Home Blog Page 182

แบงก์ชาติ ส.ธนาคารไทย และส.สถาบันการเงินของรัฐ จับมือยกระดับจัดการภัยทุจริตทางการเงิน

0

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ออกแนวนโยบายเป็นชุดมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงินที่ดูแลตลอดเส้นทางการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยกำหนดเป็นแนวปฏิบัติขั้นต่ำให้สถาบันการเงิน (สง.) ทุกแห่งปฏิบัติตามเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยมีการรักษาสมดุลระหว่างการบริหารจัดการความเสี่ยงกับการส่งเสริมบริการทางการเงินดิจิทัล ซึ่ง ธปท. เห็นว่ามาตรการชุดนี้จะช่วยให้ สง. ป้องกันความเสี่ยงและแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

1. มาตรการป้องกัน เพื่อปิดช่องทางที่มิจฉาชีพจะเข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น ให้ สง. งดการส่งลิงก์ทุกประเภทผ่าน SMS อีเมล และงดส่งลิงก์ขอข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อผู้ใช้งาน รหัสผ่าน และเลขบัตรประชาชนผ่านโซเชียลมีเดีย จำกัดจำนวนบัญชีผู้ใช้งาน mobile banking (username) ของแต่ละ สง. ให้ใช้ได้ใน 1 อุปกรณ์เท่านั้น โดย สง. ต้องจัดให้มีการแจ้งเตือนผู้ใช้บริการ mobile banking ก่อนทำธุรกรรมทุกครั้ง และพัฒนาระบบความปลอดภัยบน mobile banking ให้เท่าทันภัยการเงินรูปแบบใหม่อยู่ตลอดเวลา ตลอดจนต้องยกระดับความเข้มงวดในกระบวนการยืนยันตัวตนขั้นต่ำด้วยการใช้เทคโนโลยีเปรียบเทียบข้อมูลอัตลักษณ์ทางกายภาพของลูกค้า (biometrics) เช่น สแกนใบหน้า ในกรณีลูกค้าขอเปิดบัญชีโดยผ่านแอปพลิเคชันของ สง. (non-face-to-face) หรือทำธุรกรรมผ่าน mobile banking ในเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่น โอนเงินมากกว่า 50,000 บาท หรือปรับเพิ่มวงเงินทำธุรกรรมต่อวันเป็นตั้งแต่ 50,000 บาท ขึ้นไป นอกจากนี้ จะกำหนดเพดานวงเงินถอน/โอนสูงสุดต่อวันให้เหมาะสมตามระดับความเสี่ยงของกลุ่มผู้ใช้บริการแต่ละประเภท โดยลูกค้าสามารถขอปรับได้ตามความจำเป็น และต้องยืนยันตัวตนอย่างเข้มงวด

2. มาตรการตรวจจับและติดตามบัญชี หรือธุรกรรมต้องสงสัย เพื่อให้ สง. ช่วยจำกัดความเสียหายได้เร็วขึ้น และลดการใช้บัญชีม้า ธปท. จะกำหนดเงื่อนไขการตรวจจับและติดตามธุรกรรมเข้าข่ายผิดปกติ หรือกระทำความผิด เพื่อให้ สง. รายงานไปสำนักงาน ปปง. รวมทั้งให้ สง. ต้องมีระบบตรวจจับและติดตามบัญชี หรือธุรกรรมต้องสงสัยแบบ near real-time เพื่อให้สามารถระงับธุรกรรมได้ทันทีเป็นการชั่วคราวเมื่อตรวจพบ

3. มาตรการตอบสนองและรับมือ เพื่อจัดการปัญหาให้ผู้เสียหายได้เร็วขึ้น ให้ สง. ทุกแห่งต้องมีช่องทางติดต่อเร่งด่วน (hotline) ตลอด 24 ชั่วโมง แยกจากช่องทางให้บริการปกติ เพื่อให้ผู้ใช้บริการแจ้งเหตุได้โดยเร็ว รวมทั้งให้ดูแลรับผิดชอบผู้ใช้บริการ หากพบว่าความเสียหายเกิดจากข้อบกพร่องของ สง. 

ธปท. ได้เร่งให้ สง. ทุกแห่งต้องดำเนินมาตรการทั้งหมดโดยเร็ว โดยได้มีการเริ่มดำเนินการในบางมาตรการแล้ว ขณะที่มาตรการที่เหลือส่วนใหญ่จะกำหนดให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2566 และจะเร่งดำเนินการสำหรับบางมาตรการที่มีความซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการปรับปรุง ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนดต่อไป โดย ธปท. จะประเมินประสิทธิผลของการดำเนินการ และจะทบทวนปรับปรุงมาตรการเป็นระยะ เพื่อให้สามารถป้องกันและแก้ไขภัยทุจริตทางการเงินได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์

นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท. ได้ยกระดับให้เรื่องนี้เป็นความเสี่ยงสำคัญที่ทุกสถาบันการเงินจะต้องดูแลและบริหารจัดการอย่างจริงจัง โดย ธปท. ได้ออกชุดมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน เพื่อช่วยให้ระบบการเงินมีความปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการทางการเงิน และเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว ธปท. จึงได้เชิญผู้บริหารของสถาบันการเงินเข้าร่วมประชุมหารือและกำชับให้สถาบันการเงินทุกแห่งเร่งดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว และเตรียมความพร้อมรองรับการดำเนินงานตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสถาบันการเงินทุกแห่ง

นายฉัตรชัย ศิริไล ประธานสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ กล่าวว่า สมาคมฯ และสถาบันการเงินสมาชิกพร้อมให้ความร่วมมือกับ ธปท. และสมาคมธนาคารไทยในการจัดการเรื่องดังกล่าว ที่ผ่านมาสถาบันการเงินสมาชิกหลายแห่ง ได้มีแนวทางการป้องกันภัยทุจริตทางการเงินต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และให้ความรู้ประชาชน โดยเฉพาะการออกประกาศเตือนการไม่ส่งลิงก์ต่่าง ๆ ให้กับลูกค้าและประชาชน และการเปิดศูนย์รับแจ้งเหตุภัยทางการเงิน ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงแล้ว ยังสามารถนำข้อมูลที่ได้รับจากการร้องเรียนมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางและพัฒนาระบบการป้องกันภัยทุจริตทางการเงินที่จะเกิดในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับมาตรการอื่นที่ระบบมีความซับซ้อนต้องใช้เวลาพัฒนา สมาคมฯ และธนาคารสมาชิก จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จทันตามกรอบเวลา นอกจากนี้ ยังพร้อมร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเช่น ผู้ให้บริการ e-wallet ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อร่วมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาทุจริตภัยการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ และครอบคลุมทั้งระบบนิเวศแบบ end to end ที่มิจฉาชีพชอบใช้หลอกลวง

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก พร้อมยกระดับความปลอดภัยของภาคธนาคาร เพื่อรับมือและจัดการภัยทางการเงินออนไลน์ ตามแนวทางการจัดการภัยทุจริตทางการเงินที่ได้มีการหารือร่วมกับทาง ธปท. ให้ดียิ่งขึ้น ได้แก่ การป้องกัน ภาคธนาคารได้ร่วมมือกันงดการส่งข้อความ SMS ที่แนบลิงก์ในการติดต่อกับลูกค้าในระยะนี้ และเร่งพัฒนาระบบป้องกันการทำธุรกรรมทุจริตอย่างต่อเนื่อง การตรวจจับ ธนาคารสมาชิกอยู่ระหว่างนำเทคโนโลยีมาช่วยตรวจจับธุรกรรมต้องสงสัยให้ได้โดยเร็ว โดยร่วมกันออกแบบและพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทุจริตในภาคธนาคาร (Central Fraud Registry) เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชี ธุรกรรมต้องสงสัย และบัญชีม้า ระหว่างธนาคารเพื่อดำเนินการติดตามป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น การตอบสนองและรับมือ จัดให้มีช่องทางติดต่อเร่งด่วน (Hotline) 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อสามารถแจ้งเหตุได้โดยตรง ปัจจุบันมีธนาคารสมาชิกหลายแห่งเริ่มดำเนินการแล้ว

สมาคมฯ และสถาบันการเงินสมาชิก จะร่วมมือเร่งยกระดับการดำเนินการตามมาตรการของ ธปท. ให้ได้ตามกำหนดเวลา เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างเท่าทัน เพราะภัยทุจริตมีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงเร็ว ขณะเดียวกันยังคงเดินหน้าให้ความรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชน ให้รู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ และยังพร้อมร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหานี้

รู้เก็บรู้ออม : DR ใหม่ โอกาสลงทุนหุ้นจีน

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

การกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ นอกจากจะเป็นการบริหารความเสี่ยงแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับนักลงทุน ซึ่งปัจจุบันเราสามารถซื้อหุ้นชั้นนำระดับโลกบนตลาดหุ้นไทยได้ง่ายๆ ผ่านผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ชื่อว่า DR (Depositary Receipt) หรือ ที่เรียกว่า ตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ

แฟนคอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน…สู่ความมั่งคั่ง” น่าจะรู้จัก DR แล้วว่า เหมือนเป็นการยกหุ้นต่างประเทศ ให้มาซื้อขายได้บนตลาดหุ้นไทย โดยผู้ออก DR ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. จะเป็นผู้ที่ไปซื้อหุ้น หรือกองทุน ETF ต่างประเทศ แล้วนำมาเสนอขายให้กับนักลงทุนไทย จ่ายค่าหุ้นเป็นเงินบาท นอกจากนี้ ผู้ถือ DR จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆเหมือนกับไปซื้อหุ้นในตลาดหุ้นต่างประเทศโดยตรง

ล่าสุด ตลาดหุ้นไทยกำลังจะมี DR 2 ตัวใหม่ ดีเดย์เข้าเทรดในวันที่ 15 มีนาคม 66 ออกโดยธนาคารกรุงไทย ได้แก่ DR อ้างอิงหุ้นประกันยักษ์ใหญ่ของจีน “ผิงอัน (Ping An)” และหุ้นเกมชั้นนำของจีน “เน็ตอีส (NetEase)” หลังได้กระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ในการออก DR อ้างอิงหุ้นชั้นนำระดับโลกอย่างอาลีบาบา (BABA80) แอปเปิล (AAPL80X) บีวายดี (BYDCOM80) และเทสลา (TSLA80X) ไปเมื่อปีที่แล้ว

DR น้องใหม่ 2 ตัวนี้ เป็นการเกาะติดเทรนด์หุ้นจีนที่กำลังฟื้นตัวแข็งแกร่ง โดยตอนนี้หุ้นจีนเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นต่างประเทศ จากปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงไปมาก นอกจากนี้ การที่จีนเปิดประเทศและออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หุ้นจีนจึงมีโอกาสฟื้นตัวสูง โดย “ผิงอัน” เป็นบริษัทประกันขนาดใหญ่ที่สุดของจีน และอยู่ในอันดับต้นๆของโลก มีมูลค่าตลาดประมาณ 4.5 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 21 ก.พ.66) มีฐานลูกค้ารายย่อย 225 ล้านราย และฐานลูกค้าออนไลน์ 668 ล้านราย (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย.65) และยังมีโอกาสเติบโตสูง จากผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพและบริหารความเสี่ยงมากขึ้น

ส่วน “เน็ตอีส” เป็นบริษัทเกมรายใหญ่อันดับต้นๆของจีน โดดเด่นในด้านการพัฒนาเกมออนไลน์ มีไลเซนส์เกมมือถือและคอมพิวเตอร์ รวมถึงให้บริการสื่อบันเทิงออนไลน์ รายได้โตแบบก้าวกระโดด โดยไตรมาส 3 ปี 2565 มีรายได้ 3.5 แสนล้านบาท และขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา

ถือเป็น 2 ธุรกิจยักษ์ใหญ่ของจีนที่น่าสนใจไม่น้อย!! สำหรับผู้มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์อยู่แล้ว สามารถทำรายการซื้อขายผ่านแอปฯ Streaming by Settrade หรือหากยังไม่มีบัญชี สามารถเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการได้เลย ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสอบถามข้อมูลของ DR 2 ตัวใหม่นี้ได้ที่ธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา หรือ Krungthai Contact Center โทร. 0-2111-1111 และหากต้องการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ DR สามารถดูข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ www.setinvestnow.com/th/newdr ป่ะลุยจีนกัน!!

คุณนายพารวย

AIS เตรียมขาย iPhone 14 และ 14 Plus สีเหลืองใหม่

0

AIS 5G เตรียมวางจำหน่าย iPhone 14 และ iPhone 14 Plus สีเหลืองใหม่ มอบตัวเลือกสีสันเพิ่มเติมแก่กลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 14 มาพร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานอย่างน่าทึ่ง ระบบกล้องคู่ที่ทรงพลังสำหรับภาพถ่ายและวิดีโอระดับโปร 5G ที่เร็วสุดขีด และความสามารถด้านความปลอดภัยสุดล้ำซึ่งรวมถึงการตรวจจับการชนกัน ลูกค้าสามารถสั่งจอง iPhone 14 และ iPhone 14 Plus สีเหลืองล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม โดยจะวางจำหน่ายในวันอังคารที่ 14 มีนาคม ดูราคาและรายละเอียดการวางจำหน่ายได้ที่ https://www.ais.th/iphone/

เอไอเอส – กรมสุขภาพจิต เซ็น MOU ร่วมมือดูแลปัญหาสุขภาพจิตคนไทยผ่าน อสม.ออนไลน์

0
เอไอเอส ลงนามเอ็มโอยู ร่วมกับ กรมสุขภาพจิตต่อเนื่อง ต่อยอดความร่วมมือบริหารจัดการข้อมูลประชาชนกลุ่มเสี่ยงปัญหาด้านสุขภาพจิต ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภารกิจบุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ และ อสม. จากการบูรณาการข้อมูลเพื่อช่วยคัดกรอง ค้นหา ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตในชุมชน ให้ได้รับการดูแลช่วยเหลือและเข้าถึงบริการทางสุขภาพจิตได้อย่างทันท่วงที และตรงจุด

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าส่วนงานประชาสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นกว่า 3 ปีนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เพียงเฉพาะปัญหาของการระบาด การเจ็บป่วยจากการติดเชื้อเท่านั้น แต่ในอีกด้านยังมีผลกระทบที่เกิดขึ้นและส่งผลต่อการก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตไม่มากก็น้อย โดยมีความเครียดระดับปานกลาง ประมาณร้อยละ 10 ของกลุ่มตัวอย่างที่อสม.สำรวจ ซึ่งควรรับคำปรึกษา หาทางผ่อนคลายความเครียด ดังนั้น เอไอเอส จึงร่วมกับกรมสุขภาพจิต พัฒนารายงานสำรวจสุขภาพจิตบนแอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์” เพื่อทำให้รู้ว่าประชาชนมีภาวะความเสี่ยงด้านสุภาพจิตอย่างไรบ้าง พร้อมคำแนะนำในการปฏิบัติตัวได้ทันทีจาก อสม.

ดังนั้นวันนี้ ถือได้ว่าเป็นการสานต่อความร่วมมือของ เอไอเอส และ กรมสุขภาพจิตต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 หลังจากที่ในปลายปี 2563 เราได้มีการพัฒนาและบรรจุเครื่องมือรายงานคัดกรองความเสี่ยงสุขภาพจิตในแอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์” โดยในปีนี้ เราได้พัฒนาเพิ่มเติมให้ระบบของแอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ เอื้อประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการติดตามความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตรายบุคคล พร้อมทั้งสามารถทำการบันทึกการติดตามดูแลผู้ที่มีภาวะเสี่ยงด้านสุขภาพจิตด้วยวิธีการต่างๆ ตามหลักการดูแลด้านสุขภาพจิตได้อย่างเหมาะสม โดยร่วมกับ อสม.ในพื้นที่ อันจะทำให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงได้รับการดูแลด้านสุขภาพจิตอย่างครบวงจร ทั้งการคัดกรอง ติดตาม และให้การดูแลแบบเฉพาะบุคคล อย่างทันท่วงที”

ด้าน พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า แอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์” เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่จะช่วยให้ประชาชนคนไทยสามารถเข้าถึงระบบบริการด้านสุขภาพจิต ผ่านกลไกระบบสุขภาพปฐมภูมิที่ อสม. นำแอปพลิเคชันนี้ไปใช้คัดกรอง ค้นหา ผู้ที่มีความเสี่ยงปัญหาสุขภาพจิตและสามารถให้การช่วยเหลือดูแล พร้อมทั้งส่งต่อผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตเข้าสู่ระบบบริการ โดยกรมสุขภาพจิตจะมีส่วนช่วยสนับสนุนองค์ความรู้ด้านสุขภาพจิตที่จำเป็นต่อการดูแลจิตใจประชาชน พร้อมทั้งสนับสนุนให้เกิดกลไกการให้บริการด้านสุขภาพจิตและจิตเวช ที่มีมาตรฐาน รองรับผู้ที่มีความเสี่ยงปัญหาสุขภาพจิตจากการคัดกรองสุขภาพจิตผ่านแอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์” ในนามของกรมสุขภาพจิตขอขอบคุณบริษัท AIS และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ที่ทำให้เกิดการดูแลสุขภาพจิตของประชาชนในชุมชน ด้วยแอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์” และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจากความร่วมมือกันในครั้งนี้จะต่อยอดให้ประชาชนคนไทยได้รับการดูแลสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่องต่อไป

สำหรับ แอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์”นั้น เอไอเอสได้พัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาบูรณาการกับการดูแลสุขภาพของประชาชนทุกด้านรวมถึงปัญหาสุขภาพจิต เพื่อสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและพี่น้องอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านทั่วประเทศ มีเครื่องมือในการคัดกรองและดูแลประชาชน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อีกทั้งลดขั้นตอน ลดความยุ่งยากจากการใช้เอกสารจำนวนมากในอดีต พร้อมทั้งสามารถรายงาน ส่งต่อข้อมูลได้ทันที ซึ่งในปัจจุบันได้มีการขยายเพิ่มให้ อาสาสมัครสาธารณสุข กทม. หรือ อสส. ได้ใช้งานแอปพลิเคชันนี้ด้วยในชื่อ “อสส.ออนไลน์” ทำให้ในปัจจุบันมีผู้ใช้งานรวมกว่า 5 แสนราย

มูลนิธิเมืองไทยยิ้มและเมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้า “ตรวจวัดสายตาประกอบแว่น ฟรี” เพื่อผู้สูงอายุ ปีที่ 5

0
มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม และบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดโครงการ “ตรวจวัดสายตาประกอบแว่นฟรี” เพื่อผู้สูงอายุ ปีที่ 5 เพื่อให้บริการตรวจวัดสายตา และมอบแว่นตาที่มีคุณภาพ พร้อมให้คำแนะนำการดูแลแว่นสายตาจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแก่ผู้สูงอายุ ในพื้นที่หน่วยบริการ ณ ที่ทำการอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามนโยบายของโครงการที่ต้องการคืนความสุขให้แก่ผู้สูงอายุ พร้อมขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ คืนสู่สังคมไทย ในการให้ช่วยเหลือผู้สูงอายุในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้ผู้สูงอายุได้เข้าถึงสิทธิบริการและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีการมองเห็นที่ชัดเจนอีกครั้ง โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงพยาบาลปาย จิตอาสา และ ผู้มีจิตศรัทธาในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม

โดยโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของเมืองไทยประกันชีวิต ในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมในทุกด้าน พร้อมให้ความสำคัญต่อการก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและแผนปฏิบัติงานของมูลนิธิเมืองไทยยิ้มที่มีวัตถุประสงค์ผ่านโครงการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งรอยยิ้ม โดยเฉพาะงานด้านการพัฒนาศักยภาพสังคมผู้สูงอายุ ที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งด้านสุขภาพให้ผู้สูงอายุ และนำไปใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตตนเองอย่างยั่งยืน เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการที่มีคุณภาพ และโครงการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างสวัสดิการขั้นพื้นฐานเพื่อสุขภาพให้ผู้สูงอายุ จึงเป็นที่มาของการร่วมมือระหว่างมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม เมืองไทยประกันชีวิต และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดโครงการในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน โครงการ “ตรวจวัดสายตาประกอบแว่น ฟรี” เพื่อผู้สูงอายุ ได้มีการส่งมอบแว่นสายแก่ไปสู่ผู้สูงอายุทั้งสิ้น 6,294 อัน จากการออกหน่วยตรวจวัดสายตาประกอบแว่น ฟรี 49 หน่วย ทั่วประเทศ และยังคงเดินหน้าสานต่อโครงการดังกล่าว เพื่อส่งมอบความสุขและรอยยิ้มแก่ผู้สูงอายุทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง

AIS Fibre พลิกโฉมเน็ตบ้าน ส่งนวัตกรรม Intelligent Service ตรวจสอบ นัดหมาย แก้ไขอัจฉริยะ ครั้งแรกของวงการ

0
AIS Fibre ยกระดับบริการเน็ตบ้านไปอีกขั้นด้วย Intelligent Service หรือนวัตกรรมการให้บริการและดูแลลูกค้าอัจฉริยะ ครั้งแรกในวงการเน็ตบ้านที่นำเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI มาเป็นหนึ่งในผู้ช่วยให้กับลูกค้ากับช่องทางใหม่ แก้ไขปัญหาเน็ตบ้าน หรือ AIS PLAYBOX ผ่านแอป myAIS ซึ่งเป็นช่องทางที่จะช่วยเหลือลูกค้าด้วยระบบตรวจสอบปัญหาอัจฉริยะ (Smart Diagnostics) กว่า 40 รายการ วิเคราะห์ปัญหาตรงจุด อีกทั้งยังมีฟังก์ชันนัดหมายช่าง ติดตามสถานะการแก้ปัญหา รวมถึงมีแจ้งเตือนเมื่อทำการแก้ไขปัญหาเรียบร้อย โดยลูกค้าสามารถดำเนินการทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง ทุกที่ ตลอด 24 ชั่วโมง
นางสาวสุนีย์ โรจนโอฬารรัตน์ หัวหน้าแผนกงานบริหารการตลาดธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบนด์ AIS

นางสาวสุนีย์ โรจนโอฬารรัตน์ หัวหน้าแผนกงานบริหารการตลาดธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบนด์ AIS กล่าวว่า “หัวใจของการให้บริการ คือต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าอย่างถ่องแท้ที่ไม่ใช่แค่การวิ่งตามการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องคาดการณ์และมองไปข้างหน้าแบบ Beyond Expectation ทำให้ AIS Fibre เป็นผู้เล่นที่สามารถคิดนำ ทำก่อน ได้ในทุกเรื่อง โดยเฉพาะงานบริการและดูแลลูกค้า ดังนั้นการขยับตัวของเราในทุกครั้ง ก็มักจะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอยู่เสมอ ตั้งแต่การประกาศว่าพร้อมแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้ภายใน 24 ชั่วโมง

ล่าสุดวันนี้กำลังจะยกระดับการให้บริการและดูแลลูกค้าไปอีกขั้นด้วยการใช้ศักยภาพของ AIS ในด้านดิจิทัลเทคโนโลยี และ AI เข้ามาพลิกโฉมกระบวนการให้บริการสู่การเป็น Intelligent Service ที่พร้อมให้ลูกค้าสามารถแจ้งปัญหา และตรวจสอบสถานการณ์ใช้งานได้ด้วยตัวเองแบบเรียลไทม์บนแอป myAIS ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะที่เชื่อมต่อไปถึง Network โดยตรง ที่สามารถตรวจสอบปัญหาได้แบบอัจฉริยะกว่า 40 รายการ นำไปสู่การวิเคราะห์ถึงสาเหตุได้ตรงจุดจนสามารถแก้ไขได้ทันที นอกจากนี้เรายังเพิ่มขีดความสามารถของการใช้งานให้ลูกค้านัดหมายช่างให้เข้ามาแก้ไขปัญหา ที่สามารถติดตามสถานะการแก้ปัญหาได้ตั้งแต่ต้นจนจบเคส โดยลูกค้าสามารถทำรายการได้เอง แจ้งได้เอง ตลอด 24 ชั่วโมงผ่าน”

สำหรับช่องทางใหม่ ที่ลูกค้าสามารถแก้ไขปัญหาเน็ตบ้าน หรือ AIS PLAYBOX ได้ด้วยตัวเองนั้น นับเป็นการยกระดับประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าไปอีกขั้น ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจในการศึกษาและทำความเข้าใจเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ ประกอบกับการใช้ขีดความสามารถของเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI เข้ามาเพิ่มศักยภาพ เพื่อให้เมื่อเกิดปัญหาด้านการใช้งาน ลูกค้าสามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเองง่ายๆ ผ่านแอป myAIS ไม่ว่าจะเป็น

  • การแก้ไขปัญหาการใช้งานเบื้องต้นได้เอง โดยที่ไม่ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ รองรับการใช้งานทั้ง “AIS Fibre” และ “AIS PLAYBOX”
  • ระบบตรวจสอบปัญหาอัจฉริยะ (Smart Diagnostics) โดยหลังจากที่ลูกค้าแจ้งปัญหาการใช้งาน ระบบจะตรวจสอบสาเหตุของปัญหามากกว่า 40 รายการได้แบบอัตโนมัติ ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่เชื่อมไปถึงระบบโครงข่ายโดยตรง ทำให้สามารถระบุสาเหตุและมีระบบการจัดการในการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นได้ในทันที
  • การนัดหมายช่างทำได้ง่าย เลือกเวลาที่สะดวก ครบ จบบนแอปเดียว
  • สามารถติดตามสถานะของการแก้ปัญหา หรือติดตามผลการนัดหมายได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  • มี SMS แจ้งเตือนเมื่อทีมวิศวกรแก้ไขปัญหาเรียบร้อย

“ภายใต้วิสัยทัศน์ของ AIS ที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะหรือ Cognitive Tech-Co ทำให้ AIS Fibre เดินหน้าส่งมอบประสบการณ์เน็ตบ้านที่ดีที่สุดผ่านโครงข่ายอัจฉริยะและนวัตกรรมใหม่ที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการสร้างมาตรฐานการแข่งขันให้ตลาดด้วยคุณภาพของการให้บริการที่เหนือกว่า ด้วย บริการอัจฉริยะ หรือ Intelligent Service ที่เป็นการใช้ขีดความสามารถด้านดิจิทัลเทคโนโลยีของ AIS” นางสาวสุนีย์ กล่าวทิ้งท้าย

CPF ชูหลัก “โภชนาการแม่นยำ” พัฒนาอาหารสัตว์รักษ์โลก

0
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมอาหารสัตว์รักษ์โลก ยึดหลักการโภชนาการแม่นยำ สรรหาสารอาหารที่ตรงกับช่วงวัยการเติบโตของสัตว์ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ และวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ต้องไม่มาจากแหล่งที่มีการตัดไม้ทำลายป่า จับมือพันธมิตรที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก เพื่อพัฒนาวิธีการประเมินด้านการผลิตปศุสัตว์และผลกระทบต่อสภาพสิ่งแวดล้อม หนุนสุขภาพที่ดีของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) ตอบโจทย์สร้างความมั่นคงทางอาหาร และดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ดร.ไพรัตน์ ศรีชนะ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ

ดร.ไพรัตน์ ศรีชนะ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักวิชาการอาหารสัตว์ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มุ่งมั่นวิจัยและสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารสัตว์ โดยให้ความสำคัญกับหลักโภชนาการแม่นยำ คือ การสรรหาและคิดค้นวัตถุดิบทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ เพื่อนำไปผลิตและพัฒนาสูตรอาหารสัตว์ที่ตรงกับความต้องการอาหารของสัตว์ในแต่ละช่วงวัย ช่วยให้การย่อยของสัตว์สามารถใช้ประโยชน์จากสารอาหารต่างๆได้ดี ลดการปลดปล่อยสารอาหารส่วนเกินสู่สิ่งแวดล้อม อาทิ ไนโตรเจน นอกจากนี้ มีการใช้นวัตกรรมการเลี้ยงไก่และสุกรด้วยจุลินทรีย์ดี”โปรไบโอติก” โดยให้ความสำคัญและมุ่งมั่นที่จะลดการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรงและเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) คือ สุขภาพคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์สุขภาพของผู้บริโภค ภายใต้แนวคิดการผลิตอาหารปลอดภัย

ซีพีเอฟ เป็นหนึ่งในบริษัทในภูมิภาคเอเชียที่มีระบบ เครื่องมือที่มีความพร้อมด้านต่างๆ ในการผลิตอาหารสัตว์ รวมถึงการนำนวัตกรรมทางด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)เข้ามาช่วยพัฒนาสูตรอาหารสัตว์ เพื่อให้การขับของเสียจากฟาร์มปศุสัตว์น้อยที่สุด รวมไปการจัดหาวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด ปาล์มน้ำมัน กากถั่วเหลือง มันสำปะหลัง ที่ต้องไม่มาจากแหล่งตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเป็นการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

“เราคิดว่าสัตว์ที่มีสุขภาพที่ดี ก็จะได้เนื้อสัตว์หรือแหล่งโปรตีนที่ดี เพื่อส่งต่อไปยังผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคสุขภาพดี นอกจากตัวสัตว์ ผู้บริโภค เราก็ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เราอยากให้สิ่งแวดล้อมของเราสุขภาพดีด้วย หมายถึงว่าเราปลดปล่อยอะไรต่างๆสู่สภาพแวดล้อมให้น้อยที่สุด เป็นไปอย่างรับผิดชอบ ” ดร.ไพรัตน์ กล่าว

นอกจากนี้ จากการที่บริษัทฯ ได้ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้แก่ บริษัทรอยัล ดีเอสเอ็ม (Royal DSM NV) ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอาหารและปศุสัตว์ และ บริษัท Blonk Consultants องค์กรที่ให้คำปรึกษาด้านการวิเคราะห์ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม จะช่วยเสริมศักยภาพของซีพีเอฟ ในการพัฒนาอาหารสัตว์รักษ์โลก ด้วยการนำนวัตกรรมโซลูชัน “SustellTM” มาใช้วัดผลงานด้านความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ ด้วยการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และหาแนวทางลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตอาหารในธุรกิจสัตว์บก อาทิ ไก่เนื้อ ไก่ไข่ สุกร และวัวนม ทำให้สามารถวัดข้อมูลตั้งแต่วัตถุดิบ สูตรอาหาร และฟาร์ม เป็นโอกาสที่ดีที่ซีพีเอฟได้แลกเปลี่ยนและแชร์ประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เนื่องจาก Blonk Consultants เป็นผู้ให้คำปรึกษากับหลายๆ องค์กร เช่น องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) ในการพัฒนาวิธีการประเมินด้านการผลิตปศุสัตว์และการประเมินผลกระทบต่อสภาพสิ่งแวดล้อม (Livestock Environmental Assessment and Performance, LEAP) เกี่ยวกับการผลิตอาหารสัตว์

ดร.ไพรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ซีพีเอฟ พัฒนาอาหารสัตว์รักษ์โลกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นต้นทางที่จะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product) อาทิ อาหารสุกรที่สามารถลดปริมาณไนโตรเจนส่วนเกินที่สุกรขับทิ้งออกมาในรูปแบบของสิ่งขับถ่ายถึงร้อยละ 20-30 ซึ่งประยุกต์ใช้จากประเทศไทย ขยายไปทุกประเทศทั่วโลกที่ซีพีเอฟมีฟาร์มสุกรอยู่ จากนั้นขยายผลไปยังสุกรพ่อแม่พันธุ์ สุกรรุ่นพันธุ์ การพัฒนาสูตรอาหารไก่ไข่รักษ์สิ่งแวดล้อม โดยลดการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น กากถั่วเหลือง เพื่อช่วยลดกลิ่นที่เกิดจากมูลสัตว์ ทำให้ปริมาณไนโตรเจนส่วนเกินลดลงร้อยละ 12-13 จากมูลไก่ไข่ และในปี 2566 นี้ มีแผนที่จะพัฒนาสูตรอาหารรักษ์โลกสำหรับธุรกิจเป็ดเนื้อครบวงจร โดยคาดการณ์ว่าปี 2566 อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของประเทศไทยจะกลับมาเติบโตใกล้เคียงกับปี 2564 แม้ว่าเจอความท้าทายจากปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์สูงขึ้น

ตลท. ผ่านการรับรองมาตรฐานอาคาร “LEED Zero Waste” และ “TRUE Certification ระดับ Platinum” แห่งแรกในอาเซียน

0
อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก U.S. Green Building Council (USGBC) สหรัฐอเมริกา ประกอบไปด้วย “LEED Zero Waste Certification” และ “TRUE Certification ในระดับ Platinum” โดยถือเป็นแห่งแรกในอาเซียนที่ได้รับการรับรองทั้งสองมาตรฐาน โดยอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นอาคารสำนักงานที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดขยะให้เป็นศูนย์ (Zero Waste) สะท้อนถึงการให้ความสำคัญในการดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

นายกีรติ โกสีย์เจริญ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานบริหาร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และ บรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG) ภายใต้วิสัยทัศน์ในการพัฒนาตลาดทุนเพื่อทุกภาคส่วน “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” โดยล่าสุด อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ผ่านการรับรองมาตรฐานอาคารสำนักงานที่ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ประจำปี 2565 จาก U.S. Green Building Council (USGBC) สหรัฐอเมริกา ถือเป็นการสะท้อนความมุ่งมั่นของตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงพนักงานที่ร่วมขับเคลื่อนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยดำเนินการลดปริมาณขยะที่นำไปฝังกลบให้เป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill) ตั้งแต่ปี 2563 มีการจัดการขยะเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ตามหลัก 3R (Reduce-Reuse-Recycle) พร้อมขยายความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาบริหารจัดการการใช้ทรัพยากร รวมถึงการส่งเสริมกระบวนการจัดหาคู่ค้า สินค้า และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายวชิระชัย คูนำวัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี บิลดิ้ง แอนด์ ลีฟวิ่งแคร์คอนซัลติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีความยินดีอย่างยิ่งที่มีส่วนในการให้คำปรึกษาแก่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้ได้รับมาตรฐานการรับรองในครั้งนื้ ด้วยคะแนนประเมินระดับ Platinum ตามมาตรฐานการรับรองจาก USGBC ทั้งนี้ SCG ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาโลกร้อน จึงนำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ESG 4 Plus มาใช้ในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม คือ 1) มุ่งเน้น NET ZERO 2) GO Green 3) Lean เหลื่อมล้ำ และ 4) ย้ำร่วมมือ ทั้งนี้ บริษัท เอสซีจี บิลดิ้ง แอนด์ ลีฟวิ่งแคร์คอนซัลติ้ง จำกัด มีเป้าหมายที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมาย NET ZERO ซึ่งการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับการรับรองมาตรฐาน “LEED Zero Waste” และ “TRUE Certification ในระดับ Platinum” เป็นอาคารแห่งแรกในอาเซียนในครั้งนี้ นับเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ และก้าวสำคัญของบริษัทที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนเพื่อเป็นแนวทางให้กับองค์กรต่างๆ ต่อไป

การรับรองมาตรฐานดังกล่าวจะมอบให้กับอาคารที่มีการบริหารจัดการทรัพยากรในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยยึดหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) นอกจากนี้ อาคารที่ได้การรับรองจะต้องใช้ประโยชน์จากขยะที่เกิดขึ้นมากกว่าร้อยละ 90 โดยหลีกเลี่ยงการจัดการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง การฝังกลบ และการทำลายสิ่งแวดล้อมอื่นๆ และมีการปนเปื้อนของขยะน้อยกว่าร้อยละ 10 โดยพิจารณาขยะทุกประเภท ด้วยความร่วมมือกับคู่ธุรกิจในการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์, การรับสินค้าคืนหลังการใช้งาน (Product Take back program) การนำบรรจุภัณฑ์ไปรีไซเคิล รวมถึงการเพิ่มมูลค่าด้วยการ upcycling

อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้อาคารได้การรับรอง คือความชัดเจนทางด้านนโยบาย และการมีส่วนร่วมของผู้บริหาร และพนักงาน ซึ่งพนักงานและคู่ธุรกิจของอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับการอบรมและมีส่วนร่วมในด้าน Zero Waste ยิ่งไปกว่านั้น อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีการคำนวณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับการจัดการขยะตลอดทั้ง supply chain เป็นต้น

ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับรางวัลสำนักงานสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Office) ระดับดีเยี่ยม (Gold Level) จากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม รางวัล Thailand energy award ประเภทอาคารที่ใช้พลังงานเป็นศูนย์ (Zero energy building) จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และรางวัล ASEAN Energy Award จาก ASEAN Center of Energy (ACE) และยังได้รับการรับรองอาคารเพื่อสิ่งแวดล้อมมาตรฐานสากล LEED Platinum: Operation and Maintenance (O+M) ระดับสูงสุด จาก U.S. Green Building Council (USGBC) อีกด้วย

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ : รู้ทันกลโกง หลอกขายของออนไลน์

0

“อาแปะ” สาธิต บวรสันติสุทธิ์ นักวางแผนการเงิน CFP®
กูรูปลดหนี้ แนะว่า ควรซื้อของจากแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ เพราะเขาจะมีการคุ้มครองผู้บริโภค

ที่สำคัญ อย่าชำระเงินนอกแพลตฟอร์มเด็ดขาดครับ!

“แม็คกรุ๊ป” มอบเกียรติบัตรผู้สำเร็จ โครงการแม็คกรุ๊ปฝึกสอนเย็บผ้าพัฒนาอาชีพ รุ่นที่ 7 สร้างอาชีพให้คนในชุมชน

0

นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีมอบเกียรติบัตรโครงการแม็คกรุ๊ปฝึกสอนเย็บผ้าพัฒนาอาชีพ รุ่นที่ 7 โดยมี นายพงษ์ศักดิ์ ตันธนพิพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายกลยุทธ์และการพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และนายจิรชยุตม์ วิโรจน์ชีวัน ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” และนายสมพงษ์ ธนะสินธุ์ ผู้อำนวยการสถานศึกษา โรงเรียนวัดใต้ (ราษฎรนิรมิต) เข้าร่วมงาน เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 ณ โรงเรียนวัดใต้ (ราษฎรนิรมิต)

สำหรับโครงการแม็คกรุ๊ปฝึกสอนเย็บผ้าอาชีพรุ่นที่ 7 จัดโดย บริษัท แม็ค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ โรงเรียนวัดใต้ (ราษฎรนิรมิต) และสำนักงานเขตสวนหลวง โดยการอบรมแบ่งออกเป็น 2 ภาค ได้แก่ภาคทฤษฎี ซึ่งเป็นการอบรมทฤษฎีเบื้องต้นเกี่ยวกับการเย็บผ้า การดูแลซ่อมแซมจักรเย็บผ้า และภาคปฏิบัติ คือการลงมือตัดเย็บผ้า ทั้งนี้ นอกจากผู้อบรมจะได้รับความรู้และประสบการณ์สามารถนำไปประกอบอาชีพได้แล้ว และยังมีโอกาสได้รับการพิจารณาให้เข้าร่วมงานเป็นพนักงานในกลุ่ม บมจ.แม็คกรุ๊ป อีกด้วย