Home Blog Page 166

AIS , Qualcomm และ ZTE ร่วมประกาศความสำเร็จในการทดลองทดสอบเทคโนโลยี 5G NR-DC

AIS 5G พร้อมด้วยพันธมิตร Qualcomm และ ZTE ได้ร่วมกันทดสอบเทคโนโลยี 5G NR-DC (New Radio Dual Connectivity) สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลกบนคลื่นความถี่ 2.6GHz (2600MHz) และ 26GHz โดยสามารถทำความเร็วสูงสุด ทั้งนี้การรวมกันของสองคลื่นความถี่ดังกล่าวบนเทคโนโลยี 5G นี้ ถือเป็นอีกก้าวความสำเร็จของการพัฒนาความเร็ว “5G mmWave” ซึ่งมีความสำคัญต่อการขยายขีดความสามารถเครือข่าย 5G ในประเทศไทย

การทดสอบ 5G NR-DC ในครั้งนี้ได้ทำการทดสอบในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งได้นำมือถือต้นแบบที่ใช้ชิปเซ็ท Snapdragon X65 5G ของ Qualcomm และใช้อุปกรณ์กระจายสัญญาณ mmWave AAU ของ ZTE มาทดสอบเทคโนโลยี 5G NR-DC ด้วยการนำคลื่นความถี่ย่านกลาง 2.6GHz จำนวนแบนด์วิธ 100MHz รวมกับคลื่นความถี่ย่านสูง 26GHz จำนวนแบนด์วิธ 4 X 200MHz ซึ่งสามารถทดสอบได้ความเร็วดาวโหลดสูงสุดได้ที่ 8.5 Gbps หรือ 8506639.00 Kbps และความเร็วสูงสุดการอัปโหลดที่ 2.17Gbps หรือ 2172220.25 Kbps โดยตัวเลขการทดสอบดังกล่าวบ่งชี้ได้ว่า ความสามารถของ 5G NR-DC จะเข้ามาเติมเต็มการใช้งานของลูกค้าทั่วไปได้ดีมากขึ้น รวมทั้งการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในอนาคตของภาคอุตสาหกรรม

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าฝ่ายงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “เป้าหมายหลักของ AIS คือ เดินหน้าพัฒนาโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ให้เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศด้วยงบลงทุนกว่า 30,000 – 35,000 ล้านบาทอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้ได้รับใบอนุญาตถือครองคลื่นความถี่มากที่สุดและครบ ทั้งย่านความถี่ต่ำ (Low Band) ย่านความถี่กลาง (Mid Band) และ ย่านความถี่สูง (High Band) หรือ mmWave ซึ่งโดดเด่นในด้านการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็วและความหน่วงต่ำ โดยที่ผ่านมา เราไม่เคยหยุดยั้งในการนำนวัตกรรมเข้ามายกระดับเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ 5G NSA/ SA, VoNR, 5G CA เป็นต้น เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ให้แก่คนไทย ตามเจตนารมณ์ตั้งแต่การเข้าร่วมประมูลคลื่น”

“ล่าสุด นับเป็นการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่างต่อเนื่องอีกครั้งกับ ZTE และ Qualcomm ในการร่วมกันทดสอบเทคโนโลยี 5G NR-DC (New Radio Dual Connectivity) ที่เป็นก้าวสำคัญในการนำคลื่น 5Gความถี่ย่าน 2.6GHz และ 26GHz มารวมกันซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของโลกโดยจะทำให้ได้ช่องส่งสัญญาณที่กว้างมากยิ่งขึ้น และมีความหน่วงต่ำ (Low Latency) ส่งผลต่อการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้บริโภคและการใช้งานของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต อาทิ การสตรีมเกมส์ออนไลน์ (Cloud Game) การควบคุมรถยนต์ไร้คนขับ ตลอดจนการบังคับหุ่นยนต์ระยะไกลที่ทำได้อย่าง real time มากไปกว่านั้นการทดสอบนี้ยังสามารถรองรับการพัฒนาของชิปเซ็ตมือถือรุ่นใหม่ๆ ในอนาคตที่จะทำให้การรับส่งข้อมูลเชื่อมต่อได้รวดเร็วอีกด้วย”

“ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า AIS เป็นผู้ให้บริการเพียงรายเดียวที่นำคลื่นความถี่ที่มีในมือในทุกย่านมาพัฒนาเพื่อสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจในมิติต่างๆ รวมถึงสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านการใช้งานของผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่อง และเท่าทัน ที่สำคัญคือในครั้งนี้เรามี Qualcomm ผู้พัฒนาชิปเซ็ตระดับโลก มาร่วมอยู่ในการทำสอบ จึงทำให้มั่นใจได้ว่า เครือข่าย AIS 5G จะพร้อมตอบสนองและสนับสนุนการใช้งานของดีไวซ์ต่างๆที่รองรับเทคโนโลยี 5G mmWave ซึ่งกำลังทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอย่างแน่นอน และที่มากไปกว่านั้นยังเป็นโอกาสที่ดีในการสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจในมิติต่างๆ อีกด้วย” นายวสิษฐ์ กล่าว

นายอิสซาโน่ อืสแลมรองประธานและประธาน Qualcomm South East Asia, Qualcomm, Qualcomm กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการปรับใช้ 5G mmwave ในประเทศไทย ที่ Qualcomm เชื่อว่า 5G mmwave จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของ 5G อย่างเต็มที่ ความเป็นไปได้นั้นไม่มีที่สิ้นสุดและเราภูมิใจที่ได้ก้าวแรกร่วมกับพันธมิตรหลักของเราในการนำประโยชน์ทั้งหมดของ 5G mmwave มาสู่ประเทศ”

ด้านนายเหมา จุน หย่ง รองประธานอาวุโส บริษัท แซดทีอี คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมงานกับ AIS และ Qualcomm ในการวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อทดสอบการนำเทคโนโลยี 5G mmWave มาใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ ซึ่งสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ บริษัทเชื่อว่าการทำงานร่วมกันของพาร์ทเนอร์ และประสิทธิภาพการทำงานของ 5G จากการทดสอบในครั้งนี้จะสามารถสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้าได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นการร่วมกันทดสอบเทคโนโลยี 5G NR-DC ถือเป็นอีกหนึ่งการขับเคลื่อนความก้าวหน้าในการนำ 5G mmWave มาพัฒนาเพื่อปรับใช้ทั้งในเชิงพาณิชย์สำหรับภาคอุตสาหกรรมและการใช้งานของลูกค้าทั่วไป ทั้งนี้ในอนาคต AIS , Qualcomm และ ZTE จะทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี 5G ทั้งยกระดับความสามารถ การปรับปรุงประสิทธิภาพ และการขยาย 5G ให้สามารถใช้งานได้อย่างกว้างขวาง ครอบคลุมและทั่วถึงผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ที่ครบครัน

บอร์ด TIPH ไฟเขียว ตั้ง TIP IB เดินหน้าลงทุนในบ.ประกันภัยดิจิทัล และบ.ประกันภัยตะกาฟุล

ดร. สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TIPH) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด TIPH มีมติจัดตั้ง บริษัท ทิพย ไอบี จำกัด หรือ TIP IB (TIP Insurance Business) เป็นบริษัทเรือธง (Flagship Company) แห่งใหม่ เพื่อประกอบธุรกิจลงทุนในธุรกิจประกันภัย (Insurance Business) โดยจะซื้อบริษัทประกันภัย เพื่อจัดตั้งบริษัทประกันภัยดิจิทัล และบริษัทประกันภัยตะกาฟุล เต็มรูปแบบแห่งแรกของประเทศไทย

โดย TIP IB จะมี TIPH ถือหุ้นร้อยละ 99.99 ซึ่งแหล่งเงินทุนที่จะใช้สำหรับการลงทุนของ TIP IB ในอนาคต จะมาจากเงินเพิ่มทุนจาก TIP พร้อมเดินหน้าผลักดันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 5 ปี

สำหรับบริษัทประกันภัยดิจิทัลแห่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นจะเป็นบริษัทประกันภัยดิจิทัล 100% ที่มีรูปแบบการทำธุรกิจแตกต่างจากรูปแบบของธุรกิจประกันภัยแบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยจะขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านช่องทาง Digital Platform เท่านั้น และให้บริการแบบ High-Tech and Low-Touch โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าที่ต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยส่วนบุคคล (Personal Line) เป็นหลัก ซึ่งจะเน้นที่ผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจง่าย ไม่มีความซับซ้อน และลูกค้าสามารถเลือกซื้อและออกแบบได้อย่างสะดวกสบายด้วยตนเองบนแพลตฟอร์มทันที รวมทั้งไม่ผ่านตัวแทนนายหน้าหรือคนกลาง ทำให้สามารถที่จะขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยในราคาที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้อย่างแท้จริง

ขณะที่บริษัทประกันภัยตะกาฟุล ที่ TIP IB มีแผนที่จะตั้งขึ้นนั้น จะเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจตามหลักทางศาสนาอิสลาม 100% แห่งแรกของประเทศไทย เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ และให้บริการแก่พี่น้องชาวมุสลิมโดยเฉพาะ โดยมีเป้าหมายที่จะครองส่วนแบ่งการตลาดการประกันภัยให้กับพี่น้องมุสลิมสูงที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่มีบริษัทประกันภัยที่ดำเนินธุรกิจตามหลักทางศาสนาอิสลาม 100% อย่างแท้จริง ขณะที่ตลาดประกันภัยสำหรับพี่น้องชาวมุสลิมมีขนาดใหญ่มากในประเทศไทย โดยประเมินว่าอาจจะสูงถึง 11% ของเบี้ยประกันภัยรับรวมในประเทศไทย

TIP IB ถือเป็นบริษัทเรือธง ลำดับที่ 2 ของ TIPH หลังจากที่ปลายปี 2564 ที่ผ่านมา TIPH ได้มีการจัดตั้งบริษัท ทิพย ไอเอสบี จำกัด หรือ TIP ISB (TIP Insurance Supported Business) ขึ้น และ TIP ISB ได้เริ่มภาระกิจด้วยการเข้าซื้อกิจการรวดเดียว 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท อะมิตี้ อินชัวร์รันซ์ โบรคเกอร์ จำกัด หรือ Amity และ บริษัท ดีพี เซอร์เวย์ แอนด์ลอว์ จำกัด หรือ DP Survey โดยที่ล่าสุดทั้ง 2 บริษัทได้เดินหน้าตามแผนธุรกิจที่ TIPH วางไว้แล้ว ภายใต้การขับเคลื่อนของผู้บริหารชุดใหม่ที่มีศักยภาพ

นอกจากนี้ในอนาคตอันใกล้ TIPH ยังมีแผนที่จะตั้งบริษัทเรือธงแห่งใหม่ขึ้นอีก เพื่อลงทุนในธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัย ที่มีโอกาสในการเติบโต และความสามารถในการทำกำไรสูง โดยจะเน้นไปที่ธุรกิจเทคโนโลยี การเงิน และ สุขภาพ เป็นต้น

“ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าบริษัทลูกต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ TIP ISB (TIP Insurance Supported Business) และ TIP IB (TIP Insurance Business) นอกจากจะสามารถสร้างมิติใหม่ให้กับวงการประกันภัยในประเทศไทยได้อย่างแน่นอนแล้ว จะสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นของ TIPH ในระยะยาวได้ จากการที่บริษัทลูกทุกบริษัทภายใต้ TIPH มีเป้าหมายร่วมกันคือการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 5 ปี ภายใต้การบริหารงานของผู้เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในธุรกิจนั้นๆ อย่างแท้จริง” ดร.สมพร กล่าว

โออาร์ เปิดร้านขายสินค้ามัลติแบรนด์ “Your Space” นำร่องสาขาแรกที่ พีทีที สเตชั่น วิภาวดี

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)  หรือ โออาร์ พร้อมด้วย นางสาวราชสุดา รังสิยากูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการโครงการ ORion  และ นายสมยศ คงประเวช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีก โออาร์ ร่วมเปิดตัว “Your Space” Multi – Brand Store  ร้านจำหน่ายสินค้ามัลติแบรนด์ ที่เปิดโอกาสให้เจ้าของร้านค้าออนไลน์เช่าพื้นที่เพื่อจัดแสดงสินค้าให้ผู้ซื้อได้สัมผัสสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ โดยคิดค่าเช่าแบบ Fixed Rate ตอบโจทย์ผู้ขายเรื่องความคุ้มค่าเช่า เน้นโชว์สินค้าจริงเพื่อเพิ่มการรับรู้และยอดขายให้กับแบรนด์ พร้อมบริการสั่งซื้อสินค้าผ่าน QR code และช่องทางออนไลน์ นำร่องสาขาแรก ณ สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สาขาวิภาวดี (ตรงข้าม ม.หอการค้า) 

นางสาวจิราพร  เปิดเผยว่า โออาร์ ได้ปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจมุ่งเน้นการสร้างการเติบโตของธุรกิจควบคู่ไปกับการเติบโตของผู้คนและสิ่งแวดล้อม โดยมีวิสัยทัศน์ใหม่คือ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน” หรือ “Empowering All Toward Inclusive Growth” พร้อมสร้างการเติบโตรูปแบบใหม่ โดยตั้งต้นจากความเข้าใจของลูกค้าเพื่อเติมเต็มกันและกัน พร้อมนำมาปรับให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ โดยใช้ศักยภาพที่ โออาร์ มีอยู่ ในการส่งต่อโอกาสให้กับผู้ประกอบการในทุกขนาดเติบโตไปพร้อมกัน (Inclusive Growth) โดยมีเป้าหมายในการสร้างการเติบโตทั้งด้านอาชีพ การกระจายความมั่งคั่งสู่คู่ค้า ผู้ประกอบการขนาดย่อม และชุมชน ซึ่งหนึ่งในกลยุทธสำคัญคือการพัฒนาสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ให้เป็นแพลตฟอร์มที่พร้อมรองรับโอกาสในการเติบโตร่วมกันไปพันธมิตร รวมทั้งเป็นศูนย์กลางให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงสินค้าและบริการที่นอกเหนือไปจากการเติมน้ำมัน อีกทั้งยังสอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี สังคม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตในยุคปัจจุบัน

การเปิดตัว ร้านมัลติแบรนด์ “Your Space” ให้แบรนด์สินค้าสามารถนำสินค้าจริงมาจัดแสดงให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสสัมผัสก่อนตัดสินใจซื้อ จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสในการสร้างธุรกิจของแบรนด์ของผู้ขายให้เข้มแข็งขึ้น โดยการช่วยเพิ่มการรับรู้และยอดขายให้กับแบรนด์ ในราคาเช่าที่คุ้มค่า ด้วยการเก็บค่าเช่าในอัตราคงที่ (Fixed Rate) ในราคาเริ่มต้นเพียง 2,500 บาท และไม่มีการเก็บเปอร์เซ็นต์ GP จากยอดขาย ซึ่งถือเป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์กับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย จากการที่ผู้ซื้อสามารถตัดสินใจซื้อของได้สะดวกจากการได้สัมผัสสินค้าจริงที่มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งสินค้าประเภทไอที แฟชั่น เครื่องประดับ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยสามารถสั่งซื้อได้จากการสแกน QR Code เพื่อลิงก์ไปยังร้านค้าออนไลน์ของผู้ขายหรือสั่งซื้อผ่านช่องทางการขายออนไลน์ของผู้ขายได้โดยตรง ส่วนผู้ขายก็ไม่ต้องสต็อกสินค้าที่ร้าน นอกจากนี้ โออาร์ ยังมีส่วนช่วยสนับสนุนด้านการตลาดให้กับแบรนด์ ทั้งเรื่องการทำ Co-Promotion การทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อโปรโมทร้านค้า รวมทั้งมีพนักงานส่งเสริมการขายประจำหน้าร้านอีกด้วย

ร้านมัลติแบรนด์ “Your Space” สาขาแรก ตั้งอยู่ที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สาขาวิภาวดี (ตรงข้าม ม.หอการค้า) ซึ่งอยู่ท่ามกลางทำเลธุรกิจศักยภาพสูงบนถนนวิภาวดี – รังสิต มีพื้นที่ใช้สอยร้านค้ากว่า 50 ตารางเมตร และได้เริ่มมีการเซ็นสัญญากับผู้ขายไปแล้วกว่า 20 แบรนด์ นอกจากนี้ ในปี 2565 ยังมีแผนจะขยายให้ครบ 5 สาขาในจุดยุทธศาสตร์ของกรุงเทพฯ และในปี 2566 จะเริ่มขยายสาขาไปยังพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้าในภูมิภาคอีกด้วย ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม https://facebook.com/YourSpace.OR/ หรือ 1365 Contact Center

ถอดความสำเร็จ “หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า” สร้าง “ธนาคารน้ำใต้ดิน” สู่การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

น้ำบาดาลและน้ำใต้ดิน เป็นแหล่งน้ำที่มองไม่เห็น หากแต่น้ำทั้งสองแหล่งมีบทบาทสำคัญยิ่ง ต่อระบบน้ำใช้ในครัวเรือน น้ำทางการเกษตรกรรม น้ำใช้ในอุตสาหกรรม ตลอดจนระบบนิเวศโดยรวม การศึกษาและพัฒนาระบบน้ำดังกล่าวให้เข้มแข็ง นับเป็นการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงได้อย่างแท้จริง

ธนาคารน้ำใต้ดิน (Groundwater Bank) นับเป็นนวัตกรรมในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน อาศัยหลักการเติมน้ำไปเก็บในชั้นใต้ดิน ด้วยการขุดบ่อในบริเวณพื้นที่ที่มีจุดรวมของน้ำ น้ำท่วม น้ำขัง น้ำหลาก เป็นการกักเก็บน้ำให้ซึมลงไปในชั้นหิน ช่วยพักน้ำรวมไว้เหมือนกับธนาคาร เหมือนการเก็บออมและกักเก็บน้ำต้นทุนไว้ใช้ในฤดูแล้ง และอุ้มน้ำที่มีมากในยามน้ำหลากน้ำท่วม ถือเป็นการบูรณาการความรู้ทางวิชาการและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถใช้บริหารจัดการน้ำได้อย่างยั่งยืน

สมพร เจิมพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าวว่า “ธนาคารน้ำใต้ดิน หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า” อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เป็นอีกหนึ่งโมเดลความสำเร็จของการบริหารจัดการน้ำ ที่เกิดจากแนวความคิดของกลุ่มเกษตรกรและซีพีเอฟ ที่ต้องการแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างเป็นรูปธรรม จากโจทย์สำคัญที่ต้องซื้อน้ำมาใช้ในกระบวนการเลี้ยงหมู ซึ่งเป็นอาชีพหลักของเกษตรกรในหมู่บ้านฯ และยังจำเป็นต่อการปลูกพืชที่เป็นอาชีพเสริม รวมถึงใช้ในการอุปโภคบริโภค ซึ่งที่ผ่านมาหมู่บ้านฯ ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง กระทบต่อรายได้ของเกษตรกร ทุกคนจึงได้ระดมความคิด เสาะหาวิธีที่จะกักเก็บน้ำไว้ใช้สำหรับการเลี้ยงสุกร ปลูกพืช ให้ได้ตลอดทั้งปี จึงเกิดเป็นแนวคิดการทำธนาคารน้ำใต้ดิน ตามหลักของสถาบันน้ำนิเทศศาสนคุณ นำโดยหลวงพ่อสมาน สิริปัญโญ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ตั้งแต่ปี 2564 ที่ผ่านมา

      ทางด้าน ภักดี ไทยสยาม  หรือ หมอตั้ม ประธานกรรมการ บริษัท หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จำกัด เล่าว่า ธนาคารน้ำใต้ดิน จากบ่อที่ประดิษฐ์ขึ้นมา ทำเป็นรูปแบบนวัตกรรมทางธรรมชาติ จากหลักการ การนำน้ำฝนลงไปเก็บไว้ที่ใต้ดิน จัดการน้ำที่ไหลอยู่บนผิวดินให้ลงไปเก็บไว้ใต้ดิน การเชื่อมโยงเป็นระบบเครือข่ายธนาคารน้ำ ร่วมกับแหล่งน้ำที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ เป็นวิธีทำที่ง่าย ไม่ชับซ้อน ตามแบบฉบับ “การพึ่งตนเอง” นำความรู้พื้นฐานการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ ธรณีวิทยา สังคม ชุมชน ธรรมชาติ ทิศทางการไหลของน้ำ การหมุนของโลก ถอดเป็นบทเรียนและประยุกต์เป็น “ระบบธนาคารน้ำใต้ดิน หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า” ทั้งระบบธนาคารน้ำใต้ดินแบบเปิด และแบบเปิด 

“หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า ได้ศึกษาดูงาน จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และเชิญวิทยาการ จากสถาบันน้ำนิเทศศาสนคุณ มาให้ความรู้กับเกษตรกร พร้อมวางแผนสำรวจตำแหน่งที่จะทำธนาคารน้ำใต้ดินในหมู่บ้านฯ เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง เก็บน้ำฝนไว้ใช้ในกิจกรรมต่างๆ ระบบธนาคารน้ำใต้ดินทั้งแบบเปิดและแบบปิด ทำให้เรามีน้ำใช้เพิ่มขึ้นปีละมากกว่า 50,000 คิว มีน้ำใช้ในการเลี้ยงหมู โดยไม่ต้องซื้อน้ำใช้อีกเลย มีผลประหยัดค่าน้ำนี้ถึงปีละ 1,000,000 บาท ทั้งยังช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ ลดปัญหามลภาวะน้ำเน่าเสียในครัวเรือน เพิ่มสุขลักษณะของคนในชุมชน และพื้นดินมีความชุ่มชื้น ทั้งหมดนี้เกิดจากการร่วมกันคิด ลงมือทำ และพัฒนาต่อเนื่อง ของเกษตรกรและทีมงานซีพีเอฟทุกคน” หมอตั้ม กล่าว

สำหรับ ระบบธนาคารน้ำใต้ดินแบบปิด ด้วยระบบปิดคลองระบายน้ำไร้ท่อ ใช้แก้ไขปัญหาการระบายน้ำ น้ำเน่า เสียทั้งในครัวเรือน และพื้นที่การเกษตร โดยเฉพาะแก้ปัญหาน้ำท่วมขังบริเวณไหล่ถนน ถนนไม่ทรุด ทำให้ถนนกว้างขึ้นประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น ลดการไหลบ่าของน้ำ โดยจัดทำในจุดพื้นที่น้ำขัง และริมถนนในโครงการฯ วิธีนี้จะไม่สามารถนำน้ำขึ้นมาใช้ได้โดยตรง แต่เป็นวิธีการเก็บน้ำลงสู่ใต้ดิน ชาวชุมชนได้ร่วมด้วยช่วยกัน ขุดบ่อและรางระบายน้ำในชั้นดินอ่อน ระดับ1.5-3 เมตร แต่ไม่ถึงชั้นดินเหนียว จากนั้นนำยางรถยนต์ ขวดน้ำ วัสดุที่หาได้ในพื้นที่ เติมลงไปในพื้นที่บ่อและรางระบายน้ำ เพื่อป้องกันขอบบ่อพังทลาย พร้อมติดตั้งท่อ PVC เพื่อเป็นท่อระบายอากาศ เดิมหินลงไปจนกว่าจะเต็มบ่อเหลือไว้ 30 เซนติเมตร ปูด้วยผ้าไนลอน นำหินกรวดขนาดเล็กมาเทปิดทับด้านบนให้เต็ม

ส่วนธนาคารน้ำใต้ดินระบบเปิด ใช้แก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง สามารถนำน้ำมาใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรอุปโภคบริโภค วิธีนี้จะเก็บน้ำได้ในปริมาณมาก โดยสำรวจบ่อน้ำในพื้นที่น้ำมีปริมาณน้อยหรือแห้งขอด ที่นี่เลือกขุดบ่อลึกในพื้นที่ข้างบ่อเก็บน้ำเดิม ด้วยการขุดบ่อขนาดใหญ่ เริ่มจากขุดดินในชั้นดินอ่อน สู่ชั้นดินเหนียว จนถึงชั้นหินอุ้มน้ำ(ติดกับชั้นกรวดทรายที่มีน้ำใต้ดิน) โดยเจาะพื้นบ่อเป็นหลุม 3 หลุม เพื่อให้น้ำไหลลงชั้นหินอุ้มน้ำได้ดี และมีช่องสำหรับถ่ายเทอากาศจากโพรงใต้ดินเมื่อถูกน้ำเข้าไปแทนที่ ระบบนี้จะนำน้ำมาจากหลายแหล่งเพื่อมากักเก็บ เช่น น้ำฝนที่ตกลงมา หรือน้ำจากการทำธนาคารน้ำใต้ดิน ระบบปิด เมื่อน้ำถูกเติมลงชั้นใต้หินอุ้มน้ำปริมาณมากพอ น้ำจะเอ่อลันมาที่บ่อโดยอัตโนมัติ

“ธนาคารน้ำใต้ดิน เปรียบเสมือนการฝากน้ำไว้กับดิน เพื่อช่วยแก้ปัญหาทั้งน้ำท่วมและภัยแล้งที่เกิดขึ้นทุกปี ซึ่งวันนี้ หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า น้ำบาดาลและแหล่งน้ำใต้ดิน มีความสำคัญและเป็นแหล่งขุมทรัพย์ในดินที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการ หากบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ” หมอตั้ม กล่าวสรุป

ธนาคารน้ำใต้ดิน หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า เป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับ “รางวัลดีเด่น” ประเภทผลงานสังคมและสิ่งแวดล้อม จากการประกวด รางวัลสามประโยชน์สู่ความยั่งยืน เครือเจริญโภคภัณฑ์ ประจำปี 2564 เป็นอีกหนึ่งโครงการที่สอดคล้องกับเป้าหมาย CPF 2030 Sustainability in Action โครงการ “น้ำเพื่อชีวิต” ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการคืนน้ำกลับสู่ชุมชนในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ และแก้ไขบรรเทาปัญหาเรื่องน้ำให้กับคนในชุมชน สังคม และโลก อย่างเป็นรูปธรรม

AIS โชว์แกร่งระดับโลก กวาด 3 รางวัลบนเวที ASIAN Telecom Award

รายงานข่าว เปิดเผยว่า AIS เป็นองค์กรโทรคมนาคมแรกและองค์กรเดียวของไทยที่ได้รับรางวัล และเป็นบริษัทรายเดียวในเอเชียที่ได้รางวัลมากที่สุดถึง 3 สาขา ได้แก่ Mobile Operator of the Year Telecom Company of the Year และ Digital Initiative of the Year โดยนิตยสาร Asian Business Review จากประเทศสิงคโปร์ ผู้เชี่ยวชาญในการจัดอันดับธุรกิจและองค์กรด้านเทเลคอมที่ได้รับการยอมรับจากแวดวงโทรคมนาคมของผู้ประกอบการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า การได้รับรางวัลจากทุกเวที สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS ในการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรได้สำเร็จ แม้ว่าในปีที่ผ่านมาจะเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์รอบด้านทั้งโรคระบาด ภาวะเศรษฐกิจ แต่เพื่อให้คุณภาพและบริการเป็นไปอย่างดีที่สุด สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากโลกยุค New Normal AIS จึงไม่เคยหยุดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งเครือข่ายและแพลตฟอร์มดิจิทัล และเดินหน้าสร้างความเป็นผู้นำในด้านดิจิทัลไลฟ์ ทั้งการประกาศความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ทั้งในประเทศ และระดับโลกมากมาย เพื่อค้นหาโซลูชันในการทำงานที่สามารถยกระดับขีดความสามารถของภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ และในส่วนของลูกค้าทั่วไป AIS ก็ยังได้ส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้า ผ่านการวางโครงข่าย 5G ที่ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานครบทั้ง 77 จังหวัด รวมไปถึงบริการไฟเบอร์บรอดแบนด์ ที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในตลาด จึงเป็นเหตุผลสำคัญในการที่เราสามารถคว้ารางวัลจาก ASIAN Telecom Award มาได้ถึง 3 สาขา ทั้ง Mobile Operator of the Year Telecom Company of the Year และ Digital Initiative of the Year

รางวัล ASIAN Telecom Award เป็นรางวัลที่มอบให้บริษัทโทรคมนาคมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีความโดดเด่นในการบริหารจัดการด้านต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 ซึ่งจัดขึ้นโดย นิตยสาร Asian Business Review จากประเทศสิงคโปร์ โดยในปีนี้ AIS นับว่าเป็นบริษัทโทรคมนาคมแรกและบริษัทเดียวของไทยที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติเทียบชั้นองค์กรชั้นนำด้านเทเลคอมระดับโลกอย่างมากมาย อีกทั้ง AIS ยังเป็นบริษัทเดียวที่สามารถกวาดรางวัลไปถึง 3 สาขา ประกอบด้วย

Mobile Operator of the Year รางวัลที่มอบให้กับผู้ให้บริการเครือข่ายที่ให้บริการได้อย่างครอบคลุม สามารถส่งมอบประสบการณ์ด้านดิจิทัลและมูลค่าเพิ่มที่มากกว่าผู้ให้บริการเครือข่าย รวมถึงการนำศักยภาพของโครงข่ายทั้งมือถือ และไฟเบอร์บรอดแบนด์มาสร้างประโยชน์ด้านสาธารณะเพื่อยกระดับการทำงานของภาคส่วนต่างๆ ที่วันนี้การให้บริการ 5G ของ AIS มีความครอบคลุมครบทั้ง 77 จังหวัด ครอบคลุมแล้วกว่า 76% ของประชากรทั้งประเทศ มากกว่า 99% ของประชากรในกรุงเทพ และมากกว่า 90% ของพื้นที่ EEC

Telecom Company of the Year รางวัลสำหรับองค์กรด้านโทรคมนาคมที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น ดีเยี่ยม ทั้งในมุมการเติบโตของตลาด และการปรับตัวขององค์กรเพื่อรับมือกับความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการก้าวข้ามจากผู้ให้บริการโครงข่ายมาสู่การเป็น Digital Life Service Provider และวันนี้ได้ยกระดับขึ้นไปเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Telco

Digital Initiative of the Year รางวัลสำหรับองค์กรเทเลคอมที่สามารถก้าวข้ามการให้บริการด้านโครงข่าย มาสู่การสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าที่หลากหลายผ่านการใช้ศักยภาพขององค์กรในการเชื่อมโยงสินค้าและบริการมายังนวัตกรรมด้านดิจิทัล อาทิ การเปิดตัวห้างเสมือนจริงแห่งแรกของโลกหรือ V Avenue.co ที่วันนี้มีพาร์ทเนอร์ทั้งจากธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหาร แฟชั่น รวมถึงผู้ประกอบการเข้ามาเปิดหน้าร้านบนแพลตฟอร์มอย่างมากมาย หรือแม้แต่การดึงน้องไอ ไอรีน Virtual Influencer คนแรกของไทย เข้ามาเป็นหนึ่งในพรีเซนเตอร์ที่มานำเสนอถึงสินค้าและบริการด้านดิจิทัลไลฟ์สไตล์

“ขอขอบคุณนิตยสาร Asian Business Review ที่มอบรางวัลอันทรงคุณค่าทั้ง 3 รางวัลให้กับเราในปีนี้ ผมเชื่อว่ารางวัลที่เราได้รับเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรที่เทียบเท่ากับองค์กรชั้นนำระดับโลก เพราะวันนี้เป้าหมายใหม่ที่เรากำลังเคลื่อนตัวเองจากการเป็น Digital Life Service Provider สู่ Cognitive Telco หรือองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ ทำให้บทบาทของผู้นำตลาดไม่ใช่แค่เพียงการทำให้ตัวเลข Market Share อยู่ที่อับดับ 1 เท่านั้น แต่เป็นการใช้ศักยภาพความแข็งแกร่งขององค์กรเพื่อสร้างการเติบโตให้กับพนักงาน สังคม เศรษฐกิจ พาร์ทเนอร์ และประเทศชาติไปพร้อมๆ กันด้วย ผมจึงขอมอบรางวัลนี้ให้กับชาว AIS ทุกคน เพื่อเป็นพลังในการทำงานอย่างมุ่งมั่นตั้งใจต่อไป”

โออาร์ คว้ารางวัล BEST IPO ของเอเชีย ตอกย้ำสุดยอด IPO ทรงพลังแห่งปี

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ตอกย้ำความภาคภูมิใจในความสำเร็จระดับเอเชีย คว้ารางวัลประเภท BEST IPO ที่สุดแห่งความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกหรือ IPO (Initial Public Offering) จากนิตยสาร The Asset ซึ่งเป็นนิตยสารชั้นนำของเอเชียด้านการเงินและการลงทุนที่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มนักธุรกิจและนักลงทุน โดยหุ้นโออาร์ถือว่าเป็นหุ้น IPO ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดด้วยมูลค่าเกือบ 54,000 ล้านบาท อีกทั้งยังเป็นหุ้น IPO ที่มีรายการจองซื้อหุ้นสูงที่สุดในประวัติการณ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

รางวัลดังกล่าวพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ มูลค่าบริษัท มูลค่าการเข้าตลาด และขนาดของการเปิดขายหุ้น IPO คัดเลือกโดยคณะกรรมการ บรรณาธิการผู้ทรงคุณวุฒิของ The Asset ร่วมกับสถาบันการเงิน โดยได้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มนักลงทุนและการวิเคราะห์ข้อมูลที่จัดทำโดย Asset Benchmark Research ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ โออาร์ ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความแข็งแกร่งและภาพลักษณ์ที่ดี รวมถึงกระจายมั่งคั่งและความเป็นเจ้าของให้กับประชาชนที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของโออาร์ในฐานะผู้ถือหุ้นที่จะเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

“คอนโดเห็ด” ต่อยอดทักษะอาชีพให้เด็กพิเศษ รร.นครราชสีมาปัญญานุกูล จ.นครราชสีมา ซีพีเอฟ ร่วมขับเคลื่อน CONNEXT ED

“โครงการเพาะเห็ด เติมฝัน สร้างอาชีพ” เป็นหนึ่งในโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED ซึ่งเป็นความตั้งใจของผู้บริหารโรงเรียนและคณะครู โรงเรียนนครราชสีมาปัญญานุกูล จังหวัดนครราชสีมา ที่ต้องการสร้างทักษะพื้นฐานให้แก่นักเรียนสามารถนำไปใช้ หรือเป็นทางเลือกเป็นอาชีพ เพื่อพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต

รร.นครราชสีมาปัญญานุกูล จังหวัดนครราชสีมา เป็นโรงเรียนที่จัดการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา บกพร่องทางการได้ยิน และบุคคลออทิสติก มีแนวคิดนำโครงการเพาะเห็ด มาสร้างทักษะพื้นฐานให้เด็กๆ นอกจากเห็ดจะเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการแล้ว การเพาะเห็ดมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากและไม่ซับซ้อน สามารถทำได้ตามสภาพความพร้อม จึงเป็นกิจกรรมที่มีความเป็นไปได้กับน้องๆในสถานศึกษาแห่งนี้ ประกอบกับจังหวัดนครราชสีมามีแหล่งเพาะเห็ดที่หลากหลายให้เด็กๆได้ศึกษาหาความรู้ ฝึกปฏิบัติ ทั้งในระหว่างดำเนินโครงการและหากต้องการจะนำไปต่อยอดเป็นอาชีพในอนาคต ซึ่งโครงการนี้ได้รับงบประมาณจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ หนึ่งในองค์กรที่ร่วมขับเคลื่อนการทำงานของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED

โดยปัจจุบัน ซีพีเอฟ ดูแล รร. CONNEXT ED จำนวน 301 โรงเรียน ครอบคลุม 4 จังหวัด คือ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และ สระบุรี ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ 5 ด้านหลัก คือ 1. การเปิดเผยข้อมูลโรงเรียนสู่สาธารณะอย่างโปร่งใส 2. กลไกตลาดและวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม 3. การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน 4. เด็กเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างคุณธรรมและความมั่นใจ 5. การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของสถานศึกษา

น.ส.ธัญญารัตน์ เมืองอินทร์ รองผู้อำนวยการ รร.นครราชสีมาปัญญานุกูล และรับผิดชอบ “โครงการเพาะเห็ด เติมฝัน สร้างอาชีพ” เล่าว่า วัตถุประสงค์ของการทำโครงการเพาะเห็ดฯ เพื่อพัฒนานักเรียนให้มีทักษะอาชีพตามศักยภาพ ซึ่งเด็กๆที่ร่วมกิจกรรม เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1-6 รวม 52 คน ได้รับการถ่ายทอดความรู้และคำแนะนำจากคุณครูเกษตรที่สอนวิธีเพาะเห็ด การดูแลและคุณครูการงานอาชีพที่สอนการแปรรูปเห็ด อาทิ แหนมเห็ด เห็ดทอด เห็ดอบกรอบ เป็นต้น เพื่อเป็นการวางพื้นฐานทักษะให้เด็กๆ และเป็นกิจกรรมที่เด็กๆสามารถนำไปทำที่บ้าน ขยายผลสู่ครอบครัวและชุมชนได้

โรงเรียน ฯ เริ่มต้นโครงการเมื่อปลายปี 2564 สร้างโรงเรือนขนาดย่อมเพื่อเพาะเห็ดนางฟ้า 400 ก้อน มีคุณครูประจำหอนอนและเด็กๆที่หอนอน ช่วยกันดูแลเห็ดที่เพาะไว้ รดน้ำ เก็บดอกเห็ดเสร็จทำความสะอาดหน้าก้อนเชื้อ นำผลผลิตเห็ดที่เก็บได้ชั่งกิโลกรัม เพื่อส่งให้โรงอาหารประกอบอาหารกลางวันให้นักเรียนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ขึ้นกับรายการอาหารแต่ละสัปดาห์ อาทิ ต้มยำไก่ใส่เห็ด ผัดกะเพราหมูใส่เห็ด ต้มข่าไก่ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อวัตถุดิบในการประกอบอาหารกลางวัน ที่สำคัญคือ ผลผลิตเห็ดที่เด็กๆ ช่วยกันดูแลเป็นวัตถุดิบต้นทางที่สะอาด ปลอดภัย ไร้สารเคมี 100%

ปัจจุบัน แม้เด็กๆจะปิดเทอมกันแล้ว แต่โรงเรียนได้ทำคอนโดเห็ดมอบให้เด็กๆ 52 ครอบครัว กลับไปดูแลที่บ้านต่อ ครอบครัวละ 1 ชุด ประกอบด้วย 1. คอนโดเห็ด ใช้ท่อพีวีซีทำเป็นโครงทรงสี่เหลี่ยมเหมือนบ้าน ทำเป็นชั้นๆ คลุมด้วยแสลนสีดำล้อมรอบ กั้นหลังด้วยตาข่ายพลาสติก 2. ก้อนเชื้อเห็ด 27 ก้อน โดยใช้งบประมาณที่ซีพีเอฟสนับสนุนโครงการฯ มาซื้อก้อนเชื้อเห็ดจากฟาร์มเห็ดใกล้ๆโรงเรียน เพื่อทำคอนโดเห็ดมอบให้นักเรียน และยังมีครอบครัวนำร่อง 5 ครอบครัว ที่โรงเรียนใช้งบประมาณในส่วนนี้ สนับสนุนก้อนเชื้อเห็ดให้เพิ่มเติมอีก 500 ก้อน เพื่อต่อยอดสู่อาชีพ

โรงเรียนมีการติดตามพัฒนาการของเด็กๆผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์ เด็กบางคนสามารถสื่อสารทางไลน์กับคุณครูได้โดยตรงส่วนบางคนที่ไม่สามารถสื่อสารได้เอง คุณครูจะติดตามผ่านทางผู้ปกครองที่จะช่วยรายงานพัฒนาการของน้องๆ จากกิจกรรมเพาะเห็ด การคิดเมนูอาหารในแต่ละวัน และการลงมือทำอาหารทานเองในครัวเรือน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครองและเด็กๆเป็นอย่างดี ด้วยการส่งภาพนิ่ง คลิปวีดีโอ มาให้คุณครู ซึ่งเสียงสะท้อนจากผู้ปกครองส่วนใหญ่ บอกว่าเด็กๆ สามารถรับผิดชอบดูแลการเพาะเห็ดได้เอง มีความสุขกับการทำกิจกรรม กระตือรือร้น เด็กออทิสติกมีสมาธิมากขึ้น ไม่หงุดหงิดง่าย

ด้าน น.ส.ศิริเพ็ญ จานรัมย์ คุณครูหอและคุณครูผู้รับผิดชอบโครงการคอนเน็กซ์ อีดี กล่าวว่า เด็กนักเรียนที่เป็นเด็กในหอหลายคน แม้ว่าจะมีพัฒนาการช้า หรือเป็นเด็กออทิสติก แต่เมื่อได้ร่วมกิจกรรมโครงการเพาะเห็ด เติมฝัน สร้างอาชีพ” เด็กๆมีการตอบรับที่ดี เช่น น้องน็อต นักเรียนชั้น ม.1 มีปัญหาพัฒนาการช้า แต่เมื่อคุณครูฝึกให้ปฎิบัติการแปรรูปอาหารจากเห็ด ใน “โครงการเพาะเห็ด เติมฝัน สร้างอาชีพ” น้องมีการโต้ตอบได้ดี ช่างสังเกต เข้าใจได้เร็ว เห็นทักษะในกระบวนการทำงาน คุณครูจึงให้น้องน็อตเป็นแกนนำของนักเรียน ช่วยฝึกน้องๆและเพื่อนๆ ทำกิจกรรมเก็บเห็ด รดน้ำเห็ด ช่วยคุณครูคิดเมนูอาหารกลางวันเช่นเดียวกับ น้องบีม ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นบุคคลออทิสติก แต่มีการเรียนรู้จากกิจกรรมปฏิบัติจริงในโครงการเพาะเห็ด เติมฝัน สร้างอาชีพ สามารถเป็นแกนนำพาเพื่อนไปรดน้ำ เก็บเห็ด ทำความสะอาดก้อนเชื้อ แนะนำเพื่อนๆได้

ผู้ปกครองน้องบีม เล่าว่า น้องบีมจะรดน้ำเห็ดทุกวัน ช่วงเช้าและเย็น เมื่อผลผลิตออก บีมจะเก็บเห็ดและชั่งกิโลใส่ถุงไว้ให้แม่ ในสัปดาห์แรกที่นำคอนโดเห็ดมาดูแลที่บ้านเก็บผลผลิตได้ 3 ขีด ผลผลิตรอบที่สองเก็บได้ 7-8 ขีด รอบที่3 เก็บได้กิโลกรัมกว่า ซึ่งแม่รับซื้อผลผลิตเห็ดจากน้องบีมไว้ท้ังหมด เพื่อใช้ทำกับข้าวขาย มีทั้ง ผัดเห็ด ต้มยำเห็ด เห็ดนึ่งจิ้มแจ่ว คุณแม่น้องบีมบอกด้วยว่า คุณแม่มีอาชีพทำปลาส้มขายและมีแนวคิดอยู่แล้วว่าจะเพาะเห็ดไปขายที่ตลาดด้วย เมื่อน้องบีมได้รับคอนโดเห็ดที่โรงเรียนมอบให้มาดูแลที่บ้าน จึงคิดว่าจะให้คุณพ่อทำโรงเรือนเห็ดอีกหลัง และขยายการเพาะเห็ด โดยให้น้องบีมช่วยดูแล เพื่อที่ต่อไปจะมีผลผลิตเห็ดไปขายที่ตลาดเป็นรายได้เข้าครอบครัวอีกทางหนึ่ง

ด้าน น้องบีม เล่าว่า โครงการเพาะเห็ด สานฝัน สร้างอาชีพ ทำให้ได้เรียนรู้ขั้นตอนการเพาะเห็ด ซึ่งเค้าทำได้เองทุกขั้นตอน ตั้งแต่รดน้ำเห็ด เก็บผลผลิตเห็ด ทำความสะอาดปากขวดที่ใช้เพาะ นำผลผลิตใส่ถุงไว้ให้แม่ทำกับข้าวขาย รวมทั้งนำเห็ดมาทำเป็นเห็ดทอด ผลผลิตเห็ดที่ได้ขายให้แม่ไปทำกับข้าว ชอบ ต่อไปจะให้พ่อทำโรงเห็ด เพาะเห็ดขาย เมนูที่ชอบ ผัดเห็ด ต้มยำเห็ด ปลานึ่งจิ้มแจ่ว เห็ดทอด บีมบอกด้วยว่าในอนาคตการเพาะเห็ด สามารถทำเป็นอาชีพเพื่อเลี้ยงครอบครัวได้

ผู้ปกครองน้องน็อต เล่าว่า กิจกรรมโครงการเพาะเห็ด สานฝัน สร้างอาชีพ ซึ่งทางรร. ได้ทำคอนโดเห็ดมาให้นักเรียนดูแลเองที่บ้าน ทำให้ลูกมีความรับผิดชอบ และมีวินัย สามารถดูแลเห็ดที่เพาะด้วยตัวเองได้ รดน้ำ เก็บเห็ดเอาไปทำอาหาร เช่น เห็ดชุบแป้งทอด โครงการฯนี้เป็นโครงการที่ดี เห็นพัฒนาของลูกที่เปลี่ยนไปจากเดิม มีสมาธิดีขึ้น มีเวลาอยู่ที่บ้าน จากเมื่อก่อนที่จะซนมาก ชอบออกไปเล่นนอกบ้าน แต่ตอนนี้น้องเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น กลับมาบ้านนอกจากดูแลคอนโดเห็น น้องยังช่วยคุณพ่อซ่อมแซมบ้าน เข็นทราย ยกปูน ในอนาคตถ้าน้องคิดว่าจะเพาะเห็ดขายก็น่าจะเป็นไปได้

นางเรวดี เกสรอินทร์ ผู้ปกครองน้องสตางค์ ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.1 เป็นเด็กออทิสติก เล่าว่า ตื่นเช้ามา หลังจากที่น้องสตางค์ทำกิจวัตรประจำวันแล้ว เค้าก็จะมาตามคุณแม่ ไปดูคอนโดเห็ดเพื่อไปรดน้ำเห็ดในตอนเช้า สตางค์สามารถรดน้ำเห็ดได้เอง บางวันถ้าน้องอารมณ์ดีก็จะได้ยินน้องรดน้ำและร้องเพลงไปด้วย คุณแม่เล่าว่า เริ่มต้นที่โรงเรียนมอบคอนโดเห็ดมาให้น้องดูแล ยังแบ่งเวลาไม่ถูกเพราะน้องมีภารกิจประจำวันช่วยงานซักผ้า ตากผ้า กรอกน้ำ แต่พอเริ่มลงตัวแล้ว น้องเริ่มแบ่งเวลาเองได้ เช้ารดน้ำเห็ด จากนั้นทำภารกิจช่วยที่บ้าน พอใกล้ถึงเวลาเย็น น้องสตางค์ ก็จะมาเตือนคุณแม่ “รด รด” ชวนไปรดน้ำเห็ดอีกครั้งในช่วงเย็น ตอนนี้ เห็ดเริ่มออกผลผลิต เป็นตุ่มๆโผล่ออกมา น้องก็จะบอกคุณแม่ “เก็บ เก็บ”หรือในการสื่อสารทางไลน์กลุ่มกับคุณครู และผู้ปกครองท่านอื่นๆ เวลามีรูปที่ผู้ปกครองส่งเข้ามา คุณแม่จะหันไปบอกน้องสตางค์ว่า “เพื่อนๆทักไลน์มาแล้ว” น้องสตางค์ก็จะบอกคุณแม่ว่า “ส่ง ส่ง ” ซึ่งหมายถึงให้คุณแม่ส่งรูปที่น้องสตางค์รดน้ำเห็ดเข้าไปในกลุ่มไลน์ด้วย

คุณแม่น้องสตางค์ บอกว่า โครงการเพาะเห็ด สานฝัน สร้างอาชีพ เป็นโครงการที่ดี ทำให้เด็กได้เรียนรู้ในการทำอาชีพ เห็นความรับผิดชอบและความกระตือรือร้น เชื่อว่าในอนาคตหากเราปูพื้นฐานให้น้องมีโอกาสได้เรียนรู้และทำเองในทุกขั้นตอน น้องจะพึ่งพาตนเองได้

รร.นครราชสีมาปัญญานุกูล เป็น 1 ใน 301 โรงเรียน ในความดูแลของซีพีเอฟ ที่ร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของไทยอย่างยั่งยืน สร้างเด็กดีและเด็กเก่ง ผ่านการทำงานร่วมกันของผู้นำรุ่นใหม่ หรือ School Partner ของบริษัท ร่วมวางแผนการศึกษาร่วมกับผู้บริหารและคณะครู จากจุดเริ่มต้นของการเข้าร่วมโครงการ ฯ ซึ่งโรงเรียนได้รับการสนับสนุน การทำโครงการ”ผัดหมี่โคราชสร้างเถ้าแก่น้อย” ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของจังหวัดนครราชสีมา สร้างโอกาสในการมีงานทำให้แก่น้องๆเด็กพิเศษ โดยได้บรรจุอาชีพผัดหมี่โคราช เป็นหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมในกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี จากนั้นพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ผัดหมี่สำเร็จรูป และล่าสุด ในปี 2564 ซีพีเอฟ สนับสนุนโครงการเพาะเห็ด สานฝัน สร้างอาชีพ เพื่อให้นักเรียนมีทักษะการเพาะเห็ด การแปรรูปเห็ด นำความรู้ปรับประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต และเติมฝัน สร้างอาชีพให้แก่นักเรียนได้จริง เป็นความภาคภูมิใจของเด็กๆ ที่จะสามารถพึ่งพิงตนเองได้ในอนาคต

แม็ค ปล่อยแคมเปญ “MY MC MY WAY ชีวิต…เต็มแม็ค” เข้าใจความแตกต่างของรูปร่าง

นายเจมส์ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC เปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของแม็คกรุ๊ป ซึ่งถือเป็น “บิ๊กมูฟ” (Big Move) ที่จะเกิดขึ้น  โดยมี 3 ประเด็นสำคัญ ดังนี้ 

เจมส์ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MC

1. “Big Purpose” เพื่อเปิดตัวแคมเปญ “MY MC MY WAY ชีวิต…เต็มแม็ค” ที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยแนวคิด “Body positivity” ที่เข้าใจเรื่องความแตกต่างของรูปร่าง ให้ทุกคนสร้างสรรค์ลุคที่ดีที่สุดให้แก่ตัวเอง ด้วยผลิตภัณฑ์ของแม็คยีนส์ผ่านโชว์เคส 9 คน 9 สไตล์ ที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน

2. “Big Looks” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการแต่งตัวผ่านดิจิทัลลุคบุ๊ค (Digital Look Book) ที่มีสินค้าตามเทรนด์แฟชั่นโดยเน้นคุณภาพ พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของทุกคน 

3. “Big Connections” เพื่อเชื่อมต่อกับลูกค้าอย่างสมบูรณ์ในทุกมิติทั้งช่องทางการขายออฟไลน์ และออนไลน์ ด้วยการเข้าถึงพฤติกรรม ประสบการณ์ และการรับรู้ของลูกค้าที่มีต่อแม็คยีนส์ ผ่านคอนเทนต์แฟชั่นที่น่าสนใจ

“ Body Positivity  ถือเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นและยอมรับกันทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น เราโฟกัสที่ Customer Insight ด้วยความเข้าใจในลูกค้าอย่างแท้จริงและพิจารณา Customer Journey อย่างรอบด้านเพื่อเชื่อมโยงทุกองค์ประกอบที่เรามีทั้งช่องทางการขายออฟไลน์และออนไลน์, สินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ รวมถึงคอนเทนต์ที่สร้างแรงบันดาลใจในการแต่งตัว  ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับลูกค้าแม็คยีนส์ทุกคน”

บริษัทมีเป้าหมายเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ซึ่งมีสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครัน  สร้างสรรค์ลุคแฟชั่นอย่างต่อเนื่อง  เปิดช่องทางใหม่ๆ ให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการที่หลากหลาย พร้อมทั้งสร้างแรงบันดาลใจและการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคเพื่อ การเติบโตที่ยั่งยืนของแบรนด์และธุรกิจ              ในระยะยาว

“ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ ถือเป็นครั้งสำคัญที่แม็คยีนส์จะเอาชนะใจผู้บริโภค ไม่เพียงยกระดับความรักในแบรนด์ของกลุ่มแฟนประจำเท่านั้น แต่เรายังมุ่งขยายฐานไปสู่ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ด้วยการสร้างความเชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่ที่รักในแฟชั่น” นายเจมส์ กล่าวทิ้งท้าย 

CPF ประเดิมส่ง “เนื้อไก่ตู้ปฐมฤกษ์” ไปซาอุฯ ล็อตแรกในรอบ 18 ปี

รายงานข่าว เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ปล่อยขบวนตู้คอนเทนเนอร์เนื้อไก่เที่ยวแรกของไทยไปยังประเทศซาอุดิอาระเบีย หลัง 5 โรงงานผลิตเนื้อไก่ของ CPF ผ่านรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา ซาอุฯ (Saudi Food & Drug Authority : SFDA) เป็นผลจากความสำเร็จของการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ คาดจะส่งออกไก่ไปซาอุฯ ได้ 30 ตู้ จำนวน 600 ตันภายในเดือนมีนาคมนี้

โดยเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 65 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร และคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ร่วมปล่อยตู้คอนเทนเนอร์ปฐมฤกษ์ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ ออกจากโรงงานแปรรูปไก่เนื้อ มีนบุรี 2 ไปยังซาอุดิอาระเบีย นับเป็นไก่ล็อตแรกของไทยในรอบ 18 ปี ตั้งแต่ปี 2547 ตามมาตรการห้ามนำเข้าเนื้อไก่ ไข่ไก่ และผลิตภัณฑ์ไก่จากประเทศไทย ล่าสุด รัฐบาลซาอุฯ ได้ประกาศรับรองอนุญาตให้นำเข้าผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกของไทยจากโรงงาน 11 แห่ง ในจำนวนนี้ มีโรงงานของซีพีเอฟ 5 แห่ง สามารถผ่านการรับรองมาตรฐาน ประกอบด้วย โรงงานชำแหละไก่มีนบุรี โรงงานแปรรูปไก่เนื้อมีนบุรี 1 โรงงานแปรรูปไก่เนื้อมีนบุรี 2 โรงงานชำแหละไก่สระบุรี และโรงงานแปรรูปไก่เนื้อสระบุรี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า วันนี้นับเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ของการส่งออกไก่ไทยไปซาอุฯ เป็นผลสำเร็จที่สำคัญจากการเยือนซาอุฯของ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และการผนึกพลังของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศในการฟื้นความสัมพันธ์การค้าของสองประเทศ ในโอกาสนี้ ขอขอบคุณคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยในการประสานงานในด้านมาตรฐานการผลิตไก่ไทยเป็นไปตามมาตรฐานฮาลาล

“ขอแสดงความยินดีกับ ซีพีเอฟเป็นบริษัทแรกที่ได้ส่งออกสินค้าไก่ตู้ปฐมฤกษ์ ถือเป็นศักราชใหม่ของโลกการค้าไทยและซาอุฯ ทั้งนี้ ไทยตั้งเป้าส่งออกไก่ไปซาอุฯ ในปีนี้ 1 หมื่นตัน ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าและตัวเลขการส่งออกไก่เนื้อของไทยไปต่างประเทศ โดยในปีนี้ตั้งเป้าส่งออกไก่เนื้อไปทั่วโลกรวม 9.8 แสนตันเพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนซึ่งซาอุฯ เป็นตลาดที่สำคัญและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะสินค้าฮาลาล มั่นใจว่า สินค้าของไทยแข่งขันได้ในตลาดโลก” นายจุรินทร์กล่าว

นายประสิทธิ์ เปิดเผยว่า การปล่อยขบวนตู้คอนเทนเนอร์เนื้อไก่ในวันนี้ จำนวน 5 ตู้ ปริมาณ 100 ตัน เป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ล็อตแรกจาก 5 โรงงานของบริษัทฯ และภายในเดือนมีนาคมนี้ ซีพีเอฟจะมีการส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ผ่านผู้นำเข้ารายใหญ่ของซาอุฯ ปริมาณรวม 600 ตัน คิดเป็นมูลค่า 47 ล้านบาท ทั้งนี้ ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ท่านรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และทุกหน่วยงานเกี่ยวข้อง ซึ่งให้ความร่วมมือช่วยกันประสานงาน จนสามารถฟื้นการส่งออกไก่ไทยไปยังตลาดซาอุฯ ได้สำเร็จ นับเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการส่งออกไก่ของไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

คาดว่าในปีนี้ ซีพีเอฟจะส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ได้ 300 ตู้ ปริมาณรวม 6,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าจากการส่งออกรวม 473 ล้านบาท และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จะขยายการส่งออกไก่สดและไก่แปรรูปไปซาอุฯ ได้ 3,000 ตู้ ปริมาณรวม 60,000 ตัน ช่วยทำรายได้เข้าประเทศ 4,200 ล้านบาท

ผลิตภัณฑ์ไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง และผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูปของซีพีเอฟ ผ่านกระบวนการผลิตที่ผ่านการรับรองมาตรฐานในประเทศและมาตรฐานสากลอย่างเคร่งครัด อาทิ GMP, HACCP, ISO 9001, IFS(International Food Standard), BRC (British Retail Consortium, ISO 14001 (Environment Management System) รวมถึง Thai Labor Standard TLS 8001 (มาตรฐานแรงงานไทย-มรท. 8001), ISO 45001 (Occupational Health and Safety Management Systems) ที่สำคัญ มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานตามหลักศาสนาอิสลาม หรือ Halal และผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ตั้งแต่การเชือดไก่โดยพนักงานที่นับถือศาสนาอิสลาม หรือการแปรรูปเนื้อไก่โดยใช้วัตถุดิบที่ไม่มีของต้องห้ามตามหลักศาสนาอิสลาม สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงต้นทาง เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและผู้บริโภคทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหลักอย่างสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ประเทศในสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่มีกฎเกณฑ์ด้านสุขอนามัยสูงมาก ทั้งมาตรฐานฟาร์มและการปฏิบัติตามหลักสวัสดิภาพสัตว์

ทั้งนี้ ซาอุฯ เป็นอีกตลาดที่มีศักยภาพสูง ด้วยมีประชากรมากถึง 35.6 ล้านคน เป็นประเทศที่มีสัดส่วนนำเข้าอาหารสูงที่สุดในกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (Gulf Corporation Council) และจะเป็นประเทศผู้นำเข้าเนื้อไก่จากประเทศไทยรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง การกลับเข้าสู่ตลาดซาอุฯ ในครั้งนี้จะช่วยสร้างโอกาสให้อุตสาหกรรมไก่เนื้อของไทยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของผู้ส่งออกเนื้อไก่ไปยังซาอุฯ ได้ประมาณ 10-15% ของตลาดรวมเนื้อไก่

เปิดโลกเรียนรู้เรื่องเมตาเวิร์ส เตรียมรับโลกอนาคตกับหลักสูตร The Metaverse ของ CMMU Alumni

รายงานข่าว เปิดเผยว่า สมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล กำลังเปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าอบรมในหลักสูตร The Metaverse by CMMU Alumni ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เรื่องของ โลกจักรวาลนฤมิตร หรือ เมตาเวิร์ส นั้น นับเป็นหัวข้อที่สังคมให้ความสนใจและกล่าวถึงอย่างมาก จึงนำไปสู่การเปิดการเรียนการสอนในหลักสูตรดังกล่าว เพื่อเป็นการเปิดรับโลกแห่งการเรียนรู้เรื่อง เมตาเวิร์ส และเตรียมพร้อมรับกับโลกอนาคต

สำหรับ การเรียนการสอนในหลักสูตรนี้ เป็นคอร์สที่รวมเนื้อหาทุกเรื่องที่ต้องรู้แห่งโลกอนาคตเพื่อสร้าง S-Curve ใหม่ให้ธุรกิจของผู้เข้าเรียน ผ่านการสอนโดยตัวจริงในวงการ

?ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการ หรือ ผู้บริหาร ที่ต้องการอัพเดทความรู้ที่ใช้ได้จริง พร้อมปรับตัวสู่โลกอนาคต คอร์สนี้คือคอร์สสำหรับคุณ

?การันตีคุณภาพด้วยผู้สอน มากประสบการณ์ตัวจริงในวงการพร้อมแชร์ประสบการโดยตรงที่หาที่ไหนไม่ได้ ครบจบทุกเรื่องแห่งโลกอนาคตที่ต้องรู้ในคอร์สเดียว

?กิจกรรมมากมายเพื่อสร้าง Networking กับ เพื่อนนักธุรกิจ และ ผู้บริหารไฟแรง

สำหรับสถานที่เรียน จัดที่ True Digital Park (BTS ปุณณวิถี) เรียนทุกวันเสาร์ เวลา 13.00 – 17.00 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน – 25 มิถุนายน 2565

ด้านค่าใช้จ่ายสำหรับหลักสูตร ขณะนี้ ได้มีการจัดราคาพิเศษ Early Bird เพียง 45,000 บาท จากราคาปกติ 49,000 บาท (ภายในเวลา 10/4/65 23.59) สำหรับนักศึกษาปัจจุบัน & ศิษย์เก่า วิทยาลัยการจัดการ มหิดล สมัครเรียนในราคาพิเศษ 39,000 บาท

✅ ขั้นตอนการสมัคร:

  1. กรอกรายละเอียด Google forms ตามลิงค์นี้ ? https://bit.ly/MetaversebyCmmu-Register ?
  2. ชำระเงินและแคปหน้าจอหลักฐานการโอน มาทาง Line ตามลิงค์ต่อไปนี้ https://bit.ly/CmmuAlumni-LineOA
  3. ทางเราจะทำการคอนเฟิร์มและส่งรายละเอียดให้ครับ

และ ยังมีโปรโมชั่น ชวน & แชร์ ส่งต่อความรู้ ดีๆ จากตัวจริง ในวงการเพียงคุณชวนเพื่อนมาสมัครด้วยกันตั้งแต่ 2 ท่านขึ้นไป (รวมตัวท่านเองด้วย) & แชร์ รับส่วนลดค่าเรียน 5,000 บาท

✅ เงื่อนไข:

  1. กด Like เพจ CMMU Alumni บน Facebook
  2. แชร์โพสนี้
  3. แคปหน้าจอที่แชร์ ส่งมาทาง Line https://bit.ly/CmmuAlumni-LineOA พร้อมแจ้งชื่อของเพื่อนที่ต้องการสมัครมาด้วยกันรวมตัวท่านด้วย เราจะทำการแจ้งรายละเอียดราคา พร้อมส่วนลดพิเศษครับ

? ระยะเวลาโปรโมชั่น: วันนี้ ถึงวันที่ 10/04/2022 เวลา 23:59 น. โดยผู้สมัครทุกคนที่ทำตามเงื่อนไข ได้รับสิทธิ์ 50 คนแรก

ช่องทางการติดต่อ
✅ Line: https://bit.ly/CmmuAlumni-LineOA
? Tel.: 086-346-6995, 063-195-6764, 083-803-8450
▶️ FB: https://www.facebook.com/CMMUAlumni