Home Blog Page 180

บจ. ไทย ปี 2565 เติบโตดี แต่ความสามารถในการทำกำไรถูกกดดันจากต้นทุนการดำเนินงาน

0

บริษัทจดทะเบียนรายงานผลประกอบการปี 2565 ยอดขายเติบโตดีจากการเปิดประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ อัตรากำไรเติบโตชะลอตัว โดยได้รับผลกระทบจากทั้งต้นทุนการผลิตและต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้น

แมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัท    จดทะเบียน (บจ.) จำนวน 798 บริษัท คิดเป็น 98.6% จากทั้งหมด 809 บริษัท (รวม SET และ mai และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บจ. ในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานงวดปี 2565 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2565 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 619 บริษัท คิดเป็น 77.6% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ผลการดำเนินงานงวดปี 2565 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 17,680,306 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.4% บจ. มีต้นทุนการผลิต 13,916,480 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.8% กำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 1,832,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.4% และมีกำไรสุทธิ 974,759 ล้านบาท ลดลง 1.9% อย่างไรก็ดี ปี 2565 มีรายการพิเศษค่อนข้างสูง หากไม่รวมรายการดังกล่าวจะทำให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นประมาณ 5% สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 31 ธันวาคม 2565 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ระดับ 1.59 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.53 เท่า เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน

อัตราส่วนแสดงความสามารถการทำกำไรปี 2564ปี 2565
อัตรากำไรขั้นต้น23.8%21.3%
อัตรากำไรจากการดำเนินงานหลัก11.6%10.4%
อัตรากำไรสุทธิ7.4%5.5%

“บจ. ในธุรกิจพลังงาน อาหาร บริการ และอสังหาริมทรัพย์มียอดขายดีขึ้น จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง การเปิดประเทศ และมาตรการลดค่าโอนและค่าจดจำนอง อีกทั้งเศรษฐกิจที่ขยายตัวทำให้ธุรกิจธนาคารขยายตัวได้ดีเช่นกัน ทั้งนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวนและต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น ทำให้อัตราการเติบโตของกำไรชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี หลายธุรกิจที่มีกำไรสุทธิลดลง อาทิ ธุรกิจปิโตรเคมี ยางพารา เหล็ก และประกันภัย  แม้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ซึ่งคาดว่านโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ บจ. จะยังมีความท้าทายจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงและการเพิ่มขึ้นของค่าพลังงาน” นายแมนพงศ์กล่าว

ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปี 2565 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 214,691 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.1% มีกำไรจากการดำเนินงาน 12,556 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% และมีกำไรสุทธิ 7,413 ล้านบาท ลดลง 23.0%

ซีพีเอฟ ส่งมอบ ฟาร์มสาธิตเลี้ยงหมู-ไก่ไข่ ให้ม.วลัยลักษณ์ หนุนแหล่งเรียนรู้ครบวงจร

0

นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานในพิธีมอบ “โครงการฟาร์มสาธิตการเลี้ยงสุกรขุนและไก่ไข่ระบบปิดอัตโนมัติ (Green Farm)” ที่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ สนับสนุนแก่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อยกระดับภาคปศุสัตว์ไทยสู่ 4.0 หนุนศูนย์สมาร์ทฟาร์มของมหาวิทยาลัย และร่วมพัฒนาวิชาการเกษตรสมัยใหม่ ถ่ายทอดสู่นักศึกษา เกษตรกร และผู้สนใจ

นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และซีพีเอฟ ร่วมกันขับเคลื่อนและยกระดับภาคปศุสัตว์ของไทยด้วยนวัตกรรมสู่ยุค 4.0 ด้วยการดำเนินโครงการความร่วมมือทางวิชาการ “โครงการฟาร์มสาธิตการเลี้ยงสุกรขุนและไก่ไข่ระบบปิดอัตโนมัติ (Green Farm)” มาตั้งแต่ปี 2562 เพื่อให้เป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์มาตรฐานสากลภายใต้ระบบปิด (EVAP) เป็นฟาร์มรักษ์โลกที่เป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานฟาร์มสีเขียว หรือกรีนฟาร์ม สำหรับพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ฝึกทักษะภาคปศุสัตว์ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เป็นสถานที่ศึกษาทดลองและวิจัยด้านเทคโนโลยีการเกษตร ของนักศึกษาของสำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร รวมถึงส่งเสริมการพัฒนางานวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้แก่คณาจารย์ ตลอดจนการให้บริการทางวิชาการ พร้อมทั้งพัฒนาฟาร์มให้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาเรียนรู้ที่ทันสมัย ของนักศึกษาซึ่งถือเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่สามารถต่อยอดสู่การเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้แก่ผู้อื่นต่อไป

“โครงการฟาร์มสาธิตฯ ถือเป็นความร่วมมือทางวิชาการและกิจการเพื่อสังคมที่ซีพีเอฟตั้งใจส่งมอบให้กับมหาวิทยาลัย ช่วยผลักดันการพัฒนาทางวิชาการและองค์ความรู้ของมหาวิทยาลัย สู่บุคลากรให้มีทักษะด้านการผลิตเกษตรอุตสาหกรรมแบบครบวงจร โดยบริษัทสนับสนุนงบประมาณ และผู้เชี่ยวชาญร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ ให้กับบุคลากรและนักศึกษา กระทั่งสามารถนำเทคนิควิชาการไปขับเคลื่อนโครงการได้อย่างยั่งยืน” นายสิริพงศ์ กล่าว

นายสมพร เจิมพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ม.วลัยลักษณ์และซีพีเอฟ มีเป้าหมายเดียวกันในการมุ่งพัฒนากำลังคนด้านการเกษตรสมัยใหม่ และพัฒนาภาคเกษตรอุตสาหกรรมของไทย ตลอดระยะเวลาการผนึกกำลังในการดำเนินโครงการฯ มานานกว่า 3 ปี โรงเรือนสาธิตฯสุกรขุนและไก่ไข่ในระบบปิดอัตโนมัติ ภายใต้กระบวนการบริหารจัดการฟาร์มในรูปแบบกรีนฟาร์ม กลายเป็นศูนย์สาธิตและฝึกอบรมด้านปศุสัตว์ให้แก่นักศึกษาที่สามารถเรียนรู้และฝึกปฏิบัติงานในฟาร์ม เป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ที่พวกเขานำไปเป็นพื้นฐานการทำงาน หรือประกอบอาชีพได้ในอนาคต ขณะเดียวกันยังเป็นการสนับสนุนนักศึกษา คณาจารย์ และบุคลากรให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีการเลี้ยงสัตว์ที่ได้รับ สู่ชุมชนและเกษตรกร ผ่านกลไกของศูนย์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้การผลิตสัตว์มีคุณภาพ ปลอดภัยเพื่อผู้บริโภค

ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า ม.วลัยลักษณ์ มุ่งมั่นผลักดัน “ศูนย์สมาร์ทฟาร์ม” เพื่อพัฒนาฟาร์มมหาวิทยาลัยเดิม ให้เป็นการบริหารฟาร์มโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้งด้านพืชสวน พืชไร่ ปศุสัตว์ และประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคปศุสัตว์ ซึ่งมหาวิทยาลัยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากซีพีเอฟ ที่มีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและองค์ความรู้ระดับโลก เข้ามาส่งเสริมและพัฒนาระบบการเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นแหล่งฝึกประสบการณ์แก่นักศึกษา เกษตรกร และผู้สนใจ ให้สามารถนำองค์ความรู้ไปพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพ สามารถลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิต อันเป็นการส่งเสริมความมั่นคงทางอาชีพให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน พร้อมสนับสนุนสู่การเป็นแหล่งค้นคว้า วิจัยพัฒนาที่ยั่งยืนของเกษตรกรชาวนครศรีธรรมราช และภูมิภาคใกล้เคียง อันจะนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของเกษตรกรอย่างแน่นอน

AIS Academy จับมือ สถานทูตแคนาดา สร้างโอกาสเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์ม LearnDi

0

AIS Academy เดินหน้าผลักดันองค์ความรู้ให้คนไทย สร้างโอกาสให้คนไทยเข้าถึงหลักสูตรการเรียนรู้ที่ทันสมัย เสริมขีดความสามารถและการพัฒนาตัวเองให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก ผ่านโครงข่ายและดิจิทัลเทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อต่อยอด “ภารกิจ คิดเผื่อ เพื่อคนไทย” ล่าสุด ได้ร่วมมือกับ สถานทูตแคนาดาประจำประเทศไทย และ สมาคมวิทยาลัยและสถาบันประเทศแคนาดา หรือ Colleges and Institutes Canada (CICan) นำหลักสูตรการเรียนรู้จากสถาบันชั้นนำของประเทศแคนาดา อาทิ Southern Alberta Institute of Technology (SAIT), McGill University, Athabasca University, Dalhousie University และ Humber College มาผสานกับเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มจากทาง AIS Academy โดย LearnDi ตั้งเป้าเพิ่มโอกาสทางการศึกษาเสมือนการนำโลกไร้พรมแดน ให้คนไทยได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS และ กลุ่มอินทัช กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกได้สร้างผลกระทบต่อทั้งการใช้ชีวิตของผู้คนและกระบวนการทำงานในแง่ของการดำเนินธุรกิจ ทำให้การทำงานของ AIS Academy ยังคงมุ่งมั่นที่จะช่วยเติมเต็มองค์ความรู้ใหม่ๆ ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลายในอุตสาหกรรมการศึกษา เพื่อให้คนไทยมีทักษะความสามารถที่สอดรับกับโลกใหม่ที่วันนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง นั่นจึงเป็นที่มาของการทำงานร่วมกับ สถานทูตแคนาดา และ สมาคมวิทยาลัยและสถาบันประเทศแคนาดา หรือ Colleges and Institutes Canada (CICan) ในครั้งนี้ ที่เราร่วมกันนำเนื้อหาหลักสูตรระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น แนวทางและการรับรองด้านการบริหารโครงการแบบ Agile (Agile Project Management Practice & Certification online), การบัญชีและการเงินสำหรับผู้ไม่มีพื้นฐานด้านบัญชี (Accounting and Finance for Non- Accountants), การเขียนแผนธุรกิจมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Business writing for results), การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Communicating effectively), การจัดการความขัดแย้ง (Conflict Management), การสร้างความสัมพันธ์และเสริมแรงให้กับพนักงาน (Creating Engaged and Motivate Employees) และ ความสัมพันธ์ลูกค้า (Customer Relations)

โดยหลักสูตรเนื้อหาเหล่านี้มาจากสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศแคนาดา จะถูกส่งต่อให้คนไทยได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ด้วยการใช้ขีดความสามารถของ AIS Academy ผ่าน Digital Learning Platform อย่าง LearnDi ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา เสมือนการนำโลกไร้พรมแดนมาสู่คนไทย ให้ได้เรียนรู้และพัฒนาต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด ตามเป้าหมายการทำงานของ AIS Academy ที่คิดเผื่อ เพื่อคนไทยและสังคมมาโดยตลอด”

นายซันจีฟ เชาเดอรีย์, ทูตพาณิชย์, สถานเอกอัครราชทูตแคนาดา กล่าวว่า “ประเทศแคนาดาให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก โดยมาตรฐานการศึกษาของแคนาดาเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ใบปริญญาหรือ certificate ต่างๆจากวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในประเทศแคนาดารับประกันว่าผู้เรียนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับโลก โดยการทำงานร่วมกับ AIS Academy จะช่วยทำให้คนไทยได้เข้าถึงรูปแบบการเรียนการสอนของแคนาดา ซึ่งเราเชื่อว่าผู้สนใจเข้ามาเรียนจะสามารถนำสิ่งที่ได้รับจากเนื้อหาของสถาบันชั้นนำของแคนาดาไปต่อยอดในวิชาชีพการทำงาน และยังเสริมทักษะใหม่ๆ ให้มีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง รวมถึงผู้เรียนจะได้รับ Certificate จากสถาบัน และสามารถนับเป็นหน่วยกิตเพื่อนำไปเรียนต่อที่สถาบันนั้นๆ ในอนาคตได้อีกด้วย”

นางสาวเดนิส แอมโยท, ประธาน Colleges and Institutes Canada (CICan) เสริมว่า “ภูมิทัศน์การศึกษา (education landscape) ระดับอุดมศึกษาของทางแคนาดาซมีทั้ง วิทยาลัย มหาวิทยาลัย และสถาบันเฉพาะทางหลายแห่ง โดยสถาบันหลายแห่งนั้นมีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งสถาบันที่เป็นสมาชิกของ Colleges and Institutes Canada แต่ละแห่งเตรียมความพร้อมผู้เรียนให้ได้รับทักษะและความรู้ที่จำเป็นเพื่อความสำเร็จในอาชีพของผู้เรียน ในฐานะที่อยู่ในวงการการศึกษา สมาคมตั้งตารอที่จะขยายความร่วมมือกับทาง AIS เพื่อมอบโอกาสการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการของคนไทย”

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://learndi.aisacademy.com/

เอกอัครราชทูตฯ เบลเยียม ชื่นชมธุรกิจสัตว์น้ำซีพีเอฟ

0

เอกอัครราชทูตเบลเยียมชื่นชมเทคโนโลยี และนวัตกรรมพัฒนาธุรกิจสัตว์น้ำ เป็นมิตรสิ่งแวดล้อมของ ซีพีเอฟ และมีดำริสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ-เอกชน กับซีพีเอฟ พัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของประเทศ

นางซีบีย์ เดอ การ์ทีเย ดีฟว์ เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเบลเยียม ประจำประเทศไทย พร้อมด้วยนายปีเตอร์ คริสเตียน ที่ปรึกษาฝ่ายการค้าและการลงทุน สถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเบลเยียม ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ ห้องปฏิบัติการกลาง และห้องปฏิบัติการชุดตรวจระดับโมเลกุล ของธุรกิจสัตว์น้ำบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดยมี นายเปรมศักดิ์ วนัชสุนทร ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ดร. หมิง แดง เฉิน ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์น้ำ และนางอนุตรา บุญนัด ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสุขภาพสัตว์น้ำ พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมต้อนรับ

ในโอกาสนี้ ท่านเอกอัครราชทูตฯ แสดงความชื่นชมที่ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนา และนำเทคโนโลยี นวัตกรรมทันสมัย ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มาเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนา ทั้งอาหารสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สุขภาพสัตว์น้ำ และได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีฯ ให้เกษตรกร เพื่อให้มีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างความยั่งยืนในการประกอบอาชีพฯ นำมาซึ่งความยั่งยืนของอุตสาหกรรมฯ ตลอดสายห่วงโซ่การผลิต พร้อมกับมีดำริในการสร้างความร่วมมือ ระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน ของราชอาณาจักรเบลเยียม กับซีพีเอฟ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของประเทศให้ดียิ่งขึ้น

เมืองไทยประกันชีวิต เปิดตัวแอปฯ “MTL Fit” เปลี่ยนสุขภาพดีเป็นส่วนลดค่าเบี้ยประกัน

0
เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าตอบโจทย์คนรักสุขภาพต่อเนื่อง ชูแอปพลิเคชัน “MTL Fit” ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์ม  สร้าง Wellness Society ครบวงจร เปิดตัว MTL Fit Rewards เปลี่ยนสุขภาพดีเป็นส่วนลด ค่าเบี้ยประกันภัย หนุนสร้างสังคมสุขภาพดีอย่างยั่งยืน พร้อม Feature ใหม่ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ผนึกกำลัง Wellness Ecosystem Partner เติมเต็มรอบด้าน

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิตจำกัด (มหาชน) (MTL) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าพัฒนา “MTL Fit” แอปพลิเคชัน โดยเตรียมเปิดตัววััันที่ 18 เม.ย. 66

MTL Fit เป็นแอปฯ ด้านสุขภาพที่จะช่วยให้เข้าใจสุขภาพตัวเองได้ดียิ่งขึ้น สู่การเป็นไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์มที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เข้าใจทุกการดูแลสุขภาพในแบบคุณ ช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่อง “ง่าย” และ “สนุก” มากยิ่งขึ้น  เพื่อสร้างสังคมแห่งการดูแลสุขภาพที่ครบวงจร (Wellness Society) และยั่งยืนแก่ลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต และบุคคลทั่วไป

พร้อมยกระดับนวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพครบวงจรด้วยการเพิ่ม Feature ใหม่ ให้ครบถ้วนมากยิ่งขึ้นด้วยการ จับมือกับ Wellness Ecosystem Partner หลากหลายวงการ อาทิ FitSloth ที่ให้คุณตั้งเป้าหมายและบันทึกการรับประทานอาหาร เพื่อช่วยควบคุมแคลอรีที่เหมาะสมให้คุณในแต่ละวัน สนุกกับการค้นหาร้านอาหารโปรด พร้อมบันทึกการรับประทานอาหาร อัปเดตน้ำหนักและติดตามความเปลี่ยนแปลงสุขภาพของคุณได้อย่างใกล้ชิด  

และ บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวโครงการ “MTL Fit Rewards” เพื่อมอบส่วนลดเบี้ยประกันภัยจากการดูแลสุขภาพ (Dynamic Pricing) ให้กับลูกค้าปัจจุบันของเมืองไทยประกันชีวิต โดยจะคำนวณส่วนลดจากการส่งผลตรวจสุขภาพ จำนวนก้าวเดิน ระยะเวลาในการออกกำลังกาย รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษต่างๆ เพื่อสะสมคะแนน MTL Fit Rewards และนำมาใช้เป็นส่วนลดเบี้ยประกันภัยในปีต่ออายุ สูงสุด 15% (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด) โดยมีแบบประกันหลากหลายรูปแบบที่เข้าร่วมโครงการในระยะเริ่มต้น อาทิ สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ดี เฮลท์ พลัส สัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง ดี แคร์ สัญญาเพิ่มเติม แคร์ พลัส และ สัญญาเพิ่มเติม ซีไอ เพอร์เฟค แคร์ เป็นต้น และในอนาคตทางบริษัทฯ มีแผนที่จะเพิ่มสิทธิประโยชน์ ในการแลกของรางวัลอื่น ๆ รวมถึงเพิ่มแบบประกันภัยใหม่ ๆ เข้ามาในโครงการ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าให้มากขึ้นอีกด้วย

MTL Fit ยังถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเชื่อมต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมและทำให้ทุกคนได้สนุกกับการดูแลสุขภาพ ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ทีมชาเลนท์ให้คุณจับกลุ่มกับเพื่อนเพื่อโชว์คะแนนแข่งกันให้สนุก ไม่ต้องเหงาออกกำลังกายคนเดียวอีกต่อไป กิจกรรมด้านกีฬา อย่าง MTL Fit City Run ที่ผู้เข้าร่วมสามารถดาวน์โหลดภาพถ่ายกิจกรรมได้จากแอปพลิเคชัน MTL Fit ได้ง่าย ๆ  และ The Stadium Wellness Community Hub ซึ่งเป็นพื้นที่พบปะและทำกิจกรรมสำหรับทุก ๆ คนที่มี Healthy Lifestyle

ผู้สนใจ สามารถดาวน์โหลดแอปฯ MTL Fit ฟรี ทั้ง ระบบปฏิบัติการ iOS และ Android จากนั้นเข้าใช้งานครั้งแรกด้วย 4 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ 1.เลือกเริ่มต้นการใช้งาน 2.กรอกข้อมูลสุขภาพของคุณ 3.“เชื่อมต่อข้อมูลกรมธรรม์” ของคุณ หากไม่มีกด “ข้าม” และ 4. สร้างบัญชีผู้ใช้งานโดยกรอกชื่อผู้ใช้งาน เบอร์โทรศัพท์มือถือ พร้อมตั้งรหัสผ่าน (สำหรับการใช้งาน)  ยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTP จากนั้นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่คุณต้องการใช้งาน  เช่น Fitbit Garmin Connect และ Apple Health เป็นต้น

ซีพีเอฟ​ พลิกแปลงเกษตรในโรงเรียน สู่ Smart Farming​ หนุนใช้เทคโนโลยีจุดประกายคนรุ่นใหม่

0

พื้นที่แปลงเกษตร แปลงปลูกผักสวนครัว และโรงเพาะเห็ดในโรงเรียน ถูกยกระดับด้วยการนำเทคโนโลยีและ IoTมาใช้ สู่ Smart Farming สร้าง”อัจฉริยะยุวเกษตร” บนเส้นทางการทำเกษตร ยุค 4.0

เมื่อเร็วๆนี้ น้องๆ ของโรงเรียนในโครงการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ มีโอกาสได้เรียนรู้การนำIoT (Internet of Things)มาประยุกต์ใช้กับโครงการด้านการเกษตรของโรงเรียน ผ่านการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ”โครงการอัจฉริยะยุวเกษตร” ซึ่งบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เชิญวิทยากรจากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้าน IoTมาให้ความรู้กับ นักเรียน คุณครู และผู้อำนวยการโรงเรียนของโรงเรียนบ้านชีลองเหนือ โรงเรียนบ้านโนนสำราญวิทยา และโรงเรียนบ้านซำมูลนาก ซึ่งเป็นรร.ในโครงการ CONNEXT ED รวมทั้งโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ (สพป.ชัยภูมิ) รวมทั้งหมด 24 โรงเรียน ที่เข้าร่วมอบรมในครั้งนี้

รร.บ้านชีลองเหนือ รร.บ้านโนนสำราญวิทยา และรร.บ้านซำมูลนาก เป็นโรงเรียนในโครงการ CONNEXT ED ที่ซีพีเอฟดูแลและได้รับงบประมาณสนับสนุนทำโครงการด้านการเกษตร อาทิ รร.บ้านชีลองเหนือ ทำโครงการ “ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ (CLN Smart Hydroponics)”รร.บ้านโนนสำราญวิทยา ทำโครงการ “MushRoom House By N.W.School” และโรงเรียนบ้านซำมูลนาก ทำโครงการ”ยุวเกษตรเห็ดอินทรีย์วิถีชีวิตใหม่ ” โดยทั้ง 3 โรงเรียนดำเนินโครงการด้านการเกษตร และมองเห็นโอกาสของการขยายโครงการให้มีความยั่งยืน ด้วยการนำเทคโนโลยี IoTต่อยอดสู่การเป็น “อัจฉริยะยุวเกษตร”

นางสาวมาริสา มอไธสง ผู้อำนวยการ รร.บ้านชีลองเหนือ กล่าวว่า โรงเรียนฯได้รับงบประมาณจากซีพีเอฟทำโครงการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ และได้เข้าร่วมกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ “โครงการอัจฉริยะยุวเกษตร”ให้กับคุณครู นักเรียน และผู้บริหารของโรงเรียน ทำให้เห็นความสำคัญของการทำการเกษตรในปัจจุบัน ที่ต้องพึ่งพา IoT ที่ช่วยให้การทำเกษตรเป็นเรื่องง่ายและสะดวก ขอขอบคุณมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์ อีดี และซีพีเอฟ ที่ให้โอกาสโรงเรียนในชนบท ได้เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ต่อ

นอกจากโรงเรียนฯ มีแผนนำระบบ Smart IoT มาช่วยพัฒนาผู้เรียน และทำระบบ IoTไปใช้ในครัวเรือนของชุมชนแล้ว ยังได้ถ่ายทอดความรู้ให้เด็กๆ เรียนรู้การทำแผนการตลาดเพื่อวางแผนการจำหน่ายผลผลิต สำรวจตลาดบริเวณใกล้เคียงโรงเรียน เช่น ตลาดนัดบ้านห้วยต้อน ตลาดนัดช่อระกา สถานีอนามัยต.ห้วยต้อน เพื่อเป็นข้อมูลในการเลือกประเภทของผักที่จะปลูก อาทิ กรีนโอ้ค เรดโอ้ค ผักกาดหอม ผักคะน้า ผักบุ้ง ตามความต้องการของตลาด พร้อมทั้งทำเพจประชาสัมพันธ์เพื่อสื่อสารไปยังคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชน

นายสุพล พรมมานอก ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านซำมูลนาก กล่าวว่า การที่เด็กๆ มีโอกาสได้เรียนรู้ในการนำ IoTมาใช้ ช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดมุมมองใหม่ๆในการนำเทคโนโลยีมาใช้กับการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน เด็กฯ หันหลังให้กับอาชีพการเกษตร แต่เมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้มีความสะดวกมากขึ้น เป็นการจุดประกายให้เด็ก ๆ กลับมาให้ความสนใจการทำเกษตร ซึ่งปัจจุบันโรงเรียนบ้านซำมูลนาก ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากซีพีเอฟดำเนินโครงการโรงเพาะเห็ด พร้อมทั้งเข้ามาวางระบบควบคุมการเปิดและปิดน้ำภายในโรงเพาะ โดยใช้เซ็นเซอร์กำหนดเวลา อาทิ ทุกๆ1ชั่วโมงระบบจะเปิดฉีดน้ำ 5นาที แต่ระบบในขณะนี้ยังไม่สัมพันธ์กับปัจจัยความชื้นและอุณหภูมิ ซึ่งหากมีการประยุกต์ IoT เข้ามาควบคุมด้วย เป็นการสร้างตัวควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือนได้โดยอัตโนมัติ เช่น การสั่งการความถี่ของการพ่นน้ำในโรงเรือนเพาะเห็ดได้ดีขึ้น

นายไชโย กล้ารมราน ผู้อำนวยการโรงเรียนโนนสำราญวิทยา รับผิดชอบโครงการ MushRoom House BY N.W. School กล่าวว่า การอบรม “โครงการอัจฉริยะยุวเกษตร” ทำให้นักเรียนมีโอกาสได้รู้จักกับ IoT ส่งเสริมให้เกิดมุมมองใหม่ๆในการนำเทคโนโลยีมาใช้กับการเกษตร ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่ออาชีพเกษตรกรรม สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้มีความสะดวกมากขึ้นในการดูแลโรงเห็ด มีการควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือนได้โดยอัตโนมัติ ผู้เรียนได้เรียนรู้ เกิดความสนุกสนาน และนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์

ด้านนายศานิตย์ สุวรรณวงศ์ อาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้การประยุกต์ใช้ IoTผ่านการเขียนโปรแกรมบนแพลตฟอร์มอาร์ดุยโน่ (Arduino)ใน”โครงการอัจฉริยะยุวเกษตร” กล่าวว่า เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้เด็กๆได้เรียนรู้และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้เพื่อสั่งการระบบอัตโนมัติในโครงการด้านการเกษตรของโรงเรียน กระตุ้นให้เด็กนักเรียนเกิดความกระตือรือร้น อย่างไรก็ตาม การไปสู่ผลสัมฤทธิ์ต้องได้รับการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือมีผู้ที่เข้ามาสนับสนุนให้สามารถทำโครงการได้อย่างต่อเนื่อง

“โครงการอัจฉริยะยุวเกษตร” เป็นหนึ่งในโครงการที่ซีพีเอฟส่งเสริมด้านวิชาการและอาชีพให้กับเด็กนักเรียน เพื่อขับเคลื่อนแผนยกระดับคุณภาพการศึกษาของไทย ตามเป้าหมายของโครงการ CONNEXT ED ในการสร้างเด็กดีและเด็กเก่ง โดยมีโรงเรียนเป็นแหล่งที่ให้ความรู้ทั้งด้านวิชาการและการฝึกลงมือปฎิบัติจริง สามารถขยายผลสู่การเป็นศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบของชุมชนในการพัฒนาอาชีพ และสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้สู่โรงเรียนข้างเคียงต่อไปได้

AIS ปลื้ม “อุ่นใจ​CYBER” คว้ารางวัล WSIS Prize 2023

0
AIS พาโครงการ “อุ่นใจ CYBER” เป็นตัวแทนประเทศในฐานะองค์กรไทยหนึ่งเดียว คว้ารางวัลด้านความยั่งยืนระดับโลก พร้อมติดอันดับ 1 ใน 5 จาก 1,800 โครงการทั่วโลก ในเวที WSIS Prize 2023 กับรางวัล Champion of WSIS Prize 2023 ในสาขาโครงการที่นำเทคโนโลยีมาช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการใช้งานอินเทอร์เน็ต (Building confidence and security in use of ICTs) ที่จัดขึ้นโดย สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) และองค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) นับเป็นอีกหนึ่งรางวัลที่สะท้อนให้เห็นถึงการทำงานเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาภัยไซเบอร์อย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมา AIS มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการนำศักยภาพโครงข่ายดิจิทัลมาพัฒนาเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและสร้างทักษะดิจิทัลให้คนไทยรู้เท่าทัน พร้อมอยู่กับโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผ่านโครงการ AIS “อุ่นใจ CYBER”

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “พวกเราชาว AIS ต้องขอขอบคุณ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ และองค์การสหประชาชาติ หรือ UN ที่มองเห็นถึงความตั้งใจของ AIS และได้ยกให้ โครงการอุ่นใจ CYBER เป็นหนึ่งใน 5 จาก 1,800 โครงการด้านความยั่งยืนจากทั่วโลก และได้รับรางวัลระดับ Champion of WSIS Prize 2023 ในสาขา Building confidence and security in use of ICTs หรือ โครงการที่นำเทคโนโลยีมาช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยต่อการใช้งานอินเทอร์เน็ต

โดยเราเริ่มต้นโครงการ AIS อุ่นใจ CYBER มาตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่การใช้งานอินเตอร์เน็ตและสื่อออนไลน์กำลังมีอัตราการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น เริ่มมีปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นจากการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเราเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายรายแรกๆ ที่ลุกขึ้นมาเป็นแกนกลางของสังคมในการสร้างเครือข่าย ผ่านการใช้พลังของพาร์ทเนอร์เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ปัญหาภัยไซเบอร์อย่างยั่งยืน และส่งเสริมสังคมการใช้งานดิจิทัลเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์ ปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อคนไทย”

นางสุพัตรา ศรีไมตรีพิทักษ์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ณ นครเจนีวา ได้กล่าวแสดงความยินดีกับ AIS ที่ได้รับรางวัล Champion of WSIS Prize 2023 จากโครงการ อุ่นใจ CYBER ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยว่า “โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่สอดคล้องกับนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ของประเทศที่ต้องการยกระดับความรู้ด้านดิจิทัลแก่คนไทย ช่วยปกป้องคนไทยจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ พร้อมส่งเสริมสังคมออนไลน์ที่ปลอดภัย และสร้างภูมิคุ้มกันภัยทางด้านดิจิทัล รวมทั้งยังตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ เป้าหมายที่ 4 การสร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต”

นางสายชล กล่าวเสริมว่า “โครงการ AIS อุ่นใจ CYBER ถูกคิดและดำเนินการขึ้นจากกรอบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ UN กำหนดออกมาเป็น Sustainable Development Goals หรือ SDGs ตามหัวข้อที่ 4 สร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Quality Education) โดยมีความสอดคล้องไปกับแผนกลยุทธ์ด้านการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ในเรื่องของการสนับสนุนให้เกิดการใช้งานดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบและเสริมสร้างความเป็นพลเมืองดิจิทัลให้กับคนไทย ซึ่งวันนี้โครงการอุ่นใจ CYBER ได้ถูกขยายผลออกไปในรูปแบบต่างๆ จนกลายเป็นศูนย์กลางในการสร้างความปลอดภัยด้านการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างการจัดทำหลักสูตรการเรียนรู้ออนไลน์เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ครั้งแรกของไทย ที่ได้รับรองจากกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นไปตามมาตรฐานของหลักสูตรการศึกษาไทย ซึ่งที่เป็นการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ก็ได้ถูกยกระดับให้เนื้อหาขยายผลไปยังนักเรียนที่ศึกษาอยู่ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. ทั้ง 29,000 โรงเรียนทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

“หลังจากที่ก่อนหน้านี้โครงการของ AIS ไม่ว่าจะเป็น อสม. ออนไลน์, คนเก่งหัวใจแกร่ง และโครงการเทคโนโลยีเพื่อผู้พิการ “Work Wizard” ก็ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืนจนสามารถคว้ารางวัลจาก WSIS Prize มาได้ และการได้รับรางวัล WSIS Prize 2023 ในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของพวกเราชาว AIS ด้วยการเป็นองค์กรไทยหนึ่งเดียวที่สามารถคว้ารางวัลระดับ Champion ได้สำเร็จ โดยเราขอยืนยันตามเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางบวกให้กับเกิดขึ้นสังคมดิจิทัลของไทยอย่างยั่งยืน” นางสายชล กล่าวทิ้งท้าย

ซีพี ออลล์ จับมือ ดีพร้อม ติดดาวสินค้าเกษตรอุตฯ ปี 2 หนุนผู้ประกอบการโตบนโมเดิร์นเทรด

0
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ผนึกกำลัง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดโครงการ DIPROM Move to Modern Trade 2 ร่วมพัฒนา
ภาคการเกษตรไทยให้เป็นเกษตรอุตสาหกรรมทั้งในรูปแบบสินค้าและบริการ เพื่อสร้างมูลค่าได้มากขึ้นผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด โดยคาดว่าจะส่งเสริมผู้ประกอบการเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด 20 ธุรกิจ

นายใบน้อย สุวรรณชาตรี อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) เปิดเผยว่า จากการคาดการณ์ภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปีนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงมีนโยบายสำคัญที่จะขยายโอกาสด้านการตลาดให้กับธุรกิจเกษตรไม่ว่าจะเป็นการได้รับองค์ความรู้สมัยใหม่ การมีช่องทางจำหน่ายที่เข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขึ้น อีกทั้ง ดร. ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ยังมีแนวทางที่จะบูรณาการเกษตรอุตสาหกรรมให้โตได้พร้อมกัน ทั้งชุมชน โรงงาน ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ ผ่านรูปแบบความร่วมมือ และการดำเนินงานร่วมกันให้มากขึ้น และล่าสุดนี้ ดีพร้อม (DIPROM) จึงจัดกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการเกษตรอุตสาหกรรมขยายสู่ช่องทางการค้าสมัยใหม่ หรือ DIPROM Move to Modern Trade 2 อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งมุ่งสู่ความสำเร็จในมิติที่ 1 คือการปรับเปลี่ยนไปสู่อุตสาหกรรมศักยภาพ ธุรกิจการผลิตรูปแบบใหม่ โดยให้ความสำคัญมากกับการพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นรากฐานความแข็งแกร่งของประเทศและมีศักยภาพที่จะไปต่อได้ในอนาคต อาทิ เกษตรอุตสาหกรรมจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภาคอุตสาหกรรมไทย ส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมสู่เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ และการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจที่เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจในอนาคต

สำหรับ “DIPROM Move to Modern Trade 2 จัดขึ้นเพื่อสร้างโอกาสที่จะขยายช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรให้เข้าสู่ตลาด Modern Trade ได้มากขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากเครือข่าย บริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะทำให้เกิดการยกระดับห่วงโซ่อุตสาหกรรม มุ่งเน้นในการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และ “ดีพร้อม” จะคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ มีความพร้อม มีสินค้าที่มีความน่าสนใจตรงความต้องการของตลาด และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกผลิตภัณฑ์/สินค้าที่จะนำไปวางจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น โดยผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้จะได้รับองค์ความรู้ความต้องการ (requirement) ผลิตภัณฑ์/สินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาดเกิดการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาจากการเข้าร่วมกิจกรรมของดีพร้อม ได้มีโอกาสในการเข้าสู่ตลาด Modern Trade และถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ดีพร้อมได้เพิ่มโอกาสทางการตลาด สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการได้วางจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั้งออนไลน์ ได้แก่ ออลล์ ออนไลน์ (All Online) เซเว่น เดลิเวอรี่ (7 Delivery) และออฟไลน์ในร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ที่มีอยู่กว่า 10,000 สาขาทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะส่งเสริมผู้ประกอบการเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด 20 ธุรกิจ” นายใบน้อย กล่าว

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า DIPROM Move to Modern Trade 2 เป็นความร่วมมืออย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดี ๆ ของศูนย์ 7 สนับสนุน SME (7 SME Support Center) ภายใต้การดำเนินงานของซีพี ออลล์ในการสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยเพราะผู้ประกอบการคือ ฐานรากเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศและยังเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต ดังนั้น ในปีนี้บริษัทจึงได้เสริมทัพกลยุทธ์สนับสนุนผู้ประกอบการผ่าน “SME โตไกลไปด้วยกัน” เพื่อให้ผู้ประกอบการเติบโตอย่างก้าวกระโดด บนฐานรากที่มั่นคงและแข็งแรงสอดคล้องกับความตั้งใจของบริษัท ภายใต้กลยุทธ์ 3 ให้ คือ

  1. ให้ช่องทางขาย เพิ่มช่องทางให้ผู้ประกอบการ SMEs นำเสนอสินค้าเพื่อจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และผ่านช่องทางออนไลน์
  2. ให้ความรู้ ในการพัฒนาสินค้า พร้อมจัดอบรมสัมมนาแก่ผู้ประกอบการ SMEs อย่างต่อเนื่อง และ
  3. ให้การเชื่อมโยงเครือข่ายแก่ SMEs ทั้งภายในบริษัท และองค์กรความร่วมมือจากภายนอก

“ต้องยอมรับว่าผู้ประกอบการไทยในปัจจุบันมีความรู้ ความสามารถในการขยายตลาดสู่ Modern Trade เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งที่ยังต้องการการสนับสนุนอย่างจริงจัง ศูนย์ 7 สนับสนุน SME ในฐานะพันธมิตรสำคัญของผู้ประกอบการ โดยมีบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านที่พร้อมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ จึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนกิจกรรมดังกล่าว เพื่อให้ผู้ประกอบการเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างภาคภูมิในอนาคต” นายยุทธศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ “DIPROM Move to Modern Trade 2” ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมภายใต้ความร่วมมือสำคัญระหว่างภาครัฐและเอกชนที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจเอสเอ็มอีให้เติบโตและสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ โดยทาง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดทีมอาจารย์จากสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่จะมาให้ความรู้ในหลักสูตรครั้งนี้ สำหรับการอบรมหลักสูตรพัฒนาทักษะผู้ประกอบการ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม – 5 พฤษภาคม 2566 ผ่านช่องทาง Online นอกจากองค์ความรู้ที่จะได้รับแล้ว ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษเพิ่มเติม อาทิ การได้รับคำปรึกษาแบบเฉพาะกับธุรกิจของตนในเรื่องการสร้างแบรนด์และพัฒนาแพ็คเกจจิ้ง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และสร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรมแบบเฉพาะธุรกิจ ช่วยส่งเสริมให้เอสเอ็มอีและผู้ประกอบการธุรกิจอื่น ๆ พัฒนาศักยภาพ พร้อมกับเปิดประตูไปสู่โอกาสใหม่ ๆ ในอนาคต

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2430 6877-78 ต่อ 1806-1807 หรือ ติดตามข้อมูลข่าวสาร ความเคลื่อนไหวต่างๆ ได้ที่ www.diprom.go.th และ www.facebook.com/dipromindustry

“MC” พบนักลงทุน ประกาศเดินหน้าขยายสาขา Mc Outlet เชื่อมั่นไตรมาส 3/66 นิวไฮรอบ 5 ปีต่อเนื่อง

0

บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC นำโดย นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นายปิยะ โอฬารริกสุภัค ประธานเจ้าหน้าที่ด้านบัญชีและการเงิน ร่วมนำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปีบัญชี 2566 (1 ต.ค.- 31 ธ.ค.2565) ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านช่องทางออนไลน์ ว่า บริษัท มีกำไรสุทธิ 246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 6.7% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 231 ล้านบาท โดยทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องและกลับมาดีกว่าช่วงก่อนโควิด-19 จากปัจจัยทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ดีขึ้น

ส่วนแนวโน้มผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 (1 ม.ค.- 31 มี.ค.2566) เชื่อว่าจะเติบโตและทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยมีแผนขยายสาขา Mc Outlet ในสถานีบริการพีทีที สเตชั่น ต่อเนื่อง จากจำนวน 100 สาขาซึ่งเปิดได้ตามเป้าหมายภายในมีนาคมนี้ ควบคู่กับการขยายบริการและช่องทางขายผ่านแพลตฟอร์มทั้งออฟไลน์และออนไลน์ รวมทั้งแผนการขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศกลุ่มเพื่อนบ้าน พร้อมเดินหน้าแคมเปญ “MY MC MY WAY ชีวิต…เต็มแม็ค” ชูแนวคิด “Body Positivity” เข้าใจความแตกต่างของรูปร่าง มุ่งมัดใจกลุ่มลูกค้าเดิม และขยายฐานลูกค้าใหม่ รวมถึงเพิ่มการลงทุนใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยแพร่รายงาน บจ. หุ้นยั่งยืน THSI 2022 สร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อทุกภาคส่วน

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยแพร่รายงาน “ESG Impact Assessment Report: THSI 2022” สรุปผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI  ที่สร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อผู้มีส่วนได้เสียทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อเป็นกรณีศึกษาและจุดประกายให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญในการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนอย่างยั่งยืน

ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำรายงาน “ESG Impact Assessment Report : THSI 2022” เพื่อรวบรวมข้อมูลการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนในรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI (Thailand Sustainability Investment) ประจำปี 2565 ที่สร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อผู้มีส่วนได้เสียรอบด้านอย่างเป็นรูปธรรม และมีความมุ่งมั่นจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG) พร้อมทั้งนำเสนอตัวอย่างการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน  ซึ่งปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนาระบบ ESG Data Platform เพื่อเป็นศูนย์กลางรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล ESG ที่บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูล ESG ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการนำไปศึกษาและปรับใช้เพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจ รวมถึงเป็นข้อมูลสำหรับผู้ลงทุนเพื่อใช้ประกอบการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน นำไปสู่การพัฒนาธุรกิจและการลงทุนที่ยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการพัฒนาตลาดทุนเพื่อทุกภาคส่วน “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” นายศรพลกล่าว

“ESG Impact Assessment Report : THSI 2022” แสดงให้เห็นว่าบริษัทจดทะเบียนสามารถนำประเด็น ESG ไปสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินธุรกิจ ในรอบปีที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียนมีการบริหารจัดการพลังงาน การใช้ไฟฟ้า/พลังงาน การใช้น้ำ การจัดการของเสียและก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาพนักงาน คู่ค้า ชุมชนและสังคม การบริหารจัดการความเสี่ยง ตลอดจนพัฒนาโครงสร้างการกำกับดูแลกิจการที่ดีเพื่อการดำเนินงานอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ จนสามารถวัดผลเป็นรูปธรรมทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ อาทิ

· ด้านสิ่งแวดล้อม ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรทำให้ลดการสูญเสียไฟฟ้า/พลังงาน มีการใช้น้ำตามหลัก 3R (Reduce, Reuse, Recycle) จัดการของเสียโดยนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาปรับใช้ รวมทั้งสนับสนุนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ทำให้เกิดผลกระทบเชิงบวก เช่น ใช้ไฟฟ้าน้อยลง 10,650 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ใช้พลังงานหมุนเวียน 248,190 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ปริมาณน้ำที่ลดและนำกลับมาใช้ใหม่ 227 ล้านลูกบาศก์เมตร และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 15 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่บริษัทประหยัดได้จากโครงการด้านสิ่งแวดล้อม 654 ล้านบาท เป็นต้น

· ด้านสังคม ให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนตามแนวทางสากล ดูแลไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการทำกระบวนการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) เพื่อประเมินผลกระทบและป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ดูแลพนักงาน/แรงงานด้วยการพัฒนาศักยภาพทั้ง Functional skill, Management skill และ Leadership skill ให้มีความสามารถและประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึงจัดให้มีสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานที่ปลอดภัย ควบคู่พัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนและสังคมจากโครงการส่งเสริมด้านการเกษตร พัฒนาอาชีพแก่ชุมชน ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาส ส่งเสริมด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตแก่คนในสังคม  

· ด้านบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ ร่วมสร้างวัฒนธรรมความโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยมีโครงสร้างองค์กรที่มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งส่วนใหญ่มีประธานกรรมการเป็นคนละบุคคลกับผู้นำบริษัท และมีกรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหารมากกว่าร้อยละ 66 อีกทั้ง 125 บริษัทจดทะเบียน เข้าร่วมเครือข่ายต่อต้านทุจริตและคอร์รัปชันในโครงการ Collective Action Coalition รวมทั้งให้ความสำคัญการบริหารจัดการความเสี่ยง ESG ความเสี่ยงจาก climate change ความเสี่ยงจากคู่ค้า และ emerging risk เพื่อให้ธุรกิจพร้อมปรับตัวและรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลต่อธุรกิจ อีกทั้งยังช่วยให้คู่ค้ามีการพัฒนาการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วย