Home Blog Page 179

ซีพีเอฟ เสิร์ฟอาหารพรีเมียมแบรนด์ ‘Bucher’ ในงานประชุมใหญ่สามัญสมาชิกหอการค้าไทยฯ ครั้งที่ 58

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ร่วมออกบูธในงานการประชุมใหญ่สามัญสมาชิก ครั้งที่ 58 ประจำปี 2566 นำสินค้าคุณภาพพรีเมียมมาจัดแสดงศักยภาพผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจรของประเทศไทยและของโลก พร้อมทั้งรับมอบโล่ห์ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนจาก นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการของหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประจำปี 2564-2565

นายอดิศร์ กฤษณวงศ์ ผู้อำนวยการสายงานรัฐกิจและเอกชนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ มีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ของหอการค้าไทยฯ ซึ่งเป็นองค์กรหลักทางการค้าและบริการของประเทศ ภายใต้แนวคิด “Connect the Dots” และเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงการทำงานจากเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ช่วยเพิ่มศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารไทยให้เติบโตในตลาดโลก

“ซีพีเอฟ พร้อมส่งมอบสินค้าที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการแก่ผู้บริโภคทั่วทุกมุมโลก จากกระบวนการผลิตที่ทันสมัยได้มาตรฐานสากล และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่ โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหาร” นายอดิศร์ กล่าว

ด้าน นายสนั่น อังอุบลกุล กล่าวว่า แนวโน้มการผลิตอุตสาหกรรมอาหารไทย ปี 2566 มีแนวโน้มการผลิตและการส่งออกเพิ่มมากขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการเฝ้าระวังโควิด-19 การขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย อย่าง ภาคเอกชน ที่ขับเคลื่อนหลักภาคการเกษตรและอาหารผ่านการลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติส่งผลให้ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ของโลกเป็นอันดับที่ 13 และอันดับที่ 4 ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ ในโอกาสที่หอการค้าไทยฯ ครบรอบ 90 ปี จึงมุ่งขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ BCG โดยจะช่วยพัฒนาให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนเปลี่ยนถ่ายและให้ความสำคัญกับธุรกิจสีเขียว ยกระดับการแข่งขันผ่านองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มมูลค่า อัตลักษณ์ของสินค้าเกษตรและอาหารไปสู่เวทีโลก

การจัดบูธในครั้งนี้ ซีพีเอฟ ยังนำสินค้า “ไส้กรอกหมูคูโรบูตะกลิ่นชาร์โคลล์กริลล์” แบรนด์บุชเชอร์ (Bucher) ไส้กรอกเนื้อหมูบดหยาบ เนื้อชุ่มฉ่ำ หนังกรอบ เกรดพรีเมียม ทำจากหมูคูโรบูตะ คัดสรรพิเศษ หอมควันย่างกลิ่น Charcoal Grill เป็นเอกลักษณ์ มาร่วมจัดแสดงอีกด้วย

CPF – SCG ยกระดับมาตรฐานอาคารเขียว ใช้นวัตกรรมก่อสร้าง ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก สู่สังคมคาร์บอนต่ำ

0
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ร่วมกับ บริษัท เอสซีจี บิลดิ้ง แอนด์ ลีฟวิ่งแคร์คอนซัลติ้ง จำกัด (ฺฺฺBLC) บริษัทที่ปรึกษาในด้านการพัฒนาอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และบริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด (CPAC) ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมการก่อสร้าง ภายใต้ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการพัฒนาอาคารเขียว นวัตกรรมการก่อสร้าง อาคารและฟาร์มประหยัดพลังงาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน” นำร่อง 3 โครงการสร้างสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้อาคาร เป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

พิธีลงนามความร่วมมือในวันนี้ (22 มีนาคม 2566) เป็นความร่วมมือของทุกฝ่ายที่มีความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน โดยร่วมกันกำหนดแนวทางพัฒนาโครงการอาคารเขียวและการนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบและการก่อสร้างอาคารและโรงงานในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร เพื่อขอรับรองมาตรฐานอาคารเขียวให้ได้ตามแผนงานที่กำหนด และพัฒนาการก่อสร้างโครงสร้างต่าง ๆ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยมี นายพีรพงศ์ กรินชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิศวกรรมกลาง เป็นตัวแทนของซีพีเอฟ ร่วมลงนามกับ นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Managing Director บริษัท เอสซีจี บิลดิ้ง แอนด์ ลีฟวิ่งแคร์คอนซัลติ้ง จำกัด และ นายสุรชัย นิ่มละออ President-Green Solution Business บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด เพื่อยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างสู่อาคารประหยัดพลังงาน มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และสร้างสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้อาคาร ณ ห้องบอร์ดรูม อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ สีลม

นายพีรพงศ์ กรินชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิศวกรรมกลาง ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ในฐานะผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ให้ความสำคัญกับการสร้างกระบวนการผลิตที่ทันสมัย ได้มาตรฐานระดับสากล โดยใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งความร่วมมือระหว่างซีพีเอฟและกลุ่ม SCG เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ตอบโจทย์แนวทางการดำเนินธุรกิจของทั้งสองบริษัทที่มุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามแนวนโยบายของประเทศไทยและประชาคมโลก ด้วยการร่วมมือกันดำเนินโครงการเพื่อขอรับรองมาตรฐานอาคารเขียว โดยในปีนี้ มีแผนที่จะดำเนินโครงการ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการโรงงานชำแหละและตัดแต่งสุกรศรีสะเกษ ห้องปฏิบัติงานและสำนักงานธุรกิจสัตว์น้ำ สมุทรปราการ โรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง สระบุรี มุ่งเน้นให้เป็นต้นแบบของอาคารประหยัดพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สร้างสุขภาวะที่ดีของผู้ที่ทำงานในอาคาร เป็นมิตรกับชุมชนและดูแลสิ่งแวดล้อม สอดรับกับเป้าหมายของซีพีเอฟที่มุ่งสู่องค์กรลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net-Zero)ในปี 2050 (พ.ศ. 2593) และมีเป้าหมายใช้พลังงานหมุนเวียน 100 %

นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Managing Director บริษัท เอสซีจี บิลดิ้ง แอนด์ ลีฟวิ่งแคร์คอนซัลติ้ง กล่าวว่า SCG มีเป้าหมายในการส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรต่างๆในการพัฒนาอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะที่ดีของผู้อยู่อาศัย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจของซีพีเอฟ จากความร่วมมือในครั้งนี้ ทางSCG พร้อมจะนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการเป็นที่ปรึกษาในการขอรับมาตรฐานอาคารเขียว เพื่อยกระดับมาตรฐานอาคารที่ลดการใช้พลังงาน สร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นต่อผู้ใช้งาน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อการประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ด้าน นายสุรชัย นิ่มละออ President-Green Solution Business บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ CPAC จะนำความเชี่ยวชาญสร้างสรรค์และนำนวัตกรรมโซลูชั่นสำหรับนวัตกรรมการก่อสร้างมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับการก่อสร้างใหม่ และซ่อมแซมโครงสร้างอาคารของซีพีเอฟ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ และแนวทางการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน ซึ่งซีพีเอฟให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่ทันสมัยได้มาตรฐานระดับสากล โดยใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านการนำนวัตกรรมก่อสร้างเข้ามาช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ซีพี-เมจิ คว้ารางวัล “สุดยอดแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากที่สุด” จากเวที Influential Brands ประเทศสิงคโปร์

0

บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รับรางวัล “สุดยอดแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากที่สุดแห่งปี (Top Influential Brands)” ครองใจผู้บริโภคมากที่สุดในกลุ่ม liquid milk จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคทั่วภูมิภาคเอเชีย ตอกย้ำแบรนด์อันดับ 1 ผู้นำตลาดนมและผลิตภัณฑ์นมพาสเจอไรซ์ ในงานประกาศรางวัล 2022 ASIA CEO SUMMIT & AWARD CEREMONY จัดโดย บริษัท อินฟลูเอ็นเชี่ยล แบรนด์ ประเทศสิงคโปร์ องค์กรระดับโลกที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและสำรวจข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคในเอเชียมากกว่า 20 ปี ร่วมกับ บริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จำกัด โดยมี นางสาวสลิลรัตน์ พงษ์พานิช กรรมการผู้จัดการ ซีพี-เมจิ รับรางวัล จาก นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานในพิธี ณ โรงแรมชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ

ในปีนี้ ทีมวิจัยได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียล (Gen Y) ที่มีอายุระหว่าง 24-39 ปี ใน 6 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ สิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และจีน ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม เพื่อรวบรวมความเห็นและความชื่นชอบที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ต่างๆ ซึ่ง ซีพี-เมจิ เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์นมเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ สะท้อนความเป็นผู้นำตลาดนมและผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรซ์ ที่ส่งมอบผลิตภัณฑ์นมเมจิคุณภาพสูง เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภคมายาวนานกว่า 35 ปี นับเป็นหนึ่งความภาคภูมิใจของบริษัทฯ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเป็นองค์กรของไทย สร้างชื่อเสียงให้เป็นที่ยอมรับ ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

พนง.จิตอาสา CPF ส่งมอบน้ำใจและกำลังใจให้ครูเชาว์ เติมเต็มสิ่งดีเพื่อสังคม

0

พนักงานจิตอาสา บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กว่า 100 คน ลงพื้นที่เพื่อทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคม และส่งมอบกำลังสนับสนุนการทำงานและความตั้งใจของ ครูเชาว์-เชาวลิต สาดสมัย ครูอาสาและทีมงานที่ดูแล เด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุและคนพิการใน 12 ชุมชนบริเวณสะพานพระราม 8 โดยเมื่อเร็วๆ นี้ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ และนายณฤกษ์ มางเขียว ผู้บริหารสูงสุด ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป ในฐานะประธานชมรมบำเพ็ญประโยชน์ ซีพีเอฟ นำพนักงานจิตอาสา สมาชิกของชมรมฯ ร่วมส่งมอบอาหารและของใช้ที่จำเป็นผ่าน ครูเชาว์ เพื่อกระจายสู่ชุมชน

ตลอดเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา จิตอาสาซีพีเอฟร่วมกันปรับสภาพแวดล้อมที่ดี ด้วยการทาสีรั้วและกำแพงใหม่ ทำแปลงผักสวนครัวที่ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน วัดดาวดึงษาราม และสร้างห้องซักผ้าให้ศูนย์สร้างโอกาสพระราม 8 และกิจกรรมในวันนี้ ซีอีโอประสิทธิ์ พร้อมจิตอาสาจากหน่วยงานต่างๆ ของซีพีเอฟ นำสิ่งของที่จำเป็น และผลิตภัณฑ์อาหาร ซีพี อาทิ ไส้กรอก ไข่สด ไข่ต้ม ไข่สมุนไพร นม ซีพี-เมจิ เครื่องดื่มทรูวิตามิน ข้าวตราฉัตร รวมทั้งอุปกรณ์การเรียน เครื่องเขียน กระดาษ A4 หนังสือเรียน เสื้อผ้าที่ยังอยู่ในสภาพที่ดี มอบให้กับเด็กๆ และคนในชุมชน โดยมีครูเชาว์เป็นตัวแทนรับมอบ

นายประสิทธิ์ กล่าวว่า กิจกรรมในวันนี้ นำโดยชมรมบำเพ็ญประโยชน์ ซีพีเอฟ ได้เชิญชวนจิตอาสาจากหน่วยงานและชมรมต่างๆ ในซีพีเอฟมาร่วมทำกิจกรรมที่ดี สนับสนุนการทำงานของครูเชาว์ซึ่งเป็นบุคคลที่เสียสละ รวมทั้งทีมงานที่ช่วยดูแลเด็กก่อนวัยเรียน มาช่วยกันพัฒนาและปรับปรุง สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ภายใต้กิจกรรม “อาสา มาทาสี” และทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น แปลงปลูกผัก สร้างห้องซักเสื้อผ้าฯลฯ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน ที่บริษัทฯ และพนักงานทุกคนยึดถือปฏิบัติโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ สังคม และบริษัท

“ขอขอบคุณครูเชาว์ที่เสียสละดูแลเด็กก่อนวัยเรียน ให้มีพื้นฐานชีวิตที่ดี เพื่อให้เติบโตเป็นคนที่ดีของสังคมและประเทศ และขอขอบคุณเพื่อนๆ พนักงานซีพีเอฟที่ทุ่มเททำประโยชน์เพื่อส่วนรวม แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับสังคม” นายประสิทธิ์กล่าว

ด้านครูเชาว์กล่าวว่า ผมขอขอบคุณคณะผู้บริหารและพนักงานซีพีเอฟที่มาเติมเต็มให้กับเด็ก คนทำงานและช่วยกันเติมเต็มให้สังคมของเราให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น ตั้งแต่กิจกรรม 3 ครั้งที่ผ่านมา เห็นพนักงานจิตอาสาได้ทำกิจกรรมเพื่อสังคม เป็นรอยยิ้มและความสุขที่แท้จริง และเข้าใจสิ่งที่พวกเราต้องการ

ทั้งนี้ กิจกรรมภายใต้โครงการปรับปรุงศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน วัดดาวดึงษาราม และศูนย์สร้างโอกาสพระราม 8 มีการทำกิจกรรมทั้งหมด 3 ครั้งในวันเสาร์ที่ 4 มี.ค. 11 มี.ค. และ 18 มี.ค. โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ของซีพีเอฟ และบริษัทในเครือซีพี

‘เจน–ณพรรฐ์ศมน ถนอมธรรม’ คนรุ่นใหม่ใจรักธุรกิจ ทิ้งงานประจำมาเปิดแฟรนไชส์ สู่เจ้าของ “ร้านห้าดาว” เดินหน้าขยายความสำเร็จใน 8 สาขา

0
จากมนุษย์เงินเดือนที่ค้นหาตัวเอง จนพบว่าอยากเป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ ‘เจน – ณพรรฐ์ศมน ถนอมธรรม’ ตัดสินใจทิ้งงานประจำ มาจับธุรกิจแฟรนไชส์ แม้ต้องล้มความฝันในช่วงแรก แต่ด้วยแรงผลักดันจากแม่ ทำให้เธอกลายเป็นเจ้าของ “แฟรนไชส์ห้าดาวสาขาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย” ในวัย 26 ปี ซึ่งกลายเป็นสาขาต้นแบบให้กับสาขาอื่นๆในปัจจุบัน และวันนี้พูดได้เต็มปากว่า ทุกวันคือวันหยุดสำหรับเธอ
เจน – ณพรรฐ์ศมน ถนอมธรรม

เจน บอกว่าตนเองก็เหมือนกับนักศึกษาจบใหม่ทั่วไปหลังจากเรียนจบก็ได้เข้าทำงานประจำ มีวงจรชีวิตของมนุษย์เงินเดือนทั่วไป เช้าตรู่ต้องเดินทางไปทำงาน กว่าจะกลับถึงที่พักก็เกือบ 3 ทุ่ม ทุกวันแทบไม่มีเวลาให้กับตัวเองเลย ใช้ชีวิตแบบนั้นประมาณ 3 เดือน เมื่อเห็นว่าชีวิตแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ จึงตัดสินใจออกจากงานกลับมาอยู่บ้านที่ชลบุรี และได้ทุนจากแม่เพื่อมาทำแฟรนไชส์ร้านชานมไข่มุก การลงทุนครั้งนี้ใช้เงินไปถึง 5 แสนบาท แต่ด้วยความที่ยังเด็กมาก อายุแค่ 22 ปี ต้องมาเป็นเจ้าของกิจการ เมื่อไม่มีประสบการณ์ ไม่รู้วิธีการจัดการร้าน การดูแลทีมงาน และเป็นการซื้อแฟรนไชส์แบบซื้อขาด จึงไม่มีทีมมาดูแลให้คำแนะนำ หลังเปิดร้านได้เพียง 5 เดือน ก็จำต้องเลิกไป

“ตอนนั้นแม่แนะนำว่าให้ลองเปลี่ยนมาช่วยดูร้านห้าดาว (FIVE STAR) ซึ่งเป็นธุรกิจของแม่ ให้เข้ามาช่วยเป็นผู้จัดการร้าน จากวันนั้นก็ทำร้านห้าดาวอยู่กับแม่ประมาณ 3-4 ปี จนทีมงานห้าดาวเห็นว่าเรามีประสบการณ์จึงชักชวนให้มาทำร้านต้นแบบ ในพื้นที่ที่ดูไว้แล้ว ทำร้านไว้แล้ว และชวนว่าจะมาลงทุนทำอยู่ตรงนี้สนใจไหม หลังจากไปดูร้านเห็นทำเลที่อยู่ในย่านคนทำงานและเป็นแหล่งชุมชนน่าจะมีโอกาสเติบโตได้ จึงตัดสินใจใช้เงินของตัวเองในการลงทุน กับร้านห้าดาวสาขาใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเป็นแห่งแรก และกลายเป็นต้นแบบให้กับสาขาอื่นๆ หลังจากทำแล้วถือว่าดีกว่าที่คิดไว้มาก จากที่เป็นร้านแรกๆที่เปิดในย่านนี้ ทำให้กลับคึกคัก มีร้านต่างๆทยอยมาเปิด ทำให้ตรงนี้กลายเป็นศูนย์รวมของร้านค้าต่างๆ” เจน กล่าว

ความสำเร็จส่วนหนึ่ง เป็นเพราะธุรกิจห้าดาวมีทีมสนับสนุนที่ดี ทำให้ไม่มีปัญหาในการดำเนินงาน เพราะห้าดาวเป็น “เพื่อนที่ปรึกษา” (The Operation) ทั้งส่วนของร้าน วัตถุดิบและสินค้าที่จำหน่ายในร้าน อุปกรณ์ต่างๆ การดูแลและบริการของทีมงานที่เข้มแข็ง รวมถึงสนับสนุนระบบบการจัดการทั้งหมด ที่สำคัญแบรนด์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคอยู่แล้ว รสชาตถูกปากและเป็นที่ยอมรับ ด้านการขายจึงไม่มีปัญหา ส่วนเจ้าของร้านต้องเน้นหนักเรื่องคนทำงานในร้าน ที่ต้องคัดคนตั้งแต่เริ่มแรกให้ดี จากนั้นทีมงานห้าดาวจะส่งทีมฝึกอบรมมาสอน เป็น “เพื่อนที่คอยแนะนำ” (The Trainer) สอนวิธีทำตั้งแต่แรก ทั้งการเปิดร้าน เมนูไก่แต่ละประเภททำอย่างไร ต้องทำตามมาตรฐาน QRS ของบริษัท ที่กำหนดการจัดเก็บสินค้าที่ถูกต้อง การปรุงอย่างไร วัตถุดิบถูกต้องเหมาะสม น้ำมันที่ใช้ต้องได้มาตรฐาน ร้านต้องรักษาความสะอาดตลอดกระบวนการ การต้อนรับลูกค้าต้องทำอย่างไร ทุกอย่างเป็นมาตรฐานทั้งหมด มีหลักการที่ให้ปฏิบัติตามได้ง่ายๆ หากมีจุดที่ต้องปรับปรุงก็จะสะท้อนให้รับทราบทันที ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้ประกอบการที่มีคนช่วยสนับสนุน ดูแล และให้คำแนะนำ ทำให้พนักงานต้องตื่นตัวและรักษามาตรฐานนั้นไว้

วันนี้การเติบโตของร้านมีอีกแรงขับเคลื่อนคือ การส่งสินค้าถึงมือลูกค้า (Delivery) ซึ่งทางห้าดาวจะจัดการเรื่องการสมัครให้ทางร้าน ในหลายแพลตฟอร์ม ถือว่าเป็นเพื่อนหลังบ้าน (The Marketeer) ที่ดี ตรงนี้ช่วยกระตุ้นยอดขายได้มากขึ้น ลูกค้าซื้อง่าย ร้านขายคล่องขึ้น และยังมีระบบการขายหน้าร้าน (Point of sale system : POS) ที่ห้าดาวทำไว้ให้ โดยสามารถดูยอดขายแบบออนไลน์ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถบริหารร้านได้ ไม่ยุ่งยากเรื่องงานเอกสาร ยอดขาย กำไร การสั่งสินค้า ฯลฯ

“จนถึงตอนนี้รู้สึกว่าการเป็นเถ้าแก่ห้าดาว คือ Work Life Balance ถึงเราจะทำงานแต่ก็ยังมีเวลาใช้ชีวิตส่วนตัว ตอนนี้ทำร้าน 8 ร้าน ในพื้นที่ชลบุรี 7 ร้าน และกรุงเทพฯ 1 ร้าน จนมีคนถามว่าแบบนี้จะมีวันหยุดไหม คำตอบคือทุกวันคือวันหยุด เพราะสามารถบริหารจัดการร้านผ่านทางมือถือได้ ดูการทำงานผ่านกล้องวงจรปิด หากต้องสั่งงานเร่งด่วนก็พูดผ่านกล้องได้ ทั้งหมดนี้เบื้องหลังของความสำเร็จคือการมีธุรกิจห้าดาวเป็นเพื่อนทางธุรกิจที่ดีคอยสนับสนุน ที่สำคัญคือการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างโอกาสให้ทั้งกับตัวเองและทีมงานอีกหลายสิบชีวิต” เจน สรุป

สิ่งที่เจนเล่ามาทั้งหมด ถือเป็นประโยชน์ต่อผู้คนมากมาย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตนเอง ที่ต้องเลือกคู่คิดคู่ค้าที่ถูกต้อง และต้องมุ่งมั่นลงแรงใส่ใจกับสิ่งที่ทำอย่างถึงที่สุด ความสำเร็จย่อมเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัลสุดยอดองค์กรธุรกิจไทย “THAILAND TOP COMPANY AWARDS 2023” ปีที่ 5

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับรางวัลเกียรติยศ “THAILAND TOP COMPANY AWARDS 2023 ประเภทอุตสาหกรรมประกันชีวิต” รางวัลสุดยอดองค์กรธุรกิจไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 เป็นรางวัลสูงสุดในธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย ประธานในพิธีเป็นผู้มอบรางวัลดังกล่าว จากพิธีมอบรางวัล THAILAND TOP COMPANY AWARDS 2023 จัดขึ้นโดยนิตยสาร BUSINESS+ ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่นำมาซึ่งความภาคภูมิใจแก่บริษัทฯ ที่ประสบความสำเร็จและสะท้อนให้เห็นถึงการมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นและยอดเยี่ยม งานจัดขึ้น ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์

โดยเมืองไทยประกันชีวิตได้รับรางวัลเกียรติยศ THAILAND TOP COMPANY AWARDS มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 – ปัจจุบัน โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยร่วมกับคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญที่ทรงคุณวุฒิ พิจารณารางวัล โดยใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาที่มีความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือ ทั้งด้านผลการดำเนินงาน การประกอบธุรกิจที่มีความโดดเด่น มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้รางวัลนี้เป็นรางวัลแห่งเกียรติยศและสร้างความภาคภูมิใจในความสำเร็จขององค์กร ส่งผลให้เมืองไทยประกันชีวิตได้รับรางวัลดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นรางวัลสำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างกำลังใจให้กับองค์กร ที่สามารถสร้างความมุ่งมั่นที่จะยกระดับศักยภาพในการบริหารจัดการธุรกิจให้เติบโต อย่างยั่งยืน อันเป็นรากฐานสำคัญของเศรษกิจไทยต่อไปในอนาคตได้

AIS ZEED 5G จับมือ KBTG มอบสิทธิพิเศษจัดเต็มเพียงเปิดเบอร์ใหม่ และบัญชีออนไลน์ K-eSavings

0

AIS ZEED 5G เดินหน้านำเสนอประสบการณ์ดิจิทัลผ่านสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ตามความต้องการที่แตกต่างของกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ New Gen ที่มีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ซึ่งมีความสอดคล้องกับเป้าหมายการทำงานกับพาร์ทเนอร์รายล่าสุดอย่างกสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ที่มุ่งเสนอนวัตกรรมทางการเงินให้สอดรับกับการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลของคนรุ่นใหม่ โดยร่วมกันส่งมอบสิทธิพิเศษเอาใจลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทีน เพียงเปิดเบอร์ใหม่กับทุกแพ็กเกจจาก ZEED 5G ไม่ว่าจะเติมเงินหรือรายเดือน พร้อมเปิดบัญชีออนไลน์ K-eSavings ใหม่ ผ่านแอพลิเคชั่น MAKE by KBank จาก KBTG รับสิทธิพิเศษเป็นเงินคืน สำหรับ ZEED Sim ระบบเติมเงิน หรือเน็ต 5G เต็มสปีดเพิ่ม สำหรับ ZEED 5G รายเดือน มูลค่าสูงสุด 100 บาท

นางเบญจพร กำเพ็ชร หัวหน้าสำนักการตลาดกลุ่มลูกค้าพรีเพด AIS กล่าวว่า “ความพิเศษที่ลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ New Gen จะได้รับจากการทำงานร่วมกับ KBTG ในครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ประสบการณ์ดิจิทัลจากการใช้งานบนโครงข่ายที่ดีที่สุดของไทยเท่านั้น แต่ลูกค้ายังจะได้สัมผัสกับบริการทางการเงินกับบัญชีออนไลน์บน MAKE by KBank จาก KBTG รวมถึงยังได้รับสิทธิพิเศษ เป็นเงินคืน สำหรับ ZEED Sim ระบบเติมเงินหรือเน็ตเสริม สำหรับ ZEED 5G รายเดือน มูลค่าสูงสุด 100 บาท ที่เราจัดมาพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ในแคมเปญนี้เท่านั้น โดยเราเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้ช่วยสร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้กับลูกค้า และจะสามารถตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ทั้งการเรียนออนไลน์ ความบันเทิงจากเกม ซีรีย์ และโซเชียลมีเดีย รวมถึงนวัตกรรมบริการทางการเงินทั้งการเปิดบัญชี และตัวช่วยในการบริหารจัดการธุรกรรมทางการเงินที่เข้าใจคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง”

นายเชษฐพันธุ์ ศิริดานุภัทร Managing Director, KBTG กล่าวว่า MAKE by KBank เป็นแอปตัวช่วยจัดการเงินที่มีเป้าหมายในการสร้างวินัยทางการเงินให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้สามารถเก็บและจัดสรรการเงินที่ดียิ่งขึ้น การจับมือกับทาง AIS ในการมอบสิทธิพิเศษนี้จะเป็นการช่วยสร้างการรับรู้และกระตุ้นการใช้งานในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดย KBTG มั่นใจว่าฟีเจอร์ Cloud Pocket สำหรับแบ่งเงินเป็นสัดส่วน รวมถึงประสบการณ์การใช้งานของ MAKE by KBank ที่ง่ายและแตกต่างจากแอปอื่นๆ นั้น จะสามารถตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินที่หลากหลายของกลุ่มผู้ใช้งานวัยรุ่นได้

โดยความร่วมมือครั้งนี้เป็นการมอบสิทธิพิเศษมูลค่า 100 บาท สำหรับลูกค้าที่เปิดเบอร์ใหม่ภายใต้แพ็กเกจ ZEED ทั้งเติมเงินและรายเดือน พร้อมเปิดบัญชี K-eSaving ผ่านแอป MAKE by KBank จาก KBTG โดยมีแพ็กเกจดังนี้

  • แพ็กเกจ ZEED sim ระบบเติมเงิน รับเงินคืนเข้า Wallet 2 มูลค่า 100 บาท พร้อมสัมผัสประสบการณ์ดิจิทัลที่ครบครันสำหรับวัยทีน ฟรีเน็ต 5G สูงสุด 24 GB พร้อมเน็ตไม่อั้น เล่นฟรีครบทุกสาย ทั้งแอปเรียน บันเทิง โซเชียล และเกม
  • แพ็กเกจ ZEED 5G รายเดือน 299 บาท ขึ้นไป รับเน็ต 10 GB มูลค่า 100 บาท สำหรับกลุ่มวัยทีน อายุ 17-24 ปี แพ็กเกจเหมาะสมกับการเรียน เล่นโซเชียลได้เต็มที่ เพราะมีเน็ต 5G เร็ว แรง พร้อมเน็ตไม่อั้น ราคาคุ้มค่าเริ่มต้นเพียงเดือนละ 299 บาท /เดือน
  • KIDDY รายเดือน 199 บาท รับเน็ต 10 GB มูลค่า 100 บาท รับเน็ตไม่อั้น พร้อมโทร AIS ฟรี 5 เบอร์ คุ้มครองลูกหลานให้ปลอดภัยบนโลกออนไลน์ด้วย Google Family Link แอปสำหรับผู้ปกครองช่วยดูแลลูกหลานบนโลกออนไลน์

สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.ais.th/zeed/

เปิดสูตรโตไม่หยุด…ฉุดไม่อยู่ “แป้งระงับกลิ่น เต่าเหยียบโลก-ชานมไข่มุก นิชิ”

0
เชื่อมั่นในแบรนด์-ออกโปรดักท์ตื่นเต้น-มีสตอรี่ที่มา สร้างชื่อสุดปังในเซเว่นฯ

สำหรับ SME แล้ว การนำสินค้าเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) จึงได้จับมือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ เดินหน้าจัดกิจกรรม DIPROM MOVE TO MODERN TRADE ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หลังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในปีแรก เพื่อปั้นผู้ประกอบการ SME ศักยภาพเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด พร้อมสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

ทั้งนี้ ภายในงานเปิดตัวกิจกรรมได้เชิญผู้ประกอบการจาก 2 แบรนด์ดังที่มีความต่างของสินค้ากันอย่างสุดขั้วมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ พร้อมเปิดสูตรความสำเร็จ แบรนด์หนึ่งถือเป็นน้องใหม่ในตลาดที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งแรก โดยมีการนำความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาสินค้าและสร้างชื่อจนฮอตฮิตติด Top Chart เซเว่นฯไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับเครื่องดื่มชานมไข่มุก “นิชิ” (NICHI) ส่วนอีกแบรนด์ได้ชื่อว่าเป็นสินค้าที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 27 ปี แต่แรงยังดีไม่มีตก ด้วยยอดขายปี 2565 กว่า 100 ล้านบาท นั่นก็คือ แป้งระงับกลิ่นกายธรรมชาติ “เต่าเหยียบโลก”

“นิชิ” จับตาพฤติกรรม 3T ผลิตสินค้าให้ตอบโจทย์

ปัจจุบัน ชานมไข่มุก กลายเป็นเครื่องดื่มที่ผู้บริโภคมีความต้องการอย่างมาก ส่งผลให้ตลาดมีการแข่งขันสูง ผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างอัดกลยุทธ์ดึงกำลังซื้อ ขณะที่ผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กก็ต้องหาช่องว่างทางการตลาด เพื่อสร้าง แบรนด์และสินค้าให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก แต่สำหรับเครื่องดื่มชานมไข่มุก “นิชิ” สามารถสร้างแบรนด์และสินค้าให้เป็นที่รู้จักได้ในเวลาไม่นาน

แคร์-ณัฐรดา ศิริสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คุริโตะ ฟูดส์ จำกัด เจ้าของชานมไข่มุก แบรนด์ นิชิ เล่าให้ฟังว่า เริ่มนำสินค้าเข้าตลาดโมเดิร์นเทรดในปี 2565 โดยเข้าที่เซเว่นฯ เป็นที่แรก เพราะมองว่า สินค้ามีคุณภาพ แต่ราคาไม่สูง กลุ่มลูกค้าหลักคือคนรุ่นใหม่วัยทำงาน ที่ชื่นชอบความสะดวกและรักสุขภาพ ซึ่งเซเว่นฯ เป็นช่องทางจำหน่ายที่ตอบโจทย์ที่สุด และมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำให้สินค้าเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่าย จึงเข้าไปขอรับคำปรึกษาจากทีมงานของเซเว่นฯ ซึ่งได้รับคำแนะนำที่ดีมาโดยตลอด และได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม DIPROM MOVE TO MODERN TRADE ในครั้งแรก ทำให้ได้นำความรู้ที่ได้รับกลับมาพัฒนาสินค้า โดยปรับแพ็กเก็จจิ้งให้มีความแข็งแรงและโดดเด่นสะดุดตา เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจ

นอกจากนี้ยังต้องศึกษาการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในปีนี้คือ พฤติกรรม 3Tได้แก่ 1.Trust ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องของภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และดีไซน์ มากขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของคุณภาพเท่านั้น 2.Try ผู้บริโภคชอบทดลองสิ่งใหม่ ผู้ประกอบการควรออกสินค้าใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อสร้างความน่าสนใจ น่าตื่นเต้นให้กับแบรนด์ และ 3.Trace ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับที่มาที่ไปของสินค้า ข้อมูลโดยละเอียดของสินค้ากลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้บริโภคสนใจอยากรู้ เช่น วัตถุดิบ กรรมวิธีการผลิต ไปจนถึงข้อมูลการขนส่งไปจนถึงมือลูกค้า ซึ่งทางเราเองก็นำพฤติกรรมเหล่านี้มาช่วยในการพัฒนาสินค้า ทำให้แบรนด์และสินค้าเป็นที่รู้จักในเวลาอันรวดเร็ว

“เต่าเหยียบโลก” รีแบรนด์ครั้งใหญ่ ปรับแพ็กเก็จจิ้ง ดันยอดขายพุ่ง

เมื่อเอ่ยชื่อ “เต่าเหยียบโลก” สาย Content Online ต้องรู้จักเป็นอย่างดี เพราะโด่งดังมาจากโลกโซเซียล นพวิทย์ จันทิพย์วงษ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ไทย เฮิร์บ เอนเตอร์ไพรซ์ จำกัด ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายแป้งระงับกลิ่นกายธรรมชาติ “เต่าเหยียบโลก” เล่าย้อนความให้ฟังว่า เดิมทำการตลาดผ่านช่องทางค้าปลีกแบบส่งตรงถึงมือผู้บริโภค กระทั่งลูกค้าที่ได้ใช้นำไปพูดถึงในโลกโซเซียล ทำให้มีความต้องการสินค้าจำนวนมาก ซึ่งช่องทางจำหน่ายที่จะช่วยกระจายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคได้เร็วที่สุดคือ โมเดิร์นเทรด และ เซเว่นฯ ก็ตอบโจทย์ดังกล่าว จากเดิมยอดขายอยู่ที่ปีละ 2-3 ล้านบาท พอได้เข้ามาจำหน่ายที่เซเว่นฯ ยอดขายพุ่งสูงขึ้นเกือบเท่าตัวเป็น 5 ล้านบาท และเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง

กระทั่งเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผู้บริโภคอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้ไม่ค่อยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ส่งผลให้ยอดขายลดลง โดยในปี 2564 มียอดขาย 85 ล้านบาท ทำให้ตัดสินใจรีแบรนด์และปรับโฉมแพ็กเก็จจิ้งใหม่ให้มีความทันสมัย โดยออกแบบให้ฝาติดกับขวดเพราะจากเดิมฝากับขวดจะแยกกัน รูปทรงบรรจุภัณฑ์เป็นทรงมน พร้อมปั๊มชื่อแบรนด์ลายนูนบนขวด เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า เพิ่มสีสันและกลิ่นใหม่ ๆ รวมทั้งมีสินค้าในรูปแบบรีฟิล เพื่อตอบโจทย์กระแสรักษ์โลก ลดขยะ ควบคู่กับการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก

“หลังการรีแบรนด์และปรับเปลี่ยนแพ็กเก็จจิ้ง ทำให้ในปี 2565 บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 116 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากช่องทางโมเดิร์นเทรดมากกว่า 70% แสดงให้เห็นว่า โมเดิร์นเทรด เป็นตลาดที่สำคัญมาก ที่จะช่วยให้ธุรกิจมีการเติบโต รวมทั้งบริษัทไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเองอยู่สมอ โดยต้องพัฒนาบนพื้นฐานความต้องการของตลาดเป็นสำคัญ อย่าคิดว่าสินค้าที่อยู่มานานในตลาดจะไม่สามารถโตได้ ขอเพียงแค่อย่าหยุดที่จะก้าวต่อไป โดยยังคงต้องรักษาสิ่งที่ดีเอาไว้”

ตลาดโมเดิร์นเทรด ถือเป็นช่องทางการตลาดที่สำคัญของธุรกิจ SME ที่ผู้ประกอบการเลี่ยงไม่ได้ หากต้องการที่จะสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต สำหรับผู้ประกอบการSME ที่ต้องการคำแนะนำในการเข้าตลาดโมเดิร์นเทรด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนที่เปิดให้บริการ หรือที่ ศูนย์ 7 สนับสนุน SME โทร. 02-826-7750ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-17.00 น. Email : [email protected]

รู้เก็บรู้ออม : SET e–Learning ยกทัพความรู้

0

สัปดาห์นี้ “คุณนายพารวย” มีข่าวดีสำหรับน้องๆ นักเรียนนักศึกษาที่กู้ยืมเงินของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ตอนนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมและสนับสนุนการให้ความรู้กับประชาชนในการออมและการลงทุน ได้ร่วมกับ กยศ. เดินหน้าส่งเสริมความรู้ทางการเงินแบบต่อเนื่องให้กับผู้กู้ยืม กยศ.

โดยยกทัพความรู้จัดเต็มหลักสูตรการเรียนออนไลน์ผ่าน SET e-Learning รวม 51 หลักสูตร และในปี 2566 ได้เพิ่มอีก 16 หลักสูตรใหม่ ครอบคลุมความรู้ด้านการวางแผนการเงิน การลงทุน และด้านการเป็นผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็น “หลักสูตรวัย 20+ : เริ่มต้นดี…ชีวิตไม่มีติดลบ”, “หลักสูตรวัยรุ่นแบบ “ของมันต้องมี” ไม่สร้างหนี้ แถมสร้างตัว”, “หลักสูตรรู้ก่อนเป็นหนี้ จะได้ไม่รู้งี้ทีหลัง” และ “หลักสูตร Creative Content Marketing”

สำหรับ SET e-Learning เป็นหลักสูตรออนไลน์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเงินการลงทุนแบบดิจิทัล ตลอดจนนำเทคโนโลยีมัลติมีเดียมาช่วยถ่ายทอดความรู้ที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาการวางแผนการเงินการลงทุน ที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่นิสิต นักศึกษา ประชาชน และนักลงทุนมือใหม่ที่อยากพัฒนาตัวเองไปสู่นักลงทุนมืออาชีพเพื่อสร้างความมั่งคั่งและอิสรภาพทางการเงินแบบเป็นขั้นเป็นตอน

จุดเด่นของแหล่งเรียนรู้นี้คือ ประกอบไปด้วยหลักสูตรหลากหลาย ครอบคลุมความรู้ ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงขั้นสูง จัดทำบทเรียนอย่างเป็นระบบ แบ่งหลักสูตรเป็นบทเรียนย่อย เข้าใจง่าย แต่ละหลักสูตรมีแบบทดสอบวัดความรู้ก่อนและหลังการเรียน มีระบบติดตามผลการเรียน ติดตามสถานะการเรียนและตรวจสอบผลการทดสอบ และรองรับหลากหลายอุปกรณ์ทั้งคอมพิวเตอร์พีซี, โน้ตบุ๊ก และสมาร์ทโฟน

ปีที่ผ่านมาหลักสูตร SET e–Learning นอกจากจะได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้สนใจทั่วไปแล้ว สำหรับนักเรียนนักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ.เอง พบว่ามียอดผู้เข้าเรียนสะสมตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบันแล้วกว่า 4,016,934 ครั้ง ทำให้คาดหวังได้ว่า ผู้เรียนจะสร้างวินัยทางการเงินและการออม นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และสามารถชำระเงินกู้ยืมคืนกองทุนได้ตามกำหนด

เมื่อนักเรียนนักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ.เรียนจบครบหลักสูตร นอกจากจะได้รับความรู้และประกาศ นียบัตรไว้เป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจแล้ว ยังสามารถนำไปนับชั่วโมงจิตสาธารณะได้ถึง 65 ชั่วโมง และเมื่อทำแบบทดสอบความรู้ทางการเงิน SET Fin Quizz พิชิต Fin Gap เพื่อเช็กระดับความรู้ด้านการเงินและการลงทุน ยังสามารถรับ e-Certificate นอกจากนี้ การเข้าชมพิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน INVESTORY ก็สามารถนับกิจกรรมจิตสาธารณะได้อีก 2 ชั่วโมง

ผู้กู้ยืม กยศ.ลงทะเบียนเข้าเรียนออนไลน์ผ่านระบบกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแบบดิจิทัล (DSL) ได้ทางเว็บไซต์ www.studentloan.or.th หรือแอปพลิเคชัน กยศ. Connect ความรู้ดีๆ รออยู่ตรงหน้าแล้ว อย่ารอช้า!

สำหรับองค์กรอื่นที่สนใจความรู้ทางการเงินกับตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.set.or.th/happymoney

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

รัฐ – เอกชน ชี้ประชานิยมหาเสียงขึ้นค่าแรง ทำศก.พัง

0
ทุกภาคส่วนมองพรรคการเมืองขายฝันค่าแรงขั้นต่ำ หวั่นศก.พัง ย้ายฐานการผลิต พร้อมให้คำนึงถึงระบบประกันสังคม รัฐยังค้างจ่ายเงิน 5 หมื่นล้าน และไม่พอค่าครองชีพ รวมทั้งคำนึงแรงงานนอกระบบ แรงงานอิสระ สหภาพฯ​ฉะ รัฐต้องเลิกพูดค่าแรงขั้นต่ำ แต่ควรทำเป็นโครงสร้างทั้งระบบเหมือนกันทั้งแรงงานในระบบ—นอกระบบ

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยในงานสัมมนาสาธารณะในประเด็นค่าแรงขั้นต่ำขายฝันแรงงานไทย ของหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลาง ด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ บสก.รุ่นที่ 11 โดยสถาบันอิศราว่า พรรคการเมืองต่างใช้นโยบายประชานิยมในการหาเสียงด้วยการชูประเด็นด้วยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยส่วนตัวเห็นว่าเป็นนโยบายชวนเชื่อทางการตลาด แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งทำได้จริง เพราะการขึ้นค่าจ้างเป็นเรื่องของนายจ้าง เป็นเรื่องของภาคเอกชนที่เป็นผู้จ่าย ไม่ได้ใช้งบประมาณของพรรคการเมือง หรือ งบจากภาครัฐแต่อย่างใด โดยหากค่าจ้างที่สูงขึ้นเกินจากความเป็นจริง จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่ของการอุปโภคบริโภคทั้งหมด และ สุดท้ายภาระจะตกอยู่กับผู้บริโภค ทั้งนี้ ในฐานะนายจ้าง มองว่าค่าจ้างขั้นต่ำของไทยควรจะเป็นค่าจ้างที่ขึ้นเป็นอัตโนมัติ ตามอัตราเงินเฟ้อ และ ต้องไม่มีการเมืองเข้ามาแทรกแซง

“เป้าหมายคือ นายจ้างลูกจ้างต้องอยู่ด้วยกันได้เหมือนปาท่องโก๋ ดังนั้นการขึ้นค่าจ้าง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ ของ องค์กรไตรภาคี ที่ทำกันมาแล้วกว่า 30 ปี การเมืองอย่างเข้ามาแทรกแซงทำลายต้นทุนของชาติ และ ประชาชนชน ก็ต้องรู้เท่าทัน ว่าพรรคการเมืองต่างๆ เค้าใช้การตลาด 100 % เพื่อให้ได้เข้ามาในสภาฯ” นายธนิต กล่าว

นอกจากนี้อยากฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ GEN Z ที่กำลังหางานทำสิ่งที่ต้องมีคือทักษะด้านภาษา โปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐานต้องมี บุคลิกภาพที่ดีแต่งกายที่เหมาะสมมีการเตรียมข้อมูลก่อนการสัมภาษณ์ และสุดท้ายอย่าเลือกงานเพราะแม้ว่าเงินเดือนจะน้อยในตอนต้น แต่ประสบการทำงานจะทำให้เราสามารถเพิ่มค่าตอบแทนในอนาคตได้

นายยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ที่ปรึกษาฝ่ายการวิจัยนโยบายทรัพยากรมนุษย์ TDRI กล่าวถึงนโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง ว่า การหาเสียงด้วยการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ ทำให้ค่าจ้างไม่เป็นไปตามกลไกเศรษฐกิจ และทำให้ต้นทุนสูงการผลิตของประเทศสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อพรรคการเมืองนำค่าจ้างมาเป็นนโยบายในการหาเสียงจะเป็นอันตรายต่อประเทศ เพราะกกต.กำหนดเอาไว้ว่า นโยบายที่พรรคการเมืองใช้หาเสียงเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้วจะต้องทำจริง ซึ่งจะทำให้นายจ้างได้รับผลกระทบ และจากนี้ไปมองว่ารัฐบาลไม่ได้อยู่ยาว เหมือนในอดีต ซึ่งมีความเป็นไปได้ได้ว่านโยบายค่าแรงจะเปลี่ยนทุก 2 ปี

ทั้งนี้ขอฝากไปยังพรรคการเมืองว่า ควรทำให้ค่าจ้างเป็นไปตามกลไก ไตรภาคี เพราะถ้ามีการแทรกแซงจะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง ตลาดแรงงานได้รับผลกระทบ

ด้านนายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า ปัจจุบันค่าแรงไม่เพียงต่อการใช้จ่ายของแรงงาน ดังนั้น ควรมาไปดูที่โครงสร้างมากกว่าการกำหนดเรื่องของตัวเลขอย่างเดียว ควรมาหารือกันว่าค่าจ้างเท่าไหร่ที่แรงงานอยู่ได้ อยู่ได้ปัจจุบันเป็นเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณทุกพรรคที่พยายามเสนอนโยบายค่าแรง แต่ทางปฏิบัติพูดแล้วต้องทำ และต้องทำให้ได้ ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่านโยบายค่าแรงบางยุค ไปไม่ถึงจุดที่หาเสียงเอาไว้

นางสุนทรี หัตถี เซ่งกิ่ง กรรมการสมาคมเครือข่ายแรงงานนอกระบบ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แรงงานนอกระบบ คือ แรงงานที่ไม่ได้อยู่ในภาคการจ้างงานที่เป็นทางการ ปี 2565 คนมีงานทำทั้งสิ้น 39.6 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานนอกระบบ 20.2 ล้านคนซึ่งค่าจ้างขั้นต่ำไม่คุ้มครอง ที่เห็นได้ชัดคือในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 กลุ่มแรงงานนอกระบบเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบ ต้องลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวและปรับตัวอย่างมาก เนื่องจากไม่มีรายได้ประจำ ไม่สามารถที่จะฝันเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำได้ อีกทั้งบางอาชีพของแรงงานนอกระบบขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก ถ้าการท่องเที่ยวยังไม่กลับมาก็ยากที่จะฟื้น แม้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายแต่หลายอาชีพที่เป็นแรงงานนอกระบบก็ยังไม่ได้กลับมาทั้งหมด

“คำถามว่า ค่าแรงขั้นต่ำขายฝันแรงงานไทยหรือไม่ เราอยู่นอกระบบของการคิดค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่ว่าจะประกาศอะไร จะเป็นฝันของใครไม่รู้ แต่ไม่ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ

ดังนั้นสิ่งที่ภาครัฐควรทำคือ การคุ้มครองค่าจ้างขั้นต่ำ ค่าจ้างที่เป็นธรรม ต้องคุ้มครองถึงแรงงานนอกระบบกลุ่มที่มีผู้จ้างงานหรือนายจ้างด้วย และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องประกันรายได้กลุ่มคนเหล่านี้ ต้องมีมาตรการส่งเสริมให้มีรายได้ให้เท่าเทียมกับค่าจ้างขั้นต่ำของแรงงานในระบบ”