Home Blog Page 177

อ.พัฒนานิคม ลพบุรี จับมือ ซีพีเอฟ และ กรมป่าไม้ ร่วมดูแลผืนป่าต้นน้ำ”เขาพระยาเดินธง”

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เดินหน้าปลูกป่าใหม่เพิ่มเติม อนุรักษ์และฟื้นฟูผืนป่าต้นน้ำ เพิ่มพื้นที่สีเขียว ในโครงการ” ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” จังหวัดลพบุรี ผนึกพลังกรมป่าไม้ เครือข่ายภาคประชาสังคม และพนักงาน มีส่วนร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ ดูแลการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน มุ่งสู่การสร้างความมั่นคงทางอาหาร

พนักงานจิตอาสาซีพีเอฟ 250 คน จากสายธุรกิจต่างๆ ร่วมกิจกรรมซ่อมแซมฝายชะลอน้ำ ในพื้นที่โครงการ”ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำที่เป็นความร่วมมือ 3 ประสาน โดยภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน โดยวันนี้ (31 มีนาคม 2566) เป็นกิจกรรมครั้งแรกของปีนี้ เพื่อซ่อมแซมให้ฝายมีสภาพสมบูรณ์ พร้อมใช้งานในการกักเก็บน้ำและชะลอการไหลของน้ำ เติมความชุ่มชื้นของดินและต้นไม้ โดยมี ดร.รัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอพัฒนานิคม เป็นประธานเปิดกิจกรรม

นายภาณุวัตร เนียมเปรม ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจไก่เนื้อ – เป็ดเนื้อครบวงจร ในฐานะประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์ ฯ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความยั่งยืน ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ สร้างความตระหนักสู่พนักงานในองค์กร
โดยตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา ได้ดำเนินโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” ทำให้เพิ่มพื้นที่สีเขียวไปแล้วรวม 7,000 ไร่ และในปี 2564-2568 (ระยะที่สองของโครงการฯ) มีเป้าหมายขยายพื้นที่อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าในพื้นที่โครงการเขาพระยาเดินธงอีก 5,000 ไร่ เป็นต้นน้ำของแหล่งน้ำธรรมชาติ สำหรับทำการเกษตรและการอุปโภคของชุมชน

โดยตลอด 8 ปีที่ผ่านมา โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง ทั้งในมิติเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการจ้างงานชุมชนและกระจายรายได้ ด้านสังคม ช่วยยกระดับคุณภาพความเป็นอยู่ของชุมชน สามารถใช้ประโยชน์จากป่าเป็นแหล่งอาหารให้ชุมชน และด้านสิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าและความหลากหลายของพันธุ์พืช ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งน้ำ และอาหารของสัตว์และแมลงต่างๆ ช่วยปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ

“ซีพีเอฟ มุ่งมั่นมีส่วนร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ที่สำคัญ คือ เป็นการสร้างความตระหนักให้พนักงานเห็นความสำคัญของป่าที่มีผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นต้นทางอาหารของมนุษย์และสัตว์” นายภาณุวัตร กล่าว

ด้าน นายถนอมพงษ์ สังข์ธูป ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการปลูกป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 5 (สระบุรี) กรมป่าไม้ ในฐานะหัวหน้าโครงการฟื้นฟูสภาพป่าไม้เขาพระยาเดินธง กล่าวว่า ความร่วมมือ 3 ประสาน ในการดำเนินโครงการ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” เกิดผลสัมฤทธิ์รอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ ทำให้ช่วยกักเก็บน้ำไว้ในฤดูน้ำหลาก น้ำไหลสู่ชุมชนได้ใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ ชาวบ้านได้ใช้น้ำทำการเกษตร รวมทั้งซีพีเอฟยังได้เข้าไปช่วยเหลือชุมชนรอบโครงการ เช่น การจ้างงานชุมชน การส่งเสริมอาชีพให้กับชุมชน ผ่านการดำเนินโครงการปลูกผักวิถีธรรมชาติ และ โครงการการเพาะพันธุ์และอนุบาลปลา ด้านการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เห็นผลสำเร็จชัดเจนในการฟื้นคืนความสมบูรณ์กลับสู่ผืนป่าได้ในระยะเวลาอันสั้น และเป็นโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่เข้าร่วมโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme : LESS)ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เพื่อช่วยกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์

หัวหน้าโครงการฟื้นฟูสภาพป่าไม้เขาพระยาเดินธง กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า นอกจากโครงการ ฯ จะเกิดประโยชน์กับชุมชนในพื้นที่่แล้ว ซีพีเอฟและกรมป่าไม้ ยังได้ร่วมมือกันเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ โดยจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้ และเปิดโอกาสให้นักเรียนของสถานศึกษารอบโครงการ ฯ ได้มาเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง กระตุ้นให้เกิดความรักและหวงแหนพื้นที่ป่า ช่วยกันดูแลเพื่อรักษาทรัพยากรป่าไม้ให้คงอยู่ต่อไป

แนะผู้บริโภคเลือกซื้อเนื้อหมูจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ ลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อน

0

นักวิชาการ ม.เกษตรฯ ย้ำ! ฝีหนองที่พบในเนื้อหมูไม่ใช่ภาวะโรคและไม่ติดต่อสู่คน แนะเลือกซื้อจากผู้ผลิตและแหล่งจำหน่ายที่ได้มาตรฐาน สังเกตตราสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” เพื่อความปลอดภัย

อาจารย์พิชัย จิรวัฒนาพงศ์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริหาร คณะสัตวแพทยศาสตร์ กำแพงแสน อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์และทรัพยากรการผลิตสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า “ฝีหนอง” ในเนื้อหมูสดที่ผู้บริโภคมักพบในร้านชาบู หมูกระทะ รวมถึงเนื้อหมูที่ซื้อมาประกอบอาหาร ไม่ได้เกิดจากการที่หมูป่วยเป็นโรค แต่อาจเกิดจากขั้นตอนในการใช้เข็มฉีดวัคซีนหรือยารักษาโรค หากไม่สะอาดขณะเตรียมการฉีด จะทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อตรงบริเวณตำแหน่งที่ฉีดแล้วเกิดเป็นฝีหนองได้

นอกจากนี้ ฝีหนองในเนื้อหมูไม่ใช่โรคจึงไม่ติดต่อสู่คน ขอให้ผู้บริโภคไม่ต้องวิตกกังวล หากพบเนื้อหมูที่มีลักษณะดังกล่าว ให้ตัดชิ้นเนื้อนั้นทิ้งห้ามรับประทาน สำหรับเนื้อหมูส่วนที่เหลือยังสามารถรับประทานได้ เพราะฝีหนองส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของแคปซูลจึงไม่แพร่กระจายไปยังส่วนอื่น หากผู้บริโภคไม่สบายใจสามารถทิ้งไปทั้งชิ้นได้

“ปัจจุบันผู้เลี้ยงหมูในหลายฟาร์ม พัฒนามาใช้กระบอกฉีดยาหรือวัคซีนที่ไม่มีเข็ม (Needle free vaccination) เพื่อลดการเกิดปัญหาดังกล่าว ขณะที่โรงชำแหละที่มีกระบวนการผลิตเนื้อหมูที่ได้มาตรฐาน โอกาสที่จะมีฝีหนองหลุดออกมาจำหน่ายน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย เพราะมีการตรวจสอบเนื้อสัตว์ทั้งกระบวนการผลิต ตั้งแต่การตัดแต่ง และก่อนการจำหน่าย ผู้บริโภคจึงสามารถวางใจได้ในความปลอดภัย สำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูที่ยังใช้เข็มอยู่ ต้องระมัดระวังในเรื่องความสะอาด โดยใช้สำลีชุบแอลกอฮอลล์ให้ชุ่มเช็ดทำความสะอาดตรงบริเวณตำแหน่งที่จะฉีดก่อนเสมอ หรือล้างตัวหมูเพื่อลดความสกปรก” อาจารย์พิชัย กล่าว

สำหรับผู้บริโภค ก่อนรับประทานเนื้อหมูต้องปรุงสุกที่อุณหภูมิ 74 องศาเซลเซียสขึ้นไป ด้านผู้ประกอบการร้านอาหาร ให้ตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสำคัญ แนะเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบสภาพเนื้อหมู สด สะอาด ปลอดภัย และได้รับการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ โดยสังเกตสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” เครื่องหมายการันตี มาตรฐานการผลิต ตั้งแต่การเลี้ยง การเชือด-ชำแหละ การแปรรูป ตลอดจนสถานที่จำหน่าย และที่สำคัญราคาต้องไม่ถูกจนเกินไป เพราะต้องสงสัยได้ว่าเป็นเนื้อหมูที่มีการลักลอบนำเข้ามาจำหน่ายจากต่างประเทศ อาจปนเปื้อนสารและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้” อาจารย์พิชัย กล่าวทิ้งท้าย

สิงห์อาสา ลงพื้นที่ป้องแปลงหญ้าทะเลที่ใหญ่ที่สุดฝั่งอ่าวไทย ที่ จ.สุราษฎร์ฯ

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สิงห์อาสา ร่วมกับ เครือข่ายมหาวิทยาลัย 18 สถาบันในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออก ลงพื้นที่ดูแลแปลงหญ้าทะเลผืนใหญ่ที่สุดฝั่งอ่าวไทยที่ จ.สุราษฎร์ธานี ป้องกันการเสียพื้นที่หญ้าทะเลประมาณ 500-700 ไร่ต่อปี หวังเป็นพื้นที่ดูดซับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคใต้ ลดปัญหาโลกรวน พร้อมขยายต่อในหลายพื้นที่จังหวัดชายทะเลทั้งภาคใต้และภาคตะวันออก

ทั้งนี้ จากข้อมูลสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยมีพื้นที่แหล่งหญ้าทะเลประมาณ 160,628 ไร่ แต่การสำรวจเมื่อปี 2564 พบว่า มีพื้นที่หญ้าทะเล เพียง 99,325 ไร่ แบ่งเป็นฝั่งทะเลอันดามัน จำนวน 65,209 ไร่ และฝั่งอ่าวไทย จำนวน 34,116 ไร่ บอกได้ว่าประเทศไทยยังมีพื้นที่อีกมากที่สามารถฟื้นฟูหญ้าทะเลให้กลับมาเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะภาคใต้ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีพื้นที่หญ้าทะเลกว่า 16,000 ไร่ ถือเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่หญ้าทะเลมากที่สุดทางฝั่งอ่าวไทย จากการสำรวจพบว่าบริเวณพื้นที่เกาะเสร็จ เป็นเกาะเกิดใหม่ในสุราษฎร์ฯ มีระบบนิเวศชายทะเลที่เหมาะกับการปลูกหญ้าทะเลรวมถึงป่าชายเลน ที่จะเป็นทั้งแหล่งที่อยู่อาศัย และแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ เช่น ปูม้าในช่วงวัยอ่อน ปลาหลายชนิด รวมไปถึงการเป็นแหล่งอาหารของพะยูนและเต่าทะเล สัตว์สงวนของไทยที่อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ เกาะเสร็จ จึงมีความพร้อมของธรรมชาติที่จะทำให้หญ้าทะเลมีโอกาสอยู่รอดได้

การลงพื้นที่ครั้งนี้ สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กลุ่มประมงพื้นบ้านในพื้นที่ และบริษัท สุราษฎร์ธานีเบเวอเรช จำกัด หนึ่งในเครือบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมดูแลและฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลควบคู่กับการดูแลคุณภาพชีวิตคนในชุมชนอย่างยั่งยืนในโครงการ “สิงห์อาสาอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล” โดยมีการปลูกหญ้าทะเลกว่า 10,000 ต้น ปลูกป่าชายเลน 5,000 ต้น และปล่อยพันธุ์ปูม้ากว่า 100,000 ตัว เพื่อสร้างพื้นที่หญ้าทะเลและระบบนิเวศทางทะเลที่สมบูรณ์ ที่เกาะเสร็จ ต.พุมเรียง อ.ไชยา จ. สุราษฎร์ธานี ซึ่งหลังจากนี้จะขยายพื้นที่ปลูกหญ้าทะเลในจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศต่อไป

ผศ.พรเทพ วิรัชวงศ์ หัวหน้าสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเลและสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง มทร.ศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกหญ้าทะเล ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า “พื้นที่ของหญ้าทะเล มีศักยภาพในการเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนฯ อย่าง Blue Carbon หรือคาร์บอนฯ ที่ดูดซับโดยระบบนิเวศทางทะเล ซึ่งบลูคาร์บอนมีความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนฯ สูงกว่าป่าไม้เกือบ 10 เท่า การมีหญ้าทะเลจึงเป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ แต่หญ้าทะเลกำลังพบเจอกับภัยคุกคามหลายอย่าง เช่น การเดินเรือทับหญ้าทะเล การพัฒนาชายฝั่งให้เป็นโรงแรมหรือสถานที่ท่องเที่ยว นับเป็นโอกาสดีที่ “สิงห์อาสา” ได้เข้ามาปลูกหญ้าทะเลเพิ่มเติมให้กับเกาะเสร็จ รวมไปถึงดำเนินการฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลอื่นๆ คืนความอุดมสมบูรณ์ ร่วมกับเด็กนักเรียนจากโรงเรียนและชาวบ้านในพื้นที่ และเครือข่ายสิงห์อาสาจากสถาบันการศึกษาต่างๆ”

นายอมร เสานอก ผู้จัดการฝ่ายโรงงาน บริษัท สุราษฎร์ธานีเบเวอเรช จำกัด หนึ่งในเครือ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะประชาชนของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ให้ความสำคัญกับการร่วมแก้ไขป้ญหาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศทางทะเลมาอย่างต่อเนื่อง โครงการสิงห์อาสาอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล ถือเป็นโอกาสจะทำให้ผู้คนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของหญ้าทะเลในการช่วยลดภาวะโลกรวน ร่วมกันสร้างจิตสำนึกไม่ทำลายหญ้าทะเล และยังส่งผลในเรื่องกระตุ้นการท่องเที่ยวในจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติสูง ซึ่งจะเป็นการอนุรักษ์ที่เอื้อประโยชน์ให้ทั้งธรรมชาติทั้งผู้คนอย่างเป็นระบบ”

โดยเครือข่ายมหาวิทยาลัย 18 สถาบันในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคใต้ ที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย มทร.ศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง, สงขลา, ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี, สงขลา, ภูเก็ต ,ตรัง , ม.หาดใหญ่ , มรภ.สงขลา, มรภ.สุราษฎร์ธานี, มรภ.นครศรีธรรมราช, มรภ.ภูเก็ต, ม.บูรพา จ.ชลบุรี, วิทยาเขตจันทบุรี, ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา, มทร.ตะวันออก วิทยาเขตบางพระ, ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตระยอง, มรภ.ราชนครินทร์ จ.ฉะเชิงเทรา, มรภ.รำไพพรรณี จ.จันทบุรี

สำหรับปีนี้ สิงห์อาสา ยังร่วมมือกับเครือข่ายต่างๆ ทุกภาคส่วน เพื่อมุ่งเน้นภารกิจในการดูแลทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ทั้งดูแลป่าต้นน้ำในเขตจังหวัดภาคเหนือ การดูแลแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในจังหวัดภาคอีสาน การดูแลสายน้ำในจังหวัดภาคกลาง และภารกิจสร้างความยั่งยืนให้ทะเลไทยทั้งภาคตะวันออกและภาคใต้ เพื่อให้ “องค์กร ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม มีความสุขร่วมกันอย่างยั่งยืน”

‘CP Brand’ ยืนหนึ่ง! คว้า 2 รางวัล Thai Brand Award และ 2023 Thailand’s Most Admired Brand จาก BrandAge

0
'แบรนด์ CP' คว้า 2 รางวัล Thai Brand Award และ 2023 Thailand’s Most Admired Brand กลุ่มไส้กรอก จากนิตยสาร BrandAge สื่อชั้นนำด้านการตลาด โดยศึกษาจากพฤติกรรมการบริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการ (Why we buy?) คุณภาพ ความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม และภาพลักษณ์การเป็นองค์กรเพื่อสังคมของแบรนด์ สะท้อนถึงความคิดผู้บริโภคที่แท้จริง

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด ด้านการตลาด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเคล็ดลับความสำเร็จของการสร้างแบรนด์ไส้กรอก CP ว่า เกิดจากการทำความเข้าใจวิถีชีวิตและความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค มองหาโอกาส พัฒนาสินค้า นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ขณะเดียวกันยังมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าใหม่ โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัย ได้แก่ นวัตกรรม (Innovation) สุขภาพ (Wellness) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและโลก (Planet) ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสำคัญในการนำนวัตกรรมที่ทันสมัยมาผลิตสินค้าคุณภาพ ตามมาตรฐานสากล ควบคู่กับการยกระดับสุขภาพของผู้บริโภค และยังสอดคล้องต่อการรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมอีกด้วย ในปีนี้ แบรนด์ CP เตรียมแผนขยายการเติบโตของตลาดไส้กรอกอย่างต่อเนื่อง โดยออกสินค้าใหม่ๆ และการจัดแคมเปญการตลาดตลอดปี

สำหรับ ไส้กรอกแบรนด์ CP ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคมาโดยตลอด ด้วยการคัดสรรวัตถุดิบชั้นดี ใช้เนื้อสัตว์เต็มชิ้น ไม่ผสมแป้ง ผ่านขั้นตอนและการตรวจสอบเรื่องรสชาติ เพื่อให้ได้คุณภาพมาตรฐานระดับโลก การันตีด้วยรางวัลสุดยอดรสชาติอาหารระดับโลก (Superior Taste Award) จาก International Taste Institute ประเทศเบลเยียม 2 ปีซ้อน (ปี 2022-2023) กับไส้กรอก 2 รสชาติ ได้แก่ CP Chicken Frank และ CP Chili Chicken Frank นับเป็นครั้งแรกของแบรนด์ไส้กรอกสัญชาติไทยที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ รวมถึงการสร้างสรรค์แคมเปญที่ตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภค เช่น การร่วมมือกับTrue Coffee รังสรรค์เมนูพัฟจากไส้กรอก รับประทานคู่กับกาแฟ การจับมือกับ JOOX เปิดตัวแบรนด์ CP FI-IT (ซีพี ฟิอิต) และแคมเปญที่เกิดจาก Real Consumer Insight & Trend ก้าวข้ามสู่โลกเสมือนจริง ผ่านกิจกรรม CP Bologna MewTaverse จำลองพื้นที่ให้ผู้ชมได้สัมผัสประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์ จนเกิดกระแสแรงติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ของไทย และอันดับ 3 ของโลก จึงทำให้ ‘ไส้กรอก CP’ ยืนหนึ่งครองใจคนไทยอย่างแท้จริง

ซีพีเอฟ เดินหน้าพัฒนาสินค้าอาหารที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย อร่อย และดีต่อสุขภาพ ให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ใส่ใจทุกขั้นตอน ผ่านกระบวนการผลิตด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่ พร้อมทั้งสร้างสรรค์แคมเปญที่ตอบโจทย์เทรนด์ รวมถึงหาโอกาสใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อเข้าถึงและเข้าใจผู้บริโภคทุกเจนเนอเรชัน

บุญรอดฯ จับมือ OR เปิดตัวกาแฟพร้อมดื่ม คาเฟ่ อเมซอน และฮารุ โคลด์บรูว์ กรีนที ลุยตลาดโมเดิร์นเทรดไทย

0
OR จับมือ บุญรอดฯ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “กาแฟพร้อมดื่ม คาเฟ่ อเมซอน” และ “ฮารุ โคลด์บรูว์ กรีนที” ตอบโจทย์คอชาและกาแฟที่ต้องการความสะดวกในการซื้อเครื่องดื่มได้ทันที ตั้งเป้าวางจำหน่ายสินค้าผ่านร้าน เซเว่นอีเลฟเว่นทั่วประเทศ เป็นแห่งแรก จากนั้นจะขยายสู่ช่องทางห้างค้าปลีก และช่องทางอื่น ๆ ต่อไป 

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และ นายภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ร่วมเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ “กาแฟพร้อมดื่มคาเฟ่ อเมซอน” และ “ฮารุ โคลด์บรูว์ กรีนที” โดยมี นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ และนายสมยศ คงประเวช รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจไลฟ์สไตล์ OR พร้อมด้วย นายวรภัทร ชวนะนิกุล Chief Financial Officer, and Chief Strategy Officer และนายธิติพร ธรรมาภิมุขกุล Chief Marketing Officer บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ร่วมงาน

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ OR  ได้ร่วมกับ บุญรอด ซึ่งมีความชำนาญในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มครบวงจร จัดตั้งบริษัท ดริ้ง เอนเทอร์ไพรซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนโครงการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมบริโภค (Ready To Drink) และวันนี้พร้อมแล้วที่จะเปิดตัวได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ โดย OR ยินดีที่จะแนะนำให้คอกาแฟรู้จัก กาแฟพร้อมดื่ม คาเฟ่ อเมซอน ซึ่งเป็นการนำจุดแข็งของ OR ที่เชี่ยวชาญในการรังสรรค์เครื่องดื่มรูปแบบคาเฟ่มานานกว่า 20 ปี และเสิร์ฟผู้บริโภคชาวไทยกว่า 300 ล้านแก้วต่อปี มาบรรจุลงขวดเป็นครั้งแรก โดยมีจุดเด่นคือการนำเสนอความพิถีพิถันตั้งแต่การคัดสรรเมล็ดกาแฟที่ดีมีคุณภาพ ผ่านกระบวนการคั่ว และการสกัดกาแฟร้อนเพียง 27 วินาที สูตรเฉพาะของ คาเฟ่ อเมซอน เพื่อคงความเข้มข้น ให้ได้รสชาติ กลิ่นแท้ ๆ ของกาแฟ มอบประสบการณ์ความรู้สึกในการดื่มที่ใกล้เคียงกับกาแฟสดที่ร้าน คาเฟ่ อเมซอน ทั้งในแง่ของคุณภาพ กลิ่น รสชาติ และความรู้สึกของการดื่มกาแฟในทุกมิติ ตอบโจทย์คอกาแฟที่ต้องการความสะดวกสบายให้สามารถหาซื้อกาแฟที่ดื่มได้ทันทีที่ต้องการ

การดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมบริโภคร่วมกับบุญรอดเทรดดิ้งฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม (กลุ่ม Lifestyle) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของ OR ในการสร้างพันธมิตรเพื่อหาโอกาสขยายธุรกิจ (Strategic Alliance) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเครื่องดื่มของผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วนและครอบคลุมยิ่งขึ้น (All Lifestyles)  อีกทั้งยังสอดคล้องกับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน SDG ในแบบฉบับของ OR หรือ OR SDG ในด้านการสร้างโอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ (D – DIVERSIFIED) ผ่านศักยภาพของ OR ที่จะเป็น Platform ในการกระจายโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายและครอบคลุม พร้อมเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

นายภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า บุญรอดฯ มีประสบการณ์และความชำนาญในการทำตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มยาวนานก้าวสู่ปีที่ 90 ไม่เคยหยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพตอบสนองผู้บริโภค  โดยบริษัทบุญรอดฯมีแบรนด์สินค้าคุณภาพที่ครองใจผู้บริโภคอันดับ 1 หลากหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่มสิงห์ น้ำแร่เพอร์ร่า โซดาสิงห์ สิงห์ เลมอน โซดา ฯลฯ และในปี 2565 ที่ผ่านมา เป็นอีกก้าวสำคัญของบริษัทในการมุ่งมั่นพัฒนาสินค้า ด้วยการร่วมมือกับ OR นำความเชี่ยวชาญ จุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่ายสร้างการเติบโตไปด้วยกัน และในปีนี้ได้ออก 2 ผลิตภัณฑ์ คือ “กาแฟพร้อมดื่มคาเฟ่ อเมซอน” และชาเขียวพร้อมดื่ม “ฮารุ โคลด์บรูว์  กรีนที” เสิร์ฟกลุ่มเป้าหมาย  

โดยผลิตภัณฑ์ชาเขียวพร้อมดื่ม “ฮารุ” นำความเชี่ยวชาญของสิงห์ ที่เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชาครบวงจรชั้นนำของเมืองไทยมาต่อยอดสู่เครื่องดื่มชาเขียวระดับพรีเมียม ที่มีกระบวนการสกัดชาผ่านกรรมวิธี Cold Brew ซึ่งให้ความสำคัญด้านอุณหภูมิและเวลาสกัดที่นานกว่าชาทั่วไป 2 เท่า สร้างความแตกต่างในตลาดและทำให้ได้เอกลักษณ์ของชาเขียวอย่างเต็มรสชาติ นอกจากนี้วัตถุดิบใบชายังผ่านการคัดสรรยอดอ่อนใบชาสายพันธุ์คุณภาพเกรดพรีเมียม ที่ปลูกอย่างพิถีพิถันด้วยกรรมวิธีเฉพาะจากแหล่งปลูกที่ถูกยอมรับในระดับโลก ทั้งนี้ ชาเขียวพร้อมดื่ม “ฮารุ โคลด์บรูว์ กรีนที” เจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ ที่รักสุขภาพ รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์ไปคาเฟ่ มองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ และดื่มด่ำช่วงเวลาแห่งความสุข เรียบง่ายผ่านการดื่มชาสไตล์ Cold Brew ที่มีความหอมนุ่มละมุน มีมิติของรสและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์

กาแฟพร้อมดื่ม คาเฟ่ อเมซอน  เปิดตัวสู่ตลาดด้วย 3 รสชาติ ได้แก่ อเมซอนแบล็ค ราคาจำหน่ายขวดละ 29 บาท อเมซอนเอสเปรสโซ่ และอเมซอนลาเต้ ราคาจำหน่ายขวดละ 35 บาท โดยมาในรูปแบบขวดขนาด 200 มิลลิลิตร ส่วนชาเขียวพร้อมดื่ม “ฮารุ โคลด์บรูว์ กรีนที”  มาในรูปแบบขวดขนาด 440 มล. มี 2 รสชาติ ได้แก่ สูตรปราศจากน้ำตาล (Natural) และสูตรหวานน้อย (Mild Sweet) ราคาจำหน่าย ขวดละ 30 บาท โดยทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์จะจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น เป็นแห่งแรก จากนั้นจะขยายสู่ช่องทางห้าง  ค้าปลีก และช่องทางอื่น ๆ ต่อไป

“ทรีนีตี้” ชู 5 จุดแกร่งลุยธุรกิจปี 66

0
“ทรีนีตี้”ชู 5 จุดแกร่งลุยธุรกิจปี 2566 เดินหน้าธุรกิจด้านวาณิชธนกิจนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเป็นที่ปรึกษาขายหุ้นกู้ ขณะที่ธุรกิจการจัดการกองทุนส่วนบุคคล ตั้งเป้าเติบโตขึ้นร้อยละ 20 พร้อมลุยธุรกิจนอกตลาด และเตรียมนำ “ทรีมันนี่ โฮลดิ้ง” เข้าจดทะเบียนในตลาด MAI

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยในงาน Opportunity Day ของ บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) “TNITY” ถึงทิศทางการทำธุรกิจของกลุ่มบริษัทในปี 2566 ว่าบริษัทยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ และพันธกิจที่จะทำให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด ถึงแม้ปีนี้ตลาดหุ้นยังผันผวนแต่ด้วยการที่บริษัทมี 5 จุดแกร่งที่สำคัญคือ 1. การมีธรรมาภิบาล 2.การมีโครงสร้างรายได้ที่กระจายตัวไม่พึ่งพิงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง 3. การมีใบอนุญาต ในการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ครบทุกประเภท 4. การมีผู้บริหารระดับสูงที่มีประสบการณ์ในตลาดทุน ที่ยาวนาน และ 5. การมีฐานลูกค้า High Net worth จะสนับสนุนให้บริษัทสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดี

สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเดินหน้าธุรกิจวาณิชธนกิจอย่างเต็มที่ โดยจะมีการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ MAI จำนวน 3 บริษัท และบริษัทที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน 8-10 บริษัท ครอบคลุมธุรกิจหลากหลายประเภท ได้แก่ ธุรกิจการเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม ขนส่งและโลจิสติกส์ ธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมและเครื่องจักร

บริษัทยังมีงานที่ปรึกษาด้านการปรับโครงสร้างธุรกิจและองค์กร การปรับโครงสร้างทางการเงิน และการควบรวมกิจการทั้งในและต่างประเทศซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินงาน 3-6 บริษัท รวมถึงการเป็นที่ปรึกษาในการจำหน่ายหุ้นกู้มากกว่า 10 บริษัท ได้แก่ ธุรกิจพลังงานทดแทน AMC การเงินและหลักทรัพย์ ประกันภัย เทคโนโลยี และธุรกิจการเกษตร ในส่วนของธุรกิจการจัดการกองทุนส่วนบุคคล บริษัทตั้งเป้าเติบโตขึ้นร้อยละ 20 หรือมีมูลค่าสินทรัพย์รวมของกองทุนส่วนบุคคลอยู่ที่ 3,550 ล้านบาท
ดร.วิศิษฐ์ กล่าวเสริมว่า ในส่วนของการเข้าไปร่วมลงทุนในธุรกิจนอกตลาด ที่ผ่านมาได้เข้าลงทุนในบริษัท ทรีมันนี่ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมค้า โดยลงทุนในอัตราร้อยละ 30.07 ดำเนินธุรกิจประกอบธุรกิจการให้สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง ในปี 2565 บริษัท ทรีมันนี่ โฮลดิ้ง จำกัด มีกำไรจากการดำเนินธุรกิจ 53 ล้านบาท และในอนาคตมีแผน ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI

นอกจากนี้ บริษัทมีการลงทุนในบริษัทร่วม 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท ดิจิทัล แอสเซ็ท แมเนจเมนท์ จำกัด (DAM) ลงทุนมูลค่า 12.5 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับ Wealth and Human Resources Management ครบวงจร ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์ม และในบริษัท ไทยแท็คซ์ ซีบีดี สมาร์ท ฟาร์ม จำกัด ลงทุนมูลค่า 10 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการปลูก และ/หรือสกัด และจำหน่าย ช่อดอก ใบ เปลือก ลำต้น และส่วนประกอบอื่นรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ผลิตกัญชง และ/หรือกัญชา อยู่ในระหว่างการดำเนินการซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2566

AIS กางวิสัยทัศน์ 2023 ผู้นำบทใหม่ สร้างเศรษฐกิจแบบเติบโตร่วมกัน ขยายความร่วมมืมข้ามอุตสาหกรรม พร้อมพัฒนาศักยภาพคนไทย

0
AIS ปักหมุดแผนการดำเนินงานปี 2023 มุ่งสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจแบบร่วมกัน หรือ ECOSYSTEM ECONOMY ผสานความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรมร่วมผู้ประกอบการ พร้อมสร้างศักยภาพของคนไทย ผ่านนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่มีความอัจฉริยะ บนโครงข่าย 5G และเน็ตบ้านที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและคนไทย
• Digital Intelligence Infrastructure: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอัจฉริยะ จากโครงข่าย 5G และเน็ตบ้าน พร้อม 5G Platform เพื่อภาคอุตสาหกรรม ด้วยการลงทุนในปีนี้ที่ 27,000 - 30,000 ล้านบาท
• Cross Industry Collaboration: เชื่อมต่อธุรกิจข้ามอุตสาหกรรม พร้อมร่วมมือกับผู้ประกอบการรายย่อยกว่า 1.8 ล้าน ร้านค้าทั่วประเทศ สร้างการเติบโตไปด้วยกัน พร้อมประโยชน์เพื่อลูกค้า
• Human Capital & Sustainability: ยกระดับขีดความสามารถของ Digital Talent และคนไทยผ่าน Education Platform รวมถึงส่งเสริมความรู้ทักษะดิจิทัลสร้างภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS พร้อมผู้บริหาร แถลงทิศทางการทำงานและแผนธุรกิจของ AIS ในปี 2023 ว่า ผลการดำเนินงานของ AIS ในปีที่ผ่านมา เติบโตทั้งรายได้ ผลกำไร และจำนวนลูกค้า พิสูจน์ให้เห็นว่า AIS สามารถก้าวข้ามทุกความท้าทายมาได้เสมอ แม้จะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป จึงเป็นที่มาของแนวคิดการจัดงาน AIS BEYOND THE BOUNDARIES ครั้งนี้ ถึงแนวทางการดำเนินงานของ AIS ภายใต้วิสัยทัศน์ Cognitive Tech-Co โดยมุ่งสร้างมุ่งสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจแบบร่วมกัน (ECOSYSTEM ECONOMY) ซึ่งต้องอาศัย 3 องค์ประกอบสำคัญ คือ

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอัจฉริยะ Digital Intelligence Infrastructure จากโครงข่าย 5G และเน็ตบ้าน พร้อม 5G Platform เพื่อภาคอุตสาหกรรม โดยปีนี้ AIS จะลงทุนในส่วนนี้ 27,000 – 30,000 ล้านบาท เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและคนไทยในการก้าวข้ามทุกข้อจำกัด และเติมเต็ม ECOSYSTEM ECONOMY

ที่ผ่านมา AIS ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม ด้วยการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้มีความอัจฉริยะ (Digital Intelligence Infrastructure) ด้วยการถือครองคลื่นความถี่มากที่สุด ครบทั้งย่านความถี่ต่ำ กลาง และสูง รวมกว่า 1460 MHz รวมถึงความร่วมมือกับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) พัฒนา Digital Infrastructure ของประเทศให้แข็งแกร่ง สามารถใช้คลื่นความถี่ 700 MHz ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อคนไทย ครอบคลุมการใช้งานทุกรูปแบบ

AIS ยังเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่สามารถเปิดให้บริการ 5G SA (Stand Alone) ได้ครบทั้ง 77 จังหวัด นอกจากนี้ยังเป็นรายแรกและรายเดีียวในไทยที่ประกาศศักยภาพความเร็วแรงทะลุมาตรฐาน 5G ที่ 3Gbps บนเครือข่าย 5G Millimeter Wave ย่าน 26 GHz ผ่านสมาร์ทโฟนระดับโลก ด้านเน็ตบ้าน ปัจจุบัน AIS Fibre เข้าถึงทุกพื้นที่ทั่วไทยกว่า 8.8 ล้านครัวเรือน และครองส่วนแบ่งตลาดในเชิงของผู้ใช้งานกว่า 16% ล่าสุด ยังสร้างมาตรฐานใหม่ด้วยเทคโนโลยีระดับโลกล่าสุด กับสายไฟเบอร์ออฟติกโปร่งใส (Transparent Fiber Optic) เชื่อมโยงอุปกรณ์กระจายสัญญาณและสร้างโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับ Gigabit ทุกห้องภายในบ้านบนโครงข่ายเดียวกัน พร้อมเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟแบบไร้รอยต่อ(Seamless Roaming) เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดทุกพื้นที่ในบ้าน

พร้อมยกระดับภาคอุตสาหกรรมผ่านบริการ AIS PARAGON (Next Generation Orchestration Platform) ที่จะเป็นเสมือน 5G One Stop Platform ให้ภาคอุตสาหกรรมช่วยบริหารจัดการ resources ผ่าน Cloud และ Edge Computing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมด้วยอีกหนึ่งโครงสร้างพื้นฐานอย่าง Green Data Center ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และจะเป็น Data Center ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

นายสมชัย กล่าวว่า องค์ประกอบที่สอง คือ การทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ทุกภาคส่วนข้ามอุตสาหกรรมแบบ Cross Industry ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับโลกเพื่อสร้างการเติบโตร่วมกัน โดยในปีนี้เรายังคงทำงานร่วมกับร้านค้าถุงเงิน ร้านธงฟ้า ร้านค้ารายย่อย โชว์ห่วย ร้านสตรีทฟู้ด รวมกว่า 1.8 ล้าน ร้านค้าทั่วประเทศ ผ่านโครงการพอยท์เพย์ จากธนาคารกรุงไทย รวมถึงการทำงานร่วมกับผู้ให้บริการธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของไทยอย่าง เครือเซ็นทรัล รวมถึงร้านค้าแบรนด์ดังจากทั่วประเทศรวมมากกว่า 20,000 ร้านค้า เพื่อเป็นการขับเคลื่อนและสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ให้ลูกค้าสามารถนำ AIS Points มาแลกรับสิทธิพิเศษได้อย่างมากมายทั้ง กิน เที่ยว ช้อปปิ้ง ในขณะเดียวกันก็ได้ทำงานร่วมกับธนาคารกรุงเทพเพื่อส่งมอบบริการทางการเงินอย่าง บัตรเดบิต Be1st Digital AIS POINTS ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในแง่ของการสะสมคะแนนจากพาร์ทเนอร์นอกเหนือจากการใช้บริการของ AIS พร้อมขยายการช้อปปิ้งออนไลน์ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล

AIS ยังเดินหน้าผนึกกำลังร่วมกับพาร์ทเนอร์ในกลุ่ม Content Provider ทั้งระดับประเทศและระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Disney+ Hotstar, NETFLIX, 3Plus, MONOMAX และสุดยอดคอนเทนต์กีฬาระดับโลกกับ ไม่ว่าจะเป็น เทนนิส ฟุตบอลทั้งยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ยูฟ่ายูโรปาลีกและ ลีกชั้นนำของยุโรปอีกมากมาย กับช่อง beIN Sports ที่วันนี้ได้มอบความพิเศษให้กับลูกค้า AIS รับชมฟรีทุกช่องทุกรายการแข่งขันได้ถึง 11 เมษายน 2566

และ องค์ประกอบสุดท้าย คือการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น สร้างคุณค่าและการเข้าถึงดิจิทัลให้ทุกคนในสังคม โดยเฉพาะการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา ที่วันนี้ AIS Academy ได้มีโอกาสทำงานร่วมกัน สถานทูตแคนาดาประจำประเทศไทย และ สมาคมวิทยาลัยและสถาบันประเทศแคนาดา หรือ Colleges and Institutes Canada (CICan) ในการนำหลักสูตรการเรียนรู้จากสถาบันชั้นนำของประเทศแคนาดาเสมือนการนำโลกไร้พรมแดนมาให้คนไทยและลูกค้าได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง รวมถึงวันนี้เรายังนำศักยภาพโครงข่ายดิจิทัลมาพัฒนาเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและสร้างทักษะดิจิทัลให้คนไทยรู้เท่าทัน พร้อมอยู่กับโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผ่านโครงการ AIS “อุ่นใจ CYBER”

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวถึงความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรม ว่า เร็วๆนี้ AIS ร่วมกับธนาคาร UOB เตรียมที่จะเปิดบริการให้เช่าสมาร์ทโฟน ไอโฟน 14 กำหนดอัตราค่าเช่าเริ่มต้นที่ 850 บาทต่อเดือน ระยะเวลา 24 เดือน เมื่อครบกำหนดเวลา ลูกค้าสามารถเลือกที่จะคืนเครื่อง หรือรับเครื่องใหม่ โดยจะมีการเปิดเผยรายละเอียดตอนเปิดตัวบริการในเร็วๆนี้

นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับซัมซุง ด้านการใช้งานเน็ตบ้านพร้อมสมาร์ททีวี SUMSUNG ขนาด 65 นิ้ว จัดพร้อมแพคเกจอินเตอร์เนตความเร็วสูง และคอนเทนต์ต่างๆ ในอัตราค่าบริการเดือนละ 1299 บาท ซึ่งจะเปิดตัวในเร็วๆนี้เช่นกัน รวมทั้ง ยังได้ร่วมมือกับ ZTE โดยในเดือนพ.ค.นี้ เตรียมจะเปิดตัวแท็บเล็ตสามมิติ Nubia Pad 3D โดยผู้ใช้สามารถมองเห็นภาพจากการเปิดใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น ยูทูป, ประชุมวิีดีโอคอล, เล่นเกม เป็นภาพ 3 มิติได้ โดยไม่ต้องสวมอุปกรณ์เสริม

เมืองไทยประกันชีวิต รับรางวัล แบรนด์ทรงอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากที่สุด “TOP INFLUENTIAL BRANDS 2022” ปีที่ 2

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับรางวัล “TOP INFLUENTIAL BRANDS 2022” แบรนด์ที่ทรงอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากที่สุด ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานในพิธีมอบรางวัล 2022 Asia CEO Summit & Awards Ceremony Thailand  งานมอบรางวัลสุดยอดผู้บริหารและแบรนด์      ชั้นนำในเอเชีย ซึ่งจัดขึ้นโดยบริษัท อินฟลูเอ็นเชี่ยล แบรนด์ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำระดับโลกเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและสำรวจข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคในเอเชียมากว่า 20 ปี และบริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จํากัดประเทศไทย   ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ด้านการสื่อสารองค์กรในประเทศไทย ซึ่งร่วมกันคัดเลือกแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือในธุรกิจที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาเพื่อรับรางวัลในครั้งนี้ 

โดยรางวัล “TOP INFLUENTIAL BRANDS 2022” แบรนด์ที่ทรงอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากที่สุด ถือเป็นรางวัลที่ตอกย้ำและการันตีความสำเร็จในด้านการบริหารงานและความก้าวหน้าทางธุรกิจของเมืองไทยประกันชีวิตมา     อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากการสำรวจความเห็นของผู้บริโภคในกลุ่มมิลเลเนียล (Millennial) ที่มีอายุระหว่าง 29-39 ปี เพื่อสำรวจถึงความพึงพอใจที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีต่อแบรนด์ การมอบรางวัลดังกล่าวเป็นหนึ่งในการแสดงออกถึงการยอมรับในระดับสากลที่มีต่อแบรนด์ องค์กรและบุคคล ที่เป็นสุดยอดและเป็นต้นแบบในการบริหารการตลาดที่ประสบความสำเร็จสูงสุดแห่งปี โดยมี มิสเตอร์ จอร์จ รดิกัส กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟลูเอ็นเชี่ยล แบรนด์ ประเทศสิงคโปร์ และนางวรรณี ลีลาเวชบุตร ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จํากัด ประเทศไทย และผู้บริหารบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมแสดง        ความยินดี ณ โรงแรมชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ  

ซีพีเอฟ เพิ่มพื้นที่สีเขียวในสถานประกอบการ ลดก๊าซเรือนกระจก สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน

0
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เดินหน้า “โครงการซีพีเอฟรักษ์นิเวศภายในสถานประกอบการ” เผยผลสำเร็จปี 2565 องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. รับรองโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme : LESS) จากการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในฟาร์มและโรงงาน 57 แห่งทั่วประเทศ สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 4,900 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ จากต้นไม้รวมกว่า 17,000 ต้น สะท้อนการมีส่วนร่วมในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ

นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุดสายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟดำเนินธุรกิจโดยมีเป้าหมายสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน และตระหนักอยู่เสมอว่าทรัพยากรธรรมชาติเป็นต้นทางที่สำคัญของการผลิตอาหาร บริษัทฯมุ่งมั่นสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานดูแลสิ่งแวดล้อม ด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในสถานประกอบการภายใต้ “โครงการซีพีเอฟรักษ์นิเวศ” ภายในสถานประกอบการ ขณะเดียวกัน ยังมีการให้ความรู้ผ่านการอบรมหลักสูตรการวัดและประเมินผลการกักเก็บคาร์บอนฯ แก่พนักงานของฟาร์มและโรงงาน พร้อมลงพื้นที่เก็บข้อมูลต้นไม้ในสถานประกอบการทุกแห่ง โดยจัดทำข้อมูลอย่างละเอียดนำไปสู่การขอการรับรองจาก อบก.

“จากการดำเนินโครงการซีพีเอฟรักษ์นิเวศ ภายในสถานประกอบการ ด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ปี 2565 ซีพีเอฟได้รับใบประกาศเกียรติคุณจาก อบก. ภายใต้โครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก หรือ LESS ประเภทโครงการด้านป่าไม้และการเกษตร มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดูดซับได้มากกว่า 4,900 ตันคาร์บอนไดออกไซด์” นางกอบบุญ กล่าว

แนวทางการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ถือเป็นนโยบายสำคัญของเครือซีพีและซีพีเอฟ โดยมีจุดเริ่มต้นที่พนักงานในองค์กรลงมือทำ และส่งต่อโครงการดีๆ สู่ครอบครัว คนรอบข้าง และชุมชน รวมถึงความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก ที่ต้องช่วยกันเพิ่มพื้นที่สีเขียวในฟาร์มและโรงงาน และช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงทางอ้อมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การผนึกกำลังอันเข้มแข็งของผู้บริหารและพนักงานทุกคน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ

นอกจากการเพิ่มพื้นที่เสีเขียวในสถานประกอบการแล้ว ซีพีเอฟสานต่อการดำเนินโครงการฟื้นฟูป่าต้นน้ำและป่าชาย เลน โดยมีเป้าหมายภายในปี 2573 เพิ่มพื้นที่สีเขียวรวม 20,000 ไร่ ผ่านการดำเนินโครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง ซึ่งตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบันดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไปแล้วรวม 6,971 ไร่ และโครงการซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน 2,784 ไร่ ในพื้นที่ 3 จังหวัดยุทธศาสตร์ คือ จังหวัดระยอง สมุทรสาคร และตราด

ฟัง 2 SME ดังในร้านเซเว่นฯ “บ๊วยรัศมีแข-น้ำพริกคุณชาย” แชร์ไอเดียวางแผนอย่างไรให้สินค้าโดนใจลูกค้า ?

0

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล แค่ปรับตัวไวอย่างเดียวคงไม่พอ แต่จะต้องมีกลยุทธ์เสริมในการทำตลาดควบคู่กันไป เพื่อช่วยให้แบรนด์และสินค้าเป็นที่รู้จัก จนสามารถครองใจผู้บริโภคได้ ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้ผู้ประกอบการบางรายมักจะเก็บเป็นความลับ แต่สำหรับ “แข-รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น” เจ้าของแบรนด์ “บ๊วยรัศมีแข” และ “เบนซ์-ภเดช กันตจินดา” เจ้าของแบรนด์ “น้ำพริกคุณชาย”  2 ผู้ประกอบการ SME แบรนด์ดังใน เซเว่นฯ ได้มาร่วมเปิดกลยุทธ์ปั้นแบรนด์และสร้างสินค้าให้เป็นที่รู้จักแบบหมดเปลือกในงาน “SME ปี 2023 พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไป SME ยุคใหม่ต้องเปลี่ยนตาม” ซึ่งจัดโดย สมาคมผู้ดูแลเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ไทย และ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

“บ๊วยรัศมีแข” เมื่อความต้องการพุ่ง ต้องมุ่งโมเดิร์นเทรด 

เริ่มเปิดวงเสวนาจากเจ้าของแบรนด์ “บ๊วยรัศมีแข” ที่ต้องขอบอกว่า สินค้าจากแบรนด์นี้เป็นที่รู้จักและขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น โดย รัศมีแข เล่าย้อนความให้ฟังว่า สินค้าเกิดขึ้นในปี 2561 เดินหน้าทำการตลาดจนสร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จักผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ต่างๆ และการบอกต่อของเหล่าเพื่อนดาราในวงการ  

“ช่วงแรกแขทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ 100% เพราะคิดว่าพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่คือ นิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ ลูกค้ากว่า 70% ถามว่ามีขายในเซเว่นฯด้วยไหม จากคำถามดังกล่าวนำมาสู่การปรับตัวครั้งใหญ่กับการเดินหน้านำสินค้าเข้าร้านเซเว่นฯ เพื่อกระจายสินค้าสู่มือผู้บริโภคให้ได้กว้างขึ้นและมากขึ้น สินค้าตัวแรกที่วางจำหน่ายคือ บ๊วย 3 รสแบบกระปุก ที่มีวางจำหน่ายในร้านเซเว่นฯ ตามปั๊มน้ำมัน (เฉพาะสาขาที่จำหน่าย)”

แม้จะมีสินค้าวางจำหน่ายในร้านเซเว่นฯ แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีลูกค้าสอบถามเข้ามาอย่างต่อเนื่องว่า มีวางจำหน่ายในร้านเซเว่นฯทั่วไปด้วยไหม ทำให้ต้องขอเข้ารับคำปรึกษาจากทางเซเว่นฯ ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำที่ดีจากทีมที่ปรึกษาของเซเว่นฯ ทั้งด้านการปรับเปลี่ยนแพ็กเก็จจิ้งและการเพิ่มสินค้าใหม่ ให้สอดรับกับกลุ่มลูกค้าของเซเว่นฯที่ชอบความสะดวกสบาย และความแปลกใหม่อยู่เสมอ จนได้ออกมาเป็น “บ๊วยรัศมีแข” ในรูปแบบซองที่จะวางจำหน่ายเร็วๆนี้ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศ 

“ช่องทางโซเซียลมีเดียทำให้ทุกคนมีตลาด ที่เป็นของตัวเองอยู่แล้ว แขว่ามันเป็นเรื่องราวดีๆที่คนคนหนึ่งจะสร้างผลิตภัณฑ์หรือรายได้ขึ้นมา แขเชื่อว่าจะต้องมีไอเดียใหม่ๆ ผลิตภัณฑ์ใหม่เกิดขึ้นเสมอ แต่อีกช่องทางหนึ่งที่ลืมไม่ได้เมื่อสินค้าเป็นที่รู้จักแล้ว และเป็นที่ต้องการของตลาด ช่องทางโมเดิร์นเทรด ก็เป็นช่องทางที่สำคัญ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสะดวกสบายและง่ายต่อการซื้อหา แต่การเข้าโมเดิร์นเทรดเราต้องมีความพร้อมในทุกด้าน โดยเฉพาะการผลิต การสต๊อกสินค้า เพราะเมื่อไหร่ที่สินค้าวางจำหน่าย มีการโฆษณา ทำตลาดไปแล้ว และมีความต้องการซื้อ เราต้องผลิตให้เพียงพอ ถ้าคนซื้อไปหาซื้อแล้วบอกว่าไม่มีขาย หาซื้อไม่ได้ สิ่งที่เราทำการตลาดไปก็จะเป็นดาบสองคมกลับมาหาเรา” รัศมีแข กล่าวฝากทิ้งท้ายถึงผู้ประกอบการ

“น้ำพริกคุณชาย” สู้ศึกคนชอบความสะดวกด้วยแพ็กเก็จจิ้งใหม่  

ตลาดน้ำพริกคลุกข้าวเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง การสร้างความแตกต่างให้กับตัวสินค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะความต่างนี้เองจะสร้างการจดจำกลับมายังแบรนด์ของสินค้า เบนซ์-ภเดช เล่าให้ฟังว่า เดิมที “น้ำพริกคุณชาย” ผลิตและจำหน่ายในแบบ B2B และรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับกลุ่มธุรกิจอาหารเป็นหลัก ตัวสินค้าจะบรรจุถุงมีขนาดมากกว่าครึ่งกิโลกรัม

แต่เมื่อคิดที่จะทำตลาดโมเดิร์นเทรด ซึ่งเป็นตลาดที่จะช่วยทำให้แบรนด์เติบโตได้อย่างมั่นคงและแข็งแรงในระยะยาว ก็จำเป็นต้องพร้อมในทุกด้าน น้ำพริกคุณชายปรับกระบวนการทำงานใหม่หมด ทั้งระบบหลังบ้านและหน้าบ้าน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยเปลี่ยนจากบรรจุถุงขนาดใหญ่มาเป็นแบบกระปุก 40 กรัมและซองซิปล็อค โดยศึกษาและพัฒนาร่วมกับทีมเซเว่น อีเลฟเว่น เป็นระยะเวลา 6 เดือน จึงได้สินค้าตัวแรกคือ น้ำพริกเห็ดกรอบขี้เมาเจ จำหน่ายในช่วงเทศกาลเจ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มาจนถึงปัจจุบัน  

“พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ชอบความใหม่ ความสะดวกสบาย และเข้าถึงได้ง่าย ดังนั้นเราจึงพัฒนาสิ่งใหม่อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ แพ็กเก็จจิ้ง พร้อมทั้งรักษามาตรฐานของตัวสินค้าไว้ให้ได้ น้ำพริกของเราจึงมีรสชาติกลมกล่อม ไม่เผ็ดโดด หวานโดด แพ็กเก็จจิ้งมีความสะดวก เก็บง่าย ช่วยรักษาคุณภาพสินค้าให้คงเดิม แม้จะทานไม่หมดก็ตาม และในปีที่ผ่านมาเรามีการลงทุนสร้างโรงงานและเครื่องจักรใหม่ เพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเติบโตในตลาดโมเดิร์นเทรด”

การศึกษาตลาดอย่างเข้าใจ เพื่อนำข้อมูลมาพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ถือเป็นหัวใจสำคัญในการเตรียมความพร้อมของธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และยังสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เช่น การปรับปรุงสูตรสินค้า การเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าและสร้างความได้เปรียบให้กับสินค้า