Home Blog Page 165

เครือซีพี นำแบรนด์ CPFresh ร่วมงานเทศกาลไทย 2565 ที่กรุงปักกิ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง จัดงานเทศกาลไทย (Thai Festival) ประจำปี 2565 ภายใต้ธีมงาน “Ancient Siam” หรือ สยามวันวาน เพื่อพาไปย้อนเสน่ห์วันวานของเมืองไทย โดยผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย เอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศจีนและภริยา ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศจีน ประธานศูนย์อาเซียน-จีน ผู้บริหารภาคเอกชนไทยในจีน ตลอดจนชุมชนไทยและประชาชนจีนในกรุงปักกิ่ง มากกว่า 4,000 คน และมีผู้เข้าร่วมชมการถ่ายทอดสดบรรยากาศงานเทศกาลไทยผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลรวมประมาณ 12,640,000 ครั้ง โดยมี นายไพศาลย์ ยังสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบัญชีการเงิน เครือเจริญโภคภัณฑ์ (เครือซีพี) เขตประเทศจีน เป็นผู้แทนเครือซีพีสำนักงานใหญ่ปักกิ่งเข้าร่วมงาน ที่ทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง

ภายในงาน มีการออกบูธจากร้านอาหารและกิจการมากกว่า 20 ราย โดยเครือซีพีนำสินค้าจาก CP Food ร่วมจัดจำหน่าย อาทิ ไก่จ๊อ ไก่ป๊อป ไส้อั่ว และไส้กรอกอีสาน เพื่อให้ผู้มาเยี่ยมชมงานได้ลิ้มลองรสชาติของความเป็นไทย โดยหนึ่งในสินค้าซีพีที่ได้รับการตอบรับจากชาวจีนและชาวต่างชาติในจีนเป็นอย่างมาก คือ ผลไม้คุณภาพจากแบรนด์ CPFresh ที่นำ “มะพร้าว CPFresh” มาจัดจำหน่าย พร้อมทั้งมอบแก่สถานเอกอัครราชทูตประจำกรุงปักกิ่ง สำหรับรับรองผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานด้วย

นอกจากนี้ ซีพียังมอบ “ทุเรียน CPFresh” ให้แก่สถานเอกอัครราชทูตฯ เพื่อเป็นของขวัญมอบให้กับแขกของรัฐบาลจีน และภายในงาน มีการจัดโปรโมทสินค้า “ทุเรียน CPFresh” ที่จะนำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2565 ซึ่งได้รับเสียงตอบรับและความสนใจจากผู้ร่วมงานเป็นจำนวนมาก

AIS – WMS ผนึก ไทยลีก ยกระดับฟุตบอลไทย สู่ Green ไทยลีก สานต่อภารกิจ “แฟนบอลไทยไร้ E-Waste”

รายงานข่าว เปิดเผยว่า AIS ร่วมกับ “ไทยลีก” ผู้จัดการแข่งขันฟุตบอลลีกสูงสุดของไทย และ บริษัท เวสท์ แมเนจเม้นท์ สยาม จำกัด (WMS)​ ผู้นำด้านการจัดการของเสียทุกประเภทอย่่างครบวงจร.ร่วมยกระดับวงการฟุตบอลไทยสู่การเป็น Green ไทยลีก นำร่องโครงการ แฟนบอลไทยไร้ E-Waste ชวนทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์กับ AIS เพื่อนำไปผลิตเป็น “เหรียญจากขยะอิเล็กทรอนิกส์” ครั้งแรกของวงการกีฬาไทย สำหรับรางวัลเกียรติยศมอบให้กับสโมสรที่มีหัวใจรักษ์โลก ก่อนจะขยายผลไปสู่กิจกรรมความยั่งยืนด้านอื่นๆ ในขั้นตอนต่อไป เพื่อยกระดับมาตรฐานวงการฟุตบอลไทยสู่การแข่งขันที่ยั่งยืน

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “จากการที่ AIS เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวงการฟุตบอลไทยในปีที่ผ่านมา ทำให้เราเห็นถึงพลังของแฟนบอลในการเชียร์ทีมและนักเตะในดวงใจ รวมถึงความตั้งใจของทุกสโมสรและนักกีฬาทุกคนที่ทุ่มเทให้กับทุกการแข่งขัน ดังนั้นวันนี้เมื่อสถานการณ์โลกให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม เราจึงขอร่วมเชิญชวนวงการฟุตบอลไทยให้ก้าวไปสู่อีกหนึ่งมาตรฐานใหม่ของการแข่งขันพร้อมๆกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ด้วยการขยายผลโครงการคนไทยไร้ E-Waste ไปยังกลุ่มแฟนบอลให้มีส่วนร่วมในการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์กับ AIS ซึ่งได้กระจายจุดรับไปยังสนามของทุกสโมสร เพื่อนำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี ตามเป้าหมายแบบ Zero Landfill ที่นำแร่ธาตุที่ได้หลังจากรีไซเคิล อาทิ เงิน ทองคำ มาเป็นส่วนหนึ่งในการทำเหรียญรางวัล E-Waste ในฐานะเหรียญรางวัลประวัติศาสตร์เหรียญแรกของประเทศไทย ซึ่งได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน มีความเรียบง่าย สวยงาม ผ่านขั้นตอนการผลิตที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมทุกขั้นตอน เพื่อมอบเป็นรางวัลเกียรติยศในการแข่งขันฟุตบอล รายการ รีโว่ ไทยลีก ฤดูกาล 2021/22” 

โดยครั้งนี้เราทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์คนสำคัญทั้ง ไทยลีก ที่ต้องการผลักดันแนวคิด Green ไทยลีก ไปยังการแข่งขัน นักกีฬา สโมสร และแฟนบอล รวมถึง WMS บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการกำจัดขยะซึ่งทำงานร่วมกับโครงการคนไทยไร้ E-Waste อย่างต่อเนื่อง และได้นำขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล พร้อมนำวัตถุดิบส่วนหนึ่งที่ได้มาเข้าสู่กระบวนการผลิตเหรียญรางวัลเกียรติยศดังกล่าว จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นในการยกระดับวงการฟุตบอลไทยสู่การเดินหน้าอย่างยั่งยืน จากการมีส่วนร่วมของแฟนบอล และ ชุมชน โดย AIS พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างวงการฟุตบอลไทยในทุกมิติ ไม่เพียงการสานต่อภารกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่รวมไปถึงการนำ Digital Service และศักยภาพของโครงข่ายอัจฉริยะ 5G เข้ามายกระดับการแข่งขันตามเป้าหมาย Green ไทยลีก ในก้าวต่อๆ ไป”

ด้าน นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยลีก จำกัด กล่าวว่า “นอกจากเป้าหมายในการยกระดับวงการฟุตบอลไทย ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญเพียงการจัดแข่งขันให้มีมาตรฐานระดับสากลเท่านั้น แต่เรายังต้องการให้ไทยลีก เป็นลีกสูงสุดชั้นนำที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในทุกด้าน โดยเฉพาะการร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นวาระที่ทั่วโลกให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ผ่านการมีส่วนร่วม ระหว่าง สโมสร นักกีฬา แฟนบอล สปอนเซอร์ และพันธมิตรภาคส่วนต่างๆ โดยวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่เราและ AIS ได้ร่วมกันขยายผลความร่วมมือจากพันธมิตรที่ร่วมส่งต่อการแข่งขันสู่สายตาคนไทย มาสู่การร่วมสร้างความตระหนักกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านกิจกรรมเชิญชวนแฟนบอลในไทยลีก 1 ให้มาร่วมกันทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่จุดรับทิ้งบริเวณหน้าสนามแข่งขัน ที่เป็นรังเหย้าของสโมสรในศึกรีโว่ ไทยลีก ทั้ง 16 แห่ง เพื่อระดมเอาขยะที่ได้มารีไซเคิลและสร้างเป็นเหรียญรางวัลประวัติศาสตร์เหรียญแรกของประเทศไทยที่ผลิตจากวัตถุดิบที่รีไซเคิล จาก E-Waste  จำนวน 2 เหรียญ ที่จะมอบเป็นรางวัลเกียรติยศให้กับสโมสรที่การแข่งขันฟุตบอล รายการ รีโว่ ไทยลีก ฤดูกาล 2021/22 นี้”

“เราเชื่อว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการเริ่มต้นสำคัญ ในการดึงภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการผลักกันการแข่งขันแบบ Green ไทยลีกร่วมกัน เราเชื่อว่าการสะท้อนปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมไปยังสโมสร แฟนบอล และนักกีฬา จะช่วยทำให้สังคมเกิดความตระหนักรู้ เห็นความสำคัญ และตื่นตัวในการแก้ปัญหานี้ร่วมกัน โดยเราพร้อมเดินหน้าขยายความตั้งใจนี้ไปยังบริบทอื่นๆ ของการจัดการแข่งขัน เพื่อให้ไทยลีกเป็น Green ไทยลีกที่เติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ”

ทางด้าน นายฮิโรมิตสึ ทาคากิ ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เวสท์ แมเนจเม้นท์ สยาม จำกัด อธิบายเสริมว่า “จากการทำงานร่วมกับ AIS ในการนำขยะ E-Waste เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้องแบบ Zero Landfill ตามมาตรฐานสากล ถือว่าสอดคล้องกับความตั้งใจของเราที่ต้องการกำจัดขยะทุกประเภทให้ถูกต้องและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เรารู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง AIS และไทยลีกในครั้งนี้ เพราะจะเป็นการทำให้เห็นถึงประโยชน์ของการรีไซเคิลที่สามารถนำทุกส่วนของขยะกลับมาสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นได้อีกครั้ง สำหรับ เหรียญรางวัลจากวัตถุดิบรีไซเคิลที่ได้จาก E-Waste โดยโรงงาน DOWA ที่ประเทศญี่ปุ่นนี้ ได้ส่งแร่ธาตุ คือ เงิน และ ทอง ไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหรียญเกียรติยศ ด้วยเทคโนโลยีเดียวกับการผลิตเหรียญรางวัลที่ใช้ในมหกรรมกีฬาระดับโลก อีกทั้งตัวเหรียญจะบรรจุอยู่ในกล่องที่ผลิตจากวัสดุกระดาษลูกฟูก ผสมกระดาษรังผึ้ง จึงนับว่าเหรียญรางวัล E-Waste มีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน”

โดยแฟนบอลชาวไทย สามารถมีส่วนร่วมและแสดงพลังเพื่อทีมที่รักได้ง่ายๆ กับการทำเหรียญรางวัลจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ สู่เหรียญรางวัลเกียรติยศในการแข่งขันฟุตบอล รายการ รีโว่ ไทยลีก ฤดูกาล 2021/22 ทั้งสองรางวัล ได้แก่ “Football Club E-Waste Challenge Award” ซึ่งจะมอบให้แก่สโมสรที่มีส่วนร่วมกับกิจกรรม ที่มีจำนวนขยะผ่านการฝากทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์กับ AIS ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ต สายชาร์จ หูฟัง พาวเวอร์แบงก์ แบตเตอรี่มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กอื่นๆ มากที่สุด ก่อนจบฤดูกาลช่วงกลางปีนี้ และ รางวัล Football Club Green Ecosystem Award เป็นรางวัลที่มอบให้กับสโมสรที่มีผลงานด้านสิ่งแวดล้อมรวมถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้โดดเด่นเป็นรูปธรรม

แฟนบอลชาวไทยสามารถ ทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่างๆ ได้ที่ถังรับฝากทิ้ง ณ สนามเหย้าของสโมสรในไทยลีก 1 ทั้ง 16 สนามทั่วประเทศได้แล้วตั้งแต่วันนี้- 31 พฤษภาคม 2565 อีกทั้งยังสามารถฝากทิ้ง E-Waste กับพี่ไปรษณีย์ และที่ทำการไปรษณีย์ ทั่วประเทศ ได้ฟรี โดยนำ E-Waste ใส่กล่อง และเขียนหน้ากล่องว่า ฝากทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมใส่ชื่อสโมสรที่ตนชื่นชอบไว้ที่หน้ากล่อง เพื่อนำไปรวบรวมเพื่อทำเหรียญรางวัลต่อไป

สำหรับแฟนบอลชาวไทย สามารถติดตามเส้นทางของเหรียญรางวัลประวัติศาสตร์จากขยะอิเล็กทรอนิกส์ในครั้งนี้ได้ทาง https://www.facebook.com/ais.sustainability

เซเว่น อีเลฟเว่น หนุน SME ตัวจริง ชวน“น้ำพริกป้าแว่น” Live สด ขายของ

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า หลังจากที่เซเว่น อีเลฟเว่น โดยบมจ. ซีพี ออลล์ ประเดิมช่วยผู้ประกอบการ SME และเกษตรกรในการขยายช่องทางจำหน่ายสินค้า SME เกษตร และผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ่านการ Live บนเฟซบุ๊ก 7-ElevenThailand และได้ผลตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ล่าสุด เซเว่นฯ เดินหน้าช่วยผู้ประกอบการรายย่อยเต็บสูบ ชวน SME ตัวจริง “น้ำพริกป้าแว่น” Live ขายสินค้า พร้อมพบสินค้า SME ของดีทั่วไทย ราคาสุดพิเศษเฉพาะที่ Live 29 มีนาคม นี้

เซเว่น อีเลฟเว่น จัดกิจกรรม Live ขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME และเกษตรกร ภายใต้ภารกิจ 3 ให้ ได้แก่ ให้ช่องทางจำหน่าย ให้ความรู้ และให้การสนับสนุน โดยการ Live ครั้งนี้จะเชิญ “ป้าแว่น” นางบังอร วันน้อย เจ้าของธุรกิจ SME ชื่อดัง “น้ำพริกป้าแว่น” เป็นสินค้า OTOP 5 ดาว ของจังหวัดชลบุรี และได้รับรางวัลเซเว่น อีเลฟเว่นเอสเอ็มอียั่งยืน มาร่วมพูดคุย โดยป้าแว่นจะนำน้ำพริกหลายรายการมาจำหน่ายในราคาพิเศษด้วย นับว่าเป็นการขยายช่องการจำหน่ายสินค้าให้ผู้ประกอบการ SME และช่วยประชาสัมพันธ์สินค้าให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่ชื่นชอบและรอคอยสินค้า SME ของดีทั่วไทย ใน Live รอบนี้ก็จะได้พบกับสินค้าชุมชน อาหารแปรรูป ผลไม้สด และของใช้ ลดราคาพิเศษกว่า 40 รายการ เช่น แคปหมูไร้มัน ปลาหมึกบด กระเทียมโทนดองน้ำผึ้ง ทองม้วนรสต่าง ๆ รวงน้ำผึ้ง อินทผลัมผลแห้ง มะม่วงแดงจักรพรรดิ์ เมล่อนฮอกไกโด เกรดพรีเมี่ยม ถ่านไม้ไผ่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว และต้นไม้ เป็นต้น

สายช้อปอย่าพลาดกับกิจกรรม Live จำหน่ายสินค้า SME ดีมีคุณภาพ สามารถติดตามได้ทางเฟซบุ๊ก 7-ElevenThailand ในวันอังคารที่ 29 มีนาคม 2565 เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป

AIS เตรียมวางจำหน่าย iPhone SE รุ่นใหม่ 5G วันที่ 25 มี.ค.นี้

iPhone SE มาในดีไซน์ที่กะทัดรัดและทนทาน เมื่อทำงานร่วมกับ iOS 15 ก็มอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ iPhone SE ใหม่ได้รับการอัพเกรดที่น่าประทับใจ รวมถึงชิพ A15 Bionic ที่ทรงประสิทธิภาพ ปลดล็อกความสามารถอันล้ำสมัยของกล้องถ่ายรูป และทำให้ประสบการณ์การใช้งานเกือบทุกด้านดีขึ้น ตั้งแต่การแต่งรูปไปจนถึงการทำงานที่ต้องใช้พลังสูงอย่างการเล่นเกม หรือ เทคโนโลยีเสมือนจริง

ด้วยเทคโนโลยี 5G ที่ใช้งานได้บน iPhone SE ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดและอัพโหลดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ความหน่วงต่ำ ทำให้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีมากขึ้น ในหลายพื้นที่ยิ่งขึ้น1  พร้อมกันนี้ iPhone SE ยังมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น ทนทานยิ่งขึ้น และมาใน 3 สี ที่สวยงาม ได้แก่ มิดไนท์, สตาร์ไลท์ และรุ่น (PRODUCT)RED2

ลูกค้าสามารถซื้อ iPhone SE, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max สีอัลไพน์กรีน และ iPhone 13 และ iPhone 13 mini สีเขียว ได้ในวันที่ 25 มีนาคม 2565  ที่ www.ais.th/iPhone  หรือที่ AIS Shop และตัวแทนจำหน่ายทุกสาขาทั่วประเทศ

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “AIS ภูมิใจที่จะได้ส่งมอบ iPhone SE รุ่นใหม่ และ iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max สีอัลไพน์กรีนและ iPhone 13 สีเขียวที่มีดีไซน์กระทัดรัด มาพร้อมกับระบบกล้องที่ล้ำสมัย ลูกค้า AIS จะได้รับประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมจากการใช้งาน iPhone บนโครงข่าย 5G ของ AIS ที่มีคลื่นมากที่สุด เร็วที่สุด ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดทั่วไทย และที่สำคัญ AIS ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงข่าย 5G เพื่อตอบโจทย์ทุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของคนไทยต่อไป ทั้งการลงทุนอย่างต่อเนื่องและขยายพื้นที่ให้บริการ รวมทั้งส่งมอบประสบการณ์ที่ดีผ่านข้อเสนอสุดพิเศษและสิทธิประโยชน์มากมายให้กับลูกค้า AIS”

iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์และ iPhone 13 สีเขียวใหม่ที่สวยสะดุดตาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 เพิ่มตัวเลือกให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone ที่ทันสมัยที่สุด มาในดีไซน์กระทัดรัด พร้อมชิป A15 Bionic สุดล้ำ ด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ที่ทนทาน  ประสบการณ์การใช้งาน 5G สุดล้ำ และระบบกล้องอันล้ำสมัยเพื่อการถ่ายภาพและวิดีโอที่สวยสะดุดตา

iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max มาพร้อมระบบกล้องที่ล้ำหน้าที่สุดที่เคยมีมาบน iPhone กล้องไวด์, อัลตร้าไวด์ และเทเลโฟโต้ใหม่ที่สามารถถ่ายภาพและวิดีโอได้สวยสะดุดตา รวมถึงมอบความสามารถของกล้องระดับโปรใหม่อันน่าทึ่งอย่างการถ่ายภาพและวิดีโอมาโคร ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับหน้าจอ Super Retina XDR พร้อม ProMotion และมีอัตรา adaptive refresh rate ตั้งแต่ 10Hz ไปจนถึง 120Hz และยังมีอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น ระบบกล้องคู่บน iPhone 13 และ iPhone 13 mini มอบดีไซน์กล้องแบบก้าวกระโดด โดยกล้องไวด์มีเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในระบบกล้องคู่ของ iPhone, กล้องอัลตร้าไวด์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ และระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล ทั้งสองรุ่นมาพร้อมหน้าจอ Super Retina XDR ที่สว่างขึ้น อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่น่าประทับใจ และความจุเริ่มต้นที่ 128 GB นอกจากสีเขียวอัลไพน์ที่สวยงาม iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ยังมีสีเซียร์ร่าบลู, สีกราไฟต์, สีทอง และสีเงิน ด้าน iPhone 13 และ iPhone 13 mini ใหม่ มาในสีเขียวซึ่งจะเข้ามาเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้สมบูรณ์ พร้อมกันนี้ยังมีสี (PRODUCT)RED, สีสตาร์ไลท์, สีมิดไนท์, สีน้ำเงิน และสีชมพู

เมื่อสั่งจอง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max สีอัลไพน์กรีน และ iPhone 13 mini สีเขียว ลูกค้า AIS จะได้รับสิทธิ์

            •ทดลองใช้บริการ Apple Music และ Apple Arcade ฟรีนานสูงสุด 6 เดือน

            •รับวงเงินในการซื้อแอปหรือเกมที่คุณชื่นชอบบน App Store มูลค่า 2,400 บาท เมื่อสมัครแพ็กเกจ AIS 5G One Plan for iPhone 1,699.- ขึ้นไป

สำหรับลูกค้า AIS ที่สั่งจอง iPhone SE รุ่นใหม่ หรือซื้อเครื่องพร้อมสมัครแพ็กใหม่จาก iPhone One Plan 599 จะได้รับสิทธิ์ผ่อน 0% นาน 18 เดือน และรับเครดิตเงินคืน 4% พร้อมทั้ง

            •ทดลองใช้บริการ Apple Music และ Apple Arcade ฟรีนานสูงสุด 6 เดือน

            ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาและการใช้งานข้อมูลได้ที่ www.ais.th/iPhone

รู้เก็บรู้ออม : เตือนภัยเพจปลอมหลอกลงทุน!!

ช่วงหลังๆมานี้มือถือของ “คุณนายพารวย” ได้รับข้อความชักชวนให้ไปลงทุนนู่นนี่นั่น แบบบ่อยมากถึงบ่อยที่สุด ซึ่งหากเราติดตามข่าวสารอยู่ตลอดก็คงจะทราบดีว่า ข้อความชักชวนลงทุนประเภทนี้ เป็นข้อความหลอกลวงทั้งนั้น

กลโกงของมิจฉาชีพออนไลน์ ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอย่างหนักอยู่ตอนนี้ จากตัวเลขสถิติการร้องเรียนเรื่องการโดนหลอกลวงให้ลงทุน นับวันมีแต่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ มูลค่าความเสียหายและจำนวนผู้เสียหายที่เยอะขึ้น เรียกได้ว่าโดนหลอกถี่ขึ้น มากขึ้น หลากหลายรูปแบบขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเพจปลอม, การใช้ Line กลุ่มเพื่อมาชี้นำการลงทุน, แชร์ลูกโซ่ หรือการลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินต่างๆที่เสนอผลตอบแทนสูงเกินจริง ไม่ว่าจะเป็นเงินสกุลต่างประเทศ, เงินดิจิทัล

เผลอโอนเงินไปเมื่อไร ก็เสร็จโจร กลายเป็นการลงทุนทิพย์ที่สูญเสียเงินและทรัพย์สินไปเปล่าๆแน่นอน

“คุณนายพารวย” ขอให้นักลงทุนสังเกตดีๆถึงรูปแบบและพฤติกรรมที่ต้องสงสัยไว้ก่อนเลยว่าหากมาไม้นี้ จะมาหลอกเอาเงินเราแน่นอน คือ บุคคลหรือบริษัทที่ชวนให้เราลงทุน ไม่ได้รับใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย ร้อยทั้งร้อย หลอกชัวร์ แล้วยิ่งถ้าหลักทรัพย์ หรือสินทรัพย์นั้นตรวจสอบไม่ได้ หรือข้อมูลประกอบการลงทุน ไม่มี หรือมีให้มาแต่ดูแล้วไม่ชัดเจน ไม่น่าเชื่อถือ โอกาสที่จะโดนหลอกยิ่งชัวร์

มิจฉาชีพมักจะล่อให้เราลงทุนด้วยการเสนอให้ตัวเลขผลตอบแทนที่สูงเกินจริง และเร่งให้เราตัดสินใจโอนเงินลงทุนเร็วๆ เพื่อตัดตอนไม่ให้เรามีเวลาคิดไตร่ตรองดีๆ รู้ตัวอีกทีก็ตก

เป็นเหยื่อลงเงินไปกับธุรกิจที่ไม่มีจริงไปเสียแล้ว

และอีกลักษณะหนึ่งที่อยากให้นักลงทุนต้องเอะใจ คือ ถ้าชื่อบัญชีธนาคารที่จะให้เราโอนเงินไปลงทุน เป็นบัญชีบุคคลธรรมดา ก็เสี่ยงต่อการโดนหลอกเช่นกัน เพราะไม่ต่างอะไรกับการโอนเงินเราไปเข้าบัญชีใครก็ไม่รู้ ซึ่งคนที่ได้รับโอนไปจะถอนไปตอนไหนก็ได้เราก็ไม่รู้

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทราบถึงปัญหานี้ และตระหนักถึงความเสียหายที่อาจเกิดกับนักลงทุน จึงได้ทำหน้าที่สร้างเสริมและกระตุ้นภูมิคุ้มกันภัยการเงินออนไลน์ให้กับนักลงทุนทุกคนอย่างเร่งด่วน เพราะนักลงทุน จะหน้าเก่า หรือหน้าใหม่มีสิทธิโดนหลอกด้วยกันทุกคน โดยเมื่อเร็วๆนี้ ได้เผยแพร่ความรู้ “4 ไม่” เพื่อป้องกันเพจปลอมหลอกลงทุน เพื่อเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังการลงทุน หากพบเจอพฤติกรรม หรือรูปแบบที่เข้าข่ายว่าจะเป็นมิจฉาชีพชักชวนให้ลงทุน นั่นคือ

1.ไม่ลงทุนตามคำชักชวน โดยไม่ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ระวังการแอบอ้างบุคคลที่มีชื่อเสียง 2.ไม่หลงเชื่อการอ้างผลตอบแทนที่สูงเกินจริง 3.ไม่รีบร้อน ต้องตรวจสอบตัวตนบริษัทก่อนลงทุน โดยตรวจสอบรายชื่อผู้ให้บริการและบุคคลเกี่ยวกับการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตได้ที่ www.sec.or.th 4.ไม่โอนเงินเข้าบัญชีบุคคลธรรมดา

คุณนายพารวยมั่นใจว่าถ้าทำตามคาถา “4 ไม่” นี้แล้ว จะช่วยป้องกันตัวเราไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ โดนหลอกให้เสียเงิน จนต้องเสียใจในภายหลังกันนะเจ้าคะ!!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

“ทรีนีตี้” เตือนภัย มิจฉาชีพแอบอ้าง หลอกให้ร่วมลงทุน

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด แจ้งเตือนภัย กรณีขณะนี้ได้มีมิจฉาชีพกลุ่มหนึ่งแอบอ้างชื่อบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ผ่านช่องทาง Social Media และผ่านไลน์ ชื่อ บริษัทหุ้นหลักทรัพย์ เพื่อหลอกลวงชักชวน ให้ประชาชนและนักลงทุนหลงเชื่อเข้าร่วมลงทุน โดยให้ข้อมูลว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ

บริษัทฯ ขอเรียนแจ้งว่าบริษัทฯ ไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้แต่อย่างใด และบริษัทฯ ไม่มีนโยบายเชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมการลงทุนใดๆ ในลักษณะดังกล่าวด้วยเช่นกัน

การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำให้ประชาชน นักลงทุน และชื่อเสียงบริษัทฯ เสียหาย เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา ผู้กระทำความผิดจะได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง และขณะนี้บริษัทฯ กำลังดำเนินการทางกฎหมายกับผู้แอบอ้างชื่อบริษัทฯ ไปหลอกลวงประชาชน จึงขอประกาศให้ลูกค้า นักลงทุน ได้รับทราบข้อเท็จจริงนี้ และอย่าได้หลงเชื่อพวกมิจฉาชีพเหล่านี้เป็นอันขาด

“หากผู้ลงทุนหลงเชื่อการหลอกลวงดังกล่าว และโอนเงินไปแล้ว ขอให้รีบแจ้งธนาคารเจ้าของบัญชี และแจ้งความดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่เกิดเหตุทันที หรือแจ้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) และศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) โทร 1441 / 081-866-3000”หากมีข้อสงสัยว่าถูกมิจฉาชีพหลอกลวง หรือต้องการติดต่อกับบริษัทฯ สามารถติดต่อ ผ่านช่องทางต่อไปนี้

  • Call center : 02 343 9555
  • email : compliance@trinitythai.comauditcommittee@trinitythai.com
  • Inbox Facebook : Trinity Securities Group (https://www.facebook.com/  TrinitySecuritiesGroup)
  • ทางไปรษณีย์ : นำส่งที่ ประธานกรรมการตรวจสอบบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้  จำกัด 179 อาคารบางกอกซิตี้ ทาวเวอร์ ชั้น 25 ถ.สาทรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ 10120

ก.ล.ต. ออกเกณฑ์คุมผู้ประกอบธุรกิจ ไม่สนับสนุนการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลจ่ายค่าสินค้าบริการ

รายงานข่าวเปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้หารือร่วมกันถึงประโยชน์และความเสี่ยงของสินทรัพย์ดิจิทัล และเห็นความจำเป็นในการกำกับดูแลและควบคุมการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าและบริการ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงความเสี่ยงต่อประชาชนและธุรกิจ อาทิ ความเสี่ยงจากการสูญมูลค่าที่เกิดจากความผันผวนของราคา ความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ ความเสี่ยงข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล หรือการถูกใช้เป็นเครื่องมือของการฟอกเงิน

คณะกรรมการ ก.ล.ต. จึงพิจารณาใช้อำนาจตามกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำกับดูแลการให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจไม่ให้มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นเป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าและบริการ เนื่องจากอาจส่งผลให้เกิดการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในวงกว้างนอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุน โดยคณะกรรมการ ก.ล.ต. ในการประชุมครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2565 ได้มีมติเห็นชอบหลักการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในการจำกัดการให้บริการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าและบริการ ซึ่งปรับปรุงตามข้อเสนอแนะที่ได้จากการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง (ระหว่างวันที่ 25 มกราคม ถึง 8 กุมภาพันธ์ 2565) ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น และออกประกาศเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล สรุปสาระสำคัญดังนี้

(1) ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทุกประเภท ต้องไม่ให้บริการหรือกระทำการอันมีลักษณะที่เป็นการสนับสนุนหรือส่งเสริมการชำระค่าสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น การโฆษณา การชักชวนหรือแสดงตนว่าพร้อมให้บริการชำระค่าสินค้าหรือบริการแก่ร้านค้า หรือการจัดทำระบบหรือเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการชำระค่าสินค้าและบริการ การเปิดกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อวัตถุประสงค์ในการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าและบริการ เป็นต้น

(2) กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลพบว่า ลูกค้าใช้บัญชีที่เปิดไว้เพื่อการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าและบริการ ผู้ประกอบธุรกิจต้องแจ้งเตือนเกี่ยวกับการใช้บัญชีผิดวัตถุประสงค์และไม่ตรงกับเงื่อนไขการให้บริการ และดำเนินการแก่ลูกค้าที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการให้บริการ ซึ่งรวมถึงระงับการให้บริการชั่วคราว ยกเลิกการให้บริการหรือดำเนินการอื่นใดในทำนองเดียวกัน

ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 และสำหรับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลให้บริการตาม (1) และ (2) อยู่ก่อนแล้ว ให้ผู้ประกอบธุรกิจปฏิบัติให้เป็นไปตามที่หลักเกณฑ์กำหนดภายใน 30 วันนับแต่วันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ

SET ปรับปรุงม.กำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ คุมเข้ม ลดความเสี่ยงนักลงทุน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับปรุงมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยปรับระดับของมาตรการให้เข้มขึ้นจากเดิม และเพิ่มมาตรการการหยุดพักการซื้อขาย 1 วันทำการเป็นมาตรการในระดับสูงสุด ซึ่งจะมีผลใช้บังคับ 4 เมษายน 2565 เป็นต้นไป

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 2565 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ปรับปรุงมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ให้เหมาะสมและเพื่อที่จะป้องกันความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนได้อย่างทันท่วงทีมากขึ้น ด้วยการยกระดับของมาตรการให้เข้มขึ้นจากเดิม และเพิ่มมาตรการการหยุดพักการซื้อขายชั่วคราว 1 วันทำการเป็นมาตรการในระดับสูงสุด ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการของตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยมาตรการดังกล่าวได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. แล้ว

สำหรับมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ใหม่นี้ จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2565 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดดังนี้

มาตรการเดิมมาตรการใหม่
มาตรการระดับ 1: ให้ซื้อด้วยการวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ (บัญชี cash balance)มาตรการระดับ 1: ให้ซื้อด้วยการวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ (บัญชี cash balance) และห้ามนำหลักทรัพย์ที่กำหนดมาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย
มาตรการระดับ 2: ให้ซื้อด้วยการวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ และห้ามนำหลักทรัพย์ที่กำหนดมาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขายมาตรการระดับ 2: ให้ซื้อด้วยการวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ และห้ามนำหลักทรัพย์ที่กำหนดมาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย และห้าม Net Settlement
มาตรการระดับ 3: ให้ซื้อด้วยการวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ และห้ามนำหลักทรัพย์ที่กำหนดมาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย และห้าม Net Settlementมาตรการระดับ 3: ห้ามซื้อขายชั่วคราว 1 วันทำการ (เฉพาะวันแรก) เมื่ออนุญาตให้ซื้อขาย ให้ซื้อด้วยการวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ และห้ามนำหลักทรัพย์ที่กำหนดมาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย และห้าม Net Settlement

ทั้งนี้ มาตรการในแต่ละระดับ มีระยะเวลาเริ่มต้นจนถึงวันสิ้นสุดครั้งละ 3 สัปดาห์ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถพิจารณาขยาย หรือยกระดับมาตรการได้ เมื่อพบว่าสภาพการซื้อขายหลักทรัพย์ยังคงผิดปกติ 

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลของหลักทรัพย์ที่อยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขายโดยละเอียด ทั้งด้านฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน รวมถึงความเสี่ยงและปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับสภาพการซื้อขายของหลักทรัพย์ก่อนตัดสินใจลงทุน

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดมาตรการกำกับการซื้อขายที่ปรับปรุงใหม่ได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th ภายใต้หัวข้อ “กฎเกณฑ์/การกำกับ” และ “กฎเกณฑ์ – หนังสือเวียนส่วนที่เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์”

เอไอเอสเตือนภัย ระวังมิจฉาชีพ แอบอ้างชื่อ AIS หลอกรับสมัครงานผ่านออนไลน์

รายงานข่าว เปิดเผยว่า จากกรณีที่กลุ่มมิจฉาชีพได้มีการส่งต่อ link และรูปภาพการรับสมัครงาน โดยแอบอ้างชื่อ AIS ผ่านทาง online อาทิ เฟสบุ๊ค ในหลากหลายรูปแบบในช่วงที่ผ่านมานั้น บริษัทฯ ขอเรียนยืนยันว่า AIS ไม่เคยมีลักษณะของการรับสมัครงานในรูปแบบดังกล่าว ดังนั้น จึงขอแจ้งเตือนประชาชนว่า อย่าหลงเชื่อและกด link เข้าไปให้ข้อมูลอย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะเกิดความเสี่ยงในการถูกมิจฉาชีพเชื่อมต่อไปยังข้อมูลส่วนบุคคลได้ ทั้งนี้ท่านสามารถตรวจสอบตำแหน่งงาน หรือ การรับสมัครงานของ AIS ได้ที่ : FB : aisapplyjob LINE : AIS Applyjob Website : www.ais.co.th/applyjob และ email : applyjob@ais.co.th

รู้ทันโซเดียม รู้ทันโรคภัย

นักวิชาการ เผยอุตสาหกรรมผลิตอาหารให้ความสำคัญและตระหนักอย่างมากเรื่องการลดการบริโภคเกลือและโซเดียม มีการใส่สารเจือปนอื่นทดแทน เช่น เครื่องเทศ สมุนไพร นอกจากนี้ ยังมีการพยายามลดโซเดียมในไส้กรอกและเริ่มมีการวางจำหน่ายแล้ว อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคควรอ่านฉลากที่ติดอยู่ที่ผลิตภัณฑ์ หรือฉลาก GDA เพื่อให้สามารถเลือกรับประทานได้อย่างเหมาะสม หมดกังวลเรื่องโซเดียมสูงเพื่อให้ได้รับประทานอาหารที่ยังคงคุณค่าอาหาร อร่อย ปลอดภัยเช่นเดิม 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุจินดา ศรีวัฒนะ คณบดีคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุจินดา ศรีวัฒนะ คณบดีคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า  โซเดียมเป็นธาตุอาหารชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ทำหน้าที่ในการควบคุมสมดุลน้ำ รวมถึงของเหลวในร่างกาย ควบคุมระบบความดันโลหิต การทำงานของเซลล์ประสาท การดูดซึมสารอาหาร เกลือแร่ ซึ่งร่างกายคนเราต้องการโซเดียมในปริมาณที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับเพศ อายุ ปริมาณโซเดียมที่สามารถบริโภคได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายอยู่ที่ 2000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งองค์การอนามัย (WHO) แนะนำว่าหากบริโภคในรูปแบบเกลือไม่ควรบริโภคเกิน 5 กรัมต่อวัน อย่างไรก็ดี ด้วยพฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่นิยมบริโภคอาหารรสจัด จึงทำให้บางคนได้รับโซเดียมสูงถึง 4000 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้น หากสามารถลดการบริโภคอาหารรสจัด รสเค็มลงได้ ก็จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคความดัน โรคหัวใจ รวมถึงโรคอื่นๆ ตามมา 

อาหารที่บริโภคส่วนใหญ่ล้วนมีโซเดียมทั้งสิ้น เช่น เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ ถั่วเมล็ดแห้ง แต่จะมีในปริมาณมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละชนิด อาหารที่มีโซเดียมต่ำมักเป็นอาหารสด ไม่ผ่านการปรุงรสมาก ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุจินดา ระบุเพิ่มเติมว่า หลายปีที่ผ่านมาโซเดียมมีบทบาทอย่างมากในอุตสาหกรรมอาหาร ช่วยยืดอายุการเก็บผลิตภัณฑ์ โดยการลดค่า water activity ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมและป้องกันการเสื่อมสภาพของผลิตภัณฑ์โดยตรง ส่งผลต่อการกำหนดอายุการเก็บรักษาและความปลอดภัยอาหาร นอกจากนี้ โซเดียมยังมีบทบาทในการปรับปรุงความสามารถในการอุ้มน้ำ ปรับปรุงคุณภาพด้านสี กลิ่น รสชาติ ของผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปอีกด้วย 

อย่างไรก็ดี การรับประทานโซเดียมมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกาย ปัจจุบันประมาณ 96 ประเทศทั่วโลกมีการรณรงค์ให้ประชาชนบริโภคเกลือลดลงอย่างต่อเนื่อง และประมาณ 48 ประเทศ ที่มีการออกประกาศกำหนดระดับค่าโซเดียมเป้าหมายในอาหารแปรรูปบางชนิด แต่ก็เป็นเรื่องยากหากจะเปรียบเทียบความก้าวหน้าของแต่ละประเทศในเรื่องการลดปริมาณโซเดียม เนื่องจากประชาชนมีวัฒนธรรมในการบริโภคอาหารแตกต่างกัน 

สำหรับประเทศไทยมีการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การลดการบริโภคเกลือและโซเดียม โดยตั้งเป้าหมายให้คนไทยลดการบริโภคโซเดียมลงร้อยละ 30 ภายในปี พ.ศ. 2568 จากความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม และประชาชน 

ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมผลิตอาหารให้ความสำคัญและตระหนักมากยิ่งขึ้น จึงมีการลดโซเดียมในกระบวนการผลิตอาหาร หรือใส่สารเจือปนอื่นทดแทน เช่น เครื่องเทศ สมุนไพร เพื่อเสริมรสชาติอาหาร ซึ่งวิธีนี้สามารถช่วยลดเกลือลงได้ หรือการพยายามลดโซเดียมในผลิตภัณฑ์ไส้กรอกซึ่งสามารถลดลงได้ 25 – 50% และเริ่มมีการวางจำหน่ายแล้ว 

สุดท้าย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุจินดา ย้ำว่าผู้บริโภคควรอ่านฉลากที่ติดอยู่ที่ผลิตภัณฑ์ หรือฉลาก GDA เพื่อให้สามารถเลือกรับประทานได้อย่างเหมาะสม หมดกังวลเรื่องโซเดียมสูงเพื่อให้ได้รับประทานอาหารที่ยังคงคุณค่าอาหาร อร่อย ปลอดภัยเช่นเดิม