Home Blog Page 166

AIS ยกระดับการโทรด้วย​ วีดีโอรอสาย VDO Calling Melody ตอบโจทย์ทุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์

0
AIS ยกระดับประสบการณ์การโทรแบบเหนือชั้นกับ VDO Calling Melody หรือ วีดีโอรอสาย บริการที่เปลี่ยนเสียงรอสายแบบเดิมๆ ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่สนุกมากขึ้นด้วยคอนเทนต์วีดีโอรอสายบนโครงข่ายที่ดีที่สุดของไทยอย่าง AIS 5G ผ่านการทำงานร่วมกับผู้พัฒนาดิจิทัลเทคโนโลยีระดับโลก และผู้ให้บริการด้านมิวสิคและวีดีโอคอนเทนต์ชั้นนำ เพื่อพัฒนาบริการ VDO Calling Melody และขนทัพวีดีโอมาให้ลูกค้าได้เลือกใช้งานมากมาย พิเศษสำหรับลูกค้า AIS ค่าบริการเริ่มต้นเพียง 14 บาทต่อเดือนเท่านั้น นับเป็นการตอกย้ำถึงเป้าหมายการทำงานเพื่อส่งมอบประสบการณ์ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับการใช้งานที่ตอบโจทย์ทุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์ 

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการพันธมิตรธุรกิจด้านบันเทิงและคอนเทนต์ AIS กล่าวว่า “เป้าหมายการทำงานของ AIS เรายังคงเดินหน้ายกระดับคุณภาพการให้บริการ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่ตอบโจทย์ทุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้า ล่าสุดเราได้ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ผู้พัฒนาดิจิทัลเทคโนโลยีระดับโลก และผู้ให้บริการด้านมิวสิคและวีดีโอคอนเทนต์ชั้นนำ ร่วมกันพัฒนาบริการ VDO Calling Melody หรือวีดีโอรอสาย เพื่อยกระดับประสบการณ์การรอสายไปอีกขั้น จากเสียงธรรมดาสู่การรอสายในรูปแบบวีดีโอ บนขีดความสามารถของ AIS 5G ที่ลูกค้าจะได้สัมผัสกับการรับชมวีดีโอขณะรอสายด้วยภาพและเสียงอย่างคมชัด” โดยสามารถสัมผัสประสบการณ์กับบริการ VDO Calling Melody ได้บนโครงข่าย 5G ที่ดีที่สุดจาก AIS ที่วันนี้มีวีดีโอให้ลูกค้าเลือกดาวน์โหลดหลากหลายหมวดหมู่ ทั้งคลิปน้องอุ่นใจสุดน่ารัก,  MV เพลงจากศิลปินชื่อดัง, คลิปวิวทิวทัศน์ธรรมชาติ, คลิปสัตว์แสนน่ารัก, คลิปตลกขบขัน และพิเศษสุด!! สำหรับลูกค้า AIS เท่านั้น กับคลิปจาก VTuber หรือ Virtual Youtuber ตัวละครชื่อดังอย่าง โคนะ, เอสต้า, เซีย เป็นต้น ที่ยกทัพกันมาเอาใจสายสตรีมเมอร์โดยเฉพาะอีกด้วย

สำหรับลูกค้าที่ใช้สมาร์ทโฟนระบบแอนดรอยด์รุ่นที่รองรับ ทั้ง หัวเว่ย ซัมซุง และวีโว่ สามารถสมัครทดลองใช้งานได้ง่ายๆ เพียงกด *236*8# ตามด้วยเครื่องหมายโทรออก จากนั้นรอรับ SMS ยืนยันการสมัคร พร้อมลิงค์สำหรับดาวน์โหลดวีดีโอได้เลย และสำหรับลูกค้าที่ใช้บริการเสียงรอสาย Calling Melody อยู่แล้ว กด *236*7# ตามด้วยเครื่องหมายโทรออก ค่าบริการเริ่มต้นเพียง 14 บาทต่อเดือน สามารถทดลองใช้ฟรีนานสุดถึง 6 เดือน และสำหรับลูกค้าทั่วไป สามารถทดลองใช้บริการได้ฟรี 3 เดือน กด *236*8# ตามด้วยเครื่องหมายโทรออก สามารถดูข้อมูลและเลือกวีดีโอเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ais.th/vdocalling/home

ซีพีเอฟ-วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวฯ ประแส ต้อนรับ วปอ.65 เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ระยอง

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ สานต่อโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน พัฒนาสู่การเป็นศูนย์การเรียนรู้ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ส่งเสริมชุมชนมีส่วนร่วมในการปกป้อง ดูแลรักษา และฟื้นฟูป่า สร้างความตระหนักในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติป่าชายเลนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสากรรมและอาหารครบวงจร ริเริ่มโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน “ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” มาตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน มีเป้าหมายปลูกป่าชายเลนรวมกว่า 5,200 ไร่ ต่อยอดสู่การเป็นศูนย์การเรียนรู้ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ อาทิ ในพื้นที่จ.ระยอง ซีพีเอฟอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนไปแล้วรวม 614 ไร่ ต่อยอดสู่การเป็น “ศูนย์การเรียนรู้ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ปากน้ำประแส” อำเภอแกลง จังหวัดระยอง และพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ด้วยการสนับสนุนการรวมตัวของชุมชนยกระดับเป็นวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยววิถีชุมชนตำบลปากน้ำประแส โดยที่ผ่านมา มีหน่วยงานเข้ามาศึกษาดูงาน อาทิ กลุ่มบริษัทในเครือปตท. คณะจากกระทรวงต่างประเทศ(กรมยุโรป) กลุ่ม Eco Green นิคมอุตสาหกรรมอมตะซีตี้ ชลบุรี นักเรียนโรงเรียนดาราวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ คณะครูโรงเรียนวัดสระแก้ว จังหวัดนครราชสีมา ชมรมบำเพ็ญประโยชน์และชมรมท่องเที่ยวจิตอาสาของซีพีเอฟ ฯลฯ และตลอดปี 2565 จนถึงไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.2566) มีผู้เยี่ยมชม 38 คณะ รวมมากกว่า 1,000 คน

ล่าสุด ชุมชนปากน้ำประแส พร้อมด้วย นางดวงฤดี ขวัญนิยม ประธานวิสาหกิจชุมชนฯ และคณะทำงานยุทธศาสตร์ป่าชายเลน จ.ระยอง ของซีพีเอฟ ให้การต้อนรับ นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ รุ่นที่ 65 นำโดย คุณเมทนี บุรณศิริ หรือ คุณนีโน่ หัวหน้าหมู่ช้าง วปอ.65 นายสงวน แสงวงศ์กิจ ประธานสภาอุตสาหกรรม จังหวัดระยอง พร้อมคณะนักศึกษา วปอ.65 หมู่ช้าง ลงพื้นที่เพื่อศึกษาและเยี่ยมชมการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยววิถีชุมชนตำบลปากน้ำประแส และทำกิจกรรมเวิร์คช็อป อาทิ ทำจานจากกาบหมาก ทำขนมบอบแบบ ทำแจงลอนซึ่งเป็นอาหารของท้องถิ่น ร่วมกันปลูกต้นโกงกางด้วยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ(หย่อนฝักโกงกาง) และปลูกต้นโกงกางลงดิน รวมทั้งปล่อยปลากะพงขาว 1,500 ตัว บริเวณสะพานปลาของชุมชนปากน้ำประแส

นายตรัยกัญจนภูมิ พรนิยมสิริ ในฐานะประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์ป่าชายเลนพื้นที่ภาคตะวันออก (จังหวัดระยอง) ของซีพีเอฟ กล่าวว่า ปี 2562-2566 เข้าสู่ระยะที่สองของโครงการซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน มีเป้าหมายอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน พื้นที่ต.ปากน้ำประแส 614 ไร่ นอกจากนี้ ในปี 2566 ซึพีเอฟ สร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน ปลูกฝังความตระหนักร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยจัดกิจกรรมสร้างบ้านปลา บ้านปู ซ่อมแซมเส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ กิจกรรมเก็บขยะป่าชายเลนที่มีการทำต่อเนื่องจากปี 2565 เก็บขยะป่าชายเลนและเก็บขยะชายหาดรวม 4 ครั้ง เก็บขยะได้มากกว่า 2 ,500 กิโลกรัม โดยในปีนี้ จะจัดกิจกรรม Coastal Day (เก็บขยะชายหาดสากล)เป็นปีที่ 2 ระหว่าง วันที่ 12-16 กันยายน 2566 นี้ รวมทั้งสำรวจการเติบโตของต้นไม้เพื่อวัดการกักเก็บคาร์บอน

นางดวงฤดี ขวัญนิยม ประธานวิสาหกิจชุมชนฯ กล่าวว่า ปัจจุบัน ชุมชนในพื้นที่ปากน้ำประแส มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศูนย์เรียนรู้ และตระหนักถึงประโยชน์ของทรัพยากรป่าชายเลน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศูนย์การเรียนรู้ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ปากน้ำประแส ที่เป็นทั้งแหล่งถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศป่าชายเลน และแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติของจังหวัดระยอง พร้อมกันนี้ ชุมชนฯผลักดันให้คนรุ่นใหม่เห็นประโยชน์ของป่าชายเลน ช่วยกันดูแล รักษา และปกป้องผืนป่าในพื้นที่ โดยที่ศูนย์การเรียนรู้ฯ มีสถานีพืชและสัตว์ 9 แห่ง ประกอบด้วย สถานีต้นแสม 100 ปี, สถานีทักทายพี่ลำพูทะเล, สถานี หอยหัวใจแห่งห่วงโซ่อาหาร, สถานีกุ้งดีดขันนักดนตรีจากธรรมชาติ, สถานียลโกงกางสร้างสายใยรัก, สถานีวังมัจฉาเริงร่าวารี, สถานีปูเเสมจอมยุ่ง, สถานีสไลเดอร์ปลาตีน และสถานีแลบ้านปูก้ามดาบ ผู้สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ฯ ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 18.00 น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ทั้งนี้ วันที่ 10 พฤษภาคมของทุกปี ตรงกับ “วันป่าชายเลนแห่งชาติ” เป็นการย้ำเตือนให้ทุกภาคส่วน ร่วมมือกันปกป้อง ดูแลรักษา ฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลน ซี่งเป็นทั้งแหล่งอาหาร แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน เป็นแนวกำบังภัยธรรมชาติ ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง เกิดความหลากหลายทางชีวภาพทั้งพันธุ์พืชและสัตว์น้ำ และป่าชายเลนยังเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน

รู้เก็บรู้ออม : Happy Money, Happy Young Old ปูนนี้ (ก็) มีใช้

0

“คุณนายพารวย” อ่านข่าวเจอว่า ตอนนี้อินเดียได้ขึ้นแท่นเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกไปแล้ว โดยมีประชากรจำนวนกว่า 1.4 พันล้านคน แซงหน้าจีนไปเรียบร้อย แต่หากพิจารณาสถานการณ์จำนวนประชากรโลกแล้ว มีข้อมูลว่ามีอัตราเพิ่มที่ช้าลง เป็นเพราะอัตราการเกิดที่น้อยลง ซึ่งเท่ากับว่าโลกจะมีคนวัยเด็กจำนวนลดลง ขณะที่คนวัยสูงอายุจะมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น

สำหรับไทย ก็มีสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกับสถานการณ์ประชากรโลก โดยจำนวนผู้สูงอายุในไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และในปี 2566 ไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ คือมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด และคาดการณ์ว่าอีกไม่เกิน 20 ปี ไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด ซึ่งมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 28%

สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ ผลวิจัยชี้ว่าคนไทยวัยเกษียณจะมีปัญหาทางการเงิน ถึงแม้ว่าผู้สูงอายุ 54% จะมีเงินออมไว้ใช้หลังเกษียณ แต่มูลค่าการออมส่วนใหญ่ต่ำกว่า 5 หมื่นบาท ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต นอกจากนี้ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพารายได้หลักจากคนอื่น และยังคงต้องทำงาน ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มผู้สูงอายุ 55% ยังอ่อนด้านความรู้ทางการเงินอีกต่างหาก โดยคนสูงอายุมีทักษะด้านการเงินน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับคนวัยอื่น

เรียกได้ว่า สถานะการเงินของคนไทยวัยเกษียณอยู่ในภาวะเปราะบาง นอกจากนี้ยังมีอาการน่าเป็นห่วง จากการที่คนไทยเป็นหนี้เร็ว หนี้นาน แถมยังเป็นหนี้ยันแก่อีกด้วย!!

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้ จึงเปิดตัวแคมเปญ “Happy Money, Happy Young Old ปูนนี้ (ก็) มีใช้” เพื่อส่งเสริมให้คนไทยโดยเฉพาะวัยแรงงานที่ใกล้เกษียณ อายุ 45–65 ปี มีความรู้พื้นฐานด้านการบริหารเงินสำหรับเกษียณ

แคมเปญนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯต้องการให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของทุกคนที่ต้องการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้มีความมั่นคงทางการเงิน และพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตวัยเกษียณในยุคที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์

เรียนผ่านเนื้อหาและเครื่องมือที่พัฒนาขึ้น เพื่อเน้นการจัดสรรเงินออมก้อนสุดท้ายให้เหมาะสมและเพียงพอใช้เลี้ยงดูตัวเองไปตลอดชีวิต นำไปสู่การมีชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข ซึ่งประกอบไปด้วย

1.SET e-Learning เรียนรู้พื้นฐานด้านการวางแผนการเงินสําหรับวัยเกษียณ กับ 2 หลักสูตรใหม่ คือ หลักสูตร “วัย 50+: เตรียมชีวิตมั่งคั่ง รับวันเกษียณ” และหลักสูตร “วัย 60+: บริหารเงินหลังเกษียณสไตล์วัยเก๋า”, 2. Workshop ต่อยอดการเรียนรู้ด้วยการฝึกวางแผนการเงินจริงผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรบริหารเงินหลังเกษียณ และ 3. Group Mentor แลกเปลี่ยนเรียนรู้ รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านวางแผนการเงิน

คนที่อยากวางแผนการเงิน หรือรู้ตัวว่าใกล้เกษียณเข้าไปทุกที อยากจะมีชีวิตแบบเกษียณสุข ต้องรีบสมัครเรียนหลักสูตรดีๆ แบบนี้ของ SET e-Learning ที่เรียนฟรี มีวุฒิบัตรให้ เพียงเข้าไปที่ www.set.or.th/elearning และแอปฯ “SET App” หรือมีข้อสงสัย ต้องการสอบถามเพิ่มเติม โทร.หา SET Contact Center 0-2009-9999 ได้เลย

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมงาน Money Expo 2023 คัดผลิตภัณฑ์เด่นให้ลูกค้า ร่วมลดโลกร้อนด้วยการเงินสีเขียว

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ นำผลิตภัณฑ์และบริการเข้าร่วมงานมหกรรมการเงินกรุงเทพ ครั้งที่ 23 “Money Expo 2023 Bangkok ระหว่างวันที่ 11-14 พฤษภาคม 2566 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด “Green Finance For Green Living การเงินสีเขียว เพื่อชีวิตสีเขียว” ซึ่งบริษัทฯ ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ การบริการและโปรโมชันที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าอย่างครบถ้วน พร้อมด้วยกิจกรรม มากมาย และจัดเตรียมกลุ่มผลิตภัณฑ์ และบริการที่มีความหลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทุกไลฟ์สไตล์ โดยผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นไฮไลท์ในงาน ดังนี้

  • แบบประกันภัยเมืองไทย สมาร์ท ลิงค์ โปร 10/1 (Global) และ เมืองไทย สมาร์ท ลิงค์ 15/3 (Global) ประกันชีวิตรูปแบบใหม่ ที่ไม่ได้ล็อคอัตราผลตอบแทนเหมือนประกันชีวิตรูปแบบเดิม ๆ โดยมีจุดเด่นคือ มีเงินคืนทุกปี และเปิดโอกาสรับผลตอบแทน (Upside gain) ผ่านดัชนีที่ลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่มากกว่า เพื่อเป้าหมายทางการเงินที่ลูกค้าต้องการ อีกทั้งยังการันตีเงินที่จ่ายไม่สูญหาย ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่าเบี้ยประกันภัย ที่จ่ายจะยังอยู่ครบ เมื่อครบกำหนดสัญญา พร้อมรับความคุ้มครองชีวิตควบคู่ เหมาะสำหรับลูกค้าที่อยากเริ่มลงทุนผ่านประกันชีวิต สามารถรับความเสี่ยงได้ต่ำ ต้องการผู้ช่วยบริหารเงินลงทุน นอกจากนี้ยังจ่ายเบี้ยสั้น ไม่เป็นภาระยาว และสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 100,000 บาท(2) สมัครได้ตั้งแต่อายุ 30 วัน – 80 ปี โดยไม่ต้องตรวจ และไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ(3
  • แบบประกันโครงการเมืองไทย ยูแอล พลัส มีจุดเด่นในเรื่องของการการันตีอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ 4% ต่อปี ในปีกรมธรรม์แรก และ 1% ต่อปี ตั้งแต่ปีกรมธรรม์ที่ 2 เป็นต้นไป สำหรับมูลค่าการลงทุน ลูกค้ายังสามารถเลือกความคุ้มครองชีวิตได้สูงโดยกำหนดสัดส่วนความคุ้มครองชีวิตเอง และการลงทุนได้ตามต้องการ เพิ่มเบี้ยประกันภัยส่วนออมเพิ่มเติม เพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้ อีกทั้ง สามารถถอนเงินลงทุนออกบางส่วนจากกรมธรรม์ เพื่อตอบโจทย์ทุกช่วงชีวิต เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 100,000 บาท(2)
  • สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ ดี เฮลท์ พลัส (D Health Plus) ที่เหมาจ่ายตามจริงสูง 1-5 ล้านบาท ต่อการเข้าพักรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง คุ้มครองทั้งโรคร้ายแรง โรคทั่วไป โรคระบาด และอุบัติเหตุ คุ้มครองตอนแอทมิท รวมถึงการรักษาฟื้นฟูต่อเนื่องกรณีผู้ป่วยนอก ทั้งค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน ค่าห้อง ไอ.ซี.ยู ค่าหมอ ค่ายา ค่าตรวจ ค่าผ่าตัด ค่ากายภาพบำบัด อีกทั้งจะผ่าตัดเล็กหรือใหญ่ หรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ภายใน 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องนอนก็คุ้มครอง เบี้ยประกันภัยยังสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ พลัส (Elite Health Plus) ความคุ้มครองสุขภาพแบบเหมาจ่าย สามารถเลือกวงเงินเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริงสูงถึง 20 -100 ล้านบาทต่อปี คุ้มครองทั้งโรคร้ายแรง โรคทั่วไป โรคระบาด และอุบัติเหตุ ครอบคลุมการรักษาทั้งการรักษาแบบผู้ป่วยใน (IPD) ที่คุ้มครองห้องเดี่ยวมาตรฐานได้ทุกโรงพยาบาล และห้องผู้ป่วยหนัก (I.C.U.) เหมาจ่ายตามจริงรวมสูงสุด 365 วัน หรือถ้านอนห้องเดี่ยวพิเศษ คุ้มครอง 10,000 -25,000 บาทต่อวัน และการรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ตามแผนความคุ้มครองที่ลูกค้าเลือก รวมถึงการฟอกไต การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการเคมีบำบัด และแบบ Targeted Therapy รวมถึงการรักษาแบบนวัตกรรมใหม่ Immunotherapy ให้คุณมั่นใจในการเข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การวินิจฉัยโรคแบบ CT Scan และ MRI โดยไม่ต้องแอดมิท นอกจากนี้ยังสามารถเลือกประเทศที่ต้องการรักษาได้ และเบี้ยประกันภัยยังสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ทั้งนี้ อีลิท เฮลท์ พลัส และ ดี เฮลท์ พลัส สมัครได้ตั้งแต่อายุ 11 ปี – 90 ปี คุ้มครองยาว ๆ ถึงอายุ 99 ปี และสามารถเลือกพลัสความคุ้มครองเพิ่มได้ตามความต้องการ เช่น ความคุ้มครองการคลอดบุตร พลัส (Maternity Plus) หรือ สุขภาพดี พลัส (Well-Being Plus) ที่ให้ความคุ้มครองเพิ่มค่าตรวจสุขภาพประจำปี ค่าฉีดวัคซีน ค่ารักษาทางทันตกรรม และค่ารักษาทางสายตา

นายสาระ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังได้จัดเตรียมโปรโมชันสำหรับลูกค้าที่สนใจผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในงานไว้มากมาย โดยมีโปรโมชันสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ชำระเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป (ยกเว้นโครงการเมืองไทยยูแอล พลัส mDesign และ mGrow615) โดยชำระเบี้ยประกันภัยงวดแรกต่อกรมธรรม์ตั้งแต่ 50,000 บาท จนถึง 4,000,000 บาทขึ้นไป รวมทั้งมี Special Promotion สำหรับผลิตภัณฑ์เมืองไทย สมาร์ท ลิงค์ โปร 10/1 (Global) เมืองไทย สมาร์ท ลิงค์ 15/3 (Global) โครงการเมืองไทยยูแอล พลัส สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ ดี เฮลท์ พลัส และ อีลิท เฮลท์ พลัส ซึ่งลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดโปรโมชันได้ภายในบูธกิจกรรมเมืองไทยประกันชีวิต

นอกจากนี้ ภายในบูธของเมืองไทยฯ ยังได้เตรียมกิจกรรมแห่งความสุขและรอยยิ้ม ซึ่งสะท้อนแนวคิดด้าน Green Living ด้วยการนำเสนอพื้นที่แห่งความสุขที่เชื่อมต่อทุกความต้องการอย่างเท่าเทียมกันแบบยั่งยืนกับคอนเซปต์ “Joyful World สนุกกับโลก สนุกกับชีวิต” ผสมผสานความสุข ความมั่นคงและมั่งคั่ง ทั้งสุขภาพร่างกาย รวมถึงสุขภาพทางการเงิน Health and Wealth ไว้ด้วยกัน โดยพื้นที่ภายในบูธมีบรรยากาศที่สะท้อนถึงการใช้ชีวิตด้วยความสุข ความเท่าเทียม ผสมผสานกับความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ภายในบูธจะเน้นการลดการสร้างขยะและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ทั้งนี้ ไม้ทุกชิ้นจะมีการการันตีด้วยสัญลักษณ์ “Forest Stewardship Council หรือ FSC” ผ่านการตรวจสอบการปลูกเชิงพาณิชย์ที่มีการบริหารจัดการและรับผิดชอบด้วยการปลูกป่าทดแทนอย่างยั่งยืน ประกอบไปด้วยประเภทไม้ดังนี้ “High Moisture Resistance board หรือ HMR” แผ่นใยไม้อัดทนความชื้น มีคุณสมบัติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประหยัดการใช้สี “ไฟเบอร์บอร์ด” แผ่นไม้ที่เกษตรกรปลูกขึ้นมาทดแทนการใช้ไม้จริง เพื่อลดการ ตัดไม้จากป่าธรรมชาติ “OSB Board” ไม้ที่เกิดจากการจัดการวัสดุเหลือใช้ที่กำลังจะเป็นขยะ โดยนำมาแปรสภาพกลับมาใช้ใหม่ “พื้นยางสังเคราะห์ EPDM” ผลิตจากยางธรรมชาติ ยืดหยุ่น ปราศจากสารที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม และการเลือกใช้ต้นไม้ที่สามารถฟอกอากาศได้ (Air Purifying Tree) เพื่อร่วมสร้างอากาศบริสุทธิ์ให้กับทุกคนที่ร่วมกิจกรรมภายในบูธเมืองไทยประกันชีวิต

บริษัทฯ ยังมีกิจกรรมสำหรับทุกท่านที่ร่วมแชร์ไอเดียรักโลก โดย #MTLSaveTheWorld เพื่อแลกรับเมล็ดพันธุ์พืช Plantable Card กิจกรรมรวบรวมขวดพลาสติกเพื่อนำไปรีไซเคิลกับโครงการ Youเทิร์น พลาสติกหมุนเวียนสุข และวัสดุทั้งหมดภายในบูธจะถูกนำไปรีไซเคิลได้มากกว่า 85% เพื่อร่วมกันเสริมสร้างความสุขอันยั่งยืนในมิติของการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และได้มีการจัดเตรียมกิจกรรมของ “เมืองไทยสไมล์คลับ” ไว้ต้อนรับสมาชิกฯ โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลหรือคะแนนสะสม Smile Point และนำคะแนนสะสม Smile Point แลกเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม อาทิ กิจกรรมชมละครเวทีพิษสวาท, Smile Point To Invest, Smile Movie day หรือ แลกรับของที่ระลึกมากมาย เมื่อสมาชิกฯ แลกคะแนนสะสม Smile Point สำหรับเข้าชมละครเวที หรือบริจาคคะแนนสะสม Smile Point ในโครงการแสงแก้ว 72 Smile Points ขึ้นไป จะได้รับสบู่วีแกนพาวเดอร์ สบู่รักษ์โลกอีกด้วย

ทั้งนี้ ลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต สามารถเช็กรายละเอียด กรอกใบสมัครสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ หรือ Update ข้อมูลส่วนตัวสมาชิกฯ วิธีการแลกคะแนนเมืองไทยสไมล์คลับ และแอปพลิเคชัน สำหรับลูกค้า MTL Click ที่ทำให้ทุกบริการ เป็นเรื่องง่ายสำหรับบริการ แบบนี้มีได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเช็กกรมธรรม์ ประวัติการเคลม ยอดชำระเบี้ย สร้าง QR หรือ Barcode เพื่อชำระเบี้ยก็ทำได้ง่าย ผ่าน LINE แอปพลิเคชัน สามารถดาวน์โหลดได้ภายในบูธเมืองไทยประกันชีวิต พิเศษสุด! สำหรับผู้ร่วมงานกลุ่มสูงวัย หรือ วัยอิสระ Silver Age ที่ร่วมกิจกรรมภายในบูธ สามารถปรึกษาด้านการใช้ชีวิตแบบวิถี อยู่ดี มีสุข เพื่อเตรียมเข้าสู่วัยอิสระอย่างมีคุณภาพ แบบ Active Aging กับ Naya Residence by LivWell พันธมิตรทางธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงวัย (รายละเอียดและเงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต กำหนด) ในงานมหกรรมการเงินกรุงเทพ ครั้งที่ 23 “Money Expo 2023 Bangkok” “Green Finance For Green Living การเงินสีเขียว เพื่อชีวิตสีเขียว” นี้อีกด้วย

เอไอเอส ผนึกพาร์ทเนอร์ไอที ดิจิทัล ช็อปมือถือ กว่า 23,000 แห่ง ดูแลลูกค้า ตอบโจทย์ Digital Lifestyle

0

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เปิดเผยว่า AIS มุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันเป็นรายเดียวที่มีโครงข่าย 5G ครอบคลุมแล้วถึง 87% และโครงข่ายไฟเบอร์ บรอดแบนด์ ที่เข้าถึงกว่า 8.8 ล้านครัวเรือนทั่วไทย เพื่อให้คนไทยได้รับความสะดวกจากการใช้ดิจิทัลอย่างไร้ข้อจำกัด รวมไปถึงให้ความสำคัญกับการส่งมอบบริการร่วมกับพาร์ทเนอร์ช่องทางจัดจำหน่ายในหลากหลายกลุ่ม โดย AIS เป็นรายเดียวอีกเช่นกันที่ผนึกกำลังกับพาร์ทเนอร์ ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการให้บริการ ด้วยเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าผ่าน Customer Service Touchpoint ที่ปัจจุบันขยายตัวต่อเนื่อง จนมีแล้วมากกว่า 23,000 แห่ง ตามหลักคิด ECOSYSTEM ECONOMY – เศรษฐกิจแบบร่วมกัน ที่มอบทั้งประโยชน์แก่ลูกค้า คนไทย และสร้างการเติบโตของพาร์ทเนอร์ไปพร้อมๆกัน

ปัจจุบัน AIS มีช่องทางการจัดจำหน่ายและบริการลูกค้า ที่ร่วมกับพาร์ทเนอร์หลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่ม ประกอบด้วย

  • ร้านค้าเทคโนโลยีชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญด้านสินค้า และบริการที่ตอบสนอง Digital Lifestyle ประกอบด้วย Jaymart, TG , iStudio by SPVi และ iStudio by Copperwired ที่จำหน่ายสินค้าเทคโนโลยี สมาร์ตโฟน และดิจิทัล แก็ดเจ็ต โดยภายในร้านจะมีบริการของ AIS ที่จะมาพร้อมสินค้าและบริการต่างๆ อาทิ โทรศัพท์มือถือ ซิมแบบรายเดือน และเครื่องในโครงการพิเศษเพื่อลูกค้าเอไอเอสเท่านั้น หลากหลายรูปแบบ โดยร้านค้าในกลุ่มนี้ปัจจุบันมีกว่า 700 สาขาและยังคงขยายตัวต่อเนื่อง
  • ร้านเอไอเอส , ร้านเอไอเอส เทเลวิซ ,ร้านเอไอเอส บัดดี้ เอ็กซ์คลูซีฟ ที่จำหน่ายทั้งโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริมต่างๆ ซิมแบบรายเดือน และเติมเงิน พร้อมเครื่องในโครงการพิเศษเพื่อลูกค้าเอไอเอสเท่านั้น รวมไปถึงการสมัครบริการและทำธุรกรรมต่างๆ ทั้ง เน็ตบ้าน, ประกันภัย, ฯลฯ โดยร้านค้าในกลุ่มนี้ ปัจจุบันมีกว่า 800 สาขาทั่วประเทศ
  • ร้านค้าปลีกรายย่อย ที่กระจายตัวอยู่ตามชุมชน และพื้นที่ห่างไกล จำหน่ายทั้งโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริม ซิมแบบรายเดือน และเติมเงิน พร้อมบริการธุรกรรมต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 21,000 ร้านทั่วประเทศ

นอกจากนี้ AIS ยังทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่างต่อเนื่องในการยกระดับเทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่จะทำให้สามารถมอบประสบการณ์งานบริการที่ตอบโจทย์ Digital Lifestyle อยู่เสมอ พร้อมร่วมพัฒนาทักษะพนักงาน ให้มีความรู้ ความชำนาญ เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้มอบคำแนะนำและให้บริการลูกค้าได้อย่างเป็นเลิศ ภายใต้มาตรฐานเอไอเอสอีกด้วย

นายปรัธนา ย้ำว่า “การมีพันธมิตรที่มีความรู้ ความชำนาญ และจุดแข็งที่แตกต่าง หลากหลาย กว่า 23,000 แห่ง เป็นหัวใจที่ทำให้เราสามารถส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดี และแตกต่างจากการที่สามารถออกแบบบริการได้อย่างหลากหลาย รวมไปถึงลดข้อจำกัด สร้างความเท่าเทียมให้ลูกค้าและคนไทยสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการคุณภาพของเอไอเอสอย่างสะดวกสบายได้ทั่วประเทศ พร้อมร่วมสร้างการเติบโตให้แก่พาร์ทเนอร์ ที่จะเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจดิจิทัลในภาพรวมด้วยเช่นกัน”

TDX ผนึก RealX และ Token X พัฒนาโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน ตอบโจทย์การลงทุนยุคใหม่

0
บริษัท ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย จำกัด (TDX) เดินหน้าสนับสนุนการระดมทุนผ่านการออกโทเคนดิจิทัล ตามแผนกลยุทธ์ทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ประกอบการและผู้ลงทุน จับมือ RealX และ Token X นำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบ Fractionalized Digital Asset เพื่อให้
ผู้ระดมทุนและผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลได้ง่ายขึ้น และตอบโจทย์การลงทุนยุคใหม่ คาดว่าจะสามารถเปิดให้ซื้อขายโทเคนดิจิทัลตัวแรกในปีนี้

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ ประธานกรรมการ บริษัท ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย จำกัด (TDX) บริษัทในกลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDX) ได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้เริ่มประกอบธุรกิจการเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ประเภทโทเคนดิจิทัล (Digital Asset Exchange) เมื่อเดือนกันยายน 2565 โดยในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยมีความท้าทายในการพัฒนาสินทรัพย์ดิจิทัลหลายประการ ล่าสุด คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) รวมทั้งออกพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้ Digital Asset Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย

“จากพัฒนาการดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจสนใจระดมทุนผ่านช่องทางการออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนเพิ่มมากขึ้น TDX จึงมุ่งเดินหน้าสนับสนุนการระดมทุนผ่านการออกโทเคนดิจิทัล ตามแผนกลยุทธ์ทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ประกอบการและผู้ลงทุน โดยเป็นแพลตฟอร์มแบบเปิดที่พร้อมเชื่อมต่อกับ ICO Portal และ Market Participant ที่เกี่ยวข้อง ล่าสุด ได้ร่วมกับ บริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด (RealX) ผู้ออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน และ บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (Token X) ภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) ในการศึกษาความเป็นไปได้ทางการนำโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนเข้ามาจดทะเบียนซื้อขายใน TDX ซึ่งเป็นตลาดรองของการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของนวัตกรรมการลงทุนในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย ด้วยการพัฒนาโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนจากการนำกระแสรายรับที่เกิดจากสินทรัพย์อ้างอิง (Asset-Backed) มา tokenize และสามารถซื้อขายได้ในหน่วยย่อย ผู้ลงทุนเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ คาดว่า TDX จะสามารถเปิดให้บริการซื้อขายโทเคนดิจิทัลตัวแรกภายในปี 2566 นี้ โดย TDX พร้อมเปิดรับความร่วมมือจากพันธมิตรทั้ง ICO Portal และ Digital Asset Broker เข้ามาเชื่อมต่อ เพื่อร่วมกันสร้างระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัล มุ่งสู่การเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลครบวงจรตอบโจทย์ความต้องการลงทุนยุคใหม่” นายแมนพงศ์ กล่าวเสริม

ดร. วีรพงษ์ ชุติภัทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด ผู้ออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน “เรียลเอ็กซ์” กล่าวว่า “โทเคนดิจิทัล” เป็นนวัตกรรมการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ตอบโจทย์การลงทุนยุคใหม่ โดยเฉพาะกับผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์หรือคุ้นเคยกับการลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ขณะที่การออกโทเคนดิจิทัลนั้นเป็นการนำสินทรัพย์มาแปลงเป็นโทเคนดิจิทัล (tokenization) เพื่อแบ่งเป็นหน่วยลงทุนขนาดเล็ก จึงเพิ่มโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์ได้โดยไม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก ล่าสุด RealX ได้ร่วมกับ TokenX ในการออกและเตรียมเสนอขายโทเคนดิจิทัล “เรียลเอ็กซ์” โดยนำคอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมือง 3 โครงการ จากกลุ่มบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นสินทรัพย์อ้างอิง (Condo-Backed Token) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และได้ร่วมกับ TDX ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำโทเคนดิจิทัล “เรียลเอ็กซ์” เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดรองเพื่อเพิ่มช่องทางในการซื้อขายเปลี่ยนมือของผู้ลงทุนและเพิ่มความสะดวกแก่ผู้ที่ต้องการลงทุนในโทเคนดิจิทัล

นางสาวจิตตินันท์ ชาติสีหราช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด หรือ Token X บริษัทภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลในประเทศไทย (ICO Portal) ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่า TokenX เล็งเห็นถึงความสำคัญของโทเคนดิจิทัล ซึ่งเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เข้ามามีบทบาทในโลกแห่งการลงทุนยุคใหม่มากขึ้น จึงมุ่งมั่นเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการนำสินทรัพย์มาระดมทุนผ่านการออกโทเคนดิจิทัล พร้อมทั้งเชื่อมต่อกับผู้ลงทุนที่ต้องการเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยการให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ออกใหม่ ทำหน้าที่กลั่นกรองโทเคนดิจิทัล รวมถึงสนับสนุนการนำโทเคนดิจิทัลเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดรองผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเพิ่มช่องทางในการซื้อขายเปลี่ยนมือของผู้ลงทุน ล่าสุด TokenX ได้ร่วมกับ บริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด ผู้ออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน เตรียมเสนอขายโทเคนดิจิทัล “เรียลเอ็กซ์” แก่ผู้ลงทุนผู้ประกอบการที่สนใจเป็นพันธมิตรในแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลติดต่อได้ที่ [email protected] หรือ [email protected]

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ ตอน “นอนไม่หลับ คิดแต่เรื่องที่ยังแก้ไม่ตก ทำยังไงดี”

0
“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์
ตอน “นอนไม่หลับ คิดแต่เรื่องที่ยังแก้ไม่ตก ทำยังไงดี”

พระราชวัชรบัณฑิต (ประนอม ธมฺมาลงฺกาโร) เจ้าอาวาสวัดจากแดง

กูรูกู้ใจ แนะว่า ทำให้จิตอยู่กับปัจจุบัน อย่าอยู่กับเรื่องราวที่ยังมาไม่ถึง เมื่อจิตสงบ แล้วจะหลับดีขึ้น

AIS อวดกำไร 6.7 พันล้านบาท ไตรมาสแรกปี 66 เดินหน้าสู่เป้าหมายองค์กรโทรคมนาคมเทคโนโลยีอัจฉริยะ

0
AIS ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2566 ยังคงความแข็งแกร่งด้านผลประกอบการโดยมีรายได้รวม อยู่ที่ 46,712 ล้านบาท เติบโต 3.2% รวมถึงสามารถทำกำไรสุทธิที่ 6,757 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยยังคงวางงบลงทุนกว่า 27,000-30,000 ล้านบาท ในการพัฒนาคุณภาพบริการและโครงข่ายสื่อสารอัจฉริยะ 5G เพื่อสร้างประสบการณ์ดิจิทัลให้กับลูกค้าและคนไทย นอกจากนี้ยังเดินหน้านำศักยภาพความแข็งแกร่งของธุรกิจในทุกมิติมาร่วมกันสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจแบบร่วมกัน หรือ ECOSYSTEM ECONOMY ภายใต้การขับเคลื่อนสู่การเป็นองค์กรโทรคมนาคมเทคโนโลยีอัจฉริยะ รองรับโอกาสและการเติบโตของกลุ่มธุรกิจในอนาคต

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “จากความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS ในการมุ่งพัฒนา Digital Infrastructure ผ่านการยกระดับศักยภาพโครงข่ายอัจฉริยะให้มีความพร้อมต่อการทำงานเพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้งานให้กับลูกค้าและคนไทย ประกอบกับปัญหาเงินเฟ้อก็เริ่มคลี่คลาย เราเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาของกำลังซื้อของผู้บริโภค และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจภาพรวม โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศถึง 6.5 ล้านคน ในขณะที่ผู้คนในประเทศก็เริ่มออกมาเดินทางท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ”

“ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนี้ AIS สามารถทำผลงานออกมาได้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ สะท้อนถึงเป้าหมายการทำงานที่ไม่เพียงมอบประสบการณ์ดิจิทัลให้กับคนไทย แต่ยังสร้างโอกาสการเติบโตในรูปแบบใหม่ๆ ให้กับหลากหลายอุตสาหกรรม พร้อมสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจแบบร่วมกัน หรือ ECOSYSTEM ECONOMY ภายใต้แนวทางหลักที่ยังคงเน้นย้ำถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอัจฉริยะ ทั้งโครงข่าย 5G และเน็ตบ้าน เชื่อมต่อธุรกิจข้ามอุตสาหกรรม ตั้งแต่พาร์ทเนอร์ระดับท้องถิ่นไป สู่ผู้ประกอบการรายย่อย ไปจนถึงการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลก”

ผลประกอบการในไตรมาส 1/2566 แสดงรายได้รวม อยู่ที่ 46,712 ล้านบาท เติบโต 3.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิที่ 6,757 ล้านบาท แสดงถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง พร้อมกับการเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมและส่งมอบคุณภาพและความครอบคลุมของโครงข่าย 5G และ เน็ตบ้าน อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ความสามารถในการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพทำให้สามารถส่งมอบ EBITDA อยู่ที่ 22,636 ล้านบาท เติบโต 1.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน และคงระดับความสามารถในการทำกำไร EBITDA margin ที่แข็งแกร่งที่ 48.5% โดยมีผลการดำเนินงานแยกตามรายธุรกิจดังนี้

ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีรายได้จากการให้บริการเติบโตขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน มีจำนวนลูกค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่รวมที่ 46.1 ล้านเลขหมาย เพิ่มขึ้น 108,000 ราย ในขณะที่มีผู้ใช้งาน 5G อยู่ที่กว่า 7.2 ล้านราย เติบโตขึ้นจาก 2.8 ล้านราย ในช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา โดย AIS สามารถให้บริการ 5G ครอบคลุมถึง 87% ของพื้นที่ประชากรไทย ควบคู่ไปกับการขยายขีดความสามารถเพื่อให้รองรับกับปริมาณการใช้งานของลูกค้าและคนไทย

ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีรายได้เติบโตกว่า 11% จากไตรมาส 1 ปีก่อน และเติบโตต่อเนื่อง 4.3% จากไตรมาสก่อน โดยมีการขยายพื้นที่การให้บริการอย่างต่อเนื่อง ด้วยคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการที่เหนือกว่า ภายใต้เป้าหมาย Digital Experience for Thais กับการทำงานที่มุ่งตอบโจทย์ทุกพฤติกรรมของลูกค้า ด้วยบริการที่จะมาเติมเต็มประสบการณ์การใช้งานอินเทอร์เน็ตภายในบ้านได้อย่างครบถ้วน อย่างความพร้อมในการให้บริการ WiFi 6E เทคโนโลยีมาตรฐานสัญญาณไร้สายใหม่บนคลื่นความถี่ใหม่ 6GHz เป็นรายแรกของอุตสาหกรรมบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตในเมืองไทย หรือแม้แต่การสร้างมาตรฐานใหม่ด้วยเทคโนโลยีสายไฟเบอร์ออฟติกโปร่งใส (Transparent Fiber Optic) เชื่อมโยงอุปกรณ์กระจายสัญญาณและสร้างโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับ Gigabit ทุกห้องภายในบ้านบนโครงข่ายเดียวกันเพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดทุกพื้นที่ในบ้าน ทำให้ AIS Fibre มีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 99,000 รายต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน และมีฐานลูกค้ารวมกว่า 2.3 ล้านราย
ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กรและธุรกิจอื่น โดย AIS Business ทำรายได้เติบโต 5.2% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน และยังคงเป็นส่วนงานที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม องค์กรธุรกิจและ SME ไทยให้ เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน มุ่งนำขีดความสามารถของโครงข่ายมาเพิ่มความคล่องตัวทางธุรกิจ อาทิ AIS PARAGON (Next Generation Orchestration Platform) ที่จะเป็นเสมือน 5G One Stop Platform ที่ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมบริหารจัดการทรัพยากรผ่าน Cloud และ Edge Computing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกับอีกหนึ่งโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่อย่าง Green Data Center

นายสมชัย กล่าวในช่วงท้ายว่า “ในปีนี้ AIS ยังลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วยงบประมาณ 27,000-30,000 ล้านบาท เพื่อยกระดับโครงข่ายและการให้บริการสู่การเป็นองค์กรโทรคมนาคมเทคโนโลยีอัจฉริยะด้วยการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ทุกภาคส่วนอย่างสอดประสานกันโดยใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาสร้างการเติบโตร่วมกันให้กับลูกค้า คนไทย และประเทศชาติ จนเกิดเป็น ECOSYSTEM ECONOMY ซึ่งจะทำให้ AIS สามารถส่งมอบประสบการณ์และบริการดิจิทัล ทั้งโครงข่ายสื่อสารอัจฉริยะ และเน็ตบ้าน ให้กับลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ซีพีเอฟ ปลูกฝังพนง. ร่วมสร้างคุณค่าสู่สังคมและชุมชน ขับเคลื่อน CPF 2030 Sustainability in Action

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ สานพลังพนักงานร่วมสร้างคุณค่าทางสังคม เดินหน้าสร้างสรรค์โครงการเพื่อชุมชนและสังคมต่อเนื่อง มอบรางวัล Sustainability in Action 2022 รวม 69 โครงการ แก่บุคลากรที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่เป้าหมาย CPF 2030 Sustainability in Action สะท้อนความมุ่งมั่นของบริษัทที่คำนึงถึงการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพบนมาตรฐานการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และกระบวนการทำงานที่รับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม มุ่งมั่นปลูกฝังพนักงานร่วมสร้างคุณค่าทางสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยจัดการประกวดรางวัล CPF ยั่งยืนได้ด้วยมือเรา หรือ CPF Sustainability in Action Awards ขึ้นตั้งแต่ปี 2559 ภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืน “อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และตินน้ำป่าคงอยู่” เพื่อส่งเสริม สนับสนุน คัดเลือกโครงการที่สร้างผลกระทบเชิงบวกด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตพนักงานของทุกสายธุรกิจ

“พนักงานทุกคน ถือเป็นตัวแทนของบริษัทในการนำวิสัยทัศน์และความตั้งใจของซีพีเอฟไปสู่สังคม ด้วยการร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับชุมชน ซึ่งการทำธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น จะต้องคำนึงถึง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งหมด เพื่อให้ธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน ตามปรัชญา 3 ประโยชน์ ประเทศได้ประโยชน์ ประชาชนได้ประโยชน์ และบริษัทจึงจะได้ประโยชน์ โดยมุ่งพัฒนาบริษัทให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม นอกจากจะทำให้ธุรกิจพัฒนาและประสบความสำเร็จ ซึ่งเท่ากับผู้บริโภคจะได้รับสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ดีจากบริษัทแล้ว ทุกคนต้องช่วยกันดูแลคนในสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆกันด้วย” นายประสิทธิ์ กล่าว

นอกจากนี้ ธุรกิจไม่เพียงต้องคำนึงถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์เท่านั้น ธุรกิจจะยั่งยืนได้ต้องมีความสมดุลระหว่าง 3องค์ประกอบหลักของความยั่งยืน ตาม BCG Model ทั้งเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ตลอดจนความสำคัญของลูกค้า ผู้บริโภค และธรรมาภิบาล สิ่งเหล่านี้นับเป็นองค์ประกอบที่เป็นรากฐานที่สำคัญของการสร้างความรัก ความผูกพัน ความเชื่อมั่นให้กับชุมชน สังคม ผู้บริโภค ตลอดจนคู่ค้า และผู้ถือหุ้น ดังนั้น ใน ควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม

สำหรับ การประกวดฯในปี 2566 มีการยกระดับกระบวนการประกวดให้เข้มข้นขึ้น ทั้งการฝึกอบรมด้านการเขียนโครงการ และการนำเสนอแบบ Pitching ตลอดจนการพิจารณารางวัลจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานคิดสร้างสรรค์โครงการที่ดีอย่างต่อเนื่อง สอดรับตาม BCG Model นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับชุมชน รวมถึงการพัฒนาโครงการให้เกิดนวัตกรรมทางสังคม (Social Innovation) และดำเนินโครงการให้มีความต่อเนื่องสร้างคุณค่าทางสังคม เกิดเป็นผลกระทบทางสังคม (Social Impact) ในเชิงบวก ตามเป้าหมาย CPF 2030 Sustainability in Action และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs)

โดยมุ่งเน้นประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน 7 ด้าน ได้แก่ หลักการกำกับดูแลกิจการ การบริหารความเสี่ยง และการกำกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ความมั่นคงทางอาหาร สิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติด้านแรงงาน พนักงานและชุมชน การดูแลทรัพยากรน้ำ การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ

เสฏฐวุฒิ-โซฟี คว้าแชมป์สวิง ทีจีเอ-สิงห์ รุ่นเล็ก สนาม 1 เปิดซีซั่น 2023-2024 สนามวอเตอร์มิลล์ฯ

0

เสฏฐวุฒิ เคนานัน ปิดเกมทำสกอร์รวม 8 อันเดอร์พาร์ 136 คว้าแชมป์คลาสซีชาย ขณะที่ โซฟี ฮี ทำสกอร์รวม 5 อันเดอร์พาร์ 139 คว้าแชมป์คลาสซีหญิง ในการแข่งขันกอล์ฟเยาวชนสมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทย นัดเปิดสนามรายการ ทีจีเอ-สิงห์ จูเนียร์ กอล์ฟ แรงกิ้ง 2023-2024 สนามที่ 1 (คลาส ซี-ดี-อี-เอฟ) ระหว่างวันที่ 6-7 พฤษภาคม 2566 ที่ สนามวอเตอร์มิลล์ กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท อ.องค์รักษ์ จ.นครนายก

สมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น และการกีฬาแห่งประเทศไทย จัดการแข่งขันแบบสโตรกเพลย์ 2 วัน 36 หลุม ระหว่างวันที่ 6-7 พฤษภาคม 2566 ณ สนามวอเตอร์มิลล์ กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท อ.องค์รักษ์ จ.นครนายก โดยแบ่งการแข่งขันเป็นคลาสซี (11-12 ปี), คลาสดี (9-10 ปี), คลาสอี (7-8 ปี), คลาสเอฟ (อายุไม่เกิน 6 ปี) ชาย-หญิง โดยเป็นสนามที่ 1 ของปี 2023-2024 เพื่อเฟ้นหาตัวแทนนักกอล์ฟเยาวชน (ต้องเข้าร่วมการแข่งขัน 4 จาก 6 รายการเป็นอย่างน้อย) ได้สิทธิ์ร่วมคัดตัวเยาวชนทีมชาติไปร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ อาทิ ไอเอ็มจี จูเนียร์ เวิลด์ กอล์ฟ แชมเปี้ยนชิพ และ เอฟซีจี คัลลาเวย์ เวิลด์ จูเนียร์ ที่ประเทศสหรัฐฯ

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2566 เป็นวันสุดท้ายของการแข่งขัน ในคลาสซีชาย แข่งพาร์ 72 แชมป์ตกเป็นของ เสฏฐวุฒิ เคนานัน จบรอบสุดท้ายด้วยผลงาน 6 อันเดอร์พาร์ 66 ทำสกอร์รวม 8 อันเดอร์พาร์ 136 (70-66) อันดับ 2 ณภัทร ไชยพานิช สกอร์รวม 3 อันเดอร์พาร์ 141 (73-68) และ ฐติพัทธ์ หัตถบดี สกอร์รวมอีเวนพาร์ 144 (72-72) ส่วนในคลาสซีหญิง แข่งพาร์ 72 แชมป์เป็นของ โซฟี ฮี สกอร์รวม 5 อันเดอร์พาร์ 139 (71-68) อันดับ 2 ภิญญาพัชญ์ กมลบวร สกอร์รวม 4 อันเดอร์พาร์ 140 (70-70) และอันดับ 3 ภัสธนมนท์ สุทธิรักษ์พงศ์ สกอร์รวม 2 อันเดอร์พาร์ 142 (69-73)

คลาสดีชาย แข่งพาร์ 72 สกาย ไวล์ดิ้ง คว้าแชมป์ไปด้วยสกอร์รวม 2 อันเดอร์พาร์ 142 (71-71) ธนัทวัฒน์ คล้ายทับทิม คว้าอันดับ 2 สกอร์รวม 2 โอเวอร์พาร์ 146 (75-71) และ กัสสะ วรรณสีทอง คว้าอันดับ 3 สกอร์รวม 2 โอเวอร์พาร์ 146 (71-75) ในคลาสดีหญิง แข่งพาร์ 72 แชมป์เป็นของ ภษมน มีสวัสดิ์ สกอร์รวม 2 โอเวอร์พาร์ 146 (71-75) อันดับ 2 อันนา ผ่องหทัยกุล สกอร์รวม 3 โอเวอร์พาร์ 147 (74-73) และ นลพรรณ คำเกิด คว้าอันดับ 3 สกอร์รวม 3 โอเวอร์พาร์ 147 (72-75)

คลาสอีชาย แข่งพาร์ 72 แชมป์ตกเป็นของ ฌอน ไวล์ดิ้ง สกอร์รวม 5 โอเวอร์พาร์ 149 (79-70) อันดับ 2 ภูริวัจน์ เลิศจารุตสิทธิ์ สกอร์รวม 9 โอเวอร์พาร์ 153 (78-75) และ ภัทร แสงสุริยะ คว้าอันดับ 3 สกอร์รวม 11 โอเวอร์พาร์ 155 (78-77) ในคลาสอีหญิง แข่งพาร์ 58 ปัณณพรวร อภิญญาภรณ์ คว้าแชมป์ด้วยสกอร์รวม 32 โอเวอร์พาร์ 148 (74-74) อันดับ 2 ปภาดา บุญช่วยเมตตา สกอร์รวม 44 โอเวอร์พาร์ 160 (78-82) และ ไอยเรศ ชื่นภักดี รับอันดับ 3 สกอร์รวม 46 โอเวอร์พาร์ 162 (84-78) คลาส เอฟ ชาย แข่งพาร์ 65 แชมป์เป็นของ รติ ศิริสมบูรณ์ สกอร์รวม 9 โอเวอร์พาร์ 139 (79-60) ธนวินท์ วรอภิญญาภรณ์ คว้าอันดับ 2 สกอร์รวม 49 โอเวอร์พาร์ 179 (93-86) และอันดับ 3 เป็นของ อรรถพันธ์ เหลืองสุวรรณ สกอร์รวม 75 โอเวอร์พาร์ 205 (111-94)

สำหรับการแข่งขันรายการต่อไปของ สมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทยฯ เป็นการแข่งขันรายการ ทีจีเอ-สิงห์ จูเนียร์ กอล์ฟ แรงกิ้ง 2023-2024 สนามที่ 1 (คลาส เอส-เอ-บี) แข่งขันระหว่างวันที่ 12-14 พฤษภาคม 2566 ณ สนามวอเตอร์ มิลล์ กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท อ.องค์รักษ์ จ.นครนายก ต่อไป

สรุปผลการแข่งขัน ทีจีเอ-สิงห์ จูเนียร์ กอล์ฟ แรงกิ้ง 2023-2024 สนามที่ 1 (คลาส ซี-ดี-อี-เอฟ) สนามวอเตอร์มิลล์ กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท​ วันที่ 6-7 พฤษภาคม 2566

คลาส ซี ชาย (พาร์ 72)
1.เสฏฐวุฒิ เคนานัน (-8) 136 (70-66)
2.ณภัทร ไชยพานิช (-3) 141 (73-68)
3.ฐติพัทธ์ หัตถบดี (-) 144 (72-72)

คลาส ซี หญิง (พาร์ 72)
1.โซฟี ฮี (-5) 139 (71-68)
2.ภิญญาพัชญ์ กมลบวร (-4) 140 (70-70)
3.ภัสธนมนท์ สุทธิรักษ์พงศ์ (-2) 142 (69-73)

คลาส ดี ชาย (พาร์ 72)
1.สกาย ไวล์ดิ้ง (-2) 142 (71-71)
2.ธนัทวัฒน์ คล้ายทับทิม (+2) 146 (75-71)
3.กัสสะ วรรณสีทอง (+2) 146 (71-75)

คลาส ดี หญิง (พาร์ 72)
1.ภษมน มีสวัสดิ์ (+2) 146 (71-75)
2.อันนา ผ่องหทัยกุล (+3) 147 (74-73)
3.นลพรรณ คำเกิด (+3) 147 (72-75)

คลาส อี ชาย (พาร์ 72)
1.ฌอน ไวล์ดิ้ง (+5) 149 (79-70)
2.ภูริวัจน์ เลิศจารุตสิทธิ์ (+9) 153 (78-75)
3.ภัทร แสงสุริยะ (+11) 155 (78-77)

คลาส อี หญิง (พาร์ 58)
1.ปัณณพรวร อภิญญาภรณ์ (+32) 148 (74-74)
2.ปภาดา บุญช่วยเมตตา (+44) 160 (78-82)
3.ไอยเรศ ชื่นภักดี (+46) 162 (84-78)

คลาส เอฟ ชาย (พาร์ 65)
1.รติ ศิริสมบูรณ์ (+9) 139 (79-60)
2.ธนวินท์ วรอภิญญาภรณ์ (+49) 179 (93-86)
3.อรรถพันธ์ เหลืองสุวรรณ (+75) 205 (111-94)