฟาร์มถึงโรงเรียนมูลนิธิซีพี และ ซีพีเอฟ เดินหน้าหนุนโภชนาการเด็กไทยอย่างยั่งยืน

0

ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท (มูลนิธิซีพี) และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จึงน้อมนำแนวพระราชดำริสร้างความมั่นคงทางอาหารของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีตาม “โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน” มาดำเนินการ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ตั้งแต่ปี 2532

ล่าสุด มูลนิธิซีพี และซีพีเอฟ เดินหน้า Kick off กิจกรรมล่าสุด “คลีนเล้าด้วยใจ ปันไข่ให้น้อง” เพื่อยกระดับสุขอนามัยในโรงเรียน และส่งเสริมให้นักเรียนได้รับสารอาหารที่ดีควบคู่กับทักษะชีวิต อันเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตอย่างมีคุณภาพทั้งกายและใจ

“คลีนเล้าด้วยใจ ปันไข่ให้น้อง” ยกระดับสุขอนามัยโรงเรียน

กิจกรรม “คลีนเล้าด้วยใจ ปันไข่ให้น้อง” เป็นการยกระดับมาตรฐานความสะอาดของโรงเรือนเลี้ยงไก่ในโรงเรียน โดยมีพนักงาน “ซีพีอาสา” จากโรงเพาะฟักลูกกุ้ง ซีพีเอฟ จังหวัดตราด ร่วมมือกันทำความสะอาดและปรับปรุงโรงเรือนให้มีความสะอาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้รับไข่ที่สด สะอาด และปลอดภัย

ขณะเดียวกัน ยังเป็นการสนับสนุนให้พนักงานในเครือซีพีได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและตอบแทนสังคมอย่างเป็นรูปธรรม โดยนำร่องที่ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนสิงค์โปร์แอร์ไลน์ อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความตระหนักเรื่องความสำคัญของสุขอนามัยในโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่

เดินหน้าเลี้ยงไก่ไข่ในโรงเรียนสร้างโภชนาการที่ดี

พีธนทัศ วีรงคเสนีย์ ผู้บริหารโครงการ “เลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” กล่าวว่า โครงการฯนี้ไม่เพียงแค่ให้ความสำคัญกับผลผลิตไข่ไก่ แต่ยังรวมไปถึงการพัฒนาสุขอนามัยและสภาพแวดล้อมของโรงเรือน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของนักเรียน โดยกิจกรรม “คลีนเล้าด้วยใจ ปันไข่ให้น้อง” นับเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับมาตรฐานความสะอาดของโรงเรือน และจะขยายผลไปยังโรงเรียนอื่นๆ ในอนาคต

ทางด้าน พรทิพย์ ธนะประสพ ผู้ชำนาญการงานธุรการและความยั่งยืนภาคกลางตะวันออก ซีพีเอฟ กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมว่า ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมครั้งนี้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้เด็กๆ มีโภชนาการที่ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้พวกเขามีสุขอนามัยที่ดีและเติบโตอย่างแข็งแรง เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศในอนาคต

ผลสำเร็จสู่เป้าหมายในอนาคต

โครงการฯนี้ไม่เพียงช่วยสร้างโภชนาการที่ดีให้กับเด็กๆ ในชนบท ยังส่งเสริมการพัฒนาทักษะอาชีพในโรงเรียน โดยมีหลักสูตรการเลี้ยงไก่ไข่ที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้ตั้งแต่การเลี้ยง การจัดการฟาร์ม ไปจนถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไข่ไก่ ซึ่งสามารถนำไปใช้ภายในโรงเรียน ขยายเป็นธุรกิจเสริมรายได้ให้กับโรงเรียนและชุมชน รวมถึงเป็นทักษะอาชีพของเด็กๆต่อไป

ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการจนถึงปัจจุบัน มูลนิธิซีพี และซีพีเอฟ จับมืมอกับเครือข่ายร่วมอุดมการความดีทั้ง สพฐ. ตชด. หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCC) เครือซีพี เจียไต๋ ซีพี ออลล์ ซีพี แอ็กซ์ตร้า Makro Lotus’s และ ทรู ร่วมสนับสนุนเด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด จนถึงปัจจุบัน โครงการฯนี้ได้ขยายไปแล้วกว่า 988 โรงเรียน ครอบคลุม 75 จังหวัดทั่วประเทศ ช่วยให้เด็กๆ มากกว่า 223,000 คน ได้รับโภชนาการจากไข่ไก่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีครูและบุคลากรในโรงเรียนอีกกว่า 16,500 คน ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ

มูลนิธิซีพี และซีพีเอฟ มุ่งหวังที่จะขยายโครงการไปยัง 1,000 โรงเรียนทั่วประเทศภายในปี 2573 เพื่อสร้างโอกาสทางโภชนาการและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล

โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน จึงไม่เพียงแต่เป็นโครงการเพื่อเยาวชน และขยายผลสู่การเรียนการสอนนอกห้องเรียน แต่ยังเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับชุมชน ด้วยบทบาทการเป็น “คลังอาหารที่ยั่งยืนของชุมชน” โดยหวังว่าจะสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกและการพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคมไทยในอนาคต.

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 2 รางวัลระดับนานาชาติ สะท้อนความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมดิจิทัลในอุตสาหกรรมประกันภัย

0
สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

เมืองไทยประกันชีวิต ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมดิจิทัลในธุรกิจประกันภัย ด้วยการคว้า 2 รางวัลสำคัญระดับนานาชาติ ได้แก่ รางวัล ITC Asia Awards 2024 สาขา Digital Insurer Award และ รางวัล The World’s Digital Insurance Awards 2024 สาขา Global Insurer Innovation Awards จากเวที The Digital Insurer (TDI) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่บริษัทได้รับรางวัลทั้งสองรางวัลนี้ สะท้อนถึงความสำเร็จในการพัฒนาโมเดลธุรกิจดิจิทัลที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างแท้จริง

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรในทุกมิติ ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ บริการ บุคลากร และกระบวนการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจในทุกระดับ เราเชื่อว่าเทคโนโลยีไม่เพียงช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานเท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงและเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ซึ่งถือเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล”

สำหรับรางวัล ITC Asia Awards 2024 ซึ่งจัดขึ้นควบคู่กับงานประชุม InsureTech Connect Asia (ITC Asia)   การประชุมด้าน Ecosystem ของธุรกิจประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ถือเป็นรางวัลที่ยกย่องความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมและการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยในภูมิภาค โดยบริษัทฯ ได้รับรางวัล Digital Insurer Award จากการส่งโครงการ “การขายประกันผ่าน LINE BK” เข้าประกวด ภายใต้แนวคิด Democratizing Insurance โดยนำเสนอโมเดลธุรกิจแบบดิจิทัลที่ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงได้ของลูกค้าทุกกลุ่ม ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม (Right Product) ในราคาที่จับต้องได้ (Right Price) บนแพลตฟอร์มที่ลูกค้าคุ้นเคยและใช้งานง่าย (Right Platform) พร้อมกระบวนการอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพ (Right Process) ซึ่งพัฒนาร่วมกับพันธมิตรสำคัญอย่าง LINE BK โดยลูกค้าสามารถซื้อประกันสำเร็จพร้อมรับกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์  (e-Policy) ได้ทันที และยังมีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงกระบวนการให้ดียิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังได้รับรางวัล The World’s Digital Insurance Awards 2024 จัดโดย The Digital Insurer (TDI) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกที่ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลของอุตสาหกรรมประกันภัย โดย เมืองไทยประกันชีวิตได้รับรางวัลในระดับ Asia Pacific Region และยังได้รับการคัดเลือกให้เป็น ผู้ชนะระดับ Global ในสาขา Global Insurer Innovation Awards จากโครงการเดียวกัน โดยผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการตัดสินระดับภูมิภาค และการโหวตโดยสมาชิกของ TDI จากทั่วโลก

รางวัล TDI Awards มุ่งเน้นการยกย่องโครงการนวัตกรรมที่สามารถปลดล็อกคุณค่าในทุกขั้นตอนและสร้างรูปแบบธุรกิจดิจิทัลใหม่ โดยในปีนี้มีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมจากทั่วโลก ครอบคลุมทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกา

“การคว้ารางวัลระดับนานาชาติทั้งสองรายการในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเมืองไทยประกันชีวิตในการยกระดับธุรกิจประกันชีวิตให้ทันสมัยและตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัล พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรไทยที่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกอย่างแท้จริง โดยนับเป็นก้าวสำคัญของบริษัท ในการเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมที่มุ่งมั่นสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า พันธมิตร และสังคมอย่างยั่งยืน พร้อมตอกย้ำว่า “ประกันชีวิต” สามารถเข้าถึงได้ เข้าใจง่าย และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคนได้อย่างแท้จริง”  นายสาระ กล่าวสรุป  

AIS เปิดตัว “AiCAM” กล้องวงจรปิด AI อัจฉริยะ บนโครงข่าย 5G ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

0

AIS ตอกย้ำวิสัยทัศน์ผู้นำด้านโทรคมนาคมอัจฉริยะที่พร้อมนำนวัตกรรมแห่งอนาคตมาให้ลูกค้าได้สัมผัสก่อนใคร เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เปิดตัว “AiCAM” กล้องวงจรปิดอัจฉริยะที่ทำงานร่วมกับเครือข่ายอัจฉริยะ 5G มอบประสบการณ์ความปลอดภัยขั้นสูงสุดผ่านการเชื่อมต่อที่เสถียรและรวดเร็ว ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมแพ็กเกจ AI ที่ถูกเทรนอย่างแม่นยำโดยทีม AIS NEXT ร่วมกับพันธมิตรระดับโลก JFTECH ผู้นำด้านโซลูชัน IoT จากประเทศจีน  เพื่อออกแบบฟีเจอร์ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมและบริบทการใช้งานของคนไทยโดยเฉพาะ โดยเน้นความปลอดภัยในทุกมิติผ่าน ทั้งการดูแลผู้สูงวัย เด็ก สัตว์เลี้ยง และพื้นที่ภายใน-ภายนอกบ้าน ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่กลุ่มลูกค้าทั่วไป  AIS กล่าวว่า “ในวันนี้ที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้สะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม ‘Smart Home’ ซึ่งช่วยเชื่อมโยงและจัดการชีวิตประจำวันภายในบ้านได้อย่างชาญฉลาด เอไอเอส ในฐานะผู้นำด้านโทรคมนาคมและผู้ให้บริการดิจิทัล จึงได้เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของคนไทยให้ครอบคลุมในทุกมิติของการใช้ชีวิต ด้วยการเปิดตัว AiCAM ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการนำเสนอโซลูชันด้านความปลอดภัยและการใช้ชีวิตอัจฉริยะ โดยมุ่งหวังให้คนไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยได้ก่อนใคร”

AiCAM กล้องวงจรปิดอัจฉริยะที่ควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน พร้อมระบบ AI ที่พัฒนาจากข้อมูลและบริบทของคนไทยโดยเฉพาะ สามารถตรวจจับเหตุการณ์ วิเคราะห์พฤติกรรม และจดจำบุคคล ยานพาหนะ หรือสัตว์เลี้ยงได้อย่างแม่นยำ พร้อมแจ้งเตือนอัตโนมัติและสรุปเหตุการณ์สำคัญในรูปแบบคลิปสั้น ช่วยลดเวลาการตรวจสอบย้อนหลัง โดยมีให้เลือกใช้งาน 5 ฟีเจอร์ ได้แก่:

  • ฟีเจอร์ AI ดูแลภายในบ้าน แจ้งเตือนเมื่อมีคนเข้า/ออกกล้อง พบควันหรือไฟไหม้ จดจำสมาชิกในบ้าน ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เช่น การปกปิดใบหน้า
  • ฟีเจอร์ AI ดูแลภายนอกบ้าน ตรวจจับการเคลื่อนไหวของยานพาหนะ พฤติกรรมน่าสงสัย ควันหรือไฟไหม้ บันทึกสถิติจำนวนครั้งที่พบคน ยานพาหนะ สัตว์เลี้ยง หรือพัสดุถูกจัดส่ง
  • ฟีเจอร์ AI ดูแลผู้สูงวัย ตรวจจับการล้ม หมดสติ หรือหายตัวนานเกินกำหนด วิเคราะห์กิจกรรมประจำวัน เช่น การดื่มน้ำ รับประทานอาหาร หรือดูโทรทัศน์
  • ฟีเจอร์ AI ดูแลเด็ก ตรวจจับบุคคลที่เข้าใกล้หรืออยู่ในพื้นที่เฝ้าระวัง วิเคราะห์กิจกรรม เช่น การทำการบ้าน อ่านหนังสือ หรือใช้คอมพิวเตอร์
  • ฟีเจอร์ AI ดูแลสัตว์เลี้ยง ตรวจจับการเคลื่อนไหวของนก หมา หรือแมว แจ้งเตือนเมื่อหายตัวนานผิดปกติ จดจำพฤติกรรม เช่น การกิน นอน หรือทำลายข้าวของ

เอไอเอส วางจำหน่ายกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ AiCAM มีให้เลือก 3 รุ่น ราคาเริ่มต้น 990 บาท และให้บริการในรูปแบบแพ็กเกจเสริม AiCAM ราคา 99 บาทต่อเดือน พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ ดูเหตุการณ์ย้อนหลังฟรี 3 วัน และสามารถอัปเกรดเป็น 7 วันในราคา 49 บาท หรือ 30 วันในราคา 89 บาท ทั้งนี้ฟีเจอร์ดูแลภายในบ้าน ภายนอกบ้าน และดูแลผู้สูงวัย พร้อมให้บริการแล้วตั้งแต่วันนี้ ส่วนฟีเจอร์ดูแลเด็กและสัตว์เลี้ยง เตรียมให้บริการเร็วๆ นี้ วางจำหน่ายที่ AIS Shop ทุกสาขา, AIS Online Store, และช่องทางออนไลน์อื่นๆ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ais.th/consumers/promotions/service/ai-cam

เปิดโปร ‘สินเชื่อเคหะ Refinance’ จากออมสินดอกเบี้ยคงที่ปีแรก เริ่มต้น 1.55% ต่อปีสมัครได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขาหรือ MyMo

0

เปิดโปรโมชัน ‘สินเชื่อเคหะ Refinance’ จากธนาคารออมสิน จ่ายดอกเบี้ยน้อยลง ก็มีเงินเก็บมากขึ้น!

สมัครขอสินเชื่อ คลิก > https://to.gsb.or.th/sFoLOcหรือที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือผ่าน MyMo

✔️ รับอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีแรก เริ่มต้น 1.55% ต่อปี และ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% ต่อปี (สำหรับวงเงินกู้ตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป)

✔️ วงเงินกู้สูงสุด 110%

✔️ *สนันสนุนค่าประเมินราคาหลักทรัพย์สูงสุด 5,000 บาท (สำหรับวงเงินกู้ตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ให้จ่ายตามจริง แต่ไม่เกินรายละ 5,000 บาท)

✔️ **สนับสนุนค่าจดจำนอง ตามที่จ่ายจริง ไม่เกินรายละ 30,000 บาท (สำหรับวงเงินกู้ตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป และเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีสนับสนุนค่าจดจำนอง)

✔️ ยื่นกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2568 – 15 กรกฎาคม 2568

🗒 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญา ภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2568

• ปัจจุบัน MRR เท่ากับ 6.545% ต่อปี (ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป) ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หรือลดลงได้

• อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) อยู่ระหว่าง 1.550% – 6.295% ต่อปี

• อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) กรณีวงเงินกู้สินเชื่อเคหะตั้งแต่ 1.5 ล้านบาท อยู่ระหว่าง 4.700% – 5.337% ต่อปี คำนวณจากวงเงินกู้ 1.5 ล้านบาท ระยะเวลา 20 ปี แบบผ่อนชำระเท่ากันทุกงวด

⚠️ รู้ก่อนกู้…กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว

⚠️ เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมสนับสนุนจัดงาน “Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025” จัดโดย ศิริราช และ MIT

0

ศิริราช จับมือ Massachusetts Institute of Technology (MIT)  จัดงาน “Hacking Medicine 2025” เพื่อดันนวัตกรรมด้านสุขภาพขึ้นแท่นระดับอาเซียน  พร้อมดึงภาครัฐ-เอกชน ร่วมปั้นสตาร์ทอัพไทยสู่ตลาดโลก ผ่าน Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025  ธีมหลักของงานคือ “AI Today, Transforming Tomorrow’s Healthcare”  โดยมีเมืองไทยประกันชีวิตเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสนับสนุนการจัดงาน

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดย นางสาวนาเดีย สุทธิกุลพานิช รองกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้แทนบริษัทฯ เข้าร่วมแถลงข่าวการจัดงาน “Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025” ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และ Massachusetts Institute of Technology (MIT) ประเทศสหรัฐอเมริกา สถาบันชั้นนำระดับโลกด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม

เมืองไทยประกันชีวิตให้การสนับสนุนงานในครั้งนี้เป็นปีที่ 2  โดยเล็งเห็นถึง โอกาสสำคัญในการเชื่อมโยงนวัตกรรมสุขภาพกับธุรกิจประกันชีวิต ผ่านการสร้างระบบนิเวศทางสุขภาพแบบบูรณาการ (Health Ecosystem) ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถ 

  • พัฒนาแบบประกันและบริการที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและเฉพาะบุคคล (Personalized & Preventive Healthcare)
  • นำเทคโนโลยีและข้อมูลจากนวัตกรรมที่เกิดขึ้นใน Hackathon ไปปรับใช้ในการบริหารความเสี่ยงและยกระดับประสบการณ์ลูกค้า
  • ส่งเสริมบทบาทของบริษัทในฐานะ ผู้นำด้านการประกันสุขภาพยุคใหม่ (Health Partner) ที่ไม่เพียงแต่ให้ความคุ้มครอง แต่ยังร่วมดูแลสุขภาพชีวิตลูกค้าอย่างรอบด้าน

ที่ผ่านมา เมืองไทยประกันชีวิตได้จัดตั้ง Fuchsia VC ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุนในธุรกิจ Startup ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านสุขภาพ เพื่อต่อยอดโอกาสทางธุรกิจและสร้างความร่วมมือใหม่ ๆ ที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบสุขภาพและธุรกิจประกันชีวิตในระยะยาว 

#เมืองไทยประกันชีวิต #MuangThaiLife

ทั้งนี้ งาน “Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025” จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อเปิดเวทีการแข่งขัน Hackathon แบบเข้มข้น ระดมไอเดียค้นหาสุดยอดนวัตกรรมโซลูชั่นอย่างยั่งยืนด้านการรักษาและบริการสุขภาพระดับนานาชาติ พร้อมจัดตั้งความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระยะเวลา 3 ปี เพื่อวางรากฐานให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมด้านสุขภาพของภูมิภาคอาเซียน โดยการแข่งขัน Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025 Hackathon ครั้งที่สอง จะจัดขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

Hackathon ครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมจากหลากหลายสาขาวิชา มารวมทีมและทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญในประเด็น “โรคเรื้อรัง” (Chronic Disease) และ “สุขภาพจิต” (Mental Health) ตลอดช่วงสุดสัปดาห์และต่อเนื่องถึงงานประชุม ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ นักเทคโนโลยี นักออกแบบ นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และนักลงทุน จะร่วมกันพัฒนาแนวทางแก้ไขที่น่าสนใจต่อความท้าทายด้านสุขภาพทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน

AI วันนี้ พลิกโฉมสุขภาพแห่งอนาคต

Hackathon ปีนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากศักยภาพอันมหาศาลของ ปัญญาประดิษฐ์แบบสร้างสรรค์ (Generative AI) โดยธีมหลักของงานคือ “AI Today, Transforming Tomorrow’s Healthcare” ซึ่งมุ่งเน้นการนำ AI ไปใช้ในการปฏิรูปการดูแลผู้ป่วย เพิ่มประสิทธิภาพระบบสุขภาพสาธารณะ และลดความเหลื่อมล้ำในบริการ AI มีศักยภาพในการแก้ปัญหาเชิงระบบในภาคสาธารณสุขได้อย่างลึกซึ้ง งานประชุมจะเปิดเวทีสำหรับการพูดคุยในระดับอาเซียน ทั้งในรูปแบบเสวนาใหญ่ และกิจกรรมแบบมีปฏิสัมพันธ์ ซึ่งนักวิจัยจากศิริราชจะได้ร่วมแลกเปลี่ยนเชิงลึกกับภาคอุตสาหกรรม นักศึกษา ผู้ชนะจาก Hackathon และผู้เข้าอบรม พร้อมทั้งเข้าร่วมเวิร์กช็อปกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางนวัตกรรมสุขภาพอาเซียน

Siriraj x MIT Hacking Medicine ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นกลไกเร่งการเปลี่ยนแปลง โดยผสานความรู้ ความเชี่ยวชาญ และความคิดสร้างสรรค์เข้ากับการลงมือปฏิบัติ ความร่วมมือนี้อาศัยประสบการณ์จริงจาก MIT ในการจัด Hackathon ซึ่งความสำเร็จของงาน Siriraj x MIT Hacking Medicine 2024 เป็นแรงผลักดันให้แผนความร่วมมือขยายต่อไปถึงปี 2027

Hackathon และการประชุมประจำปีนี้ถูกออกแบบให้กลายเป็นเวทีระดับภูมิภาค ที่เชิญชวนผู้ร่วมงานจากทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมสุขภาพรูปแบบใหม่ ผ่านความร่วมมือข้ามสาขาวิชา กิจกรรมนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางนวัตกรรมสุขภาพระหว่างประเทศ โดยอาศัยพลังจากมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีสุขภาพ อุตสาหกรรมยา ระบบบริการสุขภาพ สตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการ และองค์กรภาครัฐ-เอกชน

ศ. นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภูมิทัศน์นวัตกรรมสุขภาพในประเทศไทย เราไม่ได้เพียงแค่จัด Hackathon แต่เรากำลังสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ที่จะเปลี่ยนไอเดียที่มีศักยภาพให้กลายเป็นโซลูชันที่พร้อมออกสู่ตลาด และมีผลกระทบในระดับโลก”

AI Today, Transforming Tomorrow’s Healthcare

งาน Hackathon ปีนี้เน้นศักยภาพของ AI ในการตอบโจทย์ความท้าทายที่ผู้ป่วย บุคลากรการแพทย์ และระบบสุขภาพเผชิญ โดยธีมหลัก “AI Today, Transforming Tomorrow’s Healthcare” จะเชื่อมโยงทั้ง Hackathon และงานประชุมผู้เข้าร่วม Hackathon จะรวมทีมแบบข้ามสาขาวิชา เพื่อแก้ปัญหาจริงจากโลกความเป็นจริง โดยต้องออกแบบโซลูชันที่ขยายผลได้และนำไปใช้ได้จริง โดยปี 2025 นี้มี 2 หัวข้อหลัก ได้แก่ โรคเรื้อรัง และ สุขภาพจิต โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลศิริราชให้คำแนะนำ และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับทีมต่าง ๆ Siriraj x MIT Hacking Medicine ยังสนับสนุนโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green) ของประเทศไทย โดยเฉพาะในด้าน BioHealth และ Digital Health

กิจกรรม 5 วัน ประกอบด้วย:

Hackathon เข้มข้น (31 ต.ค. – 2 พ.ย.): ทีมข้ามสายงานพัฒนาแนวทางจัดการโรคเรื้อรังและสุขภาพจิต

Showcase และ Networking (2 พ.ย.): ทีมชนะนำเสนอผลงานต่อผู้เชี่ยวชาญ พร้อมโอกาสสร้างเครือข่ายในวันที่ 3 พ.ย.

ประชุมนวัตกรรมสุขภาพนานาชาติ (4 พ.ย.): ปาฐกถาและเสวนาจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก นักลงทุน และผู้ปฏิบัติการ พร้อมกิจกรรมแบบมีส่วนร่วม

Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025 เปิดรับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน—มหาวิทยาลัย รัฐบาล องค์กรธุรกิจ และชุมชนผู้ประกอบการ—ที่สนใจการปฏิรูปด้านสุขภาพ โดยผู้เข้าร่วมที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับ “Golden Ticket” เพื่อเข้าร่วม MIT Grand Hack 2026 ที่เมืองบอสตัน พร้อมรับคำปรึกษาและโอกาสในการรับทุนสนับสนุน

ศ. ดร. นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า “Siriraj x MIT Hacking Medicine ไม่ใช่แค่เวทีแข่งขันทางวิชาการ แต่คือจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ด้านธุรกิจสุขภาพ เรากำลังสร้างเวทีระยะยาว ที่จะผลักดันธุรกิจสุขภาพอย่างยั่งยืนในระดับภูมิภาค ทีมที่ได้รับคัดเลือกจะได้รับคำปรึกษา ทุนการศึกษาสำหรับเข้าโครงการ HEALTHI Lab โอกาสในการเชื่อมโยงกับภาคเอกชน นักลงทุน และแหล่งทุนเพื่อขยายผลไปสู่ตลาดจริง”

หลักสูตรผู้บริหารใหม่ เปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ แนวปฏิบัติ และบริการ ขณะที่กิจกรรมแบบเปิดช่วยจุดประกายบทสนทนาในวงกว้าง

หลักสูตรผู้บริหารใหม่ เปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ แนวปฏิบัติ และบริการ ขณะที่กิจกรรมแบบเปิดช่วยจุดประกายบทสนทนาในวงกว้าง การนำผลงานนวัตกรรมสู่ตลาด ยังคงเป็นความท้าทายสำหรับผู้สร้างสรรค์ด้านสุขภาพในภูมิภาคนี้ ผู้เชี่ยวชาญจาก MIT จึงร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศไทย เพื่อเปิดตัว หลักสูตรอบรมผู้บริหารแบบเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Action Learning Executive Course) ซึ่งออกแบบมาเพื่อพัฒนา ผู้ประกอบการ (entrepreneurs) รวมถึง ผู้สร้างนวัตกรรมภายในองค์กร (intrapreneurs) และ ผู้นำด้านนวัตกรรมในภาคธุรกิจ (corporate innovation leaders) ให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ แนวปฏิบัติ และบริการที่ตอบโจทย์ได้จริง โดยหลักสูตรใหม่นี้ใช้ชื่อเบื้องต้นว่า HEALTHI Lab (Healthcare Entrepreneurial Action Learning for Thailand Innovation) และจะเริ่มอบรมรุ่นแรกภายในปีนี้

ผู้เข้าอบรมจะได้รับ:

●         โอกาสเข้าถึงบริบทของโรงพยาบาลจริงเพื่อเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง

●         ทรัพยากรทางเทคนิคเพื่อสร้างต้นแบบ (prototype) และทดลองแนวคิดอย่างต่อเนื่อง

●         กิจกรรมกลุ่มเชิงโครงสร้างเพื่อเร่งกระบวนการเรียนรู้และพัฒนา

●         การให้คำปรึกษา (mentorship) เพื่อเตรียมความพร้อมให้นวัตกรรมสามารถเข้าสู่ตลาด หรือถูกนำไปใช้จริงภายในองค์กร

●         ผู้เรียนจะได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้เข้าร่วม Hackathon และงานประชุม ผ่านกิจกรรมเชิงโต้ตอบในแต่ละช่วงของงาน ซึ่งจะช่วยให้แนวคิดได้รับการปรับแต่งและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงท้ายของหลักสูตรที่มุ่งเน้นการขัดเกลาโครงการให้พร้อมใช้งาน

MIT นำประสบการณ์จากทั้งในมหาวิทยาลัยและจากพื้นที่รอบบอสตัน ซึ่งเป็นศูนย์กลางบ่มเพาะนวัตกรรมสุขภาพระดับโลก มาสร้าง โมเดลการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ ร่วมกับประเทศไทย โดยมีศิริราชเป็นฐานของบริบททางคลินิก ทำหน้าที่เป็น “สนามทดลอง” สำหรับวิศวกร ผู้ประกอบการ นักวิทยาศาสตร์ แพทย์ นักธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีในการทดสอบ ตรวจสอบความถูกต้อง และผลักดันนวัตกรรมให้เกิดผลกระทบทางสังคมที่มีความหมาย

ดร.แอนจาลี ซัสทรี (Anjali Sastry) อาจารย์อาวุโสแห่ง MIT Sloan School of Management ผู้ก่อตั้ง GlobalHealth Lab แห่ง MIT และอดีตรองคณบดีของ MIT Open Learning และอดีตอาจารย์คณะแพทยศาสตร์ Harvard กล่าวว่า “HEALTHI Lab พลิกโฉมนวัตกรรมสุขภาพด้วยการฝังผู้ประกอบการไว้ในบริบทของโรงพยาบาล พร้อมประสานความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ เราใช้แนวทางลงมือทำจริง (hands-on) เพื่อให้มั่นใจว่าโซลูชันสามารถใช้งานได้จริง และยังเป็นแนวทางการเรียนรู้ที่มอบข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าสำหรับผู้นำที่ต้องการขับเคลื่อนนวัตกรรม โดยผู้เข้าร่วมจะประกอบด้วยผู้ประกอบการ ผู้บริหาร และพนักงานที่มีแนวคิดเชิงนวัตกรรมจากภายในองค์กร สิ่งที่ทำให้โครงการนี้โดดเด่นคือ ขอบเขตระดับภูมิภาค ซึ่งเรากำลังสร้างสายส่งนวัตกรรมที่เชื่อมโยงความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมสุขภาพจากบอสตัน เข้ากับระบบนิเวศที่มีชีวิตชีวาและความท้าทายเฉพาะของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

สุดท้าย ทีม HEALTHI Lab ยังมีแผนจัดกิจกรรม เปิดให้ทุกคนเข้าร่วม เช่น Mini-Webinar แบบออนไลน์ ที่นำเสนอข้อมูลเชิงลึกจากผู้นำนวัตกรรมสุขภาพระดับแนวหน้าจากทั่วโลก

ผู้ที่สนใจเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสุดยอดการประชุมสุขภาพ ‘Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025’ หรือเข้าร่วมการแข่งขัน Hackathon และ หลักสูตร HEALTHI Lab สมัครได้แล้วทางเว็บไซต์ www.SirirajxMITHackingMedicine.com

ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับจดทะเบียน 16 DR ใหม่ อ้างอิงหุ้นชั้นนำสหรัฐฯ ออกโดย KKPS และ Yuanta เริ่มซื้อขาย 22 พ.ค.นี้

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับจดทะเบียนหลักทรัพย์ใหม่ 16 DR ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) 10 หลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด 6 หลักทรัพย์ อ้างอิงหุ้นและกองทุนชั้นนำที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สำคัญของสหรัฐฯ เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 22 พฤษภาคม 2568 นี้

DR 10 หลักทรัพย์ใหม่ ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (KKPS) ประกอบด้วย “ADBE06” อ้างอิงหุ้น Adobe Inc. บริษัทซอฟแวร์ชั้นนำให้บริการแก่ผู้สร้างเนื้อหาหรือผลิตภัณฑ์ด้านสื่อดิจิทัล “AMZN06” อ้างอิงหุ้น Amazon.com Inc. “BDX06” อ้างอิงหุ้น Becton Dickinson and Co บริษัทเทคโนโลยีทางการแพทย์ระดับโลก “JPMUS06” อ้างอิงหุ้น JPMorgan Chase & Co บริษัทบริการทางการเงินชั้นนำ “META06” อ้างอิงหุ้น Meta Platform Inc. “MS06” อ้างอิงหุ้น Morgan Stanley บริษัทที่ถือหุ้นธนาคารและให้บริการทางการเงินที่หลากหลายทั่วโลก “MSFT06” อ้างอิงหุ้น Microsoft Corporation “NDAQ06” อ้างอิงหุ้น Nasdaq, Inc. หนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมถึงธุรกิจข้อมูลการลงทุน “NFLX06” อ้างอิงหุ้น Netflix, Inc. และ “VISA06” อ้างอิงหุ้น Visa Inc.

DR 6 หลักทรัพย์ใหม่ ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด (YUANTA) ประกอบด้วย “COSTCO19” อ้างอิงหุ้น Costco Wholesale Corporation บริษัทค้าส่งชั้นนำโดยมีเครือข่ายร้านค้าคลังสินค้าหลายแห่งทั่วโลก “DISNEY19” อ้างอิงหุ้น The Walt Disney Company ทำธุรกิจบันเทิงและสื่อชั้นนำ “GOLDUS19” อ้างอิงกองทุน SPDR Gold Shares (GLD) เป็นทรัสต์ที่ถือครองทองคำขนาดใหญ่ “JPMUS19” อ้างอิงหุ้น JPMorgan Chase & Co “NVDA19” อ้างอิงหุ้น NVIDIA Corporation และ “PFIZER19” อ้างหุ้น Pfizer Inc. บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงด้านการค้นคว้า พัฒนา ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาทั่วโลก

ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt หรือ DR) เป็นตราสารที่ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์เสมือนการถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศ ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินบาท โดย DR ที่อ้างอิงหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในทวีปอเมริกาและยุโรป ซื้อขายได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ตั้งแต่เวลา 10.00-16.30 น. และ 19.00-03.00 น. (ของวันถัดไป)

ผู้สนใจศึกษารายละเอียด 16 DR ใหม่ ได้ที่เว็บไซต์สานักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th หรือบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์คือ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) www.kkpfg.com และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) https://dr.yuanta.co.th หรือศึกษาผลิตภัณฑ์ DR เพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/dr