Home Blog Page 184

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตือนนักลงทุนเข้าซื้อขายหุ้น DELTA อย่างระมัดระวัง

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เผยแพร่ข่าว เตือนผู้ลงทุนให้พิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบและระมัดระวัง ก่อนเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ DELTA มีเนื้อหาว่า จากการติดตามสภาพการซื้อขายในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่าหลักทรัพย์ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA) มีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในวันนี้ 2 มีนาคม 2566 ราคามาปิดที่ระดับสูงสุด (All Time New High) ที่ 1,000 บาท (ระหว่างวันราคาเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ 1,016 บาท) มูลค่าซื้อขาย 4,438 ล้านบาท ด้วยค่า P/E ที่ 81.29 เท่า และ P/BV ที่ 22.81 เท่า ตามลำดับ

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอให้ผู้ลงทุนพิจารณาข้อมูลปัจจัยพื้นฐาน ความเสี่ยง และสารสนเทศที่ DELTAเปิดเผยผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อขาย เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงได้ หากราคาผันผวน

‘คาราวานซีพีเอฟ’ จัดทัพสินค้าคุณภาพ ลดค่าครองชีพให้ชาวนครสวรรค์

0

จังหวัดนครสวรรค์ ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ จัดมหกรรม “คาราวานซีพีเอฟ ลดค่าครองชีพแก่ประชาชน” ยกขบวนสินค้าจากบริษัทในกลุ่มซีพีและซีพีเอฟ อาทิ ห้าดาว (FIVE STAR) Hi-Pork เชสเตอร์ มากกว่า 200 รายการ ทั้งอาหารสด อาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมรับประทาน อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารกินเล่น ขนม และทรู มาจำหน่ายในราคาพิเศษ เพื่อให้ชาวนครสวรรค์และจังหวัดใกล้เคียงได้เข้าถึงอาหารคุณภาพดี สด สะอาด ปลอดภัย ตั้งแต่วันนี้ – 4 มีนาคม 2566 เวลา 10.00 – 20.00 น. โดยมี นายจิตตเกษมณ์ นิโรจน์ธนรัฐ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครนครสวรรค์ เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย นายอังคาร เหลืองนิมิตรมาศ รองผู้อำนวยการด้านการตลาด และ นายสมพงษ์ หวังสุดดี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ซีพีเอฟ ผู้แทนบริษัทฯ ร่วมด้วย

บรรยากาศคึกคัก ประชาชนมาช้อป ชิม อาหารคุณภาพตลอดทั้งวัน ร่วมสนุกกิจกรรมนาทีทอง ที่นำสินค้าต่างๆ มาจำหน่ายในราคาพิเศษ อาทิ ไส้กรอกชิกเก้นแฟรงค์ 3 แพ็ค ราคา 100 บาท เกี๊ยวซอสญี่ปุ่น 5 แพ็ก ราคา 100 บาท เกี๊ยวกุ้งจักรพรรดิ 3 แพ็ค ราคา 100 บาท สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า 2 แพ็ก ราคา 100 บาท และผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช แบรนด์ MEAT ZERO ซื้อ 1 แถม 1 เพียง 80 บาท นอกจากนี้ ยังร่วมกับพันธมิตร อย่าง ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) นำร้านค้าวิสาหกิจชุมชนมากกว่า 24 ร้านค้ามาออกบูธ พร้อมทั้งจัดฝึกอบรมอาชีพฟรี อาทิ พับริบบิ้น พวงกุญแจจากเศษผ้า ถูกใจผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก

ขณะที่ การแข่งขัน “ซีพีเอฟมวยมันส์สนั่นโลก” ผลปรากฏว่า ‘อนุชัย ซีพีเอฟ’ แชมป์โลกรุ่นเฟเธอร์เวท (126 ปอนด์) สหพันธ์มวยเอเชีย ABF ป้องกันแชมป์ไว้ได้ เอาชนะคู่ปรับ ‘โจสิยาห์ ลูมันยา’ จากประเทศอูกันดา แบบเอกฉันท์ 3-0 เสียง ณ เวทีมวยชั่วคราว ลานหน้าเทศบาลนครนครสวรรค์

สำหรับ “คาราวานซีพีเอฟ ลดค่าครองชีพเพื่อประชาชน” ครั้งต่อไป จัดขึ้นที่ จ.ชลบุรี เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆ และสินค้าคุณภาพมากมายให้เลือกในราคาพิเศษอย่างจุใจ

เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัล “Most Sustainable Insurance Service Provider” จาก The Global Economics ประเทศอังกฤษ

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย ดร.สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับรางวัล “Most Sustainable Insurance Service Provider” จากงานประกาศรางวัล The Global Economics Awards 2022 โดยนิตยสาร The Global Economics ประเทศอังกฤษ

รางวัลดังกล่าว มอบให้แก่องค์กรในฐานะเป็นบริษัทประกันชีวิตของไทย ที่มีความแข็งแกร่งทั้งทางด้านการเงิน การบริการและภาพลักษณ์ ภายใต้หลักธรรมาภิบาล และระบบการบริหารความเสี่ยง ระดับมาตรฐานสากล มุ่งเน้นตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการที่เหมาะสม ในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน และเติมเต็มชีวิตของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ตลอดช่วงชีวิต ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในระยะยาว พร้อมทั้งมุ่งมั่นที่จะส่งมอบความสุขแก่ลูกค้า พนักงานพันธมิตรทางธุรกิจ ผู้ถือหุ้น และสังคม

ซีพี ออลล์-เซเว่น ตั้งเป้าพัฒนาโรงเรียน CONNEXT ED ทะลุ 569 แห่ง ตามแผนโรดแมปปี 66

0
ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น เผยความสำเร็จโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED ปีการศึกษา 2565 สนับสนุนงบประมาณ-องค์ความรู้-อุปกรณ์การศึกษา-วัสดุอุปกรณ์-School Partner ยกระดับโรงเรียนสู่เส้นทางการสร้าง Life Long Learning สร้างอาชีพ และรายได้ยั่งยืนเพิ่มเติมแล้วอีก 111 แห่ง สร้างรากฐานการศึกษาและคุณภาพชีวิตที่ดีแก่คนในประเทศ กลุ่ม “โรงเรียนต้นแบบ” ยกทัพโชว์ผลงานเด่น โครงการต้นกล้าไร้ถัง ยกระดับสู่โครงการ “ลดขยะ เพิ่มประโยชน์” สร้างภาคีโรงเรียนชุมชน 593 แห่ง ลดขยะเทียบเท่าปลูกต้นไม้ 11,000 ต้น มั่นใจปี 2566 เดินหน้าตามโรดแมป 5 เฟส พัฒนาโรงเรียนสะสมทะลุ 569 แห่ง ครอบคลุมนักเรียนกว่า 140,000 คน พร้อมสร้าง “School Enterprise” วิสาหกิจโรงเรียนที่ปลูกฝังอาชีพ สร้างคลัสเตอร์รายได้ให้ชุมชน
ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีพี ออลล์

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า ในฐานะหนึ่งในพันธมิตรผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) เพื่อร่วมขับเคลื่อนแผนงานสร้างอนาคตการศึกษาไทย ซีพี ออลล์ ยังคงเดินหน้าสนับสนุนทั้งงบประมาณ องค์ความรู้ อุปกรณ์การศึกษา วัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนบุคลากรในเครือที่ผ่านการพัฒนาทักษะและมีจิตสาธารณะ เข้าไปเป็นผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner) ร่วมลงพื้นที่เป็นคู่คิดพัฒนาโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง โดยในเฟสที่ 4 หรือปีการศึกษา 2564-2565 นั้นสามารถพัฒนาโรงเรียนเพิ่มเติมได้อีก 111 แห่งตามเป้าหมาย ส่งผลให้พัฒนาโรงเรียนสะสมในช่วง 4 เฟสแรกแล้วจำนวน 495 โรงเรียน คิดเป็นจำนวนนักเรียนที่เข้าร่วมสะสม 126,436 คนทั่วประเทศ

“เราเดินหน้าตามยุทธศาสตร์หลักทั้ง 5 ด้านของ CONNEXT ED ได้แก่ การสร้างความโปร่งใส การพัฒนาโรงเรียนให้สอดคล้องกับกลไกความต้องการตลาด การพัฒนาผู้อำนวยการและคุณครูศักยภาพสูง การพัฒนาหลักสูตรให้ส่งเสริมให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21 สร้างรากฐานการศึกษาและการมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมีการส่งเสริมโครงการด้านวิชาชีพ ด้านเกษตรกรรม ด้านวิชาการ ด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านสิ่งแวดล้อม ให้สอดคล้องกับความต้องการและจุดแข็งของแต่ละโรงเรียน นำพาแต่ละโรงเรียนสู่เส้นทางการสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต หรือ Life Long Learning การสร้างอาชีพ และการสร้างรายได้ยั่งยืน” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

ที่ผ่านมา บริษัทได้แบ่งกลุ่มการพัฒนาโรงเรียน CONNEXT ED ออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ 1.โรงเรียนเรียนแรกเข้าร่วมทำแผนพัฒนา (Newcomer School) 2.โรงเรียนที่ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Best Practice School) 3.โรงเรียนต้นแบบ (School Model) และ 4.โรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) โดย ณ สิ้นปีการศึกษา 2565 มีโรงเรียนที่ก้าวมาถึงระดับโรงเรียนต้นแบบแล้ว 16 แห่ง โรงเรียนร่วมพัฒนาอีก 9 แห่ง ทั้งหมดสามารถเดินหน้าตามกรอบความยั่งยืน 3 มิติ ทั้งการเป็นโรงเรียนที่พึ่งพาตนเองได้ การบูรณาการความรู้สู่หลักสูตรสถานศึกษาหรือหลักสูตรท้องถิ่น และการพัฒนาสู่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน

สำหรับหนึ่งในโครงการที่โดดเด่นและขยายผลได้อย่างต่อเนื่อง คือโครงการต้นกล้าไร้ถัง ของโรงเรียนอนุบาลทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่บูรณาการการจัดการขยะเข้าสู่หลักสูตรการเรียนการสอนและให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดการ ด้วยการคัดแยกวัสดุออกจากขยะจนสามารถหมุนเวียนรายได้กลับสู่โรงเรียน ปัจจุบัน โรงเรียนดังกล่าวได้กลายเป็นโรงเรียนร่วมพัฒนา ช่วยขยายผลการบูรณาการหลักสูตรสู่โรงเรียนและชุมชนต่างๆ 593 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมนักเรียนกว่า 82,900 คน พร้อมกับพันธมิตรภาคีภาคเอกชนอีกจำนวนมาก จนยกระดับสู่โครงการ “ลดขยะ เพิ่มประโยชน์” ช่วยลดปริมาณขยะไปได้ 108 ตัน ลดก๊าซเรือนกระจกได้ 161 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ (tCO2e) หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 11,000 ต้น

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโรงเรียนที่ดำเนินโครงการได้อย่างโดดเด่น อาทิ โครงการศูนย์ช่างเชื่อมไฟฟ้า สร้างรายได้ สร้างอาชีพ ของโรงเรียนวัดแหลมโตนด อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ที่บูรณาการทักษะการเรียนรู้สู่การสร้างวิชาชีพ โครงการ “หูหิ้วถ้วยกาแฟ เส้นกกสายใยรักษ์โลก” ของ โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ที่พลิกโฉมภูมิปัญญาท้องถิ่น สู่หลักสูตรการเรียนรู้และผลิตภัณฑ์รักษ์โลก สร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน ห้องปฏิบัติการปัญญาประดิษฐ์ (AI Lab) โรงเรียนบ้านหนองแสงโคกน้อย จ.ขอนแก่น ที่สามารถเรียนรู้เทคโนโลยีวิทยาการสมัยใหม่ทั้งหุ่นยนต์หรือ Robotics , AI (Artificial Intelligence Lab) และ IoT (Internet of Things) อย่างง่าย นำมาสู่การสร้างสรรค์ผลงาน อาทิ เครื่องจ่ายเจลล้างมืออัตโนมัติ ราวตากผ้าอัตโนมัติ ถังขยะอัจฉริยะ

ตรีเทพ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา

ด้านนายตรีเทพ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ประธานคณะทำงานโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED บมจ.ซีพี ออลล์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีการศึกษา 2566 ถือเป็นการดำเนินการเฟสที่ 5 และนับเป็นเฟสสุดท้ายของการดำเนินโครงการ CONNEXT ED ระยะแรก บริษัทจะยังคงเดินหน้าตามโรดแมปการพัฒนาโรงเรียนตลอดทั้ง 5 เฟสให้ได้รวม 569 แห่ง ครอบคลุมจำนวนห้องเรียนกว่า 4,600 ห้องเรียน หรือคิดเป็นจำนวนนักเรียนมากกว่า 140,000 คน พร้อมทั้งขยายผลโครงการของโรงเรียนร่วมพัฒนาสู่ภาคีเครือข่ายโรงเรียนและชุมชนใหม่ๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการต้นกล้าไร้ถัง ที่พัฒนาสู่โครงการลดขยะ เพิ่มประโยชน์นั้น จะขยายผลสู่โรงเรียนถึง 720 แห่งทั่วประเทศ

ขณะเดียวกัน จะเตรียมเปิดเส้นทางการพัฒนาโรงเรียน CONNEXT ED จากเดิม 4 ระดับ เพิ่มเติมอีก 1 ระดับ คือ วิสาหกิจโรงเรียน (School Enterprise) โดยพัฒนาจากกลุ่มโรงเรียนต้นแบบ ร่วมเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้ให้ชุมชนสู่สื่อการเรียนรู้อย่างยั่งยืน โดยมีคณะการจัดการการศึกษาเชิงสร้างสรรค์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) เข้ามาช่วยแนะแนวทางบูรณาการหลักสูตรให้นักเรียนได้เรียนรู้ ได้เล่น ได้ฝึกอาชีพ เชื่อมโยงโรงเรียนไปยังชุมชน กระจายไปเป็นคลัสเตอร์ที่ชุมชนต่างๆ ได้ช่วยกันผลิตสินค้า ส่งมาจำหน่ายผ่านโรงเรียน สร้างรายได้ให้แก่ทั้งโรงเรียนและชุมชนอย่างยั่งยืน ตั้งเป้าปีการศึกษา 2566 พัฒนาให้เกิดวิสาหกิจโรงเรียนได้ทั้งสิ้น 12 แห่ง

สำหรับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในพันธมิตรผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์ อีดี (CONNEXT ED) และเป็น 1 ใน 44 องค์กรเอกชนที่เล็งเห็นความสำคัญและตอบรับการมีส่วนร่วมทางการศึกษา โดยขับเคลื่อนโครงการตามปณิธานองค์กร “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสต่อกัน” วางเป้าดูแลโรงเรียนในโครงการ CONNEXT ED 5 เฟส จำนวนกว่า 569 แห่งทั่วประเทศ ร่วมสนับสนุนโรงเรียนให้สามารถดำเนินโครงการด้านต่างๆ ทั้งโครงการที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ โครงการพัฒนาคุณภาพคน โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โครงการส่งเสริมอาชีพ โครงการด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้นำรุ่นใหม่ หรือ School Partner ซึ่งเป็นอาสาสมัครจากในองค์กรร่วมลงพื้นที่และคอยให้คำแนะนำในการพัฒนาโครงการของโรงเรียนต่างๆ อย่างใกล้ชิด

สัตวแพทย์ ย้ำไก่ไทยปลอดภัย ป้องกันไข้หวัดนกด้วยมาตรฐานระดับโลก “คอมพาร์ทเม้นท์”

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ย้ำ เนื้อไก่ ไข่ไก่ และผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกของไทย ปลอดภัยจากไข้หวัดนก ด้วยระบบ “คอมพาร์ทเม้นท์” (Compartment) มาตรฐานโลกที่สามารถป้องกันโรคในอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมแนะนำเกษตรกรเฝ้าระวังและคุมเข้มความปลอดภัยในฟาร์มสัตว์ปีกอย่างเคร่งครัด ชี้ผู้บริโภคต้องเลือกซื้อจากผู้ผลิตและแหล่งจำหน่ายมาตรฐาน เน้นปรุงสุกก่อนรับประทานเพื่อความปลอดภัย

สพ.ญ.ดร.นิอร บุญประเสริฐ

สพ.ญ.ดร.นิอร บุญประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการ หน่วยงานสัตวแพทย์บริการด้านสัตว์ปีก ซีพีเอฟ กล่าวว่า ช่วงนี้ในหลายภูมิภาคของโลกกำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดนก รวมถึงกัมพูชาประเทศเพื่อนบ้านของไทย อาจทำให้เกิดความกังวลถึงการแพร่กระจายของโรคนี้ สำหรับอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ของไทย มีระบบป้องกันไข้หวัดนกในฟาร์มสัตว์ปีกที่เข้มแข็ง ด้วยการนำระบบ “คอมพาร์ทเม้นท์” (Compartment) การเลี้ยงสัตว์ปีกระบบปิดมาตรฐานสากลตามหลักการขององค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (World Organization for Animal Health – WOAH) มาใช้ตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน จึงทำให้ไทยปลอดภัยจากโรคไข้หวัดนก 100% มานานกว่า 16 ปี

ซีพีเอฟ ใช้ระบบคอมพาร์ทเมนท์ ตามมาตรฐานของ WOAH เพื่อป้องกันโรคเชิงรุกขั้นสูงสุด ด้วยหลักการประเมินความเสี่ยง เพื่อกำหนดมาตรการปฏิบัติที่ตรงจุดของความเสี่ยงการเกิดโรค โดยเชื่อมโยงทั้งห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ โรงงานอาหารสัตว์ สู่ฟาร์มและโรงงานแปรรูป นอกจากนี้บริษัทมีการเลี้ยงสัตว์ในโรงเรือนระบบปิดที่มีการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม ถูกต้องตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ที่ดี “ไก่ได้อยู่ดีมีความสุข” ช่วยเพิ่มความปลอดภัยทางอาหารตอบโจทย์สุขภาพหนึ่งเดียว (One Health)

“องค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ระบุว่า เชื้อไวรัสไข้หวัดนกไม่ได้ติดต่อสู่มนุษย์ได้ง่าย และความเสี่ยงจากเชื้อไวรัสฯ ต่อประชากรอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขของไทย ได้แนะนำประชาชนและผู้ประกอบการว่าไม่ควรตระหนกและไม่ควรประมาท ต้องเฝ้าระวังอย่างเคร่งครัด จึงอยากให้ประชาชนมั่นใจในระบบการป้องกันโรคระบาดของไทยมีความแข็งแกร่งตามมาตรฐานสากล” สพ.ญ.ดร.นิอร กล่าวย้ำ

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังส่งเสริมเกษตรกรในโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงไก่ (Contract Farming) ยกระดับการการป้องกันโรคในฟาร์มด้วยระบบ “คอมพาร์ทเม้นท์” ควบคู่กับมาตรการติดตามสุขภาพฝูงสัตว์ปีกและเฝ้าระวังโรคอย่างเข้มงวด เน้นจัดการกับปัจจัยเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับเกษตรกรไทยควรมีมาตรการเฝ้าระวังและดูแลฝูงสัตว์ปีกที่เข้มข้นยิ่งขึ้น (Disease Surveillance System) โดยใช้มาตรการป้องกันโรคตั้งแต่ต้นทาง มีระบบการเลี้ยง การจัดการที่ถูกต้อง ด้วยระบบการป้องกันโรคที่ดี ตามคำแนะนำของกรมปศุสัตว์และสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด

กรณีที่เกษตรกรผู้เลี้ยงพบสัตว์ปีกตายกะทันหัน หรือมีอาการผิดปกติ ต้องแจ้งสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มและปศุสัตว์ในพื้นที่โดยเร็ว หากพบการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกผิดกฎหมาย โดยเฉพาะพื้นที่เขตชายเดน หรือพบสัตว์ปีกตามธรรมชาติแสดงอาการป่วยให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตรวจวินิจฉัยทันที

สพ.ญ.ดร.นิอร แนะนำว่า สำหรับประชาชนทั่วไป สามารถป้องกันตนเองจากเชื้อไวรัสไข้หวัดนกได้โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ไม่ทราบประวัติ รวมถึงมูลและสารคัดหลั่ง หรือสัตว์ปีกที่มีอาการหรือสงสัยว่าป่วย หากเกิดการสัมผัสให้ใช้สบู่ล้างมือให้สะอาดทันที ส่วนผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศในพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดของโรค ควรสังเกตสุขภาพตนเอง หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ให้ไปพบแพทย์โดยเร็ว รวมถึงสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค

“การรับประทานเนื้อไก่ เนื้อเป็ด และสัตว์ปีก ผู้บริโภคควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตที่มีระบบการผลิตผ่านการรับรองมาตรฐาน และแหล่งจำหน่ายที่เชื่อถือได้ รวมถึงสังเกตสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” และซื้อผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่มีฉลากแจ้งข้อมูลสำคัญที่ชัดเจน อาทิ วันผลิต วันหมดอายุ และที่สำคัญที่สุดก่อนการรับประทานต้องปรุงสุกที่อุณหภูมิ 74 องศาเซลเซียส ขึ้นไป ใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาที จึงสามารถฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดนกได้” สพ.ญ.ดร.นิอร กล่าว

รง.สัตว์น้ำ ซีพีเอฟ แกลง คว้ารางวัลฮาลาลคุณภาพดี

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ คว้ารางวัลผลงานด้านการจัดการคุณภาพด้านฮาลาลในระดับดี จากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ตอกย้ำ ความมุ่งมั่นในการผลิตอาหารคุณภาพ ปลอดภัย มาตรฐานระดับสากล

พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย มอบรางวัลสถานประกอบการที่มีผลงานด้านการจัดการคุณภาพด้านฮาลาล ในระดับดี ให้แก่ โรงงานอาหารแปรรูปและโรงงานอาหารสำเร็จรูปสัตว์น้ำ อ.แกลง จ.ระยอง ของซีพีเอฟ จากเวที Halal Rayong Awards ปี 2023 ซึ่งพิจารณาจากกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่ ที่ไม่มีข้อบกพร่อง โดยมี นางสาวดารุณี สุวัฒนากุลกิจ ผู้ชำนาญระบบมาตรฐานและชุมชนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ เป็นตัวแทนบริษัทฯ รับมอบ

สำหรับผลิตภัณฑ์แบรนด์ CP ที่ผ่านคุณภาพด้านฮาลาล รวมทั้งสิ้น 135 รายการ อาทิ เกี๊ยวกุ้ง บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง กุ้งกรอบ ทอดมันกุ้ง นักเก็ตกุ้งชีส เป็นต้น ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์กุ้งของซีพีเอฟ ผ่านกระบวนการเลี้ยงที่ดีด้วยระบบ CPF Combine Model ภายใต้แนวทาง 3 สะอาด ประกอบด้วย พื้นบ่อสะอาด น้ำสะอาด และ ลูกกุ้งสะอาด ช่วยให้กุ้งอยู่สบาย กินอาหารได้ดี มีอัตราการเติบโตที่ดี รวมถึงใช้โปรไบโอติก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยง ทำให้กุ้งสุขภาพดี เนื้อแน่น ลดความเสี่ยงการเกิดโรค ไม่มีสารตกค้าง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รับรองความสดใหม่ส่งตรงจากฟาร์ม มาสู่การผลิตอาหารแปรรูปที่มีคุณภาพและให้คุณค่าทางโภชนาการที่ดีแก่ผู้บริโภค

ซีพีเอฟ ตอกย้ำในการมุ่งมั่นและพัฒนา เพื่อยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามมาตรฐานฮาลาลสากล (Halal Standardization) ที่สามารถตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวดทุกขั้นตอน และตรวจสอบย้อนกลับได้ตั้งแต่ต้นทาง

SET ปลื้ม! S&P Global จัดอันดับ 12 บริษัทไทยติด Gold Class ยืนหนึ่งผู้นำด้านความยั่งยืนของโลก

0
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยบริษัทไทยติดอันดับด้านความยั่งยืนใน The Sustainability Yearbook 2023 จากการประกาศผลของ S&P Global จำนวน 37 บริษัท โดยในจำนวนนี้มีบริษัทไทยได้รับการจัดอันดับในระดับ Gold Class 12 บริษัท มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก สะท้อนการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนและตอกย้ำความเชื่อมั่นในสายตาผู้ลงทุนทั่วโลก

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนธุรกิจให้บูรณาการแนวทางความยั่งยืนในการดำเนินงาน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจและประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนไทยเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยจำนวนมากอยู่ในดัชนีความยั่งยืนระดับสากลทั้ง MSCI, FTSE และ S&P Global อย่างต่อเนื่อง สะท้อนความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนตลาดทุนไทยสู่ความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ในการพัฒนาตลาดทุนเพื่อทุกภาคส่วน “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone”

“ล่าสุด การประกาศ The Sustainability Yearbook 2023 โดย S&P Global บริษัทไทยได้รับการจัดอันดับในระดับ Gold Class จำนวน 12 บริษัทได้แก่ AWC, BJC, BTS, HMPRO, PTTGC, SCC, SCGP, TOP, TRUEE, TU, VGI และ ThaiBev ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก สะท้อนถึงความโดดเด่นของธุรกิจไทยเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันจากทั่วโลก ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอชื่นชมความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรให้ยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนไทย ทั้งนี้ S&P Global เป็นผู้จัดทำดัชนีที่ผู้ลงทุนทั่วโลกใช้ในการวิเคราะห์และพิจารณาตัดสินใจลงทุน การได้รับจัดอันดับจะสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ทำให้บริษัทอยู่ในสายตาของผู้ลงทุนทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมี 5 บริษัทจดทะเบียนไทยที่เป็น Industry Mover คือมีพัฒนาการโดดเด่น มีคะแนนการประเมินความยั่งยืนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งได้แก่ AWC, CRC, SCGP, VGI และ WHA ด้วย” นายภากรกล่าว

ทั้งนี้ S&P Global ได้ประเมินความยั่งยืนบริษัททั่วโลก 7,822 บริษัท โดยมี 710 บริษัทที่ได้รับการประกาศใน The Sustainability Yearbook 2023 ในจำนวนนี้เป็นบริษัทไทย 37 บริษัทซึ่งมากเป็นอันดับ 5 ของโลก การประกาศยังแบ่งการจัดอันดับเป็น 4 ระดับ ได้แก่ Gold, Silver, Bronze และ Member โดยระดับ Gold Class มีบริษัทไทย 12 บริษัท ลำดับที่สองคือสหรัฐอเมริกา 11 บริษัท ลำดับสามคือไต้หวันและอิตาลี 7 บริษัท

ในปีนี้ S&P Global ได้เพิ่มเกณฑ์การคัดกรองด้านความยั่งยืนที่เข้มข้นขึ้นสอดคล้องกับแนวทางการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ โดยจะไม่ประกาศรายชื่อบริษัทในอุตสาหกรรมยาสูบ (Tobacco) และอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงที่มาจากถ่านหิน (Coal & Consumable Fuel) ใน The Sustainability Yearbook 2023 ทั้งนี้ รายชื่อบริษัทดังกล่าวจะถูกนำไปคัดเลือกเพื่อเข้าสู่ดัชนีด้านความยั่งยืนต่างๆ ของ S&P Global ทั้ง Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) และ S&P ESG Index Family ต่อไป

“ทรีนีตี้” แนะใช้กลยุทธ์ตั้งรับ หวั่นปัจจัยในประเทศมากกว่าต่างประเทศ

0
“ทรีนีตี้” มองปัจจัยในประเทศมีน้ำหนักต่อการลงทุนหุ้นเดือนมี.ค.มากกว่าปัจจัยต่างประเทศทั้งการปรับลดประมาณการกำไรและประมาณการเศรษฐกิจ ความชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง มติของกนง.ในช่วงปลายเดือน ให้กรอบแนวรับแรก 1580-1600 จุด ส่วนแนวต้านแรกมอง 1660 จุด แนะลงทุนกลุ่มธนาคารอิงการขึ้นดอกเบี้ย     หุ้นท่องเที่ยวและหุ้น Domestic ที่เห็นการปรับประมาณการขึ้น ส่วนหุ้นเชื่อมโยงการเลือกตั้ง แนะหาจังหวะเก็งกำไรหากมีการยุบสภาในเดือนนี้  

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนเดือนมีนาคม 2566 ว่า  ปัจจัยภายนอกจะไม่ได้น่ากังวลเท่ากับปัจจัยภายใน ซึ่งถ้าหากมีแนวโน้มเชิงลบต่อ มีโอกาสกดดันหรือจำกัด Upside ของตลาดหุ้นไทยได้ ประเมินกรอบแนวรับแรกที่น่าสนใจของ SET Index ได้แก่บริเวณ 1580-1600 จุด ซึ่งเป็นระดับเทียบเท่าดัชนีกรณีฐาน อิง Forward PE 13.6x และประมาณการ EPS ปี 2567 ที่ 116 บาท ส่วนแนวรับสำคัญที่ไม่น่าหลุดมองที่ระดับ 1560 จุด ในทางกลับกัน ประเมินแนวต้านแรกของดัชนีที่ระดับ 1660 จุดและในกรณีดีสุดที่ไปถึงได้มองที่ 1690 จุด ซึ่งเป็นระดับที่เราแนะนำให้มีการขายทำกำไรมาก่อนหน้านี้ ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำถือครองหุ้นในส่วนที่เหลือครึ่งหนึ่งของพอร์ตต่อ โดยรอตั้งรับหาจังหวะการเข้าซื้อใหม่ที่บริเวณแนวรับที่ให้ไว้

สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตามในเดือนนี้ ได้แก่ รายงานตัวเลข PMI ภาคการผลิตของประเทศสำคัญประจำเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งล่าสุดจีนประกาศออกมาแล้วสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งมีที่มาจากการเปิดประเทศในช่วงต้นปี ถัดมา รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯในวันที่ 10 มีนาคม ซึ่งถ้าหากออกมาเพิ่มขึ้นในระดับใกล้เคียงเดิม 5 แสนตำแหน่งอีก มองจะยิ่งทำให้นักลงทุนเพิ่มความกังวลต่อแผนการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงถัดไปได้ แต่เรามองว่ายังมีโอกาสน้อย สำหรับการประชุม FOMC ในวันที่ 21-22 มี.ค. ประเมินหาก Fed ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย 0.25% และปรับขึ้นค่ากลาง Terminal rate ปีนี้เป็น 5.25-5.50% จะไม่ได้เป็นสิ่งที่ Surprise ตลาดแต่อย่างใด ในทางกลับกัน หาก Fed ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยในคราวเดียว 0.50% หรือตัดสินใจเพิ่มค่ากลาง Terminal rate ขึ้นเป็น 5.50-5.75% หรือมากกว่า จะถือเป็น Negative surprise ที่สำคัญ 

นายณัฐชาตกล่าวว่า การอ่อนค่าของเงินบาท ดูเหมือนจะยังไม่สามารถหาจุดเปลี่ยนที่สำคัญในรอบนี้ได้ หลังล่าสุดธปท.รายงานตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนมกราคมขาดดุลที่ระดับ 2 พันล้านเหรียญฯ แย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ โดยแม้ว่าดุลบริการจะเกินดุลได้จากรายรับภาคท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่สามารถชดเชยดุลการค้าที่กลับมาขาดดุลอีกครั้ง ถัดมา ยังมีปัจจัยพัฒนาการทางด้านการเมืองของไทย ไม่ว่าจะเป็น การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญต่อประเด็นการแบ่งเขตเลือกตั้งในวันที่ 3 มีนาคม และการประกาศยุบสภาของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นได้ในช่วงระหว่างเดือน  ส่วนการประชุมกนง.ของไทยในวันที่ 29 มี.ค. ประเมินว่า ณ ขณะนี้ตลาดยังไม่ได้รับรู้ต่อการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมดังกล่าวมากนัก ดังนั้น หากกนง.ตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ อาจเป็นปัจจัยเชิงลบต่อตลาดหุ้นผ่านปรากฏการณ์ PE Contraction

สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจประจำเดือนนี้ ได้แก่  1. หุ้นในกลุ่มธนาคารที่ลงมาแรงจน Valuation เริ่มน่าสนใจ และยังอาจมีการเก็งกำไรบนปัจจัยการขึ้นดอกเบี้ยของกนง.ในช่วงปลายเดือน ได้แก่ KBANK, SCB 2. กลุ่มท่องเที่ยวที่ยังคงเห็นแรงส่งต่อเนื่อง ได้แก่ MINT, CENTEL, ERW, VRANDA, DUSIT 3. กลุ่ม Domestic ที่เห็นการปรับประมาณการขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ราคายังไม่สะท้อน เช่น กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (AMATA, AP, AWC, CPN, SPALI)  กลุ่มการแพทย์ (BH) และกลุ่มค้าปลีก (CRC, MAKRO, MEGA) และ 4. หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวโยงกับการเลือกตั้ง ซึ่งอาจมีกระแสเก็งกำไรเกิดขึ้น หากมีการยุบสภาในเดือนนี้ อาทิ SC, SIRI, PR9, STEC, STPI, PTG

AIS​ – ZTE ปฏิวัติวงการ 3D คอนเทนต์ครั้งแรกในโลก​ กับแท็บเล็ตสามมิติ Nubia Pad 3D ที่ไม่ต้องผ่านแว่น กลางงาน MWC 2023

0
AIS ร่วมกับ ZTE Corporation ผู้นำบริการโซลูชั่นส์การสื่อสารข้อมูลระดับโลก ลงนาม MOU พร้อมเปิดตัวแท็บเล็ตสามมิติที่ทำงานด้วยเทคโนโลยี AI รุ่นแรกของโลก –Nubia Pad 3D​ ในงาน 2023 MWC World Mobile Communications Exhibition และด้วยนวัตกรรมที่รวมอยู่ใน Nubia Pad 3D สามารถทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การจำลองภาพเสมือนจริงทั้งในส่วนของการสื่อสาร สตรีมมิ่ง และการเล่นเกม รวมถึงการแชร์ข้อมูลในรูปแบบ 3 มิติโดยไม่ต้องสวมอุปกรณ์เสริม

โดยในงาน MWC2023 ทั้งสองบริษัทได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) โดย AIS และ ZTE ได้เห็นชอบในการเป็นพันธมิตรหลักด้านกลยุทธ์ต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อประโยชน์ของ Digital Ecosystem ของแต่ละบริษัท โดย ZTE จะทำงานร่วมกับ AIS เพื่อยืนยันความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีในประเทศไทย และ AIS จะให้ความมั่นใจกับ ZTE ในฐานะดิจิทัลพาร์ทเนอร์รายสำคัญในประเทศไทย ที่ร่วมกันขับเคลื่อนและพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศไทย

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “ในฐานะ Digital Life Service Provider ที่มีคลื่น 5G มากที่สุดในประเทศไทย หน้าที่ของเราคือส่งมอบประสบการณ์ Digital ที่เป็นเลิศผ่านเครือข่ายทั้ง Mobile และ Home Broadband ที่เป็นเทคโนโลยีไฟเบอร์แท้ 100% ให้แก่คนไทย ซึ่งการทำงานร่วมกับ ZTE ในฐานะ Strategic Partner ทั้งในส่วนของเครือข่ายและ Device ทำให้ตอบโจทย์นโยบายดังกล่าวอย่างชัดเจน ”

Fei Ni รองประธานอาวุโสของ ZTE Corporation และ CEO ของ Nubia กล่าวว่า “ZTE กำลังขยายรูปแบบของ multi-ecological scenarios อย่างแข็งขัน และกำลังทำงานร่วมกับ AIS ในการนำสินค้านวัตกรรมเทคโนโลยีที่จะส่งมอบประสบการณ์แบบสามมิติเสมือนจริงคุณภาพสูงโดยไม่ต้องสวมใส่อุปกรณ์เสริมให้แก่ผู้ใช้บริการทั่วโลกมากขึ้น”

Nubia Pad 3D อัดแน่นด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยได้รับการพัฒนาร่วมกันระหว่าง ZTE และ Leia Inc. ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีขั้นนำระดับโลกในส่วนของการสร้างภาพสามมิติเสมือนจริงที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม และถูกติดตั้งด้วยเทคโนโลยีหน้าจอสามมิติและการประมวลผลด้วยระบบ AI ที่ไม่เหมือนใครของ Leia เพื่อสร้างโลกเสมือนจริงสามมิติ โดยการตรวจจับใบหน้าของผู้ใช้ด้วยระบบ AI ที่ให้เกิดการมองเห็นแบบสามมิติเสมือนจริงแบบเรียลไทม์ (รองรับสูงสุด 8 lightfield) การแปลงคอนเทนต์จาก 2D เป็น 3D แบบเรียลไทม์ การสนทนาสองมิติที่ทำให้เป็นสามมิติโดยระบบ AI การสร้างสรรค์ภาพศิลปะแบบสามมิติด้วยระบบ AI จากทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ซึ่งสามารถนำไปใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชัน AI 3มิติ ยอดนิยมอื่นๆได้อย่างลงตัว Nubia Pad 3D ยังมาพร้อมกับหน้าจอความละเอียดสูง 2.5K ขนาด 12.4 นิ้ว และลำโพง Dolby surround แบบรอบทิศทาง เพื่อสร้างประสบการณ์ภาพและเสียงอย่างสมจริง ด้วยระบบนิเวศสามมิติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้ผู้ใช้งานสนุกสนานไปกับ augmented video chat แบบสามมิติครั้งแรกในโลก โรงภาพยนตร์ภาพยนตร์ส่วนตัว เกมส์และการใช้งานอื่นๆ อีกมากมายแบบ สามมิติเสมือนจริง ด้วยชิพเซ็ท Nubia Pad 3D ทำงานด้วยหน่วยประมวลผล Snapdragon series 8 ซึ่งให้ ประสิทธิภาพที่โดดเด่น และยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งานในทุกมิติ พร้อมด้วยแบตเตอรี่ความจุสูงถึง 9070mAh และ ที่ชาร์จความเร็วสูง 33W

สินค้าทั้งหมดจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยราวไตรมาส 2 ผ่านช่องทาง Online ของ AIS

ก่อนหน้านี้ AIS ได้ร่วมมือกับ ZTE ในหลายโครงการ โดยเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ZTE และ AIS ได้ทำงานร่วมกับ Qualcomm ในการทดสอบการเชื่อมต่อ 5G mmWave dual connectivity test (NR-DC) ที่อยู่บนบนเทคโนโลยี Sub-6GHz และความถี่สูง 25 GHz ได้เป็นครั้งแรกของโลก ในเดือนมิถุนายน 2565 ทั้งสองบริษัทได้ลงนามข้อตกลงในความร่วมมือทางกลยุทธ์เพื่อพัฒนานวัตกรรมของ 5G เป็นแห่งแรกในประเทศไทย การลงนามในความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ในครั้งนี้จะเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับ AIS และ ZTE ในด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภค ZTE และ AIS จะร่วมกันมือกันอย่างลึกซึ้งทั้งด้านธุรกิจเพื่อลูกค้า และ ธุรกิจเพื่อองค์กร รวมไปถึงการสร้างโครงข่าย 5G การขยายอุตสาหกรรมแอปพลิเคชันเพื่อใช้งานร่วมกับเครือข่าย 5G และ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อผู้บริโภคในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยต่อไป

เปิดความสำเร็จ ‘อินทัช อธิโรจนกุล’ เจ้าของแฟรนไชส์ ‘ไฮพอร์ค’ 16 สาขา ใน 9 เดือน มั่นใจฝากเงินก้อนสุดท้ายในชีวิต ลงทุนกับธุรกิจห้าดาว

0

โควิด-19 สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงผู้คนทั่วโลก ‘อินทัช อธิโรจนกุล’ คือหนึ่งในผู้ได้รับผลจากวิกฤตนี้ แต่หัวหน้าครอบครัวสุดเข้มแข็งคนนี้กลับไม่ยอมแพ้กับพายุลูกใหญ่ที่โหมเข้ามา กลับพลิกวิกฤติเพื่อหาโอกาสใหม่ๆ กับ “ธุรกิจห้าดาว” ในฐานะ “เพื่อนทางธุรกิจ” ทำให้เงินก้อนสุดท้ายในชีวิตที่เหลืออยู่กลายเป็นความสำเร็จกับการเปิดธุรกิจในเครือห้าดาวได้ถึง 16 สาขา ภายในเวลาเพียงแค่ 9 เดือน ความสำเร็จที่แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่คาดคิดว่าทำได้ขนาดนี้

อินทัช เท้าความว่าเคยทำมาหลายอาชีพ ตั้งแต่เป็นเซลล์แมน ทำกิจการขายมือถือและอุปกรณ์มือถือ ขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ จนถึงขายรองเท้าผ่านหน้าร้านและออนไลน์ จากตลาดที่มองว่าน่าจะเป็นไปได้ กลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ กระทั่งมาจบที่ไม่มีเงินแล้ว เหลือเพียงเงินก้อนสุดท้าย เวลานั้นมองไม่เห็นทางเลย เปรียบเหมือนระเบิดเวลา เพราะต้องนับถอยหลังอีก 30 วัน ที่ชีวิตอาจจะต้องหยุดลง

“ทางเดียวที่จะทำได้ในเวลานั้นคือ ต้องมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่จะให้ชีวิตให้ไปได้มากกว่า 30 วัน จึงต้องเริ่มค้นหาข้อมูลว่ามีธุรกิจอะไรที่สามารถทำให้มีโอกาสแบบนั้น เป้าหมายคือทำแฟรนไชส์ที่ลงทุนไม่มาก ซึ่งก็มีอยู่หลายธุรกิจ แต่ที่เลือกธุรกิจห้าดาว เพราะลูกชายชอบกินไก่ห้าดาว พอมาคิดว่าขนาดลูกของเรายังรู้จัก นี่ก็คงเป็นธุรกิจที่ไม่ยากในการเริ่มต้น ดังนั้นก้อนสุดท้ายของเราต้องฝากไว้กับธุรกิจนี้ได้แน่นอน” อินทัช บอก

ที่สำคัญ ธุรกิจห้าดาวไม่ได้มีแค่ร้านไก่ย่าง-ไก่ทอด ยังมีแฟรนไชส์อื่นๆที่หลายหลาย อย่างเช่น ไฮพอร์ค-Hi Pork กระทะเหล็ก เป็ดเจ้าสัว ข้าวมันไก่ไห่หนาน และกาแฟ STAR COFFEE ซึ่งตนเองเริ่มจากธุรกิจ Hi Pork ซึ่งเป็นหมูทอดและเมนูข้าวกล่อง เป็นอาหารที่รับประทานง่าย แล้วตอนนั้นธุรกิจนี้เพิ่งเริ่มต้น และก็ให้โอกาสกับผู้ประกอบการที่ไม่ต้องลงทุนมาก ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก มีทีมห้าดาวสำรวจจุดขายก่อน โดยเลือกในบริเวณใกล้กับที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบการ เพื่อให้เข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด และเลือกทำเลการขายสินค้าที่ดี เนื่องจากมีฐานข้อมูลที่ดี ทีมนี้จึงเป็น “เพื่อนที่ปรึกษา” (The Operator) ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้เป็นพิเศษ

เมื่อได้เห็นสาขาแรก เห็นที่ตั้ง เห็นหน้าร้านแล้ว อินทัชรู้สึกว่าเป็นโอกาสที่บางธุรกิจไม่มีโอกาสแบบนี้ เพราะว่าทำเลที่ดีย่อมมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงตามไปด้วย แต่ร้านของเขาได้ทำเลที่ดีแต่มีค่าเช่าพื้นที่ไม่เกินหลักหมื่น เบ็ดเสร็จสาขาแรกใช้เงินลงทุนร้านรวมอุปกรณ์ประมาณ 99,000 บาท และมีค่าวัตถุดิบต่างๆอีกประมาณ 5 หมื่นบาท ส่วนร้านรูปแบบ glasshouse ธุรกิจห้าดาวให้ยืมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และยังมีโครงสร้างไฟฟ้า มีระบบน้ำมาพร้อม ทำให้เริ่มต้นธุรกิจได้แบบตัวเบา ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงๆ ซึ่งตามปกติในธุรกิจแฟรนไชส์อื่นๆ ผู้ประกอบการต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เอง ซึ่งมูลค่าสูงถึง 4 แสนบาท เรื่องนี้ถือว่าดีมากๆสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองที่ไม่ต้องแบกรับภาระต้นทุนนี้

หลังจากได้ร่วมงานกับธุรกิจห้าดาว ซึ่งตอนแรกก็ยังมีความกังวลว่าอาจจะมีความยากในการบริหารจัดการ แต่เมื่อเริ่มแล้วก็อุ่นใจว่าไม่ต้องเรียนรู้อะไรเองมาก เพราะมีทีมงานมาฝึกอบรมให้ ถือเป็น “เพื่อนที่คอยแนะนำ” (The Trainer) เพื่อทำให้ทั้งผลิตภัณฑ์ การบริการ และการจัดการได้คุณภาพมาตรฐาน ส่วนวัตถุดิบก็มีคู่มือมาให้และให้คำแนะนำว่าปรุงอย่างไรต้องทำอะไรก่อนหลัง จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับมือใหม่

อินทัชบอกว่า ทีมงานห้าดาวไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมธุรกิจ แต่เป็นเพื่อนคู่คิด ที่สามารถพูดคุยกันได้ตลอดเวลา ติดขัดเรื่องไหนก็รีบส่งทีมมาดูแลมาสนับสนุนทันที การสั่งของเข้าร้านมีทีมห้าดาวจัดสรรวัตถุดิบให้อยู่แล้ว ไม่ไปต้องหาวัตถุดิบเอง สูตรเมนูต่างๆก็คิดค้นพัฒนาให้อร่อยถูกปากผู้บริโภค เราโฟกัสการขายอย่างเดียว ดูแลเรื่องการเตรียมอาหาร ใส่ใจงานบริการให้ดี โดยไม่ต้องเสียเวลาดำเนินการส่วนอื่นเลย เรียกว่าทั้งส่งวัตถุดิบให้ เปลี่ยนอุปกรณ์ให้เมื่อเสีย จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่อง” อินทัช กล่าวถึงความประทับใจ

อีกส่วนสำคัญที่ทำให้สามารถเติบโตก้าวกระโดดได้ คือ การทำระบบจัดส่งถึงบ้านลูกค้า (Delivery) กับธุรกิจห้าดาว ซึ่งผู้ประกอบการจะได้ GP ในเรตพิเศษ ต่างกับร้านอาหารปกติ เพราะธุรกิจห้าดาวมีการเชื่อมโยงกับ Delivery ค่ายต่างๆอยู่แล้ว ถือเป็นการลดต้นทุนได้อีก เท่ากับมี “เพื่อนหลังบ้าน” (The Marketeer) ที่ดี

“ความสำเร็จจากสาขาแรกและขยายไปถึง 16 สาขา ในเวลาไม่ถึง 1 ปี เป็นเรื่องเกินคาดหมาย แต่ด้วยจุดเริ่มต้นที่มองว่าธุรกิจนี้ค่อนข้างมีโอกาส และยิ่งได้เริ่มกับห้าดาวก็ยิ่งทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นทั้งตัวเองและชีวิตของคนที่มาอยู่กับเรา และยิ่งมั่นใจว่าแบรนด์นี้ให้โอกาสกับคน ไม่ใช่แค่ธุรกิจแต่เป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ ทั้งต่อผู้ประกอบการที่ได้มีธุรกิจที่มั่นคง รวมถึงสร้างงานสร้างอาชีพให้กับทีมงานของเราอีกหลายสิบคน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก ห้าดาวจึงเป็นเพื่อนแท้ที่ให้โอกาส ให้อาชีพ ความมั่นคง ที่สามารถส่งต่อให้กับทายาทได้ต่อไป” อินทัช บอก

‘อินทัช อธิโรจนกุล’ ชายผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ถือเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการที่อยากมีธุรกิจของตนเอง เพียง เริ่มต้นกับธุรกิจที่ใช่ แล้วใส่ความมุ่งมั่น ตั้งใจ เข้าไปให้สุดแรง ความสำเร็จย่อมเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน