Home Blog Page 3

ประมงสมุทรปราการ ยืนยันปล่อยปลานักล่าเห็นผลจริง ปลาหมอคางดำแนวโน้มลดลง  

0

สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรปราการยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการจัดการปลาหมอคางดำและช่วยเหลือเกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่ ล่าสุดได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF จัดกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” เพื่อจับปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบางปู ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ที่มีการจัดกิจกรรมในพื้นที่นี้ โดยผลการจับในครั้งนี้ พบว่า ปลาหมอคางดำที่จับได้มีขนาดเล็กลงและความหนาแน่นของจำนวนปลาลดลง สะท้อนถึงความสำเร็จในการปล่อยปลานักล่าที่ช่วยควบคุมประชากรปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
นายสมพร เกื้อสกุล ประมงจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย นายภัทรพงษ์ หมวกสกุล ผู้บัญชาการเรือนจำกลางสมุทรปราการ พันเอกธรณัฐ บำรุงกิจ ผู้อำนวยการสถานพักผ่อนกรมพลาธิการทหารบก  และ ตัวแทนจากซีพีเอฟ ที่ร่วมสนับสนุนอุปกรณ์จับสัตว์น้ำ และกากชา เพื่อใช้จับปลาหมอคางดำในครั้งนี้ โดยสามารถจับปลาหมอคางดำได้รวม 500 กิโลกรัม ซึ่งปลาที่จับได้ทั้งหมดจะมอบให้กรมราชทัณฑ์เพื่อนำไปใช้ทำอาหารให้กับเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง

นอกจากนี้ ประมงจังหวัดได้ดำเนินการสุ่มจับปลากะพงขาว ซึ่งปล่อยลงในแหล่งน้ำเมื่อ 6 เดือนก่อน เพื่อทำหน้าที่เป็นปลานักล่าจัดการกับลูกปลาหมอคางดำ ผลการจับพบว่าท้องปลากะพงขาวมีลูกปลาหมอคางดำ แสดงให้เห็นว่า  ปลากะพง เป็นปลานักล่าที่มีประสิทธิภาพ ช่วยควบคุมประชากรปลาหมอคางดำได้อย่างชัดเจน

นายสมพร เกื้อสกุล ยังได้กล่าวเสริมว่า ประมงจังหวัดสมุทรปราการติดตามสถานการณ์ปลาหมอคางดำในจังหวัดอย่างต่อเนื่อง พบว่าปริมาณและขนาดของปลาหมอคางดำลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะนี้ประมงจังหวัดยังมุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจให้กับเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำแบบธรรมชาติ ปรับเปลี่ยนการดูดน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ
ก่อนเข้าบ่อ เพื่อลดความเสี่ยงสิ่งแปลกปลอมเข้าๅสู่บ่อเลี้ยง ช่วยลดความเสียหายของผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิผล

อย่างไรก็ตาม ประมงจังหวัดยังคงเปิดรับฟังปัญหาและร่วมหาแนวทางในการควบคุมและหยุดการแพร่หลายของปลาหมอคางดำในบ่อเพาะเลี้ยงของเกษตรกรอย่างจริงจัง.

กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งขอบคุณรัฐบาลใส่ใจแก้ปัญหา ยกระดับอุตสาหกรรมกุ้งทะเลไทย

0

ผู้เลี้ยงกุ้งใจชื้น ภาครัฐยกระดับการแก้ปัญหากุ้งทะเล  ป้องลักลอบนำเข้า พร้อมพัฒนาพันธุ์-การเลี้ยง ช่วยยกระดับ-พลิกฟื้นอุตสาหกรรมทั้งระบบอย่างเป็นรูปธรรม

นายเอกพจน์  ยอดพินิจ  นายกสมาคมกุ้งไทย เปิดเผยว่า กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งรู้สึกยินดี และขอขอบคุณรัฐบาลที่เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมกุ้งทะเลไทย  จากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ที่ผ่านมา ที่ได้เห็นชอบในหลักการจัดทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหากุ้งทะเลของไทย  โดยมอบหมายให้กรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำโครงการเสนอขอใช้งบประมาณ  ต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านๆมา ปัญหาหลักของภาคการเลี้ยงกุ้งของไทย คือ ปัญหาโรคกุ้งที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างเด็ดขาด  ขณะที่ราคาก็ตกต่ำ

เอกพจน์  ยอดพินิจ  นายกสมาคมกุ้งไทย

นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวว่า เกษตรกรได้ปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมต้นทุนทั้งต้นทุนทางตรงและต้นทุนแฝง ที่เกิดจากความเสียหายจากโรค  รวมทั้งเพิ่มผลผลิต แต่ก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้  มติครม.ล่าสุดนี้ ที่มีมาตรการป้องกันการลักลอบนำเข้ากุ้งทะเลจากต่างประเทศ ที่ยกระดับทั้งมาตรการควบคุมการนำเข้าที่เข้มงวดยิ่งขึ้น   และมาตรการแก้ไขปัญหากุ้งทะเลทั้งระบบ  นับเป็นการจุดประกายความหวังให้กับผู้เลี้ยงในการฟื้นอุตสาหกรรมกุ้งของไทย  หวังว่าจะมีการแก้ปัญหาโรค เพิ่มผลผลิต และพัฒนาทั้งพันธุ์และการเลี้ยง เพื่อช่วยสร้างความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมกุ้งทั้งระบบอย่างเป็นรูปธรรม

นายเอกพจน์ กล่าวด้วยความหวังว่า การดำเนินโครงการแก้ปัญหากุ้งทะเลของไทยของภาครัฐ จะช่วยสร้างความเข้มแข็ง และพลิกฟื้นให้อุตสาหกรรมกุ้ง  ให้กลับคืนเป็นอุตสาหกรรมอันดับหนึ่ง เหมือนเช่นที่เคยสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศไทยเป็นมูลค่าถึงปีละมากกว่าแสนล้านบาท ด้วยผลผลิตสูงสุดเกือบ 6 แสนตัน เมื่อปี 2552  เพื่อกลับเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ สถานการณ์กุ้งทะเลของไทยในปี 2567 ด้านการผลิต มีผลผลิตกุ้งทะเลจากการเพาะเลี้ยง มีปริมาณรวมทั้งสิ้น 270,000 ตัน แบ่งเป็น เป็นกุ้งขาวแวนนาไม 255,000 ตัน (ร้อยละ 94) และกุ้งกุลาดำ 15,000 ตัน (ร้อยละ 6)  ในส่วนการส่งออก ประเทศไทยส่งออกสินค้ากุ้งทะเลและผลิตภัณฑ์ (ไม่รวมล็อบสเตอร์) รวมทั้งสิ้น 130,070.70 ตัน มูลค่า 42,562.62 ล้านบาท แบ่งเป็น กุ้งขาวแวนนาไม 89,797.71 ตัน (ร้อยละ 69.04) กุ้งอื่น ๆ 29,132.76 ตัน (ร้อยละ 22.40) และกุ้งกุลาดำ 11,140.23 ตัน (ร้อยละ 8.56) โดย 5 ประเทศแรกที่ไทยมีการส่งออก ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ และไต้หวัน ตามลำดับ.

AIS PLAY ผนึก กกท. ยิงสด ‘ฉลามเยาวชลเกมส์’ กีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 40 ชวนส่งแรงใจเชียร์นักกีฬาไทยเต็มอิ่มทุกช่องทาง

0

AIS PLAY ร่วมกับ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ขับเคลื่อนวงการกีฬาไทย เตรียมถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 40 “ฉลามเยาวชลเกมส์” ในฐานะ Official Broadcaster ผู้ถ่ายทอดสดอย่างเป็นทางการ ให้คนไทยได้สัมผัสประสบการณ์รับชมคอนเทนต์กีฬาตัวจริงจากการกีฬาแห่งประเทศไทยในรูปแบบ FULL HD ชมสดมากที่สุดที่เดียวเท่านั้น จัดเต็มไฮไลท์และรีรัน พร้อมทีมนักพากย์มืออาชีพ ครอบคลุมการแข่งขัน 52 ชนิดกีฬา โดยสามารถรับชมฟรีทุกเครือข่ายผ่านช่อง T Sports 7HD ยิงสด 3 ช่อง บน AIS PLAY ทุกแพลตฟอร์ม ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม – 3 เมษายน 2568  

ดร. ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) กล่าวว่า “การถ่ายทอดสด ‘ฉลามเยาวชลเกมส์’ ในครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับการรับชมกีฬาของคนไทย ให้สามารถเข้าถึงคอนเทนต์กีฬาได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนเยาวชนไทยในการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ซึ่งมีนักกีฬาเยาวชนจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วมมากกว่า 15,000 คน และแข่งขันใน 52 ชนิดกีฬา การทำงานร่วมกันในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงการรับชมกีฬาเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักกีฬาเยาวชนที่กำลังฝึกฝนและตั้งใจที่จะเป็นนักกีฬาในระดับสูงต่อไป จึงขอเชิญชวนแฟนกีฬาทั่วประเทศ ร่วมติดตามและส่งกำลังใจเชียร์นักกีฬาไทยในการแข่งขันครั้งนี้”

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าส่วนงาน AIS PLAY กล่าวว่า “AIS รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 40 ‘ฉลามเยาวชลเกมส์’ ให้คนไทยได้รับชมการแข่งขัน ผ่าน AIS PLAY อย่างเต็มอิ่ม เราขอขอบคุณ กกท. ที่ให้ความไว้วางใจและร่วมมือกันในการมอบประสบการณ์การรับชมกีฬาที่ดีที่สุดให้กับแฟนกีฬาไทย นอกจากนี้ เพื่อย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นศูนย์กลางถ่ายทอดสดคอนเทนต์กีฬาคุณภาพสำหรับคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง AIS ยังได้เตรียมถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาอาวุโสแห่งชาติ ครั้งที่ 7 ‘ข้าวหลามเกมส์’ ที่กำลังจะมาถึงอีกด้วย”

ร่วมส่งแรงเชียร์เยาวชนไทยในการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 40 “ฉลามเยาวชลเกมส์” รับชมสดฟรีทุกเครือข่าย พร้อมไฮไลท์และรีรัน ผ่านช่อง T Sports 7HD จัดเต็ม 3 ช่อง บน AIS PLAY ทุกแพลตฟอร์ม ทั้งแอปพลิเคชัน AIS PLAY, กล่อง AIS PLAYBOX, Website https://aisplay.ais.co.th/portal, Smart TV, Apple และ 3BB GIGATV  

ปลาหมอคางดำ 4n อีกหนึ่ง “อาวุธ” สำคัญของกรมประมง พลิกวิกฤต เพิ่มโอกาสสร้างรายได้ให้เกษตรกร- ฟื้นฟูระบบนิเวศ

0

สถานการณ์ปลาหมอคางดำพบความชุกชุมลดลง จำนวนจังหวัดที่พบการแพร่ระบาดเหลือเพียง 16 จังหวัดจากเดิม 19 จังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดพัทลุงเป็นพื้นที่ไม่พบปลาชนิดนี้ ด้วยพัทลุงเป็นพื้นที่มีความสำคัญทำหน้าที่เป็นพื้นที่กันชนให้กับทะเลสาบสงขลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ชุมชน และเกษตรกร ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ โดยได้ดำเนินการตาม 7 มาตรการสำคัญอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันนี้ กรมประมงสามารถจับปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำได้ถึง 35,000 ตัน ส่งผลให้หลายพื้นที่มีการลดลงของประชากรปลาหมอคางดำ และไม่หยุดหาแนวทางใหม่ๆ ในการจัดการปลาชนิดนี้ เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ นำความหลากหลายทางชีวภาพกลับมาให้กับแหล่งน้ำอย่างยั่งยืน รวมถึง พลิกวิกฤต สร้างโอกาสสร้างเงินให้เกษตรกรและชุมชน

ขณะเดียวกัน กรมประมงยังเร่งดำเนินการ “โครงการวิจัยการเหนี่ยวนำชุดโครโมโซม 4n ในปลาหมอคางดำ” เพื่อให้ปลา 4n ลงไปผสมพันธุ์กับปลาหมอคางดำ 2n ออกลูกเป็นปลา 3n ที่เป็นหมัน ซึ่งช่วยควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาทดลองที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำเพชรบุรี เพื่อยืนยันว่า ปลา 4n ได้ผล สามารถผสมพันธุ์กับปลา 2n แล้วเป็นปลา 3n เพราะปลา 3n เป็นปลาที่มีความผิดปกติทางโครโมโซม หรือเป็นหมัน หากผลการศึกษาเป็นไปตามที่กรมประมงตั้งเป้าหมายที่จะขยายจำนวนปลาหมอคางดำ 4n ให้มากขึ้นเมื่อการทดลองสำเร็จ เพื่อเป็น “อาวุธสำคัญ” ที่กรมประมงใช้ควบคุมประชากรปลาหมอคางดำและสร้างความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศของไทย

นอกจาก ปลา 4n การจัดการปลาหมอคางดำที่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากปลาหมอคางดำเป็นปลาที่ทานได้ และจากการบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐต่างๆ อาทิ กองทัพบก กองทัพเรือ และกรมราชทัณฑ์ รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนและเกษตรกร ซึ่งได้ดัดแปลงวิธีการจัดการที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ ส่งผลให้สามารถควบคุมปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับวิธีการที่น่าสนใจ ได้แก่ การส่งเสริมการบริโภคปลา ด้วยคนไทยมีความคิดสร้างสรรค์ นำปลาหมอคางดำมารังสรรค์เมนูใหม่ๆ ที่หลากหลาย ทั้งอาหารคาว ขนมทานเล่น ของหวาน และเครื่องดื่ม เช่น ข้าวเกรียบ น้ำยาขนมจีน ไส้อั่ว น้ำพริก ปลาร้า ปลาส้ม เมื่อปีที่ผ่านมา มีการประกวดค้นหาสุดยอดเมนูปลาหมอคางดำที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้ทุกคนเห็นว่าปลาหมอคางดำสามารถรับประทานได้ ทำได้หลายเมนู และบางสินค้ากลายเป็นเมนูเอกลักษณ์ของจังหวัดได้อีกด้วย

อย่างกรมประมง ร่วมมือ กรมราชทัณฑ์ ริเริ่มโครงการแปรรูปปลาหมอคางดำเป็นสินค้าอาหาร เริ่มจากการนำปลาหมอคางดำที่จับได้ใช้เป็นวัตถุดิบปรุงอาหารเลี้ยงเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง นำปลาหมอคางดำมาสับเป็นเหยื่อเลี้ยงปู เลี้ยงปลา ตลอดจน ร่วมมือกับเกษตรกรผู้คิดค้นสูตรน้ำปลาจากปลาหมอคางดำ ตรา ชาววัง มาช่วยถ่ายทอดทักษะในการผลิตน้ำปลาหมอคางดำให้กับผู้ต้องขัง ซึ่งคาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์น้ำปลาแบรนด์ต่างๆ ออกสู่ตลาด อย่าง “หับเผยแม่กลอง” ของเรือนจำสมุทรสงคราม “หับเผยเขากลิ้ง” ของเรือนจำเพชรบุรี และ “หับเผยสมุทรสาคร” เพราะน้ำปลาเป็นเครื่องปรุงที่สำคัญในแต่ละครัวเรือน

อีกหนึ่งวิธีที่สามารถขจัดปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำได้เร็ว และสามารถจับปลาได้ครั้งละมากๆ คือ การจับขึ้นมาทำปลาป่น โดยร่วมมือกับภาคเอกชนและโรงงานปลาป่น รับซื้อปลาหมอคางดำมาผลิตเป็นปลาป่นใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ วิธีการหมักเป็นน้ำหมักชีวภาพให้เกษตรกร ซึ่งช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร โดยเกษตรกรยังสามารถใช้ปลาหมอคางดำเป็นเหยื่อในการเลี้ยงปูและปลากะพง ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านอาหาร นอกจากพืชแล้ว โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี ยังนำปลาหมอคางดำหมักเป็นจุลินทรีย์หมักปลาหมอคางดำนำไปใช้คลุกผสมอาหารให้กุ้งกิน มีคุณสมบัติเป็นโพรไบโอติกช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับสัตว์น้ำ ช่วยลดต้นทุนของเกษตรกรได้อีกด้วย.

เมืองไทยประกันชีวิตปลื้ม คว้า 3 รางวัล จาก Future Trends Awards 2025 ตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจและนายจ้างที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) คว้ารางวัลเกียรติยศจากงาน Future Trends Awards 2025 ภายใต้แนวคิด Knowing the Future, Be the Winners of Tomorrow เวทีสำคัญของการมอบรางวัลเพื่อยกย่องบุคคลและองค์กรที่โดดเด่นในการนำเทรนด์และนวัตกรรมมาใช้อย่างสร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ สร้างคุณค่าต่อการพัฒนาของทุกภาคส่วน พร้อมเป็นต้นแบบและเป็นแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนการเติบโตของวันนี้และอนาคตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านคุณภาพชีวิต สังคม เศรษฐกิจ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม โดยสามารถคว้ารางวัลสำคัญถึง 3 ประเภท ได้แก่

1. รางวัล Leader of Business มอบให้แก่นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เป็นเครื่องยืนยันถึงบทบาทของผู้นำที่สามารถขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ โดยอาศัยกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาปรับใช้ในทุกกระบวนการของการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างโอกาสใหม่ให้กับบริษัทฯ นอกจากนี้ รางวัลนี้ยังสะท้อนถึงแนวทางการบริหารที่คำนึงถึง ความคุ้มค่าและประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า ควบคู่ไปกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมในวงกว้าง ผ่านโครงการต่างที่ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืน

2. รางวัล Leader of Leader มอบให้แก่ นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ถือเป็นรางวัลที่แสดงถึง วิสัยทัศน์และภาวะผู้นำ ที่ได้รับการยอมรับในระดับสูงสุด ตอกย้ำถึงศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ รางวัลนี้สะท้อนถึงบทบาทในการ สร้างความร่วมมือระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partnerships) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพขององค์กรให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในระดับสากล นอกจากนี้ ยังแสดงถึงความสามารถในการ เป็นแรงบันดาลใจ ให้กับบุคลากรในทุกระดับขององค์กร กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาศักยภาพและส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความเป็นผู้นำนวัตกรรม ตลอดจนการทำงานร่วมกันเพื่อความสำเร็จของธุรกิจ โดยรางวัลนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงบทบาทในฐานะผู้นำที่ไม่เพียงแต่สร้างความสำเร็จให้กับบริษัทฯ เพียงอย่างเดียวแต่ยังช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันชีวิตให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน

3. รางวัล The Most Attractive Employer (Student 18-22 Years Old) เป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จของเมืองไทยประกันชีวิตในการดึงดูดและสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษาที่กำลังเตรียมตัวก้าวสู่ตลาดแรงงาน สะท้อนให้เห็นถึง วัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง ทันสมัย และส่งเสริมการเรียนรู้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ เป็นที่ต้องการของคนรุ่นใหม่ บริษัทฯ มุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อการพัฒนา เช่น การทำงานข้ามสายงาน (Cross-Functional Team) การหมุนเวียนเพื่อเรียนรู้งานอื่น ๆ (Internal Rotation) และ กิจกรรมเสริมสร้างทักษะเพื่อให้พนักงานได้มีโอกาสเรียนรู้อย่างมืออาชีพและเติบโตไปพร้อมกับองค์กร โดยมุ่งเน้นความสมดุลในชีวิตและการทำงาน รวมถึงการทำงานแบบยืดหยุ่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการโอกาสทางอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดี

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการ “Young MTL Internship” ซึ่งเป็นโครงการนักศึกษาฝึกงานที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้สัมผัสเเละรับประสบการณ์จากการฝึกงานที่ได้คิดและลงมือทำจริง เพื่อเตรียมความพร้อม สำหรับการทำงาน รวมถึงยังมีโอกาสร่วมงานกับบริษัทฯ ในอนาคตอีกด้วย

สำหรับการได้รับรางวัลทั้ง 3 ประเภทนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่บุคลากรและผู้นำรุ่นใหม่ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี เพื่อส่งเสริมศักยภาพของพนักงานและสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับทุกภาคส่วนต่อไป บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลผ่านการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งและเปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมให้สูงขึ้นอีกทั้งยังขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของทุกฝ่ายอย่างสมดุลและยั่งยืน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ผนึกเฟทโก้ และ กสศ. ชวนภาคธุรกิจบริจาคคอมพิวเตอร์ให้รร.ที่ขาดแคลน ในโอกาส 50 ปี ตลท.

0

ในโอกาสครบรอบการดำเนินงาน 50 ปี ในปี 2568 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดำเนิน “โครงการ 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนทำความดีเพื่อสังคม” ผ่าน 3 โครงการเพื่อประโยชน์แก่สังคม โดยหนึ่งใน 3 โครงการดังกล่าว คือ “โครงการคอมพิวเตอร์เพื่อเด็กไทย ใส่ใจเรื่องการเงิน” ซึ่งโครงการนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ดำเนินการร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยมุ่งหวังที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาพร้อมปลูกฝังความรู้ด้านการเงินแก่เยาวชนไทย

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการ 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนทำความดีเพื่อสังคม เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่เพียงมุ่งมั่นพัฒนาตลาดทุน แต่ยังดูแลรับผิดชอบการพัฒนาเพื่อสังคม ส่งเสริมให้มีรากฐานและคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านการดำเนิน “โครงการ คอมพิวเตอร์เพื่อเด็กไทย ใส่ใจเรื่องการเงิน” โดยมุ่งหวังที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เปิดโอกาสให้นักเรียนเข้าถึงสื่อดิจิทัลและแหล่งความรู้ออนไลน์เพื่อการพัฒนาตนเอง ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นตัวกลางเชื่อมโยงภาคธุรกิจให้มาร่วมกันบริจาคคอมพิวเตอร์ โดยมีเป้าหมาย 5,000 เครื่อง ภายใน 5 ปี อีกทั้ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังจะสนับสนุนข้อมูลความรู้  ด้านการเงินด้วยการติดตั้งลงในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่จะส่งมอบให้แก่โรงเรียนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้การออมการลงทุนปลูกฝังความรู้ด้านการเงินให้แก่นักเรียน ครู และผู้ปกครอง

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย รองประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนองค์กรภาคตลาดทุนมีความยินดีที่จะร่วมสนับสนุน “โครงการคอมพิวเตอร์เพื่อเด็กไทย ใส่ใจเรื่องการเงิน” เนื่องด้วยประเทศไทย จะสามารถก้าวหน้าและพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ สิ่งสำคัญคือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีความรู้ ความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ และเข้าใจในโลกยุคใหม่ ดังนั้น เยาวชนไทยจึงจำเป็นต้องมีความรู้และทักษะด้านดิจิทัลอย่างเพียงพอ เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเองให้เป็นบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และมีทักษะที่หลากหลาย เพื่อเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาตลาดทุนไทย รวมไปถึงเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน โครงการนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพให้กับภาคตลาดทุนและประเทศชาติในอนาคตต่อไป

ดร. ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า การขาดแคลนทรัพยากรในโรงเรียนขนาดเล็ก พื้นที่ห่างไกล ทุรกันดารส่งผลต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน การสำรวจขององค์การ OECD พบว่าโรงเรียนที่มีปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์ สื่อการเรียนการสอน มีแนวโน้มที่นักเรียนจะทำคะแนน PISA ได้น้อย กสศ.ยังสำรวจในช่วงโควิด-19 พบว่า เด็กเยาวชนยากจนในชนบท ใช้อุปกรณ์โทรศัพท์มือถือของพ่อแม่  ไม่มีแท็บเล็ต คอมพิวเตอร์  ช่องว่างนี้เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป ห่างกันถึง  10 เท่า  โอกาสเดียวที่เด็กเหล่านี้จะได้ใช้ทรัพยากรเพื่อเรียนรู้ พัฒนาทักษะต่างๆ คือ ที่โรงเรียน โดยการทำงานของ กสศ. มุ่งระดมความร่วมมือทุกภาคส่วนสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา  โดยมีระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เข้าใจความขาดแคลนของโรงเรียน เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของครู ผู้บริหารโรงเรียน เครือข่ายชมรมนักจัดการศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร  และสพฐ. สามารถตรวจสอบได้ และยังประมวลเป็นแผนที่ชี้เป้าให้กับภาคส่วนต่างๆ ในระยะแรกจะสนับสนุนโรงเรียนที่มีความต้องการเร่งด่วนราว 200 แห่ง โครงการนี้จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณอย่างเสมอภาคจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำให้แก่โรงเรียนเล็ก ห่างไกล ทุรกันดาร  ซึ่งเป็นแนวทางเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนที่ กสศ. ขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง

ภาคตลาดทุนและภาคธุรกิจรวมถึงผู้ที่สนใจจะร่วม “โครงการคอมพิวเตอร์เพื่อเด็กไทย ใส่ใจเรื่องการเงิน” สามารถสนับสนุนได้ผ่าน 3 รูปแบบ คือ 1) บริจาคคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานแล้วและยังมีคุณภาพดี 2) บริจาคคอมพิวเตอร์ใหม่ (มือ 1) หรือ 3) สนับสนุนองค์ความรู้ตามความเชี่ยวชาญหรือตามศักยภาพของธุรกิจ (In kind Support) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กสศ. Call Center โทร. 0 2079 5475 ติดตามความคืบหน้าโครงการได้ที่ www.eef.or.th/donate/ และ https://pinhelppoint.com/

เมืองไทยสไมล์คลับ จัดกิจกรรม“Exclusive One Day Trip” ฟินมู เต็มอิ่ม กับ อ.คฑา ชินบัญชร

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิตจำกัด (มหาชน) โดยเมืองไทยสไมล์คลับ ร่วมกับ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ชวนสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ  จัดกิจกรรม “Exclusive One Day Trip”  รับความปังตลอดปี ไปกับ อาจารย์คฑา  ชินบัญชร  ฟินมู เต็มอิ่ม กับการสักการะเทพเจ้ามังกรเขียวบ่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ หมุนกังหันเปลี่ยนดวงให้ประสบความสำเร็จ พร้อมแก้ชงเสริมสิริมงคล ณ วัดทิพยวารีวิหาร ปิดท้ายด้วยรับประทานอาหารจีน มื้อพิเศษแบบ Fine-Casual Dining ที่จัดเต็มเมนูมงคลจากร้านอาหาร K BY Vicky Cheng รังสรรค์โดยเชฟมิชลินสตาร์จากฮ่องกง บรรยากาศเต็มไปด้วยความประทับใจ อิ่มบุญอิ่มท้องพร้อมรับสิ่งดี ๆ ตลอดทั้งปี  โดยมี  นางพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และนางสาวนิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ  บริษัท เมืองไทยประกันชีวิตจำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากเดอะมอลล์กรุ๊ป ให้การต้อนรับ

สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ยังสามารถติดตามกิจกรรมรวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่เมืองไทยสไมล์คลับคัดสรร มาพิเศษแบบครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ และตอบโจทย์ความหลากหลายทุกความต้องการเพิ่มเติม ได้ที่ MTL Click Application สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือเว็บไซต์ www.muangthai.co.th ตลอดจนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1766 กด 4 เมืองไทยประกันชีวิต หรือศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ

AIS คว้ารางวัลองค์กรต้นแบบส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ จากกระทรวง พม.

0

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS คว้ารางวัลหน่วยงานองค์กรเอกชนดีเด่น ด้านการคุ้มครองสิทธิและการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ เนื่องในวันสตรีสากล ประจำปี 2568 โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ตอกย้ำวิสัยทัศน์การเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญและเคารพต่อสิทธิมนุษยชนของทั้งพนักงานและผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท ด้วยการปลูกฝังแนวคิด DEI ทั้งความหลากหลาย (Diversity) ความเท่าเทียม (Equity) และการมีส่วนร่วมของทุกคน (Inclusion) จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรที่มีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในทุกมิติ

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS กล่าวว่า “AIS เชื่อมั่นว่าการเริ่มต้นของความเท่าเทียม คือ การเคารพความแตกต่างที่อยู่ในกรอบการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเคารพซึ่งกันและกัน การมองเห็นถึงคุณค่าในความหลากหลาย เราจึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและเปิดโอกาสที่เท่าเทียมสำหรับพนักงานทุกคน ครอบคลุมตั้งแต่นโยบายด้านสิทธิมนุษยชนที่ส่งเสริมความเสมอภาค ด้วยการเคารพความหลากหลายของบุคลากร ไม่ว่าจะเป็น เชื้อชาติ อายุ เพศสภาพ ตลอดจนกลุ่มผู้พิการ ฯลฯ ทุกคนต่างมีความแตกต่างที่ทำให้องค์กรของเราผลิบานอย่างเข้มแข็ง และ สวยงาม นอกจากนี้เราสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมที่ส่งเสริมและให้เกียรติต่อความหลากหลายภายในองค์กร ตลอดจนการมอบโอกาสในการพัฒนาทักษะและเติบโตให้พนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียมโดยไม่แบ่งแยก ตลอดจนการปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กร “Fit Fun Fair” โดยเฉพาะ “Fair” ที่เน้นย้ำถึงความเท่าเทียมทางโอกาสที่ส่งมอบให้พนักงานทุกคน  นอกจากนี้ การออกแบบสวัสดิการและการสร้างสภาพแวดล้อมยังคำนึงความหลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานแต่ละคน แต่ละกลุ่มให้มากที่สุด เพื่อให้พนักงานใช้ชีวิตและทำงานในแบบที่เป็นวิถีของตนเองอย่างดีที่สุด เราเลิกการแปะป้ายกลุ่มแบ่งแยก เพราะที่นี่ไม่ว่าคุณคือใคร ศักดิ์ศรีเราเท่ากัน”

สำหรับรางวัลหน่วยงานองค์กรเอกชนดีเด่น ด้านการคุ้มครองสิทธิและการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ จัดขึ้นโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อประกาศเกียรติคุณให้แก่หน่วยงานหรือองค์กรที่มีความโดดเด่นด้านการตระหนักและเคารพในสิทธิมนุษยชนของพนักงาน และความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการองค์กรเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคในด้านต่างๆ

              “ขอขอบคุณกระทรวง พม. ที่เล็งเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและมอบรางวัลอันน่าภาคภูมิใจนี้ให้แก่เรา โดย AIS ยังคงเดินหน้าโอบรับทุกความแตกต่างและหลากหลาย พร้อมขับเคลื่อนพลังแห่งความเท่าเทียมภายในองค์กร อันจะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยต่อไป” 

เรียนรู้ความสำเร็จแก้ปัญหาปลาหมอคางดำจากทั่วโลก

0

บทความโดย สมสมัย หาญเมืองบน นักวิชาการอิสระ

ข่าวการชุมนุมและการนำปลาหมอคางดำ 2 รถกระบะ ไปเทที่ทำเนียบรัฐบาลล่าสุด ทำให้เกิดคำถามว่า ผู้ประท้วงเหล่านั้นได้ปลาหมอคางดำจำนวนมากจากที่ไหน? และทำให้เรานึกถึงเรื่องราวในวรรณคดีไทย เช่น เรื่องสังข์ทอง ที่พระสังข์สามารถร่ายคาถาเรียกปลามากองอยู่ได้ทันที การแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในไทยอาจจะง่ายกว่าที่คิด หากชุมชนใน 16 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดมีส่วนร่วมในการจับปลาด้วยกันทุกวัน โดยรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องทั้งด้านการจับปลาและการนำปลาไปใช้ประโยชน์ตามแนวทางที่กำหนด ก็จะช่วยลดการแพร่ระบาดได้อย่างมีนัยสำคัญในอนาคตอันใกล้

วันนี้ ประเทศไทยควรเรียนรู้จากหลายประเทศทั่วโลกที่เคยเผชิญกับปัญหานี้ และประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ (Sarotherodon melanotheron) ดังนี้ :

  1. สหรัฐอเมริกา ในฟลอริดา พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวปลาเหล่านี้คิดเป็นประมาณ 90% ของสัตว์น้ำทั้งหมดในแหล่งน้ำธรรมชาติของรัฐ ขณะที่ในฮาวายมีการนำปลาหมอคางดำเข้ามาในปี พ.ศ. 2505 เพื่อใช้เป็นปลาเหยื่อสำหรับปลาทูน่า แต่ปลาหมอคางดำกลับหลุดรอดและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว

วิธีการแก้ปัญหาของสหรัฐฯ คือการเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่กระจายโดยการใช้มาตรการทางชีวภาพ เช่น การจัดการแหล่งน้ำ การใช้ไฟฟ้าช็อตปลา นอกจากนี้ยังมีการนำปลาหมอคางดำไปทำลายหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น ปลาป่น อาหารสัตว์ หรืออาหารมนุษย์ โดยบางกลุ่มชาวพื้นเมืองก็ใช้ปลานี้ในการทำอาหาร เช่น ย่าง ทอด หรือทำซุปปลา

  1. ฟิลิปปินส์ พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในปี 2558 จากการหลุดรอดปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยเฉพาะในอ่าวมะนิลา ซึ่งส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำประจำถิ่นและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ รัฐบาลฟิลิปปินส์มีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด รวมถึงการนำปลาหมอคางดำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น อาหารกระป๋อง และขายในตลาดสดหรือร้านอาหารพื้นเมือง
  2. สเปนและโปรตุเกส ทั้งสองประเทศพบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ หน่วยงานในทั้งสองประเทศได้ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจับปลาและตกปลาเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของสายพันธุ์รุกราน และยังนำปลาหมอคางดำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของอาหารทะเล
  3. อินโดนีเซีย มีการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ เกิดจากการนำเข้าหรือการลักลอบนำเข้าเพื่อการประมงและการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ไม่รุนแรงเหมือนประเทศอื่นๆ กระทรวงกิจการทางทะเลและประมงของอินโดนีเซียได้ดำเนินการป้องกันและตรวจสอบอย่างเข้มงวด 
  4. ประเทศไทย เริ่มพบปลาหมอคางดำครั้งแรกในปี พ.ศ. 2555 และการแพร่ระบาดขยายไป 16 จังหวัดในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ รัฐบาลไทยมีมาตรการหลายวิธีในการแก้ปัญหานี้ เช่น การจับปลาออกจากแหล่งน้ำ การปล่อยปลาผู้ล่า การพัฒนาเมนูอาหารจากปลาหมอคางดำ และการใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์

การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในหลายประเทศทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาของไทยเพียงประเทศเดียว ซึ่งต้องการการจัดการที่เป็นระบบ การจับปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำและนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า จะเป็นวิธีที่สามารถควบคุมประชากรปลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญ คือ ต้องให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากปลาหมอคางดำให้คุ้มค่าที่สุด ไม่ใช่แค่พยายามกำจัดมันอย่างเดียว โดยเฉพาะการใช้ปลาหมอคางดำในการผลิตอาหาร เช่น น้ำปลาร้า ปลาผง น้ำปลา ทอดมัน ลูกชิ้น หรือทำเป็นอาหารว่างต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างแรงจูงใจให้มีการจับปลาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

วันนี้สังคมไทยต้องพิจารณาการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน มากกว่ามองปลาหมอคางดำเป็น “ปลารุกราน” (Invasive Species) ซึ่งความจริง คือ ปลาชนิดนี้เป็นปลาตระกูลเดียวกับปลานิล เนื้อสามารถบริโภคได้มีโปรตีนเหมือนปลาทั่วไป และไขมันต่ำ ควรเปลี่ยนมุมมองไปให้ความสำคัญจากการใช้ประโยชน์จากปลามากขึ้น เพื่อความยั่งยืนในการจัดการและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม

ความสำเร็จของต่างประเทศในการแก้ปัญหานี้ มีให้เห็นหลายวิธี ทั้งการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อาหารสัตว์ เมนูอาหาร รวมถึงการควบคุมประชากรปลาให้อยู่ในวงจำกัด ประเทศไทยก็สามารถนำแนวทางเหล่านี้มาใช้ได้จริง และไม่เพียงแค่แก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างโอกาสการพัฒนาทางเศรษฐกิจจากการแปรรูปปลาและการสร้างงาน สร้างรายได้อีกด้วย

การแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพปลาหมอคางดำ ไม่ใช่มุ่งแต่จะโหนกระแสเพื่อประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องมาจากการจัดการที่เป็นระบบ และการนำประสบการณ์ของประเทศอื่นมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน.

15 ปี มูลนิธิคนดีฯ ร่วมกับ ซีพี ออลล์ มอบรางวัลคนดีประเทศไทย เชิดชูประชาชนต้นแบบ-สื่อส่งเสริม SME

0

มูลนิธิคนดี (ประเทศไทย) สมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เดินหน้าจัดงานมอบรางวัล “คนดีประเทศไทย” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 15 เพื่อเชิดชูประชาชนต้นแบบ และประกาศเกียรติคุณสื่อมวลชน สาขา: สื่อส่งเสริม SME  ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริม SME ไทย ด้วยการสื่อสารข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) จุดประกายโอกาสทางธุรกิจ เสริมสร้างอาชีพ และกระจายรายได้ สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน 

นายศิโรจน์  มิ่งขวัญ ประธานมูลนิธิคนดี (ประเทศไทย) และนายกสมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า 15 ปี ที่มูลนิธิคนดีฯ ตอกย้ำบทบาทสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนสังคมไทยให้เต็มไปด้วยความเอื้ออาทรและจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม ผ่านการยกย่องเชิดชูเกียรติประชาชน สื่อมวลชน ผู้นำความคิด ผู้ทำความดีในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีส่วนช่วยเหลือสังคมโดยไม่หวังผลตอบแทน สะท้อนภาพสังคมที่ยังคงเปี่ยมไปด้วยพลังของคนดีซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงและยั่งยืนในสังคมไทย โดยประชาชนต้นแบบคือกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจให้สังคมไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ชุมชนและประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจและสังคม การมีคนดีที่ยึดมั่นในจริยธรรม มีจิตอาสา พร้อมเสียสละเพื่อส่วนรวม ถือเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยหล่อเลี้ยงสังคมให้น่าอยู่และเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

พร้อมกันนี้ มูลนิธิคนดีฯ ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมบทบาทของสื่อมวลชนในการเผยแพร่เรื่องราวเพื่อประโยชน์ต่อสังคมในมิติต่างๆ โดยในปีนี้ได้ขยายรางวัลเชิดชูสื่อมวลชนสาขา: สื่อส่งเสริม SME ที่เป็นพลังสำคัญในยุคที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME ยังคงเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่สร้างความมั่นคงและเสถียรภาพให้กับประเทศในระดับฐานราก สื่อมวลชนที่มุ่งมั่นรายงานข่าวสารส่งเสริม SME อย่างสร้างสรรค์ จึงเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยสนับสนุนและต่อยอดโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งมีบทบาทอย่างยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยทั่วประเทศ

“การส่งเสริมและยกย่องประชาชน สื่อมวลชน ผู้นำความคิดต้นแบบตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นนโยบายสำคัญที่มูลนิธิคนดีฯ และซีพี ออลล์ เซเว่น อีเลฟเว่น มุ่งมั่นดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งหวังให้เป็นแบบอย่างของการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสังคม ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส การส่งเสริมอาชีพและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายคนดีในประเทศไทย ต้องขอขอบคุณซีพี ออลล์  เซเว่นฯ ที่เป็นพันธมิตรมาอย่างต่อเนื่อง” นายศิโรจน์กล่าว 

ทั้งนี้ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ยังคงเดินหน้าให้การสนับสนุนการจัดงานมอบ “รางวัลคนดีประเทศไทย” อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นภายใต้นโยบาย “DNA ความดี 24 ชั่วโมง” ที่ฝังอยู่ในทุกบทบาทและภารกิจขององค์กร โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมและปลูกฝังแนวคิดการทำความดีในทุกมิติ ซีพี ออลล์ เชื่อมั่นว่าการร่วมสร้างสังคมแห่งความดีเริ่มต้นได้จากทุกคน และทุกเวลา โดยการยกย่องและเชิดชูเกียรติบุคคลผู้เสียสละทำความดีในครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ เสริมสร้างขวัญกำลังใจ และขยายพลังแห่งการทำความดีให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันให้บุคคลเหล่านี้กลายเป็นต้นแบบของสังคม

โดยรางวัลคนดีประเทศไทย ประจำปี 2568 สาขา: ประชาชน ช่วยเหลือสังคม 4 รางวัล ได้แก่

  1. ครูกนกวรรณ ศรีผง   พลเมืองดีช่วยเด็กนักเรียนจากเหตุเพลิงไหม้รถทัศนศึกษา
  2. ครูพิมพ์ทอง สมบัติ พลเมืองดีช่วยเด็กนักเรียนจากเหตุเพลิงไหม้รถทัศนศึกษา
  3. ครูสริญญา หอมเกษร พลเมืองดีช่วยเด็กนักเรียนจากเหตุเพลิงไหม้รถทัศนศึกษา
  4. ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารี เขียวสลับ พลเมืองดีช่วยเหลือผู้สูงอายุ หมดสติล้มลงกับพื้น บริเวณสถานีรถไฟใต้ดิน โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

รางวัลคนดีประเทศไทย ประจำปี 2568 สาขา: สื่อส่งเสริม SME 24 รางวัลได้แก่

  1. อายุน้อยร้อยล้าน
  2. SHARK TANK THAILAND
  3. ชี้ช่องรวยแฟรนไชส์
  4. คอลัมน์ SME ยุทธวิธีเศรษฐีใหม่ เดลินิวส์
  5. เทคโนโลยีชาวบ้าน
  6. คอลัมน์ SME ต้องขยาย ไทยรัฐออนไลน์
  7. SMEs ผู้จัดการออนไลน์
  8. คอลัมน์ ช่องทางสร้างอาชีพ มติชนออนไลน์
  9. คอลัมน์ เอสเอ็มอี สำนักข่าวเดอะไทยเพรส
  10. เส้นทางเศรษฐีออนไลน์
  11. คอลัมน์ เอสเอ็มอี AC NEWS
  12. Section SPOTLIGHT AmarinTV HD 34
  13. Brand Buffet
  14. Brand Inside
  15. คอลัมน์ Startup & SMEs BrandAge Online
  16. คอลัมน์ MARKETING SME MARKETEER
  17. คอลัมน์ Marketing for SME MARKETING OOPS!
  18. คอลัมน์ Smart Sme POSTTODAY
  19. SMART SME
  20. SME THAILAND
  21. SME STARTUP
  22. SME BIZNEWS
  23. คอลัมน์ SME THE BANGKOK INSIGHT
  24. อนุวัต จัดให้

มูลนิธิคนดี (ประเทศไทย) สมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย และ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ยืนยันเจตนารมณ์ในการร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนการทำความดีในทุกมิติ โดยมุ่งหวังให้ “รางวัลคนดีประเทศไทย” เป็นเวทีแห่งการยกย่องเชิดชูเกียรติประชาชนและสื่อมวลชนที่มีบทบาทสำคัญต่อสังคมไทย ไม่เพียงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ แต่ยังเป็นการจุดประกายให้ทุกคนร่วมกันสร้างสรรค์สังคมที่เต็มไปด้วยน้ำใจและคุณธรรม