Home Blog Page 154

สิงห์อาสา จับมือ ม.แม่โจ้ เร่งขยายพื้นที่ปลูกต้นไม้ ทดแทนพื้นที่ไฟป่าทำลาย

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจพื้นที่ปลูกต้นไม้ในเขตพื้นที่จ.เชียงใหม่ที่เคยเกิดไฟไหม้ป่าปีที่ผ่านมาของ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ร่วมกับ สิงห์อาสา และบริษัท เชียงใหม่เบเวอเรช จำกัด บริษัทในเครือฯ พร้อมด้วยเครือข่ายต่างๆ พบอัตราการอยู่รอดของต้นไม้ที่ปลูกทดแทนสูงถึง 80-90% ยืนยันแนวคิดการเพิ่มเปอร์เซนต์การอยู่รอดของต้นไม้โดยเลือกต้นไม้ที่เหมาะสมกับพื้นที่และมีประโยชน์ต่อชุมชน ให้ชาวบ้านในพื้นที่มีส่วนร่วมในการดูแลหลังการปลูกอย่างต่อเนื่องมีผลต่อการรักษาแนวป่า

สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และบริษัท เชียงใหม่เบเวอเรช จำกัด บริษัทในเครือฯ พร้อมด้วย อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย, หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชม.13 (สันป่าตอง), สภาลมหายใจเชียงใหม่, องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก, เทศบาลตำบลบ้านปง พร้อมด้วยเครือข่ายนักศึกษาสิงห์อาสาภาคเหนือ 13 สถาบัน ร่วมปลูกต้นไม้ในชุมชนต้นแบบ 8 หมู่บ้านในพื้นที่อ.หางดง และอ.เมือง จ.เชียงใหม่ ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ในโครงการ “ไม้ยืนต้น ป่ายั่งยืน” ช่วยกันฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุไฟป่าด้วยการปลูกต้นไม้ เพื่อรักษาแนวป่า เพิ่มพื้นที่ป่าเดิมที่ถูกไฟป่าทำลายและการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และยังเอื้อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของคนในชุมชนอีกด้วย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์บรรจง สมบูรณ์ชัย อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ นักวิชาการที่ปรึกษาในโครงการ อธิบายว่า “โครงการทั่วไปที่ปลูกต้นไม้จะมีต้นไม้รอดจากการปลูกเพียง 20-25 % เพราะฉะนั้นการปลูกต้นไม้ที่ดีคือต้องเพิ่มอัตราการอยู่รอดของต้นไม้ให้ได้มากกว่าเดิม ซึ่งปีที่แล้วเราวางเป้าหมายไว้ 50% แต่จากการสำรวจพบอัตรารอดชีวิตของต้นไม้ที่ปลูกเฉลี่ยสูง 80-90 % เนื่องจากมีการเลือกพื้นที่การปลูกและเลือกต้นไม้ที่เหมาะสมกับพื้นที่

ทั้งพันธุ์ไม้อนุรักษ์และฟื้นฟูป่า พันธุ์ไม้ที่เป็นยาและอาหารของสัตว์ป่า รวมถึงมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของผู้คนในชุมชน ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลหลังการปลูก ดังนั้น การปลูกต้นไม้ในโครงการนี้จึงเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่า และตรึงแนวป่าเอาไว้ไม่ให้มันถอยร่นเข้าไปเรื่อยๆ ทั้งยังเป็นการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลรักษาป่าที่ทุกคนสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ เป็นการพึ่งพาและอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน”

นายประโภชน์ เกิดเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่เบเวอเรช จำกัด เปิดเผยว่า “การรักษาป่าต้นน้ำ ทั้งการปลูกป่า หรือป้องกันไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ ถือเป็นภารกิจที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญ เพราะในแต่ละปีพื้นที่ป่าเหล่านี้ถูกไฟป่าทำลายเป็นจำนวนมาก และไฟป่าก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหาหมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 เพราะฉะนั้นการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่เคยเป็นป่าเดิม และเพิ่มสัดส่วนการรอดของต้นไม้ จึงเป็นแนวทางการรักษาป่าต้นน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการลดการเกิดไฟป่าและลดผลกระทบจากฝุ่นควัน PM2.5 โดยโครงการ “ไม้ยืนต้น ป่ายั่งยืน” เป็นหนึ่งในโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ปลูกต้นไม้ฟื้นฟูผืนป่าในพื้นที่ที่เคยเกิดไฟป่า โดยคัดเลือกพันธุ์ไม้ท้องถิ่นที่เหมาะสมกับพื้นที่ และชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์ได้ เพื่อให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในการได้ใช้ประโยชน์และร่วมดูแลต่อไป โดยจากการสำรวจติดตามการปลูกต้นไม้ปีที่ผ่านมาผลพบว่าเกิดความความสำเร็จ พิจารณาได้จากอัตราการอยู่รอดของต้นไม้ และจะขยายความสำเร็จนี้ไปยังพื้นที่อื่นต่อไป เพื่อยืนยันแนวคิดเรื่องการเพิ่มอัตราอยู่รอดของต้นไม้ ซึ่งบ่งชี้ถึงการรักษาเขตแนวป่าในอนาคต”

นายอภิสิทธิ์ เสนาวงค์ นักวิชาการชำนาญการพิเศษ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เผยว่า “จากสถานการณ์โลกรวนในปัจจุบัน เป็นผลจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศมากเกินไป ซึ่งเป็นต้นเหตุให้โลกมีสภาพอากาศแปรปรวนมากขึ้น หนึ่งในวิธีการที่สามารถช่วยลดโลกรวนได้ คือการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจากรวมถึงการเพิ่มแหล่งกักเก็บคาร์บอน ซึ่งมีทั้งบลูคาร์บอน (Blue Carbon) หรือคาร์บอนที่ถูกกักเก็บโดยระบบนิเวศทางทะเล เช่น หญ้าทะเล ป่าชายเลน และกรีนคาร์บอน(Green Carbon) ซึ่งเป็นคาร์บอนที่กักเก็บไว้ด้วยระบบนิเวศทางบกโดยเฉพาะป่าประเภทต่างๆไม่ว่าจะเป็นป่าธรรมชาติ หรือป่าปลูกก็ตาม ดังนั้นการที่พวกเราช่วยกันปลูกป่า ปลูกต้นไม้ในวันนี้ก็เท่ากับเป็นการช่วยเร่งการดูดกลับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีมากที่สุดในชั้นบรรยากาศ นอกจากนี้แล้วการอนุรักษ์ ปกป้องรักษาป่าธรรมชาติไม่ให้มีการบุกรุก ทำลาย และเกิดไฟป่า ก็ยังเป็นอีกทางที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่บรรยากาศได้อีกทาง ท้ายที่สุดก็ต้องบอกว่า ต้นไม้เป็นเทคโนโลยีธรรมชาติในการดูดกลับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศที่ดีและถูกที่สุดในโลก ต้นไม้ที่พวกเราช่วยกันปลูกในวันนี้ไม่ใช่เพื่อเราแต่เพื่อลูกเพื่อหลาน เพื่ออากาศที่สะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนรุ่นถัดไป”

นางสาวลักขณา ไชยคำ ผู้ใหญ่บ้านปางยาง หมู่ที่7 อ.หางดง จ.เชียงใหม่ เผยว่า “ชาวบ้านรู้สึกดีใจที่โครงการนี้ถูกวางแผนมาในระยะยาวและเริ่มเห็นผล ทำให้ชาวบ้านอยากมีส่วนร่วมที่จะช่วยกันดูแลต้นไม้ที่พวกเราช่วยกันปลูกต่อไป เพราะในอนาคตชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์จากต้นไม้ที่ปลูกได้ และยังช่วยป้องกันไฟป่าได้อีกด้วย เมื่อพื้นที่ที่เคยเกิดความเสียหายจากไฟป่าได้รับการฟื้นฟู เป็นการช่วยให้คนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการมีแหล่งทำกิน และรายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์”

สำหรับการดำเนินโครงการในปีนี้ ทางมหาวิทยาลัยแม่โจ้ สิงห์อาสา และบริษัท เชียงใหม่เบเวอเรช จำกัด พร้อมด้วยเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ จะเร่งต่อยอดขยายพื้นที่ปลูกต้นไม้อย่างต่อเนื่องจาก 5 หมู่บ้าน เป็น 8 หมู่บ้าน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 150 ไร่ ในอ.หางดง และอ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยยึดหลักการแรกเริ่มของโครงการซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างแท้จริง เพื่อช่วยฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุไฟป่า เพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ลดภาวะโลกรวน และยังเอื้อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของคนในชุมชนอย่างยั่งยื

ตลาดหลักทรัพย์ฯ แจ้งข้อเท็จจริงสภาพการซื้อขายหุ้น OTO

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้แจ้งข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 66 เกี่ยวกับสภาพการซื้อขายในหลักทรัพย์ บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) (OTO) ที่สภาพการซื้อขายเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในระหว่างวันที่ 12-22 มิ.ย. 66 ว่า ราคาปรับลดลงมากเกิดจากการขายกระจุกตัวในกลุ่มบุคคล ทำให้เกิดการบังคับขาย (Force sell) ในเวลาต่อมา โดยสัดส่วน Short selling และ Program trading น้อยมาก นั้น

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอแจ้งข้อเท็จจริงว่าปริมาณการ Short selling และ Program trading ในช่วงวันที่ 23-26 มิ.ย. 66 ว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีสาระสำคัญไปจากช่วงก่อนหน้า สรุปดังนี้

ข้อเท็จจริง12-22 มิ.ย. 6623-26 มิ.ย. 66
การซื้อขายหลักทรัพย์ OTO
ราคาปรับตัวลดลง89.07% (จาก 16.2 เป็น 1.77 บาท)20.34% (จาก 1.77 เป็น 1.41 บาท)
เกิดจากการขายกระจุกตัวในกลุ่มบุคคล ช่วงแรก กระจุกตัว 30-50% ของปริมาณการซื้อขายในแต่ละวัน หลังจากนั้น กระจุกตัวต่อเนื่องจากการ Force sellกระจาย ผ่านการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยเป็นส่วนใหญ่    
Short selling0.005% ของปริมาณการซื้อขายไม่มี
Program trading1.60% ของปริมาณการซื้อขาย6.06% ของปริมาณการซื้อขาย
มาตรการกำกับการซื้อขายอยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1อยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1
ข้อมูลจากบริษัท OTO (แจ้งผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์ฯ)
ข่าวสำคัญไม่มีพัฒนาการสำคัญที่ส่งผลต่อสภาพการซื้อขายกรรมการลาออก 1 ท่าน (ตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ประธานกรรมการบริหาร)

“เซเว่น อีเลฟเว่น” จับมือ สสว.-ดีพร้อม จัดงานมอบรางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2022” ขับเคลื่อนเอสเอ็มอีไทยสู่สากล

0

“เซเว่น อีเลฟเว่น” จับมือ “สสว.-ดีพร้อม” ร่วมเชิดชูศักยภาพเอสเอ็มอีไทย จัดงานมอบรางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2022” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ภายใต้ธีมงาน “SME โตไกลไปด้วยกัน” มุ่งหวังสร้างพลังขับเคลื่อนธุรกิจเอสเอ็มอีไทยก้าวไกลสู่สากล เผยมีเอสเอ็มอีเปี่ยมศักยภาพได้รับรางวัลทั้งสิ้น 25 ราย จาก 13 ประเภทรางวัล พร้อมบรรยายพิเศษ “เปิดทริคเด็ดSME แจ้งเกิดบน TikTok” เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต  

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่นอีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า เซเว่น อีเลฟเว่น พร้อมด้วย 2 หน่วยงานพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) จัดงานมอบรางวัล“เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2022” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ภายใต้ธีมงาน “SME โตไกลไปด้วยกัน” เพื่อเชิดชูผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทุกกลุ่มสินค้า ในการเดินหน้าพัฒนาธุรกิจและยกระดับคุณภาพสินค้าของตนเองสู่มาตรฐานสากล เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ซึ่งในปีนี้มีการแบ่งประเภทรางวัลทั้งสิ้น 13 ประเภท รวมจำนวนเอสเอ็มอีที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกและได้รับรางวัลจำนวน 25 ราย  

ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีพี ออลล์

“จากการจัดงานมอบรางวัลเซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างน่าภูมิใจ ไม่ว่าจะเป็น จำนวนผู้ประกอบการที่เป็นคนรุ่นใหม่เพิ่มมากขึ้น แพ็กเก็จจิ้งมีความทันสมัย สวยงามมากขึ้น ในขณะที่แบรนด์สินค้าดังระดับตำนานก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ยังครองใจผู้บริโภคมาได้อย่างยาวนาน รวมถึงนำนวัตกรรมเข้ามาใช้เพิ่มมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่องของผู้ประกอบการ เซเว่น อีเลฟเว่น และหน่วยงานพันธมิตรทั้ง 2 ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีมาตลอด จึงอยากขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมเชิดชูเกียรติเอสเอ็มอีที่สามารถยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าสู่สากล ด้วยความเชื่อมั่นว่ารางวัลเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์และต่อยอดโอกาสให้แก่ผู้ที่ได้รับรางวัลทุกประเภท ขณะเดียวกันผู้ได้รับรางวัลก็จะเป็นต้นแบบให้แก่เอสเอ็มอีรายอื่นๆ ในการพัฒนาสินค้าและธุรกิจของตนเองให้เข้มแข็งและเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต” นายยุทธศักดิ์ กล่าว  

สำหรับความพิเศษของงานในปีนี้คือได้มีการเพิ่มประเภทรางวัลใหม่ขึ้นมาอีก 2 ประเภท ได้แก่ SME The Legend และ SME Young Entrepreneur รางวัลแรกจะมอบให้กับแบรนด์ดังระดับตำนานที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ที่ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าและรักษาคุณภาพมาตรฐาน ส่วนรางวัลใหม่รางวัลที่สอง จะเน้นมอบให้แก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีอายุน้อยกว่า 45 ปี หรือเป็นเจเนอเรชั่นแรก ที่มีความโดดเด่นในการทำตลาดและพัฒนาคุณภาพสินค้าอย่างต่อเนื่อง ภายในงานยังมีการจัดบูธแสดงสินค้าของผู้ที่ได้รับรางวัล พร้อมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “เปิดทริคเด็ด SME แจ้งเกิดบน TikTok” โดย แอ๊ม-ศรัณย์ แบ่งกุศลจิต Influencer ชื่อดัง เจ้าของช่อง TikTok การตลาดการเตลิด เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับเอสเอ็มอีนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจ สอดรับกับปณิธานที่ว่า “Giving and Sharing” 

นายวีระพงศ์  มาลัย ผู้อำนวยการ สสว. กล่าวว่า งานมอบรางวัลเซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน นอกจากจะเป็นงานที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยแล้ว ยังเป็นงานที่ช่วยติดอาวุธทางความรู้ให้กับผู้ประกอบเอสเอ็มอีอีกด้วย ผ่านหัวข้อการบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่สอดรับกับพันธกิจหลักของ สสว.ภายใต้แผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566-2570) ที่ต้องการส่งเสริมเอสเอ็มอีทุกกลุ่มให้เข้มแข็งและเติบโต รวมทั้งสร้างโอกาสทางการตลาดเพื่อยกระดับศักยภาพธุรกิจให้มีความสามารถในการแข่งขัน และต้องพัฒนาระบบนิเวศในการประกอบธุรกิจให้มีความคล่องตัว ด้วยการลดเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรค เช่น เรื่องกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้เอสเอ็มอีไทยเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ 

นายใบน้อย สุวรรณชาตรี อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) มีความตระหนักมาโดยตลอดว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ดีพร้อม จึงได้ดำเนินงานตามนโยบายของท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มุ่งเน้นให้ภาคอุตสาหกรรมอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน ด้วยการให้ชุมชนรักโรงงาน โรงงานรักชุมชน และสร้างการกระจายรายได้สู่ชุมชน เพื่อให้ชุมชนและอุตสาหกรรมอยู่ด้วยกันอย่างเป็นมิตร ก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและสร้างความเติบโตไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้น จากนโยบายดังกล่าว ดีพร้อม จึงมีแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนในรูปแบบโมเดลชุมชนดีพร้อม ภายใต้นโยบาย ดีพร้อมโต ประกอบด้วย โตได้ โตไว โตไกล โตให้ยั่งยืน เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจที่มีศักยภาพอยู่คู่กับชุมชนได้ ด้วยการเชื่อมโยงและประสานประโยชน์ระหว่างภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และชุมชน ขณะเดียวกัน ยังมุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนมีขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับธุรกิจอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ผ่านความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในหลากหลายรูปแบบ โดยที่ผ่านมา ดีพร้อมได้มีความร่วมมือกับทาง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ จัดกิจกรรม DIPROM MOVE TO MODERN TRADE ซึ่งถือว่าได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดีในการส่งเสริม สนับสนุน และต่อยอดให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนที่มีศักยภาพให้เข้าสู่ตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ หรือ Modern Trade ได้อย่างแข็งแกร่ง อันเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นบริบททั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคม และสำหรับความร่วมมือในการมอบรางวัลเซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2022 ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่ร่วมเชิดชูและเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เอสเอ็มอีทุกอุตสาหกรรมในการพัฒนาและยกระดับศักยภาพตัวเองต่อไป 

รู้เก็บรู้ออม : DR น้องใหม่ลุยหุ้น AI เปลี่ยนโลก!!

0

เดี๋ยวนี้ นักลงทุนบ้านเราหากคิดอยากโกอินเตอร์ ซื้อหุ้นต่างประเทศตัวท็อป ที่เป็นกิจการชั้นนำระดับโลก ก็สามารถทำได้สะดวกรวดเร็ว ผ่านผลิตภัณฑ์ลงทุนอย่าง DR และ DRx ซึ่งก็คือ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ที่ช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายหุ้นต่างประเทศ โดยใช้บัญชีเทรดเดียวกับที่ใช้ซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นไทยได้เลย

มาถึงตอนนี้ DR และ DRx เป็นที่รู้จักดีของนักลงทุนไทยแล้วว่า เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ทาง “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ได้สนับสนุนให้มีการพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสและกระจายการลงทุนในหุ้นต่างประเทศของนักลงทุนไทยมากยิ่งขึ้น ช่วงปีที่ผ่านมา ก็ได้มีการเปิดซื้อขาย DR และ DRx ไปแล้วหลายตัว ยกตัวอย่างเช่น DRx ที่อ้างอิงหลักทรัพย์ Apple และ Tesla เป็นต้น

และล่าสุด ธนาคารกรุงไทยกำลังจะออก DR และ DRx ใหม่ในตลาดหุ้นไทยเพิ่มอีก 4 ตัว อ้างอิงหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำในสหรัฐอเมริกาและจีน

ครั้งนี้ เน้นๆคัดหุ้นบริษัท AI ระดับโลก ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และมีการเติบโตสูง มาให้นักลงทุนไทยได้เลือกลงทุน เพราะโลกสมัยใหม่ AI มีส่วนสำคัญอย่างมากในการยกระดับธุรกิจ ตลอดจนวิถีชีวิตของคนทั้งโลก จึงเป็นการเปิดโอกาสให้กับนักลงทุนได้รับผลตอบแทนการลงทุนจากกระแส AI เปลี่ยนโลก

DR น้องใหม่ จะเปิดให้เทรดได้ตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย.2566 นี้ ประกอบไปด้วย DRx อ้างอิงหุ้นสหรัฐฯ จำนวน 3 หลักทรัพย์ คือ 1.DRx อ้างอิงหุ้นสามัญบริษัท ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น (MSFT80X) ผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายใหญ่ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ChatGPT ซึ่งเป็น AI Chatbot ชื่อดังที่ถูกนำมาต่อยอดธุรกิจอย่างกว้างขวาง, 2.DRx อ้างอิงหุ้นสามัญของบริษัท อัลฟาเบท อิงค์ (GOOG80X) บริษัทแม่ของ Google ที่เปิดตัว Bard ซึ่งเป็น AI Chatbot คู่แข่งสำคัญของ ChatGPT และ New Bing และ 3.DRx อ้างอิงหุ้นสามัญของบริษัท เอ็นวิเดีย คอร์ปอเรชั่น (NVDA80X) ผู้นำตลาด GPU หรือการ์ดจอในธุรกิจเกมที่ขยายธุรกิจไปสู่ยานยนต์ และ AI รวมถึง GPU ที่ใช้ประมวลผลของ ChatGPT และ AI ของผู้ให้บริการรายอื่นๆ

อีกตัวเป็น DR อ้างอิงหุ้นจีน จำนวน 1 หลักทรัพย์ คือ DR อ้างอิงหุ้นสามัญของบริษัท ไป่ตู้ อิงค์ (BIDU80) บริษัทระดับโลกที่มีการลงทุนและการพัฒนาเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ที่มีโอกาสเติบโตสูง และยังถือเป็นผู้ให้บริการ Search engine ยักษ์ใหญ่ที่สุดของจีน ทำรายได้กว่า 6 แสนล้านบาท ในปี 2565 มีผลิตภัณฑ์และบริการครอบคลุมหลายกลุ่มธุรกิจ เช่น Baidu App, Baidu Wiki, Baidu Map, Baidu Feed, iQIYI และ ERNIE Bot

ซื้อขายได้ทั้งช่วงกลางวันสำหรับ DR และกลางคืนสำหรับ DRx ผู้สนใจ BIDU80 สามารถซื้อขายผ่านบัญชีหุ้นได้เลย ส่วนการลงทุนใน MSFT80X, GOOG80X และ NVDA80X ต้องเปิดบัญชีซื้อขาย DRx เพิ่ม โดยเปิดบัญชีกับผู้แนะนำการลงทุน หรือเปิดบัญชีด้วยตัวเองผ่านแอปฯ “Streaming by Settrade” เลือก “My Menu” และเลือก “DRx” เพื่อแจ้งความประสงค์ซื้อขาย DRx เท่านี้ก็สามารถทำรายการส่งคำสั่งซื้อขายเป็นเงินบาทหรือจำนวนหลักทรัพย์ได้ โดยใช้ PIN เดียวกับบัญชีหุ้นหลัก

สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับ DR และ DRx 4 หลักทรัพย์ใหม่ได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือ www.krungthai.com หรือศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ DR และ DRx เพิ่มเติมที่ www.setinvestnow.com 

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

รู้เก็บรู้ออม : 21 วัน เลือกหุ้นได้ เทรดหุ้นเป็น

0

การประสบความสำเร็จตามเป้าหมายทางการเงิน ต้องอาศัยสิ่งสำคัญ คือการเอาชนะตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการออม การลงทุน ล้วนต้องอาศัยวินัยการเงินที่ดี บวกกับการศึกษาหาความรู้ด้านการเงินการลงทุนเพิ่มเติมให้ตัวเอง ทั้งหมดนี้ ต้องพึ่งพาตัวเองทั้งนั้น

คู่แข่งที่ท้าทายมากที่สุด จึงเป็นตัวเราเองนั่นแหละ ยิ่งตัวเราแข่งกับตัวเองมากขึ้นเท่าไร ผลตอบแทนที่ได้คือ การพัฒนาตัวเองมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับภารกิจ “21–Day Challenge Season 2” ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

แคมเปญที่กลับมาอีกครั้ง กับภารกิจท้าทายตัวเอง 21 วัน เพื่อให้ผู้เข้าร่วม “เลือกหุ้นได้ เทรดหุ้นเป็น” และเสริมสร้าง “นิสัยการลงทุนที่ดี”

ผู้สมัครแคมเปญจะได้เริ่มต้นเรียนรู้แบบง่ายๆ ผ่าน PlayBook ที่อัดแน่นเนื้อหาความรู้ครบถ้วน ทั้งบทความ คลิปสั้น และหลักสูตร e-Learning แถมยังมี Live ให้แลกเปลี่ยนมุมมอง และสอบถามกูรูตัวจริงในทุกสัปดาห์

เนื้อหาจัดเต็มกันตั้งแต่สัปดาห์แรก ว่าด้วย รู้เรื่องหุ้น ช่วยให้เราลงสนามเทรดหุ้นแบบมั่นใจ ด้วยเนื้อหาที่ปูพื้นฐานการลงทุน ตั้งแต่เข้าใจธรรมชาติของตลาดหุ้น สอนให้รู้จักสไตล์หุ้นกับสไตล์ลงทุนของตัวเอง การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อค้นหาหุ้นดีน่าลงทุน และการเปลี่ยนตัวหุ้น เปลี่ยนกลุ่มลงทุน ตลอดจนเรียนรู้เทคนิคการคัดกรองหุ้นโดยใช้งานเครื่องมือ Settrade Stock Screening เพื่อให้ได้หุ้นดี โดนใจ ไม่ต้องใช้เวลาค้นหานาน

สัปดาห์สอง มาต่อกับเลือกหุ้นได้ วิเคราะห์เจาะลึกหุ้นอย่างมีหลักการ ลดความเสี่ยง เพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุน โดยภารกิจของสัปดาห์นี้ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนการวิเคราะห์ Business Model จะช่วยให้เข้าใจธุรกิจมากยิ่งขึ้น อ่านงบการเงินและประเมินมูลค่าหุ้นอย่างง่าย และจบด้วยเทคนิคการอ่านกราฟเป็น เพื่อจับจังหวะการลงทุน

และปิดท้ายภารกิจในสัปดาห์ที่สามกับเทรดหุ้นเป็น ว่าด้วยการวางกลยุทธ์และบริหารพอร์ตหุ้น กลยุทธ์การซื้อ ถือ และขายหุ้น โดยใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ และเทคนิคการเทรดหุ้นฉบับมือโปร เช่น การทำ Money Management ป้องกันการขาดทุนหุ้นจนกู่ไม่กลับ ปิดท้ายด้วยเคล็ดลับบริหารพอร์ตลงทุนหุ้นให้ประสบความสำเร็จ

เรียนจบอยากทบทวนก็ไม่เป็นปัญหา เพราะผู้เรียนจะได้รับคู่มือการลงทุน รวมลิงก์เนื้อหาบทเรียนและสื่อความรู้ต่างๆไปดาวน์โหลดฟรี

และยังมีกิจกรรมให้ร่วมลุ้นรางวัลอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมกิจกรรมใน Live มีสิทธิลุ้นรับ e-Voucher 500 บาท สัปดาห์ละ 5 รางวัล, ผู้สมัครแคมเปญและรับชม Live 500 คนแรก จะได้รับสิทธิเข้าใจงาน SETSMART นาน 1 เดือน พร้อมสิทธิเข้าใช้งาน Maruey e-Library 1 ปี และบัตรเข้าชม INVESTORY

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้–31 ส.ค.66 เริ่มทำภารกิจ 1 ก.ค.–31 ส.ค.66 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม และสมัครฟรีได้ที่ www.setinvestnow.com/th/21day

“คุณนายพารวย” ไม่อยากให้พลาดโอกาสดีๆที่จะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง เพิ่มทักษะการลงทุน ซึ่งจะช่วยทำให้เราลงทุนอย่างมั่นใจได้แน่นอน.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ซีพีเอฟ ยกระดับศูนย์อาหาร Food World เสิร์ฟเมนูอาหารยั่งยืน หนุนสังคมคาร์บอนต่ำ

0

ศูนย์อาหาร Food World ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เดินหน้ายกระดับศูนย์อาหาร ‘Food World’ ทั้ง 22 สาขาในไทย ร่วมสนับสนุนแนวทางการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ข้อ 12 ตั้งแต่การจัดซื้อวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่ง ตลอดจนการคัดเลือกวัตถุดิบที่มีการรับรองเป็นผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ เพื่อนำมาปรุงเป็นเมนูรักษ์โลก พร้อมทั้งวางระบบการจัดการอาหารส่วนเกินและการจัดการของเสียไม่ให้ทิ้งลงสู่หลุมฝังกลบ

นายสุนทร จักรษุกรรฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน ศูนย์อาหาร Food World ทั้ง 22 สาขาในไทย มุ่งสู่การเป็นศูนย์อาหารชั้นนำที่มีร้านหลากหลาย ได้มาตรฐาน สะอาด และถูกสุขอนามัย เพื่อเป็น “ศูนย์อาหารที่คุณมั่นใจ” สำหรับลูกค้าทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันที่หันมาสนใจเมนูรักษ์โลก สู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) โดยมีสาขาเรือธงที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ (UN ESCAP) วางแนวทางการปฏิบัติที่ดีและเป็นต้นแบบการบริหารจัดการตามหลักการสากลอย่างครบวงจร

สำหรับ Food World สาขาศูนย์ประชุมสหประชาชาติ เน้นเสิร์ฟเมนูอาหารอย่างยั่งยืน (Sustainable Menu) อาทิ ‘ไก่เบญจาย่างตะไคร้’ ใช้ผลิตภัณฑ์ไก่สดซีพีเอฟที่ได้รับ “ฉลากลดโลกร้อน” มีคาร์บอนฟุตพรินท์ต่ำกว่าเนื้อไก่ทั่วไปถึง 50% ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ‘กุ้งผัดไข่เค็ม’ นำกุ้งระโนด ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในจังหวัดสงขลา ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น และ ‘ผัดไทยกระทงทอง’ ผักสดจากโครงการหลวง เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการจัดการขยะอาหาร (Food Waste) อย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อาทิ นำเศษอาหารทำปุ๋ยใช้ในการเพาะปลูกพืชผัก เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ น้ำมันพืชที่ใช้แล้วนำไปผลิตไบโอดีเซล ส่วนขยะประเภทพลาสติกและกระป๋องจะนำไปรีไซเคิลตามแนวทางที่เหมาะสม เพื่อร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามแนวทาง SDGs เป้าหมายที่ 12.3 ที่ต้องการลดขยะเศษอาหารของโลกลงครึ่งหนึ่งในระดับค้าปลีกและผู้บริโภคภายในปี 2030

“Food World ส่งเสริมวิถีการกินแบบคาร์บอนต่ำด้วยเมนูอาหารยั่งยืน และการจัดการขยะอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ โดยปีนี้ เรามีนโยบายให้ Food World จัดหาวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารจากร้านค้าที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศูนย์อาหาร เพื่อย่นระยะการขนส่ง และมีแผนยกระดับการบริหารจัดการให้ทุกสาขามีการจัดเก็บขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ภายในปี 2030 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ตามที่ซีพีเอฟได้ประกาศนโยบายด้านการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร (Food Loss & Waste Policy) มุ่งสู่การสร้างความมั่นคงทางอาหารและลดขยะอาหารสู่หลุมฝังกลบให้เป็นศูนย์ (Zero Food Waste)” นายสุนทร กล่าว

นายสุนทร กล่าวเพิ่มเติมว่า รูปแบบการจัดการขยะอาหารที่ศูนย์อาหาร Food World สาขาศูนย์ประชุมสหประชาชาติ แยกขยะออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ กระป๋อง, พลาสติก, กระดาษ, แก้ว, เศษเนื้อสัตว์และเศษผักผลไม้ จากนั้นจะชั่งน้ำหนักแบบแห้งและน้ำมันที่ใช้แล้วจะใส่ในบรรจุภัณฑ์ เพื่อมอบให้กับ UN ESCAP นำไปใช้ประโยชน์ต่อเป็นพลังงานทางเลือก (Alternative Fuel) โดยจัดการด้านขยะอาหารอย่างเป็นระบบเพื่อเอื้อต่อการนำวัสดุที่ใช้งานไม่ได้แล้ว นำกลับมาผลิตใหม่ (Recycle) และใช้วัสดุจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ถูกใช้งานแล้ว เพื่อสร้างสิ่งใหม่ (Upcycle) อาทิ การจัดเก็บขยะต่างๆ โดยเฉลี่ยประมาณ 800 กิโลกรัมต่อปี หรือน้ำมันที่ใช้แล้ว 6,300 ลิตรต่อปี ที่จะนำไปผลิตเป็นไบโอดีเซล ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ล่าสุด Food World ได้ร่วมงานนิทรรศการ 79th Commission Session of ESCAP เพื่อแสดงความมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ พร้อมส่งเสริมความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้ที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ (UN ESCAP)

‘Food World สาขาศูนย์ประชุมสหประชาชาติ’ เปิดให้บริการห้องอาหารระดับนานาชาติ รวมความอร่อยให้เลือกสรรหลายประเภท ทั้งอาหารไทย จีน ยุโรป เอเชีย และอื่นๆ พร้อมให้บริการจัดเลี้ยงครบวงจรระดับสากลสำหรับงานประชุมและอีเว้นท์สำคัญ ปัจจุบัน ศูนย์อาหาร Food World มีทั้งหมด 22 สาขาทั่วประเทศไทย อาทิ สาขาโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ สาขาศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ สาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา แจ้งวัฒนะ (อาคาร B) สาขาสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (อาคาร CP ALL Academy) สาขาอาคารปิยชาติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต สาขาโรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ สาขาโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย (อาคาร ส.ธ.)

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดข้อเท็จจริงหุ้น OTO ให้นักลงทุนพิจารณาก่อนซื้อขาย

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประะเทศไทย แจ้งข้อเท็จจริงเพื่อให้ผู้ลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนเข้าซื้อขายในหลักทรัพย์บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) (OTO) ทั้งนี้ จากสภาพการซื้อขายหลักทรัพย์ OTO ในช่วงที่ผ่านมาที่มีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ข้อเท็จจริงสำหรับสภาพการซื้อขายในช่วงวันที่ 12-21 มิถุนายน 2566 เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจซื้อขาย OTO ดังนี้

  • ราคาปรับตัวลดลง -87.53% (จาก 16.2 บาท มาอยู่ที่ 2.02 บาท) ด้วยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 494 ล้านบาท ด้วยอัตราการหมุนเวียนการซื้อขายเฉลี่ยที่ 21.
  • การขายในช่วงแรกกระจุกในกลุ่มบุคคลวันละประมาณ 30-50% ของปริมาณการซื้อขาย ส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลง หลังจากนั้นยังคงพบการขายกระจุกตัวต่อเนื่องจากการ Force Sell เป็นส่วนใหญ่
  • ขณะที่สัดส่วนการ Short Selling อยู่ที่ 0.005% ของปริมาณการซื้อขาย (รายละเอียดการขายผ่านการ Short Selling ดังกล่าวสามารถดูเพิ่มเติมจากข้อมูลและสถิติธุรกรรมขายชอร์ตที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th)
  • สัดส่วน Program trading อยู่ที่ประมาณ 1.60% ของปริมาณการซื้อขาย
  • ปัจจุบัน OTO ยังคงเป็นหลักทรัพย์ในมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1

“สาระ ล่ำซำ” คว้ารางวัลสุดยอดผู้นำองค์กรแห่งปี “THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2023” สองปีซ้อน

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับรางวัลสุดยอดผู้นำองค์กรแห่งปี THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2023” ประเภท “อุตสาหกรรมประกันชีวิต”  ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

รางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลที่ยกย่องและเชิดชูเกียรติแก่สุดยอดผู้นำองค์กรแห่งปีที่มีวิสัยทัศน์ มีกลยุทธ์ธุรกิจการบริหารงานที่เป็นเลิศและโดดเด่นที่สุด โดยคณะกรรมการได้พิจารณาจากแวดล้อมรอบด้าน ได้แก่ ความสามารถในการบริหารองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน ความสามารถในการสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้าและผู้ถือหุ้น ความเป็นผู้นำและสร้างความผูกพันในองค์กร การตอบแทนสู่สังคมและสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน และการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม จัดขึ้นโดยนิตยสาร Business+  โดย บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ งานจัดขึ้น ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ

บอร์ดตลท. ไฟเขียวแนวทางปรับปรุงเกณฑ์คุณสมบัติ บจ. ใน SET และ mai พร้อมยกระดับการกำกับดูแล

0

คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมติเห็นชอบแนวทางปรับปรุงเกณฑ์สำหรับ บจ. ใน SET และ mai ทั้งกระบวนการ ตั้งแต่ปรับคุณสมบัติ บจ. เข้าใหม่ให้มีความแข็งแกร่งขึ้น พร้อมยกระดับการกำกับดูแลเพื่อเพิ่มคุณภาพ บจ. เตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็นในไตรมาส 3 นี้

คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมติเห็นชอบแนวทางให้ปรับ positioning เพิ่มความแตกต่างของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อสนับสนุนบริษัทที่มีฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง ให้สามารถใช้ประโยชน์จากตลาดทุนได้ พร้อมยกระดับการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนให้เข้มข้นขึ้น โดยปรับปรุงเกณฑ์เครื่องหมาย “C (Caution)” เกณฑ์เพิกถอน ตลอดจนเกณฑ์ Backdoor Listing เพื่อเพิ่มคุณภาพบริษัทจดทะเบียน และดูแลผู้ลงทุน โดยจะเปิดรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องภายในไตรมาส 3 ปีนี้

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันนี้ (21 มิถุนายน 2566) มีมติเห็นชอบแนวทางปรับปรุงหลักเกณฑ์สำหรับบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai ทั้งกระบวนการ ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ระยะ 3 ปี (2566-2568) ในการเพิ่มโอกาสการระดมทุนสำหรับธุรกิจทุกขนาด และเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ตั้งแต่การรับบริษัทจดทะเบียนที่มีความเข้มแข็งด้านฐานะการเงินและผลการดำเนินงานมากขึ้น สอดรับกับที่ปัจจุบันมีตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) สำหรับธุรกิจ SMEs และ Startup ที่ต้องการเติบโต อีกทั้งสอดคล้องกับขนาดและฐานะการเงินของบริษัทในไทยในปัจจุบัน และแข่งขันได้กับตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ รวมทั้งการยกระดับการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนให้เข้มข้นมากขึ้นเพื่อเพิ่มคุณภาพบริษัทจดทะเบียนและการดูแลผู้ลงทุน

สรุปแนวทางการปรับปรุงเกณฑ์ ดังนี้

  1. การ repositioning SET และ mai โดยปรับปรุงคุณสมบัติบริษัทจดทะเบียนตามเกณฑ์รับหลักทรัพย์ใน SET และ mai ซึ่งจะเพิ่มกำไรเพื่อรองรับบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้น และเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานและฐานะการเงินที่แข็งแรงขึ้น โดยกำหนดทุนชำระแล้ว (Paid-up capital) เริ่มต้นเท่ากัน เพื่อให้ส่วนของทุนมีความสอดคล้องกับลักษณะการประกอบธุรกิจ และบริษัทผู้ระดมทุนสามารถใช้ประโยชน์จากตลาดทุนได้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) และการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชน (Public Offering) สำหรับบริษัทขนาดเล็กให้สูงขึ้น เพื่อดูแลสภาพคล่องในตลาดรอง
  2. การยกระดับการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน ได้แก่
    2.1 เพิ่มการเตือนผู้ลงทุนด้วยเครื่องหมาย “C” กรณีบริษัทมีฐานะการเงินหรือผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มลดลง เช่น มีรายได้จากการดำเนินงานต่ำหรือขาดทุนต่อเนื่อง ผิดนัดชำระหนี้สถาบันการเงินหรือตราสารหนี้ และผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินในทุกกรณี เนื่องจากบริษัทที่ปัญหาด้านฐานะการเงินมักตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงสำคัญ เช่น ผู้ถือหุ้นหรือธุรกิจ หรือเป็นเป้าหมายของ Backdoor Listing รวมถึงอาจมีการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ผิดไปจากสภาพปกติ
    2.2 เพิ่มความเข้มงวดในการเพิกถอน โดยคณะกรรมการจะพิจารณาเพิกถอนบริษัทที่ไม่สามารถแก้ไขเหตุเพิกถอนและย้ายกลับมาซื้อขายได้เมื่อครบกำหนดเวลา เพื่อให้มีบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพ อีกทั้งเพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณาคุณสมบัติบริษัท Backdoor Listing โดยสำนักงาน ก.ล.ต. จะร่วมพิจารณาคุณสมบัติของบริษัทเช่นเดียวกับกรณี IPO เพื่อให้บริษัทที่เข้าจดทะเบียนไม่ว่าด้วยช่องทางใดมีคุณภาพใกล้เคียงกัน

ทั้งนี้ แนวทางการปรับปรุงเกณฑ์ข้างต้น เป็นการทำงานร่วมกันของตลาดหลักทรัพย์ฯ กับสำนักงาน ก.ล.ต. ในการยกระดับการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนทั้งกระบวนการ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นและความมีเสถียรภาพของตลาดทุน หลังจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ก่อนเสนอคณะกรรมการ ก.ล.ต. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และจะทยอยประกาศใช้เกณฑ์ต่าง ๆ โดยคำนึงถึงระยะเวลาที่เหมาะสมต่อไป

ภารกิจระดับโลก “ไก่ไทยจะไปอวกาศ” CPF ยกระดับมาตรฐานไก่ไทย สู่ ระดับอวกาศ อีกความภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ประกาศภารกิจเตรียมส่งไก่ไทยไปพิชิตอวกาศ ในโครงการ Thai food – Mission to Space โดยดำเนินโครงการวิจัยร่วมกับสองพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอวกาศจากสหรัฐอเมริกา NANORACKS LLC และ บจก.มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี หรือ MU Space ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอวกาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยภารกิจเตรียมส่งไก่ไทยไปพิชิตอวกาศครั้งนี้ ไก่ไทยต้องผ่านการรับรองความปลอดภัยมาตรฐานอวกาศ ซึ่งก็คือมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารขั้นสูงระดับเดียวกับที่นักบินอวกาศทานได้

ความสำเร็จของภารกิจนี้จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่ามาตรฐานความปลอดภัยของเนื้อไก่แบรนด์ CP ของไทย จะก้าวสู่มาตรฐานความปลอดภัยที่ไม่ใช่แค่ระดับโลก แต่จะเป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศ (Space Food Safety Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การ NASA ฝากคนไทยเอาใจช่วย และร่วมภาคภูมิไปกับครั้งแรกของคนไทย ที่ผลิตภัณฑ์ของไทยจะไปพิชิตมาตรฐานอวกาศ มาตรฐานความปลอดภัยขั้นสุด

นอกจากนี้ ภายในงานดังกล่าวมีการจัดเวทีเสวนา Thai food – Mission to Space เชิญกูรูจากไทยและต่างประเทศ มาร่วมเสวนา เพื่อขับเคลื่อนการพลิกโฉมอาหารไทยไปไกลสู่อวกาศ ด้วยความปลอดภัยมาตรฐานอวกาศในหลากหลายประเด็น อาทิ ทำไมมาตรฐานอวกาศถึงได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในมาตรฐานความปลอดภัยสูงที่สุด!! มาตรฐานอาหารของไทยที่ไปไกลถึงอวกาศมีความสำคัญอย่างไรต่อสุขภาพที่ดีขึ้นของคนไทย นวัตกรรมที่ยกระดับวงการปศุสัตว์ไทยและโอกาสของอุตสาหกรรมอาหารในอนาคต ซึ่งในงานเสวนาประกอบด้วย Mr. Michael Massimino อดีตนักบินอวกาศ NASA, Miss Vickie Kloeris นักวิทยาศาสตร์อาหารที่เคยทำงานในห้องวิจัยของ NASA มานาน 34 ปี, รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, น.สพ.สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์, ดร.โศรดา วัลภา รองผู้ว่าการวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และ นายอาจวรงค์ จันทมาส นักสื่อสารวิทยาศาสตร์และพิธีกรรายการดัง ”ใดๆ ในโลกล้วนฟิสิกส์”

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหารซีพีเอฟ เปิดเผยว่าการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย สู่มาตรฐานอวกาศครั้งนี้ เกิดจากความเชื่อมั่นว่าเนื้อไก่ของซีพีเป็นหนึ่งในแบรนด์เนื้อสัตว์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดแล้วในโลก จึงตั้งเป้าใหญ่ที่จะพิชิตมาตรฐาน Space Food Safety Standard ให้เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของคนไทยในโครงการ Thai food – Mission to Space

“ซีพีเอฟ ตระหนักและให้ความสำคัญของความปลอดภัยและคุณภาพของอาหารอย่างที่สุด เมื่อได้พันธมิตรที่เชี่ยวชาญ อย่าง NANORACKS LLC และ MU Space มาร่วมดำเนินโครงการ Thai food – Mission to Space ที่จะปฏิบัติภารกิจร่วมกับ “ศูนย์วิจัยด้านอาหารอวกาศของสหรัฐ” จึงยิ่งมั่นใจว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะพิสูจน์ว่าไก่ของประเทศไทยมีมาตรฐานความปลอดภัยสูงถึงระดับอวกาศ ซึ่งจะต้องผ่านมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพด้านอาหาร รวมถึงการตรวจสารตกค้างและเชี้อโรคปนเปื้อนต่างๆตามข้อกำหนดของ NASA มากมายหลายสิบการตรวจสอบ จึงจะได้รับการอนุมัติให้นำไก่ของเราขึ้นไปบนสถานีอวกาศได้ สิ่งนี้จะเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยเพราะเป็นครั้งแรกที่อาหารจากประเทศไทยจะได้รับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับนี้ นับเป็นการแสดงศักยภาพขั้นสูงของนวัตกรรมเทคโนโลยีและความปลอดภัยการผลิตเนื้อไก่ของไทย และที่สำคัญคือการยืนยันว่าคนไทยทุกคนได้กินไก่ปลอดภัยในระดับเดียวกับที่องค์กรระดับโลกยอมรับ” นายประสิทธิ์กล่าว

ด้าน Mr. Michael James Massimino อดีตนักบินอวกาศ NASA ร่วมบอกเล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตในสภาวะไร้น้ำหนัก และกล่าวว่า อาหารที่นักบินอวกาศต้องรับประทานนั้น ความปลอดภัยไร้สารตกค้างเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพราะจะส่งผลต่อสุขภาพนักบินอวกาศในระยะยาว และสารอาหารที่เหมาะสมก็มีผลอย่างมากต่อมวลกระดูกและกล้ามเนื้อของนักบินแต่ละคน ดังนั้นอาหารหมวดโปรตีนจึงต้องมีการจัดเตรียมเป็นพิเศษ และที่ผ่านมาอาหารส่วนใหญ่จะออกมาในรูปแบบอาหารแห้ง (dehydrate food) ที่ต้องเติมน้ำบนนั้น หรือแบบพร้อมทาน (ready-to-eat) ด้วยเทคโนโลยีรีทอร์ต (Retort) ที่สามารถแกะกินได้ทันที แต่สิ่งที่ต่างกับขณะอยู่บนพื้นโลก คือ ลักษณะของอาหารและซอสต่างๆจะมีความข้นเหนียว เพื่อให้มันติดกับช้อนให้คุณกินได้สะดวก หรือกินจากแพ็คเกจเลย และอีกสิ่งที่แตกต่าง คือ เรื่องประสาทสัมผัสการรับรสและกลิ่นของอาหารที่ลดลง ทำให้เรารับรู้รสชาติอาหารได้น้อยลง อาหารประเภท สไปซี่ฟู้ดจึงเป็นที่นิยมในหมู่นักบิน

“Thaifood Mission to Space เป็นโครงการที่ดี ซึ่งไม่เพียงแต่นักบินอวกาศจะได้บริโภคอาหารที่หลากหลายและปลอดภัย ยังเป็นการยกระดับความปลอดภัยทางอาหารแก่ผู้บริโภคทั่วโลก และเป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่เนื้อไก่ของไทยด้วย” Michael กล่าว

ส่วน Miss Vickie Kloeris นักวิทยาศาสตร์อาหารที่เคยทำงานในห้องวิจัยของ NASA มานานกว่า 34 ปี และเป็นผู้จัดการระบบอาหารสำหรับเที่ยวบินแรกสู่สถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) กล่าวว่า อาหารที่จะถูกส่งขึ้นไปกับนักบินอวกาศนั้น ต้องครบถ้วนทั้งด้านความปลอดภัยและโภชนาการ โดยมีเกณฑ์กำหนดจาก Nasa ที่เข้มงวดมากกว่าอาหารที่ขายทั่วไป เพราะในอวกาศเป็นสถานที่ห่างไกลโรงพยาบาลและหมอมากที่สุด นักบินอวกาศจึงต้องปลอดภัยจากเชื้อโรคและสารปนเปื้อนให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องได้รับสารอาหารที่เหมาะสมอย่างครอบคลุมตรงตามความต้องการของร่างกายของนักบินแต่ละบุคคล สำหรับโครงการ Thai food – Mission to Space นั้น จากการที่ได้ไปดูงานวิจัยที่ห้องแล็บและวิธีการเลี้ยงดูแลไก่ของ CPF ตัวเธอรู้สึกประทับใจในมาตรฐานการผลิตเนื้อสัตว์ที่สูงมากของไทย ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าเนื้อไก่ ซีพี นั้นปลอดสารปลอดภัยจากยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างและเชื้อโรคปนเปื้อนใด ที่จะสามารถพิชิตมาตรฐานอวกาศ ตรงตามมาตรฐานความปลอดภัยในระดับที่ NASA กำหนด และแน่นอนว่าอาหารไทยขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยติดอันดับโลก หากมีการส่งไก่จากไทยในเมนูแบบไทยขึ้นไปบนสถานีอวกาศเป็นครั้งแรกนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีของนักบินอวกาศบนนั้นแน่นอน

“ขอชื่นชมซีพีเอฟ ที่มีความพยายามในการสร้างความเชื่อมั่นมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะขึ้นไปในอวกาศได้ และในฐานะนักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารอวกาศ ก็ตื่นเต้นแทนนักบินที่จะได้ลิ้มลองรสชาติอาหารใหม่ๆ เช่น อาหารไทย” Vickie กล่าว

ทั้งนี้ ซีพีเอฟได้รับมาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยด้านอาหารระดับนานาชาติสูงสุดถึง 6 มาตรฐาน โดยล่าสุด ยังเป็นบริษัทรายแรกในอาเซียนที่มีมาตรฐานการผลิตอาหารของตนเอง (CPF Food standard; PS 7818:2018) โดยการสนับสนุนจาก BSI หรือสถาบันมาตรฐานอังกฤษ ซึงเป็นมาตรฐานที่เกิดจากการบูรณาการมาตรฐานสากลหลายๆ มาตรฐานเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย HACCP(CODEX) , ISO 9001, ISO 22000 รวมถึง กฎระเบียบภายในและต่างประเทศ ตลอดจนมาตรฐานความปลอดภัยอาหารของสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งอังกฤษ (BRC) การปฏิบัติทางสุขลักษณะที่ดี (GHP) ระบบการจัดการสวัสดิภาพสัตว์เพื่อส่งออก และสามารถตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่การผลิตได้ 100% ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ขณะที่มาตรฐานอวกาศ จะต้องผ่านกระบวนการตรวจเชื้อโรค สารตกค้าง ความปลอดภัย และคุณภาพด้านอาหารต่างๆ ตามหลักเกณฑ์ของ Space Food Lab อีกถึงมากกว่า 40 การตรวจสอบ