Home Blog Page 164

เอไอเอส ตั้งศูนย์ AIS Spam Report Center โทรฟรีสายด่วน 1185 ปกป้องลูกค้า เดินหน้าชนมิจฉาชีพ

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) เปิดเผยว่า AIS เดินหน้าปกป้องลูกค้าจากกลุ่มมิจฉาชีพและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมขยายขีดความสามารถการตรวจจับภัยคุกคามที่ละเมิดการใช้งาน รวมถึงการรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์เพื่อปกป้องการใช้งานของลูกค้า ตามเจตนารมณ์การเป็นเครือข่ายปลอดภัยสำหรับคนไทย โดยล่าสุดได้เปิดสายด่วน 1185 ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน หรือ AIS Spam Report Center ครั้งแรกในวงการธุรกิจโทรคมนาคม อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าโทรฟรี เพื่อแจ้งข้อมูลเบอร์โทรและ SMS มิจฉาชีพ พร้อมดำเนินการตรวจสอบข้อมูลภายใน 72 ชั่วโมง หากตรวจพบความผิดปกติและยืนยันได้ว่าเบอร์โทรและ SMS ดังกล่าวเป็นกลุ่มมิจฉาชีพจริง AIS จะทำการบล็อกเบอร์โทรและ SMS ในทันที และแจ้งกลับลูกค้า พร้อมกันนี้ยังได้ทำงานร่วมกับ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ตำรวจไซเบอร์ เพื่อสืบสวน สอบสวน ตรวจสอบ และดำเนินการทางกฎหมายในการจับกุม เอาผิดกับกลุ่มมิจฉาชีพอย่างเด็ดขาด แก้ปัญหาแบบถอนรากถอนโคน

“การปกป้องข้อมูลและการใช้งานของลูกค้าถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของเราในฐานะผู้ให้บริการเครือข่าย ซึ่งที่ผ่านมาเราได้พัฒนาดิจิทัลเซอร์วิสอย่าง AIS Secure Net ที่เปิดให้บริการสำหรับลูกค้าได้ใช้งานฟรี! เพื่อป้องกันภัยไซเบอร์จากการใช้งานไม่ว่าจะเป็น สแปม ฟิชชิ่ง ไวรัสต่างๆ รวมถึงบริการ Google Family Link สำหรับลูกค้าทุกเครือข่าย ที่สามารถดูแลการใช้งานโทรศัพท์มือถือของบุตรหลานให้อยู่บนความปลอดภัยและสร้างสรรค์”

“จากปัญหามิจฉาชีพที่ละเมิดการใช้งานประชาชนที่เกิดขึ้นหลากหลายรูปแบบในปัจจุบันนั้น นอกเหนือจากการทำงานร่วมกับ กสทช.ในการจัดระเบียบมิจฉาชีพที่แฝงการส่ง Spam SMS หรือ Spam โทร มารบกวนลูกค้า เพื่อปิดกั้นตั้งแต่ต้นทางแล้ว เรายังมองถึงช่องทางที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าในการแจ้งข้อมูล อันจะนำมาซึ่งการติดตาม ตรวจสอบ แก้ปัญหาแบบถอนรากถอนโคนอีกด้วย ดังนั้นครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะยืนยันถึงเจตนารมณ์ของเราที่จะให้ AIS เป็นเครือข่ายปลอดภัยของคนไทย เราจึงเปิดตัว สายด่วน 1185 ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเบอร์โทรและ SMS มิจฉาชีพ หรือ AIS Spam Report Center ให้ลูกค้า AIS สามารถโทรฟรีในรูปแบบ IVR Self Service และ AI Chatbot เพื่อแจ้งเบอร์โทรหรือ SMS ที่คาดว่าเป็นกลุ่มมิจฉาชีพ โดยเราจะดำเนินการตรวจสอบถึงที่มา รายละเอียดการจดแจ้งลงทะเบียน รูปแบบการโทรของเบอร์ดังกล่าว ซึ่งจะบ่งชี้ได้ว่าเป็นเบอร์หรือ SMS ของกลุ่มมิจฉาชีพหรือไม่ หลังจากนั้นเราจะดำเนินการบล็อกเบอร์และ SMS นั้นๆ โดยทันที พร้อมแจ้งกลับไปยังลูกค้าภายใน 72 ชั่วโมง”

“โดยการทำงานของ AIS ในวันนี้ นอกเหนือจากการบล็อกเบอร์ พร้อมรายงานการแจ้งร้องเรียนของลูกค้ากลับไปยัง กสทช. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลแล้ว เรายังทำงานเชิงรุกโดยได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจาก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อดำเนินการขั้นเด็ดขาดต่อกลุ่มมิจฉาชีพ ด้วยการส่งข้อมูลของเบอร์โทร/SMS ของมิจฉาชีพไปยังตำรวจไซเบอร์ ซึ่งจะช่วยทำให้กระบวนการสืบสวนสอบสวนของตำรวจไซเบอร์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสามารถติดตามจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายได้”

นายปรัธนา กล่าวว่า ปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกจากเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การจะแก้ปัญหานอกจากการ Update เทคโนโลยีแล้ว ยังต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่จะมาทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ รวมถึงสร้างการตระหนักรู้เท่าทันให้แก่ผู้ใช้งานควบคู่กันไป การเปิดตัว AIS Spam Report Center 1185 ในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม เพราะเป็นการทำงานเชิงรุกที่มิได้มองเพียงแค่การปิดกั้นการเข้าถึงจากมิจฉาชีพเท่านั้น แต่มองไปถึงการร่วมมือกับภาครัฐ อย่าง กสทช. และ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อแก้ปัญหาให้ถึงต้นตอ สร้างความเกรงกลัวให้แก่มิจฉาชีพก่อนนำเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย มอบความอุ่นใจจากการใช้งานบนโลกไซเบอร์ ตอกย้ำเจตนารมณ์การเป็นเครือข่ายปลอดภัยสำหรับคนไทย

พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวว่า “การที่ AIS ได้อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการแจ้งเรื่องร้องเรียนเบอร์โทรและ SMS จากกลุ่มมิจฉาชีพผ่านสายด่วน 1185 ในครั้งนี้ นับว่ามีประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน รวมถึงการทำงานของเราเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้เราสามารถติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีทางกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้กลุ่มคนเหล่านี้ไปสร้างความเดือดร้อน เสียหายให้กับผู้ที่รู้ไม่เท่าทันได้อีก”

แน่นอนว่าการทำงานร่วมกับ AIS ในครั้งนี้ สอดคล้องกับภารกิจของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีคือการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยตรง ที่มีเป้าหมายในการยับยั้งรวมถึงแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด โดยข้อมูลที่ประชาชนได้ร้องเรียนเข้ามาผ่านสายด่วน 1185 ซึ่ง AIS ได้ทำการตรวจสอบและพบว่าเป็นกลุ่มมิจฉาชีพจริง จะทำให้เราสามารถติดตามจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีทางกฎหมายได้อย่างแน่นอน”

ส.สัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย ย้ำอุตสาหกรรมหมูของไทยได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย

สมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย ยืนยัน อุตสาหกรรมเนื้อหมูของประเทศไทย ได้มาตรฐานสากลภายใต้การกำกับดูแลของกรมปศุสัตว์ ทั้งห่วงโซ่การผลิกถึงแหล่งที่มาการผลิต ย้ำผู้บริโภคควรเลือกซื้อจากสถานที่จำหน่ายที่มีตราสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” รวมถึงสถานที่จัดจำหน่ายและปรุงสุกเพื่อความปลอดภัย

ผศ.น.สพ.ดร.สุเจตน์ ชื่นชม นายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย กล่าวว่า จากภาพติ๊กต่อกฝูงหนูรุมแทะกินเนื้อหมูที่เขียงในตลาดแห่งหนึ่ง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการบริโภคเนื้อหมู นั้น สมาคมฯ ยืนยันว่า อุตสาหกรรมหมูไทยปฏิบัติตามมาตรฐานฟาร์มที่ดีตามข้อบังคับของกรมปศุสัตว์อย่างเคร่งครัด เพื่อการยกระดับมาตรฐานการผลิตเนื้อสุกรตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ ฟาร์มหมู โรงเชือด ตัวแทนจำหน่าย และร้านค้า สร้างความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารให้กับผู้บริโภค

โดยเฉพาะการยกระดับมาตรฐาน “สถานที่จำหน่าย” ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่เนื้อสัตว์ถึงมือผู้บริโภค กรมปศุสัตว์ได้จัดสายตรวจลงพื้นที่ตลาดสดหลายในเขตเมืองใหญ่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การจำหน่ายเนื้อสัตว์ถูกสุขลักษณะอนามัย สะอาดและปลอดภัย และได้มีการปรับปรุงให้ถูกต้องตามข้อกำหนด เช่น ที่วางเนื้อหมูมีความสูงจากพื้นไม่น้อยกวา 60 เซนติเมตร มีตู้เก็บที่ป้องกันการปนเปื้อนและไม่เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์พาหะ

นอกจากนี้ จุดจำหน่ายต้องมี “ตู้แช่เย็น” สำหรับเก็บสินค้าที่อุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นวิธีการรักษาคุณภาพเนื้อสัตว์ได้ตามมาตรฐาน ลดการเกิดจุลินทรีย์และเอ็นไซม์ในเนื้อสัตว์ไม่ให้เกิดการเน่าเสียระหว่างรอจำหน่าย ช่วยยืดอายุการจัดเก็บให้นานขึ้น ที่สำคัญสามารถป้องกันหนูและแมลงไม่ให้เข้าไปปนเปื้อนได้

“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ร่วมมือกันยกระดับมาตรฐานการผลิตเนื้อสัตว์ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ทั้งการจัดทำมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงหมูของกรมปศุสัตว์ การปราบปรามการใช้สารเร่งเนื้อแดงในห่วงโซ่การผลิต ตลอดจนรณรงค์ให้เขียงหมูให้ความสำคัญกับความสะอาดภายใต้ข้อกำหนด “ปศุสัตว์ OK” ทั้งในตลาดสดและร้านจำหน่ายเนื้อสัตว์ทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันตลาดสดมีการปรับปรุงมาตรฐานดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ผศ.น.สพ.ดร.สุเจตน์ กล่าว

AIS 5G เตรียมพร้อมสัญญาณเครือข่าย/มอบประกันอุบัติเหตุฟรีให้ลูกค้า รับสงกรานต์วิถีใหม่

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS เปิดเผยว่า AIS 5G ยืนยันความพร้อมต้อนรับเทศกาลสงกรานต์วิถีใหม่ พร้อมเสริมศักยภาพการทำงานของเครือข่าย AIS 5G ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งกว้างสุด ไกลสุด สูงสุด และลึกสุดในไทย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสัญญาณ 4G/ AIS Super WiFi และ AIS Fibre อีกทั้งยังได้มีการเพิ่ม Mobile Base Station Car หรือรถสถานีฐานเคลื่อนที่ และเพิ่มสถานีฐานชั่วคราว รวมถึงเพิ่ม Capacity สถานีฐานเดิม เพื่อรองรับการเดินทางในทุกเส้นทางตามถนนสายหลัก อาทิ ถนนมิตรภาพ ถนนเอเชีย ถนนเพชรเกษม รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศ และเพื่อเป็นของขวัญสำหรับลูกค้าในวันปีใหม่ไทย AIS ห่วงใยทุกการเดินทางท่องเที่ยว

พร้อมมอบของขวัญปีใหม่ไทย แทนความห่วงใยให้ลูกค้าทั้ง AIS และ AIS Fibre โดยร่วมกับเมืองไทยประกันชีวิต มอบประกันอุบัติเหตุให้กับลูกค้าฟรี ด้วยวงเงินคุ้มครองการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงสุด 100,000 บาท โดยลูกค้าสามารถใช้ AIS Points 10 คะแนนเพื่อแลกรับสิทธิ์ ผ่านทางแอป myAIS หรือกด 5503406# โทรออก ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 พฤษภาคม 2565 รายละเอียดเพิ่มเติม https://privilege.ais.co.th/points/

“เทศกาลสงกรานต์ในปีนี้นับเป็นช่วงเวลาที่คนไทยต่างเฝ้ารอ เพราะจากมาตรการการผ่อนปรนการเดินทางและการอนุญาตให้จัดกิจกรรมสงกรานต์ตามวิถีประเพณีไทยนั้น มีการคาดการณ์ว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวพักผ่อนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเราจึงเตรียมความพร้อมของบุคลากรด้านงานบริการในการดูแลลูกค้าอย่างเต็มความสามารถ และทีมวิศวกรทั้งเครือข่ายมือถือและเน็ตบ้าน เพื่อเฝ้าระวัง เพิ่ม เสริมประสิทธิภาพการทำงานของเน็ตเวิร์ค AIS 5G,4G/ AIS Super WiFi และ AIS Fibre ทั้งการเพิ่มสถานีฐานชั่วคราว เพิ่มความสามารถของสถานีฐานเดิม รวมถึงการระดม Mobile Base Station Car หรือรถสถานีฐานเคลื่อนที่ ในเส้นทางสายหลักที่มีการเดินทางหนาแน่น รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศ เพื่อให้คนไทยสามารถใช้งานเครือข่ายได้อย่างอุ่นใจ ตลอดการเดินทาง และการฉลองเทศกาลปีใหม่ไทยวิถีใหม่”

นายปรัธนา กล่าวตอนท้ายว่า “ผมขอใช้โอกาสนี้เป็นตัวแทนชาว AIS ส่งความปรารถนาดีไปยังลูกค้า และคนไทย ให้เดินทางกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัย ฉลองเทศกาลสงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานประเพณีไทย ตามมาตรการการควบคุมโรคระบาดเพื่อความปลอดภัยด้านสาธารณสุข และในฐานะของผู้ให้บริการโครงข่าย เราขออยู่เคียงข้างคนไทยในทุกการใช้งานและการสื่อสาร ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่กว้างสุด ไกลสุด สูงสุด ลึกที่สุดทั่วไทย ในทุกสถานการณ์อย่างเต็มความสามารถ”

กองทัพบก-ซีพี-ซีพีเอฟ มอบบ้านต่อเนื่องให้กลุ่มเปราะบางในชุมชนคลองเตย ถวายเป็นพระราชกุศล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลโท สุขสรรค์ หนองบัวล่าง แม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมด้วย นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ร่วมส่งมอบบ้านพักที่สร้างแล้วเสร็จจำนวน 10 หลัง จากทั้งหมด 47 หลัง ให้แก่ชาวชุมชนคลองเตย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างสุขอนามัยที่ดีแก่กลุ่มเปราะบาง ภายใต้ “โครงการสร้างและซ่อมแซมบ้านพักให้กับผู้ยากไร้และด้อยโอกาส” ในโครงการที่ 2 ซึ่งดำเนินการโดยกองทัพบก สนับสนุนโดยซีพีเอฟ พร้อมทั้งร่วมมอบเครื่องอุปโภคและสิ่งของจำเป็น ตลอดจนยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรจากเครือซีพี สำหรับแจกจ่ายประชาชน ตามโครงการ “ซีพี ปันปลูก ฟ้าทะลายโจร” เพื่อสนับสนุนให้คนไทยเข้าถึงยาสมุนไพรไทย ณ ลานกีฬา ล็อค 4-5-6 ชุมชนคลองเตย

พลโทสุขสรรค์ กล่าวว่า การมอบบ้านครั้งนี้นับเป็นชุดที่ 3 หลังจากส่งมอบชุดที่ 1 เมื่อเดือนเมษายน 2564 และชุดที่ 2 เมื่อเดือนธันวาคม 2564 โดยได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากซีพีเอฟ โครงการนี้นับเป็นการทำงานบูรณาการของภาครัฐและภาคเอกชน ที่ร่วมกันสร้างโอกาสแก่พี่น้องประชาชนให้ได้เข้าถึงที่พักอาศัยที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน ก่อให้เกิดการพึ่งพาตนเอง พร้อมทั้งช่วยพัฒนาสังคมให้มั่นคงอย่างยั่งยืน ถวายเป็นพระราชกุศล ในโครงการจิตอาสาพระราชทาน “เราทำความดีด้วยหัวใจ”

เครือซีพีและซีพีเอฟ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้มีส่วนร่วมทำความดี ถวายเป็นพระราชกุศล โดยบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและแก้ไขปัญหาแก่ประชาชน พร้อมร่วมโครงการจิตอาสาฯ กับกองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 1 การท่าเรือแห่งประเทศไทย และ กทม.

ร้อยเรียงความดีซีพี 100 ปีนอกจากนี้ ยังมอบผ้าห่ม ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง เจลแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัยซีพี และยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ให้แก่ชาวชุมชนคลองเตย ในโครงการ “ซีพี ปันปลูก ฟ้าทะลายโจร” ภายใต้แนวคิด “ร้อยเรียงความดีซีพี 100 ปี” ตามนโยบายของประธานอาวุโสเครือซีพี ‘ธนินท์ เจียรวนนท์’ ที่แจกฟรี ผ่านกลุ่มองค์กรพันธมิตร ทั้งโรงพยาบาล หน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา มูลนิธิและกลุ่มจิตอาสาในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยมุ่งหวังเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น สอดคล้องกับค่านิยมองค์กรของ CP-CPF ด้าน “ตอบแทนคุณแผ่นดิน” ที่บริษัทฯ ปฏิบัติมาโดยตลอด

สำหรับบรรยากาศการมอบบ้านในวันนี้ นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือซีพี-ซีพีเอฟ เดินเยี่ยมชมบ้าน พร้อมทั้งทักทายและแสดงความยินดีกับชาวชุมชนที่ได้รับบ้านหลังใหม่ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม พร้อมเข้าอยู่อาศัย

ด้าน นางสาวซิวฮุง สินพร อายุ 66 ปี หนึ่งในผู้รับบ้านหลังใหม่ กล่าวว่า ขอขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ที่ร่วมกันปรับปรุงบ้านใหม่ สวยงามมาก จากเดิมมีสภาพผุพัง อยู่อย่างยากลำบากจนแทบไม่กล้าเดินเข้า วันนี้รู้สึกดีใจและตื้นตันใจมาก ที่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมเหมาะสม เป็นสัดส่วนมากขึ้น อยากให้สานต่อโครงการดีๆ แบบนี้ เพื่อให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ ซีพีเอฟร่วมโครงการกับกองทัพบก สนับสนุนการสร้างบ้านทั้งหมด 87 หลัง รวมมูลค่า 13,998,000 บาท แบ่งเป็น 1.) บ้านในโครงการแรกที่ส่งมอบให้กลุ่มเปราะบาง ในพื้นที่ชุมชนคลองเตยล็อค 4-5-6 ไปครบแล้ว จำนวน 40 หลัง คิดเป็นมูลค่า 5,200,000 บาท และ 2.) สนับสนุนการสร้างบ้านพักต่อเนื่องในโครงการที่ 2 อีก 47 หลัง มูลค่า 8,798,000 บาท ซึ่งทยอยส่งมอบไปแล้ว 24 หลัง และครั้งนี้เป็นการมอบอีก 10 หลัง ส่วนที่เหลืออีก 13 หลัง จะส่งมอบได้ทั้งหมดภายในเดือนพฤษภาคม ปี 2565 โดยบ้านทุกหลังของโครงการฯ เป็นรูปแบบหมู่บ้านสมัยใหม่ มีแบบแปลนมาตรฐานเหมือนกัน เพื่อพัฒนาชุมชนให้มีสุขอนามัยที่ดี ปลอดภัย และมีความเป็นระเบียบน่าอยู่ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ประชาชนได้มีบ้านพักที่อยู่อาศัยที่แข็งแรง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดี ตลอดจนเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่สมาชิกในครอบครัว ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป

‘โออาร์’ เปิดตัว สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น แห่งใหม่ สาขาพุทธมณฑลสาย 3 ยกระดับเป็น GREEN STATION เต็มรูปแบบ

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท ซีแพค กรีน โซลูชัน เปิดตัว “สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สาขาพุทธมณฑลสาย 3” ภายใต้แนวคิด “Green Station” บนพื้นที่ 5 ไร่ ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกตอบโจทย์ผู้เข้าใช้บริการทุกเพศทุกวัยรวมทั้งผู้ทุพลภาพ ที่มาพร้อมกับความโดดเด่นด้วยนวัตกรรมก่อสร้างยุคใหม่ที่ล้ำสมัย โซลูชันหลากหลาย ตั้งแต่กระบวนการออกแบบจนถึงงานก่อสร้าง เน้นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอย่างมีคุณภาพและแม่นยำ ลดระยะเวลา ลดการสร้างขยะ ลดมลพิษไม่ว่าจะเป็นฝุ่นและเสียง อีกทั้งยังช่วยลดการใช้ทรัพยากร สอดรับเทรนด์การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลังงานตามแนวทาง ESG มุ่งหวังเพื่อยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างสถานีบริการน้ำมันของประเทศเป็น Green Station เทียบเท่าระดับสากล พร้อมให้บริการอย่างเป็นทางการ วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2565

นายบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน โออาร์ กล่าวว่า “โออาร์ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของทุกคน ทั้งด้านคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อีกทั้งยังมีเป้าหมายผลักดันให้แบรนด์ พีทีที สเตชั่น ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางที่พร้อมเติมเต็มทุกความสุขและเติบโต ไปกับทุกชุมชน (Living Community) โดยพัฒนาและออกแบบองค์ประกอบในสถานีบริการให้สามารถตอบโจทย์ และครอบคลุมทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของทุกคน ทั้งด้านการสร้างอัตลักษณ์ และเรื่องราวที่น่าประทับใจ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้ใช้งาน

โออาร์ จึงได้ร่วมกับ ซีแพค กรีน โซลูชัน ออกแบบสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สาขาพุทธมณฑลสาย 3 ให้เป็นสถานีบริการรูปแบบพิเศษ (Concept Station) ประเภท Green Station แบบเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นอาคารเกาะจ่าย ร้านคาเฟ่ อเมซอน อาคารร้านค้าและสำนักงาน รวมไปถึงอาคารห้องน้ำรูปแบบใหม่ที่ผสานความเป็นธรรมชาติ รวมถึงการออกแบบภูมิทัศน์ให้กลมกลืนต่อเนื่องโดยนำแนวคิด Smart & Green มาปรับใช้ ร่วมกับนวัตกรรมการก่อสร้างของ ซีแพค กรีน โซลูชัน ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมเพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้อย่างเหมาะสม เพื่อลดมลภาวะให้กับระบบนิเวศและส่งเสริมสุขภาวะให้กับบุคลากรและผู้รับบริการทุกเพศ ทุกวัยและทุกสภาพร่างกาย ให้สามารถร่วมเติมเต็มทุกความสุขภายในพื้นที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น อย่างปลอดภัย และเท่าเทียม

นายชูโชค ศิวะคุณากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด และกรรมการบริหาร บริษัท ซีแพค คอนสตรัคชั่นโซลูชั่น จำกัด ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เผยว่า บริษัทมีนโยบายที่ต้องการจะยกระดับการก่อสร้างในประเทศไทยให้มีความ Green มากขึ้น มุ่งเน้นการ ลดทรัพยากรสิ้นเปลือง ลดฝุ่น ลดความเสี่ยงในการทำงาน ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างแม่นยำ ซึ่งนับเป็นหัวใจหลักของการร่วมมือกับ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ในครั้งนี้ ด้วยการออกแบบสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สาขาพุทธมณฑล สาย 3 ซึ่งเป็นสถานีบริการน้ำมันครบวงจรที่ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “Green Station” โดยการนำเทคโนโลยีการก่อสร้าง (Digital & Construction Technology) ผสานการทำงานรูปแบบ Modular Construction ที่นำเข้ามาใช้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบไปจนถึงกระบวนการก่อสร้างจริง เน้นผลิตแต่ละ Module มาจากโรงงาน (Off-site Construction) มาติดตั้งในพื้นที่ก่อสร้าง ลดการทำงานในไซต์งาน (On-site) ทำให้งานก่อสร้างมีความรวดเร็ว แม่นยำ อีกทั้งยังช่วยลดระยะเวลาการทำงาน และด้วยกระบวนการก่อสร้างแบบ “Turn Waste to Value” ที่ต้องการลดขยะ เพิ่มการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ซึ่งจะสามารถช่วยยกระดับวงการก่อสร้างไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน”

สำหรับการทำงานรูปแบบ Modular Construction ที่ “ซีแพค กรีน โซลูชัน” นำเข้ามาใช้ในการก่อสร้าง สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สาขาพุทธมณฑลสาย 3 มีโซลูชันเริ่มตั้งแต่ งานดีไซน์ ที่นำเอาเทคโนโลยี BIM Solution อันเป็นกระบวนการสำหรับการสร้างและจัดการข้อมูลโครงการก่อสร้าง ซึ่งจะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถเห็นภาพการทำงานภาพรวมร่วมกัน และสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารระหว่างกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการแก้ไขงาน พร้อมการออกแบบที่คำนึงถึงความปลอดภัยและความสะดวกสบายแก่ผู้เข้ามาใช้งานทุกเพศ ทุกวัย ในด้านงานโครงสร้าง ทางโครงการเน้นการใช้โครงสร้างเสาคานสำเร็จรูปคุณภาพสูง ที่ผลิตให้มีขนาดพอดี แล้วนำมาติดตั้งที่หน้างาน รวมไปถึงตัว Unit bathroom ก็จะเป็นการผลิตห้องน้ำแบบสำเร็จรูปมาจากโรงงาน และยกมาติดตั้งที่โครงการเช่นกัน ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะช่วยลดการใช้วัสดุสิ้นเปลือง ลดการปล่อยมลภาวะไม่ว่าจะเป็นฝุ่นและเสียง รวมถึงทำให้สามาถติดตั้งได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ในส่วนของเกาะจ่ายน้ำมันทางโครงการเลือกใช้เป็นโครงสร้างเหล็กจาก Steel Solution by SYS ที่มีความแข็งแรง โดยผลิตจากโรงงานและนำมาประกอบติดตั้งที่หน้างาน ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรแล้วยังช่วยเพิ่มดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์อีกด้วย สำหรับงาน Floor Solution เป็นส่วนของงานพื้นลานที่ออกแบบวัสดุเพื่อลดการใช้เหล็กในการก่อสร้าง แต่ยังคงคุณภาพของงานพื้นที่แข็งแรง ลดการแตกร้าว ยืดอายุการใช้งาน พร้อมระบบพื้นยางกันลื่นในช่วงฝนตก และงานตกแต่งภูมิทัศน์หรือ Landscape ทางโครงการเน้นเพิ่มพื้นที่สีเขียวบริเวณโดยรอบ และช่วยเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ให้กับผู้ใช้บริการ

อีกหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของการก่อสร้าง พีทีที สเตชั่น สาขาพุทธมณฑสาย 3 คือการนำ “CPAC 3D Printing Solution” ซึ่งเป็นนวัตกรรมการก่อสร้างอาคารเข้ามาใช้ในการก่อสร้างร้านกาแฟอเมซอน ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้น โดยใช้เทคโนโลยี 3D Concrete Printing ผลิตเป็นผนังอาคารและชิ้นส่วนของอาคาร แล้วนำมาประกอบติดตั้งที่หน้างาน ทำให้อาคารมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Unique) โดยนวัตกรรม 3D Printing Solution นี้จะช่วยสร้างความหลากหลายในการก่อสร้างที่มีทรง Free Form เป็นการเพิ่มขอบเขตให้งานดีไซน์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ทั้งนี้นวัตกรรมจาก ซีแพค กรีน โซลูชัน เรามุ่งมั่นและมุ่งหวังที่ต้องการจะยกระดับมาตรฐานธุรกิจการก่อสร้างของเมืองไทยให้เป็น Green Construction พร้อมมุ่งสู่มาตรฐานระดับสากล ด้วยการพัฒนาและนำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Go Green) ตามแนวทางการดำเนินงาน ESG 4 Plus ของ เอสซีจี คือ มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ – Plus เป็นธรรม โปร่งใส และสร้างความมร่วมมืออันดีกับองค์กรชั้นนำ เพื่อตอกย้ำแนวคิด CPAC Green Solution

7 เม.ย. วันอนามัยโลก ซีพีเอฟ ร่วมสร้างสุขภาพที่ดี หนุนคนไทยเข้าถึงอาหารปลอดภัยอย่างเท่าเทียม

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า ในวันที่ 7 เมษายนของทุกปี ถือเป็นวันอนามัยโลก (World Health Day 2022) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ในฐานะผู้นำด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจรระดับโลก เดินหน้านำนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารที่มุ่งเน้นคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของผู้บริโภคในทุกช่วงวัย พร้อมมีส่วนร่วมดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นต้นทางของการผลิตอาหาร นำไปสู่ระบบผลิตอาหารที่ยั่งยืน เพื่อร่วมสนับสนุนให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารปลอดภัยได้อย่างเท่าเทียม และเพียงพอ

ดร.ลลานา ธีระนุสรณ์กิจ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการทุ่มเท คิดค้น วิจัยและพัฒนาอาหารด้วยความใส่ใจในความปลอดภัยและมีคุณภาพมาตรฐานสากลทุกขั้นตอน ตลอดจนตระหนักถึงความสำคัญสูงสุดกับสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค ควบคู่กับการดูแลสมดุลสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ทรัพยากรในกระบวนการผลิตให้เกิดประโยชน์มากที่สุด สอดคล้องกับคำขวัญของวันอนามัยโลกในปีนี้ “Our Planet, Our Health”

“ในสถานการณ์และปัจจัยท้าทายรอบด้านในปัจจุบัน แนวคิด “You are what you eat” คือ กินอาหารอย่างไร ร่างกายก็จะเป็นอย่างนั้น จะกระตุ้นให้ทุกคนดูแลสุขภาพและและปกป้องสิ่งแวดล้อม เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรและสุขภาพที่ดีของโลกในอนาคต”

ในฐานะผู้นำด้านการผลิตอาหารส่งมอบให้ผู้คนกว่า 4 พันล้านคนใน 40 ประเทศทั่วโลก ซีพีเอฟ มีกลยุทธ์ด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อตอบโจทย์ความสามารถในการเข้าถึงอาหารของผู้บริโภคในแต่ละกลุ่ม และทุกช่วงวัย โดยมีศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร หรือ CPF RD Center เป็นศูนย์กลางศึกษาและสร้างสรรค์ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณค่าโภชนาการ รสชาติดี และทันต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลก

CPF RD Center ไม่เพียงศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานที่หลากหลายรูปแบบ ยังทำการศึกษาวิจัยเชิงลึกเพื่อตอบสนองวิถีปกติใหม่ (New Normal) ที่ผู้บริโภคต้องการความสะดวก สบายรวดเร็วและสุขอนามัยที่ดี ตลอดจนผสานความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในระดับประเทศและระดับโลกจนประสบความสำเร็จกับนวัตกรรมเนื้อจากพืช (PLANT-TEC Innovation) ซึ่งเป็นเทคนิคการผลิตอาหารจากพืชที่ใส่ใจในการสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อมภายใต้แบรนด์ Meat Zero ที่มีรสสัมผัสและรสชาติอร่อยเหมือนเนื้อสัตว์ มีโปรตีนจากพืชและสารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่มีคอเลสเตอรอล ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคทั้งกลุ่มวีแกน กลุ่มมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น (Flexitarian) รวมถึงผู้รักสุขภาพทั่วโลก

ดร.ลลานา กล่าวว่าเพิ่มเติมว่า โปรตีนทางเลือกเป็นเทรนด์อาหารแห่งอนาคต ที่ดีต่อสุขภาพ และมีส่วนช่วยลดภาวะโลกร้อน นอกจากผลิตอาหารจากพืช บริษัทฯ ยังไม่หยุดพัฒนาและสร้างผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกใหม่ๆ โดยร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญและสตาร์ทอัพทั่วโลก เพื่อคิดค้นนวัตกรรมอาหารที่มีคุณภาพและรสสัมผัสที่ดีเหมือนเนื้อสัตว์มากขึ้น เช่น การใช้เทคโนโลยี Tissue Culture เพื่อผลิตอาหาร ปัจจุบันมีความคืบหน้าตามแผน เพื่อต่อยอดเป็นนวัตกรรมอาหารโปรตีนทางเลือกที่หลากหลายรูปแบบในราคาที่ผู้บริโภคทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้

รวมถึงคิดค้นนวัตกรรมที่ช่วยตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มใส่ใจต่อสุขภาพมากขึ้น อาทิ สารสกัดจากธรรมชาติทดแทนสารปรุงแต่งอาหารสังเคราะห์ งานวิจัยเกี่ยวกับจุลินทรีย์โพรไบโอติก เพื่อต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างสมดุลในลำไส้ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ป่วยง่าย

นอกจากนี้ ซีพีเอฟตระหนักดีถึงโครงสร้างประชากรของโลกที่เข้าสู่สังคมสูงวัย เป็นอีกหนึ่งความท้าทายและโอกาสในการคิดค้นอาหารที่มีคุณสมบัติอ่อนนุ่ม รับประทานง่าย สำหรับผู้ที่มีปัญหาการบดเคี้ยวหรือกลืนลำบาก มีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสม หลากหลาย รสชาติดีและสะดวกสบาย

“จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อระบบการผลิตอาหารและพฤติกรรมการบริโภคของมนุษย์ในอนาคต ซึ่ง ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน พร้อมเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในการคิดค้นและพัฒนาอาหารตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ สร้างหลักประกันในการการเข้าถึงอาหารอย่างเพียงพอของประชากรโลก”

รู้ทันปากท้อง : “โลกร้อน” กระทบกับเรายังไง

อ.ยักษ์ หรือ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร พูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกว่าถึงวิกฤติแล้ว

และถึงเวลาที่มนุษย์ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตบนโลกนี้อย่างจริงจัง

โดยมีการเปรียบเทียบว่า “การปลูกต้นไม้ 1 ต้นโตให้เต็มที่ 5 ปีขึ้นไป จะช่วยทำให้อุณหภูมิโลกเย็นลงเท่ากับเครื่องปรับอากาศ 1 ตัน”

ดังนั้น หากทุกบ้านช่วยกันปลูกต้นไม้ ขุคคลอง หนองน้ำ หรือที่เก็บกักน้ำเพื่อรองรับน้ำฝน ปลูกพื้นที่ป่ารอบที่อยู่อาศัยของตัวเอง ก็จะมีส่วนช่วยโลกได้มากทีเดียว และต้องทำทันที

เติมเต็มความสุข ให้คุณยิ้มได้กว้างขึ้นด้วย “สินเชื่อเคหะเพิ่มยอด (GSB PLUS)”

ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจของประเทศที่ซบเซาจากปัญหาหลายปัจจัยรอบด้าน โดยเฉพาะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบซ้ำเติมสถานะเศรษฐกิจในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับประเทศ จนมาถึงชีวิตผู้คนธรรมดาสามัญ

ยิ่งสำหรับผู้ที่มีภาระ ต้องหารายได้ มีค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน หรือผู้ที่ต้องการเงินทุนมามาเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ ผลกระทบข้างต้นย่อมสร้างความหนักอกหนักใจ และเป็นปัญหาที่รบเร้าสภาพจิตใจและความเป็นอยู่ เพราะหากความสามารถในการทำงาน หรือ ประกอบอาชีพ ต้องหยุดลง หรือ ทำได้ไม่เต็มที่ แน่นอนว่า ย่อมส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพอย่างแน่นอน

ปัญหาดังกล่าว ธนาคารออมสิน ได้รับทราบและตระหนักถึงความเดือดร้อนของลูกค้าเป็นอย่างดี ธนาคารจึงได้ออกโปรโมชัน “สินเชื่อเคหะเพิ่มยอด (GSB PLUS)” สินเชื่อสำหรับลูกค้าสินเชื่อเคหะปัจจุบันของธนาคาร ให้ผู้ที่ต้องการกู้เพิ่มเติมเพื่อนำไปใช้ในการอุปโภคบริโภค หรือเสริมสภาพคล่อง

ขอเพียงเป็นลูกค้าปัจจุบันที่ใช้บริการสินเชื่อเคหะของธนาคารออมสิน มีประวัติการชำระหนี้ดี และไม่มีหนี้ค้างชำระเป็นระยะเวลาย้อนหลัง 1 ปี (ยกเว้น ผู้กู้โครงการบ้านเอื้ออาทร ที่อยู่ระหว่างการค้ำประกันของการเคหะแห่งชาติ) เท่านี้ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพคล่องอีกต่อไป เพราะสามารถยื่นเรื่องกู้ สินเชื่อเคหะเพิ่มยอด (GSB PLUS) กับทางธนาคารออมสินได้เลย

ด้วยวงเงินที่ให้กู้สูงสุดถึง 10 ล้านบาท ผ่อนชำระนานสูงสุด 25 ปี อีกทั้งยังผ่อนต่ำล้านละ 5,000 บาท/เดือน นาน 3 ปี และนอกจากนี้ ฟรี ค่าจัดทำนิติกรรมสัญญาและค่าบริการสินเชื่อ อีกด้วย

จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับลูกค้าสินเชื่อเคหะของธนาคารออมสิน ที่กำลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน หรือจำเป็นต้องนำเงินมาใช้จ่ายเพื่อการอุปโภค-บริโภค เพราะสภาพเศรษฐกิจตอนนี้ ทางเลือกอย่างเช่น สินเชื่อบุคคล ก็น่าสนใจกว่าการกดเงินจากบัตรกดเงินสด หรือ บัตรเครดิต เพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า

ลูกค้าสินเชื่อเคหะของธนาคารออมสินท่านใดที่สนใจ สามารถติดต่อยื่นเรื่องขอกู้ได้ที่ธนาคารออมสินสาขาที่ใช้บริการสินเชื่อเคหะอยู่ สามารถยื่นกู้ภายใน 30 เมษายน 2565 โดยต้องอนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญา จะจัดการให้เสร็จเรียบร้อยภายใน 31 พฤษภาคม 2565 นี้

นับว่า “สินเชื่อเคหะเพิ่มยอด (GSB PLUS)” นอกจากจะช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของลูกค้าแล้ว ยังจะช่วยสานต่อความฝัน และเติมเต็มความสุข ให้กับลูกค้าของธนาคารออมสิน ได้เป็นอย่างดี

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.gsb.or.th/promotions/gsbplus/ หรือสอบถามได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 และติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ facebook: GSB Society

CP-CPF ผนึกพลังเพิ่มพื้นที่สีเขียว ปลูกจำปาป่า ในโครงการ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือซีพี- ซีพีเอฟ ลงพื้นที่โครงการ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” ต.พัฒนานิคม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำลุ่มน้ำป่าสัก ที่เกิดจากความร่วมมือ 3 ประสาน คือ กรมป่าไม้ ชุมชนรอบเขาพระยาเดินธง และซีพีเอฟ เป็นต้นแบบการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ และเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับการฟื้นฟูสภาพป่าไม้ โดยมีผู้บริหารระดับสูงของซีพีเอฟ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงเครือซีพีและบริษัทในเครือ อาทิ นายอดิเรก ศรีประทักษ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร นายพงษ์ วิเศษไพฑูรย์ รองประธานคณะกรรมการบริหาร นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ และยังได้รับเกียรติจาก มล.อนุพร เกษมสันต์ รองกงสุลกิตติมศักดิ์รัสเซีย นายศิริชัย มาโนช ที่ปรึกษาอาวุโส เครือซีพี ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ โดยมี นายสุรพล กลิ่นพันธุ์ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการปลูกป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 5 สระบุรี นายถนอมพงษ์ สังข์ธูป หัวหน้าโครงการเขาพระยาเดินธง ชุมชน และคณะทำงานยุทธศาสตร์ ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง ให้การต้อนรับ

ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า โครงการ ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง เป็นความภูมิใจและเป็นความมุ่งมั่นของเครือซีพี และซีพีเอฟ ในการมีส่วนร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูผืนป่า ซึ่งในวันนี้ท่านประธานกรรมการ สุภกิต เจียรนนท์ และคณะผู้บริหารได้มาติดตามความคืบหน้าการฟื้นฟูป่าจากที่ดำเนินการในระยะแรก (2559-2563) 5,971 ไร่ ช่วยพลิกฟื้นสภาพป่าที่มีสภาพรกร้างสู่ป่าที่อุดมสมบูรณ์ และในระยะที่สอง (2564-2568) ซีพีเอฟมีแผนที่จะอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าเพิ่มเติมอีก 1,000 ไร่ นอกจากนั้นในทุกๆ ปีจะมีการติดตามดูแลผืนป่าแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย และยังเชื่อมโยงกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ รวมทั้ง เป็นต้นแบบที่กรมป่าไม้จะนำมาใช้พัฒนาผืนป่าพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ และเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับหน่วยงานราชการ ภาคเอกชนอื่นๆ เข้ามาศึกษารูปแบบการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่า

“สิ่งที่สำคัญของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน สามารถทำให้บริษัท สังคม สิ่งแวดล้อม เติบโตอย่างสอดคล้องไปด้วยกัน โครงการนี้ เป็นความตั้งใจของเครือซีพีและซีพีเอฟที่ทำประโยชน์ให้กับสังคม และประเทศ”

สำหรับกิจกรรมครั้งนี้ ซีพีเอฟได้รับความอนุเคราะห์จากที่ปรึกษาอาวุโส เครือซีพี มอบต้นจำปาป่า 1,000 ต้น ซึ่งจะนำมาปลูกเพิ่มเติมในพื้นที่ของโครงการฯ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมปล่อยปลา 1 แสนตัวเพื่อเป็นแหล่งอาหารของชุมชนที่อยู่รอบข้าง, การเยี่ยมชมพื้นที่โครงการ ฯ โรงเพาะชำกล้าไม้ แหล่งรวบรวมเมล็ดพันธุ์ไม้ป่าในโครงการฯ นำมาเพาะอนุบาลให้เป็นกล้าที่แข็งแรง ซี่งซีพีเอฟมีการจ้างงานชุมชนในการติดตามดูแลต้นไม้ในพื้นที่โครงการ เพาะกล้าไม้ กำจัดวัชพืช ฯลฯ เป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพสู่ชุมชน ชมแปลงปลูกป่าพิถีพิถัน ซึ่งปลูกในปี 2560 และเตรียมขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.

นายสุรพล กลิ่นพันธุ์ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการปลูกป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 5 สระบุรี กล่าวว่า ซีพีเอฟเข้ามาช่วยฟื้นฟูผืนป่าเขาพระยาเดินธงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงไป ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่ากลับคืนมา มีแหล่งน้ำเพิ่มขึ้น ชาวบ้านมีแหล่งอาหาร สามารถเป็นต้นแบบอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าในหลายพื้นที่ จากการที่ซีพีเอฟได้นำรูปแบบต่างๆ มาใช้ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับนักวิชาการเข้ามาช่วยจนได้ผืนป่ากลับคืนมา ซึ่งกรมป่าไม้จะใช้โครงการนี้เป็นต้นแบบในการฟื้นฟูป่า ขอขอบคุณ ซีพีเอฟ ที่เข้ามาสนับสนุนการดำเนินงานของกรมป่าไม้สู่เป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว

ซีพีเอฟดำเนินโครงการ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” มาตั้งแต่ปี 2559 โดยผลสำเร็จจากการดำเนินการระยะที่หนึ่ง (ปี 2559 -2563) ช่วยอนุรักษ์และฟื้นฟูป่ารวม 5,971 ไร่ ช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินโครงการฯ ระยะที่สอง (ปี 2564 -2568 ) เพิ่มเติมอีก1,000 ไร่ รวมเป็น 6,971 ไร่ รวมทั้งต่อยอดจากการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า สู่การสร้างความมั่นคงทางอาหารระดับชุมชน ส่งเสริมชุมชนปลูกผักปลอดภัยไว้บริโภคเอง รวมถึงนำไปจำหน่ายในตลาดของชุมชน และยังได้สนับสนุนชุมชนทำโครงการเพาะพันธุ์และอนุบาลปลาอีกด้วย ทำให้หลายครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้น และสร้างอาชีพเสริม อาทิ นำปลามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ปลาส้ม ปลาร้า เพื่อจำหน่าย เป็นต้น สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) และมุ่งสู่การเป็นองค์กรลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emission)

เครือซีพีและซีพีเอฟ ตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และในโอกาสที่เครือซีพีก้าวสู่การดำเนินงานครบรอบ 100 ปี มุ่งมั่นทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ตามปรัชญา 3 ประโยชน์ของเครือ คือ ประโยชน์ต่อประเทศ ประโยชน์ต่อประชาชน และประโยชน์ต่อบริษัท

เพียงรู้และเข้าใจ ไนเทรต – ไนไทรต์ กินเนื้อแปรรูปอย่างปลอดภัย ต้องมี อย.

นักวิชาการ ม.เชียงใหม่ เผยว่า การเติมสารไนไทรต์ นั้นมีประโยชน์ต่อการถนอมอาหาร ยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ที่มีอันตราย ซึ่งผู้ผลิตควรจะปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมาย ส่วนสารไนเทรตสามารถพบได้ตามธรรมชาติ จึงไม่แปลกหากจะมีการตรวจพบสารไนเทรตเนื้อแปรรูปอยู่บ้าง พร้อมแนะผู้บริโภคเลือกซื้อเนื้อแปรรูปจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐาน ได้รับการรับรองจาก อย.

ผศ.ดร.สุทัศน์ สุระวัง

ผศ.ดร.สุทัศน์ สุระวัง สาขาวิชาเทคโนโลยีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รองคณบดี คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ใน กล่าวว่า ช่วงนี้มีประเด็นข่าวเกี่ยวกับการตรวจพบเนื้อแปรรูปที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีหมายเลขทะเบียน อย. ไม่มีฉลากระบุที่มาหรือผู้ผลิต มีการเติมสารไนเทรต – ไนไทรต์ เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับอันตราย อย่างไรก็ตาม การเติมสารไนเทรต – ไนไทรต์ นั้นมีประโยชน์ต่อการถนอมอาหารเช่นกัน ซึ่งผู้ผลิตควรจะปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมาย จึงขอแบ่งปันความรู้ สร้างความเข้าใจ เพื่อไม่ให้เกิดความกังวลกันจนเกินไป

สารไนเทรต – ไนไทรต์ มีหน้าที่ช่วยยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์จำพวกคลอสตริเดียมบอทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ซึ่งเชื้อนี้มีอันตรายสูงมาก และเจริญได้ดีในสภาวะการบรรจุแบบสุญญากาศ และอาหารที่มีความเป็นกรดต่ำ สามารถสร้างสารพิษรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ สารไนเทรต – ไนไทรต์ ยังมีหน้าที่ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น และช่วยทำให้เกิดสีแดงอมชมพูในผลิตภัณฑ์เนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน ให้มีสีสันน่ารับประทาน

ล่าสุด ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 418 พ.ศ. 2563 ได้อนุญาตให้ใส่สารกลุ่มไนไทรต์ในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป ในรูปโพแทสเซียมไนไตรท์ (INS: 249) หรือโซเดียมไนไตรท์ (INS: 250) โดยให้พบในผลิตภัณฑ์สุดท้ายในปริมาณสูงสุด ไม่เกิน 80 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ทำหน้าที่เป็นสารคงสภาพของสี และสารกันเสีย จะเห็นว่าวงการเทคโนโลยีการผลิตอาหารก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการปรับปรุงกฎหมายให้เหมาะสมโดยคำนึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสำคัญ ส่วน สารไนเทรต ไม่อนุญาตให้ใช้เติม อย่างไรก็ตาม ไนเทรตสามารถพบได้ตามธรรมชาติ เช่น ผักใบเขียว พืชที่รับประทานหัว พริก กระเทียม หรือแม้แต่ในน้ำ ในดิน จึงไม่แปลกหากจะมีการตรวจพบสารไนเทรตเนื้อแปรรูปอยู่บ้าง เนื่องจากอาจปนเปื้อนมากับวัตถุดิบและส่วนผสมในการผลิต ซึ่งหากมีการตรวจสอบย้อนกลับ ก็จะทราบว่าไนเทรตที่พบนั้นเกิดจากการเติมหรือเกิดจากธรรมชาติ

นอกจากสารเจือปนอาหารที่กล่าวข้างต้น ยังต้องคำนึงถึงเรื่องขั้นตอนการผลิตเพื่อให้ได้ไส้กรอกคุณภาพดี ซึ่งในกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานจะใช้วัตถุดิบเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพสูง สดสะอาด ผ่านกระบวนการชำแหละและตัดแต่งที่ได้มาตรฐาน มีการตรวจสอบสารเคมี หรือสิ่งปนเปื้อนตามมาตรฐานกรมปศุสัตว์ ไม่ได้ใช้เศษเนื้ออย่างที่บางคนเข้าใจ

สำหรับการบริโภคทุกคนต้องตระหนักว่า การรับประทานอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆ นั้นไม่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้น หลักการง่ายๆของการรับประทานอาหารให้ได้ประโยชน์ มีคุณค่าสูงสุด นั่นคือ รับประทานให้ครบ 5 หมู่ มีความหลากหลาย สลับกับการรับประทานเนื้อแปรรูปในปริมาณที่เหมาะสม